Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā |
๑๒. ฌานวิภโงฺค
12. Jhānavibhaṅgo
๑. สุตฺตนฺตภาชนียํ
1. Suttantabhājanīyaṃ
มาติกาวณฺณนา
Mātikāvaṇṇanā
๕๐๘. อิทานิ ตทนนฺตเร ฌานวิภเงฺค ยา ตาว อยํ สกลสฺสาปิ สุตฺตนฺตภาชนียสฺส ปฐมํ มาติกา ฐปิตา, ตตฺถ อิธาติ วจนํ ปุพฺพภาคกรณียสมฺปทาย สมฺปนฺนสฺส สพฺพปฺปการชฺฌานนิพฺพตฺตกสฺส ปุคฺคลสฺส สนฺนิสฺสยภูตสาสนปริทีปนํ, อญฺญสาสนสฺส จ ตถาภาวปฎิเสธนํฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘อิเธว, ภิกฺขเว, สมโณ…เป.… สุญฺญา ปรปฺปวาทา สมเณหิ อเญฺญหี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๑)ฯ ภิกฺขูติ เตสํ ฌานานํ นิพฺพตฺตกปุคฺคลปริทีปนํฯ ปาติโมกฺขสํวรสํวุโตติ อิทมสฺส ปาติโมกฺขสํวเร ปติฎฺฐิตภาวปริทีปนํฯ วิหรตีติ อิทมสฺส ตทนุรูปวิหารสมงฺคีภาวปริทีปนํฯ อาจารโคจรสมฺปโนฺนติ อิทมสฺส เหฎฺฐา ปาติโมกฺขสํวรสฺส อุปริ ฌานานุโยคสฺส จ อุปการธมฺมปริทีปนํฯ อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวีติ อิทมสฺส ปาติโมกฺขโต อจวนธมฺมตาปริทีปนํฯ สมาทายาติ อิทมสฺส สิกฺขาปทานํ อนวเสสโต อาทานปริทีปนํฯ สิกฺขตีติ อิทมสฺส สิกฺขาย สมงฺคีภาวปริทีปนํฯ สิกฺขาปเทสูติ อิทมสฺส สิกฺขิตพฺพธมฺมปริทีปนํฯ
508. Idāni tadanantare jhānavibhaṅge yā tāva ayaṃ sakalassāpi suttantabhājanīyassa paṭhamaṃ mātikā ṭhapitā, tattha idhāti vacanaṃ pubbabhāgakaraṇīyasampadāya sampannassa sabbappakārajjhānanibbattakassa puggalassa sannissayabhūtasāsanaparidīpanaṃ, aññasāsanassa ca tathābhāvapaṭisedhanaṃ. Vuttañhetaṃ – ‘‘idheva, bhikkhave, samaṇo…pe… suññā parappavādā samaṇehi aññehī’’ti (a. ni. 4.241). Bhikkhūti tesaṃ jhānānaṃ nibbattakapuggalaparidīpanaṃ. Pātimokkhasaṃvarasaṃvutoti idamassa pātimokkhasaṃvare patiṭṭhitabhāvaparidīpanaṃ. Viharatīti idamassa tadanurūpavihārasamaṅgībhāvaparidīpanaṃ. Ācāragocarasampannoti idamassa heṭṭhā pātimokkhasaṃvarassa upari jhānānuyogassa ca upakāradhammaparidīpanaṃ. Aṇumattesu vajjesu bhayadassāvīti idamassa pātimokkhato acavanadhammatāparidīpanaṃ. Samādāyāti idamassa sikkhāpadānaṃ anavasesato ādānaparidīpanaṃ. Sikkhatīti idamassa sikkhāya samaṅgībhāvaparidīpanaṃ. Sikkhāpadesūti idamassa sikkhitabbadhammaparidīpanaṃ.
อินฺทฺริเยสูติ อิทมสฺส คุตฺตทฺวารตาย ภูมิปริทีปนํ; รกฺขิตโพฺพกาสปริทีปนนฺติปิ วทนฺติ เอวฯ คุตฺตทฺวาโรติ อิทมสฺส ฉสุ ทฺวาเรสุ สํวิหิตารกฺขภาวปริทีปนํฯ โภชเน มตฺตญฺญูติ อิทมสฺส สโนฺตสาทิคุณปริทีปนํฯ ปุพฺพรตฺตาปรรตฺตํ ชาคริยานุโยคมนุยุโตฺตติ อิทมสฺส การณภาวปริทีปนํฯ สาตจฺจํ เนปกฺกนฺติ อิทมสฺส ปญฺญาปริคฺคหิเตน วีริเยน สาตจฺจการิตาปริทีปนํ ฯ โพธิปกฺขิกานํ ธมฺมานํ ภาวนานุโยคมนุยุโตฺตติ อิทมสฺส ปฎิปตฺติยา นิเพฺพธภาคิยตฺตปริทีปนํฯ
Indriyesūti idamassa guttadvāratāya bhūmiparidīpanaṃ; rakkhitabbokāsaparidīpanantipi vadanti eva. Guttadvāroti idamassa chasu dvāresu saṃvihitārakkhabhāvaparidīpanaṃ. Bhojane mattaññūti idamassa santosādiguṇaparidīpanaṃ. Pubbarattāpararattaṃ jāgariyānuyogamanuyuttoti idamassa kāraṇabhāvaparidīpanaṃ. Sātaccaṃnepakkanti idamassa paññāpariggahitena vīriyena sātaccakāritāparidīpanaṃ . Bodhipakkhikānaṃ dhammānaṃ bhāvanānuyogamanuyuttoti idamassa paṭipattiyā nibbedhabhāgiyattaparidīpanaṃ.
โส อภิกฺกเนฺต…เป.… ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี โหตีติ อิทมสฺส สพฺพตฺถ สติสมฺปชญฺญสมนฺนาคตตฺตปริทีปนํฯ โส วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชตีติ อิทมสฺส อนุรูปเสนาสนปริคฺคหปริทีปนํฯ อรญฺญํ…เป.… ปฎิสลฺลานสารุปฺปนฺติ อิทมสฺส เสนาสนปฺปเภทนิราทีนวตานิสํสปริทีปนํฯ โส อรญฺญคโต วาติ อิทมสฺส วุตฺตปฺปกาเรน เสนาสเนน ยุตฺตภาวปริทีปนํฯ นิสีทตีติ อิทมสฺส โยคานุรูปอิริยาปถปริทีปนํฯ ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวาติ อิทมสฺส โยคารมฺภปริทีปนํฯ โส อภิชฺฌํ โลเก ปหายาติอาทิ ปนสฺส กมฺมฎฺฐานานุโยเคน นีวรณปฺปหานปริทีปนํฯ ตเสฺสว ปหีนนีวรณสฺส วิวิเจฺจว กาเมหีติอาทิ ปฎิปาฎิยา ฌานุปฺปตฺติปริทีปนํฯ
So abhikkante…pe… tuṇhībhāve sampajānakārī hotīti idamassa sabbattha satisampajaññasamannāgatattaparidīpanaṃ. So vivittaṃ senāsanaṃ bhajatīti idamassa anurūpasenāsanapariggahaparidīpanaṃ. Araññaṃ…pe… paṭisallānasāruppanti idamassa senāsanappabhedanirādīnavatānisaṃsaparidīpanaṃ. Soaraññagato vāti idamassa vuttappakārena senāsanena yuttabhāvaparidīpanaṃ. Nisīdatīti idamassa yogānurūpairiyāpathaparidīpanaṃ. Parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvāti idamassa yogārambhaparidīpanaṃ. So abhijjhaṃ loke pahāyātiādi panassa kammaṭṭhānānuyogena nīvaraṇappahānaparidīpanaṃ. Tasseva pahīnanīvaraṇassa vivicceva kāmehītiādi paṭipāṭiyā jhānuppattiparidīpanaṃ.
อปิ จ อิธ ภิกฺขูติ อิมสฺมิํ สาสเน ฌานุปฺปาทโก ภิกฺขุฯ อิทานิ ยสฺมา ฌานุปฺปาทเกน ภิกฺขุนา จตฺตาริ สีลานิ โสเธตพฺพานิ, ตสฺมาสฺส ปาติโมกฺขสํวรสํวุโตติ อิมินา ปาติโมกฺขสํวรสีลวิสุทฺธิํ อุปทิสติฯ อาจารโคจรสมฺปโนฺนติอาทินา อาชีวปาริสุทฺธิสีลํฯ สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสูติ อิมินา เตสํ ทฺวินฺนํ สีลานํ อนวเสสโต อาทานํฯ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโรติ อิมินา อินฺทฺริยสํวรสีลํฯ โภชเน มตฺตญฺญูติ อิมินา ปจฺจยสนฺนิสฺสิตสีลํฯ ปุพฺพรตฺตาปรรตฺตนฺติอาทินา สีเล ปติฎฺฐิตสฺส ฌานภาวนาย อุปการเก ธเมฺมฯ โส อภิกฺกเนฺตติอาทินา เตสํ ธมฺมานํ อปริหานาย กมฺมฎฺฐานสฺส จ อสโมฺมสาย สติสมฺปชญฺญสมาโยคํฯ โส วิวิตฺตนฺติอาทินา ภาวนานุรูปเสนาสนปริคฺคหํฯ โส อรญฺญคโต วาติอาทินา ตํ เสนาสนํ อุปคตสฺส ฌานานุรูปอิริยาปถเญฺจว ฌานภาวนารมฺภญฺจฯ โส อภิชฺฌนฺติอาทินา ฌานภาวนารเมฺภน ฌานปจฺจนีกธมฺมปฺปหานํฯ โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหายาติอาทินา เอวํ ปหีนชฺฌานปจฺจนีกธมฺมสฺส สพฺพชฺฌานานํ อุปฺปตฺติกฺกมํ อุปทิสตีติฯ
Api ca idha bhikkhūti imasmiṃ sāsane jhānuppādako bhikkhu. Idāni yasmā jhānuppādakena bhikkhunā cattāri sīlāni sodhetabbāni, tasmāssa pātimokkhasaṃvarasaṃvutoti iminā pātimokkhasaṃvarasīlavisuddhiṃ upadisati. Ācāragocarasampannotiādinā ājīvapārisuddhisīlaṃ. Samādāya sikkhati sikkhāpadesūti iminā tesaṃ dvinnaṃ sīlānaṃ anavasesato ādānaṃ. Indriyesu guttadvāroti iminā indriyasaṃvarasīlaṃ. Bhojane mattaññūti iminā paccayasannissitasīlaṃ. Pubbarattāpararattantiādinā sīle patiṭṭhitassa jhānabhāvanāya upakārake dhamme. So abhikkantetiādinā tesaṃ dhammānaṃ aparihānāya kammaṭṭhānassa ca asammosāya satisampajaññasamāyogaṃ. So vivittantiādinā bhāvanānurūpasenāsanapariggahaṃ. Soaraññagato vātiādinā taṃ senāsanaṃ upagatassa jhānānurūpairiyāpathañceva jhānabhāvanārambhañca. So abhijjhantiādinā jhānabhāvanārambhena jhānapaccanīkadhammappahānaṃ. So ime pañca nīvaraṇe pahāyātiādinā evaṃ pahīnajjhānapaccanīkadhammassa sabbajjhānānaṃ uppattikkamaṃ upadisatīti.
มาติกาวณฺณนาฯ
Mātikāvaṇṇanā.
นิเทฺทสวณฺณนา
Niddesavaṇṇanā
๕๐๙. อิทานิ ยถานิกฺขิตฺตํ มาติกํ ปฎิปาฎิยา ภาเชตฺวา ทเสฺสตุํ อิธาติ อิมิสฺสา ทิฎฺฐิยาติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ อิมิสฺสา ทิฎฺฐิยาติอาทีหิ ทสหิ ปเทหิ สิกฺขตฺตยสงฺขาตํ สพฺพญฺญุพุทฺธสาสนเมว กถิตํฯ ตญฺหิ พุเทฺธน ภควตา ทิฎฺฐตฺตา ทิฎฺฐีติ วุจฺจติฯ ตเสฺสว ขมนวเสน ขนฺติ, รุจฺจนวเสน รุจิ, คหณวเสน อาทาโย, สภาวเฎฺฐน ธโมฺม, สิกฺขิตพฺพเฎฺฐน วินโย, ตทุภเยนาปิ ธมฺมวินโย, ปวุตฺตวเสน ปาวจนํ, เสฎฺฐจริยเฎฺฐน พฺรหฺมจริยํ, อนุสิฎฺฐิทานวเสน สตฺถุสาสนนฺติ วุจฺจติฯ ตสฺมา อิมิสฺสา ทิฎฺฐิยาติอาทีสุ อิมิสฺสา พุทฺธทิฎฺฐิยา, อิมิสฺสา พุทฺธขนฺติยา, อิมิสฺสา พุทฺธรุจิยา, อิมสฺมิํ พุทฺธอาทาเย, อิมสฺมิํ พุทฺธธเมฺม, อิมสฺมิํ พุทฺธวินเยฯ
509. Idāni yathānikkhittaṃ mātikaṃ paṭipāṭiyā bhājetvā dassetuṃ idhāti imissā diṭṭhiyātiādi āraddhaṃ. Tattha imissā diṭṭhiyātiādīhi dasahi padehi sikkhattayasaṅkhātaṃ sabbaññubuddhasāsanameva kathitaṃ. Tañhi buddhena bhagavatā diṭṭhattā diṭṭhīti vuccati. Tasseva khamanavasena khanti, ruccanavasena ruci, gahaṇavasena ādāyo, sabhāvaṭṭhena dhammo, sikkhitabbaṭṭhena vinayo, tadubhayenāpi dhammavinayo, pavuttavasena pāvacanaṃ, seṭṭhacariyaṭṭhena brahmacariyaṃ, anusiṭṭhidānavasena satthusāsananti vuccati. Tasmā imissā diṭṭhiyātiādīsu imissā buddhadiṭṭhiyā, imissā buddhakhantiyā, imissā buddharuciyā, imasmiṃ buddhaādāye, imasmiṃ buddhadhamme, imasmiṃ buddhavinaye.
‘‘เย จ โข ตฺวํ, โคตมิ, ธเมฺม ชาเนยฺยาสิ – ‘อิเม ธมฺมา สราคาย สํวตฺตนฺติ โน วิราคาย, สํโยคาย สํวตฺตนฺติ โน วิสํโยคาย, อาจยาย สํวตฺตนฺติ โน อปจยาย, อุปาทาย สํวตฺตนฺติ โน ปฎินิสฺสคฺคิยา, มหิจฺฉตาย สํวตฺตนฺติ โน อปฺปิจฺฉตาย, อสนฺตุฎฺฐิยา สํวตฺตนฺติ โน สนฺตุฎฺฐิยา, สงฺคณิกาย สํวตฺตนฺติ โน ปวิเวกาย, โกสชฺชาย สํวตฺตนฺติ โน วีริยารมฺภาย, ทุพฺภรตาย สํวตฺตนฺติ โน สุภรตายา’ติ เอกํเสน หิ, โคตมิ, ธาเรยฺยาสิ – ‘เนโส ธโมฺม, เนโส วินโย, เนตํ สตฺถุสาสน’นฺติฯ เย จ โข ตฺวํ, โคตมิ, ธเมฺม ชาเนยฺยาสิ – ‘อิเม ธมฺมา วิราคาย สํวตฺตนฺติ โน สราคาย…เป.… สุภรตาย สํวตฺตนฺติ โน ทุพฺภรตายา’ติฯ เอกํเสน หิ, โคตมิ, ธาเรยฺยาสิ – ‘เอโส ธโมฺม, เอโส วินโย, เอตํ สตฺถุสาสน’’นฺติ (อ. นิ. ๘.๕๓; จูฬว. ๔๐๖)ฯ
‘‘Ye ca kho tvaṃ, gotami, dhamme jāneyyāsi – ‘ime dhammā sarāgāya saṃvattanti no virāgāya, saṃyogāya saṃvattanti no visaṃyogāya, ācayāya saṃvattanti no apacayāya, upādāya saṃvattanti no paṭinissaggiyā, mahicchatāya saṃvattanti no appicchatāya, asantuṭṭhiyā saṃvattanti no santuṭṭhiyā, saṅgaṇikāya saṃvattanti no pavivekāya, kosajjāya saṃvattanti no vīriyārambhāya, dubbharatāya saṃvattanti no subharatāyā’ti ekaṃsena hi, gotami, dhāreyyāsi – ‘neso dhammo, neso vinayo, netaṃ satthusāsana’nti. Ye ca kho tvaṃ, gotami, dhamme jāneyyāsi – ‘ime dhammā virāgāya saṃvattanti no sarāgāya…pe… subharatāya saṃvattanti no dubbharatāyā’ti. Ekaṃsena hi, gotami, dhāreyyāsi – ‘eso dhammo, eso vinayo, etaṃ satthusāsana’’nti (a. ni. 8.53; cūḷava. 406).
เอวํ วุเตฺต อิมสฺมิํ พุทฺธธมฺมวินเย , อิมสฺมิํ พุทฺธปาวจเน, อิมสฺมิํ พุทฺธพฺรหฺมจริเย, อิมสฺมิํ พุทฺธสตฺถุสาสเนติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Evaṃ vutte imasmiṃ buddhadhammavinaye , imasmiṃ buddhapāvacane, imasmiṃ buddhabrahmacariye, imasmiṃ buddhasatthusāsaneti evamattho veditabbo.
อปิเจตํ สิกฺขาตฺตยสงฺขาตํ สกลํ สาสนํ ภควตา ทิฎฺฐตฺตา สมฺมาทิฎฺฐิปจฺจยตฺตา สมฺมาทิฎฺฐิปุพฺพงฺคมตฺตา จ ทิฎฺฐิ, ภควโต ขมนวเสน ขนฺติ, รุจฺจนวเสน รุจิ, คหณวเสน อาทาโยฯ อตฺตโน การกํ อปาเยสุ อปตมานํ ธาเรตีติ ธโมฺมฯ โสว สํกิเลสปกฺขํ วินตีติ วินโยฯ ธโมฺม จ โส วินโย จาติ ธมฺมวินโยฯ กุสลธเมฺมหิ วา อกุสลธมฺมานํ เอส วินโยติ ธมฺมวินโยฯ เตเนว วุตฺตํ – ‘‘เย จ โข ตฺวํ, โคตมิ, ธเมฺม ชาเนยฺยาสิ – ‘อิเม ธมฺมา วิราคาย สํวตฺตนฺติ โน สราคาย…เป.… เอกํเสน, โคตมิ, ธาเรยฺยาสิ ‘เอโส ธโมฺม, เอโส วินโย, เอตํ สตฺถุสาสน’นฺติฯ
Apicetaṃ sikkhāttayasaṅkhātaṃ sakalaṃ sāsanaṃ bhagavatā diṭṭhattā sammādiṭṭhipaccayattā sammādiṭṭhipubbaṅgamattā ca diṭṭhi, bhagavato khamanavasena khanti, ruccanavasena ruci, gahaṇavasena ādāyo. Attano kārakaṃ apāyesu apatamānaṃ dhāretīti dhammo. Sova saṃkilesapakkhaṃ vinatīti vinayo. Dhammo ca so vinayo cāti dhammavinayo. Kusaladhammehi vā akusaladhammānaṃ esa vinayoti dhammavinayo. Teneva vuttaṃ – ‘‘ye ca kho tvaṃ, gotami, dhamme jāneyyāsi – ‘ime dhammā virāgāya saṃvattanti no sarāgāya…pe… ekaṃsena, gotami, dhāreyyāsi ‘eso dhammo, eso vinayo, etaṃ satthusāsana’nti.
ธเมฺมน วา วินโย, น ทณฺฑาทีหีติ ธมฺมวินโย, วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Dhammena vā vinayo, na daṇḍādīhīti dhammavinayo, vuttampi cetaṃ –
‘‘ทเณฺฑเนเก ทมยนฺติ, องฺกุเสหิ กสาหิ จ;
‘‘Daṇḍeneke damayanti, aṅkusehi kasāhi ca;
อทเณฺฑน อสเตฺถน, นาโค ทโนฺต มเหสินา’’ติฯ (จูฬว. ๓๔๒; ม. นิ. ๒.๓๕๒);
Adaṇḍena asatthena, nāgo danto mahesinā’’ti. (cūḷava. 342; ma. ni. 2.352);
ตถา –
Tathā –
‘‘ธเมฺมน นียมานานํ, กา อุสูยา วิชานต’’นฺติ; (มหาว. ๖๓);
‘‘Dhammena nīyamānānaṃ, kā usūyā vijānata’’nti; (Mahāva. 63);
ธมฺมาย วา วินโย ธมฺมวินโยฯ อนวชฺชธมฺมตฺถเญฺหส วินโย, น ภวโภคามิสตฺถํฯ เตนาห ภควา – ‘‘นยิทํ, ภิกฺขเว, พฺรหฺมจริยํ วุสฺสติ ชนกุหนตฺถ’’นฺติ (อ. นิ. ๔.๒๕) วิตฺถาโรฯ ปุณฺณเตฺถโรปิ อาห – ‘‘อนุปาทาปรินิพฺพานตฺถํ โข, อาวุโส, ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๕๙)ฯ วิสิฎฺฐํ วา นยตีติ วินโยฯ ธมฺมโต วินโย ธมฺมวินโยฯ สํสารธมฺมโต หิ โสกาทิธมฺมโต วา เอส วิสิฎฺฐํ นิพฺพานํ นยติฯ ธมฺมสฺส วา วินโย, น ติตฺถกรานนฺติ ธมฺมวินโย; ธมฺมภูโต หิ ภควา, ตเสฺสว วินโยฯ ยสฺมา วา ธมฺมาเยว อภิเญฺญยฺยา ปริเญฺญยฺยา ปหาตพฺพา ภาเวตพฺพา สจฺฉิกาตพฺพา จ, ตสฺมา เอส ธเมฺมสุ วินโย, น สเตฺตสุ, น ชีเวสุ จาติ ธมฺมวินโยฯ สาตฺถสพฺยญฺชนตาทีหิ อเญฺญสํ วจนโต ปธานํ วจนนฺติ ปวจนํ; ปวจนเมว ปาวจนํฯ สพฺพจริยาหิ วิสิฎฺฐจริยาภาเวน พฺรหฺมจริยํฯ เทวมนุสฺสานํ สตฺถุภูตสฺส ภควโต สาสนนฺติ สตฺถุสาสนํ; สตฺถุภูตํ วา สาสนนฺติปิ สตฺถุสาสนํฯ ‘‘โส โว มมจฺจเยน สตฺถา’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๑๖) หิ ธมฺมวินโยว สตฺถาติ วุโตฺตติ เอวเมเตสํ ปทานํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Dhammāya vā vinayo dhammavinayo. Anavajjadhammatthañhesa vinayo, na bhavabhogāmisatthaṃ. Tenāha bhagavā – ‘‘nayidaṃ, bhikkhave, brahmacariyaṃ vussati janakuhanattha’’nti (a. ni. 4.25) vitthāro. Puṇṇattheropi āha – ‘‘anupādāparinibbānatthaṃ kho, āvuso, bhagavati brahmacariyaṃ vussatī’’ti (ma. ni. 1.259). Visiṭṭhaṃ vā nayatīti vinayo. Dhammato vinayo dhammavinayo. Saṃsāradhammato hi sokādidhammato vā esa visiṭṭhaṃ nibbānaṃ nayati. Dhammassa vā vinayo, na titthakarānanti dhammavinayo; dhammabhūto hi bhagavā, tasseva vinayo. Yasmā vā dhammāyeva abhiññeyyā pariññeyyā pahātabbā bhāvetabbā sacchikātabbā ca, tasmā esa dhammesu vinayo, na sattesu, na jīvesu cāti dhammavinayo. Sātthasabyañjanatādīhi aññesaṃ vacanato padhānaṃ vacananti pavacanaṃ; pavacanameva pāvacanaṃ. Sabbacariyāhi visiṭṭhacariyābhāvena brahmacariyaṃ. Devamanussānaṃ satthubhūtassa bhagavato sāsananti satthusāsanaṃ; satthubhūtaṃ vā sāsanantipi satthusāsanaṃ. ‘‘So vo mamaccayena satthā’’ti (dī. ni. 2.216) hi dhammavinayova satthāti vuttoti evametesaṃ padānaṃ attho veditabbo.
ยสฺมา ปน อิมสฺมิํเยว สาสเน สพฺพปการชฺฌานนิพฺพตฺตโก ภิกฺขุ ทิสฺสติ, น อญฺญตฺร, ตสฺมา ตตฺถ ตตฺถ ‘อิมิสฺสา’ติ จ ‘อิมสฺมิ’นฺติ จ อยํ นิยโม กโตติ เวทิตโพฺพติฯ อยํ ‘อิธา’ติ มาติกาปทนิเทฺทสสฺส อโตฺถฯ
Yasmā pana imasmiṃyeva sāsane sabbapakārajjhānanibbattako bhikkhu dissati, na aññatra, tasmā tattha tattha ‘imissā’ti ca ‘imasmi’nti ca ayaṃ niyamo katoti veditabboti. Ayaṃ ‘idhā’ti mātikāpadaniddesassa attho.
๕๑๐. ภิกฺขุนิเทฺทเส สมญฺญายาติ ปญฺญตฺติยา, โวหาเรนาติ อโตฺถฯ สมญฺญาย เอว หิ เอกโจฺจ ภิกฺขูติ ปญฺญายติฯ ตถา หิ นิมนฺตนาทิมฺหิ ภิกฺขูสุ คณียมาเนสุ สามเณเรปิ คเหตฺวา ‘สตํ ภิกฺขู, สหสฺสํ ภิกฺขู’ติ วทนฺติฯ ปฎิญฺญายาติ อตฺตโน ปฎิชานเนนฯ ปฎิญฺญายปิ หิ เอกโจฺจ ภิกฺขูติ ปญฺญายติฯ ตสฺส ‘‘โก เอตฺถ อาวุโส’’ติ? ‘‘อหํ, อาวุโส, ภิกฺขู’’ติ เอวมาทีสุ (อ. นิ. ๑๐.๙๖) สมฺภโว ทฎฺฐโพฺพฯ อยํ ปน อานนฺทเตฺถเรน วุตฺตตฺตา ธมฺมิกา ปฎิญฺญาฯ รตฺติภาเค ปน ทุสฺสีลาปิ ปฎิปถํ อาคจฺฉนฺตา ‘‘โก เอตฺถา’’ติ วุเตฺต อธมฺมิกาย ปฎิญฺญาย อภูตตฺถาย ‘‘มยํ ภิกฺขู’’ติ วทนฺติฯ
510. Bhikkhuniddese samaññāyāti paññattiyā, vohārenāti attho. Samaññāya eva hi ekacco bhikkhūti paññāyati. Tathā hi nimantanādimhi bhikkhūsu gaṇīyamānesu sāmaṇerepi gahetvā ‘sataṃ bhikkhū, sahassaṃ bhikkhū’ti vadanti. Paṭiññāyāti attano paṭijānanena. Paṭiññāyapi hi ekacco bhikkhūti paññāyati. Tassa ‘‘ko ettha āvuso’’ti? ‘‘Ahaṃ, āvuso, bhikkhū’’ti evamādīsu (a. ni. 10.96) sambhavo daṭṭhabbo. Ayaṃ pana ānandattherena vuttattā dhammikā paṭiññā. Rattibhāge pana dussīlāpi paṭipathaṃ āgacchantā ‘‘ko etthā’’ti vutte adhammikāya paṭiññāya abhūtatthāya ‘‘mayaṃ bhikkhū’’ti vadanti.
ภิกฺขตีติ ยาจติฯ โย หิ โกจิ ภิกฺขติ, ภิกฺขํ เอสติ คเวสติ, โส ตํ ลภตุ วา มา วา, อถ โข ภิกฺขตีติ ภิกฺขุฯ ภิกฺขโกติ พฺยญฺชเนน ปทํ วฑฺฒิตํ; ภิกฺขนธมฺมตาย ภิกฺขูติ อโตฺถฯ ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ พุทฺธาทีหิ อชฺฌุปคตํ ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคตตฺตา ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโต นามฯ โย หิ โกจิ อปฺปํ วา มหนฺตํ วา โภคกฺขนฺธํ ปหาย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต, กสิโครกฺขาทีหิ ชีวิตกปฺปนํ หิตฺวา ลิงฺคสมฺปฎิจฺฉเนเนว ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ ภิกฺขุฯ ปรปฺปฎิพทฺธชีวิกตฺตา วา วิหารมเชฺฌ กาชภตฺตํ ภุญฺชมาโนปิ ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ ภิกฺขุฯ ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชาย อุสฺสาหชาตตฺตา วา ภิกฺขาจริยํ อชฺฌุปคโตติ ภิกฺขุฯ
Bhikkhatīti yācati. Yo hi koci bhikkhati, bhikkhaṃ esati gavesati, so taṃ labhatu vā mā vā, atha kho bhikkhatīti bhikkhu. Bhikkhakoti byañjanena padaṃ vaḍḍhitaṃ; bhikkhanadhammatāya bhikkhūti attho. Bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti buddhādīhi ajjhupagataṃ bhikkhācariyaṃ ajjhupagatattā bhikkhācariyaṃ ajjhupagato nāma. Yo hi koci appaṃ vā mahantaṃ vā bhogakkhandhaṃ pahāya agārasmā anagāriyaṃ pabbajito, kasigorakkhādīhi jīvitakappanaṃ hitvā liṅgasampaṭicchaneneva bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti bhikkhu. Parappaṭibaddhajīvikattā vā vihāramajjhe kājabhattaṃ bhuñjamānopi bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti bhikkhu. Piṇḍiyālopabhojanaṃ nissāya pabbajjāya ussāhajātattā vā bhikkhācariyaṃ ajjhupagatoti bhikkhu.
อคฺฆผสฺสวณฺณเภเทน ภินฺนํ ปฎํ ธาเรตีติ ภินฺนปฎธโรฯ ตตฺถ สตฺถกเจฺฉทเนน อคฺฆเภโท เวทิตโพฺพฯ สหสฺสคฺฆนโกปิ หิ ปโฎ สตฺถเกน ขณฺฑาขณฺฑิกํ ฉิโนฺน ภินฺนโคฺฆ โหติ, ปุริมคฺฆโต อุปฑฺฒมฺปิ น อคฺฆติฯ สุตฺตสํสิพฺพเนน ผสฺสเภโท เวทิตโพฺพฯ สุขสมฺผโสฺสปิ หิ ปโฎ สุเตฺตหิ สํสิพฺพิโต ภินฺนผโสฺส โหติ, ขรสมฺผสฺสตํ ปาปุณาติฯ สูจิมลาทีหิ วณฺณเภโท เวทิตโพฺพฯ สุปริสุโทฺธปิ หิ ปโฎ สูจิกมฺมโต ปฎฺฐาย สูจิมเลน, หตฺถเสทมลชลฺลิกาทีหิ , อวสาเน รชนกปฺปกรเณหิ จ ภินฺนวโณฺณ โหติ, ปกติวณฺณํ วิชหติฯ เอวํ ตีหากาเรหิ ภินฺนปฎธารณโต ภินฺนปฎธโรติ ภิกฺขุฯ คิหีวตฺถวิสภาคานํ วา กาสาวานํ ธารณมเตฺตเนว ภินฺนปฎธโรติ ภิกฺขุฯ
Agghaphassavaṇṇabhedena bhinnaṃ paṭaṃ dhāretīti bhinnapaṭadharo. Tattha satthakacchedanena agghabhedo veditabbo. Sahassagghanakopi hi paṭo satthakena khaṇḍākhaṇḍikaṃ chinno bhinnaggho hoti, purimagghato upaḍḍhampi na agghati. Suttasaṃsibbanena phassabhedo veditabbo. Sukhasamphassopi hi paṭo suttehi saṃsibbito bhinnaphasso hoti, kharasamphassataṃ pāpuṇāti. Sūcimalādīhi vaṇṇabhedo veditabbo. Suparisuddhopi hi paṭo sūcikammato paṭṭhāya sūcimalena, hatthasedamalajallikādīhi , avasāne rajanakappakaraṇehi ca bhinnavaṇṇo hoti, pakativaṇṇaṃ vijahati. Evaṃ tīhākārehi bhinnapaṭadhāraṇato bhinnapaṭadharoti bhikkhu. Gihīvatthavisabhāgānaṃ vā kāsāvānaṃ dhāraṇamatteneva bhinnapaṭadharoti bhikkhu.
ภินฺทติ ปาปเก อกุสเล ธเมฺมติ ภิกฺขุฯ โสตาปตฺติมเคฺคน ปญฺจ กิเลเส ภินฺทตีติ ภิกฺขุฯ สกทาคามิมเคฺคน จตฺตาโร, อนาคามิมเคฺคน จตฺตาโร, อรหตฺตมเคฺคน อฎฺฐ กิเลเส ภินฺทตีติ ภิกฺขุฯ เอตฺตาวตา จตฺตาโร มคฺคฎฺฐา ทสฺสิตาฯ ภินฺนตฺตาติ อิมินา ปน จตฺตาโร ผลฎฺฐาฯ โสตาปโนฺน หิ โสตาปตฺติมเคฺคน ปญฺจ กิเลเส ภินฺทิตฺวา ฐิโตฯ สกทาคามี สกทาคามิมเคฺคน จตฺตาโร, อนาคามี อนาคามิมเคฺคน จตฺตาโร, อรหา อรหตฺตมเคฺคน อฎฺฐ กิเลเส ภินฺทิตฺวา ฐิโตฯ เอวมยํ จตุพฺพิโธ ผลโฎฺฐ ภินฺนตฺตา ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ ภิกฺขุ นามฯ
Bhindati pāpake akusale dhammeti bhikkhu. Sotāpattimaggena pañca kilese bhindatīti bhikkhu. Sakadāgāmimaggena cattāro, anāgāmimaggena cattāro, arahattamaggena aṭṭha kilese bhindatīti bhikkhu. Ettāvatā cattāro maggaṭṭhā dassitā. Bhinnattāti iminā pana cattāro phalaṭṭhā. Sotāpanno hi sotāpattimaggena pañca kilese bhinditvā ṭhito. Sakadāgāmī sakadāgāmimaggena cattāro, anāgāmī anāgāmimaggena cattāro, arahā arahattamaggena aṭṭha kilese bhinditvā ṭhito. Evamayaṃ catubbidho phalaṭṭho bhinnattā pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ bhikkhu nāma.
โอธิโส กิเลสานํ ปหานาติ เอตฺถ เทฺว โอธี – มโคฺคธิ จ กิเลโสธิ จฯ โอธิ นาม สีมา, มริยาทาฯ ตตฺถ โสตาปโนฺน มโคฺคธินา โอธิโส กิเลสานํ ปหานา ภิกฺขุฯ ตสฺส หิ จตูสุ มเคฺคสุ เอเกเนว โอธินา กิเลสา ปหีนา, น สกเลน มคฺคจตุเกฺกนฯ สกทาคามีอนาคามีสุปิ เอเสว นโยฯ โสตาปโนฺน จ กิเลโสธินาปิ โอธิโส กิเลสานํ ปหานา ภิกฺขุฯ ตสฺส หิ ปหาตพฺพกิเลเสสุ โอธินาว กิเลสา ปหีนา, น สเพฺพน สพฺพํฯ อรหา ปน อโนธิโสว กิเลสานํ ปหานา ภิกฺขุฯ ตสฺส หิ มคฺคจตุเกฺกน อโนธินาว กิเลสา ปหีนา, น เอกาย มคฺคสีมายฯ ปหาตพฺพกิเลเสสุ จ อโนธิโสว กิเลสา ปหีนาฯ เอกาปิ หิ กิเลสสีมา ฐิตา นาม นตฺถิฯ เอวํ โส อุภยถาปิ อโนธิโส กิเลสานํ ปหานา ภิกฺขุฯ
Odhiso kilesānaṃ pahānāti ettha dve odhī – maggodhi ca kilesodhi ca. Odhi nāma sīmā, mariyādā. Tattha sotāpanno maggodhinā odhiso kilesānaṃ pahānā bhikkhu. Tassa hi catūsu maggesu ekeneva odhinā kilesā pahīnā, na sakalena maggacatukkena. Sakadāgāmīanāgāmīsupi eseva nayo. Sotāpanno ca kilesodhināpi odhiso kilesānaṃ pahānā bhikkhu. Tassa hi pahātabbakilesesu odhināva kilesā pahīnā, na sabbena sabbaṃ. Arahā pana anodhisova kilesānaṃ pahānā bhikkhu. Tassa hi maggacatukkena anodhināva kilesā pahīnā, na ekāya maggasīmāya. Pahātabbakilesesu ca anodhisova kilesā pahīnā. Ekāpi hi kilesasīmā ṭhitā nāma natthi. Evaṃ so ubhayathāpi anodhiso kilesānaṃ pahānā bhikkhu.
เสโกฺขติ ปุถุชฺชนกลฺยาณเกน สทฺธิํ สตฺต อริยาฯ ติโสฺส สิกฺขา สิกฺขนฺตีติ เสกฺขาฯ เตสุ โย โกจิ เสโกฺข ภิกฺขุติ เวทิตโพฺพฯ น สิกฺขตีติ อเสโกฺขฯ เสกฺขธเมฺม อติกฺกมฺม อคฺคผเล ฐิโต ตโต อุตฺตริ สิกฺขิตพฺพาภาวโต ขีณาสโว อเสโกฺขติ วุจฺจติฯ อวเสโส ปุถุชฺชนภิกฺขุ ติโสฺส สิกฺขา เนว สิกฺขติ, น สิกฺขิตฺวา ฐิโตติ เนวเสกฺขนาเสโกฺขติ เวทิตโพฺพฯ
Sekkhoti puthujjanakalyāṇakena saddhiṃ satta ariyā. Tisso sikkhā sikkhantīti sekkhā. Tesu yo koci sekkho bhikkhuti veditabbo. Na sikkhatīti asekkho. Sekkhadhamme atikkamma aggaphale ṭhito tato uttari sikkhitabbābhāvato khīṇāsavo asekkhoti vuccati. Avaseso puthujjanabhikkhu tisso sikkhā neva sikkhati, na sikkhitvā ṭhitoti nevasekkhanāsekkhoti veditabbo.
สีลคฺคํ สมาธิคฺคํ ปญฺญคฺคํ วิมุตฺตคฺคนฺติ อิทํ อคฺคํ ปตฺวา ฐิตตฺตา อโคฺค ภิกฺขุ นามฯ ภโทฺรติ อปาปโกฯ กลฺยาณปุถุชฺชนาทโย หิ ยาว อรหา ตาว ภเทฺรน สีเลน สมาธินา ปญฺญาย วิมุตฺติยา วิมุตฺติญาณทสฺสเนน จ สมนฺนาคตตฺตา ภโทฺร ภิกฺขูติ สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติฯ มโณฺฑ ภิกฺขูติ ปสโนฺน ภิกฺขุ; สปฺปิมโณฺฑ วิย อนาวิโล วิปฺปสโนฺนติ อโตฺถฯ สาโรติ เตหิเยว สีลสาราทีหิ สมนฺนาคตตฺตา, นีลสมนฺนาคเมน นีโล ปโฎ วิย, สาโร ภิกฺขูติ เวทิตโพฺพฯ วิคตกิเลสเผคฺคุภาวโต วา ขีณาสโวว สาโรติ เวทิตโพฺพฯ
Sīlaggaṃ samādhiggaṃ paññaggaṃ vimuttagganti idaṃ aggaṃ patvā ṭhitattā aggo bhikkhu nāma. Bhadroti apāpako. Kalyāṇaputhujjanādayo hi yāva arahā tāva bhadrena sīlena samādhinā paññāya vimuttiyā vimuttiñāṇadassanena ca samannāgatattā bhadro bhikkhūti saṅkhyaṃ gacchanti. Maṇḍo bhikkhūti pasanno bhikkhu; sappimaṇḍo viya anāvilo vippasannoti attho. Sāroti tehiyeva sīlasārādīhi samannāgatattā, nīlasamannāgamena nīlo paṭo viya, sāro bhikkhūti veditabbo. Vigatakilesapheggubhāvato vā khīṇāsavova sāroti veditabbo.
