Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā |
๖. ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภโงฺค
6. Paṭiccasamuppādavibhaṅgo
๑. สุตฺตนฺตภาชนียํ อุเทฺทสวารวณฺณนา
1. Suttantabhājanīyaṃ uddesavāravaṇṇanā
๒๒๕. อิทานิ ตทนนฺตเร ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภเงฺค ยา ‘‘อยํ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติอาทินา นเยน ตนฺติ นิกฺขิตฺตา, ตสฺสา อตฺถสํวณฺณนํ กโรเนฺตน วิภชฺชวาทิมณฺฑลํ โอตริตฺวา อาจริเย อนพฺภาจิกฺขเนฺตน สกสมยํ อโวกฺกมเนฺตน ปรสมยํ อนายูหเนฺตน สุตฺตํ อปฺปฎิพาหเนฺตน วินยํ อนุโลเมเนฺตน มหาปเทเส โอโลเกเนฺตน ธมฺมํ ทีเปเนฺตน อตฺถํ สงฺคหเนฺตน ตเมวตฺถํ ปุน อาวเตฺตตฺวา อปเรหิปิ ปริยาเยหิ นิทฺทิสเนฺตน จ ยสฺมา อตฺถสํวณฺณนา กาตพฺพา โหติ, ปกติยาปิ จ ทุกฺกราว ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส อตฺถสํวณฺณนา, ยถาหุ โปราณา –
225. Idāni tadanantare paṭiccasamuppādavibhaṅge yā ‘‘ayaṃ avijjāpaccayā saṅkhārā’’tiādinā nayena tanti nikkhittā, tassā atthasaṃvaṇṇanaṃ karontena vibhajjavādimaṇḍalaṃ otaritvā ācariye anabbhācikkhantena sakasamayaṃ avokkamantena parasamayaṃ anāyūhantena suttaṃ appaṭibāhantena vinayaṃ anulomentena mahāpadese olokentena dhammaṃ dīpentena atthaṃ saṅgahantena tamevatthaṃ puna āvattetvā aparehipi pariyāyehi niddisantena ca yasmā atthasaṃvaṇṇanā kātabbā hoti, pakatiyāpi ca dukkarāva paṭiccasamuppādassa atthasaṃvaṇṇanā, yathāhu porāṇā –
‘‘สจฺจํ สโตฺต ปฎิสนฺธิ, ปจฺจยาการเมว จ;
‘‘Saccaṃ satto paṭisandhi, paccayākārameva ca;
ทุทฺทสา จตุโร ธมฺมา, เทเสตุญฺจ สุทุกฺกรา’’ติฯ
Duddasā caturo dhammā, desetuñca sudukkarā’’ti.
ตสฺมา ‘‘อญฺญตฺร อาคมาธิคมปฺปเตฺตหิ น สุกรา ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส อตฺถวณฺณนา’’ติ ปริตุลยิตฺวา –
Tasmā ‘‘aññatra āgamādhigamappattehi na sukarā paṭiccasamuppādassa atthavaṇṇanā’’ti paritulayitvā –
วตฺตุกาโม อหํ อชฺช, ปจฺจยาการวณฺณนํ;
Vattukāmo ahaṃ ajja, paccayākāravaṇṇanaṃ;
ปติฎฺฐํ นาธิคจฺฉามิ, อโชฺฌคาโฬฺหว สาครํฯ
Patiṭṭhaṃ nādhigacchāmi, ajjhogāḷhova sāgaraṃ.
สาสนํ ปนิทํ นานา-เทสนานยมณฺฑิตํ;
Sāsanaṃ panidaṃ nānā-desanānayamaṇḍitaṃ;
ปุพฺพาจริยมโคฺค จ, อโพฺพจฺฉิโนฺน ปวตฺตติฯ
Pubbācariyamaggo ca, abbocchinno pavattati.
ยสฺมา ตสฺมา ตทุภยํ, สนฺนิสฺสายตฺถวณฺณนํ;
Yasmā tasmā tadubhayaṃ, sannissāyatthavaṇṇanaṃ;
อารภิสฺสามิ เอตสฺส, ตํ สุณาถ สมาหิตาฯ
Ārabhissāmi etassa, taṃ suṇātha samāhitā.
วุตฺตเญฺหตํ ปุพฺพาจริเยหิ –
Vuttañhetaṃ pubbācariyehi –
‘‘โย โกจิมํ อฎฺฐิํ กตฺวา สุเณยฺย,
‘‘Yo kocimaṃ aṭṭhiṃ katvā suṇeyya,
ลเภถ ปุพฺพาปริยํ วิเสสํ;
Labhetha pubbāpariyaṃ visesaṃ;
ลทฺธาน ปุพฺพาปริยํ วิเสสํ,
Laddhāna pubbāpariyaṃ visesaṃ,
อทสฺสนํ มจฺจุราชสฺส คเจฺฉ’’ติฯ
Adassanaṃ maccurājassa gacche’’ti.
อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราติอาทีสุ หิ อาทิโตเยว ตาว –
Avijjāpaccayāsaṅkhārātiādīsu hi āditoyeva tāva –
เทสนาเภทโต อตฺถ-ลกฺขเณกวิธาทิโต;
Desanābhedato attha-lakkhaṇekavidhādito;
องฺคานญฺจ ววตฺถานา, วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Aṅgānañca vavatthānā, viññātabbo vinicchayo.
ตตฺถ ‘เทสนาเภทโต’ติ ภควโต หิ วลฺลิหารกานํ จตุนฺนํ ปุริสานํ วลฺลิคฺคหณํ วิย อาทิโต วา มชฺฌโต วา ปฎฺฐาย ยาว ปริโยสานํ, ตถา ปริโยสานโต วา มชฺฌโต วา ปฎฺฐาย ยาว อาทีติ จตุพฺพิธา ปฎิจฺจสมุปฺปาทเทสนาฯ ยถา หิ วลฺลิหารเกสุ จตูสุ ปุริเสสุ เอโก วลฺลิยา มูลเมว ปฐมํ ปสฺสติ, โส ตํ มูเล เฉตฺวา สพฺพํ อากฑฺฒิตฺวา อาทาย กเมฺม อุปเนติ, เอวํ ภควา ‘‘อิติ โข, ภิกฺขเว, อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา…เป.… ชาติปจฺจยา ชรามรณ’’นฺติ อาทิโต (ม. นิ. ๑.๔๐๒) ปฎฺฐาย ยาว ปริโยสานาปิ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ เทเสติฯ
Tattha ‘desanābhedato’ti bhagavato hi vallihārakānaṃ catunnaṃ purisānaṃ valliggahaṇaṃ viya ādito vā majjhato vā paṭṭhāya yāva pariyosānaṃ, tathā pariyosānato vā majjhato vā paṭṭhāya yāva ādīti catubbidhā paṭiccasamuppādadesanā. Yathā hi vallihārakesu catūsu purisesu eko valliyā mūlameva paṭhamaṃ passati, so taṃ mūle chetvā sabbaṃ ākaḍḍhitvā ādāya kamme upaneti, evaṃ bhagavā ‘‘iti kho, bhikkhave, avijjāpaccayā saṅkhārā…pe… jātipaccayā jarāmaraṇa’’nti ādito (ma. ni. 1.402) paṭṭhāya yāva pariyosānāpi paṭiccasamuppādaṃ deseti.
ยถา ปน เตสุ ปุริเสสุ เอโก วลฺลิยา มชฺฌํ ปฐมํ ปสฺสติ, โส มเชฺฌ ฉินฺทิตฺวา อุปริภาคํเยว อากฑฺฒิตฺวา อาทาย กเมฺม อุปเนติ, เอวํ ภควา ‘‘ตสฺส ตํ เวทนํ อภินนฺทโต อภิวทโต อโชฺฌสาย ติฎฺฐโต อุปฺปชฺชติ นนฺที; ยา เวทนาสุ นนฺที, ตทุปาทานํ, ตสฺสุปาทานปจฺจยา ภโว, ภวปจฺจยา ชาตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๐๙; สํ. นิ. ๓.๕) มชฺฌโต ปฎฺฐาย ยาว ปริโยสานาปิ เทเสติฯ
Yathā pana tesu purisesu eko valliyā majjhaṃ paṭhamaṃ passati, so majjhe chinditvā uparibhāgaṃyeva ākaḍḍhitvā ādāya kamme upaneti, evaṃ bhagavā ‘‘tassa taṃ vedanaṃ abhinandato abhivadato ajjhosāya tiṭṭhato uppajjati nandī; yā vedanāsu nandī, tadupādānaṃ, tassupādānapaccayā bhavo, bhavapaccayā jātī’’ti (ma. ni. 1.409; saṃ. ni. 3.5) majjhato paṭṭhāya yāva pariyosānāpi deseti.
ยถา จ เตสุ ปุริเสสุ เอโก วลฺลิยา อคฺคํ ปฐมํ ปสฺสติ, โส อเคฺค คเหตฺวา อคฺคานุสาเรน ยาว มูลา สพฺพํ อาทาย กเมฺม อุปเนติ, เอวํ ภควา ‘‘ชาติปจฺจยา ชรามรณนฺติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, ชาติปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, ชรามรณํ โน วา กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘ชาติปจฺจยา, ภเนฺต, ชรามรณํ; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – ชาติปจฺจยา ชรามรณ’’นฺติฯ ‘‘ภวปจฺจยา ชาติ…เป.… อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราติ อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํ, อวิชฺชาปจฺจยา นุ โข, ภิกฺขเว, สงฺขารา โน วา กถํ วา เอตฺถ โหตี’’ติ? ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา, ภเนฺต, สงฺขารา; เอวํ โน เอตฺถ โหติ – อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติ ปริโยสานโต ปฎฺฐาย ยาว อาทิโตปิ ปฎิจฺจสมุปฺปาทํ เทเสติฯ
Yathā ca tesu purisesu eko valliyā aggaṃ paṭhamaṃ passati, so agge gahetvā aggānusārena yāva mūlā sabbaṃ ādāya kamme upaneti, evaṃ bhagavā ‘‘jātipaccayā jarāmaraṇanti iti kho panetaṃ vuttaṃ, jātipaccayā nu kho, bhikkhave, jarāmaraṇaṃ no vā kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Jātipaccayā, bhante, jarāmaraṇaṃ; evaṃ no ettha hoti – jātipaccayā jarāmaraṇa’’nti. ‘‘Bhavapaccayā jāti…pe… avijjāpaccayā saṅkhārāti iti kho panetaṃ vuttaṃ, avijjāpaccayā nu kho, bhikkhave, saṅkhārā no vā kathaṃ vā ettha hotī’’ti? ‘‘Avijjāpaccayā, bhante, saṅkhārā; evaṃ no ettha hoti – avijjāpaccayā saṅkhārā’’ti pariyosānato paṭṭhāya yāva āditopi paṭiccasamuppādaṃ deseti.
ยถา ปน เตสุ ปุริเสสุ เอโก วลฺลิยา มชฺฌเมว ปฐมํ ปสฺสติ, โส มเชฺฌ ฉินฺทิตฺวา เหฎฺฐา โอตรโนฺต ยาว มูลา อาทาย กเมฺม อุปเนติ , เอวํ ภควา ‘‘อิเม, ภิกฺขเว, จตฺตาโร อาหารา กิํ นิทานา, กิํ สมุทยา, กิํ ชาติกา, กิํ ปภวา? อิเม จตฺตาโร อาหารา ตณฺหานิทานา, ตณฺหาสมุทยา, ตณฺหาชาติกา, ตณฺหาปภวาฯ ตณฺหา จายํ, ภิกฺขเว, กิํ นิทานา? เวทนา, ผโสฺส, สฬายตนํ, นามรูปํ, วิญฺญาณํฯ สงฺขารา กิํ นิทานา…เป.… สงฺขารา อวิชฺชานิทานา, อวิชฺชาสมุทยา, อวิชฺชาชาติกา, อวิชฺชาปภวา’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๑) มชฺฌโต ปฎฺฐาย ยาว อาทิโต เทเสติฯ
Yathā pana tesu purisesu eko valliyā majjhameva paṭhamaṃ passati, so majjhe chinditvā heṭṭhā otaranto yāva mūlā ādāya kamme upaneti , evaṃ bhagavā ‘‘ime, bhikkhave, cattāro āhārā kiṃ nidānā, kiṃ samudayā, kiṃ jātikā, kiṃ pabhavā? Ime cattāro āhārā taṇhānidānā, taṇhāsamudayā, taṇhājātikā, taṇhāpabhavā. Taṇhā cāyaṃ, bhikkhave, kiṃ nidānā? Vedanā, phasso, saḷāyatanaṃ, nāmarūpaṃ, viññāṇaṃ. Saṅkhārā kiṃ nidānā…pe… saṅkhārā avijjānidānā, avijjāsamudayā, avijjājātikā, avijjāpabhavā’’ti (saṃ. ni. 2.11) majjhato paṭṭhāya yāva ādito deseti.
กสฺมา ปเนวํ เทเสตีติ? ปฎิจฺจสมุปฺปาทสฺส สมนฺตภทฺทกตฺตา, สยญฺจ เทสนาวิลาสปฺปตฺตตฺตาฯ สมนฺตภทฺทโก หิ ปฎิจฺจสมุปฺปาโท ตโต ตโต ญายปฺปฎิเวธาย สํวตฺตติเยวฯ เทสนาวิลาสปฺปโตฺต จ ภควา จตุเวสารชฺชปฺปฎิสมฺภิทาโยเคน จตุพฺพิธคมฺภีรภาวปฺปตฺติยา จฯ โส เทสนาวิลาสปฺปตฺตตฺตา นานานเยเหว ธมฺมํ เทเสติฯ วิเสสโต ปนสฺส ยา อาทิโต ปฎฺฐาย อนุโลมเทสนา, สา ปวตฺติการณวิภาคสมฺมูฬฺหํ เวเนยฺยชนํ สมนุปสฺสโต ยถาสเกหิ การเณหิ ปวตฺติสนฺทสฺสนตฺถํ อุปฺปตฺติกฺกมสนฺทสฺสนตฺถญฺจ ปวตฺติตาติ ญาตพฺพาฯ
Kasmā panevaṃ desetīti? Paṭiccasamuppādassa samantabhaddakattā, sayañca desanāvilāsappattattā. Samantabhaddako hi paṭiccasamuppādo tato tato ñāyappaṭivedhāya saṃvattatiyeva. Desanāvilāsappatto ca bhagavā catuvesārajjappaṭisambhidāyogena catubbidhagambhīrabhāvappattiyā ca. So desanāvilāsappattattā nānānayeheva dhammaṃ deseti. Visesato panassa yā ādito paṭṭhāya anulomadesanā, sā pavattikāraṇavibhāgasammūḷhaṃ veneyyajanaṃ samanupassato yathāsakehi kāraṇehi pavattisandassanatthaṃ uppattikkamasandassanatthañca pavattitāti ñātabbā.
ยา ปริโยสานโต ปฎฺฐาย ปฎิโลมเทสนา, สา ‘‘กิจฺฉํ วตายํ โลโก อาปโนฺน ชายติ จ ชียติ จ มียติ จา’’ติ (ที. นิ. ๒.๕๗) อาทินา นเยน กิจฺฉาปนฺนํ โลกมนุวิโลกยโต ปุพฺพภาคปฺปฎิเวธานุสาเรน ตสฺส ตสฺส ชรามรณาทิกสฺส ทุกฺขสฺส อตฺตนาธิคตการณสนฺทสฺสนตฺถํฯ ยา ปน มชฺฌโต ปฎฺฐาย ยาว อาทิ, สา อาหารนิทานววตฺถาปนานุสาเรน ยาว อตีตํ อทฺธานํ อติหริตฺวา ปุน อตีตทฺธโต ปภุติ เหตุผลปฎิปาฎิสนฺทสฺสนตฺถํฯ ยา ปน มชฺฌโต ปฎฺฐาย ยาว ปริโยสานา ปวตฺตา, สา ปจฺจุปฺปเนฺน อทฺธาเน อนาคตทฺธเหตุสมุฎฺฐานโต ปภุติ อนาคตทฺธสนฺทสฺสนตฺถํฯ ตาสุ ยา สา ปวตฺติการณสมฺมูฬฺหสฺส เวเนยฺยชนสฺส ยถาสเกหิ การเณหิ ปวตฺติสนฺทสฺสนตฺถํ อุปฺปตฺติกฺกมสนฺทสฺสนตฺถญฺจ อาทิโต ปฎฺฐาย อนุโลมเทสนา วุตฺตา, สา อิธ นิกฺขิตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ
Yā pariyosānato paṭṭhāya paṭilomadesanā, sā ‘‘kicchaṃ vatāyaṃ loko āpanno jāyati ca jīyati ca mīyati cā’’ti (dī. ni. 2.57) ādinā nayena kicchāpannaṃ lokamanuvilokayato pubbabhāgappaṭivedhānusārena tassa tassa jarāmaraṇādikassa dukkhassa attanādhigatakāraṇasandassanatthaṃ. Yā pana majjhato paṭṭhāya yāva ādi, sā āhāranidānavavatthāpanānusārena yāva atītaṃ addhānaṃ atiharitvā puna atītaddhato pabhuti hetuphalapaṭipāṭisandassanatthaṃ. Yā pana majjhato paṭṭhāya yāva pariyosānā pavattā, sā paccuppanne addhāne anāgataddhahetusamuṭṭhānato pabhuti anāgataddhasandassanatthaṃ. Tāsu yā sā pavattikāraṇasammūḷhassa veneyyajanassa yathāsakehi kāraṇehi pavattisandassanatthaṃ uppattikkamasandassanatthañca ādito paṭṭhāya anulomadesanā vuttā, sā idha nikkhittāti veditabbā.
กสฺมา ปเนตฺถ อวิชฺชา อาทิโต วุตฺตา? กิํ ปกติวาทีนํ ปกติ วิย อวิชฺชาปิ อการณํ มูลการณํ โลกสฺสาติ? น อการณํฯ ‘‘อาสวสมุทยา อวิชฺชาสมุทโย’’ติ หิ อวิชฺชาย การณํ วุตฺตํฯ อตฺถิ ปน ปริยาโย เยน มูลการณํ สิยาฯ โก ปน โสติ? วฎฺฎกถาย สีสภาโวฯ ภควา หิ วฎฺฎกถํ กเถโนฺต เทฺว ธเมฺม สีสํ กตฺวา กเถสิ – อวิชฺชํ วา ภวตณฺหํ วาฯ ยถาห – ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ น ปญฺญายติ อวิชฺชาย ‘อิโต ปุเพฺพ อวิชฺชา นาโหสิ, อถ ปจฺฉา สมภวี’ติฯ เอวเญฺจตํ, ภิกฺขเว, วุจฺจติ, อถ จ ปน ปญฺญายติ ‘อิทปฺปจฺจยา อวิชฺชา’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๖๑); ภวตณฺหํ วา, ยถาห – ‘‘ปุริมา, ภิกฺขเว, โกฎิ น ปญฺญายติ ภวตณฺหาย ‘อิโต ปุเพฺพ ภวตณฺหา นาโหสิ, อถ ปจฺฉา สมภวี’ติฯ เอวเญฺจตํ, ภิกฺขเว, วุจฺจติ, อถ จ ปน ปญฺญายติ ‘อิทปฺปจฺจยา ภวตณฺหา’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๖๒)ฯ
Kasmā panettha avijjā ādito vuttā? Kiṃ pakativādīnaṃ pakati viya avijjāpi akāraṇaṃ mūlakāraṇaṃ lokassāti? Na akāraṇaṃ. ‘‘Āsavasamudayā avijjāsamudayo’’ti hi avijjāya kāraṇaṃ vuttaṃ. Atthi pana pariyāyo yena mūlakāraṇaṃ siyā. Ko pana soti? Vaṭṭakathāya sīsabhāvo. Bhagavā hi vaṭṭakathaṃ kathento dve dhamme sīsaṃ katvā kathesi – avijjaṃ vā bhavataṇhaṃ vā. Yathāha – ‘‘purimā, bhikkhave, koṭi na paññāyati avijjāya ‘ito pubbe avijjā nāhosi, atha pacchā samabhavī’ti. Evañcetaṃ, bhikkhave, vuccati, atha ca pana paññāyati ‘idappaccayā avijjā’’ti (a. ni. 10.61); bhavataṇhaṃ vā, yathāha – ‘‘purimā, bhikkhave, koṭi na paññāyati bhavataṇhāya ‘ito pubbe bhavataṇhā nāhosi, atha pacchā samabhavī’ti. Evañcetaṃ, bhikkhave, vuccati, atha ca pana paññāyati ‘idappaccayā bhavataṇhā’’ti (a. ni. 10.62).
กสฺมา ปน ภควา วฎฺฎกถํ กเถโนฺต อิเม เทฺวว ธเมฺม สีสํ กตฺวา กเถสีติ? สุคติทุคฺคติคามิโน กมฺมสฺส วิเสสเหตุภูตตฺตาฯ ทุคฺคติคามิโน หิ กมฺมสฺส วิเสสเหตุ อวิชฺชาฯ กสฺมา? ยสฺมา อวิชฺชาภิภูโต ปุถุชฺชโน, อคฺคิสนฺตาปลคุฬาภิฆาตปริสฺสมาภิภูตา วชฺฌคาวี ตาย ปริสฺสมาตุรตาย นิรสฺสาทมฺปิ อตฺตโน อนตฺถาวหมฺปิ จ อุโณฺหทกปานํ วิย, กิเลสสนฺตาปโต นิรสฺสาทมฺปิ ทุคฺคติวินิปาตโต จ อตฺตโน อนตฺถาวหมฺปิ ปาณาติปาตาทิมเนกปฺปการํ ทุคฺคติคามิกมฺมํ อารภติฯ สุคติคามิโน ปน กมฺมสฺส วิเสสเหตุ ภวตณฺหาฯ กสฺมา? ยสฺมา ภวตณฺหาภิภูโต ปุถุชฺชโน, ยถา วุตฺตปฺปการา คาวี สีตุทกตณฺหาย สอสฺสาทํ อตฺตโน ปริสฺสมวิโนทนญฺจ สีตุทกปานํ วิย, กิเลสสนฺตาปวิรหโต สอสฺสาทํ สุคติสมฺปาปเนน อตฺตโน ทุคฺคติทุกฺขปริสฺสมวิโนทนญฺจ ปาณาติปาตาเวรมณีอาทิมเนกปฺปการํ สุคติคามิกมฺมํ อารภติฯ
Kasmā pana bhagavā vaṭṭakathaṃ kathento ime dveva dhamme sīsaṃ katvā kathesīti? Sugatiduggatigāmino kammassa visesahetubhūtattā. Duggatigāmino hi kammassa visesahetu avijjā. Kasmā? Yasmā avijjābhibhūto puthujjano, aggisantāpalaguḷābhighātaparissamābhibhūtā vajjhagāvī tāya parissamāturatāya nirassādampi attano anatthāvahampi ca uṇhodakapānaṃ viya, kilesasantāpato nirassādampi duggativinipātato ca attano anatthāvahampi pāṇātipātādimanekappakāraṃ duggatigāmikammaṃ ārabhati. Sugatigāmino pana kammassa visesahetu bhavataṇhā. Kasmā? Yasmā bhavataṇhābhibhūto puthujjano, yathā vuttappakārā gāvī sītudakataṇhāya saassādaṃ attano parissamavinodanañca sītudakapānaṃ viya, kilesasantāpavirahato saassādaṃ sugatisampāpanena attano duggatidukkhaparissamavinodanañca pāṇātipātāveramaṇīādimanekappakāraṃ sugatigāmikammaṃ ārabhati.
เอเตสุ ปน วฎฺฎกถาย สีสภูเตสุ ธเมฺมสุ กตฺถจิ ภควา เอกธมฺมมูลิกํ เทสนํ เทเสติ, เสยฺยถิทํ – ‘‘อิติ โข, ภิกฺขเว, อวิชฺชูปนิสา สงฺขารา, สงฺขารูปนิสํ วิญฺญาณ’’นฺติอาทิ (สํ. นิ. ๒.๒๓)ฯ ตถา ‘‘อุปาทานีเยสุ, ภิกฺขเว, ธเมฺมสุ อสฺสาทานุปสฺสิโน วิหรโต ตณฺหา ปวฑฺฒติ, ตณฺหาปจฺจยา อุปาทาน’’นฺติอาทิ (สํ. นิ. ๒.๕๒)ฯ กตฺถจิ อุภยมูลิกมฺปิ, เสยฺยถิทํ – ‘‘อวิชฺชานีวรณสฺส, ภิกฺขเว, พาลสฺส ตณฺหาย สมฺปยุตฺตสฺส เอวมยํ กาโย สมุทาคโตฯ อิติ อยเญฺจว กาโย พหิทฺธา จ นามรูปํ อิเตฺถตํ ทฺวยํ, ทฺวยํ ปฎิจฺจ ผโสฺส, สเฬวายตนานิ เยหิ ผุโฎฺฐ พาโล สุขทุกฺขํ ปฎิสํเวเทตี’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๒.๑๙)ฯ ตาสุ ตาสุ เทสนาสุ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติ อยมิธ อวิชฺชาวเสน เอกธมฺมมูลิกา เทสนาติ เวทิตพฺพาฯ เอวํ ตาเวตฺถ เทสนาเภทโต วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Etesu pana vaṭṭakathāya sīsabhūtesu dhammesu katthaci bhagavā ekadhammamūlikaṃ desanaṃ deseti, seyyathidaṃ – ‘‘iti kho, bhikkhave, avijjūpanisā saṅkhārā, saṅkhārūpanisaṃ viññāṇa’’ntiādi (saṃ. ni. 2.23). Tathā ‘‘upādānīyesu, bhikkhave, dhammesu assādānupassino viharato taṇhā pavaḍḍhati, taṇhāpaccayā upādāna’’ntiādi (saṃ. ni. 2.52). Katthaci ubhayamūlikampi, seyyathidaṃ – ‘‘avijjānīvaraṇassa, bhikkhave, bālassa taṇhāya sampayuttassa evamayaṃ kāyo samudāgato. Iti ayañceva kāyo bahiddhā ca nāmarūpaṃ itthetaṃ dvayaṃ, dvayaṃ paṭicca phasso, saḷevāyatanāni yehi phuṭṭho bālo sukhadukkhaṃ paṭisaṃvedetī’’tiādi (saṃ. ni. 2.19). Tāsu tāsu desanāsu ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’ti ayamidha avijjāvasena ekadhammamūlikā desanāti veditabbā. Evaṃ tāvettha desanābhedato viññātabbo vinicchayo.
‘อตฺถโต’ติ อวิชฺชาทีนํ ปทานํ อตฺถโต, เสยฺยถิทํ – ปูเรตุํ อยุตฺตเฎฺฐน กายทุจฺจริตาทิ อวินฺทิยํ นาม; อลทฺธพฺพนฺติ อโตฺถฯ ตํ อวินฺทิยํ วินฺทตีติ อวิชฺชาฯ ตพฺพิปรีตโต กายสุจริตาทิ วินฺทิยํ นามฯ ตํ วินฺทิยํ น วินฺทตีติ อวิชฺชาฯ ขนฺธานํ ราสฎฺฐํ, อายตนานํ อายตนฎฺฐํ, ธาตูนํ สุญฺญฎฺฐํ, สจฺจานํ ตถฎฺฐํ, อินฺทฺริยานํ อาธิปเตยฺยฎฺฐํ อวิทิตํ กโรตีติ อวิชฺชาฯ ทุกฺขาทีนํ ปีฬนาทิวเสน วุตฺตํ จตุพฺพิธํ จตุพฺพิธํ อตฺถํ อวิทิตํ กโรตีติปิ อวิชฺชาฯ อนฺตวิรหิเต สํสาเร สพฺพโยนิคติภววิญฺญาณฎฺฐิติสตฺตาวาเสสุ สเตฺต ชวาเปตีติ อวิชฺชาฯ ปรมตฺถโต อวิชฺชมาเนสุ อิตฺถิปุริสาทีสุ ชวติ, วิชฺชมาเนสุปิ ขนฺธาทีสุ น ชวตีติ อวิชฺชาฯ อปิจ จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ วตฺถารมฺมณานํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทปฎิจฺจสมุปฺปนฺนานญฺจ ธมฺมานํ ฉาทนโตปิ อวิชฺชาฯ
‘Atthato’ti avijjādīnaṃ padānaṃ atthato, seyyathidaṃ – pūretuṃ ayuttaṭṭhena kāyaduccaritādi avindiyaṃ nāma; aladdhabbanti attho. Taṃ avindiyaṃ vindatīti avijjā. Tabbiparītato kāyasucaritādi vindiyaṃ nāma. Taṃ vindiyaṃ na vindatīti avijjā. Khandhānaṃ rāsaṭṭhaṃ, āyatanānaṃ āyatanaṭṭhaṃ, dhātūnaṃ suññaṭṭhaṃ, saccānaṃ tathaṭṭhaṃ, indriyānaṃ ādhipateyyaṭṭhaṃ aviditaṃ karotīti avijjā. Dukkhādīnaṃ pīḷanādivasena vuttaṃ catubbidhaṃ catubbidhaṃ atthaṃ aviditaṃ karotītipi avijjā. Antavirahite saṃsāre sabbayonigatibhavaviññāṇaṭṭhitisattāvāsesu satte javāpetīti avijjā. Paramatthato avijjamānesu itthipurisādīsu javati, vijjamānesupi khandhādīsu na javatīti avijjā. Apica cakkhuviññāṇādīnaṃ vatthārammaṇānaṃ paṭiccasamuppādapaṭiccasamuppannānañca dhammānaṃ chādanatopi avijjā.
ยํ ปฎิจฺจ ผลเมติ โส ปจฺจโยฯ ปฎิจฺจาติ น วินา เตน; ตํ อปจฺจกฺขิตฺวาติ อโตฺถฯ เอตีติ อุปฺปชฺชติ เจว ปวตฺตติ จาติ อโตฺถฯ อปิ จ อุปการกโฎฺฐ ปจฺจยโฎฺฐฯ อวิชฺชา จ สา ปจฺจโย จาติ อวิชฺชาปจฺจโยฯ ตสฺมา อวิชฺชาปจฺจยาฯ
Yaṃ paṭicca phalameti so paccayo. Paṭiccāti na vinā tena; taṃ apaccakkhitvāti attho. Etīti uppajjati ceva pavattati cāti attho. Api ca upakārakaṭṭho paccayaṭṭho. Avijjā ca sā paccayo cāti avijjāpaccayo. Tasmā avijjāpaccayā.
สงฺขตมภิสงฺขโรนฺตีติ สงฺขาราฯ อปิจ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา, สงฺขารสเทฺทน อาคตสงฺขารา จาติ ทุวิธา สงฺขาราฯ ตตฺถ ปุญฺญาปุญฺญาเนญฺชาภิสงฺขารา ตโย, กายวจีจิตฺตสงฺขารา ตโยติ อิเม ฉ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ฯ เต สเพฺพปิ โลกิยกุสลากุสลเจตนามตฺตเมว โหนฺติฯ
Saṅkhatamabhisaṅkharontīti saṅkhārā. Apica avijjāpaccayā saṅkhārā, saṅkhārasaddena āgatasaṅkhārā cāti duvidhā saṅkhārā. Tattha puññāpuññāneñjābhisaṅkhārā tayo, kāyavacīcittasaṅkhārā tayoti ime cha avijjāpaccayā saṅkhārā . Te sabbepi lokiyakusalākusalacetanāmattameva honti.
สงฺขตสงฺขาโร, อภิสงฺขตสงฺขาโร, อภิสงฺขรณสงฺขาโร, ปโยคาภิสงฺขาโรติ อิเม ปน จตฺตาโร สงฺขารสเทฺทน อาคตสงฺขาราฯ ตตฺถ ‘‘อนิจฺจา วต สงฺขารา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๒๒๑, ๒๗๒; สํ. นิ. ๑.๑๘๖; ๒.๑๔๓) วุตฺตา สเพฺพปิ สปฺปจฺจยา ธมฺมา ‘สงฺขตสงฺขารา’ นามฯ กมฺมนิพฺพตฺตา เตภูมกา รูปารูปธมฺมา ‘อภิสงฺขตสงฺขารา’ติ อฎฺฐกถาสุ วุตฺตาฯ เตปิ ‘‘อนิจฺจา วต สงฺขารา’’ติ เอเตฺถว สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ วิสุํ ปน เนสํ อาคตฎฺฐานํ น ปญฺญายติฯ เตภูมกกุสลากุสลเจตนา ปน ‘อภิสงฺขรณกสงฺขาโร’ติ วุจฺจติฯ ตสฺส ‘‘อวิชฺชาคโตยํ, ภิกฺขเว, ปุริสปุคฺคโล ปุญฺญเญฺจ อภิสงฺขโรตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๒.๕๑) อาคตฎฺฐานํ ปญฺญายติฯ กายิกเจตสิกํ ปน วีริยํ ‘ปโยคาภิสงฺขาโร’ติ วุจฺจติฯ โส ‘‘ยาวติกา อภิสงฺขารสฺส คติ, ตาวติกํ คนฺตฺวา อกฺขาหตํ มเญฺญ อฎฺฐาสี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๑๕) อาคโตฯ
Saṅkhatasaṅkhāro, abhisaṅkhatasaṅkhāro, abhisaṅkharaṇasaṅkhāro, payogābhisaṅkhāroti ime pana cattāro saṅkhārasaddena āgatasaṅkhārā. Tattha ‘‘aniccā vata saṅkhārā’’tiādīsu (dī. ni. 2.221, 272; saṃ. ni. 1.186; 2.143) vuttā sabbepi sappaccayā dhammā ‘saṅkhatasaṅkhārā’ nāma. Kammanibbattā tebhūmakā rūpārūpadhammā ‘abhisaṅkhatasaṅkhārā’ti aṭṭhakathāsu vuttā. Tepi ‘‘aniccā vata saṅkhārā’’ti ettheva saṅgahaṃ gacchanti. Visuṃ pana nesaṃ āgataṭṭhānaṃ na paññāyati. Tebhūmakakusalākusalacetanā pana ‘abhisaṅkharaṇakasaṅkhāro’ti vuccati. Tassa ‘‘avijjāgatoyaṃ, bhikkhave, purisapuggalo puññañce abhisaṅkharotī’’tiādīsu (saṃ. ni. 2.51) āgataṭṭhānaṃ paññāyati. Kāyikacetasikaṃ pana vīriyaṃ ‘payogābhisaṅkhāro’ti vuccati. So ‘‘yāvatikā abhisaṅkhārassa gati, tāvatikaṃ gantvā akkhāhataṃ maññe aṭṭhāsī’’tiādīsu (a. ni. 3.15) āgato.