ตตฺถ จ ‘‘ภินฺทติ ปาปเก อกุสเล ธเมฺมติ ภิกฺขุ, โอธิโส กิเลสานํ ปหานา ภิกฺขุ, เสโกฺข ภิกฺขู’’ติ อิเมสุ ตีสุ ฐาเนสุ สตฺต เสกฺขา กถิตาฯ ‘‘ภินฺนตฺตา ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานนฺติ ภิกฺขุ, อโนธิโส กิเลสานํ ปหานา ภิกฺขุ, อเสโกฺข ภิกฺขุ, อโคฺค ภิกฺขุ, มโณฺฑ ภิกฺขู’’ติ อิเมสุ ปญฺจสุ ฐาเนสุ ขีณาสโวว กถิโตฯ ‘‘เนวเสกฺขนาเสโกฺข’’ติ เอตฺถ ปุถุชฺชโนว กถิโตฯ เสสฎฺฐาเนสุ ปุถุชฺชนกลฺยาณโก, สตฺต เสกฺขา, ขีณาสโวติ อิเม สเพฺพปิ กถิตาฯ
Tattha ca ‘‘bhindati pāpake akusale dhammeti bhikkhu, odhiso kilesānaṃ pahānā bhikkhu, sekkho bhikkhū’’ti imesu tīsu ṭhānesu satta sekkhā kathitā. ‘‘Bhinnattā pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānanti bhikkhu, anodhiso kilesānaṃ pahānā bhikkhu, asekkho bhikkhu, aggo bhikkhu, maṇḍo bhikkhū’’ti imesu pañcasu ṭhānesu khīṇāsavova kathito. ‘‘Nevasekkhanāsekkho’’ti ettha puthujjanova kathito. Sesaṭṭhānesu puthujjanakalyāṇako, satta sekkhā, khīṇāsavoti ime sabbepi kathitā.
เอวํ สมญฺญาทีหิ ภิกฺขุํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อุปสมฺปทาวเสน ทเสฺสตุํ สมเคฺคน สเงฺฆนาติอาทิมาหฯ ตตฺถ สมเคฺคน สเงฺฆนาติ สพฺพนฺติเมน ปริเจฺฉเทน ปญฺจวคฺคกรณีเย กเมฺม ยาวติกา ภิกฺขู กมฺมปฺปตฺตา, เตสํ อาคตตฺตา ฉนฺทารหานํ ฉนฺทสฺส อาหฎตฺตา สมฺมุขีภูตานญฺจ อปฺปฎิโกฺกสนโต เอกสฺมิํ กเมฺม สมคฺคภาวํ อุปคเตนฯ ญตฺติจตุเตฺถนาติ ตีหิ อนุสฺสาวนาหิ เอกาย จ ญตฺติยา กาตเพฺพนฯ กเมฺมนาติ ธมฺมิเกน วินยกเมฺมนฯ อกุเปฺปนาติ วตฺถุญตฺติอนุสฺสาวนสีมาปริสสมฺปตฺติสมฺปนฺนตฺตา อโกเปตพฺพตํ อปฺปฎิโกฺกสิตพฺพตํ อุปคเตนฯ ฐานารเหนาติ การณารเหน สตฺถุสาสนารเหนฯ
Evaṃ samaññādīhi bhikkhuṃ dassetvā idāni upasampadāvasena dassetuṃ samaggena saṅghenātiādimāha. Tattha samaggena saṅghenāti sabbantimena paricchedena pañcavaggakaraṇīye kamme yāvatikā bhikkhū kammappattā, tesaṃ āgatattā chandārahānaṃ chandassa āhaṭattā sammukhībhūtānañca appaṭikkosanato ekasmiṃ kamme samaggabhāvaṃ upagatena. Ñatticatutthenāti tīhi anussāvanāhi ekāya ca ñattiyā kātabbena. Kammenāti dhammikena vinayakammena. Akuppenāti vatthuñattianussāvanasīmāparisasampattisampannattā akopetabbataṃ appaṭikkositabbataṃ upagatena. Ṭhānārahenāti kāraṇārahena satthusāsanārahena.
อุปสมฺปโนฺน นาม อุปริภาวํ สมาปโนฺน, ปโตฺตติ อโตฺถฯ ภิกฺขุภาโว หิ อุปริภาโวฯ ตเญฺจส ยถาวุเตฺตน กเมฺมน สมาปนฺนตฺตา อุปสมฺปโนฺนติ วุจฺจติฯ เอเตน ยา อิมา เอหิภิกฺขูปสมฺปทา, สรณาคมนูปสมฺปทา, โอวาทปฎิคฺคหณูปสมฺปทา, ปญฺหพฺยากรณูปสมฺปทา, ครุธมฺมปฎิคฺคหณูปสมฺปทา, ทูเตนูปสมฺปทา, อฎฺฐวาจิกูปสมฺปทา, ญตฺติจตุตฺถกมฺมูปสมฺปทาติ อฎฺฐ อุปสมฺปทา วุตฺตา, ตาสํ ญตฺติจตุตฺถกมฺมูปสมฺปทา, ทูเตนูปสมฺปทา, อฎฺฐวาจิกูปสมฺปทาติ อิมา ติโสฺสว ถาวราฯ เสสา พุเทฺธ ธรมาเนเยว อเหสุํฯ ตาสุ อุปสมฺปทาสุ อิมสฺมิํ ฐาเน อยํ ญตฺติจตุตฺถกมฺมูปสมฺปทาว อธิเปฺปตาฯ
Upasampanno nāma uparibhāvaṃ samāpanno, pattoti attho. Bhikkhubhāvo hi uparibhāvo. Tañcesa yathāvuttena kammena samāpannattā upasampannoti vuccati. Etena yā imā ehibhikkhūpasampadā, saraṇāgamanūpasampadā, ovādapaṭiggahaṇūpasampadā, pañhabyākaraṇūpasampadā, garudhammapaṭiggahaṇūpasampadā, dūtenūpasampadā, aṭṭhavācikūpasampadā, ñatticatutthakammūpasampadāti aṭṭha upasampadā vuttā, tāsaṃ ñatticatutthakammūpasampadā, dūtenūpasampadā, aṭṭhavācikūpasampadāti imā tissova thāvarā. Sesā buddhe dharamāneyeva ahesuṃ. Tāsu upasampadāsu imasmiṃ ṭhāne ayaṃ ñatticatutthakammūpasampadāva adhippetā.
๕๑๑. ปาติโมกฺขสํวรนิเทฺทเส ปาติโมกฺขนฺติ สิกฺขาปทสีลํฯ ตญฺหิ, โย นํ ปาติ รกฺขติ, ตํ โมเกฺขติ โมจยติ อาปายิกาทีหิ ทุเกฺขหิ, ตสฺมา ปาติโมกฺขนฺติ วุตฺตํฯ สีลํ ปติฎฺฐาติอาทีนิ ตเสฺสว เววจนานิฯ ตตฺถ สีลนฺติ กามเญฺจตํ สห กมฺมวาจาปริโยสาเนน อิชฺฌนกสฺส ปาติโมกฺขสฺส เววจนํ, เอวํ สเนฺตปิ ธมฺมโต เอตํ สีลํ นาม ปาณาติปาตาทีหิ วา วิรมนฺตสฺส วตฺตปฺปฎิปตฺติํ วา ปูเรนฺตสฺส เจตนาทโย ธมฺมา เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ ปฎิสมฺภิทายํ ‘‘กิํ สีล’’นฺติ? เจตนา สีลํ, เจตสิกํ สีลํ, สํวโร สีลํ, อวีติกฺกโม สีล’’นฺติ (ปฎิ. ม. ๑.๓๙)ฯ
511. Pātimokkhasaṃvaraniddese pātimokkhanti sikkhāpadasīlaṃ. Tañhi, yo naṃ pāti rakkhati, taṃ mokkheti mocayati āpāyikādīhi dukkhehi, tasmā pātimokkhanti vuttaṃ. Sīlaṃ patiṭṭhātiādīni tasseva vevacanāni. Tattha sīlanti kāmañcetaṃ saha kammavācāpariyosānena ijjhanakassa pātimokkhassa vevacanaṃ, evaṃ santepi dhammato etaṃ sīlaṃ nāma pāṇātipātādīhi vā viramantassa vattappaṭipattiṃ vā pūrentassa cetanādayo dhammā veditabbā. Vuttañhetaṃ paṭisambhidāyaṃ ‘‘kiṃ sīla’’nti? Cetanā sīlaṃ, cetasikaṃ sīlaṃ, saṃvaro sīlaṃ, avītikkamo sīla’’nti (paṭi. ma. 1.39).
ตตฺถ เจตนา สีลํ นาม ปาณาติปาตาทีหิ วา วิรมนฺตสฺส วตฺตปฎิปตฺติํ วา ปูเรนฺตสฺส เจตนาฯ เจตสิกํ สีลํ นาม ปาณาติปาตาทีหิ วิรมนฺตสฺส วิรติฯ อปิจ เจตนา สีลํ นาม ปาณาติปาตาทีนิ ปชหนฺตสฺส สตฺต กมฺมปถเจตนาฯ เจตสิกํ สีลํ นาม ‘‘อภิชฺฌํ ปหาย วิคตาภิเชฺฌน เจตสา วิหรตี’’ติอาทินา นเยน สํยุตฺตมหาวเคฺค วุตฺตา อนภิชฺฌาอพฺยาปาทสมฺมาทิฎฺฐิธมฺมาฯ สํวโร สีลนฺติ เอตฺถ ปญฺจวิเธน สํวโร เวทิตโพฺพ – ปาติโมกฺขสํวโร, สติสํวโร, ญาณสํวโร , ขนฺติสํวโร, วีริยสํวโรติฯ ตสฺส นานากรณํ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๖) วุตฺตํฯ อวีติกฺกโม สีลนฺติ สมาทิณฺณสีลสฺส กายิกวาจสิโก อวีติกฺกโมฯ เอตฺถ จ สํวรสีลํ อวีติกฺกมสีลนฺติ อิทเมว นิปฺปริยายโต สีลํ; เจตนา สีลํ เจตสิกํ สีลนฺติ ปริยายโต สีลนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Tattha cetanā sīlaṃ nāma pāṇātipātādīhi vā viramantassa vattapaṭipattiṃ vā pūrentassa cetanā. Cetasikaṃ sīlaṃ nāma pāṇātipātādīhi viramantassa virati. Apica cetanā sīlaṃ nāma pāṇātipātādīni pajahantassa satta kammapathacetanā. Cetasikaṃ sīlaṃ nāma ‘‘abhijjhaṃ pahāya vigatābhijjhena cetasā viharatī’’tiādinā nayena saṃyuttamahāvagge vuttā anabhijjhāabyāpādasammādiṭṭhidhammā. Saṃvaro sīlanti ettha pañcavidhena saṃvaro veditabbo – pātimokkhasaṃvaro, satisaṃvaro, ñāṇasaṃvaro , khantisaṃvaro, vīriyasaṃvaroti. Tassa nānākaraṇaṃ visuddhimagge (visuddhi. 1.6) vuttaṃ. Avītikkamo sīlanti samādiṇṇasīlassa kāyikavācasiko avītikkamo. Ettha ca saṃvarasīlaṃ avītikkamasīlanti idameva nippariyāyato sīlaṃ; cetanā sīlaṃ cetasikaṃ sīlanti pariyāyato sīlanti veditabbaṃ.
ยสฺมา ปน ปาติโมกฺขสํวรสีเลน ภิกฺขุ สาสเน ปติฎฺฐาติ นาม, ตสฺมา ตํ ‘ปติฎฺฐา’ติ วุตฺตํ; ปติฎฺฐหติ วา เอตฺถ ภิกฺขุ, กุสลธมฺมา เอว วา เอตฺถ ปติฎฺฐหนฺตีติ ปติฎฺฐาฯ อยมโตฺถ –
Yasmā pana pātimokkhasaṃvarasīlena bhikkhu sāsane patiṭṭhāti nāma, tasmā taṃ ‘patiṭṭhā’ti vuttaṃ; patiṭṭhahati vā ettha bhikkhu, kusaladhammā eva vā ettha patiṭṭhahantīti patiṭṭhā. Ayamattho –
‘‘สีเล ปติฎฺฐาย นโร สปโญฺญ, จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ;
‘‘Sīle patiṭṭhāya naro sapañño, cittaṃ paññañca bhāvayaṃ;
อาตาปี นิปโก ภิกฺขุ, โส อิมํ วิชฎเย ชฎ’’นฺติ จฯ (สํ. นิ. ๑.๒๓);
Ātāpī nipako bhikkhu, so imaṃ vijaṭaye jaṭa’’nti ca. (saṃ. ni. 1.23);
‘‘ปติฎฺฐา , มหาราช, สีลํ สเพฺพสํ กุสลธมฺมาน’’นฺติ จ ‘‘สีเล ปติฎฺฐิตสฺส โข, มหาราช, สเพฺพ กุสลา ธมฺมา น ปริหายนฺตี’’ติ (มิ. ป. ๒.๑.๙) จ อาทิสุตฺตวเสน เวทิตโพฺพฯ
‘‘Patiṭṭhā , mahārāja, sīlaṃ sabbesaṃ kusaladhammāna’’nti ca ‘‘sīle patiṭṭhitassa kho, mahārāja, sabbe kusalā dhammā na parihāyantī’’ti (mi. pa. 2.1.9) ca ādisuttavasena veditabbo.
ตเทตํ ปุพฺพุปฺปตฺติอเตฺถน อาทิฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Tadetaṃ pubbuppattiatthena ādi. Vuttampi cetaṃ –
‘‘ตสฺมาติห ตฺวํ, อุตฺติย, อาทิเมว วิโสเธหิ กุสเลสุ ธเมฺมสุฯ โก จาทิ กุสลานํ ธมฺมานํ? สีลญฺจ สุวิสุทฺธํ ทิฎฺฐิ จ อุชุกา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๘๒)ฯ
‘‘Tasmātiha tvaṃ, uttiya, ādimeva visodhehi kusalesu dhammesu. Ko cādi kusalānaṃ dhammānaṃ? Sīlañca suvisuddhaṃ diṭṭhi ca ujukā’’ti (saṃ. ni. 5.382).
ยถา หิ นครวฑฺฒกี นครํ มาเปตุกาโม ปฐมํ นครฎฺฐานํ โสเธติ, ตโต อปรภาเค วีถิจตุกฺกสิงฺฆาฎกาทิปริเจฺฉเทน วิภชิตฺวา นครํ มาเปติ; เอวเมว โยคาวจโร อาทิโตว สีลํ วิโสเธติ, ตโต อปรภาเค สมถวิปสฺสนามคฺคผลนิพฺพานานิ สจฺฉิกโรติฯ ยถา วา ปน รชโก ปฐมํ ตีหิ ขาเรหิ วตฺถํ โธวิตฺวา ปริสุเทฺธ วเตฺถ ยทิจฺฉกํ รงฺคชาตํ อุปเนติ; ยถา วา ปน เฉโก จิตฺตกาโร รูปํ ลิขิตุกาโม อาทิโตว ภิตฺติปริกมฺมํ กโรติ, ตโต อปรภาเค รูปํ สมุฎฺฐาเปติ; เอวเมว โยคาวจโร อาทิโตว สีลํ วิโสเธตฺวา อปรภาเค สมถวิปสฺสนาทโย ธเมฺม สจฺฉิกโรติฯ ตสฺมา สีลํ ‘‘อาที’’ติ วุตฺตํฯ
Yathā hi nagaravaḍḍhakī nagaraṃ māpetukāmo paṭhamaṃ nagaraṭṭhānaṃ sodheti, tato aparabhāge vīthicatukkasiṅghāṭakādiparicchedena vibhajitvā nagaraṃ māpeti; evameva yogāvacaro āditova sīlaṃ visodheti, tato aparabhāge samathavipassanāmaggaphalanibbānāni sacchikaroti. Yathā vā pana rajako paṭhamaṃ tīhi khārehi vatthaṃ dhovitvā parisuddhe vatthe yadicchakaṃ raṅgajātaṃ upaneti; yathā vā pana cheko cittakāro rūpaṃ likhitukāmo āditova bhittiparikammaṃ karoti, tato aparabhāge rūpaṃ samuṭṭhāpeti; evameva yogāvacaro āditova sīlaṃ visodhetvā aparabhāge samathavipassanādayo dhamme sacchikaroti. Tasmā sīlaṃ ‘‘ādī’’ti vuttaṃ.
ตเทตํ จรณสริกฺขตาย จรณํฯ จรณาติ หิ ปาทา วุจฺจนฺติฯ ยถา หิ ฉินฺนจรณสฺส ปุริสสฺส ทิสํคมนาภิสงฺขาโร น ชายติ, ปริปุณฺณปาทเสฺสว ชายติ; เอวเมว ยสฺส สีลํ ภินฺนํ โหติ ขณฺฑํ อปริปุณฺณํ, ตสฺส นิพฺพานคมนาย ญาณคมนํ น สมฺปชฺชติฯ ยสฺส ปน ตํ อภินฺนํ โหติ อกฺขณฺฑํ ปริปุณฺณํ ตสฺส นิพฺพานคมนาย ญาณคมนํ สมฺปชฺชติฯ ตสฺมา สีลํ ‘‘จรณ’’นฺติ วุตฺตํฯ
Tadetaṃ caraṇasarikkhatāya caraṇaṃ. Caraṇāti hi pādā vuccanti. Yathā hi chinnacaraṇassa purisassa disaṃgamanābhisaṅkhāro na jāyati, paripuṇṇapādasseva jāyati; evameva yassa sīlaṃ bhinnaṃ hoti khaṇḍaṃ aparipuṇṇaṃ, tassa nibbānagamanāya ñāṇagamanaṃ na sampajjati. Yassa pana taṃ abhinnaṃ hoti akkhaṇḍaṃ paripuṇṇaṃ tassa nibbānagamanāya ñāṇagamanaṃ sampajjati. Tasmā sīlaṃ ‘‘caraṇa’’nti vuttaṃ.
ตเทตํ สํยมนวเสน สํยโม, สํวรณวเสน สํวโรฯ อุภเยนาปิ สีลสํยโม เจว สีลสํวโร จ กถิโตฯ วจนโตฺถ ปเนตฺถ สํยเมติ วีติกฺกมวิปฺผนฺทนํ, ปุคฺคลํ วา สํยเมติ, วีติกฺกมวเสน ตสฺส วิปฺผนฺทิตุํ น เทตีติ สํยโมฯ วีติกฺกมสฺส ปเวสนทฺวารํ สํวรติ ปิทหตีติปิ สํวโรฯ โมกฺขนฺติ อุตฺตมํ มุขภูตํ วาฯ ยถา หิ สตฺตานํ จตุพฺพิโธ อาหาโร มุเขน ปวิสิตฺวา องฺคมงฺคานิ ผรติ, เอวํ โยคิโนปิ จตุภูมกกุสลํ สีลมุเขน ปวิสิตฺวา อตฺถสิทฺธิํ สมฺปาเทติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘โมกฺข’’นฺติฯ ปมุเข สาธูติ ปาโมกฺขํ; ปุพฺพงฺคมํ เสฎฺฐํ ปธานนฺติ อโตฺถฯ กุสลานํ ธมฺมานํ สมาปตฺติยาติ จตุภูมกกุสลานํ ปฎิลาภตฺถาย ปาโมกฺขํ ปุพฺพงฺคมํ เสฎฺฐํ ปธานนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Tadetaṃ saṃyamanavasena saṃyamo, saṃvaraṇavasena saṃvaro. Ubhayenāpi sīlasaṃyamo ceva sīlasaṃvaro ca kathito. Vacanattho panettha saṃyameti vītikkamavipphandanaṃ, puggalaṃ vā saṃyameti, vītikkamavasena tassa vipphandituṃ na detīti saṃyamo. Vītikkamassa pavesanadvāraṃ saṃvarati pidahatītipi saṃvaro. Mokkhanti uttamaṃ mukhabhūtaṃ vā. Yathā hi sattānaṃ catubbidho āhāro mukhena pavisitvā aṅgamaṅgāni pharati, evaṃ yoginopi catubhūmakakusalaṃ sīlamukhena pavisitvā atthasiddhiṃ sampādeti. Tena vuttaṃ ‘‘mokkha’’nti. Pamukhe sādhūti pāmokkhaṃ; pubbaṅgamaṃ seṭṭhaṃ padhānanti attho. Kusalānaṃ dhammānaṃ samāpattiyāti catubhūmakakusalānaṃ paṭilābhatthāya pāmokkhaṃ pubbaṅgamaṃ seṭṭhaṃ padhānanti veditabbaṃ.
กายิโก อวีติกฺกโมติ ติวิธํ กายสุจริตํฯ วาจสิโกติ จตุพฺพิธํ วจีสุจริตํฯ กายิกวาจสิโกติ ตทุภยํฯ อิมินา อาชีวฎฺฐมกสีลํ ปริยาทาย ทเสฺสติฯ สํวุโตติ ปิหิโต; สํวุตินฺทฺริโย ปิหิตินฺทฺริโยติ อโตฺถฯ ยถา หิ สํวุตทฺวารํ เคหํ ‘‘สํวุตเคหํ ปิหิตเคห’’นฺติ วุจฺจติ, เอวมิธ สํวุตินฺทฺริโย ‘‘สํวุโต’’ติ วุโตฺตฯ ปาติโมกฺขสํวเรนาติ ปาติโมเกฺขน จ สํวเรน จ, ปาติโมกฺขสงฺขาเตน วา สํวเรนฯ อุเปโตติอาทีนิ วุตฺตตฺถาเนวฯ
Kāyiko avītikkamoti tividhaṃ kāyasucaritaṃ. Vācasikoti catubbidhaṃ vacīsucaritaṃ. Kāyikavācasikoti tadubhayaṃ. Iminā ājīvaṭṭhamakasīlaṃ pariyādāya dasseti. Saṃvutoti pihito; saṃvutindriyo pihitindriyoti attho. Yathā hi saṃvutadvāraṃ gehaṃ ‘‘saṃvutagehaṃ pihitageha’’nti vuccati, evamidha saṃvutindriyo ‘‘saṃvuto’’ti vutto. Pātimokkhasaṃvarenāti pātimokkhena ca saṃvarena ca, pātimokkhasaṅkhātena vā saṃvarena. Upetotiādīni vuttatthāneva.
๕๑๒. อิริยตีติอาทีหิ สตฺตหิปิ ปเทหิ ปาติโมกฺขสํวรสีเล ฐิตสฺส ภิกฺขุโน อิริยาปถวิหาโร กถิโตฯ
512. Iriyatītiādīhi sattahipi padehi pātimokkhasaṃvarasīle ṭhitassa bhikkhuno iriyāpathavihāro kathito.
๕๑๓. อาจารโคจรนิเทฺทเส กิญฺจาปิ ภควา สมณาจรํ สมณโคจรํ กเถตุกาโม ‘‘อาจารโคจรสมฺปโนฺนติ อตฺถิ อาจาโร, อตฺถิ อนาจาโร’’ติ ปทํ อุทฺธริฯ ยถา ปน มคฺคกุสโล ปุริโส มคฺคํ อจิกฺขโนฺต ‘วามํ มุญฺจ ทกฺขิณํ คณฺหา’ติ ปฐมํ มุญฺจิตพฺพํ สภยมคฺคํ อุปฺปถมคฺคํ อาจิกฺขติ , ปจฺฉา คเหตพฺพํ เขมมคฺคํ อุชุมคฺคํ; เอวเมว มคฺคกุสลปุริสสทิโส ธมฺมราชา ปฐมํ ปหาตพฺพํ พุทฺธปฺปฎิกุฎฺฐํ อนาจารํ อาจิกฺขิตฺวา ปจฺฉา อาจารํ อาจิกฺขิตุกาโม ‘‘ตตฺถ กตโม อนาจาโร’’ติอาทิมาหฯ ปุริเสน หิ อาจิกฺขิตมโคฺค สมฺปเชฺชยฺย วา น วา, ตถาคเตน อาจิกฺขิตมโคฺค อปณฺณโก, อิเนฺทน วิสฺสฎฺฐํ วชิรํ วิย, อวิรชฺฌนโก นิพฺพานนครํเยว สโมสรติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ปุริโส มคฺคกุสโลติ โข, ติสฺส, ตถาคตเสฺสตํ อธิวจนํ อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสา’’ติ (สํ. นิ. ๓.๘๔)ฯ
513. Ācāragocaraniddese kiñcāpi bhagavā samaṇācaraṃ samaṇagocaraṃ kathetukāmo ‘‘ācāragocarasampannoti atthi ācāro, atthi anācāro’’ti padaṃ uddhari. Yathā pana maggakusalo puriso maggaṃ acikkhanto ‘vāmaṃ muñca dakkhiṇaṃ gaṇhā’ti paṭhamaṃ muñcitabbaṃ sabhayamaggaṃ uppathamaggaṃ ācikkhati , pacchā gahetabbaṃ khemamaggaṃ ujumaggaṃ; evameva maggakusalapurisasadiso dhammarājā paṭhamaṃ pahātabbaṃ buddhappaṭikuṭṭhaṃ anācāraṃ ācikkhitvā pacchā ācāraṃ ācikkhitukāmo ‘‘tattha katamo anācāro’’tiādimāha. Purisena hi ācikkhitamaggo sampajjeyya vā na vā, tathāgatena ācikkhitamaggo apaṇṇako, indena vissaṭṭhaṃ vajiraṃ viya, avirajjhanako nibbānanagaraṃyeva samosarati. Tena vuttaṃ – ‘‘puriso maggakusaloti kho, tissa, tathāgatassetaṃ adhivacanaṃ arahato sammāsambuddhassā’’ti (saṃ. ni. 3.84).
ยสฺมา วา สสีสํ นหาเนน ปหีนเสทมลชลฺลิกสฺส ปุริสสฺส มาลาคนฺธวิเลปนาทิวิภูสนวิธานํ วิย ปหีนปาปธมฺมสฺส กลฺยาณธมฺมสมาโยโค สมฺปนฺนรูโป โหติ, ตสฺมา เสทมลชลฺลิกฺกํ วิย ปหาตพฺพํ ปฐมํ อนาจารํ อาจิกฺขิตฺวา, ปหีนเสทมลชลฺลิกสฺส มาลาคนฺธวิเลปนาทิวิภูสนวิธานํ วิย ปจฺฉา อาจารํ อาจิกฺขิตุกาโมปิ ตตฺถ กตโม อนาจาโรติอาทิมาหฯ ตตฺถ กายิโก วีติกฺกโมติ ติวิธํ กายทุจฺจริตํ; วาจสิโก วีติกฺกโมติ จตุพฺพิธํ วจีทุจฺจริตํ; กายิกวาจสิโก วีติกฺกโมติ ตทุภยํฯ เอวํ อาชีวฎฺฐมกสีลเสฺสว วีติกฺกมํ ทเสฺสสิฯ
Yasmā vā sasīsaṃ nahānena pahīnasedamalajallikassa purisassa mālāgandhavilepanādivibhūsanavidhānaṃ viya pahīnapāpadhammassa kalyāṇadhammasamāyogo sampannarūpo hoti, tasmā sedamalajallikkaṃ viya pahātabbaṃ paṭhamaṃ anācāraṃ ācikkhitvā, pahīnasedamalajallikassa mālāgandhavilepanādivibhūsanavidhānaṃ viya pacchā ācāraṃ ācikkhitukāmopi tattha katamo anācārotiādimāha. Tattha kāyiko vītikkamoti tividhaṃ kāyaduccaritaṃ; vācasiko vītikkamoti catubbidhaṃ vacīduccaritaṃ; kāyikavācasiko vītikkamoti tadubhayaṃ. Evaṃ ājīvaṭṭhamakasīlasseva vītikkamaṃ dassesi.
ยสฺมา ปน น เกวลํ กายวาจาหิ เอว อนาจารํ อาจรติ, มนสาปิ อาจรติ เอว, ตสฺมา ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สพฺพมฺปิ ทุสฺสีลฺยํ อนาจาโร’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ เอกจฺจิยํ อนาจารํ วิภชิตฺวา ทเสฺสโนฺต อิเธกโจฺจ เวฬุทาเนนาติอาทิมาหฯ ตตฺถ เวฬุทาเนนาติ ปจฺจยเหตุเกน เวฬุทาเนนฯ วิหาเร อุฎฺฐิตญฺหิ อรญฺญโต วา อาหริตฺวา รกฺขิตโคปิตํ เวฬุํ ‘เอวํ เม ปจฺจยํ ทสฺสนฺตี’ติ อุปฎฺฐากานํ ทาตุํ น วฎฺฎติฯ เอวญฺหิ ชีวิตํ กเปฺปโนฺต อเนสนาย มิจฺฉาชีเวน ชีวติฯ โส ทิเฎฺฐว ธเมฺม ครหํ ปาปุณาติ, สมฺปราเย จ อปายปริปูรโก โหติฯ อตฺตโน ปุคฺคลิกเวฬุํ กุลสงฺคหตฺถาย ททโนฺต กุลทูสกทุกฺกฎมาปชฺชติ; ปรปุคฺคลิกํ เถยฺยจิเตฺตน ททมาโน ภณฺฑเคฺฆน กาเรตโพฺพฯ สงฺฆิเกปิ เอเสว นโยฯ สเจ ปน ตํ อิสฺสรวตาย เทติ ครุภณฺฑวิสฺสชฺชนมาปชฺชติ ฯ
Yasmā pana na kevalaṃ kāyavācāhi eva anācāraṃ ācarati, manasāpi ācarati eva, tasmā taṃ dassetuṃ ‘‘sabbampi dussīlyaṃ anācāro’’ti vuttaṃ. Tattha ekacciyaṃ anācāraṃ vibhajitvā dassento idhekacco veḷudānenātiādimāha. Tattha veḷudānenāti paccayahetukena veḷudānena. Vihāre uṭṭhitañhi araññato vā āharitvā rakkhitagopitaṃ veḷuṃ ‘evaṃ me paccayaṃ dassantī’ti upaṭṭhākānaṃ dātuṃ na vaṭṭati. Evañhi jīvitaṃ kappento anesanāya micchājīvena jīvati. So diṭṭheva dhamme garahaṃ pāpuṇāti, samparāye ca apāyaparipūrako hoti. Attano puggalikaveḷuṃ kulasaṅgahatthāya dadanto kuladūsakadukkaṭamāpajjati; parapuggalikaṃ theyyacittena dadamāno bhaṇḍagghena kāretabbo. Saṅghikepi eseva nayo. Sace pana taṃ issaravatāya deti garubhaṇḍavissajjanamāpajjati .
กตโร ปน เวฬุ ครุภณฺฑํ โหติ, กตโร น โหตีติ? โย ตาว อโรปิโม สยํชาตโก, โส สเงฺฆน ปริจฺฉินฺนฎฺฐาเนเยว ครุภณฺฑํ, ตโต ปรํ น ครุภณฺฑํ; โรปิตฎฺฐาเน สเพฺพน สพฺพํ ครุภณฺฑํฯ โส ปน ปมาเณน ปริจฺฉิโนฺน เตลนาฬิปฺปมาโณปิ ครุภณฺฑํ, น ตโต เหฎฺฐาฯ ยสฺส ปน ภิกฺขุโน เตลนาฬิยา วา กตฺตรทเณฺฑน วา อโตฺถ, เตน ผาติกมฺมํ กตฺวา คเหตโพฺพฯ ผาติกมฺมํ ตทคฺฆนกํ วา อติเรกํ วา วฎฺฎติ, อูนกํ น วฎฺฎติฯ หตฺถกมฺมมฺปิ อุทกาหรณมตฺตํ วา อปฺปหริตกรณมตฺตํ วา น วฎฺฎติ, ตํ ถาวรํ กาตุํ วฎฺฎติฯ ตสฺมา โปกฺขรณิโต วา ปํสุํ อุทฺธริตฺวา โสปานํ วา อตฺถราเปตฺวา วิสมฎฺฐานํ วา สมํ กตฺวา คเหตุํ วฎฺฎติฯ ผาติกมฺมํ อกตฺวา คหิโต ตตฺถ วสเนฺตเนว ปริภุญฺชิตโพฺพ; ปกฺกมเนฺตน สงฺฆิกํ กตฺวา ฐเปตฺวา คนฺตพฺพํฯ อสติยา คเหตฺวา คเตน ยตฺถ คโต สรติ, ตโต ปจฺจาหริตโพฺพฯ สเจ อนฺตรา ภยํ โหติ, สมฺปตฺตวิหเร ฐเปตฺวา คนฺตพฺพํฯ
Kataro pana veḷu garubhaṇḍaṃ hoti, kataro na hotīti? Yo tāva aropimo sayaṃjātako, so saṅghena paricchinnaṭṭhāneyeva garubhaṇḍaṃ, tato paraṃ na garubhaṇḍaṃ; ropitaṭṭhāne sabbena sabbaṃ garubhaṇḍaṃ. So pana pamāṇena paricchinno telanāḷippamāṇopi garubhaṇḍaṃ, na tato heṭṭhā. Yassa pana bhikkhuno telanāḷiyā vā kattaradaṇḍena vā attho, tena phātikammaṃ katvā gahetabbo. Phātikammaṃ tadagghanakaṃ vā atirekaṃ vā vaṭṭati, ūnakaṃ na vaṭṭati. Hatthakammampi udakāharaṇamattaṃ vā appaharitakaraṇamattaṃ vā na vaṭṭati, taṃ thāvaraṃ kātuṃ vaṭṭati. Tasmā pokkharaṇito vā paṃsuṃ uddharitvā sopānaṃ vā attharāpetvā visamaṭṭhānaṃ vā samaṃ katvā gahetuṃ vaṭṭati. Phātikammaṃ akatvā gahito tattha vasanteneva paribhuñjitabbo; pakkamantena saṅghikaṃ katvā ṭhapetvā gantabbaṃ. Asatiyā gahetvā gatena yattha gato sarati, tato paccāharitabbo. Sace antarā bhayaṃ hoti, sampattavihare ṭhapetvā gantabbaṃ.
มนุสฺสา วิหารํ คนฺตฺวา เวฬุํ ยาจนฺติฯ ภิกฺขู ‘สงฺฆิโก’ติ ทาตุํ น วิสหนฺติฯ มนุสฺสา ปุนปฺปุนํ ยาจนฺติ วา ตเชฺชนฺติ วาฯ ตทา ภิกฺขูหิ ‘ทณฺฑกมฺมํ กตฺวา คณฺหถา’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติ; เวฬุทานํ นาม น โหติฯ สเจ เต ทณฺฑกมฺมตฺถาย วาสิผรสุอาทีนิ วา ขาทนียโภชนียํ วา เทนฺติ, คเหตุํ น วฎฺฎติฯ วินยฎฺฐกถายํ ปน ‘‘ทฑฺฒเคหา มนุสฺสา คณฺหิตฺวา คจฺฉนฺตา น วาเรตพฺพา’’ติ วุตฺตํฯ
Manussā vihāraṃ gantvā veḷuṃ yācanti. Bhikkhū ‘saṅghiko’ti dātuṃ na visahanti. Manussā punappunaṃ yācanti vā tajjenti vā. Tadā bhikkhūhi ‘daṇḍakammaṃ katvā gaṇhathā’ti vattuṃ vaṭṭati; veḷudānaṃ nāma na hoti. Sace te daṇḍakammatthāya vāsipharasuādīni vā khādanīyabhojanīyaṃ vā denti, gahetuṃ na vaṭṭati. Vinayaṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘daḍḍhagehā manussā gaṇhitvā gacchantā na vāretabbā’’ti vuttaṃ.
สเจ สงฺฆสฺส เวฬุคุเมฺพ เวฬุทูสิกา อุปฺปชฺชนฺติ, ตํ อโกฎฺฎาเปนฺตานํ เวฬุ นสฺสติ, กิํ กาตพฺพนฺติ? ภิกฺขาจาเร มนุสฺสานํ อาจิกฺขิตพฺพํฯ สเจ โกเฎฺฎตุํ น อิจฺฉนฺติ ‘สมภาคํ ลภิสฺสถา’ติ วตฺตพฺพา; น อิจฺฉนฺติเยว ‘เทฺว โกฎฺฐาเส ลภิสฺสถา’ติ วตฺตพฺพาฯ เอวมฺปิ อนิจฺฉเนฺตสุ ‘นเฎฺฐน อโตฺถ นตฺถิ, ตุมฺหากํ ขเณ สติ ทณฺฑกมฺมํ กริสฺสถ, โกเฎฺฎตฺวา คณฺหถา’ติ วตฺตพฺพา; เวฬุทานํ นาม น โหติฯ เวฬุคุเมฺพ อคฺคิมฺหิ อุฎฺฐิเตปิ, อุทเกน วุยฺหมานเวฬูสุปิ เอเสว นโยฯ รุเกฺขสุปิ อยเมว กถามโคฺคฯ รุโกฺข ปน สูจิทณฺฑกปฺปมาโณ ครุภณฺฑํ โหติฯ สงฺฆิเก รุเกฺข โกฎฺฎาเปตฺวา สงฺฆํ อนาปุจฺฉิตฺวาปิ สงฺฆิกํ อาวาสํ กาตุํ ลพฺภติฯ วจนปถเจฺฉทนตฺถํ ปน อาปุจฺฉิตฺวาว กาตโพฺพฯ
Sace saṅghassa veḷugumbe veḷudūsikā uppajjanti, taṃ akoṭṭāpentānaṃ veḷu nassati, kiṃ kātabbanti? Bhikkhācāre manussānaṃ ācikkhitabbaṃ. Sace koṭṭetuṃ na icchanti ‘samabhāgaṃ labhissathā’ti vattabbā; na icchantiyeva ‘dve koṭṭhāse labhissathā’ti vattabbā. Evampi anicchantesu ‘naṭṭhena attho natthi, tumhākaṃ khaṇe sati daṇḍakammaṃ karissatha, koṭṭetvā gaṇhathā’ti vattabbā; veḷudānaṃ nāma na hoti. Veḷugumbe aggimhi uṭṭhitepi, udakena vuyhamānaveḷūsupi eseva nayo. Rukkhesupi ayameva kathāmaggo. Rukkho pana sūcidaṇḍakappamāṇo garubhaṇḍaṃ hoti. Saṅghike rukkhe koṭṭāpetvā saṅghaṃ anāpucchitvāpi saṅghikaṃ āvāsaṃ kātuṃ labbhati. Vacanapathacchedanatthaṃ pana āpucchitvāva kātabbo.
ปุคฺคลิกํ กาตุํ ลพฺภติ, น ลพฺภตีติ? น ลพฺภติฯ หตฺถกมฺมสีเสน ปน เอกสฺมิํ เคเห มญฺจฎฺฐานมตฺตํ ลพฺภติ, ตีสุ เคเหสุ เอกํ เคหํ ลภติฯ สเจ ทพฺภสมฺภารา ปุคฺคลิกา โหนฺติ, ภูมิ สงฺฆิกา, เอกํ เคหํ กตฺวา สมภาคํ ลภติ, ทฺวีสุ เคเหสุ เอกํ เคหํ ลภติฯ สงฺฆิกรุเกฺข สงฺฆิกํ อาวาสํ พาเธเนฺต สงฺฆํ อนาปุจฺฉา หาเรตุํ วฎฺฎติ, น วฎฺฎตีติ? วฎฺฎติฯ วจนปถเจฺฉทนตฺถํ ปน อาปุจฺฉิตฺวาว หาเรตโพฺพฯ สเจ รุกฺขํ นิสฺสาย สงฺฆสฺส มหโนฺต ลาโภ โหติ, น หาเรตโพฺพฯ ปุคฺคลิกรุเกฺข สงฺฆิกํ อาวาสํ พาเธเนฺต รุกฺขสามิกสฺส อาจิกฺขิตพฺพํฯ สเจ หริตุํ น อิจฺฉติ, เฉทาเปตฺวา หาเรตโพฺพฯ ‘รุกฺขํ เม เทถา’ติ โจเทนฺตสฺส รุกฺขํ อคฺฆาเปตฺวา มูลํ ทาตพฺพํฯ สงฺฆิเก รุเกฺข ปุคฺคลิกาวาสํ, ปุคฺคลิเก จ ปุคฺคลิกาวาสํ พาเธเนฺตปิ เอเสว นโยฯ วลฺลิยมฺปิ อยเมว กถามโคฺคฯ วลฺลิ ปน ยตฺถ วิกฺกายติ, ทุลฺลภา โหติ, ตตฺถ ครุภณฺฑํฯ สา จ โข อุปฑฺฒพาหุปฺปมาณโต ปฎฺฐาย; ตโต เหฎฺฐา วลฺลิขณฺฑํ ครุภณฺฑํ น โหติฯ
Puggalikaṃ kātuṃ labbhati, na labbhatīti? Na labbhati. Hatthakammasīsena pana ekasmiṃ gehe mañcaṭṭhānamattaṃ labbhati, tīsu gehesu ekaṃ gehaṃ labhati. Sace dabbhasambhārā puggalikā honti, bhūmi saṅghikā, ekaṃ gehaṃ katvā samabhāgaṃ labhati, dvīsu gehesu ekaṃ gehaṃ labhati. Saṅghikarukkhe saṅghikaṃ āvāsaṃ bādhente saṅghaṃ anāpucchā hāretuṃ vaṭṭati, na vaṭṭatīti? Vaṭṭati. Vacanapathacchedanatthaṃ pana āpucchitvāva hāretabbo. Sace rukkhaṃ nissāya saṅghassa mahanto lābho hoti, na hāretabbo. Puggalikarukkhe saṅghikaṃ āvāsaṃ bādhente rukkhasāmikassa ācikkhitabbaṃ. Sace harituṃ na icchati, chedāpetvā hāretabbo. ‘Rukkhaṃ me dethā’ti codentassa rukkhaṃ agghāpetvā mūlaṃ dātabbaṃ. Saṅghike rukkhe puggalikāvāsaṃ, puggalike ca puggalikāvāsaṃ bādhentepi eseva nayo. Valliyampi ayameva kathāmaggo. Valli pana yattha vikkāyati, dullabhā hoti, tattha garubhaṇḍaṃ. Sā ca kho upaḍḍhabāhuppamāṇato paṭṭhāya; tato heṭṭhā vallikhaṇḍaṃ garubhaṇḍaṃ na hoti.