น เกวลญฺจ เอเตเยว, อเญฺญปิ ‘‘สญฺญาเวทยิตนิโรธํ สมาปชฺชนฺตสฺส โข, อาวุโส วิสาข, ภิกฺขุโน ปฐมํ นิรุชฺฌติ วจีสงฺขาโร, ตโต กายสงฺขาโร, ตโต จิตฺตสงฺขาโร’’ติอาทินา (ม. นิ. ๑.๔๖๔) นเยน สงฺขารสเทฺทน อาคตา อเนกสงฺขาราฯ เตสุ นตฺถิ โส สงฺขาโร, โย สงฺขตสงฺขาเร สงฺคหํ น คเจฺฉยฺยฯ อิโต ปรํ สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณนฺติอาทีสุ ยํ วุตฺตํ ตํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
Na kevalañca eteyeva, aññepi ‘‘saññāvedayitanirodhaṃ samāpajjantassa kho, āvuso visākha, bhikkhuno paṭhamaṃ nirujjhati vacīsaṅkhāro, tato kāyasaṅkhāro, tato cittasaṅkhāro’’tiādinā (ma. ni. 1.464) nayena saṅkhārasaddena āgatā anekasaṅkhārā. Tesu natthi so saṅkhāro, yo saṅkhatasaṅkhāre saṅgahaṃ na gaccheyya. Ito paraṃ saṅkhārapaccayā viññāṇantiādīsu yaṃ vuttaṃ taṃ vuttanayeneva veditabbaṃ.
อวุเตฺต ปน วิชานาตีติ วิญฺญาณํฯ นมตีติ นามํฯ รุปฺปตีติ รูปํฯ อาเย ตโนติ, อายตญฺจ นยตีติ อายตนํฯ ผุสตีติ ผโสฺสฯ เวทยตีติ เวทนาฯ ปริตสฺสตีติ ตณฺหาฯ อุปาทิยตีติ อุปาทานํฯ ภวติ ภาวยติ จาติ ภโวฯ ชนนํ ชาติฯ ชีรณํ ชราฯ มรนฺติ เอเตนาติ มรณํฯ โสจนํ โสโกฯ ปริเทวนํ ปริเทโวฯ ทุกฺขยตีติ ทุกฺขํ; อุปฺปาทฎฺฐิติวเสน วา เทฺวธา ขณตีติ ทุกฺขํฯ ทุมฺมนสฺส ภาโว โทมนสฺสํฯ ภุโส อายาโส อุปายาโสฯ
Avutte pana vijānātīti viññāṇaṃ. Namatīti nāmaṃ. Ruppatīti rūpaṃ. Āye tanoti, āyatañca nayatīti āyatanaṃ. Phusatīti phasso. Vedayatīti vedanā. Paritassatīti taṇhā. Upādiyatīti upādānaṃ. Bhavati bhāvayati cāti bhavo. Jananaṃ jāti. Jīraṇaṃ jarā. Maranti etenāti maraṇaṃ. Socanaṃ soko. Paridevanaṃ paridevo. Dukkhayatīti dukkhaṃ; uppādaṭṭhitivasena vā dvedhā khaṇatīti dukkhaṃ. Dummanassa bhāvo domanassaṃ. Bhuso āyāso upāyāso.
สมฺภวนฺตีติ นิพฺพตฺตนฺติฯ น เกวลญฺจ โสกาทีเหว, อถ โข สพฺพปเทหิ ‘สมฺภวนฺตี’ติ สทฺทสฺส โยชนา กาตพฺพาฯ อิตรถา หิ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติ วุเตฺต กิํ กโรนฺตีติ น ปญฺญาเยยฺยุํฯ ‘‘สมฺภวนฺตี’’ติ ปน โยชนาย สติ ‘‘อวิชฺชา จ สา ปจฺจโย จาติ อวิชฺชาปจฺจโย; ตสฺมา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สมฺภวนฺตี’’ติ ปจฺจยปจฺจยุปฺปนฺนววตฺถานํ กตํ โหติฯ เอส นโย สพฺพตฺถฯ
Sambhavantīti nibbattanti. Na kevalañca sokādīheva, atha kho sabbapadehi ‘sambhavantī’ti saddassa yojanā kātabbā. Itarathā hi ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’ti vutte kiṃ karontīti na paññāyeyyuṃ. ‘‘Sambhavantī’’ti pana yojanāya sati ‘‘avijjā ca sā paccayo cāti avijjāpaccayo; tasmā avijjāpaccayā saṅkhārā sambhavantī’’ti paccayapaccayuppannavavatthānaṃ kataṃ hoti. Esa nayo sabbattha.
เอวนฺติ นิทฺทิฎฺฐนยนิทสฺสนํฯ เตน อวิชฺชาทีเหว การเณหิ, น อิสฺสรนิมฺมานาทีหีติ ทเสฺสติฯ เอตสฺสาติ ยถาวุตฺตสฺสฯ เกวลสฺสาติ อสมฺมิสฺสสฺส สกลสฺส วาฯ ทุกฺขกฺขนฺธสฺสาติ ทุกฺขสมูหสฺส, น สตฺตสฺส, น สุขสุภาทีนํฯ สมุทโยติ นิพฺพตฺติฯ โหตีติ สมฺภวติฯ เอวเมตฺถ อตฺถโต วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Evanti niddiṭṭhanayanidassanaṃ. Tena avijjādīheva kāraṇehi, na issaranimmānādīhīti dasseti. Etassāti yathāvuttassa. Kevalassāti asammissassa sakalassa vā. Dukkhakkhandhassāti dukkhasamūhassa, na sattassa, na sukhasubhādīnaṃ. Samudayoti nibbatti. Hotīti sambhavati. Evamettha atthato viññātabbo vinicchayo.
‘ลกฺขณาทิโต’ติ อวิชฺชาทีนํ ลกฺขณาทิโต, เสยฺยถิทํ – อญฺญาณลกฺขณา อวิชฺชา, สโมฺมหนรสา, ฉาทนปจฺจุปฎฺฐานา, อาสวปทฎฺฐานาฯ อภิสงฺขรณลกฺขณา สงฺขารา, อายูหนรสา, เจตนาปจฺจุปฎฺฐานา, อวิชฺชาปทฎฺฐานาฯ วิชานนลกฺขณํ วิญฺญาณํ, ปุพฺพงฺคมรสํ, ปฎิสนฺธิปจฺจุปฎฺฐานํ, สงฺขารปทฎฺฐานํ, วตฺถารมฺมณปทฎฺฐานํ วาฯ นมนลกฺขณํ นามํ, สมฺปโยครสํ, อวินิโพฺภคปจฺจุปฎฺฐานํ, วิญฺญาณปทฎฺฐานํฯ รุปฺปนลกฺขณํ รูปํ, วิกิรณรสํ, อพฺยากตปจฺจุปฎฺฐานํ, วิญฺญาณปทฎฺฐานํฯ อายตนลกฺขณํ สฬายตนํ, ทสฺสนาทิรสํ, วตฺถุทฺวารภาวปจฺจุปฎฺฐานํ , นามรูปปทฎฺฐานํฯ ผุสนลกฺขโณ ผโสฺส, สงฺฆฎฺฎนรโส, สงฺคติปจฺจุปฎฺฐาโน, สฬายตนปทฎฺฐาโนฯ อนุภวนลกฺขณา เวทนา, วิสยรสสโมฺภครสา, สุขทุกฺขปจฺจุปฎฺฐานา, ผสฺสปทฎฺฐานาฯ เหตุลกฺขณา ตณฺหา, อภินนฺทนรสา, อติตฺติภาวปจฺจุปฎฺฐานา, เวทนาปทฎฺฐานาฯ คหณลกฺขณํ อุปาทานํ, อมุญฺจนรสํ, ตณฺหาทฬฺหตฺตทิฎฺฐิปจฺจุปฎฺฐานํ, ตณฺหาปทฎฺฐานํฯ กมฺมกมฺมผลลกฺขโณ ภโว, ภาวนภวนรโส, กุสลากุสลาพฺยากตปจฺจุปฎฺฐาโน, อุปาทานปทฎฺฐาโนฯ ชาติอาทีนํ ลกฺขณาทีนิ สจฺจวิภเงฺค วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพานิฯ เอวเมตฺถ ลกฺขณาทิโตปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
‘Lakkhaṇādito’ti avijjādīnaṃ lakkhaṇādito, seyyathidaṃ – aññāṇalakkhaṇā avijjā, sammohanarasā, chādanapaccupaṭṭhānā, āsavapadaṭṭhānā. Abhisaṅkharaṇalakkhaṇā saṅkhārā, āyūhanarasā, cetanāpaccupaṭṭhānā, avijjāpadaṭṭhānā. Vijānanalakkhaṇaṃ viññāṇaṃ, pubbaṅgamarasaṃ, paṭisandhipaccupaṭṭhānaṃ, saṅkhārapadaṭṭhānaṃ, vatthārammaṇapadaṭṭhānaṃ vā. Namanalakkhaṇaṃ nāmaṃ, sampayogarasaṃ, avinibbhogapaccupaṭṭhānaṃ, viññāṇapadaṭṭhānaṃ. Ruppanalakkhaṇaṃ rūpaṃ, vikiraṇarasaṃ, abyākatapaccupaṭṭhānaṃ, viññāṇapadaṭṭhānaṃ. Āyatanalakkhaṇaṃ saḷāyatanaṃ, dassanādirasaṃ, vatthudvārabhāvapaccupaṭṭhānaṃ , nāmarūpapadaṭṭhānaṃ. Phusanalakkhaṇo phasso, saṅghaṭṭanaraso, saṅgatipaccupaṭṭhāno, saḷāyatanapadaṭṭhāno. Anubhavanalakkhaṇā vedanā, visayarasasambhogarasā, sukhadukkhapaccupaṭṭhānā, phassapadaṭṭhānā. Hetulakkhaṇā taṇhā, abhinandanarasā, atittibhāvapaccupaṭṭhānā, vedanāpadaṭṭhānā. Gahaṇalakkhaṇaṃ upādānaṃ, amuñcanarasaṃ, taṇhādaḷhattadiṭṭhipaccupaṭṭhānaṃ, taṇhāpadaṭṭhānaṃ. Kammakammaphalalakkhaṇo bhavo, bhāvanabhavanaraso, kusalākusalābyākatapaccupaṭṭhāno, upādānapadaṭṭhāno. Jātiādīnaṃ lakkhaṇādīni saccavibhaṅge vuttanayeneva veditabbāni. Evamettha lakkhaṇāditopi viññātabbo vinicchayo.
‘เอกวิธาทิโต’ติ เอตฺถ อวิชฺชา อญฺญาณาทสฺสนโมหาทิภาวโต เอกวิธา, อปฺปฎิปตฺติมิจฺฉาปฎิปตฺติโต ทุวิธา ตถา สงฺขาราสงฺขารโต, เวทนาตฺตยสมฺปโยคโต ติวิธา, จตุสจฺจอปฺปฎิเวธโต จตุพฺพิธา, คติปญฺจกาทีนวจฺฉาทนโต ปญฺจวิธา, ทฺวารารมฺมณโต ปน สเพฺพสุปิ อรูปธเมฺมสุ ฉพฺพิธตา เวทิตพฺพาฯ
‘Ekavidhādito’ti ettha avijjā aññāṇādassanamohādibhāvato ekavidhā, appaṭipattimicchāpaṭipattito duvidhā tathā saṅkhārāsaṅkhārato, vedanāttayasampayogato tividhā, catusaccaappaṭivedhato catubbidhā, gatipañcakādīnavacchādanato pañcavidhā, dvārārammaṇato pana sabbesupi arūpadhammesu chabbidhatā veditabbā.
สงฺขารา สาสววิปากธมฺมธมฺมาทิภาวโต เอกวิธา, กุสลากุสลโต ทุวิธา ตถา ปริตฺตมหคฺคตหีนมชฺฌิมมิจฺฉตฺตนิยตานิยตโต, ติวิธา ปุญฺญาภิสงฺขาราทิภาวโต, จตุพฺพิธา จตุโยนิสํวตฺตนโต, ปญฺจวิธา ปญฺจคติคามิโตฯ
Saṅkhārā sāsavavipākadhammadhammādibhāvato ekavidhā, kusalākusalato duvidhā tathā parittamahaggatahīnamajjhimamicchattaniyatāniyatato, tividhā puññābhisaṅkhārādibhāvato, catubbidhā catuyonisaṃvattanato, pañcavidhā pañcagatigāmito.
วิญฺญาณํ โลกิยวิปากาทิภาวโต เอกวิธํ, สเหตุกาเหตุกาทิโต ทุวิธํ, ภวตฺตยปริยาปนฺนโต เวทนาตฺตยสมฺปโยคโต อเหตุกทุเหตุกติเหตุกโต จ ติวิธํ, โยนิคติวเสน จตุพฺพิธํ ปญฺจวิธญฺจฯ
Viññāṇaṃ lokiyavipākādibhāvato ekavidhaṃ, sahetukāhetukādito duvidhaṃ, bhavattayapariyāpannato vedanāttayasampayogato ahetukaduhetukatihetukato ca tividhaṃ, yonigativasena catubbidhaṃ pañcavidhañca.
นามรูปํ วิญฺญาณสนฺนิสฺสยโต กมฺมปจฺจยโต จ เอกวิธํ, สารมฺมณานารมฺมณโต ทุวิธํ, อตีตาทิโต ติวิธํ, โยนิคติวเสน จตุพฺพิธํ ปญฺจวิธญฺจฯ
Nāmarūpaṃ viññāṇasannissayato kammapaccayato ca ekavidhaṃ, sārammaṇānārammaṇato duvidhaṃ, atītādito tividhaṃ, yonigativasena catubbidhaṃ pañcavidhañca.
สฬายตนํ สญฺชาติสโมสรณฎฺฐานโต เอกวิธํ, ภูตปฺปสาทวิญฺญาณาทิโต ทุวิธํ, สมฺปตฺตาสมฺปตฺตโนภยโคจรโต ติวิธํ, โยนิคติปริยาปนฺนโต จตุพฺพิธํ ปญฺจวิธญฺจาติ อิมินา นเยน ผสฺสาทีนมฺปิ เอกวิธาทิภาโว เวทิตโพฺพติฯ เอวเมตฺถ เอกวิธาทิโตปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Saḷāyatanaṃ sañjātisamosaraṇaṭṭhānato ekavidhaṃ, bhūtappasādaviññāṇādito duvidhaṃ, sampattāsampattanobhayagocarato tividhaṃ, yonigatipariyāpannato catubbidhaṃ pañcavidhañcāti iminā nayena phassādīnampi ekavidhādibhāvo veditabboti. Evamettha ekavidhāditopi viññātabbo vinicchayo.
‘องฺคานญฺจ ววตฺถานา’ติ โสกาทโย เจตฺถ ภวจกฺกสฺส อวิเจฺฉททสฺสนตฺถํ วุตฺตาฯ ชรามรณพฺภาหตสฺส หิ พาลสฺส เต สมฺภวนฺติฯ ยถาห – ‘‘อสฺสุตวา, ภิกฺขเว, ปุถุชฺชโน สารีริกาย ทุกฺขาย เวทนาย ผุโฎฺฐ สมาโน โสจติ กิลมติ ปริเทวติ อุรตฺตาฬิํ กนฺทติ สโมฺมหมาปชฺชตี’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๕๒)ฯ ยาว จ เตสํ ปวตฺติ ตาว อวิชฺชายาติ ปุนปิ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราติ สมฺพนฺธเมว โหติ ภวจกฺกํฯ ตสฺมา เตสมฺปิ ชรามรเณเนว เอกสเงฺขปํ กตฺวา ทฺวาทเสว ปฎิจฺจสมุปฺปาทงฺคานีติ เวทิตพฺพานิฯ เอวเมตฺถ องฺคานํ ววตฺถานโตปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ อยํ ตาเวตฺถ อุเทฺทสวารวเสน สเงฺขปกถาฯ
‘Aṅgānañcavavatthānā’ti sokādayo cettha bhavacakkassa avicchedadassanatthaṃ vuttā. Jarāmaraṇabbhāhatassa hi bālassa te sambhavanti. Yathāha – ‘‘assutavā, bhikkhave, puthujjano sārīrikāya dukkhāya vedanāya phuṭṭho samāno socati kilamati paridevati urattāḷiṃ kandati sammohamāpajjatī’’ti (saṃ. ni. 4.252). Yāva ca tesaṃ pavatti tāva avijjāyāti punapi avijjāpaccayā saṅkhārāti sambandhameva hoti bhavacakkaṃ. Tasmā tesampi jarāmaraṇeneva ekasaṅkhepaṃ katvā dvādaseva paṭiccasamuppādaṅgānīti veditabbāni. Evamettha aṅgānaṃ vavatthānatopi viññātabbo vinicchayo. Ayaṃ tāvettha uddesavāravasena saṅkhepakathā.
อุเทฺทสวารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Uddesavāravaṇṇanā niṭṭhitā.
อวิชฺชาปทนิเทฺทโส
Avijjāpadaniddeso
๒๒๖. อิทานิ นิเทฺทสวารวเสน วิตฺถารกถา โหติฯ ‘‘อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา’’ติ หิ วุตฺตํฯ ตตฺถ อวิชฺชาปจฺจเยสุ สงฺขาเรสุ ทเสฺสตเพฺพสุ ยสฺมา ปุเตฺต กเถตเพฺพ ปฐมํ ปิตา กถียติฯ เอวญฺหิ สติ ‘มิตฺตสฺส ปุโตฺต, ทตฺตสฺส ปุโตฺต’ติ ปุโตฺต สุกถิโต โหติฯ ตสฺมา เทสนากุสโล สตฺถา สงฺขารานํ ชนกเตฺถน ปิตุสทิสํ อวิชฺชํ ตาว ทเสฺสตุํ ตตฺถ กตมา อวิชฺชา? ทุเกฺข อญฺญาณนฺติอาทิมาหฯ
226. Idāni niddesavāravasena vitthārakathā hoti. ‘‘Avijjā paccayā saṅkhārā’’ti hi vuttaṃ. Tattha avijjāpaccayesu saṅkhāresu dassetabbesu yasmā putte kathetabbe paṭhamaṃ pitā kathīyati. Evañhi sati ‘mittassa putto, dattassa putto’ti putto sukathito hoti. Tasmā desanākusalo satthā saṅkhārānaṃ janakatthena pitusadisaṃ avijjaṃ tāva dassetuṃ tattha katamā avijjā? Dukkhe aññāṇantiādimāha.
ตตฺถ ยสฺมา อยํ อวิชฺชา ทุกฺขสจฺจสฺส ยาถาวสรสลกฺขณํ ชานิตุํ ปสฺสิตุํ ปฎิวิชฺฌิตุํ น เทติ, ฉาเทตฺวา ปริโยนนฺธิตฺวา คเนฺถตฺวา ติฎฺฐติ, ตสฺมา ‘‘ทุเกฺข อญฺญาณ’’นฺติ วุจฺจติฯ ตถา ยสฺมา ทุกฺขสมุทยสฺส ทุกฺขนิโรธสฺส ทุกฺขนิโรธคามินิยา ปฎิปทาย ยาถาวสรสลกฺขณํ ชานิตุํ ปสฺสิตุํ ปฎิวิชฺฌิตุํ น เทติ, ฉาเทตฺวา ปริโยนนฺธิตฺวา คเนฺถตฺวา ติฎฺฐติ, ตสฺมา ทุกฺขนิโรธคามินิยา ปฎิปทาย อญฺญาณนฺติ วุจฺจติฯ อิเมสุ จตูสุ ฐาเนสุ สุตฺตนฺติกปริยาเยน อญฺญาณํ อวิชฺชาติ กถิตํฯ
Tattha yasmā ayaṃ avijjā dukkhasaccassa yāthāvasarasalakkhaṇaṃ jānituṃ passituṃ paṭivijjhituṃ na deti, chādetvā pariyonandhitvā ganthetvā tiṭṭhati, tasmā ‘‘dukkhe aññāṇa’’nti vuccati. Tathā yasmā dukkhasamudayassa dukkhanirodhassa dukkhanirodhagāminiyā paṭipadāya yāthāvasarasalakkhaṇaṃ jānituṃ passituṃ paṭivijjhituṃ na deti, chādetvā pariyonandhitvā ganthetvā tiṭṭhati, tasmā dukkhanirodhagāminiyā paṭipadāya aññāṇanti vuccati. Imesu catūsu ṭhānesu suttantikapariyāyena aññāṇaṃ avijjāti kathitaṃ.
นิเกฺขปกเณฺฑ (ธ. ส. ๑๐๖๗) ปน อภิธมฺมปริยาเยน ‘‘ปุพฺพเนฺต อญฺญาณ’’นฺติ อปเรสุปิ จตูสุ ฐาเนสุ อญฺญาณํ คหิตํฯ ตตฺถ ปุพฺพเนฺตติ อตีโต อทฺธา, อตีตานิ ขนฺธธาตุอายตนานิฯ อปรเนฺตติ อนาคโต อทฺธา, อนาคตานิ ขนฺธธาตุอายตนานิฯ ปุพฺพนฺตาปรเนฺตติ ตทุภยํฯ อิทปฺปจฺจยตาติ สงฺขาราทีนํ การณานิ อวิชฺชาทีนิ องฺคานิฯ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนธมฺมาติ อวิชฺชาทีหิ นิพฺพตฺตา สงฺขาราทโย ธมฺมาฯ ตตฺรายํ อวิชฺชา ยสฺมา อตีตานํ ขนฺธาทีนํ ยาถาวสรสลกฺขณํ ชานิตุํ ปสฺสิตุํ ปฎิวิชฺฌิตุํ น เทติ, ฉาเทตฺวา ปริโยนนฺธิตฺวา คเนฺถตฺวา ติฎฺฐติ, ตสฺมา ‘‘ปุพฺพเนฺต อญฺญาณ’’นฺติ วุจฺจติฯ ตถา ยสฺมา อนาคตานํ ขนฺธาทีนํ, อตีตานาคตานํ ขนฺธาทีนํ อิทปฺปจฺจยตาย เจว ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนธมฺมานญฺจ ยาถาวสรสลกฺขณํ ชานิตุํ ปสฺสิตุํ ปฎิวิชฺฌิตุํ น เทติ, ฉาเทตฺวา ปริโยนนฺธิตฺวา คเนฺถตฺวา ติฎฺฐติ, ตสฺมา อิทปฺปจฺจยตาปฎิจฺจสมุปฺปเนฺนสุ ธเมฺมสุ อญฺญาณนฺติ วุจฺจติฯ อิเมสุ อฎฺฐสุ ฐาเนสุ อภิธมฺมปริยาเยน อญฺญาณํ อวิชฺชาติ กถิตํฯ
Nikkhepakaṇḍe (dha. sa. 1067) pana abhidhammapariyāyena ‘‘pubbante aññāṇa’’nti aparesupi catūsu ṭhānesu aññāṇaṃ gahitaṃ. Tattha pubbanteti atīto addhā, atītāni khandhadhātuāyatanāni. Aparanteti anāgato addhā, anāgatāni khandhadhātuāyatanāni. Pubbantāparanteti tadubhayaṃ. Idappaccayatāti saṅkhārādīnaṃ kāraṇāni avijjādīni aṅgāni. Paṭiccasamuppannadhammāti avijjādīhi nibbattā saṅkhārādayo dhammā. Tatrāyaṃ avijjā yasmā atītānaṃ khandhādīnaṃ yāthāvasarasalakkhaṇaṃ jānituṃ passituṃ paṭivijjhituṃ na deti, chādetvā pariyonandhitvā ganthetvā tiṭṭhati, tasmā ‘‘pubbante aññāṇa’’nti vuccati. Tathā yasmā anāgatānaṃ khandhādīnaṃ, atītānāgatānaṃ khandhādīnaṃ idappaccayatāya ceva paṭiccasamuppannadhammānañca yāthāvasarasalakkhaṇaṃ jānituṃ passituṃ paṭivijjhituṃ na deti, chādetvā pariyonandhitvā ganthetvā tiṭṭhati, tasmā idappaccayatāpaṭiccasamuppannesu dhammesu aññāṇanti vuccati. Imesu aṭṭhasu ṭhānesu abhidhammapariyāyena aññāṇaṃ avijjāti kathitaṃ.
เอวํ กิํ กถิตํ โหติ? กิจฺจโต เจว ชาติโต จ อวิชฺชา กถิตา นาม โหติฯ กถํ ? อยญฺหิ อวิชฺชา อิมานิ อฎฺฐ ฐานานิ ชานิตุํ ปสฺสิตุํ ปฎิวิชฺฌิตุํ น เทตีติ กิจฺจโต กถิตา; อุปฺปชฺชมานาปิ อิเมสุ อฎฺฐสุ ฐาเนสุ อุปฺปชฺชตีติ ชาติโตปิ กถิตาฯ เอวํ กเถตฺวา ปุน ‘‘ยํ เอวรูปํ อญฺญาณํ อทสฺสน’’นฺติอาทีนิ ปญฺจวีสติ ปทานิ อวิชฺชาย ลกฺขณํ ทเสฺสตุํ คหิตานิฯ
Evaṃ kiṃ kathitaṃ hoti? Kiccato ceva jātito ca avijjā kathitā nāma hoti. Kathaṃ ? Ayañhi avijjā imāni aṭṭha ṭhānāni jānituṃ passituṃ paṭivijjhituṃ na detīti kiccato kathitā; uppajjamānāpi imesu aṭṭhasu ṭhānesu uppajjatīti jātitopi kathitā. Evaṃ kathetvā puna ‘‘yaṃ evarūpaṃ aññāṇaṃ adassana’’ntiādīni pañcavīsati padāni avijjāya lakkhaṇaṃ dassetuṃ gahitāni.
ตตฺถ ยสฺมา อยํ อวิชฺชา อิเมหิ อฎฺฐหิ ปเทหิ กถิตาปิ ปุน ปญฺจวีสติยา ปเทหิ ลกฺขเณ อกถิเต สุกถิตา นาม น โหติ, ลกฺขเณ ปน กถิเตเยว สุกถิตา นาม โหติฯ ยถา ปุริโส นฎฺฐํ โคณํ ปริเยสมาโน มนุเสฺส ปุเจฺฉยฺย – ‘‘อปิ, อยฺยา, เสตํ โคณํ ปสฺสถ, รตฺตํ โคณํ ปสฺสถา’’ติ? เต เอวํ วเทยฺยุํ – ‘‘อิมสฺมิํ รเฎฺฐ เสตรตฺตานํ โคณานํ อโนฺต นตฺถิ, กิํ เต โคณสฺส ลกฺขณ’’นฺติ? อถ เตน ‘สงฺฆาฎิ’ วา ‘นงฺคลํ’ วาติ วุเตฺต โคโณ สุกถิโต นาม ภเวยฺย; เอวเมว ยสฺมา อยํ อวิชฺชา อฎฺฐหิ ปเทหิ กถิตาปิ ปุน ปญฺจวีสติยา ปเทหิ ลกฺขเณ อกถิเต สุกถิตา นาม น โหติ, ลกฺขเณ ปน กถิเตเยว สุกถิตา นาม โหติฯ ตสฺมา ยานสฺสา ลกฺขณทสฺสนตฺถํ ปญฺจวีสติ ปทานิ กถิตานิ, เตสมฺปิ วเสน เวทิตพฺพาฯ
Tattha yasmā ayaṃ avijjā imehi aṭṭhahi padehi kathitāpi puna pañcavīsatiyā padehi lakkhaṇe akathite sukathitā nāma na hoti, lakkhaṇe pana kathiteyeva sukathitā nāma hoti. Yathā puriso naṭṭhaṃ goṇaṃ pariyesamāno manusse puccheyya – ‘‘api, ayyā, setaṃ goṇaṃ passatha, rattaṃ goṇaṃ passathā’’ti? Te evaṃ vadeyyuṃ – ‘‘imasmiṃ raṭṭhe setarattānaṃ goṇānaṃ anto natthi, kiṃ te goṇassa lakkhaṇa’’nti? Atha tena ‘saṅghāṭi’ vā ‘naṅgalaṃ’ vāti vutte goṇo sukathito nāma bhaveyya; evameva yasmā ayaṃ avijjā aṭṭhahi padehi kathitāpi puna pañcavīsatiyā padehi lakkhaṇe akathite sukathitā nāma na hoti, lakkhaṇe pana kathiteyeva sukathitā nāma hoti. Tasmā yānassā lakkhaṇadassanatthaṃ pañcavīsati padāni kathitāni, tesampi vasena veditabbā.
เสยฺยถิทํ – ญาณํ นาม ปญฺญาฯ สา อตฺถตฺถํ การณการณํ จตุสจฺจธมฺมํ วิทิตํ ปากฎํ กโรติฯ อยํ ปน อวิชฺชา อุปฺปชฺชิตฺวา ตํ วิทิตํ ปากฎํ กาตุํ น เทตีติ ญาณปจฺจนีกโต อญฺญาณํฯ ทสฺสนนฺติปิ ปญฺญาฯ สาปิ ตํ อาการํ ปสฺสติฯ อวิชฺชา ปน อุปฺปชฺชิตฺวา ตํ ปสฺสิตุํ น เทตีติ อทสฺสนํฯ อภิสมโยติปิ ปญฺญาฯ สา ตํ อาการํ อภิสเมติฯ อวิชฺชา ปน อุปฺปชฺชิตฺวา ตํ อภิสเมตุํ น เทตีติ อนภิสมโยฯ อนุโพโธ สโมฺพโธ ปฎิเวโธติปิ ปญฺญาฯ สา ตํ อาการํ อนุพุชฺฌติ สมฺพุชฺฌติ ปฎิวิชฺฌติฯ อวิชฺชา ปน อุปฺปชฺชิตฺวา ตํ อนุพุชฺฌิตุํ สํพุชฺฌิตุํ ปฎิวิชฺฌิตุํ น เทตีติ อนนุโพโธ อสโมฺพโธ อปฺปฎิเวโธฯ สงฺคาหนาติปิ ปญฺญาฯ สา ตํ อาการํ คเหตฺวา ฆํสิตฺวา คณฺหาติฯ อวิชฺชา ปน อุปฺปชฺชิตฺวา ตํ คเหตฺวา ฆํสิตฺวา คณฺหิตุํ น เทตีติ อสงฺคาหนาฯ ปริโยคาหนาติปิ ปญฺญาฯ สา ตํ อาการํ โอคาหิตฺวา อนุปวิสิตฺวา คณฺหาติฯ อวิชฺชา ปน อุปฺปชฺชิตฺวา ตํ โอคาหิตฺวา อนุปวิสิตฺวา คณฺหิตุํ น เทตีติ อปริโยคาหนาฯ สมเปกฺขนาติปิ ปญฺญา ฯ สา ตํ อาการํ สมํ สมฺมา จ เปกฺขติฯ อวิชฺชา ปน อุปฺปชฺชิตฺวา ตํ สมํ สมฺมา จ เปกฺขิตุํ น เทตีติ อสมเปกฺขนาฯ ปจฺจเวกฺขณาติปิ ปญฺญาฯ สา ตํ อาการํ ปจฺจเวกฺขติฯ อวิชฺชา ปน อุปฺปชฺชิตฺวา ตํ ปจฺจเวกฺขิตุํ น เทตีติ อปจฺจเวกฺขณาฯ นาสฺสา กิญฺจิ กมฺมํ ปจฺจกฺขํ อตฺถิ, สยญฺจ อปจฺจเวกฺขิตฺวา กตํ กมฺมนฺติ อปจฺจกฺขกมฺมํฯ ทุเมฺมธภาวตาย ทุเมฺมชฺฌํฯ พาลภาวตาย พาลฺยํฯ
Seyyathidaṃ – ñāṇaṃ nāma paññā. Sā atthatthaṃ kāraṇakāraṇaṃ catusaccadhammaṃ viditaṃ pākaṭaṃ karoti. Ayaṃ pana avijjā uppajjitvā taṃ viditaṃ pākaṭaṃ kātuṃ na detīti ñāṇapaccanīkato aññāṇaṃ. Dassanantipi paññā. Sāpi taṃ ākāraṃ passati. Avijjā pana uppajjitvā taṃ passituṃ na detīti adassanaṃ. Abhisamayotipi paññā. Sā taṃ ākāraṃ abhisameti. Avijjā pana uppajjitvā taṃ abhisametuṃ na detīti anabhisamayo. Anubodho sambodho paṭivedhotipi paññā. Sā taṃ ākāraṃ anubujjhati sambujjhati paṭivijjhati. Avijjā pana uppajjitvā taṃ anubujjhituṃ saṃbujjhituṃ paṭivijjhituṃ na detīti ananubodho asambodho appaṭivedho. Saṅgāhanātipi paññā. Sā taṃ ākāraṃ gahetvā ghaṃsitvā gaṇhāti. Avijjā pana uppajjitvā taṃ gahetvā ghaṃsitvā gaṇhituṃ na detīti asaṅgāhanā. Pariyogāhanātipi paññā. Sā taṃ ākāraṃ ogāhitvā anupavisitvā gaṇhāti. Avijjā pana uppajjitvā taṃ ogāhitvā anupavisitvā gaṇhituṃ na detīti apariyogāhanā. Samapekkhanātipi paññā . Sā taṃ ākāraṃ samaṃ sammā ca pekkhati. Avijjā pana uppajjitvā taṃ samaṃ sammā ca pekkhituṃ na detīti asamapekkhanā. Paccavekkhaṇātipi paññā. Sā taṃ ākāraṃ paccavekkhati. Avijjā pana uppajjitvā taṃ paccavekkhituṃ na detīti apaccavekkhaṇā. Nāssā kiñci kammaṃ paccakkhaṃ atthi, sayañca apaccavekkhitvā kataṃ kammanti apaccakkhakammaṃ. Dummedhabhāvatāya dummejjhaṃ. Bālabhāvatāya bālyaṃ.