ปตฺตทานาทีสุปิ ปตฺตทาเนนาติ ปจฺจยเหตุเกน ปตฺตทาเนนาติอาทิ สพฺพํ เวฬุทาเน วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ครุภณฺฑตาย ปเนตฺถ อยํ วินิจฺฉโยฯ ปตฺตมฺปิ หิ ยตฺถ วิกฺกายติ, คนฺธิกาทโย คนฺธปลิเวฐนาทีนํ อตฺถาย คณฺหนฺติ, ตาทิเส ทุลฺลภฎฺฐาเนเยว ครุภณฺฑํ โหติฯ เอส ตาว กิํสุกปตฺตกณฺณปิฬนฺธนตาลปตฺตาทีสุ วินิจฺฉโยฯ
Pattadānādīsupi pattadānenāti paccayahetukena pattadānenātiādi sabbaṃ veḷudāne vuttanayeneva veditabbaṃ. Garubhaṇḍatāya panettha ayaṃ vinicchayo. Pattampi hi yattha vikkāyati, gandhikādayo gandhapaliveṭhanādīnaṃ atthāya gaṇhanti, tādise dullabhaṭṭhāneyeva garubhaṇḍaṃ hoti. Esa tāva kiṃsukapattakaṇṇapiḷandhanatālapattādīsu vinicchayo.
ตาลปณฺณมฺปิ อิมสฺมิํเยว ฐาเน กเถตพฺพํฯ ตาลปณฺณมฺปิ หิ สยํชาเต ตาลวเน สเงฺฆน ปริจฺฉินฺนฎฺฐาเนเยว ครุภณฺฑํ, น ตโต ปรํฯ โรปิมตาเลสุ สพฺพมฺปิ ครุภณฺฑํฯ ตสฺส ปมาณํ เหฎฺฐิมโกฎิยา อฎฺฐงฺคุลปฺปมาโณปิ ริตฺตโปตฺถโกฯ ติณมฺปิ เอเตฺถว ปกฺขิปิตฺวา กเถตพฺพํฯ ยตฺถ ปน ติณํ นตฺถิ ตตฺถ มุญฺชปลาลนาฬิเกรปณฺณาทีหิปิ ฉาเทนฺติฯ ตสฺมา ตานิปิ ติเณเนว สงฺคหิตานิฯ อิติ มุญฺชปลาลาทีสุ ยํกิญฺจิ มุฎฺฐิปฺปมาณํ ติณํ, นาฬิเกรปณฺณาทีสุ จ เอกปณฺณมฺปิ สงฺฆสฺส ทินฺนํ วา ตตฺถชาตกํ วา พหิอาราเม สงฺฆสฺส ติณวตฺถุมฺหิ ชาตติณํ วา รกฺขิตโคปิตํ ครุภณฺฑํ โหติฯ ตํ ปน สงฺฆกเมฺม จ เจติยกเมฺม จ กเต อติเรกํ ปุคฺคลิกกเมฺม ทาตุํ วฎฺฎติฯ เหฎฺฐา วุตฺตเวฬุมฺหิปิ เอเสว นโยฯ
Tālapaṇṇampi imasmiṃyeva ṭhāne kathetabbaṃ. Tālapaṇṇampi hi sayaṃjāte tālavane saṅghena paricchinnaṭṭhāneyeva garubhaṇḍaṃ, na tato paraṃ. Ropimatālesu sabbampi garubhaṇḍaṃ. Tassa pamāṇaṃ heṭṭhimakoṭiyā aṭṭhaṅgulappamāṇopi rittapotthako. Tiṇampi ettheva pakkhipitvā kathetabbaṃ. Yattha pana tiṇaṃ natthi tattha muñjapalālanāḷikerapaṇṇādīhipi chādenti. Tasmā tānipi tiṇeneva saṅgahitāni. Iti muñjapalālādīsu yaṃkiñci muṭṭhippamāṇaṃ tiṇaṃ, nāḷikerapaṇṇādīsu ca ekapaṇṇampi saṅghassa dinnaṃ vā tatthajātakaṃ vā bahiārāme saṅghassa tiṇavatthumhi jātatiṇaṃ vā rakkhitagopitaṃ garubhaṇḍaṃ hoti. Taṃ pana saṅghakamme ca cetiyakamme ca kate atirekaṃ puggalikakamme dātuṃ vaṭṭati. Heṭṭhā vuttaveḷumhipi eseva nayo.
ปุปฺผทาเน ‘‘เอตฺตเกสุ รุเกฺขสุ ปุปฺผานิ วิสฺสเชฺชตฺวา ยาคุภตฺตวเตฺถ อุปเนนฺตุ, เอตฺตเกสุ เสนาสนปฎิสงฺขรเณ อุปเนนฺตู’’ติ เอวํ นิยมิตฎฺฐาเน เอว ปุปฺผานิ ครุภณฺฑานิ โหนฺติฯ ปรตีเร สามเณรา ปุปฺผานิ โอจินิตฺวา ราสิํ กโรนฺติ, ปญฺจงฺคสมนฺนาคโต ปุปฺผภาชโก ภิกฺขุสงฺฆํ คเณตฺวา โกฎฺฐาเส กโรติ, โส สมฺปตฺตปริสาย สงฺฆํ อนาปุจฺฉิตฺวาว ทาตุํ ลภติ; อสมฺมเตน ปน อาปุจฺฉิตฺวาว ทาตพฺพํฯ ภิกฺขุ ปน กสฺส ปุปฺผานิ ทาตุํ ลภติ, กสฺส น ลภตีติ? มาตาปิตูนํ เคหํ หริตฺวาปิ เคหโต ปโกฺกสาเปตฺวาปิ ‘วตฺถุปูชํ กโรถา’ติ ทาตุํ ลภติ, ปิฬนฺธนตฺถาย ทาตุํ น ลภติ; เสสญาตีนํ ปน หริตฺวา น ทาตพฺพํ, ปโกฺกสาเปตฺวา ‘ปูชํ กโรถา’ติ ทาตพฺพํ; เสสชนสฺส ปูชนฎฺฐานํ สมฺปตฺตสฺส อปจฺจาสีสเนฺตน ทาตพฺพํ; ปุปฺผทานํ นาม น โหติฯ วิหาเร พหูนิ ปุปฺผานิ ปุปฺผนฺติฯ ภิกฺขุนา ปิณฺฑาย จรเนฺตน มนุเสฺส ทิสฺวา ‘วิหาเร พหูนิ ปุปฺผานิ, ปูเชถา’ติ วตฺตพฺพํฯ วจนมเตฺต โทโส นตฺถิฯ ‘มนุสฺสา ขาทนียโภชนียํ อาทาย อาคมิสฺสนฺตี’ติ จิเตฺตน ปน น วตฺตพฺพํฯ สเจ วทติ, ขาทนียโภชนียํ น ปริภุญฺชิตพฺพํฯ มนุสฺสา อตฺตโน ธมฺมตาย ‘วิหาเร ปุปฺผานิ อตฺถี’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘อสุกทิวเส วิหารํ อาคมิสฺสาม, สามเณรานํ ปุปฺผานิ โอจินิตุํ มา เทถา’ติ วทนฺติฯ ภิกฺขู สามเณรานํ กเถตุํ ปมุฎฺฐาฯ สามเณเรหิ ปุปฺผานิ โอจินิตฺวา ฐปิตานิฯ มนุสฺสา ภิกฺขู อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ภเนฺต, มยํ ตุมฺหากํ อสุกทิวเสเยว อาโรจยิมฺห – ‘สามเณรานํ ปุปฺผานิ โอจินิตุํ มา เทถา’ติฯ กสฺมา น วารยิตฺถา’’ติ? ‘‘สติ เม ปมุฎฺฐา, ปุปฺผานิ โอจินิตมตฺตาเนว, ตาว น ปูชา กตา’’ติ วตฺตพฺพํฯ ‘‘คณฺหถ ปูเชถา’’ติ น วตฺตพฺพํฯ สเจ วทติ, อามิสํ น ปริภุญฺชิตพฺพํฯ
Pupphadāne ‘‘ettakesu rukkhesu pupphāni vissajjetvā yāgubhattavatthe upanentu, ettakesu senāsanapaṭisaṅkharaṇe upanentū’’ti evaṃ niyamitaṭṭhāne eva pupphāni garubhaṇḍāni honti. Paratīre sāmaṇerā pupphāni ocinitvā rāsiṃ karonti, pañcaṅgasamannāgato pupphabhājako bhikkhusaṅghaṃ gaṇetvā koṭṭhāse karoti, so sampattaparisāya saṅghaṃ anāpucchitvāva dātuṃ labhati; asammatena pana āpucchitvāva dātabbaṃ. Bhikkhu pana kassa pupphāni dātuṃ labhati, kassa na labhatīti? Mātāpitūnaṃ gehaṃ haritvāpi gehato pakkosāpetvāpi ‘vatthupūjaṃ karothā’ti dātuṃ labhati, piḷandhanatthāya dātuṃ na labhati; sesañātīnaṃ pana haritvā na dātabbaṃ, pakkosāpetvā ‘pūjaṃ karothā’ti dātabbaṃ; sesajanassa pūjanaṭṭhānaṃ sampattassa apaccāsīsantena dātabbaṃ; pupphadānaṃ nāma na hoti. Vihāre bahūni pupphāni pupphanti. Bhikkhunā piṇḍāya carantena manusse disvā ‘vihāre bahūni pupphāni, pūjethā’ti vattabbaṃ. Vacanamatte doso natthi. ‘Manussā khādanīyabhojanīyaṃ ādāya āgamissantī’ti cittena pana na vattabbaṃ. Sace vadati, khādanīyabhojanīyaṃ na paribhuñjitabbaṃ. Manussā attano dhammatāya ‘vihāre pupphāni atthī’ti pucchitvā ‘asukadivase vihāraṃ āgamissāma, sāmaṇerānaṃ pupphāni ocinituṃ mā dethā’ti vadanti. Bhikkhū sāmaṇerānaṃ kathetuṃ pamuṭṭhā. Sāmaṇerehi pupphāni ocinitvā ṭhapitāni. Manussā bhikkhū upasaṅkamitvā ‘‘bhante, mayaṃ tumhākaṃ asukadivaseyeva ārocayimha – ‘sāmaṇerānaṃ pupphāni ocinituṃ mā dethā’ti. Kasmā na vārayitthā’’ti? ‘‘Sati me pamuṭṭhā, pupphāni ocinitamattāneva, tāva na pūjā katā’’ti vattabbaṃ. ‘‘Gaṇhatha pūjethā’’ti na vattabbaṃ. Sace vadati, āmisaṃ na paribhuñjitabbaṃ.
อปโร ภิกฺขุ สามเณรานํ อาจิกฺขติ ‘‘อสุกคามวาสิโน ปุปฺผานิ มา โอจินิตฺถา’’ติ อาหํสูติฯ มนุสฺสาปิ อามิสํ อาหริตฺวา ทานํ ทตฺวา วทนฺติ – ‘‘อมฺหากํ มนุสฺสา น พหุกา, สามเณเร อเมฺหหิ สห ปุปฺผานิ โอจินิตุํ อาณาเปถา’’ติฯ ‘‘สามเณเรหิ ภิกฺขา ลทฺธา; เย ภิกฺขาจารํ น คจฺฉนฺติ, เต สยเมว ชานิสฺสนฺติ, อุปาสกา’’ติ วตฺตพฺพํฯ เอตฺตกํ นยํ ลภิตฺวา สามเณเร ปุเตฺต วา ภาติเก วา กตฺวา ปุปฺผานิ โอจินาเปตุํ โทโส นตฺถิ; ปุปฺผทานํ นาม น โหติฯ
Aparo bhikkhu sāmaṇerānaṃ ācikkhati ‘‘asukagāmavāsino pupphāni mā ocinitthā’’ti āhaṃsūti. Manussāpi āmisaṃ āharitvā dānaṃ datvā vadanti – ‘‘amhākaṃ manussā na bahukā, sāmaṇere amhehi saha pupphāni ocinituṃ āṇāpethā’’ti. ‘‘Sāmaṇerehi bhikkhā laddhā; ye bhikkhācāraṃ na gacchanti, te sayameva jānissanti, upāsakā’’ti vattabbaṃ. Ettakaṃ nayaṃ labhitvā sāmaṇere putte vā bhātike vā katvā pupphāni ocināpetuṃ doso natthi; pupphadānaṃ nāma na hoti.
ผลทาเน ผลมฺปิ ปุปฺผํ วิย นิยมิตเมว ครุภณฺฑํ โหติฯ วิหาเร พหุกมฺหิ ผลาผเล สติ อผาสุกมนุสฺสา อาคนฺตฺวา ยาจนฺติฯ ภิกฺขู ‘สงฺฆิก’นฺติ ทาตุํ น อุสฺสหนฺติฯ มนุสฺสา วิปฺปฎิสาริโน อโกฺกสนฺติ ปริภาสนฺติฯ ตตฺถ กิํ กาตพฺพนฺติ? ผเลหิ วา รุเกฺขหิ วา ปริจฺฉินฺทิตฺวา กติกา กาตพฺพา – ‘อสุเกสุ จ รุเกฺขสุ เอตฺตกานิ ผลานิ คณฺหนฺตา, เอตฺตเกสุ วา รุเกฺขสุ ผลานิ คณฺหนฺตา น วาเรตพฺพา’ติฯ โจรา ปน อิสฺสรา วา พลกฺกาเรน คณฺหนฺตา น วาเรตพฺพา; กุทฺธา เต สกลวิหารมฺปิ นาเสยฺยุํฯ อาทีนโว ปน กเถตโพฺพติฯ
Phaladāne phalampi pupphaṃ viya niyamitameva garubhaṇḍaṃ hoti. Vihāre bahukamhi phalāphale sati aphāsukamanussā āgantvā yācanti. Bhikkhū ‘saṅghika’nti dātuṃ na ussahanti. Manussā vippaṭisārino akkosanti paribhāsanti. Tattha kiṃ kātabbanti? Phalehi vā rukkhehi vā paricchinditvā katikā kātabbā – ‘asukesu ca rukkhesu ettakāni phalāni gaṇhantā, ettakesu vā rukkhesu phalāni gaṇhantā na vāretabbā’ti. Corā pana issarā vā balakkārena gaṇhantā na vāretabbā; kuddhā te sakalavihārampi nāseyyuṃ. Ādīnavo pana kathetabboti.
สินานทาเน สินานจุณฺณานิ โกฎฺฎิตานิ น ครุภณฺฑานิฯ อโกฎฺฎิโต รุกฺขตฺตโจว ครุภณฺฑํฯ จุณฺณํ ปน อคิลานสฺส รชนนิปกฺกํ วฎฺฎติฯ คิลานสฺส ยํกิญฺจิ จุณฺณํ วฎฺฎติเยวฯ มตฺติกาปิ เอเตฺถว ปกฺขิปิตฺวา กเถตพฺพาฯ มตฺติกาปิ ยตฺถ ทุลฺลภา โหติ, ตเตฺถว ครุภณฺฑํฯ สาปิ เหฎฺฐิมโกฎิยา ติํสปลคุฬปิณฺฑปฺปมาณาว ตโต เหฎฺฐา น ครุภณฺฑนฺติฯ
Sinānadāne sinānacuṇṇāni koṭṭitāni na garubhaṇḍāni. Akoṭṭito rukkhattacova garubhaṇḍaṃ. Cuṇṇaṃ pana agilānassa rajananipakkaṃ vaṭṭati. Gilānassa yaṃkiñci cuṇṇaṃ vaṭṭatiyeva. Mattikāpi ettheva pakkhipitvā kathetabbā. Mattikāpi yattha dullabhā hoti, tattheva garubhaṇḍaṃ. Sāpi heṭṭhimakoṭiyā tiṃsapalaguḷapiṇḍappamāṇāva tato heṭṭhā na garubhaṇḍanti.
ทนฺตกฎฺฐทาเน ทนฺตกฎฺฐํ อจฺฉินฺนกเมว ครุภณฺฑํฯ เยสํ สามเณรานํ สงฺฆโต ทนฺตกฎฺฐวาโร ปาปุณาติ, เต อตฺตโน อาจริยุปชฺฌายานํ ปาฎิเยกฺกํ ทาตุํ น ลภนฺติฯ เยหิ ปน ‘เอตฺตกานิ ทนฺตกฎฺฐานิ อาหริตพฺพานี’ติ ปริจฺฉินฺทิตฺวา วารํ คหิตานิ, เต อติเรกานิ อาจริยุปชฺฌายานํ ทาตุํ ลภนฺติฯ เอเกน ภิกฺขุนา ทนฺตกฎฺฐมาฬกโต พหูนิ ทนฺตกฎฺฐานิ น คเหตพฺพานิ, เทวสิกํ เอเกกเมว คเหตพฺพํฯ ปาฎิเยกฺกํ วสเนฺตนาปิ ภิกฺขุสงฺฆํ คณยิตฺวา ยตฺตกานิ อตฺตโน ปาปุณนฺติ ตตฺตกาเนว คเหตฺวา คนฺตพฺพํ; อนฺตรา อาคนฺตุเกสุ วา อาคเตสุ ทิสํ วา ปกฺกมเนฺตน อาหริตฺวา คหิตฎฺฐาเนเยว ฐเปตพฺพานิฯ
Dantakaṭṭhadāne dantakaṭṭhaṃ acchinnakameva garubhaṇḍaṃ. Yesaṃ sāmaṇerānaṃ saṅghato dantakaṭṭhavāro pāpuṇāti, te attano ācariyupajjhāyānaṃ pāṭiyekkaṃ dātuṃ na labhanti. Yehi pana ‘ettakāni dantakaṭṭhāni āharitabbānī’ti paricchinditvā vāraṃ gahitāni, te atirekāni ācariyupajjhāyānaṃ dātuṃ labhanti. Ekena bhikkhunā dantakaṭṭhamāḷakato bahūni dantakaṭṭhāni na gahetabbāni, devasikaṃ ekekameva gahetabbaṃ. Pāṭiyekkaṃ vasantenāpi bhikkhusaṅghaṃ gaṇayitvā yattakāni attano pāpuṇanti tattakāneva gahetvā gantabbaṃ; antarā āgantukesu vā āgatesu disaṃ vā pakkamantena āharitvā gahitaṭṭhāneyeva ṭhapetabbāni.
จาฎุกมฺยตายาติอาทีสุ จาฎุกมฺยตา วุจฺจติ อตฺตานํ ทาสํ วิย นีจฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ปรสฺส ขลิตวจนมฺปิ สณฺฐเปตฺวา ปิยกามตาย ปคฺคยฺหวจนํฯ มุคฺคสูปฺยตายาติ มุคฺคสูปสมานาย สจฺจาลิเกน ชีวิตกปฺปนตาเยตํ อธิวจนํฯ ยถา หิ มุคฺคสูเป ปจฺจเนฺต พหู มุคฺคา ปากํ คจฺฉนฺติ, โถกา น คจฺฉนฺติ; เอวเมว สจฺจาลิเกน ชีวิตกปฺปเก ปุคฺคเล พหุ อลิกํ โหติ, อปฺปกํ สจฺจํฯ ยถา วา มุคฺคสูปสฺส อปฺปวิสนฎฺฐานํ นาม นตฺถิ, เอวเมว สจฺจาลิกวุตฺติโน ปุคฺคลสฺส อปฺปวิฎฺฐวาจา นาม นตฺถิ; สิงฺฆาฎกํ วิย อิจฺฉิติจฺฉิตธาราย ปติฎฺฐาติฯ เตนสฺส สา มุสาวาทิตา มุคฺคสูปฺยตาติ วุตฺตาฯ ปาริภฎยตาติ ปริภฎกมฺมภาโวฯ ปริภฎสฺส หิ กมฺมํ ปาริภฎยํ, ตสฺส ภาโว ปาริภฎยตา; อลงฺการกรณาทีหิ ทารกกีฬาปนเสฺสตํ อธิวจนํฯ
Cāṭukamyatāyātiādīsu cāṭukamyatā vuccati attānaṃ dāsaṃ viya nīcaṭṭhāne ṭhapetvā parassa khalitavacanampi saṇṭhapetvā piyakāmatāya paggayhavacanaṃ. Muggasūpyatāyāti muggasūpasamānāya saccālikena jīvitakappanatāyetaṃ adhivacanaṃ. Yathā hi muggasūpe paccante bahū muggā pākaṃ gacchanti, thokā na gacchanti; evameva saccālikena jīvitakappake puggale bahu alikaṃ hoti, appakaṃ saccaṃ. Yathā vā muggasūpassa appavisanaṭṭhānaṃ nāma natthi, evameva saccālikavuttino puggalassa appaviṭṭhavācā nāma natthi; siṅghāṭakaṃ viya icchiticchitadhārāya patiṭṭhāti. Tenassa sā musāvāditā muggasūpyatāti vuttā. Pāribhaṭayatāti paribhaṭakammabhāvo. Paribhaṭassa hi kammaṃ pāribhaṭayaṃ, tassa bhāvo pāribhaṭayatā; alaṅkārakaraṇādīhi dārakakīḷāpanassetaṃ adhivacanaṃ.
ชงฺฆเปสนิกนฺติ คามนฺตรเทสนฺตราทีสุ เตสํ เตสํ คิหีนํ สาสนปฎิสาสนหรณํฯ อิทญฺหิ ชงฺฆเปสนิกํ นาม อตฺตโน มาตาปิตูนํ, เย จสฺส มาตาปิตโร อุปฎฺฐหนฺติ, เตสํ สาสนํ คเหตฺวา กตฺถจิ คมนวเสน วฎฺฎติฯ เจติยสฺส วา สงฺฆสฺส วา อตฺตโน วา กมฺมํ กโรนฺตานํ วฑฺฒกีนมฺปิ สาสนํ หริตุํ วฎฺฎติฯ มนุสฺสา ‘‘ทานํ ทสฺสาม, ปูชํ กริสฺสาม, ภิกฺขุสงฺฆสฺส อาจิกฺขถา’’ติ วทนฺติ; ‘‘อสุกเตฺถรสฺส นาม เทถา’’ติ ปิณฺฑปาตํ วา เภสชฺชํ วา จีวรํ วา เทนฺติ; ‘‘วิหาเร ปูชํ กโรถา’’ติ มาลาคนฺธวิเลปนาทีนิ วา ธชปตากาทีนิ วา นียฺยาเทนฺติ, สพฺพํ หริตุํ วฎฺฎติ; ชงฺฆเปสนิกํ นาม น โหติฯ เสสานํ สาสนํ คเหตฺวา คจฺฉนฺตสฺส ปทวาเร ปทวาเร โทโสฯ
Jaṅghapesanikanti gāmantaradesantarādīsu tesaṃ tesaṃ gihīnaṃ sāsanapaṭisāsanaharaṇaṃ. Idañhi jaṅghapesanikaṃ nāma attano mātāpitūnaṃ, ye cassa mātāpitaro upaṭṭhahanti, tesaṃ sāsanaṃ gahetvā katthaci gamanavasena vaṭṭati. Cetiyassa vā saṅghassa vā attano vā kammaṃ karontānaṃ vaḍḍhakīnampi sāsanaṃ harituṃ vaṭṭati. Manussā ‘‘dānaṃ dassāma, pūjaṃ karissāma, bhikkhusaṅghassa ācikkhathā’’ti vadanti; ‘‘asukattherassa nāma dethā’’ti piṇḍapātaṃ vā bhesajjaṃ vā cīvaraṃ vā denti; ‘‘vihāre pūjaṃ karothā’’ti mālāgandhavilepanādīni vā dhajapatākādīni vā nīyyādenti, sabbaṃ harituṃ vaṭṭati; jaṅghapesanikaṃ nāma na hoti. Sesānaṃ sāsanaṃ gahetvā gacchantassa padavāre padavāre doso.
อญฺญตรญฺญตเรนาติ เอเตสํ วา เวฬุทานาทีนํ อญฺญตรญฺญตเรน เวชฺชกมฺมภณฺฑาคาริกกมฺมํ ปิณฺฑปฎิปิณฺฑกมฺมํ สงฺฆุปฺปาทเจติยุปฺปาทอุปฎฺฐาปนกมฺมนฺติ เอวรูปานํ วา มิจฺฉาชีเวน ชีวิตกปฺปนกกมฺมานํ เยน เกนจิฯ พุทฺธปฎิกุเฎฺฐนาติ พุเทฺธหิ ครหิเตน ปฎิสิเทฺธนฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ สโพฺพปิ อนาจาโร นาม กถียติฯ อาจารนิเทฺทโส วุตฺตปฎิปกฺขนเยเนว เวทิตโพฺพฯ
Aññataraññatarenāti etesaṃ vā veḷudānādīnaṃ aññataraññatarena vejjakammabhaṇḍāgārikakammaṃ piṇḍapaṭipiṇḍakammaṃ saṅghuppādacetiyuppādaupaṭṭhāpanakammanti evarūpānaṃ vā micchājīvena jīvitakappanakakammānaṃ yena kenaci. Buddhapaṭikuṭṭhenāti buddhehi garahitena paṭisiddhena. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ sabbopi anācāro nāma kathīyati. Ācāraniddeso vuttapaṭipakkhanayeneva veditabbo.
๕๑๔. โคจรนิเทฺทเสปิ ปฐมํ อโคจรสฺส วจเน การณํ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ จ โคจโรติ ปิณฺฑปาตาทีนํ อตฺถาย อุปสงฺกมิตุํ ยุตฺตฎฺฐานํ โคจโร, อยุตฺตฎฺฐานํ อโคจโรฯ เวสิยา โคจโร อสฺสาติ เวสิยโคจโร; มิตฺตสนฺถววเสน อุปสงฺกมิตฎฺฐานนฺติ อโตฺถฯ ตตฺถ เวสิยา นาม รูปูปชีวินิโย เยน เกนจิเทว สุลภชฺฌาจารตามิตฺตสตฺถวสิเนหวเสน อุปสงฺกมโนฺต เวสิยาโคจโร นาม โหติฯ ตสฺมา เอวํ อุปสงฺกมิตุํ น วฎฺฎติฯ กิํ การณา? อารกฺขวิปตฺติโตฯ เอวํ อุปสงฺกมนฺตสฺส หิ จิรํ รกฺขิตโคปิโตปิ สมณธโมฺม กติปาเหเนว นสฺสติ; สเจปิ น นสฺสติ ครหํ ลภติฯ ทกฺขิณาวเสน ปน อุปสงฺกมเนฺตน สติํ อุปฎฺฐาเปตฺวา อุปสงฺกมิตพฺพํฯ วิธวา วุจฺจนฺติ มตปติกา วา ปวุตฺถปติกา วาฯ ถุลฺลกุมาริโยติ มหลฺลิกา อนิวิฎฺฐกุมาริโยฯ ปณฺฑกาติ โลกามิสนิสฺสิตกถาพหุลา อุสฺสนฺนกิเลสา อวูปสนฺตปริฬาหา นปุํสกาฯ เตสํ สเพฺพสมฺปิ อุปสงฺกมเน อาทีนโว วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ ภิกฺขุนีสุปิ เอเสว นโยฯ อปิจ ภิกฺขู นาม อุสฺสนฺนพฺรหฺมจริยา โหนฺติ, ตถา ภิกฺขุนิโยฯ เต อญฺญมญฺญํ สนฺถววเสน กติปาเหเนว รกฺขิตโคปิตสมณธมฺมํ นาเสนฺติฯ คิลานปุจฺฉเกน ปน คนฺตุํ วฎฺฎติฯ ภิกฺขุนา ปุปฺผานิ ลภิตฺวา ปูชนตฺถายปิ โอวาททานตฺถายปิ คนฺตุํ วฎฺฎติเยวฯ
514. Gocaraniddesepi paṭhamaṃ agocarassa vacane kāraṇaṃ heṭṭhā vuttanayeneva veditabbaṃ. Tattha ca gocaroti piṇḍapātādīnaṃ atthāya upasaṅkamituṃ yuttaṭṭhānaṃ gocaro, ayuttaṭṭhānaṃ agocaro. Vesiyā gocaro assāti vesiyagocaro; mittasanthavavasena upasaṅkamitaṭṭhānanti attho. Tattha vesiyā nāma rūpūpajīviniyo yena kenacideva sulabhajjhācāratāmittasatthavasinehavasena upasaṅkamanto vesiyāgocaro nāma hoti. Tasmā evaṃ upasaṅkamituṃ na vaṭṭati. Kiṃ kāraṇā? Ārakkhavipattito. Evaṃ upasaṅkamantassa hi ciraṃ rakkhitagopitopi samaṇadhammo katipāheneva nassati; sacepi na nassati garahaṃ labhati. Dakkhiṇāvasena pana upasaṅkamantena satiṃ upaṭṭhāpetvā upasaṅkamitabbaṃ. Vidhavā vuccanti matapatikā vā pavutthapatikā vā. Thullakumāriyoti mahallikā aniviṭṭhakumāriyo. Paṇḍakāti lokāmisanissitakathābahulā ussannakilesā avūpasantapariḷāhā napuṃsakā. Tesaṃ sabbesampi upasaṅkamane ādīnavo vuttanayeneva veditabbo. Bhikkhunīsupi eseva nayo. Apica bhikkhū nāma ussannabrahmacariyā honti, tathā bhikkhuniyo. Te aññamaññaṃ santhavavasena katipāheneva rakkhitagopitasamaṇadhammaṃ nāsenti. Gilānapucchakena pana gantuṃ vaṭṭati. Bhikkhunā pupphāni labhitvā pūjanatthāyapi ovādadānatthāyapi gantuṃ vaṭṭatiyeva.
ปานาคารนฺติ สุราปานฆรํฯ ตํ พฺรหฺมจริยนฺตรายกเรหิ สุราโสเณฺฑหิ อวิวิตฺตํ โหติฯ ตตฺถ เตหิ สทฺธิํ สห โสณฺฑวเสน อุปสงฺกมิตุํ น วฎฺฎติ; พฺรหฺมจริยนฺตราโย โหติฯ สํสโฎฺฐ วิหรติ ราชูหีติอาทีสุ ราชาโนติ อภิสิตฺตา วา โหนฺตุ อนภิสิตฺตา วา เย รชฺชํ อนุสาสนฺติฯ ราชมหามตฺตาติ ราชูนํ อิสฺสริยสทิสาย มหติยา อิสฺสริยมตฺตาย สมนฺนาคตาฯ ติตฺถิยาติ วิปรีตทสฺสนา พาหิรปริพฺพาชกาฯ ติตฺถิยสาวกาติ ภตฺติวเสน เตสํ ปจฺจยทายกาฯ เอเตหิ สทฺธิํ สํสคฺคชาโต โหตีติ อโตฺถฯ
Pānāgāranti surāpānagharaṃ. Taṃ brahmacariyantarāyakarehi surāsoṇḍehi avivittaṃ hoti. Tattha tehi saddhiṃ saha soṇḍavasena upasaṅkamituṃ na vaṭṭati; brahmacariyantarāyo hoti. Saṃsaṭṭho viharati rājūhītiādīsu rājānoti abhisittā vā hontu anabhisittā vā ye rajjaṃ anusāsanti. Rājamahāmattāti rājūnaṃ issariyasadisāya mahatiyā issariyamattāya samannāgatā. Titthiyāti viparītadassanā bāhiraparibbājakā. Titthiyasāvakāti bhattivasena tesaṃ paccayadāyakā. Etehi saddhiṃ saṃsaggajāto hotīti attho.
อนนุโลมิเกน สํสเคฺคนาติ อนนุโลมิกสํสโคฺค นาม ติสฺสนฺนํ สิกฺขานํ อนนุโลโม ปจฺจนีกสํสโคฺค, เยน พฺรหฺมจริยนฺตรายํ ปญฺญตฺติวีติกฺกมํ สเลฺลขปริหานิญฺจ ปาปุณาติ, เสยฺยถิทํ – ราชราชมหามเตฺตหิ สทฺธิํ สหโสกิตา, สหนนฺทิตา, สมสุขทุกฺขตา, อุปฺปเนฺนสุ กิจฺจกรณีเยสุ อตฺตนาว โยคํ อาปชฺชนตา, ติตฺถิยติตฺถิยสาวเกหิ สทฺธิํ เอกจฺฉนฺทรุจิสมาจารตา เอกจฺฉนฺทรุจิสมาจารภาวาวโห วา สิเนหพหุมานสนฺถโวฯ ตตฺถ ราชราชมหามเตฺตหิ สทฺธิํ สํสโคฺค พฺรหฺมจริยนฺตรายํ กโรติฯ อิตเรหิ ติตฺถิยสาวเกหิ เตสํ ลทฺธิคหณํฯ เตสํ ปน วาทํ ภินฺทิตฺวา อตฺตโน ลทฺธิํ คณฺหาเปตุํ สมเตฺถน อุปสงฺกมิตุํ วฎฺฎติฯ
Ananulomikena saṃsaggenāti ananulomikasaṃsaggo nāma tissannaṃ sikkhānaṃ ananulomo paccanīkasaṃsaggo, yena brahmacariyantarāyaṃ paññattivītikkamaṃ sallekhaparihāniñca pāpuṇāti, seyyathidaṃ – rājarājamahāmattehi saddhiṃ sahasokitā, sahananditā, samasukhadukkhatā, uppannesu kiccakaraṇīyesu attanāva yogaṃ āpajjanatā, titthiyatitthiyasāvakehi saddhiṃ ekacchandarucisamācāratā ekacchandarucisamācārabhāvāvaho vā sinehabahumānasanthavo. Tattha rājarājamahāmattehi saddhiṃ saṃsaggo brahmacariyantarāyaṃ karoti. Itarehi titthiyasāvakehi tesaṃ laddhigahaṇaṃ. Tesaṃ pana vādaṃ bhinditvā attano laddhiṃ gaṇhāpetuṃ samatthena upasaṅkamituṃ vaṭṭati.
อิทานิ อปเรนปิ ปริยาเยน อโคจรํ ทเสฺสตุํ ยานิ วา ปน ตานิ กุลานีติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ อสฺสทฺธานีติ พุทฺธาทีสุ สทฺธาวิรหิตานิ; พุโทฺธ สพฺพญฺญู, ธโมฺม นิยฺยานิโก, สโงฺฆ สุปฺปฎิปโนฺนติ น สทฺทหนฺติฯ อปฺปสนฺนานีติ จิตฺตํ ปสนฺนํ อนาวิลํ กาตุํ น สโกฺกนฺติฯ อโกฺกสกปริภาสกานีติ อโกฺกสกานิ เจว ปริภาสกานิ จ; ‘โจโรสิ, พาโลสิ, มูโฬฺหสิ, โอโฎฺฐสิ, โคโณสิ, คทฺรโภสิ, อาปายิโกสิ, เนรยิโกสิ, ติรจฺฉานคโตสิ, นตฺถิ ตุยฺหํ สุคติ, ทุคฺคติเยว ปาฎิกงฺขา’ติ เอวํ ทสหิ อโกฺกสวตฺถูหิ อโกฺกสนฺติ; ‘โหตุ, อิทานิ ตํ ปหริสฺสาม, พนฺธิสฺสาม , วธิสฺสามา’ติ เอวํ ภยทสฺสเนน ปริภาสนฺติ จาติ อโตฺถฯ อนตฺถกามานีติ อตฺถํ น อิจฺฉนฺติ, อนตฺถเมว อิจฺฉนฺติฯ อหิตกามานีติ อหิตเมว อิจฺฉนฺติ, หิตํ น อิจฺฉนฺติฯ อผาสุกกามานีติ ผาสุกํ น อิจฺฉนฺติ, อผาสุกเมว อิจฺฉนฺติฯ อโยคเกฺขมกามานีติ จตูหิ โยเคหิ เขมํ นิพฺภยํ น อิจฺฉนฺติ, สภยเมว อิจฺฉนฺติฯ ภิกฺขูนนฺติ เอตฺถ สามเณราปิ สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ ภิกฺขุนีนนฺติ เอตฺถ สิกฺขมานสามเณริโยปิฯ สเพฺพสมฺปิ หิ ภควนฺตํ อุทฺทิสฺส ปพฺพชิตานเญฺจว สรณคตานญฺจ จตุนฺนมฺปิ ปริสานํ ตานิ อนตฺถกามานิเยวฯ ตถารูปานิ กุลานีติ เอวรูปานิ ขตฺติยกุลาทีนิ กุลานิฯ เสวตีติ นิสฺสาย ชีวติฯ ภชตีติ อุปสงฺกมติฯ ปยิรุปาสตีติ ปุนปฺปุนํ อุปสงฺกมติฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เวสิยาทิโคจรสฺส เวสิยาทิโก, ราชาทิสํสฎฺฐสฺส ราชาทิโก, อสฺสทฺธกุลาทิเสวกสฺส อสฺสทฺธกุลาทิโก จาติ ติปฺปกาโรปิ อยุตฺตโคจโร อโคจโรติ เวทิตโพฺพฯ
Idāni aparenapi pariyāyena agocaraṃ dassetuṃ yāni vā pana tāni kulānītiādi āraddhaṃ. Tattha assaddhānīti buddhādīsu saddhāvirahitāni; buddho sabbaññū, dhammo niyyāniko, saṅgho suppaṭipannoti na saddahanti. Appasannānīti cittaṃ pasannaṃ anāvilaṃ kātuṃ na sakkonti. Akkosakaparibhāsakānīti akkosakāni ceva paribhāsakāni ca; ‘corosi, bālosi, mūḷhosi, oṭṭhosi, goṇosi, gadrabhosi, āpāyikosi, nerayikosi, tiracchānagatosi, natthi tuyhaṃ sugati, duggatiyeva pāṭikaṅkhā’ti evaṃ dasahi akkosavatthūhi akkosanti; ‘hotu, idāni taṃ paharissāma, bandhissāma , vadhissāmā’ti evaṃ bhayadassanena paribhāsanti cāti attho. Anatthakāmānīti atthaṃ na icchanti, anatthameva icchanti. Ahitakāmānīti ahitameva icchanti, hitaṃ na icchanti. Aphāsukakāmānīti phāsukaṃ na icchanti, aphāsukameva icchanti. Ayogakkhemakāmānīti catūhi yogehi khemaṃ nibbhayaṃ na icchanti, sabhayameva icchanti. Bhikkhūnanti ettha sāmaṇerāpi saṅgahaṃ gacchanti. Bhikkhunīnanti ettha sikkhamānasāmaṇeriyopi. Sabbesampi hi bhagavantaṃ uddissa pabbajitānañceva saraṇagatānañca catunnampi parisānaṃ tāni anatthakāmāniyeva. Tathārūpāni kulānīti evarūpāni khattiyakulādīni kulāni. Sevatīti nissāya jīvati. Bhajatīti upasaṅkamati. Payirupāsatīti punappunaṃ upasaṅkamati. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ vesiyādigocarassa vesiyādiko, rājādisaṃsaṭṭhassa rājādiko, assaddhakulādisevakassa assaddhakulādiko cāti tippakāropi ayuttagocaro agocaroti veditabbo.