สมฺปชญฺญนฺติปิ ปญฺญาฯ สา อตฺถตฺถํ การณการณํ จตุสจฺจธมฺมํ สมฺมา ปชานาติฯ อวิชฺชา ปน อุปฺปชฺชิตฺวา ตํ อาการํ ปชานิตุํ น เทตีติ อสมฺปชญฺญํฯ โมหนวเสน โมโหฯ ปโมหนวเสน ปโมโหฯ สโมฺมหนวเสน สโมฺมโหฯ อวินฺทิยํ วินฺทตีติอาทิวเสน อวิชฺชาฯ วฎฺฎสฺมิํ โอหนติ โอสีทาเปตีติ อวิโชฺชโฆฯ วฎฺฎสฺมิํ โยเชตีติ อวิชฺชาโยโคฯ อปฺปหีนวเสน ปุนปฺปุนํ อุปฺปชฺชนโต จ อวิชฺชานุสโยฯ มเคฺค ปริยุฎฺฐิตโจรา อทฺธิเก วิย กุสลจิตฺตํ ปริยุฎฺฐาติ คณฺหาติ วิลุมฺปตีติ อวิชฺชาปริยุฎฺฐานํฯ ยถา นครทฺวาเร ปลิฆสงฺขาตาย ลงฺคิยา ปติตาย อโนฺตนคเร มนุสฺสานํ พหินครคมนมฺปิ พหินคเร มนุสฺสานํ อโนฺตนครปเวสนมฺปิ ปจฺฉิชฺชติ, เอวเมว ยสฺส สกฺกายนคเร อยํ ปติตา ตสฺส นิพฺพานสมฺปาปกํ ญาณคมนํ ปจฺฉิชฺชตีติ อวิชฺชาลงฺคี นาม โหติฯ อกุสลญฺจ ตํ มูลญฺจ, อกุสลานํ วา มูลนฺติ อกุสลมูลํฯ ตํ ปน น อญฺญํ, อิธาธิเปฺปโต โมโหติ โมโห อกุสลมูลํฯ อยํ วุจฺจติ อวิชฺชาติ อยํ เอวํลกฺขณา อวิชฺชา นามาติ วุจฺจติฯ เอวํ ปญฺจวีสติปทวเสน อวิชฺชาย ลกฺขณํ เวทิตพฺพํฯ
Sampajaññantipi paññā. Sā atthatthaṃ kāraṇakāraṇaṃ catusaccadhammaṃ sammā pajānāti. Avijjā pana uppajjitvā taṃ ākāraṃ pajānituṃ na detīti asampajaññaṃ. Mohanavasena moho. Pamohanavasena pamoho. Sammohanavasena sammoho. Avindiyaṃ vindatītiādivasena avijjā. Vaṭṭasmiṃ ohanati osīdāpetīti avijjogho. Vaṭṭasmiṃ yojetīti avijjāyogo. Appahīnavasena punappunaṃ uppajjanato ca avijjānusayo. Magge pariyuṭṭhitacorā addhike viya kusalacittaṃ pariyuṭṭhāti gaṇhāti vilumpatīti avijjāpariyuṭṭhānaṃ. Yathā nagaradvāre palighasaṅkhātāya laṅgiyā patitāya antonagare manussānaṃ bahinagaragamanampi bahinagare manussānaṃ antonagarapavesanampi pacchijjati, evameva yassa sakkāyanagare ayaṃ patitā tassa nibbānasampāpakaṃ ñāṇagamanaṃ pacchijjatīti avijjālaṅgī nāma hoti. Akusalañca taṃ mūlañca, akusalānaṃ vā mūlanti akusalamūlaṃ. Taṃ pana na aññaṃ, idhādhippeto mohoti moho akusalamūlaṃ. Ayaṃ vuccati avijjāti ayaṃ evaṃlakkhaṇā avijjā nāmāti vuccati. Evaṃ pañcavīsatipadavasena avijjāya lakkhaṇaṃ veditabbaṃ.
เอวํลกฺขณา ปนายํ อวิชฺชา ทุกฺขาทีสุ อญฺญาณนฺติ วุตฺตาปิ ทุกฺขสจฺจสฺส เอกเทโส โหติ, สหชาตา โหติ, ตํ อารมฺมณํ กโรติ, ฉาเทติ; สมุทยสจฺจสฺส น เอกเทโส โหติ, สหชาตา โหติ, ตํ อารมฺมณํ กโรติ, ฉาเทติ; นิโรธสจฺจสฺส เนว เอกเทโส โหติ, น สหชาตา, น ตํ อารมฺมณํ กโรติ, เกวลํ ฉาเทติ; มคฺคสจฺจสฺสาปิ น เอกเทโส, น สหชาตา, น ตํ อารมฺมณํ กโรติ, เกวลํ ฉาเทติฯ ทุกฺขารมฺมณตา อวิชฺชา อุปฺปชฺชติ, ตญฺจ ฉาเทติฯ สมุทยารมฺมณตา อวิชฺชา อุปฺปชฺชติ, ตญฺจ ฉาเทติฯ นิโรธารมฺมณตา อวิชฺชา นุปฺปชฺชติ, ตญฺจ ฉาเทติฯ มคฺคารมฺมณตา อวิชฺชา นูปฺปชฺชติ, ตญฺจ ฉาเทติฯ
Evaṃlakkhaṇā panāyaṃ avijjā dukkhādīsu aññāṇanti vuttāpi dukkhasaccassa ekadeso hoti, sahajātā hoti, taṃ ārammaṇaṃ karoti, chādeti; samudayasaccassa na ekadeso hoti, sahajātā hoti, taṃ ārammaṇaṃ karoti, chādeti; nirodhasaccassa neva ekadeso hoti, na sahajātā, na taṃ ārammaṇaṃ karoti, kevalaṃ chādeti; maggasaccassāpi na ekadeso, na sahajātā, na taṃ ārammaṇaṃ karoti, kevalaṃ chādeti. Dukkhārammaṇatā avijjā uppajjati, tañca chādeti. Samudayārammaṇatā avijjā uppajjati, tañca chādeti. Nirodhārammaṇatā avijjā nuppajjati, tañca chādeti. Maggārammaṇatā avijjā nūppajjati, tañca chādeti.
เทฺว สจฺจา ทุทฺทสตฺตา คมฺภีราฯ เทฺว สจฺจา คมฺภีรตฺตา ทุทฺทสาฯ อปิจ โข ปน ทุกฺขนิโรธํ อริยสจฺจํ คมฺภีรเญฺจว ทุทฺทสญฺจฯ ตตฺถ ทุกฺขํ นาม ปากฎํ, ลกฺขณสฺส ปน ทุทฺทสตฺตา คมฺภีรํ นาม ชาตํฯ สมุทเยปิ เอเสว นโยฯ ยถา ปน มหาสมุทฺทํ มเนฺถตฺวา โอชาย นีหรณํ นาม ภาโร, สิเนรุปาทโต วาลิกาย อุทฺธรณํ นาม ภาโร, ปพฺพตํ ปีเฬตฺวา รสสฺส นีหรณํ นาม ภาโร; เอวเมว เทฺว สจฺจานิ คมฺภีรตาย เอว ทุทฺทสานิ, นิโรธสจฺจํ ปน อติคมฺภีรญฺจ อติทุทฺทสญฺจาติฯ เอวํ ทุทฺทสตฺตา คมฺภีรานํ คมฺภีรตฺตา จ ทุทฺทสานํ จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ ปฎิจฺฉาทกํ โมหนฺธการํ อยํ วุจฺจติ อวิชฺชาติฯ
Dve saccā duddasattā gambhīrā. Dve saccā gambhīrattā duddasā. Apica kho pana dukkhanirodhaṃ ariyasaccaṃ gambhīrañceva duddasañca. Tattha dukkhaṃ nāma pākaṭaṃ, lakkhaṇassa pana duddasattā gambhīraṃ nāma jātaṃ. Samudayepi eseva nayo. Yathā pana mahāsamuddaṃ manthetvā ojāya nīharaṇaṃ nāma bhāro, sinerupādato vālikāya uddharaṇaṃ nāma bhāro, pabbataṃ pīḷetvā rasassa nīharaṇaṃ nāma bhāro; evameva dve saccāni gambhīratāya eva duddasāni, nirodhasaccaṃ pana atigambhīrañca atiduddasañcāti. Evaṃ duddasattā gambhīrānaṃ gambhīrattā ca duddasānaṃ catunnaṃ ariyasaccānaṃ paṭicchādakaṃ mohandhakāraṃ ayaṃ vuccati avijjāti.
อวิชฺชาปทนิเทฺทโสฯ
Avijjāpadaniddeso.
สงฺขารปทนิเทฺทโส
Saṅkhārapadaniddeso
สงฺขารปเท เหฎฺฐา วุตฺตสงฺขาเรสุ สงฺขารสเทฺทน อาคตสงฺขาเร อนามสิตฺวา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาเรเยว ทเสฺสโนฺต ตตฺถ กตเม อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา? ปุญฺญาภิสงฺขาโรติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปุนาติ อตฺตโน การกํ, ปูเรติ จสฺส อชฺฌาสยํ, ปุชฺชญฺจ ภวํ นิพฺพเตฺตตีติ ปุโญฺญฯ อภิสงฺขโรติ วิปากํ กฎตฺตารูปญฺจาติ อภิสงฺขาโรฯ ปุโญฺญว อภิสงฺขาโร ปุญฺญาภิสงฺขาโรฯ ปุญฺญปฎิปกฺขโต อปุโญฺญฯ อปุโญฺญว อภิสงฺขาโร อปุญฺญาภิสงฺขาโรฯ น อิญฺชตีติ อาเนญฺชํฯ อาเนญฺชเมว อภิสงฺขาโร, อาเนญฺชญฺจ ภวํ อภิสงฺขโรตีติ อาเนญฺชาภิสงฺขาโรฯ กาเยน ปวตฺติโต, กายโต วา ปวโตฺต, กายสฺส วา สงฺขาโรติ กายสงฺขาโรฯ วจีสงฺขารจิตฺตสงฺขาเรสุปิ เอเสว นโยฯ
Saṅkhārapade heṭṭhā vuttasaṅkhāresu saṅkhārasaddena āgatasaṅkhāre anāmasitvā avijjāpaccayā saṅkhāreyeva dassento tattha katame avijjāpaccayā saṅkhārā? Puññābhisaṅkhārotiādimāha. Tattha punāti attano kārakaṃ, pūreti cassa ajjhāsayaṃ, pujjañca bhavaṃ nibbattetīti puñño. Abhisaṅkharoti vipākaṃ kaṭattārūpañcāti abhisaṅkhāro. Puññova abhisaṅkhāro puññābhisaṅkhāro. Puññapaṭipakkhato apuñño. Apuññova abhisaṅkhāro apuññābhisaṅkhāro. Na iñjatīti āneñjaṃ. Āneñjameva abhisaṅkhāro, āneñjañca bhavaṃ abhisaṅkharotīti āneñjābhisaṅkhāro. Kāyena pavattito, kāyato vā pavatto, kāyassa vā saṅkhāroti kāyasaṅkhāro. Vacīsaṅkhāracittasaṅkhāresupi eseva nayo.
ตตฺถ ปฐมตฺติโก ปริวีมํสนสุตฺตวเสน คหิโตฯ ตตฺถ หิ ‘‘ปุญฺญเญฺจ สงฺขารํ อภิสงฺขโรติ, ปุญฺญูปคํ โหติ วิญฺญาณํฯ อปุญฺญเญฺจ สงฺขารํ อภิสงฺขโรติ, อปุญฺญุปคํ โหติ วิญฺญาณํฯ อาเนญฺชเญฺจ สงฺขารํ อภิสงฺขโรติ, อาเนญฺชุปคํ โหติ วิญฺญาณ’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๕๑) วุตฺตํฯ ทุติยตฺติโก ตทนนฺตรสฺส วิภงฺคสุตฺตสฺส วเสน คหิโต, สมฺมาทิฎฺฐิสุตฺตปริยาเยน (ม. นิ. ๑.๑๐๒) คหิโตติปิ วตฺตุํ วฎฺฎติเยวฯ ตตฺถ หิ ‘‘ตโยเม, ภิกฺขเว, สงฺขาราฯ กตเม ตโย? กายสงฺขาโร, วจีสงฺขาโร, จิตฺตสงฺขาโร’’ติ (สํ. นิ. ๒.๒) วุตฺตํฯ กสฺมา ปเนเตสํ สุตฺตานํ วเสน เต คหิตาติ? อยํ อภิธโมฺม นาม น อธุนากโต, นาปิ พาหิรกอิสีหิ วา สาวเกหิ วา เทวตาหิ วา ภาสิโตฯ สพฺพญฺญุชินภาสิโต ปน อยํฯ อภิธเมฺมปิ หิ สุเตฺตปิ เอกสทิสาว ตนฺติ นิทฺทิฎฺฐาติ อิมสฺสตฺถสฺส ทีปนตฺถํฯ
Tattha paṭhamattiko parivīmaṃsanasuttavasena gahito. Tattha hi ‘‘puññañce saṅkhāraṃ abhisaṅkharoti, puññūpagaṃ hoti viññāṇaṃ. Apuññañce saṅkhāraṃ abhisaṅkharoti, apuññupagaṃ hoti viññāṇaṃ. Āneñjañce saṅkhāraṃ abhisaṅkharoti, āneñjupagaṃ hoti viññāṇa’’nti (saṃ. ni. 2.51) vuttaṃ. Dutiyattiko tadanantarassa vibhaṅgasuttassa vasena gahito, sammādiṭṭhisuttapariyāyena (ma. ni. 1.102) gahitotipi vattuṃ vaṭṭatiyeva. Tattha hi ‘‘tayome, bhikkhave, saṅkhārā. Katame tayo? Kāyasaṅkhāro, vacīsaṅkhāro, cittasaṅkhāro’’ti (saṃ. ni. 2.2) vuttaṃ. Kasmā panetesaṃ suttānaṃ vasena te gahitāti? Ayaṃ abhidhammo nāma na adhunākato, nāpi bāhirakaisīhi vā sāvakehi vā devatāhi vā bhāsito. Sabbaññujinabhāsito pana ayaṃ. Abhidhammepi hi suttepi ekasadisāva tanti niddiṭṭhāti imassatthassa dīpanatthaṃ.
อิทานิ เต สงฺขาเร ปเภทโต ทเสฺสตุํ ตตฺถ กตโม ปุญฺญาภิสงฺขาโรติอาทิมาหฯ ตตฺถ กุสลา เจตนาติ อนิยมโต จตุภูมิกเจตนาปิ วุตฺตาฯ กามาวจรา รูปาวจราติ นิยมิตตฺตา ปน อฎฺฐ กามาวจรกุสลเจตนา, ปญฺจ รูปาวจรกุสลเจตนาติ เตรส เจตนา ปุญฺญาภิสงฺขาโร นามฯ ทานมยาติอาทีหิ ตาสํเยว เจตนานํ ปุญฺญกิริยวตฺถุวเสน ปวตฺติ ทสฺสิตาฯ ตตฺถ อฎฺฐ กามาวจราว ทานสีลมยา โหนฺติฯ ภาวนามยา ปน เตรสปิฯ ยถา หิ ปคุณํ ธมฺมํ สชฺฌายมาโน เอกํ เทฺว อนุสนฺธิคเตปิ น ชานาติ, ปจฺฉา อาวชฺชโนฺต ชานาติ; เอวเมว กสิณปริกมฺมํ กโรนฺตสฺส ปคุณชฺฌานํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส ปคุณกมฺมฎฺฐานญฺจ มนสิกโรนฺตสฺส ญาณวิปฺปยุตฺตาปิ ภาวนา โหติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ภาวนามยา ปน เตรสปี’’ติฯ
Idāni te saṅkhāre pabhedato dassetuṃ tattha katamo puññābhisaṅkhārotiādimāha. Tattha kusalā cetanāti aniyamato catubhūmikacetanāpi vuttā. Kāmāvacarā rūpāvacarāti niyamitattā pana aṭṭha kāmāvacarakusalacetanā, pañca rūpāvacarakusalacetanāti terasa cetanā puññābhisaṅkhāro nāma. Dānamayātiādīhi tāsaṃyeva cetanānaṃ puññakiriyavatthuvasena pavatti dassitā. Tattha aṭṭha kāmāvacarāva dānasīlamayā honti. Bhāvanāmayā pana terasapi. Yathā hi paguṇaṃ dhammaṃ sajjhāyamāno ekaṃ dve anusandhigatepi na jānāti, pacchā āvajjanto jānāti; evameva kasiṇaparikammaṃ karontassa paguṇajjhānaṃ paccavekkhantassa paguṇakammaṭṭhānañca manasikarontassa ñāṇavippayuttāpi bhāvanā hoti. Tena vuttaṃ ‘‘bhāvanāmayā pana terasapī’’ti.
ตตฺถ ทานมยาทีสุ ‘‘ทานํ อารพฺภ ทานมธิกิจฺจ ยา อุปฺปชฺชติ เจตนา สเญฺจตนา เจตยิตตฺตํ – อยํ วุจฺจติ ทานมโย ปุญฺญาภิสงฺขาโรติฯ สีลํ อารพฺภ…เป.… ภาวนํ อารพฺภ ภาวนมธิกิจฺจ ยา อุปฺปชฺชติ เจตนา สเญฺจตนา เจตยิตตฺตํ – อยํ วุจฺจติ ภาวนามโย ปุญฺญาภิสงฺขาโร’’ติ (วิภ. ๗๖๙) อยํ สเงฺขปเทสนาฯ
Tattha dānamayādīsu ‘‘dānaṃ ārabbha dānamadhikicca yā uppajjati cetanā sañcetanā cetayitattaṃ – ayaṃ vuccati dānamayo puññābhisaṅkhāroti. Sīlaṃ ārabbha…pe… bhāvanaṃ ārabbha bhāvanamadhikicca yā uppajjati cetanā sañcetanā cetayitattaṃ – ayaṃ vuccati bhāvanāmayo puññābhisaṅkhāro’’ti (vibha. 769) ayaṃ saṅkhepadesanā.
จีวราทีสุ ปน จตูสุ ปจฺจเยสุ รูปาทีสุ วา ฉสุ อารมฺมเณสุ อนฺนาทีสุ วา ทสสุ ทานวตฺถูสุ ตํ ตํ เทนฺตสฺส เตสํ อุปฺปาทนโต ปฎฺฐาย ปุพฺพภาเค ปริจฺจาคกาเล ปจฺฉา โสมนสฺสจิเตฺตน อนุสฺสรเณ จาติ ตีสุ กาเลสุ ปวตฺตา เจตนา ทานมยา นามฯ สีลํ ปริปูรณตฺถาย ปน ‘ปพฺพชิสฺสามี’ติ วิหารํ คจฺฉนฺตสฺส ปพฺพชนฺตสฺส มโนรถํ มตฺถกํ ปาเปตฺวา ‘ปพฺพชิโต วตมฺหิ, สาธุ สุฎฺฐู’ติ อาวชฺชนฺตสฺส ปาติโมกฺขํ สํวรนฺตสฺส จีวราทโย ปจฺจเย ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส อาปาถคเตสุ รูปาทีสุ จกฺขุทฺวาราทีนิ สํวรนฺตสฺส อาชีวํ โสเธนฺตสฺส จ ปวตฺตา เจตนา สีลมยา นามฯ ปฎิสมฺภิทายํ วุเตฺตน วิปสฺสนามเคฺคน จกฺขุํ อนิจฺจโต ทุกฺขโต อนตฺตโต ภาเวนฺตสฺส รูเป…เป.… ธเมฺม, จกฺขุวิญฺญาณํ…เป.… มโนวิญฺญาณํ, จกฺขุสมฺผสฺสํ…เป.… มโนสมฺผสฺสํ, จกฺขุสมฺผสฺสชํ เวทนํ…เป.… มโนสมฺผสฺสชํ เวทนํ, รูปสญฺญํ …เป.… ธมฺมสญฺญํ ชรามรณํ อนิจฺจโต ทุกฺขโต อนตฺตโต ภาเวนฺตสฺส ปวตฺตา เจตนา ภาวนามยา นามาติ อยํ วิตฺถารกถาฯ
Cīvarādīsu pana catūsu paccayesu rūpādīsu vā chasu ārammaṇesu annādīsu vā dasasu dānavatthūsu taṃ taṃ dentassa tesaṃ uppādanato paṭṭhāya pubbabhāge pariccāgakāle pacchā somanassacittena anussaraṇe cāti tīsu kālesu pavattā cetanā dānamayā nāma. Sīlaṃ paripūraṇatthāya pana ‘pabbajissāmī’ti vihāraṃ gacchantassa pabbajantassa manorathaṃ matthakaṃ pāpetvā ‘pabbajito vatamhi, sādhu suṭṭhū’ti āvajjantassa pātimokkhaṃ saṃvarantassa cīvarādayo paccaye paccavekkhantassa āpāthagatesu rūpādīsu cakkhudvārādīni saṃvarantassa ājīvaṃ sodhentassa ca pavattā cetanā sīlamayā nāma. Paṭisambhidāyaṃ vuttena vipassanāmaggena cakkhuṃ aniccato dukkhato anattato bhāventassa rūpe…pe… dhamme, cakkhuviññāṇaṃ…pe… manoviññāṇaṃ, cakkhusamphassaṃ…pe… manosamphassaṃ, cakkhusamphassajaṃ vedanaṃ…pe… manosamphassajaṃ vedanaṃ, rūpasaññaṃ …pe… dhammasaññaṃ jarāmaraṇaṃ aniccato dukkhato anattato bhāventassa pavattā cetanā bhāvanāmayā nāmāti ayaṃ vitthārakathā.
อปุญฺญาภิสงฺขารนิเทฺทเส อกุสลา เจตนาติ ทฺวาทสอกุสลจิตฺตสมฺปยุตฺตา เจตนาฯ กามาวจราติ กิญฺจาปิ ตตฺถ ฐเปตฺวา เทฺว โทมนสฺสสหคตเจตนา เสสา รูปารูปภเวปิ อุปฺปชฺชนฺติ, ตตฺถ ปน ปฎิสนฺธิํ น อากฑฺฒนฺติ, กามาวจเรเยว ปฎิสนฺธิวเสน วิปากํ อวจาเรนฺตีติ กามาวจราเตฺวว วุตฺตาฯ
Apuññābhisaṅkhāraniddese akusalā cetanāti dvādasaakusalacittasampayuttā cetanā. Kāmāvacarāti kiñcāpi tattha ṭhapetvā dve domanassasahagatacetanā sesā rūpārūpabhavepi uppajjanti, tattha pana paṭisandhiṃ na ākaḍḍhanti, kāmāvacareyeva paṭisandhivasena vipākaṃ avacārentīti kāmāvacarātveva vuttā.
อาเนญฺชาภิสงฺขารนิเทฺทเส กุสลา เจตนา อรูปาวจราติ จตโสฺส อรูปาวจรกุสลเจตนาฯ เอตา หิ จตโสฺส อนิญฺชนเฎฺฐน อนิญฺชนสฺส จ อภิสงฺขรณเฎฺฐน อาเนญฺชาภิสงฺขาโรติ วุจฺจนฺติฯ รูปาวจรจตุตฺถชฺฌานโต หิ ติโสฺส กุสลวิปากกิริยาเจตนา ทฺวาทส อรูปาวจรเจตนาติ ปญฺจทส ธมฺมา อนิจฺจลเฎฺฐน อผนฺทนเฎฺฐน อาเนญฺชา นามฯ ตตฺถ รูปาวจรา กุสลา เจตนา อนิญฺชา สมานาปิ อตฺตนา สริกฺขกมฺปิ อสริกฺขกมฺปิ สอิญฺชนมฺปิ อนิญฺชนมฺปิ รูปารูปํ ชเนตีติ อาเนญฺชาภิสงฺขาโร นาม น โหติฯ วิปากกิริยเจตนา ปน อวิปากตฺตา วิปากํ น อภิสงฺขโรนฺติ, ตถา อรูปาวจรา วิปากกิริยเจตนาปีติ เอกาทสาปิ เอตา เจตนา อาเนญฺชาว น อภิสงฺขาราฯ จตุพฺพิธา ปน อรูปาวจรกุสลเจตนา ยถา หตฺถิอสฺสาทีนํ สทิสาว ฉายา โหนฺติ, เอวํ อตฺตนา สทิสํ นิจฺจลํ อรูปเมว ชเนตีติ อาเนญฺชาภิสงฺขาโรติ วุจฺจตีติฯ
Āneñjābhisaṅkhāraniddese kusalā cetanā arūpāvacarāti catasso arūpāvacarakusalacetanā. Etā hi catasso aniñjanaṭṭhena aniñjanassa ca abhisaṅkharaṇaṭṭhena āneñjābhisaṅkhāroti vuccanti. Rūpāvacaracatutthajjhānato hi tisso kusalavipākakiriyācetanā dvādasa arūpāvacaracetanāti pañcadasa dhammā aniccalaṭṭhena aphandanaṭṭhena āneñjā nāma. Tattha rūpāvacarā kusalā cetanā aniñjā samānāpi attanā sarikkhakampi asarikkhakampi saiñjanampi aniñjanampi rūpārūpaṃ janetīti āneñjābhisaṅkhāro nāma na hoti. Vipākakiriyacetanā pana avipākattā vipākaṃ na abhisaṅkharonti, tathā arūpāvacarā vipākakiriyacetanāpīti ekādasāpi etā cetanā āneñjāva na abhisaṅkhārā. Catubbidhā pana arūpāvacarakusalacetanā yathā hatthiassādīnaṃ sadisāva chāyā honti, evaṃ attanā sadisaṃ niccalaṃ arūpameva janetīti āneñjābhisaṅkhāroti vuccatīti.
เอวํ ปุญฺชาภิสงฺขารวเสน เตรส, อปุญฺญาภิสงฺขารวเสน ทฺวาทส, อาเนญฺชาภิสงฺขารวเสน จตโสฺสติ สพฺพาเปตา ปริปิณฺฑิตา เอกูนติํส เจตนา โหนฺติฯ อิติ ภควา อปริมาเณสุ จกฺกวาเฬสุ อปริมาณานํ สตฺตานํ อุปฺปชฺชนกกุสลากุสลเจตนา มหาตุลาย ธารยมาโน วิย, นาฬิยํ ปกฺขิปิตฺวา มินมาโน วิย จ สพฺพญฺญุตญาเณน ปริจฺฉินฺทิตฺวา เอกูนติํสเมว ทเสฺสสิฯ
Evaṃ puñjābhisaṅkhāravasena terasa, apuññābhisaṅkhāravasena dvādasa, āneñjābhisaṅkhāravasena catassoti sabbāpetā paripiṇḍitā ekūnatiṃsa cetanā honti. Iti bhagavā aparimāṇesu cakkavāḷesu aparimāṇānaṃ sattānaṃ uppajjanakakusalākusalacetanā mahātulāya dhārayamāno viya, nāḷiyaṃ pakkhipitvā minamāno viya ca sabbaññutañāṇena paricchinditvā ekūnatiṃsameva dassesi.
อิทานิ อปริมาเณสุ จกฺกวาเฬสุ อปริมาณา สตฺตา กุสลากุสลกมฺมํ อายูหมานา เยหิ ทฺวาเรหิ อายูหนฺติ, ตานิ ตีณิ กมฺมทฺวารานิ ทเสฺสโนฺต ตตฺถ กตโม กายสงฺขาโร? กายสเญฺจตนาติอาทิมาหฯ ตตฺถ กายสเญฺจตนาติ กายวิญฺญตฺติํ สมุฎฺฐาเปตฺวา กายทฺวารโต ปวตฺตา อฎฺฐ กามาวจรกุสลเจตนา ทฺวาทส อกุสลเจตนาติ สมวีสติ เจตนา; กายทฺวาเร อาทานคฺคหณโจปนํ ปาปยมานา อุปฺปนฺนา วีสติ กุสลากุสลเจตนาติปิ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ
Idāni aparimāṇesu cakkavāḷesu aparimāṇā sattā kusalākusalakammaṃ āyūhamānā yehi dvārehi āyūhanti, tāni tīṇi kammadvārāni dassento tattha katamo kāyasaṅkhāro? Kāyasañcetanātiādimāha. Tattha kāyasañcetanāti kāyaviññattiṃ samuṭṭhāpetvā kāyadvārato pavattā aṭṭha kāmāvacarakusalacetanā dvādasa akusalacetanāti samavīsati cetanā; kāyadvāre ādānaggahaṇacopanaṃ pāpayamānā uppannā vīsati kusalākusalacetanātipi vattuṃ vaṭṭati.
วจีสเญฺจตนาติ วจีวิญฺญตฺติํ สมุฎฺฐาเปตฺวา วจีทฺวารโต ปวตฺตา ตาเยว วีสติ เจตนา; วจีทฺวาเร หนุสโญฺจปนํ วากฺยเภทํ ปาปยมานา อุปฺปนฺนา วีสติ เจตนาติปิ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ อภิญฺญาเจตนา ปเนตฺถ ปรโต วิญฺญาณสฺส ปจฺจโย น โหตีติ น คหิตาฯ ยถา จ อภิญฺญาเจตนา, เอวํ อุทฺธจฺจเจตนาปิ น โหติฯ ตสฺมา สาปิ วิญฺญาณสฺส ปจฺจยภาเว อปเนตพฺพาฯ อวิชฺชาปจฺจยา ปน สพฺพาเปตา โหนฺติฯ
Vacīsañcetanāti vacīviññattiṃ samuṭṭhāpetvā vacīdvārato pavattā tāyeva vīsati cetanā; vacīdvāre hanusañcopanaṃ vākyabhedaṃ pāpayamānā uppannā vīsati cetanātipi vattuṃ vaṭṭati. Abhiññācetanā panettha parato viññāṇassa paccayo na hotīti na gahitā. Yathā ca abhiññācetanā, evaṃ uddhaccacetanāpi na hoti. Tasmā sāpi viññāṇassa paccayabhāve apanetabbā. Avijjāpaccayā pana sabbāpetā honti.
มโนสเญฺจตนาติ อุโภปิ วิญฺญตฺติโย อสมุฎฺฐาเปตฺวา มโนทฺวาเร อุปฺปนฺนา สพฺพาปิ เอกูนติํส เจตนาฯ อิติ ภควา อปริมาเณสุ จกฺกวาเฬสุ อปริมาณา สตฺตา กุสลากุสลกมฺมํ อายูหมานา อิเมหิ ตีหิ ทฺวาเรหิ อายูหนฺตีติ อายูหนกมฺมทฺวารํ ทเสฺสสิฯ
Manosañcetanāti ubhopi viññattiyo asamuṭṭhāpetvā manodvāre uppannā sabbāpi ekūnatiṃsa cetanā. Iti bhagavā aparimāṇesu cakkavāḷesu aparimāṇā sattā kusalākusalakammaṃ āyūhamānā imehi tīhi dvārehi āyūhantīti āyūhanakammadvāraṃ dassesi.
อิเมสํ ปน ทฺวินฺนมฺปิ ติกานํ อญฺญมญฺญํ สมฺปโยโค เวทิตโพฺพฯ กถํ? ปุญฺญาภิสงฺขาโร หิ กายทุจฺจริตา วิรมนฺตสฺส สิยา กายสงฺขาโร, วจีทุจฺจริตา วิรมนฺตสฺส สิยา วจีสงฺขาโรฯ เอวํ อฎฺฐ กุสลเจตนา กามาวจรา ปุญฺญาภิสงฺขาโร จ โหติ กายสงฺขาโร จ วจีสงฺขาโร จฯ มโนทฺวาเร อุปฺปนฺนา ปน เตรส เจตนา ปุญฺญาภิสงฺขาโร จ โหติ จิตฺตสงฺขาโร จฯ อปุญฺญาภิสงฺขาโรปิ กายทุจฺจริตวเสน ปวตฺติยํ สิยา กายสงฺขาโร, วจีทุจฺจริตวเสน ปวตฺติยํ สิยา วจีสงฺขาโร, เทฺว ทฺวารานิ มุญฺจิตฺวา มโนทฺวาเร ปวตฺติยํ สิยา จิตฺตสงฺขาโรติฯ เอวํ อปุญฺญาภิสงฺขาโร กายสงฺขาโรปิ โหติ วจีสงฺขาโรปิ จิตฺตสงฺขาโรปิฯ
Imesaṃ pana dvinnampi tikānaṃ aññamaññaṃ sampayogo veditabbo. Kathaṃ? Puññābhisaṅkhāro hi kāyaduccaritā viramantassa siyā kāyasaṅkhāro, vacīduccaritā viramantassa siyā vacīsaṅkhāro. Evaṃ aṭṭha kusalacetanā kāmāvacarā puññābhisaṅkhāro ca hoti kāyasaṅkhāro ca vacīsaṅkhāro ca. Manodvāre uppannā pana terasa cetanā puññābhisaṅkhāro ca hoti cittasaṅkhāro ca. Apuññābhisaṅkhāropi kāyaduccaritavasena pavattiyaṃ siyā kāyasaṅkhāro, vacīduccaritavasena pavattiyaṃ siyā vacīsaṅkhāro, dve dvārāni muñcitvā manodvāre pavattiyaṃ siyā cittasaṅkhāroti. Evaṃ apuññābhisaṅkhāro kāyasaṅkhāropi hoti vacīsaṅkhāropi cittasaṅkhāropi.
กายสงฺขาโร ปน สิยา ปุญฺญาภิสงฺขาโร, สิยา อปุญฺญาภิสงฺขาโร, น อาเนญฺชาภิสงฺขาโรฯ ตถา วจีสงฺขาโรฯ จิตฺตสงฺขาโร ปน สิยา ปุญฺญาภิสงฺขาโร , สิยา อปุญฺญาภิสงฺขาโร, สิยา อาเนญฺชาภิสงฺขาโรติฯ อิเม อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นามฯ
Kāyasaṅkhāro pana siyā puññābhisaṅkhāro, siyā apuññābhisaṅkhāro, na āneñjābhisaṅkhāro. Tathā vacīsaṅkhāro. Cittasaṅkhāro pana siyā puññābhisaṅkhāro , siyā apuññābhisaṅkhāro, siyā āneñjābhisaṅkhāroti. Ime avijjāpaccayā saṅkhārā nāma.
กถํ ปเนตํ ชานิตพฺพํ – อิเม สงฺขารา อวิชฺชาปจฺจยา โหนฺตีติ? อวิชฺชาภาเว ภาวโตฯ ยสฺส หิ ทุกฺขาทีสุ อวิชฺชาสงฺขาตํ อญฺญาณํ อปฺปหีนํ โหติ, โส ทุเกฺข ตาว ปุพฺพนฺตาทีสุ จ อญฺญาเณน สํสารทุกฺขํ สุขสญฺญาย คเหตฺวา ตสฺส เหตุภูเต ติวิเธปิ สงฺขาเร อารภติ , สมุทเย อญฺญาเณน ทุกฺขเหตุภูเตปิ ตณฺหาปริกฺขาเร สงฺขาเร สุขเหตุโต มญฺญมาโน อารภติ, นิโรเธ ปน มเคฺค จ อญฺญาเณน ทุกฺขสฺส อนิโรธภูเตปิ คติวิเสเส ทุกฺขนิโรธสญฺญี หุตฺวา นิโรธสฺส จ อมคฺคภูเตสุปิ ยญฺญามรตปาทีสุ นิโรธมคฺคสญฺญี หุตฺวา ทุกฺขนิโรธํ ปตฺถยมาโน ยญฺญามรตปาทิมุเขน ติวิเธปิ สงฺขาเร อารภติฯ
Kathaṃ panetaṃ jānitabbaṃ – ime saṅkhārā avijjāpaccayā hontīti? Avijjābhāve bhāvato. Yassa hi dukkhādīsu avijjāsaṅkhātaṃ aññāṇaṃ appahīnaṃ hoti, so dukkhe tāva pubbantādīsu ca aññāṇena saṃsāradukkhaṃ sukhasaññāya gahetvā tassa hetubhūte tividhepi saṅkhāre ārabhati , samudaye aññāṇena dukkhahetubhūtepi taṇhāparikkhāre saṅkhāre sukhahetuto maññamāno ārabhati, nirodhe pana magge ca aññāṇena dukkhassa anirodhabhūtepi gativisese dukkhanirodhasaññī hutvā nirodhassa ca amaggabhūtesupi yaññāmaratapādīsu nirodhamaggasaññī hutvā dukkhanirodhaṃ patthayamāno yaññāmaratapādimukhena tividhepi saṅkhāre ārabhati.
อปิจ โส ตาย จตูสุ สเจฺจสุ อปฺปหีนาวิชฺชตาย วิเสสโต ชาติชราโรคมรณาทิอเนกาทีนวโวกิณฺณํ ปุญฺญผลสงฺขาตํ ทุกฺขํ ทุกฺขโต อชานโนฺต ตสฺส อธิคมาย กายวจีจิตฺตสงฺขารเภทํ ปุญฺญาภิสงฺขารํ อารภติ เทวจฺฉรกามโก วิย มรุปปาตํ; สุขสมฺมตสฺสาปิ จ ตสฺส ปุญฺญผลสฺส อเนฺต มหาปริฬาหชนกํ วิปริณามทุกฺขตํ อปฺปสฺสาทตญฺจ อปสฺสโนฺตปิ ตปฺปจฺจยํ วุตฺตปฺปการเมว ปุญฺญาภิสงฺขารํ อารภติ สลโภ วิย ทีปสิขาภินิปาตํ, มธุพินฺทุคิโทฺธ วิย จ มธุลิตฺตสตฺถธาราเลหนํฯ
Apica so tāya catūsu saccesu appahīnāvijjatāya visesato jātijarārogamaraṇādianekādīnavavokiṇṇaṃ puññaphalasaṅkhātaṃ dukkhaṃ dukkhato ajānanto tassa adhigamāya kāyavacīcittasaṅkhārabhedaṃ puññābhisaṅkhāraṃ ārabhati devaccharakāmako viya marupapātaṃ; sukhasammatassāpi ca tassa puññaphalassa ante mahāpariḷāhajanakaṃ vipariṇāmadukkhataṃ appassādatañca apassantopi tappaccayaṃ vuttappakārameva puññābhisaṅkhāraṃ ārabhati salabho viya dīpasikhābhinipātaṃ, madhubindugiddho viya ca madhulittasatthadhārālehanaṃ.
กามูปเสวนาทีสุ จ สวิปาเกสุ อาทีนวํ อปสฺสโนฺต สุขสญฺญาย เจว กิเลสาภิภูตตาย จ ทฺวารตฺตยปฺปวตฺตมฺปิ อปุญฺญาภิสงฺขารํ อารภติ พาโล วิย คูถกีฬนํ, มริตุกาโม วิย จ วิสขาทนํฯ อารุปฺปวิปาเกสุ จาปิ สงฺขารวิปริณามทุกฺขตํ อนวพุชฺฌมาโน สสฺสตาทิวิปลฺลาเสน จิตฺตสงฺขารภูตํ อาเนญฺชาภิสงฺขารํ อารภติ ทิสามูโฬฺห วิย ปิสาจนคราภิมุขมคฺคคมนํฯ
Kāmūpasevanādīsu ca savipākesu ādīnavaṃ apassanto sukhasaññāya ceva kilesābhibhūtatāya ca dvārattayappavattampi apuññābhisaṅkhāraṃ ārabhati bālo viya gūthakīḷanaṃ, maritukāmo viya ca visakhādanaṃ. Āruppavipākesu cāpi saṅkhāravipariṇāmadukkhataṃ anavabujjhamāno sassatādivipallāsena cittasaṅkhārabhūtaṃ āneñjābhisaṅkhāraṃ ārabhati disāmūḷho viya pisācanagarābhimukhamaggagamanaṃ.
เอวํ ยสฺมา อวิชฺชาภาวโตว สงฺขารภาโว, น อภาวโต; ตสฺมา ชานิตพฺพเมตํ – อิเม สงฺขารา อวิชฺชาปจฺจยา โหนฺตีติฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘อวิทฺวา, ภิกฺขเว, อวิชฺชาคโต ปุญฺญาภิสงฺขารมฺปิ อภิสงฺขโรติ, อปุญฺญาภิสงฺขารมฺปิ อภิสงฺขโรติ, อาเนญฺชาภิสงฺขารมฺปิ อภิสงฺขโรติฯ ยโต โข, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน อวิชฺชา ปหีนา, วิชฺชา อุปฺปนฺนา, โส อวิชฺชาวิราคา วิชฺชุปฺปาทา เนว ปุญฺญาภิสงฺขารํ อภิสงฺขโรตี’’ติฯ
Evaṃ yasmā avijjābhāvatova saṅkhārabhāvo, na abhāvato; tasmā jānitabbametaṃ – ime saṅkhārā avijjāpaccayā hontīti. Vuttampi cetaṃ – ‘‘avidvā, bhikkhave, avijjāgato puññābhisaṅkhārampi abhisaṅkharoti, apuññābhisaṅkhārampi abhisaṅkharoti, āneñjābhisaṅkhārampi abhisaṅkharoti. Yato kho, bhikkhave, bhikkhuno avijjā pahīnā, vijjā uppannā, so avijjāvirāgā vijjuppādā neva puññābhisaṅkhāraṃ abhisaṅkharotī’’ti.
เอตฺถาห – คณฺหาม ตาว เอตํ ‘อวิชฺชา สงฺขารานํ ปจฺจโย’ติฯ อิทํ ปน วตฺตพฺพํ – ‘กตเมสํ สงฺขารานํ กถํ ปจฺจโย โหตี’ติ? ตตฺริทํ วุจฺจติ –
Etthāha – gaṇhāma tāva etaṃ ‘avijjā saṅkhārānaṃ paccayo’ti. Idaṃ pana vattabbaṃ – ‘katamesaṃ saṅkhārānaṃ kathaṃ paccayo hotī’ti? Tatridaṃ vuccati –
ปจฺจโย โหติ ปุญฺญานํ, ทุวิธาเนกธา ปน;
Paccayo hoti puññānaṃ, duvidhānekadhā pana;
ปเรสํ ปจฺฉิมานํ สา, เอกธา ปจฺจโย มตาฯ
Paresaṃ pacchimānaṃ sā, ekadhā paccayo matā.
ตตฺถ ‘ปุญฺญานํ ทุวิธา’ติ อารมฺมณปจฺจเยน จ อุปนิสฺสยปจฺจเยน จาติ เทฺวธา ปจฺจโย โหติฯ สา หิ อวิชฺชํ ขยโต วยโต สมฺมสนกาเล กามาวจรานํ ปุญฺญาภิสงฺขารานํ อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย โหติ, อภิญฺญาจิเตฺตน สโมหจิตฺตชานนกาเล รูปาวจรานํ, อวิชฺชาสมติกฺกมนตฺถาย ปน ทานาทีนิ เจว กามาวจรปุญฺญกิริยวตฺถูนิ ปูเรนฺตสฺส รูปาวจรชฺฌานานิ จ อุปฺปาเทนฺตสฺส ทฺวินฺนมฺปิ เตสํ อุปนิสฺสยปจฺจเยน ปจฺจโย โหติ; ตถา อวิชฺชาสมฺมูฬฺหตฺตา กามภวรูปภวสมฺปตฺติโย ปเตฺถตฺวา ตาเนว ปุญฺญานิ กโรนฺตสฺสฯ
Tattha ‘puññānaṃ duvidhā’ti ārammaṇapaccayena ca upanissayapaccayena cāti dvedhā paccayo hoti. Sā hi avijjaṃ khayato vayato sammasanakāle kāmāvacarānaṃ puññābhisaṅkhārānaṃ ārammaṇapaccayena paccayo hoti, abhiññācittena samohacittajānanakāle rūpāvacarānaṃ, avijjāsamatikkamanatthāya pana dānādīni ceva kāmāvacarapuññakiriyavatthūni pūrentassa rūpāvacarajjhānāni ca uppādentassa dvinnampi tesaṃ upanissayapaccayena paccayo hoti; tathā avijjāsammūḷhattā kāmabhavarūpabhavasampattiyo patthetvā tāneva puññāni karontassa.
‘อเนกธา ปน ปเรส’นฺติ อปุญฺญาภิสงฺขารานํ อเนกธา ปจฺจโย โหติฯ กถํ? เอสา หิ อวิชฺชํ อารพฺภ ราคาทีนํ อุปฺปชฺชนกาเล อารมฺมณปจฺจเยน, ครุํ กตฺวา อสฺสาทนกาเล อารมฺมณาธิปติอารมฺมณูปนิสฺสเยหิ, อวิชฺชาสมฺมูฬฺหสฺส อนาทีนวทสฺสาวิโน ปาณาติปาตาทีนิ กโรนฺตสฺส อุปนิสฺสยปจฺจเยน, ทุติยชวนาทีนํ อนนฺตรสมนนฺตรานนฺตรูปนิสฺสยาเสวนนตฺถิวิคตปจฺจเยหิ, ยํ กิญฺจิ อกุสลํ กโรนฺตสฺส เหตุสหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยสมฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตปจฺจเยหีติ อเนกธา ปจฺจโย โหติฯ
‘Anekadhā pana paresa’nti apuññābhisaṅkhārānaṃ anekadhā paccayo hoti. Kathaṃ? Esā hi avijjaṃ ārabbha rāgādīnaṃ uppajjanakāle ārammaṇapaccayena, garuṃ katvā assādanakāle ārammaṇādhipatiārammaṇūpanissayehi, avijjāsammūḷhassa anādīnavadassāvino pāṇātipātādīni karontassa upanissayapaccayena, dutiyajavanādīnaṃ anantarasamanantarānantarūpanissayāsevananatthivigatapaccayehi, yaṃ kiñci akusalaṃ karontassa hetusahajātaaññamaññanissayasampayuttaatthiavigatapaccayehīti anekadhā paccayo hoti.
‘ปจฺฉิมานํ สา เอกธา ปจฺจโย มตา’ติ อาเนญฺชาภิสงฺขารานํ อุปนิสฺสยปจฺจเยเนว เอกธา ปจฺจโย มตาฯ โส ปนสฺสา อุปนิสฺสยภาโว ปุญฺญาภิสงฺขาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพติฯ
‘Pacchimānaṃ sā ekadhā paccayo matā’ti āneñjābhisaṅkhārānaṃ upanissayapaccayeneva ekadhā paccayo matā. So panassā upanissayabhāvo puññābhisaṅkhāre vuttanayeneva veditabboti.
เอตฺถาห – ‘กิํ ปนายเมกาว อวิชฺชา สงฺขารานํ ปจฺจโย อุทาหุ อเญฺญปิ ปจฺจยา โหนฺตี’ติ? กิเญฺจตฺถ ยทิ ตาว เอกาว เอกการณวาโท อาปชฺชติฯ อถ ‘อเญฺญปิ สนฺติ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’ติ เอกการณนิเทฺทโส นุปปชฺชตีติ? น นุปปชฺชติฯ กสฺมา? ยสฺมา –
Etthāha – ‘kiṃ panāyamekāva avijjā saṅkhārānaṃ paccayo udāhu aññepi paccayā hontī’ti? Kiñcettha yadi tāva ekāva ekakāraṇavādo āpajjati. Atha ‘aññepi santi avijjāpaccayā saṅkhārā’ti ekakāraṇaniddeso nupapajjatīti? Na nupapajjati. Kasmā? Yasmā –
เอกํ น เอกโต อิธ, นาเนกมเนกโตปิ โน เอกํ;
Ekaṃ na ekato idha, nānekamanekatopi no ekaṃ;
ผลมตฺถิ อตฺถิ ปน เอก-เหตุผลทีปเน อโตฺถฯ
Phalamatthi atthi pana eka-hetuphaladīpane attho.
เอกโต หิ การณโต น อิธ กิญฺจิ เอกํ ผลมตฺถิ, น อเนกํฯ นาปิ อเนเกหิ การเณหิ เอกํฯ อเนเกหิ ปน การเณหิ อเนกเมว โหติฯ ตถา หิ อเนเกหิ อุตุปถวีพีชสลิลสงฺขาเตหิ การเณหิ อเนกเมว รูปคนฺธรสาทิองฺกุรสงฺขาตํ ผลมุปฺปชฺชมานํ ทิสฺสติฯ ยํ ปเนตํ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา, สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณ’’นฺติ เอเกกเหตุผลทีปนํ กตํ, ตตฺถ อโตฺถ อตฺถิ, ปโยชนํ วิชฺชติฯ
Ekato hi kāraṇato na idha kiñci ekaṃ phalamatthi, na anekaṃ. Nāpi anekehi kāraṇehi ekaṃ. Anekehi pana kāraṇehi anekameva hoti. Tathā hi anekehi utupathavībījasalilasaṅkhātehi kāraṇehi anekameva rūpagandharasādiaṅkurasaṅkhātaṃ phalamuppajjamānaṃ dissati. Yaṃ panetaṃ ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā, saṅkhārapaccayā viññāṇa’’nti ekekahetuphaladīpanaṃ kataṃ, tattha attho atthi, payojanaṃ vijjati.
ภควา หิ กตฺถจิ ปธานตฺตา, กตฺถจิ ปากฎตฺตา, กตฺถจิ อสาธารณตฺตา, เทสนาวิลาสสฺส จ เวเนยฺยานญฺจ อนุรูปโต เอกเมวเหตุํ วา ผลํ วา ทีเปติ; ‘‘ผสฺสปจฺจยา เวทนา’’ติ (ที. นิ. ๒.๙๗) หิ เอกเมว เหตุํ ผลญฺจาหฯ ผโสฺส หิ เวทนาย ปธานเหตุ ยถาผสฺสํ เวทนาววตฺถานโตฯ เวทนา จ ผสฺสสฺส ปธานผลํ ยถาเวทนํ ผสฺสววตฺถานโตฯ
Bhagavā hi katthaci padhānattā, katthaci pākaṭattā, katthaci asādhāraṇattā, desanāvilāsassa ca veneyyānañca anurūpato ekamevahetuṃ vā phalaṃ vā dīpeti; ‘‘phassapaccayā vedanā’’ti (dī. ni. 2.97) hi ekameva hetuṃ phalañcāha. Phasso hi vedanāya padhānahetu yathāphassaṃ vedanāvavatthānato. Vedanā ca phassassa padhānaphalaṃ yathāvedanaṃ phassavavatthānato.
‘‘เสมฺหสมุฎฺฐานา อาพาธา’’ติ (มหานิ. ๕) ปากฎตฺตา เอกํ เหตุมาหฯ ปากโฎ เหตฺถ เสโมฺห, น กมฺมาทโยฯ ‘‘เย เกจิ, ภิกฺขเว, อกุสลา ธมฺมา, สเพฺพเต อโยนิโสมนสิการมูลกา’’ติ อสาธารณตฺตา เอกํ เหตุมาห; อสาธารโณ หิ อโยนิโสมนสิกาโร อกุสลานํ, สาธารณานิ วตฺถารมฺมณาทีนีติฯ
‘‘Semhasamuṭṭhānā ābādhā’’ti (mahāni. 5) pākaṭattā ekaṃ hetumāha. Pākaṭo hettha semho, na kammādayo. ‘‘Ye keci, bhikkhave, akusalā dhammā, sabbete ayonisomanasikāramūlakā’’ti asādhāraṇattā ekaṃ hetumāha; asādhāraṇo hi ayonisomanasikāro akusalānaṃ, sādhāraṇāni vatthārammaṇādīnīti.
ตสฺมา อยมิธ อวิชฺชา วิชฺชมาเนสุปิ อเญฺญสุ วตฺถารมฺมณสหชาตธมฺมาทีสุ สงฺขารการเณสุ ‘‘อสฺสาทานุปสฺสิโน ตณฺหา ปวฑฺฒตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๕๒) จ ‘‘อวิชฺชาสมุทยา อาสวสมุทโย’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๐๔) จ วจนโต อเญฺญสมฺปิ ตณฺหาทีนํ สงฺขารเหตูนํ เหตูติ ปธานตฺตา, ‘‘อวิทฺวา, ภิกฺขเว, อวิชฺชาคโต ปุญฺญาภิสงฺขารมฺปิ อภิสงฺขโรตี’’ติ ปากฎตฺตา อสาธารณตฺตา จ สงฺขารานํ เหตุภาเวน ทีปิตาติ เวทิตพฺพาฯ เอเตเนว จ เอเกกเหตุผลทีปนปริหารวจเนน สพฺพตฺถ เอเกกเหตุผลทีปเน ปโยชนํ เวทิตพฺพนฺติฯ
Tasmā ayamidha avijjā vijjamānesupi aññesu vatthārammaṇasahajātadhammādīsu saṅkhārakāraṇesu ‘‘assādānupassino taṇhā pavaḍḍhatī’’ti (saṃ. ni. 2.52) ca ‘‘avijjāsamudayā āsavasamudayo’’ti (ma. ni. 1.104) ca vacanato aññesampi taṇhādīnaṃ saṅkhārahetūnaṃ hetūti padhānattā, ‘‘avidvā, bhikkhave, avijjāgato puññābhisaṅkhārampi abhisaṅkharotī’’ti pākaṭattā asādhāraṇattā ca saṅkhārānaṃ hetubhāvena dīpitāti veditabbā. Eteneva ca ekekahetuphaladīpanaparihāravacanena sabbattha ekekahetuphaladīpane payojanaṃ veditabbanti.
เอตฺถาห – เอวํ สเนฺตปิ เอกนฺตานิฎฺฐผลาย สาวชฺชาย อวิชฺชาย กถํ ปุญฺญาเนญฺชาภิสงฺขารปจฺจยตฺตํ ยุชฺชติ? น หิ นิมฺพพีชโต อุจฺฉุ อุปฺปชฺชตีติฯ กถํ น ยุชฺชิสฺสติ? โลกสฺมิญฺหิ –
Etthāha – evaṃ santepi ekantāniṭṭhaphalāya sāvajjāya avijjāya kathaṃ puññāneñjābhisaṅkhārapaccayattaṃ yujjati? Na hi nimbabījato ucchu uppajjatīti. Kathaṃ na yujjissati? Lokasmiñhi –
วิรุโทฺธ จาวิรุโทฺธ จ, สทิสาสทิโส ตถา;
Viruddho cāviruddho ca, sadisāsadiso tathā;
ธมฺมานํ ปจฺจโย สิโทฺธ, วิปากา เอว เต จ นฯ
Dhammānaṃ paccayo siddho, vipākā eva te ca na.
ธมฺมานญฺหิ ฐานสภาวกิจฺจาทิวิรุโทฺธ จ อวิรุโทฺธ จ ปจฺจโย โลเก สิโทฺธฯ ปุริมจิตฺตญฺหิ อปรจิตฺตสฺส ฐานวิรุโทฺธ ปจฺจโย, ปุริมสิปฺปาทิสิกฺขา จ ปจฺฉาปวตฺตมานานํ สิปฺปาทิกิริยานํฯ กมฺมํ รูปสฺส สภาววิรุโทฺธ ปจฺจโย, ขีราทีนิ จ ทธิอาทีนํฯ อาโลโก จกฺขุวิญฺญาณสฺส กิจฺจวิรุโทฺธ, คุฬาทโย จ อาสวาทีนํฯ จกฺขุรูปาทโย ปน จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ ฐานาวิรุทฺธา ปจฺจยา ฯ ปุริมชวนาทโย ปจฺฉิมชวนาทีนํ สภาวาวิรุทฺธา กิจฺจาวิรุทฺธา จฯ
Dhammānañhi ṭhānasabhāvakiccādiviruddho ca aviruddho ca paccayo loke siddho. Purimacittañhi aparacittassa ṭhānaviruddho paccayo, purimasippādisikkhā ca pacchāpavattamānānaṃ sippādikiriyānaṃ. Kammaṃ rūpassa sabhāvaviruddho paccayo, khīrādīni ca dadhiādīnaṃ. Āloko cakkhuviññāṇassa kiccaviruddho, guḷādayo ca āsavādīnaṃ. Cakkhurūpādayo pana cakkhuviññāṇādīnaṃ ṭhānāviruddhā paccayā . Purimajavanādayo pacchimajavanādīnaṃ sabhāvāviruddhā kiccāviruddhā ca.
ยถา จ วิรุทฺธาวิรุทฺธา ปจฺจยา สิทฺธา, เอวํ สทิสาสทิสาปิฯ สทิสเมว หิ อุตุอาหารสงฺขาตํ รูปํ รูปสฺส ปจฺจโย โหติ, สาลิพีชาทีนิ จ สาลิผลาทีนํฯ อสทิสมฺปิ รูปํ อรูปสฺส, อรูปญฺจ รูปสฺส ปจฺจโย โหติ; โคโลมาวิโลมวิสาณทธิติลปิฎฺฐาทีนิ จ ทพฺพภูติณกาทีนํฯ เยสญฺจ ธมฺมานํ เย วิรุทฺธาวิรุทฺธา สทิสาสทิสา ปจฺจยา, น เต ธมฺมา เตสํ ธมฺมานํ วิปากาเยวฯ อิติ อยํ อวิชฺชา วิปากวเสน เอกนฺตานิฎฺฐผลสภาววเสน จ สาวชฺชาปิ สมานา สเพฺพสมฺปิ เอเตสํ ปุญฺญาภิสงฺขาราทีนํ ยถานุรูปํ ฐานกิจฺจสภาววิรุทฺธาวิรุทฺธปจฺจยวเสน สทิสาสทิสปจฺจยวเสน จ ปจฺจโย โหตีติ เวทิตพฺพาฯ
Yathā ca viruddhāviruddhā paccayā siddhā, evaṃ sadisāsadisāpi. Sadisameva hi utuāhārasaṅkhātaṃ rūpaṃ rūpassa paccayo hoti, sālibījādīni ca sāliphalādīnaṃ. Asadisampi rūpaṃ arūpassa, arūpañca rūpassa paccayo hoti; golomāvilomavisāṇadadhitilapiṭṭhādīni ca dabbabhūtiṇakādīnaṃ. Yesañca dhammānaṃ ye viruddhāviruddhā sadisāsadisā paccayā, na te dhammā tesaṃ dhammānaṃ vipākāyeva. Iti ayaṃ avijjā vipākavasena ekantāniṭṭhaphalasabhāvavasena ca sāvajjāpi samānā sabbesampi etesaṃ puññābhisaṅkhārādīnaṃ yathānurūpaṃ ṭhānakiccasabhāvaviruddhāviruddhapaccayavasena sadisāsadisapaccayavasena ca paccayo hotīti veditabbā.
โส จสฺสา ปจฺจยภาโว ‘‘ยสฺส หิ ทุกฺขาทีสุ อวิชฺชาสงฺขาตํ อญฺญาณํ อปฺปหีนํ โหติ, โส ทุเกฺข ตาว ปุพฺพนฺตาทีสุ จ อญฺญาเณน สํสารทุกฺขํ สุขสญฺญาย คเหตฺวา ตสฺส เหตุภูเต ติวิเธปิ สงฺขาเร อารภตี’’ติอาทินา นเยน วุโตฺต เอวฯ
So cassā paccayabhāvo ‘‘yassa hi dukkhādīsu avijjāsaṅkhātaṃ aññāṇaṃ appahīnaṃ hoti, so dukkhe tāva pubbantādīsu ca aññāṇena saṃsāradukkhaṃ sukhasaññāya gahetvā tassa hetubhūte tividhepi saṅkhāre ārabhatī’’tiādinā nayena vutto eva.
อปิจ อยํ อโญฺญปิ ปริยาโย –
Apica ayaṃ aññopi pariyāyo –
จุตูปปาเต สํสาเร, สงฺขารานญฺจ ลกฺขเณ;
Cutūpapāte saṃsāre, saṅkhārānañca lakkhaṇe;
โย ปฎิจฺจสมุปฺปนฺน-ธเมฺมสุ จ วิมุยฺหติฯ
Yo paṭiccasamuppanna-dhammesu ca vimuyhati.
อภิสงฺขโรติ โส เอเต, สงฺขาเร ติวิเธ ยโต;
Abhisaṅkharoti so ete, saṅkhāre tividhe yato;
อวิชฺชา ปจฺจโย เตสํ, ติวิธานมฺปิ ยํ ตโตติฯ
Avijjā paccayo tesaṃ, tividhānampi yaṃ tatoti.
กถํ ปน โย เอเตสุ วิมุยฺหติ, โส ติวิเธเปเต สงฺขาเร กโรตีติ เจ? จุติยา ตาว วิมูโฬฺห สพฺพตฺถ ‘‘ขนฺธานํ เภโท มรณ’’นฺติ จุติํ อคณฺหโนฺต ‘สโตฺต มรติ, สตฺตสฺส เทสนฺตรสงฺกมน’นฺติอาทีนิ วิกเปฺปติฯ อุปปาเต วิมูโฬฺห สพฺพตฺถ ‘‘ขนฺธานํ ปาตุภาโว ชาตี’’ติ อุปปาตํ อคณฺหโนฺต ‘สโตฺต อุปปชฺชติ, สตฺตสฺส นวสรีรปาตุภาโว’ติอาทีนิ วิกเปฺปติฯ สํสาเร วิมูโฬฺห โย เอส –
Kathaṃ pana yo etesu vimuyhati, so tividhepete saṅkhāre karotīti ce? Cutiyā tāva vimūḷho sabbattha ‘‘khandhānaṃ bhedo maraṇa’’nti cutiṃ agaṇhanto ‘satto marati, sattassa desantarasaṅkamana’ntiādīni vikappeti. Upapāte vimūḷho sabbattha ‘‘khandhānaṃ pātubhāvo jātī’’ti upapātaṃ agaṇhanto ‘satto upapajjati, sattassa navasarīrapātubhāvo’tiādīni vikappeti. Saṃsāre vimūḷho yo esa –
‘‘ขนฺธานญฺจ ปฎิปาฎิ, ธาตุอายตนาน จ;
‘‘Khandhānañca paṭipāṭi, dhātuāyatanāna ca;
อโพฺพจฺฉินฺนํ วตฺตมานา, สํสาโรติ ปวุจฺจตี’’ติฯ
Abbocchinnaṃ vattamānā, saṃsāroti pavuccatī’’ti.
เอวํ วณฺณิโต สํสาโรฯ ตํ เอวํ อคณฺหโนฺต ‘อยํ สโตฺต อสฺมา โลกา ปรํ โลกํ คจฺฉติ, ปรสฺมา โลกา อิมํ โลกํ อาคจฺฉตี’ติอาทีนิ วิกเปฺปติฯ สงฺขารานํ ลกฺขเณ วิมูโฬฺห สงฺขารานํ สภาวลกฺขณํ สามญฺญลกฺขณญฺจ อคณฺหโนฺต สงฺขาเร อตฺตโต อตฺตนิยโต ธุวโต สุภโต สุขโต จ วิกเปฺปติฯ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนธเมฺมสุ วิมูโฬฺห อวิชฺชาทีหิ สงฺขาราทีนํ ปวตฺติํ อคณฺหโนฺต ‘‘อตฺตา ชานาติ วา น ชานาติ วา, โส เอว กโรติ จ กาเรติ จ โส ปฎิสนฺธิยํ อุปปชฺชติ, ตสฺส อณุอิสฺสราทโย กลลาทิภาเวน สรีรํ สณฺฐเปตฺวา อินฺทฺริยานิ สมฺปาเทนฺติ, โส อินฺทฺริยสมฺปโนฺน ผุสติ เวทิยติ ตณฺหิยติ อุปาทิยติ ฆฎิยติ, โส ปุน ภวนฺตเร ภวตี’’ติ วา ‘‘สเพฺพ สตฺตา นิยติสงฺคติภาวปริณตา’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๖๘) วา วิกเปฺปติฯ โส เอวํ อวิชฺชาย อนฺธีกโต เอวํ วิกเปฺปโนฺต ยถา นาม อโนฺธ ปถวิยํ วิจรโนฺต มคฺคมฺปิ อมคฺคมฺปิ ถลมฺปิ นินฺนมฺปิ สมมฺปิ วิสมมฺปิ ปฎิปชฺชติ, เอวํ ปุญฺญมฺปิ อปุญฺญมฺปิ อาเนญฺชมฺปิ สงฺขารํ อภิสงฺขโรตีติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
Evaṃ vaṇṇito saṃsāro. Taṃ evaṃ agaṇhanto ‘ayaṃ satto asmā lokā paraṃ lokaṃ gacchati, parasmā lokā imaṃ lokaṃ āgacchatī’tiādīni vikappeti. Saṅkhārānaṃ lakkhaṇe vimūḷho saṅkhārānaṃ sabhāvalakkhaṇaṃ sāmaññalakkhaṇañca agaṇhanto saṅkhāre attato attaniyato dhuvato subhato sukhato ca vikappeti. Paṭiccasamuppannadhammesu vimūḷho avijjādīhi saṅkhārādīnaṃ pavattiṃ agaṇhanto ‘‘attā jānāti vā na jānāti vā, so eva karoti ca kāreti ca so paṭisandhiyaṃ upapajjati, tassa aṇuissarādayo kalalādibhāvena sarīraṃ saṇṭhapetvā indriyāni sampādenti, so indriyasampanno phusati vediyati taṇhiyati upādiyati ghaṭiyati, so puna bhavantare bhavatī’’ti vā ‘‘sabbe sattā niyatisaṅgatibhāvapariṇatā’’ti (dī. ni. 1.168) vā vikappeti. So evaṃ avijjāya andhīkato evaṃ vikappento yathā nāma andho pathaviyaṃ vicaranto maggampi amaggampi thalampi ninnampi samampi visamampi paṭipajjati, evaṃ puññampi apuññampi āneñjampi saṅkhāraṃ abhisaṅkharotīti. Tenetaṃ vuccati –
ยถาปิ นาม ชจฺจโนฺธ, นโร อปรินายโก;
Yathāpi nāma jaccandho, naro aparināyako;
เอกทา ยาติ มเคฺคน, กุมฺมเคฺคนาปิ เอกทาฯ
Ekadā yāti maggena, kummaggenāpi ekadā.
สํสาเร สํสรํ พาโล, ตถา อปรินายโก;
Saṃsāre saṃsaraṃ bālo, tathā aparināyako;
กโรติ เอกทา ปุญฺญํ, อปุญฺญมปิ เอกทาฯ
Karoti ekadā puññaṃ, apuññamapi ekadā.
ยทา ญตฺวา จ โส ธมฺมํ, สจฺจานิ อภิสเมสฺสติ;
Yadā ñatvā ca so dhammaṃ, saccāni abhisamessati;
ตทา อวิชฺชูปสมา, อุปสโนฺต จริสฺสตีติฯ
Tadā avijjūpasamā, upasanto carissatīti.
อยํ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราติ ปทสฺมิํ วิตฺถารกถาฯ
Ayaṃ avijjāpaccayā saṅkhārāti padasmiṃ vitthārakathā.
อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารปทนิเทฺทโสฯ
Avijjāpaccayā saṅkhārapadaniddeso.