ตสฺส อิมินา ปริยาเยน อโคจรตา เวทิตพฺพาฯ เวสิยาทิโก ตาว ปญฺจกามคุณนิสฺสยโต อโคจโรติ เวทิตโพฺพ, ยถาห – ‘‘โก จ, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน อโคจโร ปรวิสโย? ยทิทํ ปญฺจ กามคุณา’’ติ (สํ. นิ. ๕.๓๗๒) ราชาทิโก ฌานานุโยคสฺส อนุปนิสฺสยโต ลาภสกฺการาสนิจกฺกนิปฺผาทนโต ทิฎฺฐิวิปตฺติเหตุโต จ, อสฺสทฺธกุลาทิโก สทฺธาหานิจิตฺตสนฺตาสาวหนโต อโคจโรติฯ
Tassa iminā pariyāyena agocaratā veditabbā. Vesiyādiko tāva pañcakāmaguṇanissayato agocaroti veditabbo, yathāha – ‘‘ko ca, bhikkhave, bhikkhuno agocaro paravisayo? Yadidaṃ pañca kāmaguṇā’’ti (saṃ. ni. 5.372) rājādiko jhānānuyogassa anupanissayato lābhasakkārāsanicakkanipphādanato diṭṭhivipattihetuto ca, assaddhakulādiko saddhāhānicittasantāsāvahanato agocaroti.
โคจรนิเทฺทเส น เวสิยโคจโรติอาทีนิ วุตฺตปฎิปกฺขวเสน เวทิตพฺพานิฯ โอปานภูตานีติอาทีสุ ปน โอปานภูตานีติ อุทปานภูตานิ; ภิกฺขุสงฺฆสฺส, จาตุมหาปเถ ขตโปกฺขรณี วิย, ยถาสุขํ โอคาหนกฺขมานิ จิตฺตมหามตฺตสฺส เคหสทิสานิฯ ตสฺส กิร เคเห กาลตฺถโมฺภ ยุโตฺตเยว ฯ ฆรทฺวารํ สมฺปตฺตานํ ภิกฺขูนํ ปจฺจยเวกลฺลํ นาม นตฺถิฯ เอกทิวสํ เภสชฺชวตฺตเมว สฎฺฐิ กหาปณานิ นิกฺขมนฺติฯ กาสาวปโชฺชตานีติ ภิกฺขุภิกฺขุนีหิ นิวตฺถปารุตานํ กาสาวานํเยว ปภาย เอโกภาสานิ ภูตปาลเสฎฺฐิกุลสทิสานิฯ อิสิวาตปฎิวาตานีติ เคหํ ปวิสนฺตานํ นิกฺขมนฺตานญฺจ ภิกฺขุภิกฺขุนีสงฺขาตานํ อิสีนํ จีวรวาเตน เจว สมิญฺชนปสารณาทิชนิตสรีรวาเตน จ ปฎิวาตานิ ปวายิตานิ วินิทฺธุตกิพฺพิสานิ วาฯ
Gocaraniddese na vesiyagocarotiādīni vuttapaṭipakkhavasena veditabbāni. Opānabhūtānītiādīsu pana opānabhūtānīti udapānabhūtāni; bhikkhusaṅghassa, cātumahāpathe khatapokkharaṇī viya, yathāsukhaṃ ogāhanakkhamāni cittamahāmattassa gehasadisāni. Tassa kira gehe kālatthambho yuttoyeva . Gharadvāraṃ sampattānaṃ bhikkhūnaṃ paccayavekallaṃ nāma natthi. Ekadivasaṃ bhesajjavattameva saṭṭhi kahāpaṇāni nikkhamanti. Kāsāvapajjotānīti bhikkhubhikkhunīhi nivatthapārutānaṃ kāsāvānaṃyeva pabhāya ekobhāsāni bhūtapālaseṭṭhikulasadisāni. Isivātapaṭivātānīti gehaṃ pavisantānaṃ nikkhamantānañca bhikkhubhikkhunīsaṅkhātānaṃ isīnaṃ cīvaravātena ceva samiñjanapasāraṇādijanitasarīravātena ca paṭivātāni pavāyitāni viniddhutakibbisāni vā.
๕๑๕. อณุมเตฺตสุ วเชฺชสุ ภยทสฺสาวิตานิเทฺทเส อณุมตฺตานีติ อณุปฺปมาณาฯ วชฺชาติ โทสาฯ ยานิ ตานิ วชฺชานีติ ยานิ ตานิ ครหิตพฺพเฎฺฐน วชฺชานิฯ อปฺปมตฺตกานีติ ปริตฺตมตฺตกานิ ขุทฺทกปฺปมาณานิฯ โอรมตฺตกานีติ ปริตฺตโตปิ โอริมปฺปมาณตฺตา โอรมตฺตกานิฯ ลหุสานีติ ลหุกานิฯ ลหุสมฺมตานีติ ลหูติ สมฺมตานิฯ สํยมกรณียานีติ สํยเมน กตฺตพฺพปฎิกมฺมานิฯ สํวรกรณียานีติ สํวเรน กาตพฺพานิ สํวเรน กตฺตพฺพปฎิกมฺมานิฯ จิตฺตุปฺปาทกรณียานีติ จิตฺตุปฺปาทมเตฺตน กตฺตพฺพปฎิกมฺมานิฯ มนสิการปฎิพทฺธานีติ มนสา อาวชฺชิตมเตฺตเนว กตฺตพฺพปฎิกมฺมานิฯ กานิ ปน ตานีติ? ทิวาวิหารวาสี สุมเตฺถโร ตาว อาห – ‘‘อนาปตฺติคมนียานิ จิตฺตุปฺปาทมตฺตกานิ ยานิ ‘น ปุน เอวรูปํ กริสฺสามี’ติ มนสา อาวชฺชิตมเตฺตเนว สุชฺฌนฺติฯ อธิฎฺฐานาวิกมฺมํ นาเมตํ กถิต’’นฺติฯ อเนฺตวาสิโก ปนสฺส ติปิฎกจูฬนาคเตฺถโร ปนาห – ‘‘อิทํ ปาติโมกฺขสํวรสีลเสฺสว ภาชนียํฯ ตสฺมา สพฺพลหุกํ ทุกฺกฎทุพฺภาสิตํ อิธ วชฺชนฺติ เวทิตพฺพํฯ วุฎฺฐานาวิกมฺมํ นาเมตํ กถิต’’นฺติฯ อิติอิเมสูติ เอวํปกาเรสุ อิเมสุฯ วชฺชทสฺสาวีติ วชฺชโต โทสโต ทสฺสนสีโลฯ ภยทสฺสาวีติ จตุพฺพิธสฺส ภยสฺส การณตฺตา ภยโต ทสฺสนสีโลฯ อาทีนวทสฺสาวีติ อิธ นินฺทาวหนโต, อายติํ ทุกฺขวิปากโต, อุปริคุณานํ อนฺตรายกรณโต, วิปฺปฎิสารชนนโต จ เอเตน นานปฺปกาเรน อาทีนวโต ทสฺสนสีโลฯ
515. Aṇumattesu vajjesu bhayadassāvitāniddese aṇumattānīti aṇuppamāṇā. Vajjāti dosā. Yāni tāni vajjānīti yāni tāni garahitabbaṭṭhena vajjāni. Appamattakānīti parittamattakāni khuddakappamāṇāni. Oramattakānīti parittatopi orimappamāṇattā oramattakāni. Lahusānīti lahukāni. Lahusammatānīti lahūti sammatāni. Saṃyamakaraṇīyānīti saṃyamena kattabbapaṭikammāni. Saṃvarakaraṇīyānīti saṃvarena kātabbāni saṃvarena kattabbapaṭikammāni. Cittuppādakaraṇīyānīti cittuppādamattena kattabbapaṭikammāni. Manasikārapaṭibaddhānīti manasā āvajjitamatteneva kattabbapaṭikammāni. Kāni pana tānīti? Divāvihāravāsī sumatthero tāva āha – ‘‘anāpattigamanīyāni cittuppādamattakāni yāni ‘na puna evarūpaṃ karissāmī’ti manasā āvajjitamatteneva sujjhanti. Adhiṭṭhānāvikammaṃ nāmetaṃ kathita’’nti. Antevāsiko panassa tipiṭakacūḷanāgatthero panāha – ‘‘idaṃ pātimokkhasaṃvarasīlasseva bhājanīyaṃ. Tasmā sabbalahukaṃ dukkaṭadubbhāsitaṃ idha vajjanti veditabbaṃ. Vuṭṭhānāvikammaṃ nāmetaṃ kathita’’nti. Itiimesūti evaṃpakāresu imesu. Vajjadassāvīti vajjato dosato dassanasīlo. Bhayadassāvīti catubbidhassa bhayassa kāraṇattā bhayato dassanasīlo. Ādīnavadassāvīti idha nindāvahanato, āyatiṃ dukkhavipākato, upariguṇānaṃ antarāyakaraṇato, vippaṭisārajananato ca etena nānappakārena ādīnavato dassanasīlo.
นิสฺสรณทสฺสาวีติ ยํ ตตฺถ นิสฺสรณํ ตสฺส ทสฺสนสีโลฯ กิํ ปเนตฺถ นิสฺสรณนฺติ? อาจริยเตฺถรวาเท ตาว ‘‘อนาปตฺติคมนียตาย สติ อธิฎฺฐานาวิกมฺมํ นิสฺสรณ’’นฺติ กถิตํฯ อเนฺตวาสิกเตฺถรวาเท ตาว ‘‘อาปตฺติคมนียตาย สติ วุฎฺฐานาวิกมฺมํ นิสฺสรณ’’นฺติ กถิตํฯ
Nissaraṇadassāvīti yaṃ tattha nissaraṇaṃ tassa dassanasīlo. Kiṃ panettha nissaraṇanti? Ācariyattheravāde tāva ‘‘anāpattigamanīyatāya sati adhiṭṭhānāvikammaṃ nissaraṇa’’nti kathitaṃ. Antevāsikattheravāde tāva ‘‘āpattigamanīyatāya sati vuṭṭhānāvikammaṃ nissaraṇa’’nti kathitaṃ.
ตตฺถ ตถารูโป ภิกฺขุ อณุมตฺตานิ วชฺชานิ วชฺชโต ภยโต ปสฺสติ นามฯ ตํ ทเสฺสตุํ อยํ นโย กถิโต – ปรมาณุ นาม, อณุ นาม, ตชฺชารี นาม, รถเรณุ นาม, ลิกฺขา นาม, อูกา นาม, ธญฺญมาโส นาม, องฺคุลํ นาม, วิทตฺถิ นาม, รตนํ นาม, ยฎฺฐิ นาม, อุสภํ นาม, คาวุตํ นาม, โยชนํ นามฯ ตตฺถ ‘ปรมาณุ’ นาม อากาสโกฎฺฐาสิโก มํสจกฺขุสฺส อาปาถํ นาคจฺฉติ, ทิพฺพจกฺขุเสฺสว อาคจฺฉติฯ ‘อณุ’ นาม ภิตฺติจฺฉิทฺทตาลจฺฉิเทฺทหิ ปวิฎฺฐสูริยรสฺมีสุ วฎฺฎิ วฎฺฎิ หุตฺวา ปริพฺภมโนฺต ปญฺญายติฯ ‘ตชฺชารี’ นาม โคปถมนุสฺสปถจกฺกปเถสุ ฉิชฺชิตฺวา อุโภสุ ปเสฺสสุ อุคฺคนฺตฺวา ติฎฺฐติฯ ‘รถเรณุ’ นาม ตตฺถ ตเตฺถว อลฺลียติฯ ลิกฺขาทโย ปากฎา เอวฯ เอเตสุ ปน ฉตฺติํส ปรมาณโว เอกสฺส อณุโน ปมาณํฯ ฉตฺติํส อณู เอกาย ตชฺชาริยา ปมาณํฯ ฉตฺติํส ตชฺชาริโย เอโก รถเรณุฯ ฉตฺติํส รถเรณู เอกา ลิกฺขาฯ สตฺต ลิกฺขา เอกา อูกาฯ สตฺต อูกา เอโก ธญฺญมาโสฯ สตฺตธญฺญมาสปฺปมาณํ เอกํ องฺคุลํฯ เตนงฺคุเลน ทฺวาทสงฺคุลานิ วิทตฺถิฯ เทฺว วิทตฺถิโย รตนํฯ สตฺต รตนานิ ยฎฺฐิฯ ตาย ยฎฺฐิยา วีสติ ยฎฺฐิโย อุสภํฯ อสีติ อุสภานิ คาวุตํฯ จตฺตาริ คาวุตานิ โยชนํฯ เตน โยชเนน อฎฺฐสฎฺฐิโยชนสตสหสฺสุเพฺพโธ สิเนรุปพฺพตราชาฯ โย ภิกฺขุ อณุมตฺตํ วชฺชํ อฎฺฐสฎฺฐิโยชนสตสหสฺสุเพฺพธสิเนรุปพฺพตสทิสํ กตฺวา ทฎฺฐุํ สโกฺกติ – อยํ ภิกฺขุ อณุมตฺตานิ วชฺชานิ ภยโต ปสฺสติ นามฯ โยปิ ภิกฺขุ สพฺพลหุกํ ทุกฺกฎทุพฺภาสิตมตฺตํ ปฐมปาราชิกสทิสํ กตฺวา ทฎฺฐุํ สโกฺกติ – อยํ อณุมตฺตานิ วชฺชานิ วชฺชโต ภยโต ปสฺสติ นามาติ เวทิตโพฺพฯ
Tattha tathārūpo bhikkhu aṇumattāni vajjāni vajjato bhayato passati nāma. Taṃ dassetuṃ ayaṃ nayo kathito – paramāṇu nāma, aṇu nāma, tajjārī nāma, rathareṇu nāma, likkhā nāma, ūkā nāma, dhaññamāso nāma, aṅgulaṃ nāma, vidatthi nāma, ratanaṃ nāma, yaṭṭhi nāma, usabhaṃ nāma, gāvutaṃ nāma, yojanaṃ nāma. Tattha ‘paramāṇu’ nāma ākāsakoṭṭhāsiko maṃsacakkhussa āpāthaṃ nāgacchati, dibbacakkhusseva āgacchati. ‘Aṇu’ nāma bhitticchiddatālacchiddehi paviṭṭhasūriyarasmīsu vaṭṭi vaṭṭi hutvā paribbhamanto paññāyati. ‘Tajjārī’ nāma gopathamanussapathacakkapathesu chijjitvā ubhosu passesu uggantvā tiṭṭhati. ‘Rathareṇu’ nāma tattha tattheva allīyati. Likkhādayo pākaṭā eva. Etesu pana chattiṃsa paramāṇavo ekassa aṇuno pamāṇaṃ. Chattiṃsa aṇū ekāya tajjāriyā pamāṇaṃ. Chattiṃsa tajjāriyo eko rathareṇu. Chattiṃsa rathareṇū ekā likkhā. Satta likkhā ekā ūkā. Satta ūkā eko dhaññamāso. Sattadhaññamāsappamāṇaṃ ekaṃ aṅgulaṃ. Tenaṅgulena dvādasaṅgulāni vidatthi. Dve vidatthiyo ratanaṃ. Satta ratanāni yaṭṭhi. Tāya yaṭṭhiyā vīsati yaṭṭhiyo usabhaṃ. Asīti usabhāni gāvutaṃ. Cattāri gāvutāni yojanaṃ. Tena yojanena aṭṭhasaṭṭhiyojanasatasahassubbedho sinerupabbatarājā. Yo bhikkhu aṇumattaṃ vajjaṃ aṭṭhasaṭṭhiyojanasatasahassubbedhasinerupabbatasadisaṃ katvā daṭṭhuṃ sakkoti – ayaṃ bhikkhu aṇumattāni vajjāni bhayato passati nāma. Yopi bhikkhu sabbalahukaṃ dukkaṭadubbhāsitamattaṃ paṭhamapārājikasadisaṃ katvā daṭṭhuṃ sakkoti – ayaṃ aṇumattāni vajjāni vajjato bhayato passati nāmāti veditabbo.
๕๑๖. สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสูติปทนิเทฺทเส ภิกฺขุสิกฺขาติ ภิกฺขูหิ สิกฺขิตพฺพสิกฺขาฯ สา ภิกฺขุนีหิ สาธารณาปิ อสาธารณาปิ ภิกฺขุสิกฺขา เอว นามฯ ภิกฺขุนีสิกฺขาติ ภิกฺขุนีหิ สิกฺขิตพฺพสิกฺขาฯ สาปิ ภิกฺขูหิ สาธารณาปิ อสาธารณาปิ ภิกฺขุนีสิกฺขา เอว นามฯ สามเณรสิกฺขมานสามเณรีนํ สิกฺขาปิ เอเตฺถว ปวิฎฺฐาฯ อุปาสกสิกฺขาติ อุปาสเกหิ สิกฺขิตพฺพสิกฺขาฯ สา ปญฺจสีลทสสีลวเสน วฎฺฎติฯ อุปาสิกาสิกฺขาติ อุปาสิกาหิ สิกฺขิตพฺพสิกฺขาฯ สาปิ ปญฺจสีลทสสีลวเสน วฎฺฎติฯ ตตฺถ ภิกฺขุภิกฺขุนีนํ สิกฺขา ยาว อรหตฺตมคฺคา วฎฺฎติฯ อุปาสกอุปาสิกานํ สิกฺขา ยาว อนาคามิมคฺคาฯ ตตฺรายํ ภิกฺขุ อตฺตนา สิกฺขิตพฺพสิกฺขาปเทสุ เอว สิกฺขติฯ เสสสิกฺขา ปน อตฺถุทฺธารวเสน สิกฺขาปทสฺส อตฺถทสฺส ทสฺสนตฺถํ วุตฺตาฯ อิติ อิมาสุ สิกฺขาสูติ เอวํปการาสุ เอตาสุ สิกฺขาสุฯ สเพฺพน สพฺพนฺติ สเพฺพน สิกฺขาสมาทาเนน สพฺพํ สิกฺขํฯ สพฺพถา สพฺพนฺติ สเพฺพน สิกฺขิตพฺพากาเรน สพฺพํ สิกฺขํฯ อเสสํ นิเสฺสสนฺติ เสสาภาวโต อเสสํ; สติสโมฺมเสน ภินฺนสฺสาปิ สิกฺขาปทสฺส ปุน ปากติกกรณโต นิเสฺสสํฯ สมาทาย วตฺตตีติ สมาทิยิตฺวา คเหตฺวา วตฺตติฯ เตน วุจฺจตีติ เยน การเณน เอตํ สพฺพํ สิกฺขาปทํ สเพฺพน สิกฺขิตพฺพากาเรน สมาทิยิตฺวา สิกฺขติ ปูเรติ, เตน วุจฺจติ ‘‘สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสู’’ติฯ
516. Samādāya sikkhati sikkhāpadesūtipadaniddese bhikkhusikkhāti bhikkhūhi sikkhitabbasikkhā. Sā bhikkhunīhi sādhāraṇāpi asādhāraṇāpi bhikkhusikkhā eva nāma. Bhikkhunīsikkhāti bhikkhunīhi sikkhitabbasikkhā. Sāpi bhikkhūhi sādhāraṇāpi asādhāraṇāpi bhikkhunīsikkhā eva nāma. Sāmaṇerasikkhamānasāmaṇerīnaṃ sikkhāpi ettheva paviṭṭhā. Upāsakasikkhāti upāsakehi sikkhitabbasikkhā. Sā pañcasīladasasīlavasena vaṭṭati. Upāsikāsikkhāti upāsikāhi sikkhitabbasikkhā. Sāpi pañcasīladasasīlavasena vaṭṭati. Tattha bhikkhubhikkhunīnaṃ sikkhā yāva arahattamaggā vaṭṭati. Upāsakaupāsikānaṃ sikkhā yāva anāgāmimaggā. Tatrāyaṃ bhikkhu attanā sikkhitabbasikkhāpadesu eva sikkhati. Sesasikkhā pana atthuddhāravasena sikkhāpadassa atthadassa dassanatthaṃ vuttā. Iti imāsu sikkhāsūti evaṃpakārāsu etāsu sikkhāsu. Sabbena sabbanti sabbena sikkhāsamādānena sabbaṃ sikkhaṃ. Sabbathā sabbanti sabbena sikkhitabbākārena sabbaṃ sikkhaṃ. Asesaṃ nissesanti sesābhāvato asesaṃ; satisammosena bhinnassāpi sikkhāpadassa puna pākatikakaraṇato nissesaṃ. Samādāya vattatīti samādiyitvā gahetvā vattati. Tena vuccatīti yena kāraṇena etaṃ sabbaṃ sikkhāpadaṃ sabbena sikkhitabbākārena samādiyitvā sikkhati pūreti, tena vuccati ‘‘samādāya sikkhati sikkhāpadesū’’ti.
๕๑๗-๘. อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โภชเน มตฺตญฺญูติปททฺวยสฺส นิเทฺทเส กณฺหปกฺขสฺส ปฐมวจเน ปโยชนํ อาจารนิเทฺทเส วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ กตมา อินฺทฺริเยสุ อคุตฺตทฺวารตาติอาทีสุ ปน ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ สพฺพํ นิเกฺขปกณฺฑวณฺณนายํ วุตฺตเมวฯ
517-8. Indriyesu guttadvāro bhojane mattaññūtipadadvayassa niddese kaṇhapakkhassa paṭhamavacane payojanaṃ ācāraniddese vuttanayeneva veditabbaṃ. Tattha katamā indriyesu aguttadvāratātiādīsu pana yaṃ vattabbaṃ, taṃ sabbaṃ nikkhepakaṇḍavaṇṇanāyaṃ vuttameva.
๕๑๙. ชาคริยานุโยคนิเทฺทเส ปุพฺพรตฺตาปรรตฺตนฺติ เอตฺถ อฑฺฒรตฺตสงฺขาตาย รตฺติยา ปุเพฺพ ปุพฺพรตฺตํ; อิมินา ปฐมยามเญฺจว ปจฺฉาภตฺตญฺจ คณฺหาติ ฯ รตฺติยา ปจฺฉา อปรรตฺตํ; อิมินา ปจฺฉิมยามเญฺจว ปุเรภตฺตญฺจ คณฺหาติฯ มชฺฌิมยาโม ปนสฺส ภิกฺขุโน นิทฺทากิลมถวิโนทโนกาโสติ น คหิโตฯ ชาคริยานุโยคนฺติ ชาคริยสฺส อสุปนภาวสฺส อนุโยคํฯ อนุยุโตฺต โหตีติ ตํ อนุโยคสงฺขาตํ อาเสวนํ ภาวนํ อนุยุโตฺต โหติ สมฺปยุโตฺตฯ นิเทฺทเส ปนสฺส อิธ ภิกฺขุ ทิวสนฺติ ปุพฺพโณฺห, มชฺฌโนฺห, สายโนฺหติ ตโยปิ ทิวสโกฎฺฐาสา คหิตาฯ จงฺกเมน นิสชฺชายาติ สกลมฺปิ ทิวสํ อิมินา อิริยาปถทฺวเยเนว วิหรโนฺตฯ จิตฺตสฺส อาวรณโต อาวรณีเยหิ ธเมฺมหิ ปญฺจหิปิ นีวรเณหิ สพฺพากุสลธเมฺมหิ วา จิตฺตํ ปริโสเธติฯ เตหิ ธเมฺมหิ วิโสเธติ ปริโมเจติฯ ฐานํ ปเนตฺถ กิญฺจาปิ น คหิตํ, จงฺกมนิสชฺชาสนฺนิสฺสิตํ ปน กตฺวา คเหตพฺพเมวฯ ปฐมยามนฺติ สกลสฺมิมฺปิ ปฐมยาเมฯ มชฺฌิมยามนฺติ รตฺตินฺทิวสฺส ฉฎฺฐโกฎฺฐาสสงฺขาเต มชฺฌิมยาเมฯ
519. Jāgariyānuyoganiddese pubbarattāpararattanti ettha aḍḍharattasaṅkhātāya rattiyā pubbe pubbarattaṃ; iminā paṭhamayāmañceva pacchābhattañca gaṇhāti . Rattiyā pacchā apararattaṃ; iminā pacchimayāmañceva purebhattañca gaṇhāti. Majjhimayāmo panassa bhikkhuno niddākilamathavinodanokāsoti na gahito. Jāgariyānuyoganti jāgariyassa asupanabhāvassa anuyogaṃ. Anuyutto hotīti taṃ anuyogasaṅkhātaṃ āsevanaṃ bhāvanaṃ anuyutto hoti sampayutto. Niddese panassa idha bhikkhu divasanti pubbaṇho, majjhanho, sāyanhoti tayopi divasakoṭṭhāsā gahitā. Caṅkamena nisajjāyāti sakalampi divasaṃ iminā iriyāpathadvayeneva viharanto. Cittassa āvaraṇato āvaraṇīyehi dhammehi pañcahipi nīvaraṇehi sabbākusaladhammehi vā cittaṃ parisodheti. Tehi dhammehi visodheti parimoceti. Ṭhānaṃ panettha kiñcāpi na gahitaṃ, caṅkamanisajjāsannissitaṃ pana katvā gahetabbameva. Paṭhamayāmanti sakalasmimpi paṭhamayāme. Majjhimayāmanti rattindivassa chaṭṭhakoṭṭhāsasaṅkhāte majjhimayāme.
สีหเสยฺยนฺติ เอตฺถ กามโภคีเสยฺยา, เปตเสยฺยา, สีหเสยฺยา, ตถาคตเสยฺยาติ จตโสฺส เสยฺยาฯ ตตฺถ ‘‘เยภุเยฺยน, ภิกฺขเว, กามโภคี วาเมน ปเสฺสน เสนฺตี’’ติ อยํ กามโภคีเสยฺยาฯ เตสุ หิ เยภุเยฺยน ทกฺขิณปเสฺสน สยาโน นาม นตฺถิฯ ‘‘เยภุเยฺยน, ภิกฺขเว , เปตา อุตฺตานา เสนฺตี’’ติ อยํ เปตเสยฺยา; อปฺปมํสโลหิตตฺตา หิ อฎฺฐิสงฺฆาฎชฎิตา เอเกน ปเสฺสน สยิตุํ น สโกฺกนฺติ, อุตฺตานาว เสนฺติฯ สีโห, ภิกฺขเว, มิคราชา ทกฺขิเณน ปเสฺสน เสยฺยํ กเปฺปติ…เป.… อตฺตมโน โหตี’’ติ (อ. นิ. ๔.๒๔๖) อยํ สีหเสยฺยา; เตชุสฺสทตฺตา หิ สีโห มิคราชา เทฺว ปุริมปาเท เอกสฺมิํ ฐาเน เทฺว ปจฺฉิมปาเท เอกสฺมิํ ฐาเน ฐเปตฺวา นงฺคุฎฺฐํ อนฺตรสตฺถิมฺหิ ปกฺขิปิตฺวา ปุริมปาทปจฺฉิมปาทนงฺคุฎฺฐานํ ฐิโตกาสํ สลฺลเกฺขตฺวา ทฺวินฺนํ ปุริมปาทานํ มตฺถเก สีสํ ฐเปตฺวา สยติ; ทิวสมฺปิ สยิตฺวา ปพุชฺฌมาโน น อุตฺตสโนฺต ปพุชฺฌติ, สีสํ ปน อุกฺขิปิตฺวา ปุริมปาทาทีนํ ฐิโตกาสํ สลฺลเกฺขติ; สเจ กิญฺจิ ฐานํ วิชหิตฺวา ฐิตํ โหติ ‘นยิทํ ตุยฺหํ ชาติยา น สูรภาวสฺส อนุรูป’นฺติ อนตฺตมโน หุตฺวา ตเตฺถว สยติ, น โคจราย ปกฺกมติ; อวิชหิตฺวา ฐิเต ปน ‘ตุยฺหํ ชาติยา จ สูรภาวสฺส จ อนุรูปมิท’นฺติ หฎฺฐตุโฎฺฐ อุฎฺฐาย สีหวิชมฺภิตํ วิชมฺภิตฺวา เกสรภารํ วิธุนิตฺวา ติกฺขตฺตุํ สีหนาทํ นทิตฺวา โคจราย ปกฺกมติฯ จตุตฺถชฺฌานเสยฺยา ปน ตถาคตเสยฺยาติ วุจฺจติฯ ตาสุ อิธ สีหเสยฺยา อาคตาฯ อยญฺหิ เตชุสฺสทอิริยาปถตฺตา อุตฺตมเสยฺยา นามฯ
Sīhaseyyanti ettha kāmabhogīseyyā, petaseyyā, sīhaseyyā, tathāgataseyyāti catasso seyyā. Tattha ‘‘yebhuyyena, bhikkhave, kāmabhogī vāmena passena sentī’’ti ayaṃ kāmabhogīseyyā. Tesu hi yebhuyyena dakkhiṇapassena sayāno nāma natthi. ‘‘Yebhuyyena, bhikkhave , petā uttānā sentī’’ti ayaṃ petaseyyā; appamaṃsalohitattā hi aṭṭhisaṅghāṭajaṭitā ekena passena sayituṃ na sakkonti, uttānāva senti. Sīho, bhikkhave, migarājā dakkhiṇena passena seyyaṃ kappeti…pe… attamano hotī’’ti (a. ni. 4.246) ayaṃ sīhaseyyā; tejussadattā hi sīho migarājā dve purimapāde ekasmiṃ ṭhāne dve pacchimapāde ekasmiṃ ṭhāne ṭhapetvā naṅguṭṭhaṃ antarasatthimhi pakkhipitvā purimapādapacchimapādanaṅguṭṭhānaṃ ṭhitokāsaṃ sallakkhetvā dvinnaṃ purimapādānaṃ matthake sīsaṃ ṭhapetvā sayati; divasampi sayitvā pabujjhamāno na uttasanto pabujjhati, sīsaṃ pana ukkhipitvā purimapādādīnaṃ ṭhitokāsaṃ sallakkheti; sace kiñci ṭhānaṃ vijahitvā ṭhitaṃ hoti ‘nayidaṃ tuyhaṃ jātiyā na sūrabhāvassa anurūpa’nti anattamano hutvā tattheva sayati, na gocarāya pakkamati; avijahitvā ṭhite pana ‘tuyhaṃ jātiyā ca sūrabhāvassa ca anurūpamida’nti haṭṭhatuṭṭho uṭṭhāya sīhavijambhitaṃ vijambhitvā kesarabhāraṃ vidhunitvā tikkhattuṃ sīhanādaṃ naditvā gocarāya pakkamati. Catutthajjhānaseyyā pana tathāgataseyyāti vuccati. Tāsu idha sīhaseyyā āgatā. Ayañhi tejussadairiyāpathattā uttamaseyyā nāma.
ปาเท ปาทนฺติ ทกฺขิณปาเท วามปาทํฯ อจฺจาธายาติ อติอาธาย อีสกํ อติกฺกมฺม ฐเปตฺวา โคปฺผเกน หิ โคปฺผเก ชาณุนา วา ชาณุมฺหิ สงฺฆฎฺฎิยมาเน อภิณฺหํ เวทนา อุปฺปชฺชติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ น โหติ, เสยฺยา อผาสุกา โหติ; ยถา ปน น สงฺฆเฎฺฎติ, เอวํ อติกฺกมฺม ฐปิเต เวทนา นุปฺปชฺชติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ, เสยฺยา ผาสุกา โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปาเท ปาทํ อจฺจาธายา’’ติฯ สโต สมฺปชาโนติ สติยา เจว สมฺปชานปญฺญาย จ สมนฺนาคโต หุตฺวาฯ อิมินา สุปริคฺคาหกํ สติสมฺปชญฺญํ กถิตํฯ อุฎฺฐานสญฺญํ มนสิกริตฺวาติ อสุกเวลาย นาม อุฎฺฐหิสฺสามี’ติ เอวํ อุฎฺฐานเวลาปริเจฺฉทกํ อุฎฺฐานสญฺญํ จิเตฺต อุเปตฺวาฯ เอวํ กตฺวา นิปโนฺน หิ ยถาปริจฺฉินฺนกาเลเยว อุฎฺฐาตุํ ยุโตฺตฯ
Pāde pādanti dakkhiṇapāde vāmapādaṃ. Accādhāyāti atiādhāya īsakaṃ atikkamma ṭhapetvā gopphakena hi gopphake jāṇunā vā jāṇumhi saṅghaṭṭiyamāne abhiṇhaṃ vedanā uppajjati, cittaṃ ekaggaṃ na hoti, seyyā aphāsukā hoti; yathā pana na saṅghaṭṭeti, evaṃ atikkamma ṭhapite vedanā nuppajjati, cittaṃ ekaggaṃ hoti, seyyā phāsukā hoti. Tena vuttaṃ ‘‘pāde pādaṃ accādhāyā’’ti. Sato sampajānoti satiyā ceva sampajānapaññāya ca samannāgato hutvā. Iminā supariggāhakaṃ satisampajaññaṃ kathitaṃ. Uṭṭhānasaññaṃ manasikaritvāti asukavelāya nāma uṭṭhahissāmī’ti evaṃ uṭṭhānavelāparicchedakaṃ uṭṭhānasaññaṃ citte upetvā. Evaṃ katvā nipanno hi yathāparicchinnakāleyeva uṭṭhātuṃ yutto.
๕๒๐-๕๒๑. สาตจฺจํ เนปกฺกนฺติ สตตํ ปวตฺตยิตพฺพโต สาตจฺจสงฺขาตํ วีริยเญฺจว ปริปากคตตฺตา เนปกฺกสงฺขาตํ ปญฺญญฺจ ยุโตฺต อนุยุโตฺต ปวตฺตยมาโนเยว ชาคริยานุโยคํ อนุยุโตฺต วิหรตีติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ วีริยํ โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกํ กถิตํ, ปญฺญาปิ วีริยคติกา เอว; วีริเย โลกิยมฺหิ โลกิยา, โลกุตฺตเร โลกุตฺตราติ อโตฺถฯ
520-521. Sātaccaṃ nepakkanti satataṃ pavattayitabbato sātaccasaṅkhātaṃ vīriyañceva paripākagatattā nepakkasaṅkhātaṃ paññañca yutto anuyutto pavattayamānoyeva jāgariyānuyogaṃ anuyutto viharatīti attho. Ettha ca vīriyaṃ lokiyalokuttaramissakaṃ kathitaṃ, paññāpi vīriyagatikā eva; vīriye lokiyamhi lokiyā, lokuttare lokuttarāti attho.
๕๒๒. โพธิปกฺขิยานํ ธมฺมานนฺติ จตุสจฺจโพธิสงฺขาตสฺส มคฺคญาณสฺส ปเกฺข ภวานํ ธมฺมานํฯ เอตฺตาวตา สเพฺพปิ สตฺตติํส โพธิปกฺขิยธเมฺม สมูหโต คเหตฺวา โลกิยายปิ ภาวนาย เอการมฺมเณ เอกโต ปวตฺตนสมเตฺถ โพชฺฌเงฺคเยว ทเสฺสโนฺต สตฺต โพชฺฌงฺคาติอาทิมาหฯ เต โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกาว กถิตาติ เวทิตพฺพาฯ เสสเมตฺถ เหฎฺฐา วุตฺตนยตฺตา อุตฺตานตฺถเมวฯ
522. Bodhipakkhiyānaṃdhammānanti catusaccabodhisaṅkhātassa maggañāṇassa pakkhe bhavānaṃ dhammānaṃ. Ettāvatā sabbepi sattatiṃsa bodhipakkhiyadhamme samūhato gahetvā lokiyāyapi bhāvanāya ekārammaṇe ekato pavattanasamatthe bojjhaṅgeyeva dassento satta bojjhaṅgātiādimāha. Te lokiyalokuttaramissakāva kathitāti veditabbā. Sesamettha heṭṭhā vuttanayattā uttānatthameva.
๕๒๓. อภิกฺกเนฺตติอาทินิเทฺทเส อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺตติ เอตฺถ ตาว อภิกฺกนฺตํ วุจฺจติ ปุรโต คมนํฯ ปฎิกฺกนฺตนฺติ นิวตฺตนํฯ ตทุภยมฺปิ จตูสุ อิริยาปเถสุ ลพฺภติฯ คมเน ตาว ปุรโต กายํ อภิหรโนฺต อภิกฺกมติ นาม, ปฎินิวตฺตโนฺต ปฎิกฺกมติ นามฯ ฐาเนปิ ฐิตโกว กายํ ปุรโต โอนาเมโนฺต อภิกฺกมติ นาม, ปจฺฉโต อปนาเมโนฺต ปฎิกฺกมติ นามฯ นิสชฺชายปิ นิสินฺนโกว อาสนฺนสฺส ปุริมองฺคาภิมุโข สํสรโนฺต อภิกฺกมติ นาม, ปจฺฉิมองฺคปฺปเทสํ ปจฺจาสํสรโนฺต ปฎิกฺกมติ นามฯ นิปชฺชายปิ เอเสว นโยฯ
523. Abhikkantetiādiniddese abhikkante paṭikkanteti ettha tāva abhikkantaṃ vuccati purato gamanaṃ. Paṭikkantanti nivattanaṃ. Tadubhayampi catūsu iriyāpathesu labbhati. Gamane tāva purato kāyaṃ abhiharanto abhikkamati nāma, paṭinivattanto paṭikkamati nāma. Ṭhānepi ṭhitakova kāyaṃ purato onāmento abhikkamati nāma, pacchato apanāmento paṭikkamati nāma. Nisajjāyapi nisinnakova āsannassa purimaaṅgābhimukho saṃsaranto abhikkamati nāma, pacchimaaṅgappadesaṃ paccāsaṃsaranto paṭikkamati nāma. Nipajjāyapi eseva nayo.
สมฺปชานการี โหตีติ สมฺปชเญฺญน สพฺพกิจฺจการี, สมฺปชญฺญเสฺสว วา การีฯ โส หิ อภิกฺกนฺตาทีสุ สมฺปชญฺญํ กโรเตว, น กตฺถจิ สมฺปชญฺญวิรหิโต โหติฯ ตํ ปน สมฺปชญฺญํ ยสฺมา สติสมฺปยุตฺตเมว โหติ, เตนสฺส นิเทฺทเส ‘‘สโต สมฺปชาโน อภิกฺกมติ, สโต สมฺปชาโน ปฎิกฺกมตี’’ติ วุตฺตํฯ
Sampajānakārī hotīti sampajaññena sabbakiccakārī, sampajaññasseva vā kārī. So hi abhikkantādīsu sampajaññaṃ karoteva, na katthaci sampajaññavirahito hoti. Taṃ pana sampajaññaṃ yasmā satisampayuttameva hoti, tenassa niddese ‘‘sato sampajāno abhikkamati, sato sampajāno paṭikkamatī’’ti vuttaṃ.