วิญฺญาณปทนิเทฺทโส
Viññāṇapadaniddeso
๒๒๗. สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณปทนิเทฺทเส จกฺขุวิญฺญาณนฺติอาทีสุ จกฺขุวิญฺญาณํ กุสลวิปากํ อกุสลวิปากนฺติ ทุวิธํ โหติฯ ตถา โสตฆานชิวฺหากายวิญฺญาณานิฯ มโนวิญฺญาณํ ปน กุสลากุสลวิปากา เทฺว มโนธาตุโย, ติโสฺส อเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุโย, อฎฺฐ สเหตุกานิ กามาวจรวิปากจิตฺตานิ, ปญฺจ รูปาวจรานิ, จตฺตาริ อรูปาวจรานีติ พาวีสติวิธํ โหติฯ อิติ อิเมหิ ฉหิ วิญฺญาเณหิ สพฺพานิปิ พาตฺติํส โลกิยวิปากวิญฺญาณานิ สงฺคหิตานิ โหนฺติฯ โลกุตฺตรานิ ปน วฎฺฎกถายํ น ยุชฺชนฺตีติ น คหิตานิฯ
227. Saṅkhārapaccayā viññāṇapadaniddese cakkhuviññāṇantiādīsu cakkhuviññāṇaṃ kusalavipākaṃ akusalavipākanti duvidhaṃ hoti. Tathā sotaghānajivhākāyaviññāṇāni. Manoviññāṇaṃ pana kusalākusalavipākā dve manodhātuyo, tisso ahetukamanoviññāṇadhātuyo, aṭṭha sahetukāni kāmāvacaravipākacittāni, pañca rūpāvacarāni, cattāri arūpāvacarānīti bāvīsatividhaṃ hoti. Iti imehi chahi viññāṇehi sabbānipi bāttiṃsa lokiyavipākaviññāṇāni saṅgahitāni honti. Lokuttarāni pana vaṭṭakathāyaṃ na yujjantīti na gahitāni.
ตตฺถ สิยา – กถํ ปเนตํ ชานิตพฺพํ ‘อิทํ วุตฺตปฺปการํ วิญฺญาณํ สงฺขารปจฺจยา โหตี’ติ? อุปจิตกมฺมาภาเว วิปากาภาวโตฯ วิปากเญฺหตํ, วิปากญฺจ น อุปจิตกมฺมาภาเว อุปฺปชฺชติฯ ยทิ อุปฺปเชฺชยฺย, สเพฺพสํ สพฺพวิปากานิ อุปฺปเชฺชยฺยุํ; น จ อุปฺปชฺชนฺตีติ ชานิตพฺพเมตํ – ‘สงฺขารปจฺจยา อิทํ วิญฺญาณํ โหตี’ติฯ
Tattha siyā – kathaṃ panetaṃ jānitabbaṃ ‘idaṃ vuttappakāraṃ viññāṇaṃ saṅkhārapaccayā hotī’ti? Upacitakammābhāve vipākābhāvato. Vipākañhetaṃ, vipākañca na upacitakammābhāve uppajjati. Yadi uppajjeyya, sabbesaṃ sabbavipākāni uppajjeyyuṃ; na ca uppajjantīti jānitabbametaṃ – ‘saṅkhārapaccayā idaṃ viññāṇaṃ hotī’ti.
กตรสงฺขารปจฺจยา กตรวิญฺญาณนฺติ เจ? กามาวจรปุญฺญาภิสงฺขารปจฺจยา ตาว กุสลวิปากานิ ปญฺจ จกฺขุวิญฺญาณาทีนิ, มโนวิญฺญาเณ เอกา มโนธาตุ, เทฺว มโนวิญฺญาณธาตุโย, อฎฺฐ กามาวจรมหาวิปากานีติ โสฬสฯ ยถาห –
Katarasaṅkhārapaccayā kataraviññāṇanti ce? Kāmāvacarapuññābhisaṅkhārapaccayā tāva kusalavipākāni pañca cakkhuviññāṇādīni, manoviññāṇe ekā manodhātu, dve manoviññāṇadhātuyo, aṭṭha kāmāvacaramahāvipākānīti soḷasa. Yathāha –
‘‘กามาวจรสฺส กุสลสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา อุปจิตตฺตา วิปากํ จกฺขุวิญฺญาณํ อุปฺปนฺนํ โหติฯ ตถา โสตฆานชิวฺหากายวิญฺญาณํ อุปฺปนฺนํ โหติ, วิปากา มโนธาตุ อุปฺปนฺนา โหติ, มโนวิญฺญาณธาตุ อุปฺปนฺนา โหติ โสมนสฺสสหคตา, มโนวิญฺญาณธาตุ อุปฺปนฺนา โหติ อุเปกฺขาสหคตา, มโนวิญฺญาณธาตุ อุปฺปนฺนา โหติ โสมนสฺสสหคตา ญาณสมฺปยุตฺตา, โสมนสฺสสหคตา ญาณสมฺปยุตฺตา สสงฺขาเรน, โสมนสฺสสหคตา ญาณวิปฺปยุตฺตา, โสมนสฺสสหคตา ญาณวิปฺปยุตฺตา สสงฺขาเรน, อุเปกฺขาสหคตา ญาณสมฺปยุตฺตา, อุเปกฺขาสหคตา ญาณสมฺปยุตฺตา สสงฺขาเรน, อุเปกฺขาสหคตา ญาณวิปฺปยุตฺตา, อุเปกฺขาสหคตา ญาณวิปฺปยุตฺตา สสงฺขาเรนา’’ติ (ธ. ส. ๔๓๑, ๔๙๘)ฯ
‘‘Kāmāvacarassa kusalassa kammassa katattā upacitattā vipākaṃ cakkhuviññāṇaṃ uppannaṃ hoti. Tathā sotaghānajivhākāyaviññāṇaṃ uppannaṃ hoti, vipākā manodhātu uppannā hoti, manoviññāṇadhātu uppannā hoti somanassasahagatā, manoviññāṇadhātu uppannā hoti upekkhāsahagatā, manoviññāṇadhātu uppannā hoti somanassasahagatā ñāṇasampayuttā, somanassasahagatā ñāṇasampayuttā sasaṅkhārena, somanassasahagatā ñāṇavippayuttā, somanassasahagatā ñāṇavippayuttā sasaṅkhārena, upekkhāsahagatā ñāṇasampayuttā, upekkhāsahagatā ñāṇasampayuttā sasaṅkhārena, upekkhāsahagatā ñāṇavippayuttā, upekkhāsahagatā ñāṇavippayuttā sasaṅkhārenā’’ti (dha. sa. 431, 498).
รูปาวจรปุญฺญาภิสงฺขารปจฺจยา ปน ปญฺจ รูปาวจรวิปากานิฯ ยถาห –
Rūpāvacarapuññābhisaṅkhārapaccayā pana pañca rūpāvacaravipākāni. Yathāha –
‘‘ตเสฺสว รูปาวจรสฺส กุสลสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา อุปจิตตฺตา วิปากํ วิวิเจฺจว กาเมหิ…เป.… ปฐมํ ฌานํ…เป.… ปญฺจมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรตี’’ติ (ธ. ส. ๔๙๙)ฯ
‘‘Tasseva rūpāvacarassa kusalassa kammassa katattā upacitattā vipākaṃ vivicceva kāmehi…pe… paṭhamaṃ jhānaṃ…pe… pañcamaṃ jhānaṃ upasampajja viharatī’’ti (dha. sa. 499).
เอวํ ปุญฺญาภิสงฺขารปจฺจยา เอกวีสติวิธํ วิญฺญาณํ โหติฯ
Evaṃ puññābhisaṅkhārapaccayā ekavīsatividhaṃ viññāṇaṃ hoti.
อปุญฺญาภิสงฺขารปจฺจยา ปน อกุสลวิปากานิ ปญฺจ จกฺขุวิญฺญาณาทีนิ, เอกา มโนธาตุ, เอกา มโนวิญฺญาณธาตูติ เอวํ สตฺตวิธํ วิญฺญาณํ โหติฯ ยถาห –
Apuññābhisaṅkhārapaccayā pana akusalavipākāni pañca cakkhuviññāṇādīni, ekā manodhātu, ekā manoviññāṇadhātūti evaṃ sattavidhaṃ viññāṇaṃ hoti. Yathāha –
‘‘อกุสลสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา อุปจิตตฺตา วิปากํ จกฺขุวิญฺญาณํ อุปฺปนฺนํ โหติฯ ตถา โสตฆานชิวฺหากายวิญฺญาณํ , วิปากา มโนธาตุ, วิปากา มโนวิญฺญาณธาตุ อุปฺปนฺนา โหตี’’ติ (ธ. ส. ๕๕๖)ฯ
‘‘Akusalassa kammassa katattā upacitattā vipākaṃ cakkhuviññāṇaṃ uppannaṃ hoti. Tathā sotaghānajivhākāyaviññāṇaṃ , vipākā manodhātu, vipākā manoviññāṇadhātu uppannā hotī’’ti (dha. sa. 556).
อาเนญฺชาภิสงฺขารปจฺจยา ปน จตฺตาริ อรูปวิปากานีติ เอวํ จตุพฺพิธํ วิญฺญาณํ โหตีติฯ ยถาห –
Āneñjābhisaṅkhārapaccayā pana cattāri arūpavipākānīti evaṃ catubbidhaṃ viññāṇaṃ hotīti. Yathāha –
‘‘ตเสฺสว อรูปาวจรสฺส กุสลสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา อุปจิตตฺตา วิปากํ สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา อากาสานญฺจายตนสญฺญาสหคตํ…เป.… วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญาสหคตํ…เป.… อากิญฺจญฺญายตนสญฺญาสหคตํ…เป.… เนวสญฺญานาสญฺญายตนสญฺญาสหคตํ สุขสฺส จ ปหานา…เป.… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรตี’’ติ (ธ. ส. ๕๐๑)ฯ
‘‘Tasseva arūpāvacarassa kusalassa kammassa katattā upacitattā vipākaṃ sabbaso rūpasaññānaṃ samatikkamā ākāsānañcāyatanasaññāsahagataṃ…pe… viññāṇañcāyatanasaññāsahagataṃ…pe… ākiñcaññāyatanasaññāsahagataṃ…pe… nevasaññānāsaññāyatanasaññāsahagataṃ sukhassa ca pahānā…pe… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharatī’’ti (dha. sa. 501).
เอวํ ยํ สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ โหติ, ตํ ญตฺวา อิทานิสฺส เอวํ ปวตฺติ เวทิตพฺพา – สพฺพเมว หิ อิทํ ปวตฺติปฎิสนฺธิวเสน ทฺวิธา ปวตฺตติฯ ตตฺถ เทฺว ปญฺจวิญฺญาณานิ, เทฺว มโนธาตุโย, โสมนสฺสสหคตาเหตุกมโนวิญฺญาณธาตูติ อิมานิ เตรส ปญฺจโวการภเว ปวตฺติยํเยว ปวตฺตนฺติฯ เสสานิ เอกูนวีสติ ตีสุ ภเวสุ ยถานุรูปํ ปวตฺติยมฺปิ ปฎิสนฺธิยมฺปิ ปวตฺตนฺติฯ
Evaṃ yaṃ saṅkhārapaccayā viññāṇaṃ hoti, taṃ ñatvā idānissa evaṃ pavatti veditabbā – sabbameva hi idaṃ pavattipaṭisandhivasena dvidhā pavattati. Tattha dve pañcaviññāṇāni, dve manodhātuyo, somanassasahagatāhetukamanoviññāṇadhātūti imāni terasa pañcavokārabhave pavattiyaṃyeva pavattanti. Sesāni ekūnavīsati tīsu bhavesu yathānurūpaṃ pavattiyampi paṭisandhiyampi pavattanti.
กถํ? กุสลวิปากานิ ตาว จกฺขุวิญฺญาณาทีนิ ปญฺจ กุสลวิปาเกน วา อกุสลวิปาเกน วา นิพฺพตฺตสฺส ยถากฺกมํ ปริปากมุปคตินฺทฺริยสฺส จกฺขาทีนํ อาปาถคตํ อิฎฺฐํ วา อิฎฺฐมชฺฌตฺตํ วา รูปาทิอารมฺมณํ อารพฺภ จกฺขาทิปสาทํ นิสฺสาย ทสฺสนสวนฆายนสายนผุสนกิจฺจํ สาธยมานานิ ปวตฺตนฺติฯ ตถา อกุสลวิปากานิ ปญฺจฯ เกวลญฺหิ เตสํ อนิฎฺฐํ อนิฎฺฐมชฺฌตฺตํ วา รูปาทิอารมฺมณํ โหติ, อยเมว วิเสโสฯ ทสาปิ เจตานิ นิยตทฺวารารมฺมณวตฺถุฎฺฐานานิ นิยตกิจฺจาเนว จ ภวนฺติฯ
Kathaṃ? Kusalavipākāni tāva cakkhuviññāṇādīni pañca kusalavipākena vā akusalavipākena vā nibbattassa yathākkamaṃ paripākamupagatindriyassa cakkhādīnaṃ āpāthagataṃ iṭṭhaṃ vā iṭṭhamajjhattaṃ vā rūpādiārammaṇaṃ ārabbha cakkhādipasādaṃ nissāya dassanasavanaghāyanasāyanaphusanakiccaṃ sādhayamānāni pavattanti. Tathā akusalavipākāni pañca. Kevalañhi tesaṃ aniṭṭhaṃ aniṭṭhamajjhattaṃ vā rūpādiārammaṇaṃ hoti, ayameva viseso. Dasāpi cetāni niyatadvārārammaṇavatthuṭṭhānāni niyatakiccāneva ca bhavanti.
ตโต กุสลวิปากานํ จกฺขุวิญฺญาณาทีนํ อนนฺตรํ กุสลวิปากมโนธาตุ เตสเญฺญว อารมฺมณมารพฺภ หทยวตฺถุํ นิสฺสาย สมฺปฎิจฺฉนกิจฺจํ สาธยมานา ปวตฺตติฯ ตถา อกุสลวิปากานํ อนนฺตรํ อกุสลวิปากา ฯ อิทญฺจ ปน ทฺวยํ อนิยตทฺวารารมฺมณํ นิยตวตฺถุฎฺฐานํ นิยตกิจฺจญฺจ โหติฯ
Tato kusalavipākānaṃ cakkhuviññāṇādīnaṃ anantaraṃ kusalavipākamanodhātu tesaññeva ārammaṇamārabbha hadayavatthuṃ nissāya sampaṭicchanakiccaṃ sādhayamānā pavattati. Tathā akusalavipākānaṃ anantaraṃ akusalavipākā . Idañca pana dvayaṃ aniyatadvārārammaṇaṃ niyatavatthuṭṭhānaṃ niyatakiccañca hoti.
โสมนสฺสสหคตา ปน อเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุ กุสลวิปากมโนธาตุยา อนนฺตรํ ตสฺสา เอว อารมฺมณํ อารพฺภ หทยวตฺถุํ นิสฺสาย สนฺตีรณกิจฺจํ สาธยมานา จ ฉสุ ทฺวาเรสุ พลวารมฺมเณ กามาวจรสตฺตานํ เยภุเยฺยน โลภสมฺปยุตฺตชวนาวสาเน ภวงฺควีถิํ ปจฺฉินฺทิตฺวา ชวเนน คหิตารมฺมเณ ตทารมฺมณวเสน จ สกิํ วา ทฺวิกฺขตฺตุํ วา ปวตฺตติฯ จิตฺตปฺปวตฺติคณนายํ ปน สพฺพทฺวาเรสุ ตทารมฺมเณ เทฺว เอว จิตฺตวารา อาคตาฯ อิทํ ปน จิตฺตํ ตทารมฺมณนฺติ จ ปิฎฺฐิภวงฺคนฺติ จาติ เทฺว นามานิ ลภติ, อนิยตทฺวารารมฺมณํ นิยตวตฺถุกํ อนิยตฎฺฐานกิจฺจญฺจ โหตีติฯ เอวํ ตาว เตรส ปญฺจโวการภเว ปวตฺติยํเยว ปวตฺตนฺตีติ เวทิตพฺพานิฯ เสเสสุ เอกูนวีสติยา จิเตฺตสุ น กิญฺจิ อตฺตโน อนุรูปาย ปฎิสนฺธิยา น ปวตฺตติฯ
Somanassasahagatā pana ahetukamanoviññāṇadhātu kusalavipākamanodhātuyā anantaraṃ tassā eva ārammaṇaṃ ārabbha hadayavatthuṃ nissāya santīraṇakiccaṃ sādhayamānā ca chasu dvāresu balavārammaṇe kāmāvacarasattānaṃ yebhuyyena lobhasampayuttajavanāvasāne bhavaṅgavīthiṃ pacchinditvā javanena gahitārammaṇe tadārammaṇavasena ca sakiṃ vā dvikkhattuṃ vā pavattati. Cittappavattigaṇanāyaṃ pana sabbadvāresu tadārammaṇe dve eva cittavārā āgatā. Idaṃ pana cittaṃ tadārammaṇanti ca piṭṭhibhavaṅganti cāti dve nāmāni labhati, aniyatadvārārammaṇaṃ niyatavatthukaṃ aniyataṭṭhānakiccañca hotīti. Evaṃ tāva terasa pañcavokārabhave pavattiyaṃyeva pavattantīti veditabbāni. Sesesu ekūnavīsatiyā cittesu na kiñci attano anurūpāya paṭisandhiyā na pavattati.
ปวตฺติยํ ปน กุสลากุสลวิปากา ตาว เทฺว อเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุโย ปญฺจทฺวาเร กุสลากุสลวิปากมโนธาตูนํ อนนฺตรํ สนฺตีรณกิจฺจํ , ฉสุ ทฺวาเรสุ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว ตทารมฺมณกิจฺจํ, อตฺตนา ทินฺนปฎิสนฺธิโต อุทฺธํ อสติ ภวงฺคุปเจฺฉทเก จิตฺตุปฺปาเท ภวงฺคกิจฺจํ, อเนฺต จุติกิจฺจญฺจาติ จตฺตาริ กิจฺจานิ สาธยมานา นิยตวตฺถุกา อนิยตทฺวารารมฺมณฎฺฐานกิจฺจา หุตฺวา ปวตฺตนฺติฯ
Pavattiyaṃ pana kusalākusalavipākā tāva dve ahetukamanoviññāṇadhātuyo pañcadvāre kusalākusalavipākamanodhātūnaṃ anantaraṃ santīraṇakiccaṃ , chasu dvāresu pubbe vuttanayeneva tadārammaṇakiccaṃ, attanā dinnapaṭisandhito uddhaṃ asati bhavaṅgupacchedake cittuppāde bhavaṅgakiccaṃ, ante cutikiccañcāti cattāri kiccāni sādhayamānā niyatavatthukā aniyatadvārārammaṇaṭṭhānakiccā hutvā pavattanti.
อฎฺฐ กามาวจรสเหตุกจิตฺตานิ ปวตฺติยํ วุตฺตนเยเนว ฉสุ ทฺวาเรสุ ตทารมฺมณกิจฺจํ, อตฺตนา ทินฺนปฎิสนฺธิโต อุทฺธํ อสติ ภวงฺคุปเจฺฉทเก จิตฺตุปฺปาเท ภวงฺคกิจฺจํ, อเนฺต จุติกิจฺจญฺจาติ ตีณิ กิจฺจานิ สาธยมานานิ นิยตวตฺถุกานิ อนิยตทฺวารารมฺมณฎฺฐานกิจฺจานิ หุตฺวา ปวตฺตนฺติฯ
Aṭṭha kāmāvacarasahetukacittāni pavattiyaṃ vuttanayeneva chasu dvāresu tadārammaṇakiccaṃ, attanā dinnapaṭisandhito uddhaṃ asati bhavaṅgupacchedake cittuppāde bhavaṅgakiccaṃ, ante cutikiccañcāti tīṇi kiccāni sādhayamānāni niyatavatthukāni aniyatadvārārammaṇaṭṭhānakiccāni hutvā pavattanti.
ปญฺจ รูปาวจรานิ จตฺตาริ จ อรูปาวจรานิ อตฺตนา ทินฺนปฎิสนฺธิโต อุทฺธํ อสติ ภวงฺคุปเจฺฉทเก จิตฺตุปฺปาเท ภวงฺคกิจฺจํ, อเนฺต จุติกิจฺจญฺจาติ กิจฺจทฺวยํ สาธยมานานิ ปวตฺตนฺติฯ เตสุ รูปาวจรานิ นิยตวตฺถารมฺมณานิ อนิยตฎฺฐานกิจฺจานิ, อิตรานิ อวตฺถุกานิ นิยตารมฺมณานิ อนิยตฎฺฐานกิจฺจานิ หุตฺวา ปวตฺตนฺตีติฯ เอวํ ตาว พาตฺติํสวิธมฺปิ วิญฺญาณํ ปวตฺติยํ สงฺขารปจฺจยา ปวตฺตติฯ ตตฺรสฺส เต เต สงฺขารา กมฺมปจฺจเยน จ อุปนิสฺสยปจฺจเยน จ ปจฺจยา โหนฺติฯ
Pañca rūpāvacarāni cattāri ca arūpāvacarāni attanā dinnapaṭisandhito uddhaṃ asati bhavaṅgupacchedake cittuppāde bhavaṅgakiccaṃ, ante cutikiccañcāti kiccadvayaṃ sādhayamānāni pavattanti. Tesu rūpāvacarāni niyatavatthārammaṇāni aniyataṭṭhānakiccāni, itarāni avatthukāni niyatārammaṇāni aniyataṭṭhānakiccāni hutvā pavattantīti. Evaṃ tāva bāttiṃsavidhampi viññāṇaṃ pavattiyaṃ saṅkhārapaccayā pavattati. Tatrassa te te saṅkhārā kammapaccayena ca upanissayapaccayena ca paccayā honti.
ตตฺถ ยาเนตานิ เอกาทส ตทารมฺมณจิตฺตานิ วุตฺตานิ, เตสุ เอกมฺปิ รูปารูปภเว ตทารมฺมณํ หุตฺวา น ปวตฺตติฯ กสฺมา? พีชาภาวาฯ ตตฺถ หิ กามาวจรวิปากสงฺขาตํ ปฎิสนฺธิพีชํ นตฺถิ, ยํ รูปาทีสุ อารมฺมเณสุ ปวตฺติยํ ตสฺส ชนกํ ภเวยฺยฯ จกฺขุวิญฺญาณาทีนมฺปิ รูปภเว อภาโว อาปชฺชตีติ เจ? น; อินฺทฺริยปฺปวตฺติอานุภาวโต ทฺวารวีถิเภเท จิตฺตนิยมโต จฯ
Tattha yānetāni ekādasa tadārammaṇacittāni vuttāni, tesu ekampi rūpārūpabhave tadārammaṇaṃ hutvā na pavattati. Kasmā? Bījābhāvā. Tattha hi kāmāvacaravipākasaṅkhātaṃ paṭisandhibījaṃ natthi, yaṃ rūpādīsu ārammaṇesu pavattiyaṃ tassa janakaṃ bhaveyya. Cakkhuviññāṇādīnampi rūpabhave abhāvo āpajjatīti ce? Na; indriyappavattiānubhāvato dvāravīthibhede cittaniyamato ca.
ยถา เจตํ ตทารมฺมณํ เอกเนฺตน รูปารูปภเว นปฺปวตฺตติ ตถา สเพฺพปิ อกามาวจเร ธเมฺม นานุพนฺธติฯ กสฺมา? อชนกตฺตา เจว ชนกสฺส จ อสทิสตฺตาฯ ตญฺหิ ยถา นาม เคหา นิกฺขมิตฺวา พหิ คนฺตุกาโม ตรุณทารโก อตฺตโน ชนกํ ปิตรํ วา อญฺญํ วา ปิตุสทิสํ หิตกามํ ญาติํ องฺคุลิยํ คเหตฺวา อนุพนฺธติ, น อญฺญํ ราชปุริสาทิํ, ตถา เอตมฺปิ ภวงฺคารมฺมณโต พหิ นิกฺขมิตุกามํ สภาคตาย อตฺตโน ชนกํ ปิตรํ วา ปิตุสทิสํ วา กามาวจรชวนเมว อนุพนฺธติ, น อญฺญํ มหคฺคตํ อนุตฺตรํ วาฯ
Yathā cetaṃ tadārammaṇaṃ ekantena rūpārūpabhave nappavattati tathā sabbepi akāmāvacare dhamme nānubandhati. Kasmā? Ajanakattā ceva janakassa ca asadisattā. Tañhi yathā nāma gehā nikkhamitvā bahi gantukāmo taruṇadārako attano janakaṃ pitaraṃ vā aññaṃ vā pitusadisaṃ hitakāmaṃ ñātiṃ aṅguliyaṃ gahetvā anubandhati, na aññaṃ rājapurisādiṃ, tathā etampi bhavaṅgārammaṇato bahi nikkhamitukāmaṃ sabhāgatāya attano janakaṃ pitaraṃ vā pitusadisaṃ vā kāmāvacarajavanameva anubandhati, na aññaṃ mahaggataṃ anuttaraṃ vā.
ยถา เจตํ มหคฺคตโลกุตฺตเร ธเมฺม นานุพนฺธติ, ตถา ยทา เอเต กามาวจรธมฺมาปิ มหคฺคตารมฺมณา หุตฺวา ปวตฺตนฺติ ตทา เตปิ นานุพนฺธติฯ กสฺมา? อปริจิตเทสตฺตา อจฺจนฺตปริตฺตารมฺมณตฺตา จฯ ตญฺหิ ยถา ปิตรํ วา ปิตุสทิสํ วา ญาติํ อนุพนฺธโนฺตปิ ตรุณทารโก ฆรทฺวารอนฺตรวีถิจตุกฺกาทิมฺหิ ปริจิเตเยว เทเส อนุพนฺธติ, น อรญฺญํ วา ยุทฺธภูมิํ วา คจฺฉนฺตํ; เอวํ กามาวจรธเมฺม อนุพนฺธนฺตมฺปิ อมหคฺคตาทิมฺหิ ปริจิเตเยว เทเส ปวตฺตมาเน ธเมฺม อนุพนฺธติ, น มหคฺคตโลกุตฺตรธเมฺม อารพฺภ ปวตฺตมาเนติฯ
Yathā cetaṃ mahaggatalokuttare dhamme nānubandhati, tathā yadā ete kāmāvacaradhammāpi mahaggatārammaṇā hutvā pavattanti tadā tepi nānubandhati. Kasmā? Aparicitadesattā accantaparittārammaṇattā ca. Tañhi yathā pitaraṃ vā pitusadisaṃ vā ñātiṃ anubandhantopi taruṇadārako gharadvāraantaravīthicatukkādimhi pariciteyeva dese anubandhati, na araññaṃ vā yuddhabhūmiṃ vā gacchantaṃ; evaṃ kāmāvacaradhamme anubandhantampi amahaggatādimhi pariciteyeva dese pavattamāne dhamme anubandhati, na mahaggatalokuttaradhamme ārabbha pavattamāneti.
ยสฺมา จสฺส ‘‘สโพฺพ กามาวจรวิปาโก กิริยมโนธาตุ กิริยอเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุ โสมนสฺสสหคตา อิเม ธมฺมา ปริตฺตารมฺมณา’’ติ เอวํ อจฺจนฺตปริตฺตเมว อารมฺมณํ วุตฺตํ, ตสฺมาเปตํ มหคฺคตโลกุตฺตรารมฺมเณ กามาวจรธเมฺมปิ นานุพนฺธตีติ เวทิตพฺพํฯ
Yasmā cassa ‘‘sabbo kāmāvacaravipāko kiriyamanodhātu kiriyaahetukamanoviññāṇadhātu somanassasahagatā ime dhammā parittārammaṇā’’ti evaṃ accantaparittameva ārammaṇaṃ vuttaṃ, tasmāpetaṃ mahaggatalokuttarārammaṇe kāmāvacaradhammepi nānubandhatīti veditabbaṃ.
กิํ วา อิมาย ยุตฺติกถาย? อฎฺฐกถายญฺหิ เอกเนฺตเนว วุตฺตํ – เอกาทส ตทารมฺมณจิตฺตานิ นามโคตฺตํ อารพฺภ ชวเน ชวิเต ตทารมฺมณํ น คณฺหนฺติฯ ปณฺณตฺติํ อารพฺภ ชวเน ชวิเต ตทารมฺมณํ น ลพฺภติฯ ติลกฺขณารมฺมณิกวิปสฺสนาย ตทารมฺมณํ น ลพฺภติฯ วุฎฺฐานคามินิยา พลววิปสฺสนาย ตทารมฺมณํ น ลพฺภติฯ รูปารูปธเมฺม อารพฺภ ชวเน ชวิเต ตทารมฺมณํ น ลพฺภติฯ มิจฺฉตฺตนิยตธเมฺมสุ ตทารมฺมณํ น ลพฺภติฯ สมฺมตฺตนิยตธเมฺมสุ ตทารมฺมณํ น ลพฺภติฯ โลกุตฺตรธเมฺม อารพฺภ ชวเน ชวิเต ตทารมฺมณํ น ลพฺภติฯ อภิญฺญาญาณํ อารพฺภ ชวเน ชวิเต ตทารมฺมณํ น ลพฺภติฯ ปฎิสมฺภิทาญาณํ อารพฺภ ชวเน ชวิเต ตทารมฺมณํ น ลพฺภติฯ กามาวจเร ทุพฺพลารมฺมเณ ตทารมฺมณํ น ลพฺภติ, ฉสุ ทฺวาเรสุ พลวารมฺมเณ อาปาถคเตเยว ลพฺภติ, ลพฺภมานญฺจ กามาวจเรเยว ลพฺภติฯ รูปารูปภเว ตทารมฺมณํ นาม นตฺถีติฯ
Kiṃ vā imāya yuttikathāya? Aṭṭhakathāyañhi ekanteneva vuttaṃ – ekādasa tadārammaṇacittāni nāmagottaṃ ārabbha javane javite tadārammaṇaṃ na gaṇhanti. Paṇṇattiṃ ārabbha javane javite tadārammaṇaṃ na labbhati. Tilakkhaṇārammaṇikavipassanāya tadārammaṇaṃ na labbhati. Vuṭṭhānagāminiyā balavavipassanāya tadārammaṇaṃ na labbhati. Rūpārūpadhamme ārabbha javane javite tadārammaṇaṃ na labbhati. Micchattaniyatadhammesu tadārammaṇaṃ na labbhati. Sammattaniyatadhammesu tadārammaṇaṃ na labbhati. Lokuttaradhamme ārabbha javane javite tadārammaṇaṃ na labbhati. Abhiññāñāṇaṃ ārabbha javane javite tadārammaṇaṃ na labbhati. Paṭisambhidāñāṇaṃ ārabbha javane javite tadārammaṇaṃ na labbhati. Kāmāvacare dubbalārammaṇe tadārammaṇaṃ na labbhati, chasu dvāresu balavārammaṇe āpāthagateyeva labbhati, labbhamānañca kāmāvacareyeva labbhati. Rūpārūpabhave tadārammaṇaṃ nāma natthīti.
ยํ ปน วุตฺตํ ‘‘เสเสสุ เอกูนวีสติยา จิเตฺตสุ น กิญฺจิ อตฺตโน อนุรูปาย ปฎิสนฺธิยา น ปวตฺตตี’’ติ, ตํ อติสํขิตฺตตฺตา ทุพฺพิชานํฯ เตนสฺส วิตฺถารนยทสฺสนตฺถํ วุจฺจติ – ‘‘กติ ปฎิสนฺธิโย? กติ ปฎิสนฺธิจิตฺตานิ? เกน กตฺถ ปฎิสนฺธิ โหติ? กิํ ปฎิสนฺธิยา อารมฺมณ’’นฺติ?
Yaṃ pana vuttaṃ ‘‘sesesu ekūnavīsatiyā cittesu na kiñci attano anurūpāya paṭisandhiyā na pavattatī’’ti, taṃ atisaṃkhittattā dubbijānaṃ. Tenassa vitthāranayadassanatthaṃ vuccati – ‘‘kati paṭisandhiyo? Kati paṭisandhicittāni? Kena kattha paṭisandhi hoti? Kiṃ paṭisandhiyā ārammaṇa’’nti?
อสญฺญปฎิสนฺธิยา สทฺธิํ วีสติ ปฎิสนฺธิโยฯ วุตฺตปฺปการาเนว เอกูนวีสติ ปฎิสนฺธิจิตฺตานิฯ ตตฺถ อกุสลวิปากาย อเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุยา อปาเยสุ ปฎิสนฺธิ โหติ, กุสลวิปากาย มนุสฺสโลเก ชจฺจนฺธชาติพธิรชาติอุมฺมตฺตกเอฬมูคนปุํสกาทีนํฯ อฎฺฐหิ สเหตุกมหาวิปาเกหิ กามาวจรเทเวสุ เจว มนุเสฺสสุ จ ปุญฺญวนฺตานํ ปฎิสนฺธิ โหติ, ปญฺจหิ รูปาวจรวิปาเกหิ รูปีพฺรหฺมโลเก, จตูหิ อรูปาวจรวิปาเกหิ อรูปโลเกติฯ เยน จ ยตฺถ ปฎิสนฺธิ โหติ, สา เอว ตสฺสา อนุรูปปฎิสนฺธิ นามฯ
Asaññapaṭisandhiyā saddhiṃ vīsati paṭisandhiyo. Vuttappakārāneva ekūnavīsati paṭisandhicittāni. Tattha akusalavipākāya ahetukamanoviññāṇadhātuyā apāyesu paṭisandhi hoti, kusalavipākāya manussaloke jaccandhajātibadhirajātiummattakaeḷamūganapuṃsakādīnaṃ. Aṭṭhahi sahetukamahāvipākehi kāmāvacaradevesu ceva manussesu ca puññavantānaṃ paṭisandhi hoti, pañcahi rūpāvacaravipākehi rūpībrahmaloke, catūhi arūpāvacaravipākehi arūpaloketi. Yena ca yattha paṭisandhi hoti, sā eva tassā anurūpapaṭisandhi nāma.
สเงฺขปโต ปฎิสนฺธิยา ตีณิ อารมฺมณานิ โหนฺติ – กมฺมํ, กมฺมนิมิตฺตํ , คตินิมิตฺตนฺติฯ ตตฺถ กมฺมํ นาม อายูหิตา กุสลากุสลเจตนาฯ กมฺมนิมิตฺตํ นาม ยํ วตฺถุํ อารมฺมณํ กตฺวา กมฺมํ อายูหติฯ ตตฺถ อตีเต กปฺปโกฎิสตสหสฺสมตฺถกสฺมิมฺปิ กเมฺม กเต ตสฺมิํ ขเณ กมฺมํ วา กมฺมนิมิตฺตํ วา อาคนฺตฺวา อุปฎฺฐาติฯ
Saṅkhepato paṭisandhiyā tīṇi ārammaṇāni honti – kammaṃ, kammanimittaṃ , gatinimittanti. Tattha kammaṃ nāma āyūhitā kusalākusalacetanā. Kammanimittaṃ nāma yaṃ vatthuṃ ārammaṇaṃ katvā kammaṃ āyūhati. Tattha atīte kappakoṭisatasahassamatthakasmimpi kamme kate tasmiṃ khaṇe kammaṃ vā kammanimittaṃ vā āgantvā upaṭṭhāti.