อยญฺหิ อภิกฺกมโนฺต วา ปฎิกฺกมโนฺต วา น มุฎฺฐสฺสตี อสมฺปชาโน โหติ; สติยา ปน สมนฺนาคโต ปญฺญาย จ สมฺปชาโนเยว อภิกฺกมติ เจว ปฎิกฺกมติ จ; สเพฺพสุ อภิกฺกมาทีสุ จตุพฺพิธํ สมฺปชญฺญํ โอตาเรติฯ จตุพฺพิธญฺหิ สมฺปชญฺญํ – สาตฺถกสมฺปชญฺญํ, สปฺปายสมฺปชญฺญํ, โคจรสมฺปชญฺญํ, อสโมฺมหสมฺปชญฺญนฺติฯ ตตฺถ อภิกฺกมนจิเตฺต อุปฺปเนฺน จิตฺตวเสเนว อคนฺตฺวา ‘กินฺนุ เม เอตฺถ คเตน อโตฺถ อตฺถิ, นตฺถี’ติ อตฺถานตฺถํ ปริคฺคเหตฺวา อตฺถปริคฺคณฺหนํ ‘สาตฺถกสมฺปชญฺญํ’ฯ ตตฺถ จ ‘อโตฺถ’ติ เจติยทสฺสนโพธิทสฺสนสงฺฆทสฺสนเถรทสฺสนอสุภทสฺสนาทิวเสน ธมฺมโต วฑฺฒิฯ เจติยํ วา โพธิํ วา ทิสฺวาปิ หิ พุทฺธารมฺมณํ ปีติํ, สงฺฆทสฺสเนน สงฺฆารมฺมณํ ปีติํ อุปฺปาเทตฺวา ตเทว ขยวยโต สมฺมสโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ เถเร ทิสฺวา เตสํ โอวาเท ปติฎฺฐาย, อสุภํ ทิสฺวา ตตฺถ ปฐมชฺฌานํ อุปฺปาเทตฺวา ตเทว ขยวยโต สมฺมสโนฺต อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ ตสฺมา เอเตสํ ทสฺสนํ สาตฺถํฯ เกจิ ปน ‘‘อามิสโตปิ วฑฺฒิ อโตฺถเยว; ตํ นิสฺสาย พฺรหฺมจริยานุคฺคหาย ปฎิปนฺนตฺตา’’ติ วทนฺติฯ
Ayañhi abhikkamanto vā paṭikkamanto vā na muṭṭhassatī asampajāno hoti; satiyā pana samannāgato paññāya ca sampajānoyeva abhikkamati ceva paṭikkamati ca; sabbesu abhikkamādīsu catubbidhaṃ sampajaññaṃ otāreti. Catubbidhañhi sampajaññaṃ – sātthakasampajaññaṃ, sappāyasampajaññaṃ, gocarasampajaññaṃ, asammohasampajaññanti. Tattha abhikkamanacitte uppanne cittavaseneva agantvā ‘kinnu me ettha gatena attho atthi, natthī’ti atthānatthaṃ pariggahetvā atthapariggaṇhanaṃ ‘sātthakasampajaññaṃ’. Tattha ca ‘attho’ti cetiyadassanabodhidassanasaṅghadassanatheradassanaasubhadassanādivasena dhammato vaḍḍhi. Cetiyaṃ vā bodhiṃ vā disvāpi hi buddhārammaṇaṃ pītiṃ, saṅghadassanena saṅghārammaṇaṃ pītiṃ uppādetvā tadeva khayavayato sammasanto arahattaṃ pāpuṇāti. There disvā tesaṃ ovāde patiṭṭhāya, asubhaṃ disvā tattha paṭhamajjhānaṃ uppādetvā tadeva khayavayato sammasanto arahattaṃ pāpuṇāti. Tasmā etesaṃ dassanaṃ sātthaṃ. Keci pana ‘‘āmisatopi vaḍḍhi atthoyeva; taṃ nissāya brahmacariyānuggahāya paṭipannattā’’ti vadanti.
ตสฺมิํ ปน คมเน สปฺปายาสปฺปายํ ปริคฺคเหตฺวา สปฺปายปริคฺคณฺหนํ ‘สปฺปายสมฺปชญฺญํ’, เสยฺยถิทํ – เจติยทสฺสนํ ตาว สาตฺถํฯ สเจ ปน เจติยสฺส มหติยา ปูชาย ทสทฺวาทสโยชนนฺตเร ปริสา สนฺนิปตนฺติ , อตฺตโน วิภวานุรูปํ อิตฺถิโยปิ ปุริสาปิ อลงฺกตปฎิยตฺตา จิตฺตกมฺมรูปกานิ วิย สญฺจรนฺติ, ตตฺร จสฺส อิเฎฺฐ อารมฺมเณ โลโภ, อนิเฎฺฐ ปฎิโฆ, อสมเปกฺขเน โมโห อุปฺปชฺชติ, กายสํสคฺคาปตฺติํ วา อาปชฺชติ, ชีวิตพฺรหฺมจริยานํ วา อนฺตราโย โหติฯ เอวํ ตํ ฐานํ อสปฺปายํ โหติฯ วุตฺตปฺปการอนฺตรายาภาเว สปฺปายํฯ โพธิทสฺสเนปิ เอเสว นโยฯ สงฺฆทสฺสนมฺปิ สาตฺถํฯ สเจ ปน อโนฺตคาเม มหามณฺฑปํ กาเรตฺวา สพฺพรตฺติํ ธมฺมสฺสวนํ กโรเนฺตสุ มนุเสฺสสุ วุตฺตปฺปกาเรเนว ชนสนฺนิปาโต เจว อนฺตราโย จ โหติฯ เอวํ ตํ ฐานํ อสปฺปายํ โหติ; อนฺตรายาภาเว สปฺปายํ โหติฯ มหาปริสปริวารานํ เถรานํ ทสฺสเนปิ เอเสว นโยฯ
Tasmiṃ pana gamane sappāyāsappāyaṃ pariggahetvā sappāyapariggaṇhanaṃ ‘sappāyasampajaññaṃ’, seyyathidaṃ – cetiyadassanaṃ tāva sātthaṃ. Sace pana cetiyassa mahatiyā pūjāya dasadvādasayojanantare parisā sannipatanti , attano vibhavānurūpaṃ itthiyopi purisāpi alaṅkatapaṭiyattā cittakammarūpakāni viya sañcaranti, tatra cassa iṭṭhe ārammaṇe lobho, aniṭṭhe paṭigho, asamapekkhane moho uppajjati, kāyasaṃsaggāpattiṃ vā āpajjati, jīvitabrahmacariyānaṃ vā antarāyo hoti. Evaṃ taṃ ṭhānaṃ asappāyaṃ hoti. Vuttappakāraantarāyābhāve sappāyaṃ. Bodhidassanepi eseva nayo. Saṅghadassanampi sātthaṃ. Sace pana antogāme mahāmaṇḍapaṃ kāretvā sabbarattiṃ dhammassavanaṃ karontesu manussesu vuttappakāreneva janasannipāto ceva antarāyo ca hoti. Evaṃ taṃ ṭhānaṃ asappāyaṃ hoti; antarāyābhāve sappāyaṃ hoti. Mahāparisaparivārānaṃ therānaṃ dassanepi eseva nayo.
อสุภทสฺสนมฺปิ สาตฺถํฯ ตทตฺถทีปนตฺถญฺจ อิทํ วตฺถุ – เอโก กิร ทหรภิกฺขุ สามเณรํ คเหตฺวา ทนฺตกฎฺฐตฺถาย คโตฯ สามเณโร มคฺคา โอกฺกมิตฺวา ปุรโต คจฺฉโนฺต อสุภํ ทิสฺวา ปฐมชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ตเทว ปาทกํ กตฺวา สงฺขาเร สมฺมสโนฺต ตีณิ ผลานิ สจฺฉิกตฺวา อุปริมคฺคตฺถาย กมฺมฎฺฐานํ ปริคฺคเหตฺวา อฎฺฐาสิฯ ทหโร ตํ อปสฺสโนฺต ‘‘สามเณรา’’ติ ปโกฺกสิฯ โส ‘มยา ปพฺพชิตทิวสโต ปฎฺฐาย ภิกฺขุนา สทฺธิํ เทฺว กถา นาม น กถิตปุพฺพา, อญฺญสฺมิํ ทิวเส อุปริวิเสสํ นิพฺพเตฺตสฺสามี’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘กิํ, ภเนฺต’’ติ ปฎิวจนํ อทาสิฯ ‘‘เอหี’’ติ จ วุโตฺต เอกวจเนเนว อาคนฺตฺวา ‘‘ภเนฺต, อิมินา ตาว มเคฺคน คนฺตฺวา มยา ฐิโตกาเส มุหุตฺตํ ปุรตฺถาภิมุโข ฐตฺวา โอโลเกถา’’ติ อาหฯ โส ตถา กตฺวา เตน ปตฺตวิเสสเมว ปาปุณิฯ เอวํ เอกํ อสุภํ ทฺวินฺนํ ชนานํ อตฺถาย ชาตํฯ เอวํ สาตฺถมฺปิ ปเนตํ ปุริสสฺส มาตุคามาสุภํ อสปฺปายํ, มาตุคามสฺส จ ปุริสาสุภํ, สภาคเมว สปฺปายนฺติฯ เอวํ สปฺปายปริคฺคณฺหนํ สปฺปายสมฺปชญฺญํ นามฯ
Asubhadassanampi sātthaṃ. Tadatthadīpanatthañca idaṃ vatthu – eko kira daharabhikkhu sāmaṇeraṃ gahetvā dantakaṭṭhatthāya gato. Sāmaṇero maggā okkamitvā purato gacchanto asubhaṃ disvā paṭhamajjhānaṃ nibbattetvā tadeva pādakaṃ katvā saṅkhāre sammasanto tīṇi phalāni sacchikatvā uparimaggatthāya kammaṭṭhānaṃ pariggahetvā aṭṭhāsi. Daharo taṃ apassanto ‘‘sāmaṇerā’’ti pakkosi. So ‘mayā pabbajitadivasato paṭṭhāya bhikkhunā saddhiṃ dve kathā nāma na kathitapubbā, aññasmiṃ divase uparivisesaṃ nibbattessāmī’ti cintetvā ‘‘kiṃ, bhante’’ti paṭivacanaṃ adāsi. ‘‘Ehī’’ti ca vutto ekavacaneneva āgantvā ‘‘bhante, iminā tāva maggena gantvā mayā ṭhitokāse muhuttaṃ puratthābhimukho ṭhatvā olokethā’’ti āha. So tathā katvā tena pattavisesameva pāpuṇi. Evaṃ ekaṃ asubhaṃ dvinnaṃ janānaṃ atthāya jātaṃ. Evaṃ sātthampi panetaṃ purisassa mātugāmāsubhaṃ asappāyaṃ, mātugāmassa ca purisāsubhaṃ, sabhāgameva sappāyanti. Evaṃ sappāyapariggaṇhanaṃ sappāyasampajaññaṃ nāma.
เอวํ ปริคฺคหิตสาตฺถสปฺปายสฺส ปน อฎฺฐติํสาย กมฺมฎฺฐาเนสุ อตฺตโน จิตฺตรุจิยํ กมฺมฎฺฐานสงฺขาตํ โคจรํ อุคฺคเหตฺวา ภิกฺขาจารโคจเร ตํ คเหตฺวาว คมนํ ‘โคจรสมฺปชญฺญํ’ นามฯ ตสฺสาวิภาวนตฺถํ อิทํ จตุกฺกํ เวทิตพฺพํ –
Evaṃ pariggahitasātthasappāyassa pana aṭṭhatiṃsāya kammaṭṭhānesu attano cittaruciyaṃ kammaṭṭhānasaṅkhātaṃ gocaraṃ uggahetvā bhikkhācāragocare taṃ gahetvāva gamanaṃ ‘gocarasampajaññaṃ’ nāma. Tassāvibhāvanatthaṃ idaṃ catukkaṃ veditabbaṃ –
อิเธกโจฺจ ภิกฺขุ หรติ น ปจฺจาหรติ, เอกโจฺจ น หรติ ปจฺจาหรติ, เอกโจฺจ ปน เนว หรติ น ปจฺจาหรติ, เอกโจฺจ หรติ จ ปจฺจาหรติ จฯ ตตฺถ โย ภิกฺขุ ทิวสํ จงฺกเมน นิสชฺชาย อาวรณีเยหิ ธเมฺมหิ จิตฺตํ ปริโสเธตฺวา, ตถา รตฺติยา ปฐมยาเม มชฺฌิมยาเม เสยฺยํ กเปฺปตฺวา ปจฺฉิมยาเมปิ นิสชฺชาจงฺกเมหิ วีตินาเมตฺวา ปเคว เจติยงฺคณโพธิยงฺคณวตฺตํ กตฺวา โพธิรุเกฺข อุทกํ อาสิญฺจิตฺวา ปานียํ ปริโภชนียํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา อาจริยุปชฺฌายวตฺตาทีนิ สพฺพานิ ขนฺธกวตฺตานิ สมาทาย วตฺตติ, โส สรีรปริกมฺมํ กตฺวา เสนาสนํ ปวิสิตฺวา เทฺว ตโย ปลฺลเงฺก อุสุมํ คาหาเปโนฺต กมฺมฎฺฐานํ อนุยุญฺชิตฺวา, ภิกฺขาจารเวลาย อุฎฺฐหิตฺวา กมฺมฎฺฐานสีเสเนว ปตฺตจีวรมาทาย เสนาสนโต นิกฺขมิตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺตว เจติยงฺคณํ คนฺตฺวา, สเจ พุทฺธานุสฺสติกมฺมฎฺฐานํ โหติ ตํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว เจติยงฺคณํ ปวิสติ, อญฺญํ เจ กมฺมฎฺฐานํ โหติ โสปานมูเล ฐตฺวา หเตฺถน คหิตภณฺฑํ วิย ตํ ฐเปตฺวา พุทฺธารมฺมณํ ปีติํ คเหตฺวา เจติยงฺคณํ อารุยฺห มหนฺตํ เจติยํ เจ, ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา จตูสุ ฐาเนสุ วนฺทิตพฺพํ, ขุทฺทกํ เจ, ตเถว ปทกฺขิณํ กตฺวา อฎฺฐสุ ฐาเนสุ วนฺทิตพฺพํฯ เจติยํ วนฺทิตฺวา โพธิยงฺคณํ ปเตฺตนาปิ พุทฺธสฺส ภควโต สมฺมุขา วิย นิปจฺจาการํ ทเสฺสตฺวา โพธิ วนฺทิตพฺพาฯ
Idhekacco bhikkhu harati na paccāharati, ekacco na harati paccāharati, ekacco pana neva harati na paccāharati, ekacco harati ca paccāharati ca. Tattha yo bhikkhu divasaṃ caṅkamena nisajjāya āvaraṇīyehi dhammehi cittaṃ parisodhetvā, tathā rattiyā paṭhamayāme majjhimayāme seyyaṃ kappetvā pacchimayāmepi nisajjācaṅkamehi vītināmetvā pageva cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇavattaṃ katvā bodhirukkhe udakaṃ āsiñcitvā pānīyaṃ paribhojanīyaṃ paccupaṭṭhāpetvā ācariyupajjhāyavattādīni sabbāni khandhakavattāni samādāya vattati, so sarīraparikammaṃ katvā senāsanaṃ pavisitvā dve tayo pallaṅke usumaṃ gāhāpento kammaṭṭhānaṃ anuyuñjitvā, bhikkhācāravelāya uṭṭhahitvā kammaṭṭhānasīseneva pattacīvaramādāya senāsanato nikkhamitvā kammaṭṭhānaṃ manasikarontova cetiyaṅgaṇaṃ gantvā, sace buddhānussatikammaṭṭhānaṃ hoti taṃ avissajjetvāva cetiyaṅgaṇaṃ pavisati, aññaṃ ce kammaṭṭhānaṃ hoti sopānamūle ṭhatvā hatthena gahitabhaṇḍaṃ viya taṃ ṭhapetvā buddhārammaṇaṃ pītiṃ gahetvā cetiyaṅgaṇaṃ āruyha mahantaṃ cetiyaṃ ce, tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā catūsu ṭhānesu vanditabbaṃ, khuddakaṃ ce, tatheva padakkhiṇaṃ katvā aṭṭhasu ṭhānesu vanditabbaṃ. Cetiyaṃ vanditvā bodhiyaṅgaṇaṃ pattenāpi buddhassa bhagavato sammukhā viya nipaccākāraṃ dassetvā bodhi vanditabbā.
โส เอวํ เจติยญฺจ โพธิญฺจ วนฺทิตฺวา ปฎิสามิตฎฺฐานํ คนฺตฺวา, ปฎิสามิตํ ภณฺฑกํ หเตฺถน คณฺหโนฺต วิย, นิกฺขิตฺตกมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา คามสมีเป กมฺมฎฺฐานสีเสเนว จีวรํ ปารุปิตฺวา คามํ ปิณฺฑาย ปวิสติฯ อถ นํ มนุสฺสา ทิสฺวา ‘อโยฺย โน อาคโต’ติ ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปตฺตํ คเหตฺวา อาสนสาลาย วา เคเห วา นิสีทาเปตฺวา ยาคุํ ทตฺวา ยาว ภตฺตํ น นิฎฺฐาติ ตาว ปาเท โธวิตฺวา เตเลน มเกฺขตฺวา ปุรโต นิสีทิตฺวา ปญฺหํ วา ปุจฺฉนฺติ ธมฺมํ วา โสตุกามา โหนฺติฯ สเจปิ น กถาเปนฺติ ‘‘ชนสงฺคหตฺถํ ธมฺมกถา นาม กาตพฺพาเยวา’’ติ อฎฺฐกถาจริยา วทนฺติฯ ธมฺมกถา หิ กมฺมฎฺฐานวินิมุตฺตา นาม นตฺถิฯ ตสฺมา กมฺมฎฺฐานสีเสเนว อาหารํ ปริภุญฺชิตฺวา อนุโมทนํ วตฺวา นิวตฺติยมาเนหิปิ มนุเสฺสหิ อนุคโตว คามโต นิกฺขมิตฺวา ตตฺถ เต นิวเตฺตตฺวา มคฺคํ ปฎิปชฺชติฯ
So evaṃ cetiyañca bodhiñca vanditvā paṭisāmitaṭṭhānaṃ gantvā, paṭisāmitaṃ bhaṇḍakaṃ hatthena gaṇhanto viya, nikkhittakammaṭṭhānaṃ gahetvā gāmasamīpe kammaṭṭhānasīseneva cīvaraṃ pārupitvā gāmaṃ piṇḍāya pavisati. Atha naṃ manussā disvā ‘ayyo no āgato’ti paccuggantvā pattaṃ gahetvā āsanasālāya vā gehe vā nisīdāpetvā yāguṃ datvā yāva bhattaṃ na niṭṭhāti tāva pāde dhovitvā telena makkhetvā purato nisīditvā pañhaṃ vā pucchanti dhammaṃ vā sotukāmā honti. Sacepi na kathāpenti ‘‘janasaṅgahatthaṃ dhammakathā nāma kātabbāyevā’’ti aṭṭhakathācariyā vadanti. Dhammakathā hi kammaṭṭhānavinimuttā nāma natthi. Tasmā kammaṭṭhānasīseneva āhāraṃ paribhuñjitvā anumodanaṃ vatvā nivattiyamānehipi manussehi anugatova gāmato nikkhamitvā tattha te nivattetvā maggaṃ paṭipajjati.
อถ นํ ปุเรตรํ นิกฺขมิตฺวา พหิคาเม กตภตฺตกิจฺจา สามเณรทหรภิกฺขู ทิสฺวา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปตฺตจีวรมสฺส คณฺหนฺติฯ โปราณกภิกฺขู กิร ‘อมฺหากํ อุปชฺฌาโย, อมฺหากํ อาจริโย’ติ น มุขํ โอโลเกตฺวา วตฺตํ กโรนฺติ, สมฺปตฺตปริเจฺฉเทเนว กโรนฺติฯ เต ตํ ปุจฺฉนฺติ ‘‘ภเนฺต, เอเต มนุสฺสา ตุมฺหากํ กิํ โหนฺติ? มาติปกฺขโต สมฺพนฺธา ปิติปกฺขโต’’ติ? ‘‘กิํ ทิสฺวา ปุจฺฉถา’’ติ? ‘‘ตุเมฺหสุ เอเตสํ เปมํ พหุมาน’’นฺติฯ ‘‘อาวุโส, ยํ มาตาปิตูหิปิ ทุกฺกรํ ตํ เอเต มนุสฺสา อมฺหากํ กโรนฺติฯ ปตฺตจีวรมฺปิ โน เอเตสํ สนฺตกเมว, เอเตสํ อานุภาเวน เนว ภเย ภยํ, น ฉาตเก ฉาตกํ ชานามฯ เอทิสา นาม อมฺหากํ อุปการิโน นตฺถี’’ติ เตสํ คุเณ กเถโนฺต คจฺฉติฯ อยํ วุจฺจติ ‘หรติ น ปจฺจาหรตี’ติฯ
Atha naṃ puretaraṃ nikkhamitvā bahigāme katabhattakiccā sāmaṇeradaharabhikkhū disvā paccuggantvā pattacīvaramassa gaṇhanti. Porāṇakabhikkhū kira ‘amhākaṃ upajjhāyo, amhākaṃ ācariyo’ti na mukhaṃ oloketvā vattaṃ karonti, sampattaparicchedeneva karonti. Te taṃ pucchanti ‘‘bhante, ete manussā tumhākaṃ kiṃ honti? Mātipakkhato sambandhā pitipakkhato’’ti? ‘‘Kiṃ disvā pucchathā’’ti? ‘‘Tumhesu etesaṃ pemaṃ bahumāna’’nti. ‘‘Āvuso, yaṃ mātāpitūhipi dukkaraṃ taṃ ete manussā amhākaṃ karonti. Pattacīvarampi no etesaṃ santakameva, etesaṃ ānubhāvena neva bhaye bhayaṃ, na chātake chātakaṃ jānāma. Edisā nāma amhākaṃ upakārino natthī’’ti tesaṃ guṇe kathento gacchati. Ayaṃ vuccati ‘harati na paccāharatī’ti.
ยสฺส ปน ปเคว วุตฺตปฺปการํ วตฺตปฎิปตฺติํ กโรนฺตสฺส กมฺมชเตโช ปชฺชลติ, อนุปาทินฺนกํ มุญฺจิตฺวา อุปาทินฺนกํ คณฺหาติ, สรีรโต เสทา มุจฺจนฺติ, กมฺมฎฺฐานํ วีถิํ นาโรหติ, โส ปเคว ปตฺตจีวรมาทาย เวคสาว เจติยํ วนฺทิตฺวา โครูปานํ นิกฺขมนเวลายเมว คามํ ยาคุภิกฺขาย ปวิสิตฺวา ยาคุํ ลภิตฺวา อาสนสาลํ คนฺตฺวา ปิวติฯ อถสฺส ทฺวตฺติกฺขตฺตุํ อโชฺฌหรณมเตฺตเนว กมฺมชเตโชธาตุ อุปาทินฺนกํ มุญฺจิตฺวา อนุปาทินฺนกํ คณฺหาติ, ฆฎสเตน นฺหาโต วิย เตโชธาตุปริฬาหนิพฺพานํ ปตฺวา กมฺมฎฺฐานสีเสน ยาคุํ ปริภุญฺชิตฺวา ปตฺตญฺจ มุขญฺจ โธวิตฺวา อนฺตราภเตฺต กมฺมฎฺฐานํ มนสิกตฺวา อวเสสฎฺฐาเน ปิณฺฑาย จริตฺวา กมฺมฎฺฐานสีเสน อาหารํ ปริภุญฺชิตฺวา ตโต ปฎฺฐาย โปงฺขานุโปงฺขํ อุปฎฺฐหมานํ กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวาว อาคจฺฉติฯ อยํ วุจฺจติ ‘น หรติ ปจฺจาหรตี’ติฯ เอทิสา จ ภิกฺขู ยาคุํ ปิวิตฺวา วิปสฺสนํ อารภิตฺวา พุทฺธสาสเน อรหตฺตํ ปตฺตา นาม คณนปถํ วีติวตฺตาฯ สีหฬทีเปเยว เตสุ เตสุ คาเมสุ อาสนสาลาย น ตํ อาสนํ อตฺถิ, ยตฺถ ยาคุํ ปิวิตฺวา อรหตฺตํ ปตฺตา ภิกฺขู นตฺถีติฯ
Yassa pana pageva vuttappakāraṃ vattapaṭipattiṃ karontassa kammajatejo pajjalati, anupādinnakaṃ muñcitvā upādinnakaṃ gaṇhāti, sarīrato sedā muccanti, kammaṭṭhānaṃ vīthiṃ nārohati, so pageva pattacīvaramādāya vegasāva cetiyaṃ vanditvā gorūpānaṃ nikkhamanavelāyameva gāmaṃ yāgubhikkhāya pavisitvā yāguṃ labhitvā āsanasālaṃ gantvā pivati. Athassa dvattikkhattuṃ ajjhoharaṇamatteneva kammajatejodhātu upādinnakaṃ muñcitvā anupādinnakaṃ gaṇhāti, ghaṭasatena nhāto viya tejodhātupariḷāhanibbānaṃ patvā kammaṭṭhānasīsena yāguṃ paribhuñjitvā pattañca mukhañca dhovitvā antarābhatte kammaṭṭhānaṃ manasikatvā avasesaṭṭhāne piṇḍāya caritvā kammaṭṭhānasīsena āhāraṃ paribhuñjitvā tato paṭṭhāya poṅkhānupoṅkhaṃ upaṭṭhahamānaṃ kammaṭṭhānaṃ gahetvāva āgacchati. Ayaṃ vuccati ‘na harati paccāharatī’ti. Edisā ca bhikkhū yāguṃ pivitvā vipassanaṃ ārabhitvā buddhasāsane arahattaṃ pattā nāma gaṇanapathaṃ vītivattā. Sīhaḷadīpeyeva tesu tesu gāmesu āsanasālāya na taṃ āsanaṃ atthi, yattha yāguṃ pivitvā arahattaṃ pattā bhikkhū natthīti.
โย ปมาทวิหารี โหติ นิกฺขิตฺตธุโร สพฺพวตฺตานิ ภินฺทิตฺวา ปญฺจวิธเจโตขีลวินิพนฺธพทฺธจิโตฺต วิหรโนฺต ‘กมฺมฎฺฐานํ นาม อตฺถี’ติปิ สญฺญํ อกตฺวา คามํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา อนนุโลมิเกน คิหีสํสเคฺคน สํสโฎฺฐ จริตฺวา จ ภุญฺชิตฺวา จ ตุโจฺฉ นิกฺขมติ – อยํ วุจฺจติ ‘เนว หรติ น ปจฺจาหรตี’ติฯ
Yo pamādavihārī hoti nikkhittadhuro sabbavattāni bhinditvā pañcavidhacetokhīlavinibandhabaddhacitto viharanto ‘kammaṭṭhānaṃ nāma atthī’tipi saññaṃ akatvā gāmaṃ piṇḍāya pavisitvā ananulomikena gihīsaṃsaggena saṃsaṭṭho caritvā ca bhuñjitvā ca tuccho nikkhamati – ayaṃ vuccati ‘neva harati na paccāharatī’ti.
โย ปนายํ ‘‘หรติ จ ปจฺจาหรติ จา’’ติ วุโตฺต, โส คตปจฺจาคติกวตฺตวเสน เวทิตโพฺพ – อตฺถกามา หิ กุลปุตฺตา สาสเน ปพฺพชิตฺวา ทสมฺปิ วีสมฺปิ ติํสมฺปิ จตฺตารีสมฺปิ ปญฺญาสมฺปิ สตมฺปิ เอกโต วสนฺตา กติกวตฺตํ กตฺวา วิหรนฺติ – ‘‘อาวุโส, ตุเมฺห น อิณฎฺฎา, น ภยฎฺฎา, น อาชีวิกาปกตา ปพฺพชิตา; ทุกฺขา มุญฺจิตุกามา ปเนตฺถ ปพฺพชิตาฯ ตสฺมา คมเน อุปฺปนฺนกิเลสํ คมเนเยว นิคฺคณฺหถฯ ฐาเน, นิสชฺชาย, สยเน อุปฺปนฺนกิเลสํ สยเนเยว นิคฺคณฺหถา’’ติฯ
Yo panāyaṃ ‘‘harati ca paccāharati cā’’ti vutto, so gatapaccāgatikavattavasena veditabbo – atthakāmā hi kulaputtā sāsane pabbajitvā dasampi vīsampi tiṃsampi cattārīsampi paññāsampi satampi ekato vasantā katikavattaṃ katvā viharanti – ‘‘āvuso, tumhe na iṇaṭṭā, na bhayaṭṭā, na ājīvikāpakatā pabbajitā; dukkhā muñcitukāmā panettha pabbajitā. Tasmā gamane uppannakilesaṃ gamaneyeva niggaṇhatha. Ṭhāne, nisajjāya, sayane uppannakilesaṃ sayaneyeva niggaṇhathā’’ti.
เต เอวํ กติกวตฺตํ กตฺวา ภิกฺขาจารํ คจฺฉนฺตา, อฑฺฒอุสภอุสภอฑฺฒคาวุตคาวุตนฺตเรสุ ปาสาณา โหนฺติ, ตาย สญฺญาย กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรนฺตาว คจฺฉนฺติฯ สเจ กสฺสจิ คมเน กิเลโส อุปฺปชฺชติ, ตเตฺถว นํ นิคฺคณฺหาติฯ ตถา อสโกฺกโนฺต ติฎฺฐติฯ อถสฺส ปจฺฉโต อาคจฺฉโนฺตปิ ติฎฺฐติฯ โส ‘อยํ ภิกฺขุ ตุยฺหํ อุปฺปนฺนํ วิตกฺกํ ชานาติ, อนนุจฺฉวิกํ เต เอต’นฺติ อตฺตานํ ปฎิโจเทตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อริยภูมิํ โอกฺกมติฯ ตถา อสโกฺกโนฺต นิสีทติฯ อถสฺส ปจฺฉโต อาคจฺฉโนฺตปิ นิสีทตีติ โส เอว นโยฯ อริยภูมิํ โอกฺกมิตุํ อสโกฺกโนฺตปิ ตํ กิเลสํ วิกฺขเมฺภตฺวา กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺตว คจฺฉติ, น กมฺมฎฺฐานวิปฺปยุเตฺตน จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรติ, อุทฺธรติ เจ ปฎินิวตฺติตฺวา ปุริมปเทสเญฺญว เอติ, อาลินฺทกวาสี มหาผุสฺสเทวเตฺถโร วิยฯ โส กิร เอกูนวีสติ วสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรโนฺต เอว วิหาสิฯ มนุสฺสาปิ อนฺตรามเคฺค กสนฺตา จ วปนฺตา จ มทฺทนฺตา จ กมฺมานิ จ กโรนฺตา เถรํ ตถาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อยํ เถโร ปุนปฺปุนํ นิวตฺติตฺวา คจฺฉติ, กิํ นุ โข มคฺคมูโฬฺห อุทาหุ กิญฺจิ ปมุโฎฺฐ’’ติ สมุลฺลปนฺติฯ โส ตํ อนาทิยิตฺวา กมฺมฎฺฐานยุตฺตจิเตฺตเนว สมณธมฺมํ กโรโนฺต วีสติวสฺสพฺภนฺตเร อรหตฺตํ ปาปุณิฯ อรหตฺตปตฺตทิวเส จสฺส จงฺกมนโกฎิยํ อธิวตฺถา เทวตา องฺคุลีหิ ทีปํ อุชฺชาเลตฺวา อฎฺฐาสิฯ จตฺตาโรปิ มหาราชาโน สโกฺก จ เทวานมิโนฺท พฺรหฺมา จ สหมฺปติ อุปฎฺฐานํ อาคมิํสุฯ ตญฺจ โอภาสํ ทิสฺวา วนวาสี มหาติสฺสเตฺถโร ตํ ทุติยทิวเส ปุจฺฉิ – ‘‘รตฺติภาเค อายสฺมโต สนฺติเก โอภาโส อโหสิฯ กิํ โส โอภาโส’’ติ? เถโร วิเกฺขปํ กโรโนฺต ‘‘โอภาโส นาม ทีโปภาโสปิ โหติ, มณิโอภาโสปี’’ติ เอวมาทิมาหฯ ตโต ‘‘ปฎิจฺฉาเทถ ตุเมฺห’’ติ นิพโทฺธ ‘‘อามา’’ติ ปฎิชานิตฺวา อาโรเจสิฯ
Te evaṃ katikavattaṃ katvā bhikkhācāraṃ gacchantā, aḍḍhausabhausabhaaḍḍhagāvutagāvutantaresu pāsāṇā honti, tāya saññāya kammaṭṭhānaṃ manasikarontāva gacchanti. Sace kassaci gamane kileso uppajjati, tattheva naṃ niggaṇhāti. Tathā asakkonto tiṭṭhati. Athassa pacchato āgacchantopi tiṭṭhati. So ‘ayaṃ bhikkhu tuyhaṃ uppannaṃ vitakkaṃ jānāti, ananucchavikaṃ te eta’nti attānaṃ paṭicodetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā ariyabhūmiṃ okkamati. Tathā asakkonto nisīdati. Athassa pacchato āgacchantopi nisīdatīti so eva nayo. Ariyabhūmiṃ okkamituṃ asakkontopi taṃ kilesaṃ vikkhambhetvā kammaṭṭhānaṃ manasikarontova gacchati, na kammaṭṭhānavippayuttena cittena pādaṃ uddharati, uddharati ce paṭinivattitvā purimapadesaññeva eti, ālindakavāsī mahāphussadevatthero viya. So kira ekūnavīsati vassāni gatapaccāgatavattaṃ pūrento eva vihāsi. Manussāpi antarāmagge kasantā ca vapantā ca maddantā ca kammāni ca karontā theraṃ tathāgacchantaṃ disvā ‘‘ayaṃ thero punappunaṃ nivattitvā gacchati, kiṃ nu kho maggamūḷho udāhu kiñci pamuṭṭho’’ti samullapanti. So taṃ anādiyitvā kammaṭṭhānayuttacitteneva samaṇadhammaṃ karonto vīsativassabbhantare arahattaṃ pāpuṇi. Arahattapattadivase cassa caṅkamanakoṭiyaṃ adhivatthā devatā aṅgulīhi dīpaṃ ujjāletvā aṭṭhāsi. Cattāropi mahārājāno sakko ca devānamindo brahmā ca sahampati upaṭṭhānaṃ āgamiṃsu. Tañca obhāsaṃ disvā vanavāsī mahātissatthero taṃ dutiyadivase pucchi – ‘‘rattibhāge āyasmato santike obhāso ahosi. Kiṃ so obhāso’’ti? Thero vikkhepaṃ karonto ‘‘obhāso nāma dīpobhāsopi hoti, maṇiobhāsopī’’ti evamādimāha. Tato ‘‘paṭicchādetha tumhe’’ti nibaddho ‘‘āmā’’ti paṭijānitvā ārocesi.
กาฬวลฺลิมณฺฑปวาสี มหานาคเตฺถโร วิย จฯ โสปิ กิร คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรโนฺต ‘ปฐมํ ตาว ภควโต มหาปธานํ ปูเชสฺสามี’ติ สตฺต วสฺสานิ ฐานจงฺกมเมว อธิฎฺฐาสิ; ปุน โสฬส วสฺสานิ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิฯ โส กมฺมฎฺฐานยุเตฺตเนว จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรโนฺต วิปฺปยุเตฺตน จิเตฺตน อุทฺธเต ปาเท ปฎินิวเตฺตโนฺต คามสีมํ คนฺตฺวา ‘คาวี นุ โข, ปพฺพชิโต นุ โข’ติ อาสงฺกนียปฺปเทเส ฐตฺวา จีวรํ ปารุปิตฺวา กจฺฉกนฺตรโต อุทเกน ปตฺตํ โธวิตฺวา อุทกคณฺฑูสํ กโรติฯ กิํ การณา? ‘มา เม ภิกฺขํ ทาตุํ วา วนฺทิตุํ วา อาคเต มนุเสฺส ‘ทีฆายุกา โหถา’ติ วจนมเตฺตนาปิ กมฺมฎฺฐานวิเกฺขโป อโหสี’ติฯ ‘อชฺช, ภเนฺต, กติมี’ติ ทิวสํ วา ภิกฺขุคณนํ วา ปญฺหํ วา ปุจฺฉิโต ปน อุทกํ คิลิตฺวา อาโรเจติ; สเจ ทิวสาทิปุจฺฉกา น โหนฺติ, นิกฺขมนเวลายํ คามทฺวาเร นิฎฺฐุภิตฺวาว ยาติฯ
Kāḷavallimaṇḍapavāsī mahānāgatthero viya ca. Sopi kira gatapaccāgatavattaṃ pūrento ‘paṭhamaṃ tāva bhagavato mahāpadhānaṃ pūjessāmī’ti satta vassāni ṭhānacaṅkamameva adhiṭṭhāsi; puna soḷasa vassāni gatapaccāgatavattaṃ pūretvā arahattaṃ pāpuṇi. So kammaṭṭhānayutteneva cittena pādaṃ uddharanto vippayuttena cittena uddhate pāde paṭinivattento gāmasīmaṃ gantvā ‘gāvī nu kho, pabbajito nu kho’ti āsaṅkanīyappadese ṭhatvā cīvaraṃ pārupitvā kacchakantarato udakena pattaṃ dhovitvā udakagaṇḍūsaṃ karoti. Kiṃ kāraṇā? ‘Mā me bhikkhaṃ dātuṃ vā vandituṃ vā āgate manusse ‘dīghāyukā hothā’ti vacanamattenāpi kammaṭṭhānavikkhepo ahosī’ti. ‘Ajja, bhante, katimī’ti divasaṃ vā bhikkhugaṇanaṃ vā pañhaṃ vā pucchito pana udakaṃ gilitvā āroceti; sace divasādipucchakā na honti, nikkhamanavelāyaṃ gāmadvāre niṭṭhubhitvāva yāti.
กลมฺพติตฺถวิหาเร วสฺสูปคตา ปญฺญาส ภิกฺขู วิย จฯ เต กิร อาสาฬฺหิปุณฺณิมายํ กติกวตฺตํ อกํสุ – ‘‘อรหตฺตํ อปฺปตฺวา อญฺญมญฺญํ นาลปิสฺสามา’’ติฯ คามญฺจ ปิณฺฑาย ปวิสนฺตา อุทกคณฺฑูสํ กตฺวา ปวิสิํสุ, ทิวสาทีสุ ปุจฺฉิเตสุ วุตฺตนเยน ปฎิปชฺชิํสุฯ ตตฺถ มนุสฺสา นิฎฺฐุภนฎฺฐานํ ทิสฺวา ชานิํสุ – ‘อชฺช เอโก อาคโต, อชฺช เทฺว’ติ; เอวญฺจ จิเนฺตสุํ – ‘กินฺนุ โข เอเต อเมฺหเหว สทฺธิํ น สลฺลปนฺติ อุทาหุ อญฺญมญฺญมฺปิ? ยทิ อญฺญมญฺญมฺปิ น สลฺลปนฺติ, อทฺธา วิวาทชาตา ภวิสฺสนฺติ; เอถ เน อญฺญมญฺญํ ขมาเปสฺสามา’ติ สเพฺพ วิหารํ คนฺตฺวา ปญฺญาสาย ภิกฺขูสุ เทฺวปิ ภิกฺขู เอโกกาเส นาทฺทสํสุฯ ตโต โย เตสุ จกฺขุมา ปุริโส โส อาห – ‘‘น, โภ, กลหการกานํ วสโนกาโส อีทิโส โหติฯ สุสมฺมฎฺฐํ เจติยงฺคณโพธิยงฺคณํ, สุนิกฺขิตฺตา สมฺมชฺชนิโย, สูปฎฺฐิตํ ปานียปริโภชนีย’’นฺติฯ เต ตโตว นิวตฺตาฯ เตปิ ภิกฺขู อโนฺตเตมาเสเยว อรหตฺตํ ปตฺวา มหาปวารณาย วิสุทฺธิปวารณํ ปวาเรสุํฯ
Kalambatitthavihāre vassūpagatā paññāsa bhikkhū viya ca. Te kira āsāḷhipuṇṇimāyaṃ katikavattaṃ akaṃsu – ‘‘arahattaṃ appatvā aññamaññaṃ nālapissāmā’’ti. Gāmañca piṇḍāya pavisantā udakagaṇḍūsaṃ katvā pavisiṃsu, divasādīsu pucchitesu vuttanayena paṭipajjiṃsu. Tattha manussā niṭṭhubhanaṭṭhānaṃ disvā jāniṃsu – ‘ajja eko āgato, ajja dve’ti; evañca cintesuṃ – ‘kinnu kho ete amheheva saddhiṃ na sallapanti udāhu aññamaññampi? Yadi aññamaññampi na sallapanti, addhā vivādajātā bhavissanti; etha ne aññamaññaṃ khamāpessāmā’ti sabbe vihāraṃ gantvā paññāsāya bhikkhūsu dvepi bhikkhū ekokāse nāddasaṃsu. Tato yo tesu cakkhumā puriso so āha – ‘‘na, bho, kalahakārakānaṃ vasanokāso īdiso hoti. Susammaṭṭhaṃ cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇaṃ, sunikkhittā sammajjaniyo, sūpaṭṭhitaṃ pānīyaparibhojanīya’’nti. Te tatova nivattā. Tepi bhikkhū antotemāseyeva arahattaṃ patvā mahāpavāraṇāya visuddhipavāraṇaṃ pavāresuṃ.