ตตฺริทํ กมฺมนิมิตฺตสฺส อุปฎฺฐาเน วตฺถุ – โคปกสีวลี กิร นาม ตาลปิฎฺฐิกวิหาเร เจติยํ กาเรสิฯ ตสฺส มรณมเญฺจ นิปนฺนสฺส เจติยํ อุปฎฺฐาสิฯ โส ตเทว นิมิตฺตํ คณฺหิตฺวา กาลํกตฺวา เทวโลเก นิพฺพตฺติฯ อญฺญา สมฺมูฬฺหกาลกิริยา นาม โหติฯ ปรมฺมุขํ คจฺฉนฺตสฺส หิ ปจฺฉโต ติขิเณน อสินา สีสํ ฉินฺทนฺติฯ นิปชฺชิตฺวา นิทฺทายนฺตสฺสาปิ ติขิเณน อสินา สีสํ ฉินฺทนฺติฯ อุทเก โอสีทาเปตฺวา มาเรนฺติฯ เอวรูเปปิ กาเล อญฺญตรํ กมฺมํ วา กมฺมนิมิตฺตํ วา อุปฎฺฐาติฯ อญฺญํ ลหุกมรณํ นาม อตฺถิฯ นิขาทนทณฺฑกมตฺถกสฺมิญฺหิ นิลีนมกฺขิกํ มุคฺคเรน ปหริตฺวา ปิสนฺติฯ เอวรูเปปิ กาเล กมฺมํ วา กมฺมนิมิตฺตํ วา อุปฎฺฐาติฯ เอวํ ปิสิยมานาย ปน มกฺขิกาย ปฐมํ กายทฺวาราวชฺชนํ ภวงฺคํ นาวเฎฺฎติ, มโนทฺวาราวชฺชนเมว อาวเฎฺฎติฯ อถ ชวนํ ชวิตฺวา ภวงฺคํ โอตรติฯ ทุติยวาเร กายทฺวาราวชฺชนํ ภวงฺคํ อาวเฎฺฎติฯ ตโต กายวิญฺญาณํ, สมฺปฎิจฺฉนํ, สนฺตีรณํ, โวฎฺฐปนนฺติ วีถิจิตฺตานิ ปวตฺตนฺติฯ ชวนํ ชวิตฺวา ภวงฺคํ โอตรติฯ ตติยวาเร มโนทฺวาราวชฺชนํ ภวงฺคํ อาวเฎฺฎติฯ อถ ชวนํ ชวิตฺวา ภวงฺคํ โอตรติฯ เอตสฺมิํ ฐาเน กาลกิริยํ กโรติฯ อิทํ กิมตฺถํ อาภตํ? อรูปธมฺมานํ วิสโย นาม เอวํ ลหุโกติ ทีปนตฺถํฯ
Tatridaṃ kammanimittassa upaṭṭhāne vatthu – gopakasīvalī kira nāma tālapiṭṭhikavihāre cetiyaṃ kāresi. Tassa maraṇamañce nipannassa cetiyaṃ upaṭṭhāsi. So tadeva nimittaṃ gaṇhitvā kālaṃkatvā devaloke nibbatti. Aññā sammūḷhakālakiriyā nāma hoti. Parammukhaṃ gacchantassa hi pacchato tikhiṇena asinā sīsaṃ chindanti. Nipajjitvā niddāyantassāpi tikhiṇena asinā sīsaṃ chindanti. Udake osīdāpetvā mārenti. Evarūpepi kāle aññataraṃ kammaṃ vā kammanimittaṃ vā upaṭṭhāti. Aññaṃ lahukamaraṇaṃ nāma atthi. Nikhādanadaṇḍakamatthakasmiñhi nilīnamakkhikaṃ muggarena paharitvā pisanti. Evarūpepi kāle kammaṃ vā kammanimittaṃ vā upaṭṭhāti. Evaṃ pisiyamānāya pana makkhikāya paṭhamaṃ kāyadvārāvajjanaṃ bhavaṅgaṃ nāvaṭṭeti, manodvārāvajjanameva āvaṭṭeti. Atha javanaṃ javitvā bhavaṅgaṃ otarati. Dutiyavāre kāyadvārāvajjanaṃ bhavaṅgaṃ āvaṭṭeti. Tato kāyaviññāṇaṃ, sampaṭicchanaṃ, santīraṇaṃ, voṭṭhapananti vīthicittāni pavattanti. Javanaṃ javitvā bhavaṅgaṃ otarati. Tatiyavāre manodvārāvajjanaṃ bhavaṅgaṃ āvaṭṭeti. Atha javanaṃ javitvā bhavaṅgaṃ otarati. Etasmiṃ ṭhāne kālakiriyaṃ karoti. Idaṃ kimatthaṃ ābhataṃ? Arūpadhammānaṃ visayo nāma evaṃ lahukoti dīpanatthaṃ.
คตินิมิตฺตํ นาม นิพฺพตฺตนกโอกาเส เอโก วโณฺณ อุปฎฺฐาติฯ ตตฺถ นิรเย อุปฎฺฐหเนฺต โลหกุมฺภิสทิโส หุตฺวา อุปฎฺฐาติฯ มนุสฺสโลเก อุปฎฺฐหเนฺต มาตุกุจฺฉิกมฺพลยานสทิสา หุตฺวา อุปฎฺฐาติฯ เทวโลเก อุปฎฺฐหเนฺต กปฺปรุกฺขวิมานสยนาทีนิ อุปฎฺฐหนฺติฯ เอวํ กมฺมํ, กมฺมนิมิตฺตํ, คตินิมิตฺตนฺติ สเงฺขปโต ปฎิสนฺธิยา ตีณิ อารมฺมณานิ โหนฺติฯ
Gatinimittaṃ nāma nibbattanakaokāse eko vaṇṇo upaṭṭhāti. Tattha niraye upaṭṭhahante lohakumbhisadiso hutvā upaṭṭhāti. Manussaloke upaṭṭhahante mātukucchikambalayānasadisā hutvā upaṭṭhāti. Devaloke upaṭṭhahante kapparukkhavimānasayanādīni upaṭṭhahanti. Evaṃ kammaṃ, kammanimittaṃ, gatinimittanti saṅkhepato paṭisandhiyā tīṇi ārammaṇāni honti.
อปโร นโย – ปฎิสนฺธิยา ตีณิ อารมฺมณานิ โหนฺติ? อตีตํ, ปจฺจุปฺปนฺนํ , นวตฺตพฺพญฺจฯ อสญฺญีปฎิสนฺธิ อนารมฺมณาติฯ ตตฺถ วิญฺญาณญฺจายตนเนวสญฺญานาสญฺญายตนปฎิสนฺธีนํ อตีตเมว อารมฺมณํฯ ทสนฺนํ กามาวจรานํ อตีตํ วา ปจฺจุปฺปนฺนํ วาฯ เสสานํ นวตฺตพฺพํฯ เอวํ ตีสุ อารมฺมเณสุ ปวตฺตมานา ปน ปฎิสนฺธิ ยสฺมา อตีตารมฺมณสฺส วา นวตฺตพฺพารมฺมณสฺส วา จุติจิตฺตสฺส อนนฺตรเมว โหติฯ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณํ ปน จุตฺติจิตฺตํ นาม นตฺถิฯ ตสฺมา ทฺวีสุ อารมฺมเณสุ อญฺญตรารมฺมณาย จุติยา อนนฺตรํ ตีสุ อารมฺมเณสุ อญฺญตรารมฺมณาย ปฎิสนฺธิยา สุคติทุคฺคติวเสน ปวตฺตนากาโร เวทิตโพฺพฯ
Aparo nayo – paṭisandhiyā tīṇi ārammaṇāni honti? Atītaṃ, paccuppannaṃ , navattabbañca. Asaññīpaṭisandhi anārammaṇāti. Tattha viññāṇañcāyatananevasaññānāsaññāyatanapaṭisandhīnaṃ atītameva ārammaṇaṃ. Dasannaṃ kāmāvacarānaṃ atītaṃ vā paccuppannaṃ vā. Sesānaṃ navattabbaṃ. Evaṃ tīsu ārammaṇesu pavattamānā pana paṭisandhi yasmā atītārammaṇassa vā navattabbārammaṇassa vā cuticittassa anantarameva hoti. Paccuppannārammaṇaṃ pana cutticittaṃ nāma natthi. Tasmā dvīsu ārammaṇesu aññatarārammaṇāya cutiyā anantaraṃ tīsu ārammaṇesu aññatarārammaṇāya paṭisandhiyā sugatiduggativasena pavattanākāro veditabbo.
เสยฺยถิทํ – กามาวจรสุคติยํ ตาว ฐิตสฺส ปาปกมฺมิโน ปุคฺคลสฺส ‘‘ตานิสฺส ตมฺหิ สมเย โอลมฺพนฺตี’’ติอาทิวจนโต (ม. นิ. ๓.๒๔๘) มรณมเญฺจ นิปนฺนสฺส ยถูปจิตํ ปาปกมฺมํ วา กมฺมนิมิตฺตํ วา มโนทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติฯ ตํ อารพฺภ อุปฺปนฺนาย ตทารมฺมณปริโยสานาย สุทฺธาย วา ชวนวีถิยา อนนฺตรํ ภวงฺควิสยํ อารมฺมณํ กตฺวา จุติจิตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ ตสฺมิํ นิรุเทฺธ ตเทว อาปาถคตํ กมฺมํ วา กมฺมนิมิตฺตํ วา อารพฺภ อนุปจฺฉินฺนกิเลสพลวินามิตํ ทุคฺคติปริยาปนฺนํ ปฎิสนฺธิจิตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ อยํ อตีตารมฺมณาย จุติยา อนนฺตรา อตีตารมฺมณา ปฎิสนฺธิฯ
Seyyathidaṃ – kāmāvacarasugatiyaṃ tāva ṭhitassa pāpakammino puggalassa ‘‘tānissa tamhi samaye olambantī’’tiādivacanato (ma. ni. 3.248) maraṇamañce nipannassa yathūpacitaṃ pāpakammaṃ vā kammanimittaṃ vā manodvāre āpāthamāgacchati. Taṃ ārabbha uppannāya tadārammaṇapariyosānāya suddhāya vā javanavīthiyā anantaraṃ bhavaṅgavisayaṃ ārammaṇaṃ katvā cuticittaṃ uppajjati. Tasmiṃ niruddhe tadeva āpāthagataṃ kammaṃ vā kammanimittaṃ vā ārabbha anupacchinnakilesabalavināmitaṃ duggatipariyāpannaṃ paṭisandhicittaṃ uppajjati. Ayaṃ atītārammaṇāya cutiyā anantarā atītārammaṇā paṭisandhi.
อปรสฺส มรณสมเย วุตฺตปฺปการกมฺมวเสน นรกาทีสุ อคฺคิชาลวณฺณาทิกํ ทุคฺคตินิมิตฺตํ มโนทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติฯ ตสฺส ทฺวิกฺขตฺตุํ ภวเงฺค อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุเทฺธ ตํ อารมฺมณํ อารพฺภ เอกํ อาวชฺชนํ, มรณสฺส อาสนฺนภาเวน มนฺทีภูตเวคตฺตา ปญฺจ ชวนานิ, เทฺว ตทารมฺมณานีติ ตีณิ วีถิจิตฺตานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ ตโต ภวงฺควิสยํ อารมฺมณํ กตฺวา เอกํ จุติจิตฺตํฯ เอตฺตาวตา เอกาทส จิตฺตกฺขณา อตีตา โหนฺติฯ อถาวเสสปญฺจจิตฺตกฺขณายุเก ตสฺมิํเยว อารมฺมเณ ปฎิสนฺธิจิตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ อยํ อตีตารมฺมณาย จุติยา อนนฺตรา ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณา ปฎิสนฺธิฯ
Aparassa maraṇasamaye vuttappakārakammavasena narakādīsu aggijālavaṇṇādikaṃ duggatinimittaṃ manodvāre āpāthamāgacchati. Tassa dvikkhattuṃ bhavaṅge uppajjitvā niruddhe taṃ ārammaṇaṃ ārabbha ekaṃ āvajjanaṃ, maraṇassa āsannabhāvena mandībhūtavegattā pañca javanāni, dve tadārammaṇānīti tīṇi vīthicittāni uppajjanti. Tato bhavaṅgavisayaṃ ārammaṇaṃ katvā ekaṃ cuticittaṃ. Ettāvatā ekādasa cittakkhaṇā atītā honti. Athāvasesapañcacittakkhaṇāyuke tasmiṃyeva ārammaṇe paṭisandhicittaṃ uppajjati. Ayaṃ atītārammaṇāya cutiyā anantarā paccuppannārammaṇā paṭisandhi.
อปรสฺส มรณสมเย ปญฺจนฺนํ ทฺวารานํ อญฺญตรสฺมิํ ทฺวาเร ราคาทิเหตุภูตํ หีนารมฺมณํ อาปาถมาคจฺฉติฯ ตสฺส ยถากฺกเมน อุปฺปนฺนโวฎฺฐพฺพนาวสาเน มรณสฺส อาสนฺนภาเวน มนฺทีภูตเวคตฺตา ปญฺจ ชวนานิ เทฺว ตทารมฺมณานิ จ อุปฺปชฺชนฺติฯ ตโต ภวงฺควิสยมารมฺมณํ กตฺวา เอกํ จุติจิตฺตํฯ เอตฺตาวตา เทฺว ภวงฺคานิ, อาวชฺชนํ, ทสฺสนํ, สมฺปฎิจฺฉนํ, สนฺตีรณํ, โวฎฺฐพฺพนํ, ปญฺจ ชวนานิ, เทฺว ตทารมฺมณานิ, เอกํ จุติจิตฺตนฺติ ปญฺจทส จิตฺตกฺขณา อตีตา โหนฺติฯ อถาวเสสเอกจิตฺตกฺขณายุเก ตสฺมิํ เยว อารมฺมเณ ปฎิสนฺธิจิตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ อยมฺปิ อตีตารมฺมณาย จุติยา อนนฺตรา ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณา ปฎิสนฺธิฯ เอส ตาว อตีตารมฺมณาย สุคติจุติยา อนนฺตรา อตีตปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณาย ทุคฺคติปฎิสนฺธิยา ปวตฺตนากาโรฯ
Aparassa maraṇasamaye pañcannaṃ dvārānaṃ aññatarasmiṃ dvāre rāgādihetubhūtaṃ hīnārammaṇaṃ āpāthamāgacchati. Tassa yathākkamena uppannavoṭṭhabbanāvasāne maraṇassa āsannabhāvena mandībhūtavegattā pañca javanāni dve tadārammaṇāni ca uppajjanti. Tato bhavaṅgavisayamārammaṇaṃ katvā ekaṃ cuticittaṃ. Ettāvatā dve bhavaṅgāni, āvajjanaṃ, dassanaṃ, sampaṭicchanaṃ, santīraṇaṃ, voṭṭhabbanaṃ, pañca javanāni, dve tadārammaṇāni, ekaṃ cuticittanti pañcadasa cittakkhaṇā atītā honti. Athāvasesaekacittakkhaṇāyuke tasmiṃ yeva ārammaṇe paṭisandhicittaṃ uppajjati. Ayampi atītārammaṇāya cutiyā anantarā paccuppannārammaṇā paṭisandhi. Esa tāva atītārammaṇāya sugaticutiyā anantarā atītapaccuppannārammaṇāya duggatipaṭisandhiyā pavattanākāro.
ทุคฺคติยํ ฐิตสฺส ปน อุปจิตานวชฺชกมฺมสฺส วุตฺตนเยเนว ตํ อนวชฺชกมฺมํ วา กมฺมนิมิตฺตํ วา มโนทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉตีติ กณฺหปเกฺข สุกฺกปกฺขํ ฐเปตฺวา สพฺพํ ปุริมนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อยํ อตีตารมฺมณาย ทุคฺคติจุติยา อนนฺตรา อตีตปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณาย สุคติปฎิสนฺธิยา ปวตฺตนากาโรฯ
Duggatiyaṃ ṭhitassa pana upacitānavajjakammassa vuttanayeneva taṃ anavajjakammaṃ vā kammanimittaṃ vā manodvāre āpāthamāgacchatīti kaṇhapakkhe sukkapakkhaṃ ṭhapetvā sabbaṃ purimanayeneva veditabbaṃ. Ayaṃ atītārammaṇāya duggaticutiyā anantarā atītapaccuppannārammaṇāya sugatipaṭisandhiyā pavattanākāro.
สุคติยํ ฐิตสฺส ปน อุปจิตานวชฺชกมฺมสฺส ‘‘ตานิสฺส ตมฺหิ สมเย โอลมฺพนฺตี’’ติอาทิวจนโต มรณมเญฺจ นิปนฺนสฺส ยถูปจิตํ อนวชฺชกมฺมํ วา กมฺมนิมิตฺตํ วา มโนทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติฯ ตญฺจ โข อุปจิตกามาวจรานวชฺชกมฺมเสฺสวฯ อุปจิตมหคฺคตกมฺมสฺส ปน กมฺมนิมิตฺตเมว อาปาถมาคจฺฉติฯ ตํ อารพฺภ อุปฺปนฺนาย ตทารมฺมณปริโยสานาย สุทฺธาย วา ชวนวีถิยา อนนฺตรํ ภวงฺควิสยํ อารมฺมณํ กตฺวา จุติจิตฺตมุปฺปชฺชติฯ ตสฺมิํ นิรุเทฺธ ตเทว อาปาถคตํ กมฺมํ วา กมฺมนิมิตฺตํ วา อารพฺภ อนุปจฺฉินฺนกิเลสพลวินามิตํ สุคติปริยาปนฺนํ ปฎิสนฺธิจิตฺตมุปฺปชฺชติฯ อยํ อตีตารมฺมณาย จุติยา อนนฺตรา อตีตารมฺมณา นวตฺตพฺพารมฺมณา วา ปฎิสนฺธิฯ
Sugatiyaṃ ṭhitassa pana upacitānavajjakammassa ‘‘tānissa tamhi samaye olambantī’’tiādivacanato maraṇamañce nipannassa yathūpacitaṃ anavajjakammaṃ vā kammanimittaṃ vā manodvāre āpāthamāgacchati. Tañca kho upacitakāmāvacarānavajjakammasseva. Upacitamahaggatakammassa pana kammanimittameva āpāthamāgacchati. Taṃ ārabbha uppannāya tadārammaṇapariyosānāya suddhāya vā javanavīthiyā anantaraṃ bhavaṅgavisayaṃ ārammaṇaṃ katvā cuticittamuppajjati. Tasmiṃ niruddhe tadeva āpāthagataṃ kammaṃ vā kammanimittaṃ vā ārabbha anupacchinnakilesabalavināmitaṃ sugatipariyāpannaṃ paṭisandhicittamuppajjati. Ayaṃ atītārammaṇāya cutiyā anantarā atītārammaṇā navattabbārammaṇā vā paṭisandhi.
อปรสฺส มรณสมเย กามาวจรานวชฺชกมฺมวเสน มนุสฺสโลเก มาตุกุจฺฉิวณฺณสงฺขาตํ วา เทวโลเก อุยฺยานกปฺปรุกฺขาทิวณฺณสงฺขาตํ วา สุคตินิมิตฺตํ มโนทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติฯ ตสฺส ทุคฺคตินิมิเตฺต ทสฺสิตานุกฺกเมเนว จุติจิตฺตานนฺตรํ ปฎิสนฺธิจิตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ อยํ อตีตารมฺมณาย จุติยา อนนฺตรา ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณา ปฎิสนฺธิฯ
Aparassa maraṇasamaye kāmāvacarānavajjakammavasena manussaloke mātukucchivaṇṇasaṅkhātaṃ vā devaloke uyyānakapparukkhādivaṇṇasaṅkhātaṃ vā sugatinimittaṃ manodvāre āpāthamāgacchati. Tassa duggatinimitte dassitānukkameneva cuticittānantaraṃ paṭisandhicittaṃ uppajjati. Ayaṃ atītārammaṇāya cutiyā anantarā paccuppannārammaṇā paṭisandhi.
อปรสฺส มรณสมเย ญาตกา ‘อยํ, ตาต, ตวตฺถาย พุทฺธปูชา กรียติ, จิตฺตํ ปสาเทหี’ติ วตฺวา ปุปฺผทามธชปฎากาทิวเสน รูปารมฺมณํ วา ธมฺมสฺสวนตูริยปูชาทิวเสน สทฺทารมฺมณํ วา ธูมวาสคนฺธาทิวเสน คนฺธารมฺมณํ วา ‘อิทํ, ตาต, สายสฺสุ, ตวตฺถาย ทาตพฺพํ เทยฺยธมฺม’นฺติ วตฺวา มธุผาณิตาทิวเสน รสารมฺมณํ วา ‘อิทํ, ตาต, ผุสสฺสุ, ตวตฺถาย ทาตพฺพํ เทยฺยธมฺม’นฺติ วตฺวา จีนปฎโสมารปฎาทิวเสน โผฎฺฐพฺพารมฺมณํ วา ปญฺจทฺวาเร อุปสํหรนฺติฯ ตสฺส ตสฺมิํ อาปาถคเต รูปาทิอารมฺมเณ ยถากฺกเมน อุปฺปนฺนโวฎฺฐปนาวสาเน มรณสฺส อาสนฺนภาเวน มนฺทีภูตเวคตฺตา ปญฺจ ชวนานิ เทฺว ตทารมฺมณานิ จ อุปฺปชฺชนฺติฯ ตโต ภวงฺควิสยํ อารมฺมณํ กตฺวา เอกํ จุติจิตฺตํ, ตทวสาเน ตสฺมิเญฺญว เอกจิตฺตกฺขณฎฺฐิติเก อารมฺมเณ ปฎิสนฺธิจิตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ อยมฺปิ อตีตารมฺมณาย จุติยา อนนฺตรา ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณา ปฎิสนฺธิฯ
Aparassa maraṇasamaye ñātakā ‘ayaṃ, tāta, tavatthāya buddhapūjā karīyati, cittaṃ pasādehī’ti vatvā pupphadāmadhajapaṭākādivasena rūpārammaṇaṃ vā dhammassavanatūriyapūjādivasena saddārammaṇaṃ vā dhūmavāsagandhādivasena gandhārammaṇaṃ vā ‘idaṃ, tāta, sāyassu, tavatthāya dātabbaṃ deyyadhamma’nti vatvā madhuphāṇitādivasena rasārammaṇaṃ vā ‘idaṃ, tāta, phusassu, tavatthāya dātabbaṃ deyyadhamma’nti vatvā cīnapaṭasomārapaṭādivasena phoṭṭhabbārammaṇaṃ vā pañcadvāre upasaṃharanti. Tassa tasmiṃ āpāthagate rūpādiārammaṇe yathākkamena uppannavoṭṭhapanāvasāne maraṇassa āsannabhāvena mandībhūtavegattā pañca javanāni dve tadārammaṇāni ca uppajjanti. Tato bhavaṅgavisayaṃ ārammaṇaṃ katvā ekaṃ cuticittaṃ, tadavasāne tasmiññeva ekacittakkhaṇaṭṭhitike ārammaṇe paṭisandhicittaṃ uppajjati. Ayampi atītārammaṇāya cutiyā anantarā paccuppannārammaṇā paṭisandhi.
อปรสฺส ปน ปถวีกสิณชฺฌานาทิวเสน ปฎิลทฺธมหคฺคตสฺส สุคติยํ ฐิตสฺส มรณสมเย กามาวจรกุสลกมฺม-กมฺมนิมิตฺต-คตินิมิตฺตานํ อญฺญตรํ ปถวีกสิณาทิกํ วา นิมิตฺตํ มหคฺคตจิตฺตํ วา มโนทฺวาเร อาปาถมาคจฺฉติฯ จกฺขุโสตานํ วา อญฺญตรสฺมิํ กุสลุปฺปตฺติเหตุภูตํ ปณีตมารมฺมณํ อาปาถมาคจฺฉติฯ ตสฺส ยถากฺกเมน อุปฺปนฺนโวฎฺฐพฺพนาวสาเน มรณสฺส อาสนฺนภาเวน มนฺทีภูตเวคตฺตา ปญฺจ ชวนานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ มหคฺคตคติกานํ ปน ตทารมฺมณํ นตฺถิฯ ตสฺมา ชวนานนฺตรํเยว ภวงฺควิสยํ อารมฺมณํ กตฺวา เอกํ จุติจิตฺตํ อุปฺปชฺชติ ฯ ตสฺสาวสาเน กามาวจรมหคฺคตสุคตีนํ อญฺญตรสุคติปริยาปนฺนํ ยถูปฎฺฐิเตสุ อารมฺมเณสุ อญฺญตรารมฺมณํ ปฎิสนฺธิจิตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ อยํ นวตฺตพฺพารมฺมณาย สุคติจุติยา อนนฺตรา อตีตปจฺจุปฺปนฺนนวตฺตพฺพานํ อญฺญตรารมฺมณา ปฎิสนฺธิฯ
Aparassa pana pathavīkasiṇajjhānādivasena paṭiladdhamahaggatassa sugatiyaṃ ṭhitassa maraṇasamaye kāmāvacarakusalakamma-kammanimitta-gatinimittānaṃ aññataraṃ pathavīkasiṇādikaṃ vā nimittaṃ mahaggatacittaṃ vā manodvāre āpāthamāgacchati. Cakkhusotānaṃ vā aññatarasmiṃ kusaluppattihetubhūtaṃ paṇītamārammaṇaṃ āpāthamāgacchati. Tassa yathākkamena uppannavoṭṭhabbanāvasāne maraṇassa āsannabhāvena mandībhūtavegattā pañca javanāni uppajjanti. Mahaggatagatikānaṃ pana tadārammaṇaṃ natthi. Tasmā javanānantaraṃyeva bhavaṅgavisayaṃ ārammaṇaṃ katvā ekaṃ cuticittaṃ uppajjati . Tassāvasāne kāmāvacaramahaggatasugatīnaṃ aññatarasugatipariyāpannaṃ yathūpaṭṭhitesu ārammaṇesu aññatarārammaṇaṃ paṭisandhicittaṃ uppajjati. Ayaṃ navattabbārammaṇāya sugaticutiyā anantarā atītapaccuppannanavattabbānaṃ aññatarārammaṇā paṭisandhi.
เอเตนานุสาเรน อารุปฺปจุติยาปิ อนนฺตรา ปฎิสนฺธิ เวทิตพฺพาฯ อยํ อตีตนวตฺตพฺพารมฺมณาย สุคติจุติยา อนนฺตรา อตีตนวตฺตพฺพปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณาย ปฎิสนฺธิยา ปวตฺตนากาโรฯ
Etenānusārena āruppacutiyāpi anantarā paṭisandhi veditabbā. Ayaṃ atītanavattabbārammaṇāya sugaticutiyā anantarā atītanavattabbapaccuppannārammaṇāya paṭisandhiyā pavattanākāro.
ทุคฺคติยํ ฐิตสฺส ปน ปาปกมฺมิโน วุตฺตนเยเนว ตํ กมฺมํ กมฺมนิมิตฺตํ คตินิมิตฺตํ วา มโนทฺวาเร, ปญฺจทฺวาเร ปน อกุสลุปฺปตฺติเหตุภูตํ อารมฺมณํ อาปาถมาคจฺฉติฯ อถสฺส ยถากฺกเมน จุติจิตฺตาวสาเน ทุคฺคติปริยาปนฺนํ เตสุ อารมฺมเณสุ อญฺญตรารมฺมณํ ปฎิสนฺธิจิตฺตํ อุปฺปชฺชติฯ อยํ อตีตารมฺมณาย ทุคฺคติจุติยา อนนฺตรา อตีตปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณาย ปฎิสนฺธิยา ปวตฺตนากาโรติฯ เอตฺตาวตา เอกูนวีสติวิธสฺสาปิ วิญฺญาณสฺส ปฎิสนฺธิวเสน ปวตฺติ ทีปิตา โหติฯ
Duggatiyaṃ ṭhitassa pana pāpakammino vuttanayeneva taṃ kammaṃ kammanimittaṃ gatinimittaṃ vā manodvāre, pañcadvāre pana akusaluppattihetubhūtaṃ ārammaṇaṃ āpāthamāgacchati. Athassa yathākkamena cuticittāvasāne duggatipariyāpannaṃ tesu ārammaṇesu aññatarārammaṇaṃ paṭisandhicittaṃ uppajjati. Ayaṃ atītārammaṇāya duggaticutiyā anantarā atītapaccuppannārammaṇāya paṭisandhiyā pavattanākāroti. Ettāvatā ekūnavīsatividhassāpi viññāṇassa paṭisandhivasena pavatti dīpitā hoti.
ตยิทํ สพฺพมฺปิ เอวํ –
Tayidaṃ sabbampi evaṃ –
ปวตฺตมานํ สนฺธิมฺหิ, ทฺวิธา กเมฺมน วตฺตติ;
Pavattamānaṃ sandhimhi, dvidhā kammena vattati;
มิสฺสาทีหิ จ เภเทหิ, เภทสฺส ทุวิธาทิโกฯ
Missādīhi ca bhedehi, bhedassa duvidhādiko.
อิทญฺหิ เอกูนวีสติวิธมฺปิ วิปากวิญฺญาณํ ปฎิสนฺธิมฺหิ ปวตฺตมานํ ทฺวิธา กเมฺมน วตฺตติฯ ยถาสกญฺหิ เอตสฺส ชนกํ กมฺมํ นานากฺขณิกกมฺมปฺปจฺจเยน เจว อุปนิสฺสยปจฺจเยน จ ปจฺจโย โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘กุสลากุสลํ กมฺมํ วิปากสฺส อุปนิสฺสยปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๒๓)ฯ เอวํ วตฺตมานสฺส ปนสฺส มิสฺสาทีหิ เภเทหิ ทุวิธาทิโกปิ เภโท เวทิตโพฺพ, เสยฺยถิทํ – อิทญฺหิ ปฎิสนฺธิวเสน เอกธา วตฺตมานมฺปิ รูเปน สห มิสฺสามิสฺสเภทโต ทุวิธํ, กามรูปารูปภวเภทโต ติวิธํ, อณฺฑชชลาพุชสํเสทชโอปปาติกโยนิวเสน จตุพฺพิธํ, คติวเสน ปญฺจวิธํ, วิญฺญาณฎฺฐิติวเสน สตฺตวิธํ, สตฺตาวาสวเสน อฎฺฐวิธํ โหติฯ ตตฺถ –
Idañhi ekūnavīsatividhampi vipākaviññāṇaṃ paṭisandhimhi pavattamānaṃ dvidhā kammena vattati. Yathāsakañhi etassa janakaṃ kammaṃ nānākkhaṇikakammappaccayena ceva upanissayapaccayena ca paccayo hoti. Vuttañhetaṃ ‘‘kusalākusalaṃ kammaṃ vipākassa upanissayapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 1.1.423). Evaṃ vattamānassa panassa missādīhi bhedehi duvidhādikopi bhedo veditabbo, seyyathidaṃ – idañhi paṭisandhivasena ekadhā vattamānampi rūpena saha missāmissabhedato duvidhaṃ, kāmarūpārūpabhavabhedato tividhaṃ, aṇḍajajalābujasaṃsedajaopapātikayonivasena catubbidhaṃ, gativasena pañcavidhaṃ, viññāṇaṭṭhitivasena sattavidhaṃ, sattāvāsavasena aṭṭhavidhaṃ hoti. Tattha –
มิสฺสํ ทฺวิธา ภาวเภทา, สภาวํ ตตฺถ จ ทฺวิธา;
Missaṃ dvidhā bhāvabhedā, sabhāvaṃ tattha ca dvidhā;
เทฺว วา ตโย วา ทสกา, โอมโต อาทินา สหฯ
Dve vā tayo vā dasakā, omato ādinā saha.
‘มิสฺสํ ทฺวิธา ภาวเภทา’ติ ยเญฺหตเมตฺถ อญฺญตฺร อรูปภวา รูปมิสฺสํ ปฎิสนฺธิวิญฺญาณํ อุปฺปชฺชติ, ตํ รูปภเว อิตฺถินฺทฺริยปุริสินฺทฺริยสงฺขาเตน ภาเวน วินา อุปฺปตฺติโต กามภเว อญฺญตฺร ชาติปณฺฑกปฎิสนฺธิยา ภาเวน สห อุปฺปตฺติโต สภาวํ อภาวนฺติ ทุวิธํ โหติฯ
‘Missaṃdvidhā bhāvabhedā’ti yañhetamettha aññatra arūpabhavā rūpamissaṃ paṭisandhiviññāṇaṃ uppajjati, taṃ rūpabhave itthindriyapurisindriyasaṅkhātena bhāvena vinā uppattito kāmabhave aññatra jātipaṇḍakapaṭisandhiyā bhāvena saha uppattito sabhāvaṃ abhāvanti duvidhaṃ hoti.
‘สภาวํ ตตฺถ จ ทฺวิธา’ติ ตตฺถาปิ จ ยํ สภาวํ ตํ อิตฺถิปุริสภาวานํ อญฺญตเรน สห อุปฺปตฺติโต ทุวิธเมว โหติฯ
‘Sabhāvaṃ tattha ca dvidhā’ti tatthāpi ca yaṃ sabhāvaṃ taṃ itthipurisabhāvānaṃ aññatarena saha uppattito duvidhameva hoti.