เอวํ กาฬวลฺลิมณฺฑปวาสี มหานาคเตฺถโร วิย, กลมฺพุติตฺถวิหาเร วสฺสูปคตภิกฺขู วิย จ กมฺมฎฺฐานยุเตฺตเนว จิเตฺตน ปาทํ อุทฺธรโนฺต คามสมีปํ คนฺตฺวา อุทกคณฺฑูสํ กตฺวา วีถิโย สลฺลเกฺขตฺวา ยตฺถ สุราโสณฺฑธุตฺตาทโย กลหการกา จณฺฑหตฺถิอสฺสาทโย วา นตฺถิ, ตํ วีถิํ ปฎิปชฺชติฯ ตตฺถ ปิณฺฑาย จรมาโน น ตุริตตุริโต วิย ชเวน คจฺฉติ, น หิ ชวนปิณฺฑปาติกธุตงฺคํ นาม กิญฺจิ อตฺถิ, วิสมภูมิภาคปฺปตฺตํ ปน อุทกสกฎํ วิย นิจฺจโล หุตฺวา คจฺฉติ, อนุฆรํ ปวิโฎฺฐ จ ทาตุกามํ วา อทาตุกามํ วา สลฺลเกฺขตุํ ตทนุรูปํ กาลํ อาคเมโนฺต ภิกฺขํ คเหตฺวา อโนฺตคาเม วา พหิคาเม วา วิหารเมว วา อาคนฺตฺวา , ยถาผาสุเก ปติรูเป โอกาเส นิสีทิตฺวา, กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโนฺต อาหาเร ปฎิกูลสญฺญํ อุปฎฺฐเปตฺวา, อกฺขพฺภญฺชนวณาเลปนปุตฺตมํสูปมวเสน ปจฺจเวกฺขโนฺต อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อาหารํ อาหาเรติ เนว ทวาย, น มทาย, น มณฺฑนาย, น วิภูสนาย…เป.… ผาสุวิหาโร จาติฯ ภุตฺตาวี จ อุทกกิจฺจํ กตฺวา มุหุตฺตํ ภตฺตกิลมถํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตฺวา ยถา ปุเรภตฺตํ, เอวํ ปจฺฉาภตฺตํ ปุริมยามํ ปจฺฉิมยามญฺจ กมฺมฎฺฐานเมว มนสิกโรติฯ อยํ วุจฺจติ ‘หรติ จ ปจฺจาหรติ จา’ติฯ
Evaṃ kāḷavallimaṇḍapavāsī mahānāgatthero viya, kalambutitthavihāre vassūpagatabhikkhū viya ca kammaṭṭhānayutteneva cittena pādaṃ uddharanto gāmasamīpaṃ gantvā udakagaṇḍūsaṃ katvā vīthiyo sallakkhetvā yattha surāsoṇḍadhuttādayo kalahakārakā caṇḍahatthiassādayo vā natthi, taṃ vīthiṃ paṭipajjati. Tattha piṇḍāya caramāno na turitaturito viya javena gacchati, na hi javanapiṇḍapātikadhutaṅgaṃ nāma kiñci atthi, visamabhūmibhāgappattaṃ pana udakasakaṭaṃ viya niccalo hutvā gacchati, anugharaṃ paviṭṭho ca dātukāmaṃ vā adātukāmaṃ vā sallakkhetuṃ tadanurūpaṃ kālaṃ āgamento bhikkhaṃ gahetvā antogāme vā bahigāme vā vihārameva vā āgantvā , yathāphāsuke patirūpe okāse nisīditvā, kammaṭṭhānaṃ manasikaronto āhāre paṭikūlasaññaṃ upaṭṭhapetvā, akkhabbhañjanavaṇālepanaputtamaṃsūpamavasena paccavekkhanto aṭṭhaṅgasamannāgataṃ āhāraṃ āhāreti neva davāya, na madāya, na maṇḍanāya, na vibhūsanāya…pe… phāsuvihāro cāti. Bhuttāvī ca udakakiccaṃ katvā muhuttaṃ bhattakilamathaṃ paṭippassambhetvā yathā purebhattaṃ, evaṃ pacchābhattaṃ purimayāmaṃ pacchimayāmañca kammaṭṭhānameva manasikaroti. Ayaṃ vuccati ‘harati ca paccāharati cā’ti.
อิมํ ปน หรณปจฺจาหรณสงฺขาตํ คตปจฺจาคตวตฺตํ ปูเรโนฺต, ยทิ อุปนิสฺสยสมฺปโนฺน โหติ, ปฐมวเย เอว อรหตฺตํ ปาปุณาติ, โน เจ ปฐมวเย ปาปุณาติ อถ มชฺฌิมวเย, โน เจ มชฺฌิมวเย ปาปุณาติ อถ ปจฺฉิมวเย, โน เจ ปจฺฉิมวเย ปาปุณาติ อถ มรณสมเย, โน เจ มรณสมเย ปาปุณาติ อถ เทวปุโตฺต หุตฺวา, โน เจ เทวปุโตฺต หุตฺวา ปาปุณาติ อนุปฺปเนฺน พุเทฺธ นิพฺพโตฺต ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกโรติ, โน เจ ปเจฺจกโพธิํ สจฺฉิกโรติ อถ พุทฺธานํ สมฺมุขีภาเว ขิปฺปาภิโญฺญ วา โหติ – เสยฺยถาปิ เถโร พาหิโย ทารุจีริโย, มหาปโญฺญ วา – เสยฺยถาปิ เถโร สาริปุโตฺต, มหิทฺธิโก วา – เสยฺยถาปิ เถโร มหาโมคฺคลฺลาโน, ธุตงฺคธโร วา – เสยฺยถาปิ เถโร มหากสฺสโป, ทิพฺพจกฺขุโก วา – เสยฺยถาปิ เถโร อนุรุโทฺธ, วินยธโร วา – เสยฺยถาปิ เถโร อุปาลิ, ธมฺมกถิโก วา – เสยฺยถาปิ เถโร ปุโณฺณ มนฺตาณิปุโตฺต, อารญฺญิโก วา – เสยฺยถาปิ เถโร เรวโต, พหุสฺสุโต วา – เสยฺยถาปิ เถโร อานโนฺท, สิกฺขากาโม วา – เสยฺยถาปิ เถโร ราหุโล พุทฺธปุโตฺตติฯ อิติ อิมสฺมิํ จตุเกฺก ยฺวายํ หรติ จ ปจฺจาหรติ จ, ตสฺส โคจรสมฺปชญฺญํ สิขาปฺปตฺตํ โหติฯ
Imaṃ pana haraṇapaccāharaṇasaṅkhātaṃ gatapaccāgatavattaṃ pūrento, yadi upanissayasampanno hoti, paṭhamavaye eva arahattaṃ pāpuṇāti, no ce paṭhamavaye pāpuṇāti atha majjhimavaye, no ce majjhimavaye pāpuṇāti atha pacchimavaye, no ce pacchimavaye pāpuṇāti atha maraṇasamaye, no ce maraṇasamaye pāpuṇāti atha devaputto hutvā, no ce devaputto hutvā pāpuṇāti anuppanne buddhe nibbatto paccekabodhiṃ sacchikaroti, no ce paccekabodhiṃ sacchikaroti atha buddhānaṃ sammukhībhāve khippābhiñño vā hoti – seyyathāpi thero bāhiyo dārucīriyo, mahāpañño vā – seyyathāpi thero sāriputto, mahiddhiko vā – seyyathāpi thero mahāmoggallāno, dhutaṅgadharo vā – seyyathāpi thero mahākassapo, dibbacakkhuko vā – seyyathāpi thero anuruddho, vinayadharo vā – seyyathāpi thero upāli, dhammakathiko vā – seyyathāpi thero puṇṇo mantāṇiputto, āraññiko vā – seyyathāpi thero revato, bahussuto vā – seyyathāpi thero ānando, sikkhākāmo vā – seyyathāpi thero rāhulo buddhaputtoti. Iti imasmiṃ catukke yvāyaṃ harati ca paccāharati ca, tassa gocarasampajaññaṃ sikhāppattaṃ hoti.
อภิกฺกมาทีสุ ปน อสมฺมุยฺหนํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํฯ ตํ เอวํ เวทิตพฺพํ – อิธ ภิกฺขุ อภิกฺกมโนฺต วา ปฎิกฺกมโนฺต วา ยถา อนฺธพาลปุถุชฺชนา อภิกฺกมาทีสุ ‘อตฺตา อภิกฺกมติ, อตฺตนา อภิกฺกโม นิพฺพตฺติโต’ติ วา ‘อหํ อภิกฺกมามิ, มยา อภิกฺกโม นิพฺพตฺติโต’ติ วา สมฺมุยฺหนฺติ, ตถา อสมฺมุยฺหโนฺต ‘อภิกฺกมามี’ติ จิเตฺต อุปฺปชฺชมาเน เตเนว จิเตฺตน สทฺธิํ จิตฺตสมุฎฺฐานวาโยธาตุ วิญฺญตฺติํ ชนยมานา อุปฺปชฺชติฯ อิติ จิตฺตกิริยาวาโยธาตุวิปฺผารวเสน อยํ กายสมฺมโต อฎฺฐิสงฺฆาโต อภิกฺกมติฯ ตเสฺสวํ อภิกฺกมโต เอเกกปาทุทฺธรเณ ปถวีธาตุ อาโปธาตูติ เทฺว ธาตุโย โอมตฺตา โหนฺติ มนฺทา, อิตรา เทฺว อธิมตฺตา โหนฺติ พลวติโย; ตถา อติหรณวีติหรเณสุฯ โวสฺสชฺชเน เตโชธาตุ วาโยธาตูติ เทฺว ธาตุโย โอมตฺตา โหนฺติ มนฺทา, อิตรา เทฺว อธิมตฺตา โหนฺติ พลวติโย; ตถา สนฺนิเกฺขปนสนฺนิรุชฺฌเนสุ ตตฺถ อุทฺธรเณ ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา อติหรณํ น ปาปุณนฺติ; ตถา อติหรเณ ปวตฺตา วีติหรณํ, วีติหรเณ ปวตฺตา โวสฺสชฺชนํ, โวสฺสชฺชเน ปวตฺตา สนฺนิเกฺขปนํ, สนฺนิเกฺขปเน ปวตฺตา สนฺนิรุชฺฌนํ น ปาปุณนฺติ; ตตฺถ ตเตฺถว ปพฺพํ ปพฺพํ สนฺธิ สนฺธิ โอธิ โอธิ หุตฺวา ตตฺตกปาเล ปกฺขิตฺตติลํ วิย ปฎปฎายนฺตา ภิชฺชนฺติฯ ตตฺถ โก เอโก อภิกฺกมติ? กสฺส วา เอกสฺส อภิกฺกมนํ? ปรมตฺถโต หิ ธาตูนํเยว คมนํ, ธาตูนํ ฐานํ, ธาตูนํ นิสชฺชา, ธาตูนํ สยนํ, ตสฺมิํ ตสฺมิญฺหิ โกฎฺฐาเส สทฺธิํ รูเปหิ –
Abhikkamādīsu pana asammuyhanaṃ asammohasampajaññaṃ. Taṃ evaṃ veditabbaṃ – idha bhikkhu abhikkamanto vā paṭikkamanto vā yathā andhabālaputhujjanā abhikkamādīsu ‘attā abhikkamati, attanā abhikkamo nibbattito’ti vā ‘ahaṃ abhikkamāmi, mayā abhikkamo nibbattito’ti vā sammuyhanti, tathā asammuyhanto ‘abhikkamāmī’ti citte uppajjamāne teneva cittena saddhiṃ cittasamuṭṭhānavāyodhātu viññattiṃ janayamānā uppajjati. Iti cittakiriyāvāyodhātuvipphāravasena ayaṃ kāyasammato aṭṭhisaṅghāto abhikkamati. Tassevaṃ abhikkamato ekekapāduddharaṇe pathavīdhātu āpodhātūti dve dhātuyo omattā honti mandā, itarā dve adhimattā honti balavatiyo; tathā atiharaṇavītiharaṇesu. Vossajjane tejodhātu vāyodhātūti dve dhātuyo omattā honti mandā, itarā dve adhimattā honti balavatiyo; tathā sannikkhepanasannirujjhanesu tattha uddharaṇe pavattā rūpārūpadhammā atiharaṇaṃ na pāpuṇanti; tathā atiharaṇe pavattā vītiharaṇaṃ, vītiharaṇe pavattā vossajjanaṃ, vossajjane pavattā sannikkhepanaṃ, sannikkhepane pavattā sannirujjhanaṃ na pāpuṇanti; tattha tattheva pabbaṃ pabbaṃ sandhi sandhi odhi odhi hutvā tattakapāle pakkhittatilaṃ viya paṭapaṭāyantā bhijjanti. Tattha ko eko abhikkamati? Kassa vā ekassa abhikkamanaṃ? Paramatthato hi dhātūnaṃyeva gamanaṃ, dhātūnaṃ ṭhānaṃ, dhātūnaṃ nisajjā, dhātūnaṃ sayanaṃ, tasmiṃ tasmiñhi koṭṭhāse saddhiṃ rūpehi –
อญฺญํ อุปฺปชฺชเต จิตฺตํ, อญฺญํ จิตฺตํ นิรุชฺฌติ;
Aññaṃ uppajjate cittaṃ, aññaṃ cittaṃ nirujjhati;
อวีจิมนุสมฺพโนฺธ, นทีโสโตว วตฺตตีติฯ
Avīcimanusambandho, nadīsotova vattatīti.
เอวํ อภิกฺกมาทีสุ อสมฺมุยฺหนํ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ นามาติฯ
Evaṃ abhikkamādīsu asammuyhanaṃ asammohasampajaññaṃ nāmāti.
นิฎฺฐิโต อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺต สมฺปชานการี โหตีติปทสฺส อโตฺถฯ
Niṭṭhito abhikkante paṭikkante sampajānakārī hotītipadassa attho.
อาโลกิเต วิโลกิเตติ เอตฺถ ปน อาโลกิตํ นาม ปุรโต เปกฺขนํ, วิโลกิตํ นาม อนุทิสาเปกฺขนํฯ อญฺญานิปิ เหฎฺฐา อุปริ ปจฺฉโต เปกฺขนวเสน โอโลกิตอุโลฺลกิตาปโลกิตานิ นาม โหนฺติฯ ตานิ อิธ น คหิตานิฯ สารุปฺปวเสน ปน อิมาเนว เทฺว คหิตานิฯ อิมินา วา มุเขน สพฺพานิปิ ตานิ คหิตาเนวาติฯ
Ālokite vilokiteti ettha pana ālokitaṃ nāma purato pekkhanaṃ, vilokitaṃ nāma anudisāpekkhanaṃ. Aññānipi heṭṭhā upari pacchato pekkhanavasena olokitaullokitāpalokitāni nāma honti. Tāni idha na gahitāni. Sāruppavasena pana imāneva dve gahitāni. Iminā vā mukhena sabbānipi tāni gahitānevāti.
ตตฺถ ‘อาโลเกสฺสามี’ติ จิเตฺต อุปฺปเนฺน จิตฺตวเสเนว อโนโลเกตฺวา อตฺถปริคฺคณฺหนํ ‘สาตฺถกสมฺปชญฺญํ’ฯ ตํ อายสฺมนฺตํ นนฺทํ กายสกฺขิํ กตฺวา เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา –
Tattha ‘ālokessāmī’ti citte uppanne cittavaseneva anoloketvā atthapariggaṇhanaṃ ‘sātthakasampajaññaṃ’. Taṃ āyasmantaṃ nandaṃ kāyasakkhiṃ katvā veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ bhagavatā –
‘‘สเจ, ภิกฺขเว, นนฺทสฺส ปุรตฺถิมา ทิสา อาโลเกตพฺพา โหติ, สพฺพํ เจตสา สมนฺนาหริตฺวา นโนฺท ปุรตฺถิมํ ทิสํ อาโลเกติ – ‘เอวํ เม ปุรตฺถิมํ ทิสํ อาโลกยโต น อภิชฺฌาโทมนสฺสา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อนฺวาสฺสวิสฺสนฺตี’ติฯ อิติห สาตฺถกสมฺปชาโน โหติฯ ‘‘สเจ, ภิกฺขเว, นนฺทสฺส ปจฺฉิมา ทิสา, อุตฺตรา ทิสา, ทกฺขิณา ทิสา, อุทฺธํ, อโธ, อนุทิสา อนุวิโลเกตพฺพา โหติ, สพฺพํ เจตสา สมนฺนาหริตฺวา นโนฺท อนุทิสํ อนุวิโลเกติ – เอวํ เม อนุทิสํ อนุวิโลกยโต…เป.… สมฺปชาโน โหตี’’ติ (อ. นิ. ๘.๙)ฯ
‘‘Sace, bhikkhave, nandassa puratthimā disā āloketabbā hoti, sabbaṃ cetasā samannāharitvā nando puratthimaṃ disaṃ āloketi – ‘evaṃ me puratthimaṃ disaṃ ālokayato na abhijjhādomanassā pāpakā akusalā dhammā anvāssavissantī’ti. Itiha sātthakasampajāno hoti. ‘‘Sace, bhikkhave, nandassa pacchimā disā, uttarā disā, dakkhiṇā disā, uddhaṃ, adho, anudisā anuviloketabbā hoti, sabbaṃ cetasā samannāharitvā nando anudisaṃ anuviloketi – evaṃ me anudisaṃ anuvilokayato…pe… sampajāno hotī’’ti (a. ni. 8.9).
อปิจ อิธาปิ ปุเพฺพ วุตฺตเจติยทสฺสนาทิวเสเนว สาตฺถกตา จ สปฺปายตา จ เวทิตพฺพาฯ
Apica idhāpi pubbe vuttacetiyadassanādivaseneva sātthakatā ca sappāyatā ca veditabbā.
กมฺมฎฺฐานสฺส ปน อวิชหนเมว ‘โคจรสมฺปชญฺญํ’ฯ ตสฺมา ขนฺธธาตุอายตนกมฺมฎฺฐานิเกหิ อตฺตโน กมฺมฎฺฐานวเสเนว, กสิณาทิกมฺมฎฺฐานิเกหิ วา ปน กมฺมฎฺฐานสีเสเนว อาโลกนวิโลกนํ กาตพฺพํฯ
Kammaṭṭhānassa pana avijahanameva ‘gocarasampajaññaṃ’. Tasmā khandhadhātuāyatanakammaṭṭhānikehi attano kammaṭṭhānavaseneva, kasiṇādikammaṭṭhānikehi vā pana kammaṭṭhānasīseneva ālokanavilokanaṃ kātabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม อาโลเกตา วา วิโลเกตา วา นตฺถิฯ ‘อาโลเกสฺสามี’ติ ปน จิเตฺต อุปฺปชฺชมาเน เตเนว จิเตฺตน สทฺธิํ จิตฺตสมุฎฺฐานา วาโยธาตุ วิญฺญตฺติํ ชนยมานา อุปฺปชฺชติฯ อิติ จิตฺตกิริยาวาโยธาตุวิปฺผารวเสน เหฎฺฐิมํ อกฺขิทลํ อโธ สีทติ, อุปริมํ อุทฺธํ ลเงฺฆติฯ โกจิ ยนฺตเกน วิวรโนฺต นาม นตฺถิฯ ตโต จกฺขุวิญฺญาณํ ทสฺสนกิจฺจํ สาเธนฺตํ อุปฺปชฺชตี’ติ เอวํ ปชานนํ ปเนตฺถ ‘อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ’ นามฯ
Abbhantare attā nāma āloketā vā viloketā vā natthi. ‘Ālokessāmī’ti pana citte uppajjamāne teneva cittena saddhiṃ cittasamuṭṭhānā vāyodhātu viññattiṃ janayamānā uppajjati. Iti cittakiriyāvāyodhātuvipphāravasena heṭṭhimaṃ akkhidalaṃ adho sīdati, uparimaṃ uddhaṃ laṅgheti. Koci yantakena vivaranto nāma natthi. Tato cakkhuviññāṇaṃ dassanakiccaṃ sādhentaṃ uppajjatī’ti evaṃ pajānanaṃ panettha ‘asammohasampajaññaṃ’ nāma.
อปิจ มูลปริญฺญาอาคนฺตุกตาวกาลิกภาววเสน ปเนตฺถ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ มูลปริญฺญาวเสน ตาว –
Apica mūlapariññāāgantukatāvakālikabhāvavasena panettha asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ. Mūlapariññāvasena tāva –
ภวงฺคาวชฺชนเญฺจว, ทสฺสนํ สมฺปฎิจฺฉนํ;
Bhavaṅgāvajjanañceva, dassanaṃ sampaṭicchanaṃ;
สนฺตีรณํ โวฎฺฐพฺพนํ, ชวนํ ภวติ สตฺตมํฯ
Santīraṇaṃ voṭṭhabbanaṃ, javanaṃ bhavati sattamaṃ.
ตตฺถ ภวงฺคํ อุปปตฺติภวสฺส องฺคกิจฺจํ สาธยมานํ ปวตฺตติ; ตํ อาวเตฺตตฺวา กิริยมโนธาตุ อาวชฺชนกิจฺจํ สาธยมานา; ตนฺนิโรธา จกฺขุวิญฺญาณํ ทสฺสนกิจฺจํ สาธยมานํ; ตนฺนิโรธา วิปากมโนธาตุ สมฺปฎิจฺฉนกิจฺจํ สาธยมานา; ตนฺนิโรธา วิปากมโนวิญฺญาณธาตุ สนฺตีรณกิจฺจํ สาธยมานา; ตนฺนิโรธา กิริยมโนวิญฺญาณธาตุ โวฎฺฐพฺพนกิจฺจํ สาธยมานา; ตนฺนิโรธา สตฺตกฺขตฺตุํ ชวนํ ชวติฯ ตตฺถ ปฐมชวเนปิ ‘อยํ อิตฺถี, อยํ ปุริโส’ติ รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนวเสน อาโลกิตวิโลกิตํ น โหติ; ทุติยชวเนปิ…เป.… สตฺตมชวเนปิฯ เอเตสุ ปน, ยุทฺธมณฺฑเล โยเธสุ วิย, เหฎฺฐุปริยวเสน ภิชฺชิตฺวา ปติเตสุ ‘อยํ อิตฺถี, อยํ ปุริโส’ติ รชฺชนาทิวเสน อาโลกิตวิโลกิตํ โหติฯ เอวํ ตาเวตฺถ ‘มูลปริญฺญาวเสน’ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Tattha bhavaṅgaṃ upapattibhavassa aṅgakiccaṃ sādhayamānaṃ pavattati; taṃ āvattetvā kiriyamanodhātu āvajjanakiccaṃ sādhayamānā; tannirodhā cakkhuviññāṇaṃ dassanakiccaṃ sādhayamānaṃ; tannirodhā vipākamanodhātu sampaṭicchanakiccaṃ sādhayamānā; tannirodhā vipākamanoviññāṇadhātu santīraṇakiccaṃ sādhayamānā; tannirodhā kiriyamanoviññāṇadhātu voṭṭhabbanakiccaṃ sādhayamānā; tannirodhā sattakkhattuṃ javanaṃ javati. Tattha paṭhamajavanepi ‘ayaṃ itthī, ayaṃ puriso’ti rajjanadussanamuyhanavasena ālokitavilokitaṃ na hoti; dutiyajavanepi…pe… sattamajavanepi. Etesu pana, yuddhamaṇḍale yodhesu viya, heṭṭhupariyavasena bhijjitvā patitesu ‘ayaṃ itthī, ayaṃ puriso’ti rajjanādivasena ālokitavilokitaṃ hoti. Evaṃ tāvettha ‘mūlapariññāvasena’ asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
จกฺขุทฺวาเร ปน รูเป อาปาถคเต ภวงฺคจลนโต อุทฺธํ สกสกกิจฺจนิปฺผาทนวเสน อาวชฺชนาทีสุ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุเทฺธสุ อวสาเน ชวนํ อุปฺปชฺชติฯ ตํ ปุเพฺพ อุปฺปนฺนานํ อาวชฺชนาทีนํ เคหภูเต จกฺขุทฺวาเร อาคนฺตุกปุริโส วิย โหติฯ ตสฺส ยถา ปรเคเห กิญฺจิ ยาจิตุํ ปวิฎฺฐสฺส อาคนฺตุกปุริสสฺส เคหสามิเกสุปิ ตุณฺหีมาสิเนสุ อาณากรณํ น ยุตฺตํ, เอวํ อาวชฺชนาทีนํ เคหภูเต จกฺขุทฺวาเร อาวชฺชนาทีสุปิ อรชฺชเนฺตสุ อทุสฺสเนฺตสุ อมุยฺหเนฺตสุ จ รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนํ อยุตฺตนฺติฯ เอวํ ‘อาคนฺตุกภาววเสน’ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Cakkhudvāre pana rūpe āpāthagate bhavaṅgacalanato uddhaṃ sakasakakiccanipphādanavasena āvajjanādīsu uppajjitvā niruddhesu avasāne javanaṃ uppajjati. Taṃ pubbe uppannānaṃ āvajjanādīnaṃ gehabhūte cakkhudvāre āgantukapuriso viya hoti. Tassa yathā paragehe kiñci yācituṃ paviṭṭhassa āgantukapurisassa gehasāmikesupi tuṇhīmāsinesu āṇākaraṇaṃ na yuttaṃ, evaṃ āvajjanādīnaṃ gehabhūte cakkhudvāre āvajjanādīsupi arajjantesu adussantesu amuyhantesu ca rajjanadussanamuyhanaṃ ayuttanti. Evaṃ ‘āgantukabhāvavasena’ asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
ยานิ ปเนตานิ จกฺขุทฺวาเร โวฎฺฐพฺพนปริโยสานานิ จิตฺตานิ อุปฺปชฺชนฺติ, ตานิ สทฺธิํ สมฺปยุตฺตธเมฺมหิ ตตฺถ ตเตฺถว ภิชฺชนฺติ, อญฺญมญฺญํ น ปสฺสนฺตีติ อิตฺตรานิ ตาวกาลิกานิ โหนฺติฯ ตตฺถ ยถา เอกสฺมิํ ฆเร สเพฺพสุ มานุสเกสุ มเตสุ อวเสสสฺส เอกกสฺส ตงฺขณํเยว มรณธมฺมสฺส น ยุตฺตา นจฺจคีตาทีสุ อภิรติ นาม, เอวเมว เอกทฺวาเร สสมฺปยุเตฺตสุ อาวชฺชนาทีสุ ตตฺถ ตเตฺถว มเตสุ อวเสสสฺส ตงฺขณํเญฺญว มรณธมฺมสฺส ชวนสฺสาปิ รชฺชนทุสฺสนมุยฺหนวเสน อภิรติ นาม น ยุตฺตาติฯ เอวํ ‘ตาวกาลิกภาววเสน’ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Yāni panetāni cakkhudvāre voṭṭhabbanapariyosānāni cittāni uppajjanti, tāni saddhiṃ sampayuttadhammehi tattha tattheva bhijjanti, aññamaññaṃ na passantīti ittarāni tāvakālikāni honti. Tattha yathā ekasmiṃ ghare sabbesu mānusakesu matesu avasesassa ekakassa taṅkhaṇaṃyeva maraṇadhammassa na yuttā naccagītādīsu abhirati nāma, evameva ekadvāre sasampayuttesu āvajjanādīsu tattha tattheva matesu avasesassa taṅkhaṇaṃññeva maraṇadhammassa javanassāpi rajjanadussanamuyhanavasena abhirati nāma na yuttāti. Evaṃ ‘tāvakālikabhāvavasena’ asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
อปิจ ขนฺธายตนธาตุปจฺจยปจฺจเวกฺขณวเสนเปตํ เวทิตพฺพํฯ เอตฺถ หิ จกฺขุ เจว รูปานิ จ รูปกฺขโนฺธ, ทสฺสนํ วิญฺญาณกฺขโนฺธ, ตํสมฺปยุตฺตา เวทนา เวทนากฺขโนฺธ, สญฺญา สญฺญากฺขโนฺธ, ผสฺสาทิกา สงฺขารกฺขโนฺธฯ เอวเมเตสํ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ? โก วิโลเกติ?
Apica khandhāyatanadhātupaccayapaccavekkhaṇavasenapetaṃ veditabbaṃ. Ettha hi cakkhu ceva rūpāni ca rūpakkhandho, dassanaṃ viññāṇakkhandho, taṃsampayuttā vedanā vedanākkhandho, saññā saññākkhandho, phassādikā saṅkhārakkhandho. Evametesaṃ pañcannaṃ khandhānaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi? Ko viloketi?
ตถา จกฺขุ จกฺขายตนํ, รูปํ รูปายตนํ, ทสฺสนํ มนายตนํ, เวทนาทโย ตํสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ธมฺมายตนํฯ เอวเมเตสํ จตุนฺนํ อายตนานํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ? โก วิโลเกติ?
Tathā cakkhu cakkhāyatanaṃ, rūpaṃ rūpāyatanaṃ, dassanaṃ manāyatanaṃ, vedanādayo taṃsampayuttā dhammā dhammāyatanaṃ. Evametesaṃ catunnaṃ āyatanānaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi? Ko viloketi?
ตถา จกฺขุ จกฺขุธาตุ, รูปํ รูปธาตุ, ทสฺสนํ จกฺขุวิญฺญาณธาตุ, ตํสมฺปยุตฺตา เวทนาทโย ธมฺมา ธมฺมธาตุฯ เอวเมตาสํ จตุนฺนํ ธาตูนํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ? โก วิโลเกติ?
Tathā cakkhu cakkhudhātu, rūpaṃ rūpadhātu, dassanaṃ cakkhuviññāṇadhātu, taṃsampayuttā vedanādayo dhammā dhammadhātu. Evametāsaṃ catunnaṃ dhātūnaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi? Ko viloketi?
ตถา จกฺขุ นิสฺสยปจฺจโย, รูปํ อารมฺมณปจฺจโย, อาวชฺชนํ อนนฺตรสมนนฺตรอนนฺตรูปนิสฺสยนตฺถิวิคตปจฺจโย, อาโลโก อุปนิสฺสยปจฺจโย, เวทนาทโย สหชาตาทิปจฺจยาฯ เอวเมเตสํ ปจฺจยานํ สมวาเย อาโลกนวิโลกนํ ปญฺญายติฯ ตตฺถ โก เอโก อาโลเกติ? โก วิโลเกตีติ? เอวเมตฺถ ขนฺธายตนธาตุปจฺจยปจฺจเวกฺขณวเสนาปิ อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ เวทิตพฺพํฯ
Tathā cakkhu nissayapaccayo, rūpaṃ ārammaṇapaccayo, āvajjanaṃ anantarasamanantaraanantarūpanissayanatthivigatapaccayo, āloko upanissayapaccayo, vedanādayo sahajātādipaccayā. Evametesaṃ paccayānaṃ samavāye ālokanavilokanaṃ paññāyati. Tattha ko eko āloketi? Ko viloketīti? Evamettha khandhāyatanadhātupaccayapaccavekkhaṇavasenāpi asammohasampajaññaṃ veditabbaṃ.
สมิญฺชิเต ปสาริเตติ ปพฺพานํ สมิญฺชนปสารเณฯ ตตฺถ จิตฺตวเสเนว สมิญฺชนปสารณํ อกตฺวา หตฺถปาทานํ สมิญฺชนปสารณปจฺจยา อตฺถานตฺถํ ปริคฺคเหตฺวา ตตฺถ อตฺถปริคฺคณฺหนํ ‘สาตฺถกสมฺปชญฺญํ’ฯ ตตฺถ หตฺถปาเท อติจิรํ สมิญฺชิตฺวา วา ปสาเรตฺวา เอว วา ฐิตสฺส ขเณ ขเณ เวทนา อุปฺปชฺชนฺติ, จิตฺตํ เอกคฺคตํ น ลภติ, กมฺมฎฺฐานํ ปริปตติ, วิเสสํ นาธิคจฺฉติ; กาเล สมิญฺชนฺตสฺส กาเล ปสาเรนฺตสฺส ปน ตา เวทนา นุปฺปชฺชนฺติ, จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ, กมฺมฎฺฐานํ ผาติํ คจฺฉติ, วิเสสมธิคจฺฉตีติฯ เอวํ ‘อตฺถานตฺถปริคฺคณฺหนํ’ เวทิตพฺพํฯ
Samiñjite pasāriteti pabbānaṃ samiñjanapasāraṇe. Tattha cittavaseneva samiñjanapasāraṇaṃ akatvā hatthapādānaṃ samiñjanapasāraṇapaccayā atthānatthaṃ pariggahetvā tattha atthapariggaṇhanaṃ ‘sātthakasampajaññaṃ’. Tattha hatthapāde aticiraṃ samiñjitvā vā pasāretvā eva vā ṭhitassa khaṇe khaṇe vedanā uppajjanti, cittaṃ ekaggataṃ na labhati, kammaṭṭhānaṃ paripatati, visesaṃ nādhigacchati; kāle samiñjantassa kāle pasārentassa pana tā vedanā nuppajjanti, cittaṃ ekaggaṃ hoti, kammaṭṭhānaṃ phātiṃ gacchati, visesamadhigacchatīti. Evaṃ ‘atthānatthapariggaṇhanaṃ’ veditabbaṃ.
อเตฺถ ปน สติปิ สปฺปายาสปฺปายํ ปริคฺคเหตฺวา สปฺปายปริคฺคณฺหนํ ‘สปฺปายสมฺปชญฺญํ’ฯ
Atthe pana satipi sappāyāsappāyaṃ pariggahetvā sappāyapariggaṇhanaṃ ‘sappāyasampajaññaṃ’.
ตตฺรายํ นโย – มหาเจติยงฺคเณ กิร ทหรภิกฺขู สชฺฌายํ คณฺหนฺติฯ เตสํ ปิฎฺฐิปเสฺส ทหรภิกฺขุนิโย ธมฺมํ สุณนฺติฯ ตเตฺรโก ทหโร หตฺถํ ปสาเรโนฺต กายสํสคฺคํ ปตฺวา เตเนว การเณน คิหี ชาโตฯ อปโร ภิกฺขุ ปาทํ ปสาเรโนฺต อคฺคิมฺหิ ปสาเรสิฯ อฎฺฐิํ อาหจฺจ ปาโท ฌายิฯ อปโร ภิกฺขุ วมฺมิเก ปสาเรสิฯ โส อาสีวิเสน ทโฎฺฐฯ อปโร ภิกฺขุ จีวรกุฎิทณฺฑเก ปสาเรสิฯ ตํ มณิสโปฺป ฑํสิฯ ตสฺมา เอวรูเป อสปฺปาเย อปสาเรตฺวา สปฺปาเย ปสาเรตพฺพํฯ อิทเมตฺถ สปฺปายสมฺปชญฺญํฯ
Tatrāyaṃ nayo – mahācetiyaṅgaṇe kira daharabhikkhū sajjhāyaṃ gaṇhanti. Tesaṃ piṭṭhipasse daharabhikkhuniyo dhammaṃ suṇanti. Tatreko daharo hatthaṃ pasārento kāyasaṃsaggaṃ patvā teneva kāraṇena gihī jāto. Aparo bhikkhu pādaṃ pasārento aggimhi pasāresi. Aṭṭhiṃ āhacca pādo jhāyi. Aparo bhikkhu vammike pasāresi. So āsīvisena daṭṭho. Aparo bhikkhu cīvarakuṭidaṇḍake pasāresi. Taṃ maṇisappo ḍaṃsi. Tasmā evarūpe asappāye apasāretvā sappāye pasāretabbaṃ. Idamettha sappāyasampajaññaṃ.
‘โคจรสมฺปชญฺญํ’ ปน มหาเถรวตฺถุนา ทีเปตพฺพํ – มหาเถโร กิร ทิวาฎฺฐาเน นิสิโนฺน อเนฺตวาสิเกหิ สทฺธิํ กถยมาโน สหสา หตฺถํ สมิญฺชิตฺวา ปุน ยถาฐาเน ฐเปตฺวา สณิกํ สมิเญฺชสิฯ ตํ อเนฺตวาสิกา ปุจฺฉิํสุ – ‘‘กสฺมา, ภเนฺต, สหสา หตฺถํ สมิญฺชิตฺวา ปุน ยถาฐาเน ฐเปตฺวา สณิกํ สมิญฺชิตฺถา’’ติ? ‘‘ยโต ปฎฺฐาย มยา, อาวุโส, กมฺมฎฺฐานํ มนสิกาตุํ อารโทฺธ, น เม กมฺมฎฺฐานํ มุญฺจิตฺวา หโตฺถ สมิญฺชิตปุโพฺพฯ อิทานิ ปน เม ตุเมฺหหิ สทฺธิํ กถยมาเนน กมฺมฎฺฐานํ มุญฺจิตฺวา สมิญฺชิโตฯ ตสฺมา ปุน ยถาฐาเน ฐเปตฺวา สมิเญฺชสิ’’นฺติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต, ภิกฺขุนา นาม เอวรูเปน ภวิตพฺพ’’นฺติฯ เอวเมตฺถาปิ กมฺมฎฺฐานาวิชหนเมว ‘โคจรสมฺปชญฺญ’นฺติ เวทิตพฺพํฯ
‘Gocarasampajaññaṃ’ pana mahātheravatthunā dīpetabbaṃ – mahāthero kira divāṭṭhāne nisinno antevāsikehi saddhiṃ kathayamāno sahasā hatthaṃ samiñjitvā puna yathāṭhāne ṭhapetvā saṇikaṃ samiñjesi. Taṃ antevāsikā pucchiṃsu – ‘‘kasmā, bhante, sahasā hatthaṃ samiñjitvā puna yathāṭhāne ṭhapetvā saṇikaṃ samiñjitthā’’ti? ‘‘Yato paṭṭhāya mayā, āvuso, kammaṭṭhānaṃ manasikātuṃ āraddho, na me kammaṭṭhānaṃ muñcitvā hattho samiñjitapubbo. Idāni pana me tumhehi saddhiṃ kathayamānena kammaṭṭhānaṃ muñcitvā samiñjito. Tasmā puna yathāṭhāne ṭhapetvā samiñjesi’’nti. ‘‘Sādhu, bhante, bhikkhunā nāma evarūpena bhavitabba’’nti. Evametthāpi kammaṭṭhānāvijahanameva ‘gocarasampajañña’nti veditabbaṃ.
‘อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ สมิเญฺชโนฺต วา ปสาเรโนฺต วา นตฺถิฯ วุตฺตปฺปการจิตฺตกิริยาวาโยธาตุวิปฺผาเรน ปน, สุตฺตากฑฺฒนวเสน ทารุยนฺตสฺส หตฺถปาทจลนํ วิย, สมิญฺชนปสารณํ โหตี’ติ ปริชานนํ ปเนตฺถ ‘อสโมฺมหสมฺปชญฺญ’นฺติ เวทิตพฺพํฯ
‘Abbhantare attā nāma koci samiñjento vā pasārento vā natthi. Vuttappakāracittakiriyāvāyodhātuvipphārena pana, suttākaḍḍhanavasena dāruyantassa hatthapādacalanaṃ viya, samiñjanapasāraṇaṃ hotī’ti parijānanaṃ panettha ‘asammohasampajañña’nti veditabbaṃ.
สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารเณติ เอตฺถ สงฺฆาฎิจีวรานํ นิวาสนปารุปนวเสน ปตฺตสฺส ภิกฺขาปฎิคฺคหณาทิวเสน ปริโภโค ‘ธารณํ’ นามฯ ตตฺถ สงฺฆาฎิจีวรธารเณ ตาว นิวาเสตฺวา ปารุปิตฺวา จ ปิณฺฑาย จรโต ‘‘อามิสลาโภ สีตสฺส ปฎิฆาตายา’’ติอาทินา นเยน ภควตา วุตฺตปฺปกาโรเยว จ อโตฺถ ‘อโตฺถ’ นามฯ ตสฺส วเสน ‘สาตฺถกสมฺปชญฺญํ’ เวทิตพฺพํฯ
Saṅghāṭipattacīvaradhāraṇeti ettha saṅghāṭicīvarānaṃ nivāsanapārupanavasena pattassa bhikkhāpaṭiggahaṇādivasena paribhogo ‘dhāraṇaṃ’ nāma. Tattha saṅghāṭicīvaradhāraṇe tāva nivāsetvā pārupitvā ca piṇḍāya carato ‘‘āmisalābho sītassa paṭighātāyā’’tiādinā nayena bhagavatā vuttappakāroyeva ca attho ‘attho’ nāma. Tassa vasena ‘sātthakasampajaññaṃ’ veditabbaṃ.