‘เทฺว วา ตโย วา ทสกา, โอมโต อาทินา สหา’ติ ยเญฺหตเมตฺถ มิสฺสํ อมิสฺสนฺติ ทฺวเย อาทิภูตํ รูปมิสฺสํ ปฎิสนฺธิวิญฺญาณํ, เตน สห วตฺถุกายทสกวเสน เทฺว วา วตฺถุกายภาวทสกวเสน ตโย วา ทสกา โอมโต อุปฺปชฺชนฺติ, นตฺถิ อิโต ปรํ รูปปริหานีติฯ ตํ ปเนตํ เอวํ โอมกปริมาณํ อุปฺปชฺชมานํ อณฺฑชชลาพุชนามิกาสุ ทฺวีสุ โยนีสุ ชาติอุณฺณาย เอเกน อํสุนา อุทฺธตเตลสปฺปิมณฺฑปฺปมาณํ กลลนฺติ ลทฺธสงฺขํ หุตฺวา อุปฺปชฺชติฯ ตตฺถ โยนีนํ คติวเสน สมฺภวเภโท เวทิตโพฺพฯ เอตาสุ หิ –
‘Dvevā tayo vā dasakā, omato ādinā sahā’ti yañhetamettha missaṃ amissanti dvaye ādibhūtaṃ rūpamissaṃ paṭisandhiviññāṇaṃ, tena saha vatthukāyadasakavasena dve vā vatthukāyabhāvadasakavasena tayo vā dasakā omato uppajjanti, natthi ito paraṃ rūpaparihānīti. Taṃ panetaṃ evaṃ omakaparimāṇaṃ uppajjamānaṃ aṇḍajajalābujanāmikāsu dvīsu yonīsu jātiuṇṇāya ekena aṃsunā uddhatatelasappimaṇḍappamāṇaṃ kalalanti laddhasaṅkhaṃ hutvā uppajjati. Tattha yonīnaṃ gativasena sambhavabhedo veditabbo. Etāsu hi –
นิรเย ภุมฺมวเชฺชสุ, เทเวสุ จ น โยนิโย;
Niraye bhummavajjesu, devesu ca na yoniyo;
ติโสฺส ปุริมิกา โหนฺติ, จตโสฺสปิ คติตฺตเยฯ
Tisso purimikā honti, catassopi gatittaye.
ตตฺถ เทเวสุ จาติ จสเทฺทน ยถา นิรเย จ ภุมฺมวเชฺชสุ จ เทเวสุ, เอวํ นิชฺฌามตณฺหิกเปเตสุ จ ปุริมิกา ติโสฺส โยนิโย น สนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ โอปปาติกา เอว หิ เต โหนฺติฯ เสเส ปน ติรจฺฉานเปตฺติวิสยมนุสฺสสงฺขาเต คติตฺตเย ปุเพฺพ วชฺชิตภุมฺมเทเวสุ จ จตโสฺส โยนิโย โหนฺติฯ ตตฺถ –
Tattha devesu cāti casaddena yathā niraye ca bhummavajjesu ca devesu, evaṃ nijjhāmataṇhikapetesu ca purimikā tisso yoniyo na santīti veditabbā. Opapātikā eva hi te honti. Sese pana tiracchānapettivisayamanussasaṅkhāte gatittaye pubbe vajjitabhummadevesu ca catasso yoniyo honti. Tattha –
ติํส นว เจว รูปีสุ, สตฺตติ อุกฺกํสโตว รูปานิ;
Tiṃsa nava ceva rūpīsu, sattati ukkaṃsatova rūpāni;
สํเสทโชปปาตีสุ, อถ วา อวกํสโต ติํสฯ
Saṃsedajopapātīsu, atha vā avakaṃsato tiṃsa.
รูปีพฺรเหฺมสุ ตาว โอปปาติกโยนิเกสุ จกฺขุโสตวตฺถุทสกานํ ชีวิตนวกสฺส จาติ จตุนฺนํ กลาปานํ วเสน ติํส จ นว จ ปฎิสนฺธิวิญฺญาเณน สห รูปานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ รูปีพฺรเหฺม ปน ฐเปตฺวา อเญฺญสุ สํเสทชโอปปาติเกสุ อุกฺกํสโต จกฺขุโสตฆานชิวฺหากายภาววตฺถุทสกานํ วเสน สตฺตติฯ ตานิ จ นิจฺจํ เทเวสุฯ ตตฺถ วโณฺณ คโนฺธ รโส โอชา จตโสฺส จาปิ ธาตุโย จกฺขุปสาโท ชีวิตินฺทฺริยนฺติ อยํ ทสรูปปริมาโณ รูปปุโญฺช จกฺขุทสโก นามฯ เอวํ เสสา เวทิตพฺพาฯ อวกํสโต ปน ชจฺจนฺธพธิรอฆานกนปุํสกสฺส ชิวฺหากายวตฺถุทสกานํ วเสน ติํส รูปานิ อุปฺปชฺชนฺติฯ อุกฺกํสาวกํสานํ ปน อนฺตเร อนุรูปโต วิกโปฺป เวทิตโพฺพฯ
Rūpībrahmesu tāva opapātikayonikesu cakkhusotavatthudasakānaṃ jīvitanavakassa cāti catunnaṃ kalāpānaṃ vasena tiṃsa ca nava ca paṭisandhiviññāṇena saha rūpāni uppajjanti. Rūpībrahme pana ṭhapetvā aññesu saṃsedajaopapātikesu ukkaṃsato cakkhusotaghānajivhākāyabhāvavatthudasakānaṃ vasena sattati. Tāni ca niccaṃ devesu. Tattha vaṇṇo gandho raso ojā catasso cāpi dhātuyo cakkhupasādo jīvitindriyanti ayaṃ dasarūpaparimāṇo rūpapuñjo cakkhudasako nāma. Evaṃ sesā veditabbā. Avakaṃsato pana jaccandhabadhiraaghānakanapuṃsakassa jivhākāyavatthudasakānaṃ vasena tiṃsa rūpāni uppajjanti. Ukkaṃsāvakaṃsānaṃ pana antare anurūpato vikappo veditabbo.
เอวํ วิทิตฺวา ปุน –
Evaṃ viditvā puna –
ขนฺธารมฺมณคติเหตุ-เวทนาปีติวิตกฺกวิจาเรหิ;
Khandhārammaṇagatihetu-vedanāpītivitakkavicārehi;
เภทาเภทวิเสโส, จุติสนฺธีนํ ปริเญฺญโยฺยฯ
Bhedābhedaviseso, cutisandhīnaṃ pariññeyyo.
ยาเหสา มิสฺสามิสฺสโต ทุวิธา ปฎิสนฺธิ, ยา จสฺสา อตีตานนฺตรา จุติ, ตาสํ อิเมหิ ขนฺธาทีหิ เภทาเภทวิเสโส ญาตโพฺพติ อโตฺถฯ
Yāhesā missāmissato duvidhā paṭisandhi, yā cassā atītānantarā cuti, tāsaṃ imehi khandhādīhi bhedābhedaviseso ñātabboti attho.
กถํ? กทาจิ จตุกฺขนฺธาย อารุปฺปจุติยา อนนฺตรา จตุกฺขนฺธาว อารมฺมณโตปิ อภินฺนา ปฎิสนฺธิ โหติ, กทาจิ อมหคฺคตพหิทฺธารมฺมณาย มหคฺคตอชฺฌตฺตารมฺมณาฯ อยํ ตาว อรูปภูมีสุเยว นโยฯ กทาจิ ปน จตุกฺขนฺธาย อารุปฺปจุติยา อนนฺตรา ปญฺจกฺขนฺธา กามาวจรา ปฎิสนฺธิฯ กทาจิ ปญฺจกฺขนฺธาย กามาวจรจุติยา รูปาวจรจุติยา วา อนนฺตรา จตุกฺขนฺธา อารุปฺปปฎิสนฺธิฯ เอวํ อตีตารมฺมณจุติยา อตีตนวตฺตพฺพปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณา ปฎิสนฺธิ, เอกจฺจสุคติจุติยา เอกจฺจทุคฺคติปฎิสนฺธิ, อเหตุกจุติยา สเหตุกปฎิสนฺธิ, ทุเหตุกจุติยา ติเหตุกปฎิสนฺธิ, อุเปกฺขาสหคตจุติยา โสมนสฺสสหคตปฎิสนฺธิ, อปฺปีติกจุติยา สปฺปีติกปฎิสนฺธิ, อวิตกฺกจุติยา สวิตกฺกปฎิสนฺธิ, อวิจารจุติยา สวิจารปฎิสนฺธิ, อวิตกฺกอวิจารจุติยา สวิตกฺกสวิจารปฎิสนฺธีติ ตสฺส ตสฺส วิปรีตโต จ ยถาโยคํ โยเชตพฺพํฯ
Kathaṃ? Kadāci catukkhandhāya āruppacutiyā anantarā catukkhandhāva ārammaṇatopi abhinnā paṭisandhi hoti, kadāci amahaggatabahiddhārammaṇāya mahaggataajjhattārammaṇā. Ayaṃ tāva arūpabhūmīsuyeva nayo. Kadāci pana catukkhandhāya āruppacutiyā anantarā pañcakkhandhā kāmāvacarā paṭisandhi. Kadāci pañcakkhandhāya kāmāvacaracutiyā rūpāvacaracutiyā vā anantarā catukkhandhā āruppapaṭisandhi. Evaṃ atītārammaṇacutiyā atītanavattabbapaccuppannārammaṇā paṭisandhi, ekaccasugaticutiyā ekaccaduggatipaṭisandhi, ahetukacutiyā sahetukapaṭisandhi, duhetukacutiyā tihetukapaṭisandhi, upekkhāsahagatacutiyā somanassasahagatapaṭisandhi, appītikacutiyā sappītikapaṭisandhi, avitakkacutiyā savitakkapaṭisandhi, avicāracutiyā savicārapaṭisandhi, avitakkaavicāracutiyā savitakkasavicārapaṭisandhīti tassa tassa viparītato ca yathāyogaṃ yojetabbaṃ.
ลทฺธปฺปจฺจยมิติธมฺม-มตฺตเมตํ ภวนฺตรมุเปติ;
Laddhappaccayamitidhamma-mattametaṃ bhavantaramupeti;
นาสฺส ตโต สงฺกนฺติ, น ตโต เหตุํ วินา โหติฯ
Nāssa tato saṅkanti, na tato hetuṃ vinā hoti.
อิติ เหตํ ลทฺธปจฺจยํ รูปารูปธมฺมมตฺตํ อุปฺปชฺชมานํ ภวนฺตรํ อุเปตีติ วุจฺจติ, น สโตฺต, น ชีโวฯ ตสฺส นาปิ อตีตภวโต อิธ สงฺกนฺติ อตฺถิ, นาปิ ตโต เหตุํ วินา อิธ ปาตุภาโวฯ ตยิทํ ปากเฎน มนุสฺสจุติปฎิสนฺธิกฺกเมน ปกาสยิสฺสาม –
Iti hetaṃ laddhapaccayaṃ rūpārūpadhammamattaṃ uppajjamānaṃ bhavantaraṃ upetīti vuccati, na satto, na jīvo. Tassa nāpi atītabhavato idha saṅkanti atthi, nāpi tato hetuṃ vinā idha pātubhāvo. Tayidaṃ pākaṭena manussacutipaṭisandhikkamena pakāsayissāma –
อตีตภวสฺมิญฺหิ สรเสน อุปกฺกเมน วา สมาสนฺนมรณสฺส อสยฺหานํ สพฺพงฺคปจฺจงฺคสนฺธิพนฺธนเจฺฉทกานํ มารณนฺติกเวทนาสตฺตานํ สนฺนิปาตํ อสหนฺตสฺส อาตเป ปกฺขิตฺตหริตตาลปณฺณมิว กเมน อุปสุสฺสมาเน สรีเร นิรุเทฺธสุ จกฺขาทีสุ อินฺทฺริเยสุ หทยวตฺถุมเตฺต ปติฎฺฐิเตสุ กายินฺทฺริยมนินฺทฺริยชีวิตินฺทฺริเยสุ ตงฺขณาวเสสํ หทยวตฺถุสนฺนิสฺสิตํ วิญฺญาณํ ครุสมาเสวิตาสนฺนปุพฺพกตานํ อญฺญตรํ ลทฺธาวเสสปจฺจยสงฺขารสงฺขาตํ กมฺมํ วา ตทุปฎฺฐาปิตํ วา กมฺมนิมิตฺตคตินิมิตฺตสงฺขาตํ วิสยมารพฺภ ปวตฺตติฯ ตเทวํ ปวตฺตมานํ ตณฺหาอวิชฺชานํ อปฺปหีนตฺตา อวิชฺชาปฎิจฺฉาทิตาทีนเว ตสฺมิํ วิสเย ตณฺหา นาเมติ , สหชาตสงฺขารา ขิปนฺติฯ ตํ สนฺตติวเสน ตณฺหาย นามิยมานํ สงฺขาเรหิ ขิปฺปมานํ โอริมตีรรุกฺขวินิพทฺธรชฺชุมาลมฺพิตฺวา มาติกาติกฺกมโก วิย ปุริมญฺจ นิสฺสยํ ชหติ, อปรญฺจ กมฺมสมุฎฺฐาปิตํ นิสฺสยํ อสฺสาทยมานํ วา อนสฺสาทยมานํ วา อารมฺมณาทีหิเยว ปจฺจเยหิ ปวตฺตติฯ
Atītabhavasmiñhi sarasena upakkamena vā samāsannamaraṇassa asayhānaṃ sabbaṅgapaccaṅgasandhibandhanacchedakānaṃ māraṇantikavedanāsattānaṃ sannipātaṃ asahantassa ātape pakkhittaharitatālapaṇṇamiva kamena upasussamāne sarīre niruddhesu cakkhādīsu indriyesu hadayavatthumatte patiṭṭhitesu kāyindriyamanindriyajīvitindriyesu taṅkhaṇāvasesaṃ hadayavatthusannissitaṃ viññāṇaṃ garusamāsevitāsannapubbakatānaṃ aññataraṃ laddhāvasesapaccayasaṅkhārasaṅkhātaṃ kammaṃ vā tadupaṭṭhāpitaṃ vā kammanimittagatinimittasaṅkhātaṃ visayamārabbha pavattati. Tadevaṃ pavattamānaṃ taṇhāavijjānaṃ appahīnattā avijjāpaṭicchāditādīnave tasmiṃ visaye taṇhā nāmeti , sahajātasaṅkhārā khipanti. Taṃ santativasena taṇhāya nāmiyamānaṃ saṅkhārehi khippamānaṃ orimatīrarukkhavinibaddharajjumālambitvā mātikātikkamako viya purimañca nissayaṃ jahati, aparañca kammasamuṭṭhāpitaṃ nissayaṃ assādayamānaṃ vā anassādayamānaṃ vā ārammaṇādīhiyeva paccayehi pavattati.
เอตฺถ จ ปุริมํ จวนโต จุติ, ปจฺฉิมํ ภวนฺตราทิปฎิสนฺธานโต ปฎิสนฺธีติ วุจฺจติฯ ตเทตํ นาปิ ปุริมภวา อิธ อาคตํ, นาปิ ตโต กมฺมสงฺขารนติวิสยาทิเหตุํ วินา ปาตุภูตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Ettha ca purimaṃ cavanato cuti, pacchimaṃ bhavantarādipaṭisandhānato paṭisandhīti vuccati. Tadetaṃ nāpi purimabhavā idha āgataṃ, nāpi tato kammasaṅkhāranativisayādihetuṃ vinā pātubhūtanti veditabbaṃ.
สิยุํ นิทสฺสนาเนตฺถ, ปฎิโฆสาทิกา อถ;
Siyuṃ nidassanānettha, paṭighosādikā atha;
สนฺตานพนฺธโต นตฺถิ, เอกตา นาปิ นานตาฯ
Santānabandhato natthi, ekatā nāpi nānatā.
เอตฺถ เจตสฺส วิญฺญาณสฺส ปุริมภวโต อิธ อนาคมเน อตีตภวปริยาปนฺนเหตูหิ จ อุปฺปาเท ปฎิโฆสปทีปมุทฺทาปฎิพิมฺพปฺปการา ธมฺมา นิทสฺสนานิ สิยุํฯ ยถา หิ ปฎิโฆสปทีปมุทฺทจฺฉายา สทฺทาทิเหตุกา อญฺญตฺร อคนฺตฺวา โหนฺติ, เอวเมว อิทํ จิตฺตํฯ เอตฺถ จ ‘สนฺตานพนฺธโต นตฺถิ เอกตา นาปิ นานตา’ฯ ยทิ หิ สนฺตานพเนฺธ สติ เอกนฺตเมกตา ภเวยฺย, น ขีรโต ทธิ สมฺภูตํ สิยาฯ อถาปิ เอกนฺตนานตา ภเวยฺย, น ขีรสฺสาธีโน ทธิ สิยาฯ เอส นโย สพฺพเหตุเหตุสมุปฺปเนฺนสุฯ เอวญฺจ สติ สพฺพโลกโวหารโลโป สิยาฯ โส จ อนิโฎฺฐฯ ตสฺมา เอตฺถ น เอกนฺตเมกตา วา นานตา วา อุปคนฺตพฺพาติฯ
Ettha cetassa viññāṇassa purimabhavato idha anāgamane atītabhavapariyāpannahetūhi ca uppāde paṭighosapadīpamuddāpaṭibimbappakārā dhammā nidassanāni siyuṃ. Yathā hi paṭighosapadīpamuddacchāyā saddādihetukā aññatra agantvā honti, evameva idaṃ cittaṃ. Ettha ca ‘santānabandhato natthi ekatā nāpi nānatā’. Yadi hi santānabandhe sati ekantamekatā bhaveyya, na khīrato dadhi sambhūtaṃ siyā. Athāpi ekantanānatā bhaveyya, na khīrassādhīno dadhi siyā. Esa nayo sabbahetuhetusamuppannesu. Evañca sati sabbalokavohāralopo siyā. So ca aniṭṭho. Tasmā ettha na ekantamekatā vā nānatā vā upagantabbāti.
เอตฺถาห – นนุ เอวํ อสงฺกนฺติปาตุภาเว สติ เย อิมสฺมิํ มนุสฺสตฺตภาเว ขนฺธา, เตสํ นิรุทฺธตฺตา ผลปจฺจยสฺส จ กมฺมสฺส ตตฺถ อคมนโต อญฺญสฺส อญฺญโต จ ตํ ผลํ สิยา? อุปภุญฺชเก จ อสติ กสฺส ตํ ผลํ สิยา? ตสฺมา น สุนฺทรมิทํ วิธานนฺติฯ ตตฺริทํ วุจฺจติ –
Etthāha – nanu evaṃ asaṅkantipātubhāve sati ye imasmiṃ manussattabhāve khandhā, tesaṃ niruddhattā phalapaccayassa ca kammassa tattha agamanato aññassa aññato ca taṃ phalaṃ siyā? Upabhuñjake ca asati kassa taṃ phalaṃ siyā? Tasmā na sundaramidaṃ vidhānanti. Tatridaṃ vuccati –
สนฺตาเน ยํ ผลํ เอตํ, นาญฺญสฺส น จ อญฺญโต;
Santāne yaṃ phalaṃ etaṃ, nāññassa na ca aññato;
พีชานํ อภิสงฺขาโร, เอตสฺสตฺถสฺส สาธโกฯ
Bījānaṃ abhisaṅkhāro, etassatthassa sādhako.
เอกสนฺตานสฺมิญฺหิ ผลมุปฺปชฺชมานํ ตตฺถ เอกนฺตํ เอกตฺตนานตฺตานํ ปฎิสิทฺธตฺตา อญฺญสฺสาติ วา อญฺญโตติ วา น โหติฯ เอตสฺส จ ปนตฺถสฺส พีชานํ อภิสงฺขาโร สาธโกฯ อมฺพพีชาทีนญฺหิ อภิสงฺขาเรสุ กเตสุ ตสฺส พีชสฺส สนฺตาเน ลทฺธปจฺจโย กาลนฺตเร ผลวิเสโส อุปฺปชฺชมาโน น อญฺญพีชานํ นาปิ อญฺญาภิสงฺขารปจฺจยา อุปฺปชฺชติ, น จ ตานิ พีชานิ เต อภิสงฺขารา วา ผลฎฺฐานํ ปาปุณนฺติฯ เอวํ สมฺปทมิทํ เวทิตพฺพํฯ วิชฺชาสิโปฺปสธาทีหิ จาปิ พาลสรีเร อุปยุเตฺตหิ กาลนฺตเร วุฑฺฒสรีราทีสุ ผลเทหิ อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Ekasantānasmiñhi phalamuppajjamānaṃ tattha ekantaṃ ekattanānattānaṃ paṭisiddhattā aññassāti vā aññatoti vā na hoti. Etassa ca panatthassa bījānaṃ abhisaṅkhāro sādhako. Ambabījādīnañhi abhisaṅkhāresu katesu tassa bījassa santāne laddhapaccayo kālantare phalaviseso uppajjamāno na aññabījānaṃ nāpi aññābhisaṅkhārapaccayā uppajjati, na ca tāni bījāni te abhisaṅkhārā vā phalaṭṭhānaṃ pāpuṇanti. Evaṃ sampadamidaṃ veditabbaṃ. Vijjāsipposadhādīhi cāpi bālasarīre upayuttehi kālantare vuḍḍhasarīrādīsu phaladehi ayamattho veditabbo.
ยมฺปิ วุตฺตํ ‘อุปภุญฺชเก จ อสติ กสฺส ตํ ผลํ สิยา’ติ? ตตฺถ –
Yampi vuttaṃ ‘upabhuñjake ca asati kassa taṃ phalaṃ siyā’ti? Tattha –
ผลสฺสุปฺปตฺติยา เอว, สิทฺธา ภุญฺชกสมฺมุติ;
Phalassuppattiyā eva, siddhā bhuñjakasammuti;
ผลุปฺปาเทน รุกฺขสฺส, ยถา ผลติ สมฺมุติฯ
Phaluppādena rukkhassa, yathā phalati sammuti.
ยถา หิ รุกฺขสงฺขาตานํ ธมฺมานํ เอกเทสภูตสฺส รุกฺขผลสฺส อุปฺปตฺติยา เอว รุโกฺข ผลตีติ วา ผลิโตติ วา วุจฺจติ, ตถา เทวมนุสฺสสงฺขาตานํ ขนฺธานํ เอกเทสภูตสฺส อุปโภคสงฺขาตสฺส สุขทุกฺขผลสฺส อุปฺปาเทเนว เทโว วา มนุโสฺส วา อุปภุญฺชตีติ วา สุขิโตติ วา ทุกฺขิโตติ วา วุจฺจติฯ ตสฺมา น เอตฺถ อเญฺญน อุปภุญฺชเกน นาม โกจิ อโตฺถ อตฺถีติฯ
Yathā hi rukkhasaṅkhātānaṃ dhammānaṃ ekadesabhūtassa rukkhaphalassa uppattiyā eva rukkho phalatīti vā phalitoti vā vuccati, tathā devamanussasaṅkhātānaṃ khandhānaṃ ekadesabhūtassa upabhogasaṅkhātassa sukhadukkhaphalassa uppādeneva devo vā manusso vā upabhuñjatīti vā sukhitoti vā dukkhitoti vā vuccati. Tasmā na ettha aññena upabhuñjakena nāma koci attho atthīti.
โยปิ วเทยฺย – ‘เอวํ สเนฺตปิ เอเต สงฺขารา วิชฺชมานา วา ผลสฺส ปจฺจยา สิยุํ, อวิชฺชมานา วาฯ ยทิ จ วิชฺชมานา ปวตฺติกฺขเณเยว เนสํ วิปาเกน ภวิตพฺพํฯ อถ อวิชฺชมานา, ปวตฺติโต ปุเพฺพ จ ปจฺฉา จ นิจฺจํ ผลาวหา สิยุ’นฺติฯ โส เอวํ วตฺตโพฺพ –
Yopi vadeyya – ‘evaṃ santepi ete saṅkhārā vijjamānā vā phalassa paccayā siyuṃ, avijjamānā vā. Yadi ca vijjamānā pavattikkhaṇeyeva nesaṃ vipākena bhavitabbaṃ. Atha avijjamānā, pavattito pubbe ca pacchā ca niccaṃ phalāvahā siyu’nti. So evaṃ vattabbo –
กตตฺตา ปจฺจยา เอเต, น จ นิจฺจํ ผลาวหา;
Katattā paccayā ete, na ca niccaṃ phalāvahā;
ปาฎิโภคาทิกํ ตตฺถ, เวทิตพฺพํ นิทสฺสนํฯ
Pāṭibhogādikaṃ tattha, veditabbaṃ nidassanaṃ.
กตตฺตา เอว หิ สงฺขารา อตฺตโน ผลสฺส ปจฺจยา โหนฺติ, น วิชฺชมานตฺตา วา อวิชฺชมานตฺตา วาฯ ยถาห ‘‘กามาวจรสฺส กุสลสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา อุปจิตตฺตา วิปากํ จกฺขุวิญฺญาณํ อุปฺปนฺนํ โหตี’’ติอาทิ (ธ. ส. ๔๓๑)ฯ ยถารหสฺส อตฺตโน ผลสฺส จ ปจฺจยา หุตฺวา น ปุน ผลาวหา โหนฺติ วิปกฺกวิปากตฺตาฯ เอตสฺส จตฺถสฺส วิภาวเน อิทํ ปาฎิโภคาทิกํ นิทสฺสนํ เวทิตพฺพํฯ
Katattā eva hi saṅkhārā attano phalassa paccayā honti, na vijjamānattā vā avijjamānattā vā. Yathāha ‘‘kāmāvacarassa kusalassa kammassa katattā upacitattā vipākaṃ cakkhuviññāṇaṃ uppannaṃ hotī’’tiādi (dha. sa. 431). Yathārahassa attano phalassa ca paccayā hutvā na puna phalāvahā honti vipakkavipākattā. Etassa catthassa vibhāvane idaṃ pāṭibhogādikaṃ nidassanaṃ veditabbaṃ.
ยถา หิ โลเก โย กสฺสจิ อตฺถสฺส นิยฺยาตนตฺถํ ปาฎิโภโค โหติ, ภณฺฑํ วา กิณาติ, อิณํ วา คณฺหาติฯ ตสฺส ตํ กิริยากรณมตฺตเมว ตทตฺถนิยฺยาตนาทิมฺหิ ปจฺจโย โหติ, น กิริยาย วิชฺชมานตา วา อวิชฺชมานตา วาฯ น จ ตทตฺถนิยฺยาตนาทิโต ปรมฺปิ ธารโกว โหติฯ กสฺมา? นิยฺยาตนาทีนํ กตตฺตาฯ เอวํ กตตฺตาว สงฺขาราปิ อตฺตโน ผลสฺส ปจฺจยา โหนฺติ, น จ ยถารหํ ผลทานโต ปรมฺปิ ผลาวหา โหนฺตีติฯ เอตฺตาวตา มิสฺสามิสฺสวเสน ทฺวิธาปิ ปวตฺตมานสฺส ปฎิสนฺธิวิญฺญาณสฺส สงฺขารปจฺจยา ปวตฺติ ทีปิตา โหติฯ
Yathā hi loke yo kassaci atthassa niyyātanatthaṃ pāṭibhogo hoti, bhaṇḍaṃ vā kiṇāti, iṇaṃ vā gaṇhāti. Tassa taṃ kiriyākaraṇamattameva tadatthaniyyātanādimhi paccayo hoti, na kiriyāya vijjamānatā vā avijjamānatā vā. Na ca tadatthaniyyātanādito parampi dhārakova hoti. Kasmā? Niyyātanādīnaṃ katattā. Evaṃ katattāva saṅkhārāpi attano phalassa paccayā honti, na ca yathārahaṃ phaladānato parampi phalāvahā hontīti. Ettāvatā missāmissavasena dvidhāpi pavattamānassa paṭisandhiviññāṇassa saṅkhārapaccayā pavatti dīpitā hoti.
อิทานิ สเพฺพเสฺวเตสุ พตฺติํสวิญฺญาเณสุ สโมฺมหวิฆาตตฺถํ –
Idāni sabbesvetesu battiṃsaviññāṇesu sammohavighātatthaṃ –
ปฎิสนฺธิปฺปวตฺตีนํ , วเสเนเต ภวาทิสุ;
Paṭisandhippavattīnaṃ , vasenete bhavādisu;
วิชานิตพฺพา สงฺขารา, ยถา เยสญฺจ ปจฺจยาฯ
Vijānitabbā saṅkhārā, yathā yesañca paccayā.
ตตฺถ ตโย ภวา, จตโสฺส โยนิโย, ปญฺจ คติโย, สตฺต วิญฺญาณฎฺฐิติโย, นว สตฺตาวาสาติ เอเต ภวาทโย นามฯ เอเตสุ ภวาทีสุ ปฎิสนฺธิยํ ปวเตฺต จ เอเต เยสํ วิปากวิญฺญาณานํ ปจฺจยา ยถา จ ปจฺจยา โหนฺติ ตถา วิชานิตพฺพาติ อโตฺถฯ
Tattha tayo bhavā, catasso yoniyo, pañca gatiyo, satta viññāṇaṭṭhitiyo, nava sattāvāsāti ete bhavādayo nāma. Etesu bhavādīsu paṭisandhiyaṃ pavatte ca ete yesaṃ vipākaviññāṇānaṃ paccayā yathā ca paccayā honti tathā vijānitabbāti attho.
ตตฺถ – ปุญฺญาภิสงฺขาเร ตาว กามาวจรอฎฺฐเจตนาเภโท ปุญฺญาภิสงฺขาโร อวิเสเสน กามภเว สุคติยํ นวนฺนํ วิปากวิญฺญาณานํ ปฎิสนฺธิยํ นานากฺขณิกกมฺมปจฺจเยน เจว อุปนิสฺสยปจฺจเยน จาติ ทฺวิธา ปจฺจโยฯ รูปาวจรปญฺจกุสลเจตนาเภโท ปุญฺญาภิสงฺขาโร รูปภเว ปฎิสนฺธิยํ เอว ปญฺจนฺนํฯ วุตฺตปฺปเภทกามาวจโร ปน กามภเว สุคติยํ อุเปกฺขาสหคตาเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุวชฺชานํ สตฺตนฺนํ ปริตฺตวิปากวิญฺญาณานํ วุตฺตนเยเนว ทฺวิธา ปจฺจโย ปวเตฺต, โน ปฎิสนฺธิยํฯ เสฺวว รูปภเว ปญฺจนฺนํ วิปากวิญฺญาณานํ ตเถว ปจฺจโย ปวเตฺต, โน ปฎิสนฺธิยํฯ กามภเว ปน ทุคฺคติยํ อฎฺฐนฺนมฺปิ ปริตฺตวิปากวิญฺญาณานํ ตเถว ปจฺจโย ปวเตฺต, โน ปฎิสนฺธิยํฯ
Tattha – puññābhisaṅkhāre tāva kāmāvacaraaṭṭhacetanābhedo puññābhisaṅkhāro avisesena kāmabhave sugatiyaṃ navannaṃ vipākaviññāṇānaṃ paṭisandhiyaṃ nānākkhaṇikakammapaccayena ceva upanissayapaccayena cāti dvidhā paccayo. Rūpāvacarapañcakusalacetanābhedo puññābhisaṅkhāro rūpabhave paṭisandhiyaṃ eva pañcannaṃ. Vuttappabhedakāmāvacaro pana kāmabhave sugatiyaṃ upekkhāsahagatāhetukamanoviññāṇadhātuvajjānaṃ sattannaṃ parittavipākaviññāṇānaṃ vuttanayeneva dvidhā paccayo pavatte, no paṭisandhiyaṃ. Sveva rūpabhave pañcannaṃ vipākaviññāṇānaṃ tatheva paccayo pavatte, no paṭisandhiyaṃ. Kāmabhave pana duggatiyaṃ aṭṭhannampi parittavipākaviññāṇānaṃ tatheva paccayo pavatte, no paṭisandhiyaṃ.
ตตฺถ นิรเย มหาโมคฺคลฺลานเตฺถรสฺส นรกจาริกาทีสุ อิฎฺฐารมฺมณสมาโยเค โส ปจฺจโย โหติฯ ติรจฺฉาเนสุ ปน นาคสุปณฺณเปตมหิทฺธิเกสุ จ อิฎฺฐารมฺมณํ ลพฺภติเยวฯ เสฺวว กามภเว สุคติยํ โสฬสนฺนมฺปิ กุสลวิปากวิญฺญาณานํ ตเถว ปจฺจโย ปวเตฺต จ ปฎิสนฺธิยญฺจฯ อวิเสเสน ปุญฺญาภิสงฺขาโร รูปภเว ทสนฺนํ วิปากวิญฺญาณานํ ตเถว ปจฺจโย ปวเตฺต จ ปฎิสนฺธิยญฺจฯ
Tattha niraye mahāmoggallānattherassa narakacārikādīsu iṭṭhārammaṇasamāyoge so paccayo hoti. Tiracchānesu pana nāgasupaṇṇapetamahiddhikesu ca iṭṭhārammaṇaṃ labbhatiyeva. Sveva kāmabhave sugatiyaṃ soḷasannampi kusalavipākaviññāṇānaṃ tatheva paccayo pavatte ca paṭisandhiyañca. Avisesena puññābhisaṅkhāro rūpabhave dasannaṃ vipākaviññāṇānaṃ tatheva paccayo pavatte ca paṭisandhiyañca.