อุณฺหปกติกสฺส ปน ทุพฺพลสฺส จ จีวรํ สุขุมํ สปฺปายํ, สีตาลุกสฺส ฆนํ ทุปฎฺฎํ; วิปรีตํ อสปฺปายํฯ ยสฺส กสฺสจิ ชิณฺณํ อสปฺปายเมวฯ อคฺคฬาทิทาเนน หิสฺส ตํ ปลิโพธกรํ โหติฯ ตถา ปฎฺฎุณฺณทุกูลาทิเภทํ โจรานํ โลภนียจีวรํฯ ตาทิสญฺหิ อรเญฺญ เอกกสฺส นิวาสนฺตรายกรํ ชีวิตนฺตรายกรญฺจาปิ โหติฯ นิปฺปริยาเยน ปน ยํ นิมิตฺตกมฺมาทิมิจฺฉาชีววเสน อุปฺปนฺนํ, ยญฺจสฺส เสวมานสฺส อกุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, ตํ อสปฺปายํ ; วิปรีตํ สปฺปายํฯ ตสฺส วเสเนตฺถ ‘สปฺปายสมฺปชญฺญํ’ กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสเนว จ ‘โคจรสมฺปชญฺญํ’ เวทิตพฺพํฯ
Uṇhapakatikassa pana dubbalassa ca cīvaraṃ sukhumaṃ sappāyaṃ, sītālukassa ghanaṃ dupaṭṭaṃ; viparītaṃ asappāyaṃ. Yassa kassaci jiṇṇaṃ asappāyameva. Aggaḷādidānena hissa taṃ palibodhakaraṃ hoti. Tathā paṭṭuṇṇadukūlādibhedaṃ corānaṃ lobhanīyacīvaraṃ. Tādisañhi araññe ekakassa nivāsantarāyakaraṃ jīvitantarāyakarañcāpi hoti. Nippariyāyena pana yaṃ nimittakammādimicchājīvavasena uppannaṃ, yañcassa sevamānassa akusalā dhammā abhivaḍḍhanti, kusalā dhammā parihāyanti, taṃ asappāyaṃ ; viparītaṃ sappāyaṃ. Tassa vasenettha ‘sappāyasampajaññaṃ’ kammaṭṭhānāvijahanavaseneva ca ‘gocarasampajaññaṃ’ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ จีวรํ ปารุปโนฺต นตฺถิฯ วุตฺตปฺปการจิตฺตกิริยาวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว ปน จีวรปารุปนํ โหติฯ ตตฺถ จีวรมฺปิ อเจตนํ, กาโยปิ อเจตโนฯ จีวรํ น ชานาติ – ‘มยา กาโย ปารุปิโต’ติ, กาโยปิ น ชานาติ – ‘อหํ จีวเรน ปารุปิโต’ติฯ ธาตุโยว ธาตุสมูหํ ปฎิจฺฉาเทนฺติ, ปฎปิโลติกาย โปตฺถกรูปปฎิจฺฉาทเน วิยฯ ตสฺมา เนว สุนฺทรํ จีวรํ ลภิตฺวา โสมนสฺสํ กาตพฺพํ , น อสุนฺทรํ ลภิตฺวา โทมนสฺสํฯ นาควมฺมิกเจติยรุกฺขาทีสุ หิ เกจิ มาลาคนฺธธูปวตฺถาทีหิ สกฺการํ กโรนฺติ, เกจิ คูถมุตฺตกทฺทมทณฺฑสตฺถปฺปหาราทีหิ อสกฺการํฯ น เตหิ นาควมฺมิกรุกฺขาทโย โสมนสฺสํ วา โทมนสฺสํ วา กโรนฺติฯ เอวเมว เนว สุนฺทรํ จีวรํ ลภิตฺวา โสมนสฺสํ กาตพฺพํ, น อสุนฺทรํ ลภิตฺวา โทมนสฺสนฺติฯ เอวํ ปวตฺตปฎิสงฺขานวเสเนตฺถ ‘อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ’ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci cīvaraṃ pārupanto natthi. Vuttappakāracittakiriyāvāyodhātuvipphāreneva pana cīvarapārupanaṃ hoti. Tattha cīvarampi acetanaṃ, kāyopi acetano. Cīvaraṃ na jānāti – ‘mayā kāyo pārupito’ti, kāyopi na jānāti – ‘ahaṃ cīvarena pārupito’ti. Dhātuyova dhātusamūhaṃ paṭicchādenti, paṭapilotikāya potthakarūpapaṭicchādane viya. Tasmā neva sundaraṃ cīvaraṃ labhitvā somanassaṃ kātabbaṃ , na asundaraṃ labhitvā domanassaṃ. Nāgavammikacetiyarukkhādīsu hi keci mālāgandhadhūpavatthādīhi sakkāraṃ karonti, keci gūthamuttakaddamadaṇḍasatthappahārādīhi asakkāraṃ. Na tehi nāgavammikarukkhādayo somanassaṃ vā domanassaṃ vā karonti. Evameva neva sundaraṃ cīvaraṃ labhitvā somanassaṃ kātabbaṃ, na asundaraṃ labhitvā domanassanti. Evaṃ pavattapaṭisaṅkhānavasenettha ‘asammohasampajaññaṃ’ veditabbaṃ.
ปตฺตธารเณปิ ปตฺตํ สหสาว อคฺคเหตฺวา ‘อิมํ คเหตฺวา ปิณฺฑาย จรมาโน ภิกฺขํ ลภิสฺสามี’ติ เอวํ ปตฺตคฺคหณปจฺจยา ปฎิลภิตพฺพอตฺถวเสน ‘สาตฺถกสมฺปชญฺญํ’ เวทิตพฺพํฯ กิสทุพฺพลสรีรสฺส ปน ครุปโตฺต อสปฺปาโย; ยสฺส กสฺสจิ จตุปญฺจคณฺฐิกาหโต ทุพฺพิโสธนีโย อสปฺปาโยวฯ ทุโทฺธตปโตฺต หิ น วฎฺฎติ; ตํ โธวนฺตเสฺสว จสฺส ปลิโพโธ โหติฯ มณิวณฺณปโตฺต ปน โลภนีโยว จีวเร วุตฺตนเยเนว อสปฺปาโยฯ นิมิตฺตกมฺมาทิวเสน ปน ลโทฺธ, ยญฺจสฺส เสวมานสฺส อกุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, อยํ เอกนฺตาสปฺปาโยว วิปรีโต สปฺปาโยฯ ตสฺส วเสเนตฺถ ‘สปฺปายสมฺปชญฺญํ’ กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสเนว ‘โคจรสมฺปชญฺญํ’ เวทิตพฺพํฯ
Pattadhāraṇepi pattaṃ sahasāva aggahetvā ‘imaṃ gahetvā piṇḍāya caramāno bhikkhaṃ labhissāmī’ti evaṃ pattaggahaṇapaccayā paṭilabhitabbaatthavasena ‘sātthakasampajaññaṃ’ veditabbaṃ. Kisadubbalasarīrassa pana garupatto asappāyo; yassa kassaci catupañcagaṇṭhikāhato dubbisodhanīyo asappāyova. Duddhotapatto hi na vaṭṭati; taṃ dhovantasseva cassa palibodho hoti. Maṇivaṇṇapatto pana lobhanīyova cīvare vuttanayeneva asappāyo. Nimittakammādivasena pana laddho, yañcassa sevamānassa akusalā dhammā abhivaḍḍhanti, kusalā dhammā parihāyanti, ayaṃ ekantāsappāyova viparīto sappāyo. Tassa vasenettha ‘sappāyasampajaññaṃ’ kammaṭṭhānāvijahanavaseneva ‘gocarasampajaññaṃ’ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ ปตฺตํ คณฺหโนฺต นตฺถิฯ วุตฺตปฺปการจิตฺตกิริยาวาโยธาตุวิปฺผารวเสเนว ปน ปตฺตคฺคหณํ นาม โหติฯ ตตฺถ ปโตฺตปิ อเจตโน, หตฺถาปิ อเจตนาฯ ปโตฺต น ชานาติ – ‘อหํ หเตฺถหิ คหิโต’ติฯ หตฺถาปิ น ชานนฺติ – ‘ปโตฺต อเมฺหหิ คหิโต’ติฯ ธาตุโยว ธาตุสมูหํ คณฺหนฺติ, สณฺฑาเสน อคฺคิวณฺณปตฺตคหเณ วิยาติฯ เอวํ ปวตฺตปฎิสงฺขานวเสเนตฺถ ‘อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ’ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci pattaṃ gaṇhanto natthi. Vuttappakāracittakiriyāvāyodhātuvipphāravaseneva pana pattaggahaṇaṃ nāma hoti. Tattha pattopi acetano, hatthāpi acetanā. Patto na jānāti – ‘ahaṃ hatthehi gahito’ti. Hatthāpi na jānanti – ‘patto amhehi gahito’ti. Dhātuyova dhātusamūhaṃ gaṇhanti, saṇḍāsena aggivaṇṇapattagahaṇe viyāti. Evaṃ pavattapaṭisaṅkhānavasenettha ‘asammohasampajaññaṃ’ veditabbaṃ.
อปิจ ยถา ฉินฺนหตฺถปาเท วณมุเขหิ ปคฺฆริตปุพฺพโลหิตกิมิกุเล นีลมกฺขิกสมฺปริกิเณฺณ อนาถสาลายํ อนาถมนุเสฺส ทิสฺวา ทยาลุกา ปุริสา เตสํ วณพนฺธปฎฺฎโจฬกานิ เจว กปาลาทีหิ จ เภสชฺชานิ อุปนาเมนฺติฯ ตตฺถ โจฬกานิปิ เกสญฺจิ สณฺหานิ เกสญฺจิ ถูลานิ ปาปุณนฺติฯ เภสชฺชกปาลกานิปิ เกสญฺจิ สุสณฺฐานานิ เกสญฺจิ ทุสฺสณฺฐานานิ ปาปุณนฺติฯ น เต ตตฺถ สุมนา วา โหนฺติ ทุมฺมนา วาฯ วณปฎิจฺฉาทนมเตฺตเนว หิ โจฬเกน, เภสชฺชปริคฺคหณมเตฺตเนว จ กปาลเกน เตสํ อโตฺถฯ เอวเมว โย ภิกฺขุ วณโจฬกํ วิย จีวรํ, เภสชฺชกปาลกํ วิย จ ปตฺตํ, กปาเล เภสชฺชมิว จ ปเตฺต ลทฺธภิกฺขํ สลฺลเกฺขติ – อยํ สงฺฆาฎิปตฺตจีวรธารเณ อสโมฺมหสมฺปชเญฺญน อุตฺตมสมฺปชานการีติ เวทิตโพฺพฯ
Apica yathā chinnahatthapāde vaṇamukhehi paggharitapubbalohitakimikule nīlamakkhikasamparikiṇṇe anāthasālāyaṃ anāthamanusse disvā dayālukā purisā tesaṃ vaṇabandhapaṭṭacoḷakāni ceva kapālādīhi ca bhesajjāni upanāmenti. Tattha coḷakānipi kesañci saṇhāni kesañci thūlāni pāpuṇanti. Bhesajjakapālakānipi kesañci susaṇṭhānāni kesañci dussaṇṭhānāni pāpuṇanti. Na te tattha sumanā vā honti dummanā vā. Vaṇapaṭicchādanamatteneva hi coḷakena, bhesajjapariggahaṇamatteneva ca kapālakena tesaṃ attho. Evameva yo bhikkhu vaṇacoḷakaṃ viya cīvaraṃ, bhesajjakapālakaṃ viya ca pattaṃ, kapāle bhesajjamiva ca patte laddhabhikkhaṃ sallakkheti – ayaṃ saṅghāṭipattacīvaradhāraṇe asammohasampajaññena uttamasampajānakārīti veditabbo.
อสิตาทีสุ อสิเตติ ปิณฺฑปาตาทิโภชเนฯ ปีเตติ ยาคุอาทิปาเนฯ ขายิเตติ ปิฎฺฐขชฺชกาทิขาทเนฯ สายิเตติ มธุผาณิตาทิสายเนฯ ตตฺถ ‘‘เนว ทวายา’’ติอาทินา นเยน วุโตฺต อฎฺฐวิโธปิ อโตฺถ ‘อโตฺถ’ นามฯ ตสฺส วเสน ‘สาตฺถกสมฺปชญฺญํ’ เวทิตพฺพํฯ
Asitādīsu asiteti piṇḍapātādibhojane. Pīteti yāguādipāne. Khāyiteti piṭṭhakhajjakādikhādane. Sāyiteti madhuphāṇitādisāyane. Tattha ‘‘neva davāyā’’tiādinā nayena vutto aṭṭhavidhopi attho ‘attho’ nāma. Tassa vasena ‘sātthakasampajaññaṃ’ veditabbaṃ.
ลูขปณีตติตฺตมธุราทีสุ ปน เยน โภชเนน ยสฺส อผาสุ โหติ, ตํ ตสฺส อสปฺปายํฯ ยํ ปน นิมิตฺตกมฺมาทิวเสน ปฎิลทฺธํ, ยญฺจสฺส ภุญฺชโต อกุสลา ธมฺมา อภิวฑฺฒนฺติ, กุสลา ธมฺมา ปริหายนฺติ, ตํ เอกนฺตํ อสปฺปายเมว; วิปรีตํ สปฺปายํฯ ตสฺส วเสเนตฺถ ‘สปฺปายสมฺปชญฺญํ’ กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสเนว จ ‘โคจรสมฺปชญฺญํ’ เวทิตพฺพํฯ
Lūkhapaṇītatittamadhurādīsu pana yena bhojanena yassa aphāsu hoti, taṃ tassa asappāyaṃ. Yaṃ pana nimittakammādivasena paṭiladdhaṃ, yañcassa bhuñjato akusalā dhammā abhivaḍḍhanti, kusalā dhammā parihāyanti, taṃ ekantaṃ asappāyameva; viparītaṃ sappāyaṃ. Tassa vasenettha ‘sappāyasampajaññaṃ’ kammaṭṭhānāvijahanavaseneva ca ‘gocarasampajaññaṃ’ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ ภุญฺชโก นตฺถิฯ วุตฺตปฺปการจิตฺตกิริยาวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว ปน ปตฺตปฎิคฺคหณํ นาม โหติฯ จิตฺตกิริยาวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว หตฺถสฺส ปเตฺต โอตารณํ นาม โหติฯ จิตฺตกิริยาวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว อาโลปกรณํ, อาโลปอุทฺธรณํ, มุขวิวรณญฺจ โหติฯ น โกจิ กุญฺจิกาย, น ยนฺตเกน หนุกฎฺฐิํ วิวรติฯ จิตฺตกิริยาวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว อาโลปสฺส มุเข ฐปนํ, อุปริทนฺตานํ มุสลกิจฺจสาธนํ, เหฎฺฐาทนฺตานํ อุทุกฺขลกิจฺจสาธนํ, ชิวฺหาย หตฺถกิจฺจสาธนญฺจ โหติฯ อิติ นํ ตตฺถ อคฺคชิวฺหาย ตนุกเขโฬ มูลชิวฺหาย พหลเขโฬ มเกฺขติฯ ตํ เหฎฺฐาทนฺตอุทุกฺขเล ชิวฺหาหตฺถปริวตฺติตํ เขฬอุทกเตมิตํ อุปริทนฺตมุสลสญฺจุณฺณิตํ โกจิ กฎจฺฉุนา วา ทพฺพิยา วา อโนฺต ปเวเสโนฺต นาม นตฺถิ; วาโยธาตุยาว ปวิสติฯ ปวิฎฺฐํ ปวิฎฺฐํ โกจิ ปลาลสนฺถารํ กตฺวา ธาเรโนฺต นาม นตฺถิ; วาโยธาตุวเสเนว ติฎฺฐติฯ ฐิตํ ฐิตํ โกจิ อุทฺธนํ กตฺวา อคฺคิํ ชาเลตฺวา ปจโนฺต นาม นตฺถิ; เตโชธาตุยาว ปจฺจติฯ ปกฺกํ ปกฺกํ โกจิ ทณฺฑเกน วา ยฎฺฐิยา วา พหิ นีหารโก นาม นตฺถิ; วาโยธาตุเยว นีหรติฯ อิติ วาโยธาตุ อติหรติ จ วีติหรติ จ ธาเรติ จ ปริวเตฺตติ จ สญฺจุเณฺณติ จ วิโสเสติ จ นีหรติ จฯ ปถวีธาตุ ธาเรติ จ ปริวเตฺตติ จ สญฺจุเณฺณติ จ วิโสเสติ จ นีหรติ จฯ อาโปธาตุ สิเนเหติ จ อลฺลตฺตญฺจ อนุปาเลติฯ เตโชธาตุ อโนฺตปวิฎฺฐํ ปริปาเจติฯ อากาสธาตุ อญฺชโส โหติฯ วิญฺญาณธาตุ ตตฺถ ตตฺถ สมฺมาปโยคมนฺวาย อาภุชตีติฯ เอวํ ปวตฺตปฎิสงฺขานวเสเนตฺถ ‘อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ’ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci bhuñjako natthi. Vuttappakāracittakiriyāvāyodhātuvipphāreneva pana pattapaṭiggahaṇaṃ nāma hoti. Cittakiriyāvāyodhātuvipphāreneva hatthassa patte otāraṇaṃ nāma hoti. Cittakiriyāvāyodhātuvipphāreneva ālopakaraṇaṃ, ālopauddharaṇaṃ, mukhavivaraṇañca hoti. Na koci kuñcikāya, na yantakena hanukaṭṭhiṃ vivarati. Cittakiriyāvāyodhātuvipphāreneva ālopassa mukhe ṭhapanaṃ, uparidantānaṃ musalakiccasādhanaṃ, heṭṭhādantānaṃ udukkhalakiccasādhanaṃ, jivhāya hatthakiccasādhanañca hoti. Iti naṃ tattha aggajivhāya tanukakheḷo mūlajivhāya bahalakheḷo makkheti. Taṃ heṭṭhādantaudukkhale jivhāhatthaparivattitaṃ kheḷaudakatemitaṃ uparidantamusalasañcuṇṇitaṃ koci kaṭacchunā vā dabbiyā vā anto pavesento nāma natthi; vāyodhātuyāva pavisati. Paviṭṭhaṃ paviṭṭhaṃ koci palālasanthāraṃ katvā dhārento nāma natthi; vāyodhātuvaseneva tiṭṭhati. Ṭhitaṃ ṭhitaṃ koci uddhanaṃ katvā aggiṃ jāletvā pacanto nāma natthi; tejodhātuyāva paccati. Pakkaṃ pakkaṃ koci daṇḍakena vā yaṭṭhiyā vā bahi nīhārako nāma natthi; vāyodhātuyeva nīharati. Iti vāyodhātu atiharati ca vītiharati ca dhāreti ca parivatteti ca sañcuṇṇeti ca visoseti ca nīharati ca. Pathavīdhātu dhāreti ca parivatteti ca sañcuṇṇeti ca visoseti ca nīharati ca. Āpodhātu sineheti ca allattañca anupāleti. Tejodhātu antopaviṭṭhaṃ paripāceti. Ākāsadhātu añjaso hoti. Viññāṇadhātu tattha tattha sammāpayogamanvāya ābhujatīti. Evaṃ pavattapaṭisaṅkhānavasenettha ‘asammohasampajaññaṃ’ veditabbaṃ.
อปิจ คมนโต, ปริเยสนโต, ปริโภคโต, อาสยโต, นิธานโต, อปริปกฺกโต, ปริปกฺกโต, ผลโต, นิสฺสนฺทนโต, สมฺมกฺขนโตติ เอวํ ทสวิธปฎิกูลภาวปจฺจเวกฺขณโตเปตฺถ ‘อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ’ เวทิตพฺพํฯ วิตฺถารกถา ปเนตฺถ วิสุทฺธิมเคฺค อาหารปฎิกูลสญฺญานิเทฺทสโต คเหตพฺพาฯ
Apica gamanato, pariyesanato, paribhogato, āsayato, nidhānato, aparipakkato, paripakkato, phalato, nissandanato, sammakkhanatoti evaṃ dasavidhapaṭikūlabhāvapaccavekkhaṇatopettha ‘asammohasampajaññaṃ’ veditabbaṃ. Vitthārakathā panettha visuddhimagge āhārapaṭikūlasaññāniddesato gahetabbā.
อุจฺจารปสฺสาวกเมฺมติ อุจฺจารสฺส จ ปสฺสาวสฺส จ กรเณฯ ตตฺถ ปกฺกกาเล อุจฺจารปสฺสาวํ อกโรนฺตสฺส สกลสรีรโต เสทา มุจฺจนฺติ, อกฺขีนิ ภมนฺติ, จิตฺตํ น เอกคฺคํ โหติ, อเญฺญ จ โรคา อุปฺปชฺชนฺติ; กโรนฺตสฺส ปน สพฺพํ ตํ น โหตีติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ ตสฺส วเสน ‘สาตฺถกสมฺปชญฺญํ’ เวทิตพฺพํฯ
Uccārapassāvakammeti uccārassa ca passāvassa ca karaṇe. Tattha pakkakāle uccārapassāvaṃ akarontassa sakalasarīrato sedā muccanti, akkhīni bhamanti, cittaṃ na ekaggaṃ hoti, aññe ca rogā uppajjanti; karontassa pana sabbaṃ taṃ na hotīti ayamettha attho. Tassa vasena ‘sātthakasampajaññaṃ’ veditabbaṃ.
อฎฺฐาเน อุจฺจารปสฺสาวํ กโรนฺตสฺส ปน อาปตฺติ โหติ, อยโส วฑฺฒติ, ชีวิตนฺตราโย โหติ; ปติรูเป ฐาเน กโรนฺตสฺส สพฺพํ ตํ น โหตีติ อิทเมตฺถ สปฺปายํฯ ตสฺส วเสน ‘สปฺปายสมฺปชญฺญํ’ กมฺมฎฺฐานาวิชหนวเสเนว จ ‘โคจรสมฺปชญฺญํ’ เวทิตพฺพํฯ
Aṭṭhāne uccārapassāvaṃ karontassa pana āpatti hoti, ayaso vaḍḍhati, jīvitantarāyo hoti; patirūpe ṭhāne karontassa sabbaṃ taṃ na hotīti idamettha sappāyaṃ. Tassa vasena ‘sappāyasampajaññaṃ’ kammaṭṭhānāvijahanavaseneva ca ‘gocarasampajaññaṃ’ veditabbaṃ.
อพฺภนฺตเร อตฺตา นาม โกจิ อุจฺจารปสฺสาวกมฺมํ กโรโนฺต นตฺถิฯ จิตฺตกิริยาวาโยธาตุวิปฺผาเรเนว ปน อุจฺจารปสฺสาวกมฺมํ โหติฯ ยถา ปน ปเกฺก คเณฺฑ คณฺฑเภเทน ปุพฺพโลหิตํ อกามตาย นิกฺขมติ, ยถา จ อติภริตา อุทกภาชนา อุทกํ อกามตาย นิกฺขมติ, เอวํ ปกฺกาสยมุตฺตวตฺถีสุ สนฺนิจิตา อุจฺจารปสฺสาวา วายุเวคสมุปฺปีฬิตา อกามตายปิ นิกฺขมนฺติฯ โส ปนายํ เอวํ นิกฺขมโนฺต อุจฺจารปสฺสาโว เนว ตสฺส ภิกฺขุโน อตฺตโน โหติ น ปรสฺส; เกวลํ ปน สรีรนิสฺสโนฺทว โหติฯ ยถา กิํ? ยถา อุทกตุมฺภโต ปุราณอุทกํ ฉเฑฺฑนฺตสฺส เนว ตํ อตฺตโน โหติ น ปเรสํ, เกวลํ ปฎิชคฺคนมตฺตเมว โหติ, เอวนฺติฯ เอวํ ปวตฺตปฎิสงฺขานวเสเนตฺถ ‘อสโมฺมหสมฺปชญฺญํ’ เวทิตพฺพํฯ
Abbhantare attā nāma koci uccārapassāvakammaṃ karonto natthi. Cittakiriyāvāyodhātuvipphāreneva pana uccārapassāvakammaṃ hoti. Yathā pana pakke gaṇḍe gaṇḍabhedena pubbalohitaṃ akāmatāya nikkhamati, yathā ca atibharitā udakabhājanā udakaṃ akāmatāya nikkhamati, evaṃ pakkāsayamuttavatthīsu sannicitā uccārapassāvā vāyuvegasamuppīḷitā akāmatāyapi nikkhamanti. So panāyaṃ evaṃ nikkhamanto uccārapassāvo neva tassa bhikkhuno attano hoti na parassa; kevalaṃ pana sarīranissandova hoti. Yathā kiṃ? Yathā udakatumbhato purāṇaudakaṃ chaḍḍentassa neva taṃ attano hoti na paresaṃ, kevalaṃ paṭijagganamattameva hoti, evanti. Evaṃ pavattapaṭisaṅkhānavasenettha ‘asammohasampajaññaṃ’ veditabbaṃ.
คตาทีสุ คเตติ คมเนฯ ฐิเตติ ฐาเนฯ นิสิเนฺนติ นิสชฺชายฯ สุเตฺตติ สยเนฯ ตตฺถ อภิกฺกนฺตาทีสุ วุตฺตนเยเนว สมฺปชานการิตา เวทิตพฺพาฯ
Gatādīsu gateti gamane. Ṭhiteti ṭhāne. Nisinneti nisajjāya. Sutteti sayane. Tattha abhikkantādīsu vuttanayeneva sampajānakāritā veditabbā.
อยํ ปเนตฺถ อปโรปิ นโย – เอโก หิ ภิกฺขุ คจฺฉโนฺต อญฺญํ จิเนฺตโนฺต อญฺญํ วิตเกฺกโนฺต คจฺฉติฯ เอโก กมฺมฎฺฐานํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว คจฺฉติฯ ตถา เอโก ภิกฺขุ ติฎฺฐโนฺต, นิสีทโนฺต, สยโนฺต อญฺญํ จิเนฺตโนฺต อญฺญํ วิตเกฺกโนฺต สยติฯ เอโก กมฺมฎฺฐานํ อวิสฺสเชฺชตฺวาว สยติฯ
Ayaṃ panettha aparopi nayo – eko hi bhikkhu gacchanto aññaṃ cintento aññaṃ vitakkento gacchati. Eko kammaṭṭhānaṃ avissajjetvāva gacchati. Tathā eko bhikkhu tiṭṭhanto, nisīdanto, sayanto aññaṃ cintento aññaṃ vitakkento sayati. Eko kammaṭṭhānaṃ avissajjetvāva sayati.
เอตฺตเกน ปน น ปากฎํ โหตีติ จงฺกเมน ทีปยิํสุฯ โย หิ ภิกฺขุ จงฺกมนํ โอตริตฺวา จงฺกมนโกฎิยํ ฐิโต ปริคฺคณฺหาติ; ‘ปาจีนจงฺกมนโกฎิยํ ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา ปจฺฉิมจงฺกมนโกฎิํ อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา, ปจฺฉิมจงฺกมนโกฎิยํ ปวตฺตาปิ ปาจีนจงฺกมนโกฎิํ อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา, จงฺกมนเวมเชฺฌ ปวตฺตา อุโภ โกฎิโย อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา, จงฺกมเน ปวตฺตา รูปารูปธมฺมา ฐานํ อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา, ฐาเน ปวตฺตา นิสชฺชํ, นิสชฺชาย ปวตฺตา สยนํ อปฺปตฺวา เอเตฺถว นิรุทฺธา’ติ เอวํ ปริคฺคณฺหโนฺต ปริคฺคณฺหโนฺตเยว ภวงฺคํ โอตาเรติ; อุฎฺฐหโนฺต กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวาว อุฎฺฐาติ – อยํ ภิกฺขุ คตาทีสุ สมฺปชานการี นาม โหตีติฯ
Ettakena pana na pākaṭaṃ hotīti caṅkamena dīpayiṃsu. Yo hi bhikkhu caṅkamanaṃ otaritvā caṅkamanakoṭiyaṃ ṭhito pariggaṇhāti; ‘pācīnacaṅkamanakoṭiyaṃ pavattā rūpārūpadhammā pacchimacaṅkamanakoṭiṃ appatvā ettheva niruddhā, pacchimacaṅkamanakoṭiyaṃ pavattāpi pācīnacaṅkamanakoṭiṃ appatvā ettheva niruddhā, caṅkamanavemajjhe pavattā ubho koṭiyo appatvā ettheva niruddhā, caṅkamane pavattā rūpārūpadhammā ṭhānaṃ appatvā ettheva niruddhā, ṭhāne pavattā nisajjaṃ, nisajjāya pavattā sayanaṃ appatvā ettheva niruddhā’ti evaṃ pariggaṇhanto pariggaṇhantoyeva bhavaṅgaṃ otāreti; uṭṭhahanto kammaṭṭhānaṃ gahetvāva uṭṭhāti – ayaṃ bhikkhu gatādīsu sampajānakārī nāma hotīti.
เอวํ ปน สุเตฺต กมฺมฎฺฐานํ อวิภูตํ โหติฯ กมฺมฎฺฐานํ อวิภูตํ น กาตพฺพํฯ ตสฺมา โย ภิกฺขุ ยาว สโกฺกติ ตาว จงฺกมิตฺวา ฐตฺวา นิสีทิตฺวา สยมาโน เอวํ ปริคฺคเหตฺวา สยติ – ‘กาโย อเจตโน, มโญฺจ อเจตโนฯ กาโย น ชานาติ – อหํ มเญฺจ สยิโตติฯ มโญฺจปิ น ชานาติ – มยิ กาโย สยิโตติฯ อเจตโน กาโย อเจตเน มเญฺจ สยิโต’ติฯ เอวํ ปริคฺคณฺหโนฺต ปริคฺคณฺหโนฺตเยว จิตฺตํ ภวงฺคํ โอตาเรติ, ปพุชฺฌมาโน กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวาว ปพุชฺฌติฯ อยํ สุเตฺต สมฺปชานการี นาม โหตีติฯ
Evaṃ pana sutte kammaṭṭhānaṃ avibhūtaṃ hoti. Kammaṭṭhānaṃ avibhūtaṃ na kātabbaṃ. Tasmā yo bhikkhu yāva sakkoti tāva caṅkamitvā ṭhatvā nisīditvā sayamāno evaṃ pariggahetvā sayati – ‘kāyo acetano, mañco acetano. Kāyo na jānāti – ahaṃ mañce sayitoti. Mañcopi na jānāti – mayi kāyo sayitoti. Acetano kāyo acetane mañce sayito’ti. Evaṃ pariggaṇhanto pariggaṇhantoyeva cittaṃ bhavaṅgaṃ otāreti, pabujjhamāno kammaṭṭhānaṃ gahetvāva pabujjhati. Ayaṃ sutte sampajānakārī nāma hotīti.
ชาคริเตติ ชาครเณฯ ตตฺถ ‘กิริยามยปวตฺตสฺส อปฺปวตฺติยา สติ ชาคริตํ นาม น โหติ; กิริยามยปวตฺตวฬเญฺช ปวตฺตเนฺต ชาคริตํ นาม โหตี’ติ ปริคฺคณฺหโนฺต ภิกฺขุ ชาคริเต สมฺปชานการี นาม โหติฯ อปิจ รตฺตินฺทิวํ ฉ โกฎฺฐาเส กตฺวา ปญฺจ โกฎฺฐาเส ชคฺคโนฺตปิ ชาคริเต สมฺปชานการี นาม โหติฯ
Jāgariteti jāgaraṇe. Tattha ‘kiriyāmayapavattassa appavattiyā sati jāgaritaṃ nāma na hoti; kiriyāmayapavattavaḷañje pavattante jāgaritaṃ nāma hotī’ti pariggaṇhanto bhikkhu jāgarite sampajānakārī nāma hoti. Apica rattindivaṃ cha koṭṭhāse katvā pañca koṭṭhāse jaggantopi jāgarite sampajānakārī nāma hoti.
ภาสิเตติ กถเนฯ ตตฺถ ‘อุปาทารูปสฺส สทฺทายตนสฺส อปฺปวเตฺต สติ ภาสิตํ นาม น โหติ; ตสฺมิํ ปวตฺตเนฺต โหตี’ติ ปริคฺคาหโก ภิกฺขุ ภาสิเต สมฺปชานการี นาม โหติฯ วิมุตฺตายตนสีเสน ธมฺมํ เทเสโนฺตปิ พาตฺติํส ติรจฺฉานกถา ปหาย ทสกถาวตฺถุนิสฺสิตํ กถํ กเถโนฺตปิ ภาสิเต สมฺปชานการี นาม โหติฯ
Bhāsiteti kathane. Tattha ‘upādārūpassa saddāyatanassa appavatte sati bhāsitaṃ nāma na hoti; tasmiṃ pavattante hotī’ti pariggāhako bhikkhu bhāsite sampajānakārī nāma hoti. Vimuttāyatanasīsena dhammaṃ desentopi bāttiṃsa tiracchānakathā pahāya dasakathāvatthunissitaṃ kathaṃ kathentopi bhāsite sampajānakārī nāma hoti.
ตุณฺหีภาเวติ อกถเนฯ ตตฺถ ‘อุปาทารูปสฺส สทฺทายตนสฺส ปวตฺติยํ สติ ตุณฺหีภาโว นาม นตฺถิ; อปฺปวตฺติยํ โหตี’ติ ปริคฺคาหโก ภิกฺขุ ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี นาม โหติฯ อฎฺฐติํสาย อารมฺมเณสุ จิตฺตรุจิยํ กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา นิสิโนฺนปิ ทุติยชฺฌานํ สมาปโนฺนปิ ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการีเยว นาม โหติฯ
Tuṇhībhāveti akathane. Tattha ‘upādārūpassa saddāyatanassa pavattiyaṃ sati tuṇhībhāvo nāma natthi; appavattiyaṃ hotī’ti pariggāhako bhikkhu tuṇhībhāve sampajānakārī nāma hoti. Aṭṭhatiṃsāya ārammaṇesu cittaruciyaṃ kammaṭṭhānaṃ gahetvā nisinnopi dutiyajjhānaṃ samāpannopi tuṇhībhāve sampajānakārīyeva nāma hoti.
เอตฺถ จ เอโก อิริยาปโถ ทฺวีสุ ฐาเนสุ อาคโตฯ โส เหฎฺฐา อภิกฺกเนฺต ปฎิกฺกเนฺตติ เอตฺถ ภิกฺขาจารคามํ คจฺฉโต จ อาคจฺฉโต จ อทฺธานคมนวเสน กถิโตฯ คเต ฐิเต นิสิเนฺนติ เอตฺถ วิหาเร จุณฺณิกปาทุทฺธารอิริยาปถวเสน กถิโตติ เวทิตโพฺพฯ
Ettha ca eko iriyāpatho dvīsu ṭhānesu āgato. So heṭṭhā abhikkante paṭikkanteti ettha bhikkhācāragāmaṃ gacchato ca āgacchato ca addhānagamanavasena kathito. Gate ṭhite nisinneti ettha vihāre cuṇṇikapāduddhārairiyāpathavasena kathitoti veditabbo.
๕๒๔. ตตฺถ กตมา สตีติอาทิ สพฺพํ อุตฺตานตฺถเมวฯ
524. Tattha katamā satītiādi sabbaṃ uttānatthameva.
๕๒๖. โส วิวิตฺตนฺติ อิมินา กิํ ทเสฺสติ? เอตสฺส ภิกฺขุโน อุปาสนฎฺฐานํ โยคปถํ สปฺปายเสนาสนํ ทเสฺสติฯ ยสฺส หิ อพฺภนฺตเร เอตฺตกา คุณา อตฺถิ, ตสฺส อนุจฺฉวิโก อรญฺญวาโสฯ ยสฺส ปเนเต นตฺถิ, ตสฺส อนนุจฺฉวิโกฯ เอวรูปสฺส หิ อรญฺญวาโส กาฬมกฺกฎอจฺฉตรจฺฉทีปิมิคาทีนํ อฎวีวาสสทิโส โหติฯ กสฺมา? อิจฺฉาย ฐตฺวา ปวิฎฺฐตฺตาฯ ตสฺส หิ อรญฺญวาสมูลโก โกจิ อโตฺถ นตฺถิ; อรญฺญวาสเญฺจว อารญฺญเก จ ทูเสติ; สาสเน อปฺปสาทํ อุปฺปาเทติฯ ยสฺส ปน อพฺภนฺตเร เอตฺตกา คุณา อตฺถิ, ตเสฺสว โส อนุจฺฉวิโกฯ โส หิ อรญฺญวาสํ นิสฺสาย วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปตฺวา อรหตฺตํ คณฺหิตฺวา ปรินิพฺพาติ, สกลอรญฺญวาสํ อุปโสเภติ, อารญฺญิกานํ สีสํ โธวติ, สกลสาสนํ ปสาเรติฯ ตสฺมา สตฺถา เอวรูปสฺส ภิกฺขุโน อุปาสนฎฺฐานํ โยคปถํ สปฺปายเสนาสนํ ทเสฺสโนฺต โส วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชตีติอาทิมาหฯ ตตฺถ วิวิตฺตนฺติ สุญฺญํ อปฺปสทฺทํ อปฺปนิโคฺฆสํฯ เอตเมว หิ อตฺถํ ทเสฺสตุํ ตญฺจ อนากิณฺณนฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อนากิณฺณนฺติ อสงฺกิณฺณํ อสมฺพาธํฯ ตตฺถ ยสฺส เสนาสนสฺส สามนฺตา คาวุตมฺปิ อฑฺฒโยชนมฺปิ ปพฺพตคหนํ วนคหนํ นทีคหนํ โหติ, น โกจิ อเวลาย อุปสงฺกมิตุํ สโกฺกติ – อิทํ สนฺติเกปิ อนากิณฺณํ นามฯ ยํ ปน อฑฺฒโยชนิกํ วา โยชนิกํ วา โหติ – อิทํ ทูรตาย เอว อนากิณฺณํ นาม โหติฯ
526. Sovivittanti iminā kiṃ dasseti? Etassa bhikkhuno upāsanaṭṭhānaṃ yogapathaṃ sappāyasenāsanaṃ dasseti. Yassa hi abbhantare ettakā guṇā atthi, tassa anucchaviko araññavāso. Yassa panete natthi, tassa ananucchaviko. Evarūpassa hi araññavāso kāḷamakkaṭaacchataracchadīpimigādīnaṃ aṭavīvāsasadiso hoti. Kasmā? Icchāya ṭhatvā paviṭṭhattā. Tassa hi araññavāsamūlako koci attho natthi; araññavāsañceva āraññake ca dūseti; sāsane appasādaṃ uppādeti. Yassa pana abbhantare ettakā guṇā atthi, tasseva so anucchaviko. So hi araññavāsaṃ nissāya vipassanaṃ paṭṭhapetvā arahattaṃ gaṇhitvā parinibbāti, sakalaaraññavāsaṃ upasobheti, āraññikānaṃ sīsaṃ dhovati, sakalasāsanaṃ pasāreti. Tasmā satthā evarūpassa bhikkhuno upāsanaṭṭhānaṃ yogapathaṃ sappāyasenāsanaṃ dassento so vivittaṃ senāsanaṃ bhajatītiādimāha. Tattha vivittanti suññaṃ appasaddaṃ appanigghosaṃ. Etameva hi atthaṃ dassetuṃ tañca anākiṇṇantiādi vuttaṃ. Tattha anākiṇṇanti asaṅkiṇṇaṃ asambādhaṃ. Tattha yassa senāsanassa sāmantā gāvutampi aḍḍhayojanampi pabbatagahanaṃ vanagahanaṃ nadīgahanaṃ hoti, na koci avelāya upasaṅkamituṃ sakkoti – idaṃ santikepi anākiṇṇaṃ nāma. Yaṃ pana aḍḍhayojanikaṃ vā yojanikaṃ vā hoti – idaṃ dūratāya eva anākiṇṇaṃ nāma hoti.
๕๒๗. เสติ เจว อาสติ จ เอตฺถาติ เสนาสนํฯ ตสฺส ปเภทํ ทเสฺสตุํ มโญฺจ ปีฐนฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ มโญฺจติ จตฺตาโร มญฺจา – มสารโก, พุนฺทิกาพโทฺธ, กุฬีรปาทโก, อาหจฺจปาทโกติฯ ตถา ปีฐํฯ ภิสีติ ปญฺจ ภิสิโย – อุณฺณาภิสิ, โจฬภิสิ, วากภิสิ, ติณภิสิ, ปณฺณภิสีติฯ พิโมฺพหนนฺติ สีสุปธานํ วุตฺตํฯ ตํ วิตฺถารโต วิทตฺถิจตุรงฺคุลํ วฎฺฎติ, ทีฆโต มญฺจวิตฺถารปฺปมาณํฯ วิหาโรติ สมนฺตา ปริหารปถํ อโนฺตเยว รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานานิ ทเสฺสตฺวา กตเสนาสนํฯ อฑฺฒโยโคติ สุปณฺณวงฺกเคหํฯ ปาสาโทติ เทฺว กณฺณิกานิ คเหตฺวา กโต ทีฆปาสาโทฯ อโฎฺฎติ ปฎิราชาทิปฎิพาหนตฺถํ อิฎฺฐกาหิ กโต พหลภิตฺติโก จตุปญฺจภูมิโก ปติสฺสยวิเสโสฯ มาโฬติ โภชนสาลสทิโส มณฺฑลมาโฬ; วินยฎฺฐกถายํ ปน เอกกูฎสงฺคหิโต จตุรสฺสปาสาโทติ วุตฺตํฯ เลณนฺติ ปพฺพตํ ขณิตฺวา วา ปพฺภารสฺส อปฺปโหนกฎฺฐาเน กุฎฺฎํ อุฎฺฐาเปตฺวา วา กตเสนาสนํฯ คุหาติ ภูมิทริ วา ยตฺถ รตฺตินฺทิวํ ทีปํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, ปพฺพตคุหา วา ภูมิคุหา วาฯ รุกฺขมูลนฺติ รุกฺขสฺส เหฎฺฐา ปริกฺขิตฺตํ วา อปริกฺขิตฺตํ วาฯ เวฬุคุโมฺพติ เวฬุคโจฺฉฯ ยตฺถ วา ปน ภิกฺขู ปฎิกฺกมนฺตีติ ฐเปตฺวา วา เอตานิ มญฺจาทีนิ ยตฺถ ภิกฺขู สนฺนิปตนฺติ, ยํ เตสํ สนฺนิปาตารหฎฺฐานํ, สพฺพเมตํ เสนาสนํฯ
527. Seti ceva āsati ca etthāti senāsanaṃ. Tassa pabhedaṃ dassetuṃ mañco pīṭhantiādi vuttaṃ. Tattha mañcoti cattāro mañcā – masārako, bundikābaddho, kuḷīrapādako, āhaccapādakoti. Tathā pīṭhaṃ. Bhisīti pañca bhisiyo – uṇṇābhisi, coḷabhisi, vākabhisi, tiṇabhisi, paṇṇabhisīti. Bimbohananti sīsupadhānaṃ vuttaṃ. Taṃ vitthārato vidatthicaturaṅgulaṃ vaṭṭati, dīghato mañcavitthārappamāṇaṃ. Vihāroti samantā parihārapathaṃ antoyeva rattiṭṭhānadivāṭṭhānāni dassetvā katasenāsanaṃ. Aḍḍhayogoti supaṇṇavaṅkagehaṃ. Pāsādoti dve kaṇṇikāni gahetvā kato dīghapāsādo. Aṭṭoti paṭirājādipaṭibāhanatthaṃ iṭṭhakāhi kato bahalabhittiko catupañcabhūmiko patissayaviseso. Māḷoti bhojanasālasadiso maṇḍalamāḷo; vinayaṭṭhakathāyaṃ pana ekakūṭasaṅgahito caturassapāsādoti vuttaṃ. Leṇanti pabbataṃ khaṇitvā vā pabbhārassa appahonakaṭṭhāne kuṭṭaṃ uṭṭhāpetvā vā katasenāsanaṃ. Guhāti bhūmidari vā yattha rattindivaṃ dīpaṃ laddhuṃ vaṭṭati, pabbataguhā vā bhūmiguhā vā. Rukkhamūlanti rukkhassa heṭṭhā parikkhittaṃ vā aparikkhittaṃ vā. Veḷugumboti veḷugaccho. Yattha vā pana bhikkhū paṭikkamantīti ṭhapetvā vā etāni mañcādīni yattha bhikkhū sannipatanti, yaṃ tesaṃ sannipātārahaṭṭhānaṃ, sabbametaṃ senāsanaṃ.
๕๒๘. ภชตีติ อุเปติฯ สมฺภชตีติ ตตฺถ อภิรติวเสน อนุกฺกณฺฐิโต สุฎฺฐุ อุเปติฯ เสวตีติ นิวาสนวเสน เสวติ นิเสวตีติ อนุกฺกณฺฐมาโน สนฺนิสิโต หุตฺวา เสวติฯ สํเสวตีติ เสนาสนวตฺตํ สมฺปาเทโนฺต สมฺมา เสวติฯ
528. Bhajatīti upeti. Sambhajatīti tattha abhirativasena anukkaṇṭhito suṭṭhu upeti. Sevatīti nivāsanavasena sevati nisevatīti anukkaṇṭhamāno sannisito hutvā sevati. Saṃsevatīti senāsanavattaṃ sampādento sammā sevati.
๕๒๙. อิทานิ ยํ ตํ วิวิตฺตนฺติ วุตฺตํ, ตสฺส ปเภทํ ทเสฺสตุํ อรญฺญํ รุกฺขมูลนฺติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ อรญฺญนฺติ วินยปริยาเยน ตาว ‘‘ฐเปตฺวา คามญฺจ คามูปจารญฺจ อวเสสํ อรญฺญ’’นฺติ (ปารา. ๑๒) อาคตํฯ สุตฺตนฺตปริยาเยน อารญฺญิกํ ภิกฺขุํ สนฺธาย ‘‘อารญฺญกํ นาม เสนาสนํ ปญฺจธนุสติกปจฺฉิม’’นฺติ (ปาจิ. ๕๗๓) อาคตํฯ วินยสุตฺตนฺตา ปน อุโภปิ ปริยายเทสนา นามฯ อภิธโมฺม นิปฺปริยายเทสนาติ อภิธมฺมปริยาเยน อรญฺญํ ทเสฺสตุํ นิกฺขมิตฺวา พหิ อินฺทขีลาติ วุตฺตํ; อินฺทขีลโต พหิ นิกฺขมิตฺวาติ อโตฺถฯ
529. Idāni yaṃ taṃ vivittanti vuttaṃ, tassa pabhedaṃ dassetuṃ araññaṃ rukkhamūlantiādi āraddhaṃ. Tattha araññanti vinayapariyāyena tāva ‘‘ṭhapetvā gāmañca gāmūpacārañca avasesaṃ arañña’’nti (pārā. 12) āgataṃ. Suttantapariyāyena āraññikaṃ bhikkhuṃ sandhāya ‘‘āraññakaṃ nāma senāsanaṃ pañcadhanusatikapacchima’’nti (pāci. 573) āgataṃ. Vinayasuttantā pana ubhopi pariyāyadesanā nāma. Abhidhammo nippariyāyadesanāti abhidhammapariyāyena araññaṃ dassetuṃ nikkhamitvā bahi indakhīlāti vuttaṃ; indakhīlato bahi nikkhamitvāti attho.
๕๓๐. รุกฺขมูลาทีนํ ปกติยา จ สุวิเญฺญยฺยภาวโต รุกฺขมูลํเยว รุกฺขมูลนฺติอาทิ วุตฺตํฯ อปิเจตฺถ รุกฺขมูลนฺติ ยํกิญฺจิ สีตจฺฉายํ วิวิตฺตํ รุกฺขมูลํฯ ปพฺพตนฺติ เสลํฯ ตตฺถ หิ อุทกโสณฺฑีสุ อุทกกิจฺจํ กตฺวา สีตาย รุกฺขจฺฉายาย นิสินฺนสฺส นานาทิสาสุ ขายมานาสุ สีเตน วาเตน พีชิยมานสฺส จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติฯ กนฺทรนฺติ กํ วุจฺจติ อุทกํ, เตน ทริตํ อุทเกน ภินฺนํ ปพฺพตปฺปเทสํ; ยํ นิตุมฺพนฺติปิ นทีกุญฺชนฺติปิ วทนฺติฯ ตตฺถ หิ รชตปฎฺฎสทิสา วาลิกา โหนฺติ, มตฺถเก มณิวิตานํ วิย วนคหนํ, มณิกฺขนฺธสทิสํ อุทกํ สนฺทติฯ เอวรูปํ กนฺทรํ โอรุยฺห ปานียํ ปิวิตฺวา คตฺตานิ สีตํ กตฺวา วาลิกํ อุสฺสาเปตฺวา ปํสุกูลจีวรํ ปญฺญเปตฺวา นิสินฺนสฺส สมณธมฺมํ กโรโต จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติฯ คิริคุหนฺติ ทฺวินฺนํ ปพฺพตานํ อนฺตรํ, เอกสฺมิํเยว วา อุมงฺคสทิสํ มหาวิวรํฯ สุสานลกฺขณํ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๓๔) วุตฺตํฯ
530. Rukkhamūlādīnaṃ pakatiyā ca suviññeyyabhāvato rukkhamūlaṃyeva rukkhamūlantiādi vuttaṃ. Apicettha rukkhamūlanti yaṃkiñci sītacchāyaṃ vivittaṃ rukkhamūlaṃ. Pabbatanti selaṃ. Tattha hi udakasoṇḍīsu udakakiccaṃ katvā sītāya rukkhacchāyāya nisinnassa nānādisāsu khāyamānāsu sītena vātena bījiyamānassa cittaṃ ekaggaṃ hoti. Kandaranti kaṃ vuccati udakaṃ, tena daritaṃ udakena bhinnaṃ pabbatappadesaṃ; yaṃ nitumbantipi nadīkuñjantipi vadanti. Tattha hi rajatapaṭṭasadisā vālikā honti, matthake maṇivitānaṃ viya vanagahanaṃ, maṇikkhandhasadisaṃ udakaṃ sandati. Evarūpaṃ kandaraṃ oruyha pānīyaṃ pivitvā gattāni sītaṃ katvā vālikaṃ ussāpetvā paṃsukūlacīvaraṃ paññapetvā nisinnassa samaṇadhammaṃ karoto cittaṃ ekaggaṃ hoti. Giriguhanti dvinnaṃ pabbatānaṃ antaraṃ, ekasmiṃyeva vā umaṅgasadisaṃ mahāvivaraṃ. Susānalakkhaṇaṃ visuddhimagge (visuddhi. 1.34) vuttaṃ.
๕๓๑. วนปตฺถนฺติ คามนฺตํ อติกฺกมิตฺวา มนุสฺสานํ อนุปจารฎฺฐานํ, ยตฺถ น กสนฺติ น วปนฺติฯ เตเนวสฺส นิเทฺทเส ‘‘วนปตฺถนฺติ ทูรานเมตํ เสนาสนานํ อธิวจน’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ยสฺมา วา รุกฺขมูลาทีสุ อิทเมเวกํ ภาเชตฺวา ทสฺสิตํ, ตสฺมาสฺส นิเกฺขปปฎิปาฎิยา นิเทฺทสํ อกตฺวา สพฺพปริยเนฺต นิเทฺทโส กโตติ เวทิตโพฺพฯ อโพฺภกาสนฺติ อจฺฉนฺนํฯ อากงฺขมาโน ปเนตฺถ จีวรกุฎิํ กตฺวา วสติฯ ปลาลปุญฺชนฺติ ปลาลราสิฯ มหาปลาลปุญฺชโต หิ ปลาลํ นิกฺกฑฺฒิตฺวา ปพฺภารเลณสทิเส อาลเย กโรนฺติ, คจฺฉคุมฺพาทีนมฺปิ อุปริ ปลาลํ ปกฺขิปิตฺวา เหฎฺฐา นิสินฺนา สมณธมฺมํ กโรนฺติ; ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ วนปตฺถนิเทฺทเส สโลมหํสานนฺติ ยตฺถ ปวิฎฺฐสฺส โลมหํโส อุปฺปชฺชติ; เอวรูปานํ ภีสนกเสนาสนานํฯ ปริยนฺตานนฺติ ทูรภาเวน ปริยเนฺต ฐิตานํฯ น มนุสฺสูปจารานนฺติ กสนวปนวเสน มนุเสฺสหิ อุปจริตพฺพํ วนนฺตํ อติกฺกมิตฺวา ฐิตานํฯ ทุรภิสมฺภวานนฺติ อลทฺธวิเวกสฺสาเทหิ อภิภุยฺย วสิตุํ นสกฺกุเณยฺยานํฯ
531. Vanapatthanti gāmantaṃ atikkamitvā manussānaṃ anupacāraṭṭhānaṃ, yattha na kasanti na vapanti. Tenevassa niddese ‘‘vanapatthanti dūrānametaṃ senāsanānaṃ adhivacana’’ntiādi vuttaṃ. Yasmā vā rukkhamūlādīsu idamevekaṃ bhājetvā dassitaṃ, tasmāssa nikkhepapaṭipāṭiyā niddesaṃ akatvā sabbapariyante niddeso katoti veditabbo. Abbhokāsanti acchannaṃ. Ākaṅkhamāno panettha cīvarakuṭiṃ katvā vasati. Palālapuñjanti palālarāsi. Mahāpalālapuñjato hi palālaṃ nikkaḍḍhitvā pabbhāraleṇasadise ālaye karonti, gacchagumbādīnampi upari palālaṃ pakkhipitvā heṭṭhā nisinnā samaṇadhammaṃ karonti; taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Vanapatthaniddese salomahaṃsānanti yattha paviṭṭhassa lomahaṃso uppajjati; evarūpānaṃ bhīsanakasenāsanānaṃ. Pariyantānanti dūrabhāvena pariyante ṭhitānaṃ. Na manussūpacārānanti kasanavapanavasena manussehi upacaritabbaṃ vanantaṃ atikkamitvā ṭhitānaṃ. Durabhisambhavānanti aladdhavivekassādehi abhibhuyya vasituṃ nasakkuṇeyyānaṃ.
๕๓๒. อปฺปสทฺทาทินิเทฺทเส อปฺปสทฺทนฺติ วจนสเทฺทน อปฺปสทฺทํฯ
532. Appasaddādiniddese appasaddanti vacanasaddena appasaddaṃ.
๕๓๓. อปฺปนิโคฺฆสนฺติ นครนิโคฺฆสสเทฺทน อปฺปนิโคฺฆสํฯ ยสฺมา ปน อุภยเมฺปตํ สทฺทเฎฺฐน เอกํ, ตสฺมาสฺส นิเทฺทเส ‘‘ยเทว ตํ อปฺปสทฺทํ ตเทว ตํ อปฺปนิโคฺฆส’’นฺติ วุตฺตํฯ วิชนวาตนฺติ อนุสญฺจรณชนสฺส สรีรวาเตน วิรหิตํฯ วิชนวาทนฺติปิ ปาโฐ; อโนฺตชนวาเทน วิรหิตนฺติ อโตฺถฯ ยสฺมา ปน ยํ อปฺปนิโคฺฆสํ, ตเทว ชนสญฺจรเณน จ ชนวาเทน จ วิรหิตํ โหติ, ตสฺมาสฺส นิเทฺทเส ‘‘ยเทว ตํ อปฺปนิโคฺฆสํ ตเทว ตํ วิชนวาต’’นฺติ วุตฺตํฯ มนุสฺสราหเสยฺยกนฺติ มนุสฺสานํ รหสฺสกิริยฎฺฐานิยํฯ ยสฺมา ปน ตํ ชนสญฺจรณรหิตํ โหติ, เตนสฺส นิเทฺทเส ‘‘ยเทว ตํ วิชนวาตํ ตเทว ตํ มนุสฺสราหเสยฺยก’’นฺติ วุตฺตํฯ ปฎิสลฺลานสารุปฺปนฺติ วิเวกานุรูปํฯ ยสฺมา ปน ตํ นิยเมเนว มนุสฺสราหเสยฺยกํ โหติ, ตสฺมาสฺส นิเทฺทเส ‘‘ยเทว ตํ มนุสฺสราหเสยฺยกํ ตเทว ตํ ปฎิสลฺลานสารุปฺป’’นฺติ วุตฺตํฯ
533. Appanigghosanti nagaranigghosasaddena appanigghosaṃ. Yasmā pana ubhayampetaṃ saddaṭṭhena ekaṃ, tasmāssa niddese ‘‘yadeva taṃ appasaddaṃ tadeva taṃ appanigghosa’’nti vuttaṃ. Vijanavātanti anusañcaraṇajanassa sarīravātena virahitaṃ. Vijanavādantipi pāṭho; antojanavādena virahitanti attho. Yasmā pana yaṃ appanigghosaṃ, tadeva janasañcaraṇena ca janavādena ca virahitaṃ hoti, tasmāssa niddese ‘‘yadeva taṃ appanigghosaṃ tadeva taṃ vijanavāta’’nti vuttaṃ. Manussarāhaseyyakanti manussānaṃ rahassakiriyaṭṭhāniyaṃ. Yasmā pana taṃ janasañcaraṇarahitaṃ hoti, tenassa niddese ‘‘yadeva taṃ vijanavātaṃ tadeva taṃ manussarāhaseyyaka’’nti vuttaṃ. Paṭisallānasāruppanti vivekānurūpaṃ. Yasmā pana taṃ niyameneva manussarāhaseyyakaṃ hoti, tasmāssa niddese ‘‘yadeva taṃ manussarāhaseyyakaṃ tadeva taṃ paṭisallānasāruppa’’nti vuttaṃ.
๕๓๔. อรญฺญคตาทินิเทฺทเส อรญฺญํ วุตฺตเมวฯ ตถา รุกฺขมูลํฯ อวเสสํ ปน สพฺพมฺปิ เสนาสนํ สุญฺญาคาเรน สงฺคหิตํฯ
534. Araññagatādiniddese araññaṃ vuttameva. Tathā rukkhamūlaṃ. Avasesaṃ pana sabbampi senāsanaṃ suññāgārena saṅgahitaṃ.
๕๓๕. ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวาติ สมนฺตโต อูรุพทฺธาสนํ พนฺธิตฺวาฯ อุชุํ กายํ ปณิธายาติ อุปริมํ สรีรํ อุชุํ ฐเปตฺวา อฎฺฐารส ปิฎฺฐิกณฺฎเก โกฎิยา โกฎิํ ปฎิปาเทตฺวาฯ เอวญฺหิ นิสินฺนสฺส จมฺมมํสนฺหารูนิ น ปณมนฺติฯ อถสฺส ยา เตสํ ปณมนปจฺจยา ขเณ ขเณ เวทนา อุปฺปเชฺชยฺยุํ, ตา นุปฺปชฺชนฺติฯ ตาสุ น อุปฺปชฺชมานาสุ จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ, กมฺมฎฺฐานํ น ปริปตติ, วุฑฺฒิํ ผาติํ อุปคจฺฉติฯ
535. Pallaṅkaṃ ābhujitvāti samantato ūrubaddhāsanaṃ bandhitvā. Ujuṃ kāyaṃ paṇidhāyāti uparimaṃ sarīraṃ ujuṃ ṭhapetvā aṭṭhārasa piṭṭhikaṇṭake koṭiyā koṭiṃ paṭipādetvā. Evañhi nisinnassa cammamaṃsanhārūni na paṇamanti. Athassa yā tesaṃ paṇamanapaccayā khaṇe khaṇe vedanā uppajjeyyuṃ, tā nuppajjanti. Tāsu na uppajjamānāsu cittaṃ ekaggaṃ hoti, kammaṭṭhānaṃ na paripatati, vuḍḍhiṃ phātiṃ upagacchati.
๕๓๖. อุชุโก โหติ กาโย ฐิโต ปณิหิโตติ อิทมฺปิ หิ อิมเมวตฺถํ สนฺธาย วุตฺตํฯ
536. Ujuko hoti kāyo ṭhito paṇihitoti idampi hi imamevatthaṃ sandhāya vuttaṃ.
๕๓๗. ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวาติ กมฺมฎฺฐานาภิมุขํ สติํ ฐปยิตฺวา, มุขสมีเป วา กตฺวาติ อโตฺถฯ เตเนว วุตฺตํ ‘‘อยํ สติ อุปฎฺฐิตา โหติ สูปฎฺฐิตา นาสิกเคฺค วา มุขนิมิเตฺต วา’’ติฯ มุขนิมิตฺตนฺติ เจตฺถ อุตฺตโรฎฺฐสฺส เวมชฺฌปฺปเทโส ทฎฺฐโพฺพ, ยตฺถ นาสิกวาโต ปฎิหญฺญติ; อถ วา ปรีติ ปริคฺคหโฎฺฐ, มุขนฺติ นิยฺยานโฎฺฐ, สตีติ อุปฎฺฐานโฎฺฐ; เตน วุจฺจติ ‘‘ปริมุขํ สติ’’นฺติ เอวํ ปฎิสมฺภิทายํ (ปฎิ. ม. ๑.๑๖๔) วุตฺตนเยนเปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ตตฺรายํ สเงฺขโป ‘‘ปริคฺคหิตนิยฺยานํ สติํ กตฺวา’’ติฯ
537. Parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvāti kammaṭṭhānābhimukhaṃ satiṃ ṭhapayitvā, mukhasamīpe vā katvāti attho. Teneva vuttaṃ ‘‘ayaṃ sati upaṭṭhitā hoti sūpaṭṭhitā nāsikagge vā mukhanimitte vā’’ti. Mukhanimittanti cettha uttaroṭṭhassa vemajjhappadeso daṭṭhabbo, yattha nāsikavāto paṭihaññati; atha vā parīti pariggahaṭṭho, mukhanti niyyānaṭṭho, satīti upaṭṭhānaṭṭho; tena vuccati ‘‘parimukhaṃ sati’’nti evaṃ paṭisambhidāyaṃ (paṭi. ma. 1.164) vuttanayenapettha attho daṭṭhabbo. Tatrāyaṃ saṅkhepo ‘‘pariggahitaniyyānaṃ satiṃ katvā’’ti.
๕๓๘. อภิชฺฌานิเทฺทโส อุตฺตานโตฺถเยวฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขปวณฺณนา – อภิชฺฌํ โลเก ปหายาติ ลุชฺชนปลุชฺชนเฎฺฐน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา โลโกฯ ตสฺมา ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุ ราคํ ปหาย กามจฺฉนฺทํ วิกฺขเมฺภตฺวาติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ
538. Abhijjhāniddeso uttānatthoyeva. Ayaṃ panettha saṅkhepavaṇṇanā – abhijjhaṃ loke pahāyāti lujjanapalujjanaṭṭhena pañcupādānakkhandhā loko. Tasmā pañcasu upādānakkhandhesu rāgaṃ pahāya kāmacchandaṃ vikkhambhetvāti ayamettha attho.
๕๓๙. วิคตาภิเชฺฌนาติ วิกฺขมฺภนวเสน ปหีนตฺตา วิคตาภิเชฺฌน, น จกฺขุวิญฺญาณสทิเสนาติ อโตฺถฯ
539. Vigatābhijjhenāti vikkhambhanavasena pahīnattā vigatābhijjhena, na cakkhuviññāṇasadisenāti attho.
๕๔๑. อภิชฺฌาย จิตฺตํ ปริโสเธตีติ อภิชฺฌาโต จิตฺตํ ปริโสเธติ; ยถา นํ สา มุญฺจติ เจว, มุญฺจิตฺวา จ น ปุน คณฺหาติ, เอวํ กโรตีติ อโตฺถฯ นิเทฺทสปเทสุ ปนสฺส อาเสวโนฺต โสเธติ, ภาเวโนฺต วิโสเธติ, พหุลีกโรโนฺต ปริโสเธตีติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ โมเจตีติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
541. Abhijjhāyacittaṃ parisodhetīti abhijjhāto cittaṃ parisodheti; yathā naṃ sā muñcati ceva, muñcitvā ca na puna gaṇhāti, evaṃ karotīti attho. Niddesapadesu panassa āsevanto sodheti, bhāvento visodheti, bahulīkaronto parisodhetīti evamattho veditabbo. Mocetītiādīsupi eseva nayo.
๕๔๒-๕๔๓. พฺยาปาทโทสํ ปหายาติอาทีนมฺปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ พฺยาปชฺชติ อิมินา จิตฺตํ ปูติกุมฺมาสาทโย วิย ปกติํ ชหตีติ พฺยาปาโทฯ วิการปฺปตฺติยา ปทุสฺสติ, ปรํ วา ปทูเสติ วินาเสตีติ ปโทโสฯ อุภยเมตํ โกธเสฺสวาธิวจนํฯ เตเนว วุตฺตํ ‘‘โย พฺยาปาโท โส ปโทโส; โย ปโทโส โส พฺยาปาโท’’ติฯ ยสฺมา เจส สพฺพสงฺคาหิกวเสน นิทฺทิโฎฺฐ, ตสฺมา ‘‘สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี’’ติ อวตฺวา ‘‘อพฺยาปนฺนจิโตฺต’’ติ เอตฺตกเมว วุตฺตํฯ
542-543. Byāpādadosaṃ pahāyātiādīnampi imināva nayena attho veditabbo. Byāpajjati iminā cittaṃ pūtikummāsādayo viya pakatiṃ jahatīti byāpādo. Vikārappattiyā padussati, paraṃ vā padūseti vināsetīti padoso. Ubhayametaṃ kodhassevādhivacanaṃ. Teneva vuttaṃ ‘‘yo byāpādo so padoso; yo padoso so byāpādo’’ti. Yasmā cesa sabbasaṅgāhikavasena niddiṭṭho, tasmā ‘‘sabbapāṇabhūtahitānukampī’’ti avatvā ‘‘abyāpannacitto’’ti ettakameva vuttaṃ.
๕๔๖. ถินํ จิตฺตเคลญฺญํ, มิทฺธํ เจตสิกเคลญฺญํ; ถินญฺจ มิทฺธญฺจ ถินมิทฺธํฯ สนฺตา โหนฺตีติ อิเม เทฺวปิ ธมฺมา นิโรธสนฺตตาย สนฺตา โหนฺตีติฯ อิทํ สนฺธาเยตฺถ วจนเภโท กโตฯ
546. Thinaṃ cittagelaññaṃ, middhaṃ cetasikagelaññaṃ; thinañca middhañca thinamiddhaṃ. Santā hontīti ime dvepi dhammā nirodhasantatāya santā hontīti. Idaṃ sandhāyettha vacanabhedo kato.
๕๔๙. อาโลกสญฺญีติ รตฺติมฺปิ ทิวาปิ ทิฎฺฐาโลกสญฺชานนสมตฺถาย วิคตนีวรณาย ปริสุทฺธาย สญฺญาย สมนฺนาคโตฯ
549. Ālokasaññīti rattimpi divāpi diṭṭhālokasañjānanasamatthāya vigatanīvaraṇāya parisuddhāya saññāya samannāgato.
๕๕๐. สโต สมฺปชาโนติ สติยา จ ญาเณน จ สมนฺนาคโตฯ อิทํ อุภยํ อาโลกสญฺญาย อุปการกตฺตา วุตฺตํฯ
550. Sato sampajānoti satiyā ca ñāṇena ca samannāgato. Idaṃ ubhayaṃ ālokasaññāya upakārakattā vuttaṃ.
๕๕๓. วิคตถินมิทฺธตาย ปน อาโลกสญฺญาย นิเทฺทสปเทสุ จตฺตตฺตาติอาทีนิ อญฺญมญฺญเววจนาเนว ฯ ตตฺถ จตฺตตฺตาติ จตฺตการณาฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ จตฺตตฺตาติ อิทํ ปเนตฺถ สกภาวปริจฺจชนวเสน วุตฺตํฯ วนฺตตฺตาติ อิทํ ปุน อนาทิยนภาวทสฺสนวเสนฯ มุตฺตตฺตาติ อิทํ สนฺตติโต วินิโมจนวเสนฯ ปหีนตฺตาติ อิทํ มุตฺตสฺสาปิ กตฺถจิ ฐานาภาววเสนฯ ปฎินิสฺสฎฺฐตฺตาติ อิทํ ปุเพฺพ อาทินฺนปุพฺพสฺส นิสฺสคฺคทสฺสนวเสนฯ ปฎิมุญฺจโต วา นิสฺสฎฺฐตฺตา ภาวนาพเลน อภิภุยฺย นิสฺสฎฺฐตฺตาติ อโตฺถฯ ปหีนปฎินิสฺสฎฺฐตฺตาติ ยถาวิกฺขมฺภนวเสเนว ปหานํ โหติ, ปุนปฺปุนํ สนฺตติํ น อชฺฌารุหติ, ตถา ปฎินิสฺสฎฺฐตฺตาติฯ อาโลกา โหตีติ สปฺปภา โหติฯ นิราวรณเฎฺฐน วิวฎาฯ นิรุปกฺกิเลสเฎฺฐน ปริสุทฺธาฯ ปภสฺสรเฎฺฐน ปริโยทาตาฯ
553. Vigatathinamiddhatāya pana ālokasaññāya niddesapadesu cattattātiādīni aññamaññavevacanāneva . Tattha cattattāti cattakāraṇā. Sesapadesupi eseva nayo. Cattattāti idaṃ panettha sakabhāvapariccajanavasena vuttaṃ. Vantattāti idaṃ puna anādiyanabhāvadassanavasena. Muttattāti idaṃ santatito vinimocanavasena. Pahīnattāti idaṃ muttassāpi katthaci ṭhānābhāvavasena. Paṭinissaṭṭhattāti idaṃ pubbe ādinnapubbassa nissaggadassanavasena. Paṭimuñcato vā nissaṭṭhattā bhāvanābalena abhibhuyya nissaṭṭhattāti attho. Pahīnapaṭinissaṭṭhattāti yathāvikkhambhanavaseneva pahānaṃ hoti, punappunaṃ santatiṃ na ajjhāruhati, tathā paṭinissaṭṭhattāti. Ālokā hotīti sappabhā hoti. Nirāvaraṇaṭṭhena vivaṭā. Nirupakkilesaṭṭhena parisuddhā. Pabhassaraṭṭhena pariyodātā.
๕๕๖. อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจนฺติ เอตฺถ อุทฺธตากาโร อุทฺธจฺจํ, อารมฺมเณ อนิจฺฉยตาย วตฺถุชฺฌาจาโร กุกฺกุจฺจํฯ อิธาปิ ‘‘สนฺตา โหนฺตี’’ติ ปุริมนเยเนว วจนเภโท เวทิตโพฺพฯ
556. Uddhaccakukkuccanti ettha uddhatākāro uddhaccaṃ, ārammaṇe anicchayatāya vatthujjhācāro kukkuccaṃ. Idhāpi ‘‘santā hontī’’ti purimanayeneva vacanabhedo veditabbo.
๕๕๘. ติณฺณวิจิกิโจฺฉติ วิจิกิจฺฉํ ตริตฺวา อติกฺกมิตฺวา ฐิโตฯ นิเทฺทเสปิสฺส ติโณฺณติ อิทํ วิจิกิจฺฉาย อนิมุคฺคภาวทสฺสนวเสน วุตฺตํฯ อุตฺติโณฺณติ อิทํ ตสฺสา อติกฺกมทสฺสนวเสนฯ นิตฺติโณฺณติ อิทํ ภาวนาพเลน อภิภุยฺย อุปทฺทเว ติณฺณภาวทสฺสนวเสนฯ ปารงฺคโตติ นิพฺพิจิกิจฺฉาภาวสงฺขาตํ วิจิกิจฺฉาปารํ คโตฯ ปารมนุปฺปโตฺตติ ตเทว ปารํ ภาวนานุโยเคน ปโตฺตติฯ เอวมสฺส ปฎิปตฺติยา สผลตํ ทเสฺสติฯ
558. Tiṇṇavicikicchoti vicikicchaṃ taritvā atikkamitvā ṭhito. Niddesepissa tiṇṇoti idaṃ vicikicchāya animuggabhāvadassanavasena vuttaṃ. Uttiṇṇoti idaṃ tassā atikkamadassanavasena. Nittiṇṇoti idaṃ bhāvanābalena abhibhuyya upaddave tiṇṇabhāvadassanavasena. Pāraṅgatoti nibbicikicchābhāvasaṅkhātaṃ vicikicchāpāraṃ gato. Pāramanuppattoti tadeva pāraṃ bhāvanānuyogena pattoti. Evamassa paṭipattiyā saphalataṃ dasseti.
๕๕๙. อกถํกถีติ ‘กถมิทํ กถมิท’นฺติ เอวํ ปวตฺตาย กถํกถาย วิรหิโตฯ กุสเลสุ ธเมฺมสูติ อนวชฺชธเมฺมสุฯ น กงฺขตีติ ‘อิเม นุ โข กุสลา’ติ กงฺขํ น อุปฺปาเทติฯ น วิจิกิจฺฉตีติ เต ธเมฺม สภาวโต วินิเจฺฉตุํ น กิจฺฉติ, น กิลมติฯ อกถํกถี โหตีติ ‘กถํ นุ โข อิเม กุสลา’ติ กถํกถาย รหิโต โหติฯ นิกฺกถํกถี วิคตกถํกโถติ ตเสฺสว เววจนํฯ วจนโตฺถ ปเนตฺถ กถํกถาโต นิกฺขโนฺตติ นิกฺกถํกโถฯ วิคตา กถํกถา อสฺสาติ วิคตกถํกโถฯ
559. Akathaṃkathīti ‘kathamidaṃ kathamida’nti evaṃ pavattāya kathaṃkathāya virahito. Kusalesu dhammesūti anavajjadhammesu. Na kaṅkhatīti ‘ime nu kho kusalā’ti kaṅkhaṃ na uppādeti. Na vicikicchatīti te dhamme sabhāvato vinicchetuṃ na kicchati, na kilamati. Akathaṃkathī hotīti ‘kathaṃ nu kho ime kusalā’ti kathaṃkathāya rahito hoti. Nikkathaṃkathī vigatakathaṃkathoti tasseva vevacanaṃ. Vacanattho panettha kathaṃkathāto nikkhantoti nikkathaṃkatho. Vigatā kathaṃkathā assāti vigatakathaṃkatho.
๕๖๒. อุปกฺกิเลเสติ อุปกฺกิเลสภูเตฯ เต หิ จิตฺตํ อุปคนฺตฺวา กิลิสฺสนฺติฯ ตสฺมา อุปกฺกิเลสาติ วุจฺจนฺติฯ
562. Upakkileseti upakkilesabhūte. Te hi cittaṃ upagantvā kilissanti. Tasmā upakkilesāti vuccanti.
๕๖๓. ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณติ ยสฺมา อิเม นีวรณา อุปฺปชฺชมานา อนุปฺปนฺนาย โลกิยโลกุตฺตราย ปญฺญาย อุปฺปชฺชิตุํ น เทนฺติ, อุปฺปนฺนา อปิ อฎฺฐ สมาปตฺติโย ปญฺจ วา อภิญฺญาโย อุปจฺฉินฺทิตฺวา ปาเตนฺติ, ตสฺมา ‘ปญฺญาย ทุพฺพลีกรณา’ติ วุจฺจนฺติฯ ‘อนุปฺปนฺนา เจว ปญฺญา น อุปฺปชฺชติ, อุปฺปนฺนา จ ปญฺญา นิรุชฺฌตี’ติ อิทมฺปิ หิ อิมเมวตฺถํ สนฺธาย วุตฺตํฯ เสสเมตฺถ สพฺพํ เหฎฺฐา ตตฺถ ตตฺถ ปกาสิตตฺตา อุตฺตานตฺถเมวฯ
563. Paññāyadubbalīkaraṇeti yasmā ime nīvaraṇā uppajjamānā anuppannāya lokiyalokuttarāya paññāya uppajjituṃ na denti, uppannā api aṭṭha samāpattiyo pañca vā abhiññāyo upacchinditvā pātenti, tasmā ‘paññāya dubbalīkaraṇā’ti vuccanti. ‘Anuppannā ceva paññā na uppajjati, uppannā ca paññā nirujjhatī’ti idampi hi imamevatthaṃ sandhāya vuttaṃ. Sesamettha sabbaṃ heṭṭhā tattha tattha pakāsitattā uttānatthameva.
๕๖๔. วิวิเจฺจว กาเมหีติอาทีสุปิ นิเทฺทเสสุ ยํ วตฺตพฺพํ สิยา, ตํ เหฎฺฐา จิตฺตุปฺปาทกเณฺฑ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑๖๐) รูปาวจรนิเทฺทเส อิเธว จ ตตฺถ ตตฺถ วุตฺตเมวฯ เกวลญฺหิ ทุติยตติยจตุตฺถชฺฌานนิเทฺทเสสุปิ ยถา ตานิ ฌานานิ เหฎฺฐา ‘ติวงฺคิกํ ฌานํ โหติ, ทุวงฺคิกํ ฌานํ โหตี’ติ วุตฺตานิ, เอวํ อวตฺวา ‘‘อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทน’’นฺติอาทิวจนโต ปริยาเยน สมฺปสาทาทีหิ สทฺธิํ ตานิ องฺคานิ คเหตฺวา ‘‘ฌานนฺติ สมฺปสาโท ปีติสุขํ จิตฺตเสฺสกคฺคตา’’ติอาทินา นเยน ตํ ตํ ฌานํ นิทฺทิฎฺฐนฺติ อยเมตฺถ วิเสโสฯ
564. Vivicceva kāmehītiādīsupi niddesesu yaṃ vattabbaṃ siyā, taṃ heṭṭhā cittuppādakaṇḍe (dha. sa. aṭṭha. 160) rūpāvacaraniddese idheva ca tattha tattha vuttameva. Kevalañhi dutiyatatiyacatutthajjhānaniddesesupi yathā tāni jhānāni heṭṭhā ‘tivaṅgikaṃ jhānaṃ hoti, duvaṅgikaṃ jhānaṃ hotī’ti vuttāni, evaṃ avatvā ‘‘ajjhattaṃ sampasādana’’ntiādivacanato pariyāyena sampasādādīhi saddhiṃ tāni aṅgāni gahetvā ‘‘jhānanti sampasādo pītisukhaṃ cittassekaggatā’’tiādinā nayena taṃ taṃ jhānaṃ niddiṭṭhanti ayamettha viseso.
๕๘๘. ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺตีติปทนิเทฺทเส ปน กิญฺจาปิ ‘อาจิกฺขนฺติ เทเสนฺตี’ติอาทีนิ สพฺพาเนว อญฺญมญฺญเววจนานิ, เอวํ สเนฺตปิ ‘อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี’ติอาทิอุเทฺทสวเสน อาจิกฺขนฺติ, นิเทฺทสวเสน เทเสนฺติ, ปฎินิเทฺทสวเสน ปญฺญาเปนฺติ, เตน เตน ปกาเรน อตฺถํ ฐเปตฺวา ปฎฺฐเปนฺติ, ตสฺส ตสฺสตฺถสฺส การณํ ทเสฺสนฺตา วิวรนฺติ, พฺยญฺชนวิภาคํ ทเสฺสนฺตา วิภชนฺติ, นิกฺกุชฺชิตภาวํ คมฺภีรภาวญฺจ นีหริตฺวา วา โสตูนํ ญาณสฺส ปติฎฺฐํ ชนยนฺตา อุตฺตานิํ กโรนฺติ, สเพฺพหิปิ อิเมหิ อากาเรหิ โสตูนํ อญฺญาณนฺธการํ วิธเมนฺตา ปกาเสนฺตีติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
588. Yaṃ taṃ ariyā ācikkhantītipadaniddese pana kiñcāpi ‘ācikkhanti desentī’tiādīni sabbāneva aññamaññavevacanāni, evaṃ santepi ‘upekkhako satimā sukhavihārī’tiādiuddesavasena ācikkhanti, niddesavasena desenti, paṭiniddesavasena paññāpenti, tena tena pakārena atthaṃ ṭhapetvā paṭṭhapenti, tassa tassatthassa kāraṇaṃ dassentā vivaranti, byañjanavibhāgaṃ dassentā vibhajanti, nikkujjitabhāvaṃ gambhīrabhāvañca nīharitvā vā sotūnaṃ ñāṇassa patiṭṭhaṃ janayantā uttāniṃ karonti, sabbehipi imehi ākārehi sotūnaṃ aññāṇandhakāraṃ vidhamentā pakāsentīti evamattho daṭṭhabbo.
สมติกฺกมนิเทฺทเสปิ ตตฺถ ตตฺถ เตหิ เตหิ ธเมฺมหิ วุฎฺฐิตตฺตา อติกฺกมโนฺต, อุปริภูมิปฺปตฺติยา วีติกฺกโนฺต, ตโต อปริหานิภาเวน สมติกฺกโนฺตติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Samatikkamaniddesepi tattha tattha tehi tehi dhammehi vuṭṭhitattā atikkamanto, uparibhūmippattiyā vītikkanto, tato aparihānibhāvena samatikkantoti evamattho daṭṭhabbo.
สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนาฯ
Suttantabhājanīyavaṇṇanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๑๒. ฌานวิภโงฺค • 12. Jhānavibhaṅgo
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā / ๑๒. ฌานวิภโงฺค • 12. Jhānavibhaṅgo
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā / ๑๒. ฌานวิภโงฺค • 12. Jhānavibhaṅgo