ทฺวาทสากุสลเจตนาเภโท อปุญฺญาภิสงฺขาโร กามภเว ทุคฺคติยํ เอกสฺส วิญฺญาณสฺส ตเถว ปจฺจโย ปฎิสนฺธิยํ, โน ปวเตฺต; ฉนฺนํ ปวเตฺต, โน ปฎิสนฺธิยํ; สตฺตนฺนมฺปิ อกุสลวิปากวิญฺญาณานํ ปวเตฺต จ ปฎิสนฺธิยญฺจ ฯ กามภเว ปน สุคติยํ เตสํเยว สตฺตนฺนํ ตเถว ปจฺจโย ปวเตฺต, โน ปฎิสนฺธิยํ; รูปภเว จตุนฺนํ วิปากวิญฺญาณานํ ตเถว ปจฺจโย ปวเตฺต, โน ปฎิสนฺธิยํฯ โส จ โข กามาวจเร อนิฎฺฐรูปทสฺสนสทฺทสวนวเสน ฯ พฺรหฺมโลเก ปน อนิฎฺฐา รูปาทโย นาม นตฺถิ, ตถา กามาวจรเทวโลเกปิฯ
Dvādasākusalacetanābhedo apuññābhisaṅkhāro kāmabhave duggatiyaṃ ekassa viññāṇassa tatheva paccayo paṭisandhiyaṃ, no pavatte; channaṃ pavatte, no paṭisandhiyaṃ; sattannampi akusalavipākaviññāṇānaṃ pavatte ca paṭisandhiyañca . Kāmabhave pana sugatiyaṃ tesaṃyeva sattannaṃ tatheva paccayo pavatte, no paṭisandhiyaṃ; rūpabhave catunnaṃ vipākaviññāṇānaṃ tatheva paccayo pavatte, no paṭisandhiyaṃ. So ca kho kāmāvacare aniṭṭharūpadassanasaddasavanavasena . Brahmaloke pana aniṭṭhā rūpādayo nāma natthi, tathā kāmāvacaradevalokepi.
อาเนญฺชาภิสงฺขาโร อรูปภเว จตุนฺนํ วิปากวิญฺญาณานํ ตเถว ปจฺจโย ปวเตฺต จ ปฎิสนฺธิยญฺจฯ
Āneñjābhisaṅkhāro arūpabhave catunnaṃ vipākaviññāṇānaṃ tatheva paccayo pavatte ca paṭisandhiyañca.
กามาวจรกุสลากุสลโต ปน สพฺพสงฺคาหิกนเยน วีสติเจตนาเภโทปิ กายสงฺขาโร กามภเว ทสนฺนํ วิปากวิญฺญาณานํ ปฎิสนฺธิยํ นานากฺขณิกกมฺมปจฺจเยน เจว อุปนิสฺสยปจฺจเยน จาติ ทฺวิธา ปจฺจโยฯ เสฺวว กามภเว เตรสนฺนํ, รูปภเว นวนฺนํ วิปากวิญฺญาณานํ ตเถว ปจฺจโย ปวเตฺต, โน ปฎิสนฺธิยํฯ เสฺวว กามภเว เตวีสติยา วิปากวิญฺญาณานํ ตเถว ปจฺจโย ปวเตฺต จ ปฎิสนฺธิยญฺจฯ วจีสงฺขาเรปิ เอเสว นโยฯ
Kāmāvacarakusalākusalato pana sabbasaṅgāhikanayena vīsaticetanābhedopi kāyasaṅkhāro kāmabhave dasannaṃ vipākaviññāṇānaṃ paṭisandhiyaṃ nānākkhaṇikakammapaccayena ceva upanissayapaccayena cāti dvidhā paccayo. Sveva kāmabhave terasannaṃ, rūpabhave navannaṃ vipākaviññāṇānaṃ tatheva paccayo pavatte, no paṭisandhiyaṃ. Sveva kāmabhave tevīsatiyā vipākaviññāṇānaṃ tatheva paccayo pavatte ca paṭisandhiyañca. Vacīsaṅkhārepi eseva nayo.
อฎฺฐวีสติเอกูนติํสเจตนาเภโทปิ ปน จิตฺตสงฺขาโร ตีสุ ภเวสุ เอกูนวีสติยา วิปากวิญฺญาณานํ ตเถว ปจฺจโย ปฎิสนฺธิยํ, โน ปวเตฺตฯ เสฺวว ทฺวีสุ ภเวสุ เหฎฺฐาวุตฺตานํ เตรสนฺนญฺจ นวนฺนญฺจาติ ทฺวาวีสติยา วิปากวิญฺญาณานํ ตเถว ปจฺจโย ปวเตฺต, โน ปฎิสนฺธิยํฯ ตีสุ ปน ภเวสุ ทฺวตฺติํสายปิ วิปากวิญฺญาณานํ ตเถว ปจฺจโย ปวเตฺต เจว ปฎิสนฺธิยญฺจฯ เอวํ ตาว ภเวสุ ปฎิสนฺธิปวตฺตีนํ วเสน เต สงฺขารา เยสํ ปจฺจยา, ยถา จ ปจฺจยา โหนฺติ ตถา วิชานิตพฺพาฯ เอเตเนว นเยน โยนิอาทีสุปิ เวทิตพฺพาฯ
Aṭṭhavīsatiekūnatiṃsacetanābhedopi pana cittasaṅkhāro tīsu bhavesu ekūnavīsatiyā vipākaviññāṇānaṃ tatheva paccayo paṭisandhiyaṃ, no pavatte. Sveva dvīsu bhavesu heṭṭhāvuttānaṃ terasannañca navannañcāti dvāvīsatiyā vipākaviññāṇānaṃ tatheva paccayo pavatte, no paṭisandhiyaṃ. Tīsu pana bhavesu dvattiṃsāyapi vipākaviññāṇānaṃ tatheva paccayo pavatte ceva paṭisandhiyañca. Evaṃ tāva bhavesu paṭisandhipavattīnaṃ vasena te saṅkhārā yesaṃ paccayā, yathā ca paccayā honti tathā vijānitabbā. Eteneva nayena yoniādīsupi veditabbā.
ตตฺริทํ อาทิโต ปฎฺฐาย มุขมตฺตปฺปกาสนํ – อิเมสุ หิ สงฺขาเรสุ ยสฺมา ปุญฺญาภิสงฺขาโร ตาว ทฺวีสุ ภเวสุ ปฎิสนฺธิํ ทตฺวา สพฺพํ อตฺตโน วิปากํ ชเนติ, ตถา อณฺฑชาทีสุ จตูสุ โยนีสุ, เทวมนุสฺสสงฺขาตาสุ ทฺวีสุ คตีสุ, นานตฺตกายนานตฺตสญฺญีนานตฺตกายเอกตฺตสญฺญีเอกตฺตกายนานตฺตสญฺญีเอกตฺตกายเอกตฺตสญฺญีสงฺขาตาสุ มนุสฺสานเญฺจว ปฐมทุติยตติยชฺฌานภูมีนญฺจ วเสน จตูสุ วิญฺญาณฎฺฐิตีสุฯ อสญฺญสตฺตาวาเส ปเนส รูปมตฺตเมวาภิสงฺขโรตีติ จตูสุเยว สตฺตาวาเสสุ จ ปฎิสนฺธิํ ทตฺวา สพฺพํ อตฺตโน วิปากํ ชเนติฯ ตสฺมา เอส เอเตสุ ทฺวีสุ ภเวสุ, จตูสุ โยนีสุ, ทฺวีสุ คตีสุ, จตูสุ วิญฺญาณฎฺฐิตีสุ, จตูสุ สตฺตาวาเสสุ จ เอกวีสติยา วิปากวิญฺญาณานํ วุตฺตนเยเนว ปจฺจโย โหติ ยถาสมฺภวํ ปฎิสนฺธิยํ ปวเตฺต จฯ
Tatridaṃ ādito paṭṭhāya mukhamattappakāsanaṃ – imesu hi saṅkhāresu yasmā puññābhisaṅkhāro tāva dvīsu bhavesu paṭisandhiṃ datvā sabbaṃ attano vipākaṃ janeti, tathā aṇḍajādīsu catūsu yonīsu, devamanussasaṅkhātāsu dvīsu gatīsu, nānattakāyanānattasaññīnānattakāyaekattasaññīekattakāyanānattasaññīekattakāyaekattasaññīsaṅkhātāsu manussānañceva paṭhamadutiyatatiyajjhānabhūmīnañca vasena catūsu viññāṇaṭṭhitīsu. Asaññasattāvāse panesa rūpamattamevābhisaṅkharotīti catūsuyeva sattāvāsesu ca paṭisandhiṃ datvā sabbaṃ attano vipākaṃ janeti. Tasmā esa etesu dvīsu bhavesu, catūsu yonīsu, dvīsu gatīsu, catūsu viññāṇaṭṭhitīsu, catūsu sattāvāsesu ca ekavīsatiyā vipākaviññāṇānaṃ vuttanayeneva paccayo hoti yathāsambhavaṃ paṭisandhiyaṃ pavatte ca.
อปุญฺญาภิสงฺขาโร ปน ยสฺมา เอกสฺมิเญฺญว กามภเว, จตูสุ โยนีสุ, อวเสสาสุ ตีสุ คตีสุ, นานตฺตกายเอกตฺตสญฺญีสงฺขาตาย เอกิสฺสา วิญฺญาณฎฺฐิติยา, ตาทิเสเยว จ เอกสฺมิํ สตฺตาวาเส ปฎิสนฺธิวเสน วิปจฺจติ, ตสฺมา เอส เอกสฺมิํ ภเว จตูสุ โยนีสุ, ตีสุ คตีสุ, เอกิสฺสา วิญฺญาณฎฺฐิติยา, เอกมฺหิ จ สตฺตาวาเส สตฺตนฺนํ วิปากวิญฺญาณานํ วุตฺตนเยเนว ปจฺจโย โหติ ปฎิสนฺธิยํ ปวเตฺต จฯ
Apuññābhisaṅkhāro pana yasmā ekasmiññeva kāmabhave, catūsu yonīsu, avasesāsu tīsu gatīsu, nānattakāyaekattasaññīsaṅkhātāya ekissā viññāṇaṭṭhitiyā, tādiseyeva ca ekasmiṃ sattāvāse paṭisandhivasena vipaccati, tasmā esa ekasmiṃ bhave catūsu yonīsu, tīsu gatīsu, ekissā viññāṇaṭṭhitiyā, ekamhi ca sattāvāse sattannaṃ vipākaviññāṇānaṃ vuttanayeneva paccayo hoti paṭisandhiyaṃ pavatte ca.
อาเนญฺชาภิสงฺขาโร ปน ยสฺมา เอกสฺมิํ อรูปภเว, เอกิสฺสา โอปปาติกโยนิยา, เอกิสฺสา เทวคติยา, อากาสานญฺจายตนาทีสุ ตีสุ วิญฺญาณฎฺฐิตีสุ, อากาสานญฺจายตนาทีสุ จ จตูสุ สตฺตาวาเสสุ ปฎิสนฺธิวเสน วิปจฺจติ, ตสฺมา เอส เอกสฺมิํเยว ภเว, เอกิสฺสา โยนิยา, เอกิสฺสา เทวคติยา, ตีสุ วิญฺญาณฎฺฐิตีสุ จตูสุ สตฺตาวาเสสุ, จตุนฺนํ วิญฺญาณานํ วุตฺตนเยเนว ปจฺจโย โหติ ปฎิสนฺธิยํ ปวเตฺต จฯ
Āneñjābhisaṅkhāro pana yasmā ekasmiṃ arūpabhave, ekissā opapātikayoniyā, ekissā devagatiyā, ākāsānañcāyatanādīsu tīsu viññāṇaṭṭhitīsu, ākāsānañcāyatanādīsu ca catūsu sattāvāsesu paṭisandhivasena vipaccati, tasmā esa ekasmiṃyeva bhave, ekissā yoniyā, ekissā devagatiyā, tīsu viññāṇaṭṭhitīsu catūsu sattāvāsesu, catunnaṃ viññāṇānaṃ vuttanayeneva paccayo hoti paṭisandhiyaṃ pavatte ca.
กายสงฺขาโรปิ ยสฺมา เอกสฺมิํ กามภเว, จตูสุ โยนีสุ, ปญฺจสุ คตีสุ, ทฺวีสุ วิญฺญาณฎฺฐิตีสุ, ทฺวีสุ จ สตฺตาวาเสสุ ปฎิสนฺธิํ ทตฺวา สพฺพํ อตฺตโน วิปากํ ชเนติ, ตสฺมา เอส เอกสฺมิํ ภเว, จตูสุ โยนีสุ, ปญฺจสุ คตีสุ, ทฺวีสุ วิญฺญาณฎฺฐิตีสุ, ทฺวีสุ จ สตฺตาวาเสสุ เตวีสติยา วิปากวิญฺญาณานํ ตเถว ปจฺจโย ปฎิสนฺธิยํ ปวเตฺต จฯ วจีสงฺขาเรปิ เอเสว นโยฯ
Kāyasaṅkhāropi yasmā ekasmiṃ kāmabhave, catūsu yonīsu, pañcasu gatīsu, dvīsu viññāṇaṭṭhitīsu, dvīsu ca sattāvāsesu paṭisandhiṃ datvā sabbaṃ attano vipākaṃ janeti, tasmā esa ekasmiṃ bhave, catūsu yonīsu, pañcasu gatīsu, dvīsu viññāṇaṭṭhitīsu, dvīsu ca sattāvāsesu tevīsatiyā vipākaviññāṇānaṃ tatheva paccayo paṭisandhiyaṃ pavatte ca. Vacīsaṅkhārepi eseva nayo.
จิตฺตสงฺขาโร ปน ยสฺมา เอกํ สตฺตาวาสํ ฐเปตฺวา น กตฺถจิ น วิปจฺจติ, ตสฺมา เอส ตีสุ ภเวสุ, จตูสุ โยนีสุ, ปญฺจสุ คตีสุ, สตฺตสุ วิญฺญาณฎฺฐิตีสุ, อฎฺฐสุ สตฺตาวาเสสุ ยถาโยคํ ทฺวตฺติํสาย วิปากวิญฺญาณานํ ตเถว ปจฺจโย ปฎิสนฺธิยํ ปวเตฺต จฯ อวิญฺญาณเก ปน สตฺตาวาเส สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ นตฺถิฯ
Cittasaṅkhāro pana yasmā ekaṃ sattāvāsaṃ ṭhapetvā na katthaci na vipaccati, tasmā esa tīsu bhavesu, catūsu yonīsu, pañcasu gatīsu, sattasu viññāṇaṭṭhitīsu, aṭṭhasu sattāvāsesu yathāyogaṃ dvattiṃsāya vipākaviññāṇānaṃ tatheva paccayo paṭisandhiyaṃ pavatte ca. Aviññāṇake pana sattāvāse saṅkhārapaccayā viññāṇaṃ natthi.
อปิจ ปุญฺญาภิสงฺขาโร อสญฺญสเตฺตสุ กฎตฺตารูปานํ นานากฺขณิกกมฺมปจฺจเยน ปจฺจโยติฯ เอวํ –
Apica puññābhisaṅkhāro asaññasattesu kaṭattārūpānaṃ nānākkhaṇikakammapaccayena paccayoti. Evaṃ –
ปฎิสนฺธิปวตฺตีนํ , วเสเนเต ภวาทิสุ;
Paṭisandhipavattīnaṃ , vasenete bhavādisu;
วิชานิตพฺพา สงฺขารา, ยถา เยสญฺจ ปจฺจยาติฯ
Vijānitabbā saṅkhārā, yathā yesañca paccayāti.
สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณปทนิเทฺทโสฯ
Saṅkhārapaccayā viññāṇapadaniddeso.
นามรูปปทนิเทฺทโส
Nāmarūpapadaniddeso
๒๒๘. วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนิเทฺทเส –
228. Viññāṇapaccayā nāmarūpaniddese –
เทสนาเภทโต สพฺพ-ภวาทีสุ ปวตฺติโต;
Desanābhedato sabba-bhavādīsu pavattito;
สงฺคหา ปจฺจยนยา, วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Saṅgahā paccayanayā, viññātabbo vinicchayo.
‘เทสนาเภทโต’ติ ‘‘ตตฺถ กตมํ รูปํ? จตฺตาโร จ มหาภูตา จตุนฺนญฺจ มหาภูตานํ อุปาทาย รูป’’นฺติ (สํ. นิ. ๒.๒; ม. นิ. ๑.๑๐๐) เอวํ ตาว สุตฺตเนฺต จ อิธ รูปปทสฺส อเภทโต เอกสทิสา เทสนา กตา; นามปทสฺส ปน เภทโตฯ
‘Desanābhedato’ti ‘‘tattha katamaṃ rūpaṃ? Cattāro ca mahābhūtā catunnañca mahābhūtānaṃ upādāya rūpa’’nti (saṃ. ni. 2.2; ma. ni. 1.100) evaṃ tāva suttante ca idha rūpapadassa abhedato ekasadisā desanā katā; nāmapadassa pana bhedato.
สุตฺตนฺตสฺมิญฺหิ ‘‘ตตฺถ กตมํ นามํ? เวทนา สญฺญา เจตนา ผโสฺส มนสิกาโร’’ติ วุตฺตํฯ อิธ ‘‘เวทนากฺขโนฺธ สญฺญากฺขโนฺธ สงฺขารกฺขโนฺธ’’ติฯ ตตฺถ หิ ยมฺปิ จกฺขุวิญฺญาณปจฺจยา นามํ อุปฺปชฺชติ, อุปฺปนฺนญฺจ จิตฺตสฺส ฐิติ อรูปีนํ ธมฺมานํ อายูติ เอวํ อญฺญธมฺมสนฺนิสฺสเยน อคฺคเหตพฺพโต ปากฎํ, ตํ ทเสฺสโนฺต เจตนาผสฺสมนสิการวเสน สงฺขารกฺขนฺธํ ติธา ภินฺทิตฺวา ทฺวีหิ ขเนฺธหิ สทฺธิํ เทเสสิฯ อิธ ปน ตตฺถ วุตฺตญฺจ อวุตฺตญฺจ สพฺพํ นามํ สงฺคณฺหโนฺต ‘‘ตโย ขนฺธา – เวทนากฺขโนฺธ สญฺญากฺขโนฺธ สงฺขารกฺขโนฺธ’’ติ อาหฯ
Suttantasmiñhi ‘‘tattha katamaṃ nāmaṃ? Vedanā saññā cetanā phasso manasikāro’’ti vuttaṃ. Idha ‘‘vedanākkhandho saññākkhandho saṅkhārakkhandho’’ti. Tattha hi yampi cakkhuviññāṇapaccayā nāmaṃ uppajjati, uppannañca cittassa ṭhiti arūpīnaṃ dhammānaṃ āyūti evaṃ aññadhammasannissayena aggahetabbato pākaṭaṃ, taṃ dassento cetanāphassamanasikāravasena saṅkhārakkhandhaṃ tidhā bhinditvā dvīhi khandhehi saddhiṃ desesi. Idha pana tattha vuttañca avuttañca sabbaṃ nāmaṃ saṅgaṇhanto ‘‘tayo khandhā – vedanākkhandho saññākkhandho saṅkhārakkhandho’’ti āha.
กิํ ปน อิเม ตโย ขนฺธาว นามํ, วิญฺญาณํ นามํ นาม น โหตีติ? โน น โหติฯ ตสฺมิํ ปน วิญฺญาเณ คยฺหมาเน นามวิญฺญาณสฺส จ ปจฺจยวิญฺญาณสฺส จาติ ทฺวินฺนํ วิญฺญาณานํ สหภาโว อาปชฺชติฯ ตสฺมา วิญฺญาณํ ปจฺจยฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ปจฺจยนิพฺพตฺตํ นามํ ทเสฺสตุํ ตโยว ขนฺธา วุตฺตาติฯ เอวํ ตาว ‘เทสนาเภทโต’ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Kiṃ pana ime tayo khandhāva nāmaṃ, viññāṇaṃ nāmaṃ nāma na hotīti? No na hoti. Tasmiṃ pana viññāṇe gayhamāne nāmaviññāṇassa ca paccayaviññāṇassa cāti dvinnaṃ viññāṇānaṃ sahabhāvo āpajjati. Tasmā viññāṇaṃ paccayaṭṭhāne ṭhapetvā paccayanibbattaṃ nāmaṃ dassetuṃ tayova khandhā vuttāti. Evaṃ tāva ‘desanābhedato’ viññātabbo vinicchayo.
‘สพฺพภวาทีสุ ปวตฺติโต’ติ เอตฺถ ปน นามํ เอกํ สตฺตาวาสํ ฐเปตฺวา สพฺพภวโยนิคติวิญฺญาณฎฺฐิติเสสสตฺตาวาเสสุ ปวตฺตติฯ รูปํ ทฺวีสุ ภเวสุ, จตูสุ โยนีสุ, ปญฺจสุ คตีสุ, ปุริมาสุ จตูสุ วิญฺญาณฎฺฐิตีสุ, ปญฺจสุ จ สตฺตาวาเสสุ ปวตฺตติฯ เอวํ ปวตฺตมาเน เจตสฺมิํ นามรูเป ยสฺมา อภาวกคพฺภเสยฺยกานํ อณฺฑชานญฺจ ปฎิสนฺธิกฺขเณ วตฺถุกายวเสน รูปโต เทฺว สนฺตติสีสานิ ตโย จ อรูปิโน ขนฺธา ปาตุภวนฺติ, ตสฺมา เตสํ วิตฺถาเรน รูปรูปโต วีสติ ธมฺมา ตโย จ อรูปิโน ขนฺธาติ เอเต เตวีสติ ธมฺมา วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนฺติ เวทิตพฺพาฯ อคฺคหิตคฺคหเณน ปน เอกสนฺตติสีสโต นว รูปธเมฺม อปเนตฺวา จุทฺทส, สภาวกานํ ภาวทสกํ ปกฺขิปิตฺวา เตตฺติํสฯ เตสมฺปิ อคหิตคฺคหเณน สนฺตติสีสทฺวยโต อฎฺฐารส รูปธเมฺม อปเนตฺวา ปนฺนรสฯ
‘Sabbabhavādīsu pavattito’ti ettha pana nāmaṃ ekaṃ sattāvāsaṃ ṭhapetvā sabbabhavayonigativiññāṇaṭṭhitisesasattāvāsesu pavattati. Rūpaṃ dvīsu bhavesu, catūsu yonīsu, pañcasu gatīsu, purimāsu catūsu viññāṇaṭṭhitīsu, pañcasu ca sattāvāsesu pavattati. Evaṃ pavattamāne cetasmiṃ nāmarūpe yasmā abhāvakagabbhaseyyakānaṃ aṇḍajānañca paṭisandhikkhaṇe vatthukāyavasena rūpato dve santatisīsāni tayo ca arūpino khandhā pātubhavanti, tasmā tesaṃ vitthārena rūparūpato vīsati dhammā tayo ca arūpino khandhāti ete tevīsati dhammā viññāṇapaccayā nāmarūpanti veditabbā. Aggahitaggahaṇena pana ekasantatisīsato nava rūpadhamme apanetvā cuddasa, sabhāvakānaṃ bhāvadasakaṃ pakkhipitvā tettiṃsa. Tesampi agahitaggahaṇena santatisīsadvayato aṭṭhārasa rūpadhamme apanetvā pannarasa.
ยสฺมา จ โอปปาติกสเตฺตสุ พฺรหฺมกายิกาทีนํ ปฎิสนฺธิกฺขเณ จกฺขุโสตวตฺถุทสกานํ ชีวิตินฺทฺริยนวกสฺส จ วเสน รูปรูปโต จตฺตาริ สนฺตติสีสานิ ตโย จ อรูปิโน ขนฺธา ปาตุภวนฺติ, ตสฺมา เตสํ วิตฺถาเรน รูปรูปโต เอกูนจตฺตาลีส ธมฺมา ตโย จ อรูปิโน ขนฺธาติ เอเต ทฺวาจตฺตาลีส ธมฺมา วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนฺติ เวทิตพฺพาฯ อคหิตคฺคหเณน ปน สนฺตติสีสตฺตยโต สตฺตวีสติ ธเมฺม อปเนตฺวา ปนฺนรสฯ
Yasmā ca opapātikasattesu brahmakāyikādīnaṃ paṭisandhikkhaṇe cakkhusotavatthudasakānaṃ jīvitindriyanavakassa ca vasena rūparūpato cattāri santatisīsāni tayo ca arūpino khandhā pātubhavanti, tasmā tesaṃ vitthārena rūparūpato ekūnacattālīsa dhammā tayo ca arūpino khandhāti ete dvācattālīsa dhammā viññāṇapaccayā nāmarūpanti veditabbā. Agahitaggahaṇena pana santatisīsattayato sattavīsati dhamme apanetvā pannarasa.
กามภเว ปน ยสฺมา เสสโอปปาติกานํ วา สํเสทชานํ วา สภาวกปริปุณฺณายตนานํ ปฎิสนฺธิกฺขเณ รูปรูปโต สตฺต สนฺตติสีสานิ ตโย จ อรูปิโน ขนฺธา ปาตุภวนฺติ, ตสฺมา เตสํ วิตฺถาเรน รูปรูปโต สตฺตติ ธมฺมา ตโย จ อรูปิโน ขนฺธาติ เอเต เตสตฺตติ ธมฺมา วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนฺติ เวทิตพฺพาฯ อคฺคหิตคฺคหเณน ปน สนฺตติสีสฉกฺกโต จตุปญฺญาส ธเมฺม อปเนตฺวา เอกูนวีสติฯ เอส อุกฺกํสโตฯ อวกํเสน ปน ตํตํรูปสนฺตติสีสวิกลานํ ตสฺส ตสฺส วเสน หาเปตฺวา หาเปตฺวา สเงฺขปโต จ วิตฺถารโต จ ปฎิสนฺธิวิญฺญาณปจฺจยา นามรูปสงฺขาตา เวทิตพฺพาฯ อรูปีนํ ปน ตโยว อรูปิโน ขนฺธาฯ อสญฺญีนํ รูปโต ชีวิตินฺทฺริยนวกเมวาติฯ เอส ตาว ปฎิสนฺธิยํ นโยฯ
Kāmabhave pana yasmā sesaopapātikānaṃ vā saṃsedajānaṃ vā sabhāvakaparipuṇṇāyatanānaṃ paṭisandhikkhaṇe rūparūpato satta santatisīsāni tayo ca arūpino khandhā pātubhavanti, tasmā tesaṃ vitthārena rūparūpato sattati dhammā tayo ca arūpino khandhāti ete tesattati dhammā viññāṇapaccayā nāmarūpanti veditabbā. Aggahitaggahaṇena pana santatisīsachakkato catupaññāsa dhamme apanetvā ekūnavīsati. Esa ukkaṃsato. Avakaṃsena pana taṃtaṃrūpasantatisīsavikalānaṃ tassa tassa vasena hāpetvā hāpetvā saṅkhepato ca vitthārato ca paṭisandhiviññāṇapaccayā nāmarūpasaṅkhātā veditabbā. Arūpīnaṃ pana tayova arūpino khandhā. Asaññīnaṃ rūpato jīvitindriyanavakamevāti. Esa tāva paṭisandhiyaṃ nayo.
ปวเตฺต ปน สพฺพตฺถ รูปปฺปวตฺติเทเส ปฎิสนฺธิจิตฺตสฺส ฐิติกฺขเณ ปฎิสนฺธิจิเตฺตน สห ปวตฺตอุตุโต อุตุสมุฎฺฐานํ สุทฺธฎฺฐกํ ปาตุภวติฯ ปฎิสนฺธิจิตฺตํ ปน รูปํ น สมุฎฺฐาเปติฯ ตญฺหิ ยถา ปปาเต ปติตปุริโส ปรสฺส ปจฺจโย โหตุํ น สโกฺกติ, เอวํ วตฺถุทุพฺพลตาย ทุพฺพลตฺตา รูปํ สมุฎฺฐาเปตุํ น สโกฺกติฯ ปฎิสนฺธิจิตฺตโต ปน อุทฺธํ ปฐมภวงฺคโต ปภุติ จิตฺตสมุฎฺฐานกํ สุทฺธฎฺฐกํฯ สทฺทปาตุภาวกาเล ปฎิสนฺธิกฺขณโต อุทฺธํ ปวตฺตอุตุโต เจว จิตฺตโต จ สทฺทนวกํฯ เย ปน กพฬิการาหารูปชีวิโน คพฺภเสยฺยกสตฺตา เตสํ –
Pavatte pana sabbattha rūpappavattidese paṭisandhicittassa ṭhitikkhaṇe paṭisandhicittena saha pavattaututo utusamuṭṭhānaṃ suddhaṭṭhakaṃ pātubhavati. Paṭisandhicittaṃ pana rūpaṃ na samuṭṭhāpeti. Tañhi yathā papāte patitapuriso parassa paccayo hotuṃ na sakkoti, evaṃ vatthudubbalatāya dubbalattā rūpaṃ samuṭṭhāpetuṃ na sakkoti. Paṭisandhicittato pana uddhaṃ paṭhamabhavaṅgato pabhuti cittasamuṭṭhānakaṃ suddhaṭṭhakaṃ. Saddapātubhāvakāle paṭisandhikkhaṇato uddhaṃ pavattaututo ceva cittato ca saddanavakaṃ. Ye pana kabaḷikārāhārūpajīvino gabbhaseyyakasattā tesaṃ –
‘‘ยญฺจสฺส ภุญฺชตี มาตา, อนฺนํ ปานญฺจ โภชนํ;
‘‘Yañcassa bhuñjatī mātā, annaṃ pānañca bhojanaṃ;
เตน โส ตตฺถ ยาเปติ, มาตุกุจฺฉิคโต นโร’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๒๓๕);
Tena so tattha yāpeti, mātukucchigato naro’’ti. (saṃ. ni. 1.235);
วจนโต มาตรา อโชฺฌหริตาหาเรน อนุคเต สรีเร, โอปปาติกานํ สพฺพปฐมํ อตฺตโน มุขคตํ เขฬํ อโชฺฌหรณกาเล อาหารสมุฎฺฐานํ สุทฺธฎฺฐกนฺติ อิทํ อาหารสมุฎฺฐานสฺส สุทฺธฎฺฐกสฺส อุตุจิตฺตสมุฎฺฐานานญฺจ อุกฺกํสโต ทฺวินฺนํ นวกานํ วเสน ฉพฺพีสติวิธํ, ปุเพฺพ เอเกกจิตฺตกฺขเณ ติกฺขตฺตุํ อุปฺปชฺชมานํ วุตฺตํ กมฺมสมุฎฺฐานํ สตฺตติวิธนฺติ ฉนฺนวุติวิธํ รูปํ ตโย จ อรูปิโน ขนฺธาติ สมาสโต นวนวุติ ธมฺมาฯ ยสฺมา วาสโทฺท อนิยโต กทาจิเทว ปาตุภาวโต, ตสฺมา ทุวิธมฺปิ ตํ อปเนตฺวา อิเม สตฺตนวุติ ธมฺมา ยถาสมฺภวํ สพฺพสตฺตานํ วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนฺติ เวทิตพฺพาฯ เตสญฺหิ สุตฺตานมฺปิ ปมตฺตานมฺปิ จรนฺตานมฺปิ ขาทนฺตานมฺปิ ปิวนฺตานมฺปิ ทิวา จ รตฺติญฺจ เอเต วิญฺญาณปจฺจยา ปวตฺตนฺติฯ ตญฺจ เตสํ วิญฺญาณปจฺจยภาวํ ปรโต วณฺณยิสฺสามฯ
Vacanato mātarā ajjhoharitāhārena anugate sarīre, opapātikānaṃ sabbapaṭhamaṃ attano mukhagataṃ kheḷaṃ ajjhoharaṇakāle āhārasamuṭṭhānaṃ suddhaṭṭhakanti idaṃ āhārasamuṭṭhānassa suddhaṭṭhakassa utucittasamuṭṭhānānañca ukkaṃsato dvinnaṃ navakānaṃ vasena chabbīsatividhaṃ, pubbe ekekacittakkhaṇe tikkhattuṃ uppajjamānaṃ vuttaṃ kammasamuṭṭhānaṃ sattatividhanti channavutividhaṃ rūpaṃ tayo ca arūpino khandhāti samāsato navanavuti dhammā. Yasmā vāsaddo aniyato kadācideva pātubhāvato, tasmā duvidhampi taṃ apanetvā ime sattanavuti dhammā yathāsambhavaṃ sabbasattānaṃ viññāṇapaccayā nāmarūpanti veditabbā. Tesañhi suttānampi pamattānampi carantānampi khādantānampi pivantānampi divā ca rattiñca ete viññāṇapaccayā pavattanti. Tañca tesaṃ viññāṇapaccayabhāvaṃ parato vaṇṇayissāma.
ยํ ปเนตเมตฺถ กมฺมชรูปํ ตํ ภวโยนิคติวิญฺญาณฎฺฐิติสตฺตาวาเสสุ สพฺพปฐมํ ปติฎฺฐหนฺตมฺปิ ติสมุฎฺฐานิกรูเปน อนุปตฺถทฺธํ น สโกฺกติ สณฺฐาตุํ, นาปิ ติสมุฎฺฐานิกํ เตน อนุปตฺถทฺธํฯ อถ โข วาตพฺภาหตาปิ จตุทฺทิสววตฺถาปิตา นฬกลาปิโย วิย, อูมิเวคพฺภาหตาปิ มหาสมุเทฺท กตฺถจิ ลทฺธปติฎฺฐา ภินฺนวาหนิกา วิย จ อญฺญมญฺญูปตฺถทฺธาเนเวตานิ อปตมานานิ สณฺฐหิตฺวา เอกมฺปิ วสฺสํ เทฺวปิ วสฺสานิ…เป.… วสฺสสตมฺปิ ยาว เตสํ สตฺตานํ อายุกฺขโย วา ปุญฺญกฺขโย วา ตาว ปวตฺตนฺตีติฯ เอวํ ‘สพฺพภวาทีสุ ปวตฺติโต’เปตฺถ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Yaṃ panetamettha kammajarūpaṃ taṃ bhavayonigativiññāṇaṭṭhitisattāvāsesu sabbapaṭhamaṃ patiṭṭhahantampi tisamuṭṭhānikarūpena anupatthaddhaṃ na sakkoti saṇṭhātuṃ, nāpi tisamuṭṭhānikaṃ tena anupatthaddhaṃ. Atha kho vātabbhāhatāpi catuddisavavatthāpitā naḷakalāpiyo viya, ūmivegabbhāhatāpi mahāsamudde katthaci laddhapatiṭṭhā bhinnavāhanikā viya ca aññamaññūpatthaddhānevetāni apatamānāni saṇṭhahitvā ekampi vassaṃ dvepi vassāni…pe… vassasatampi yāva tesaṃ sattānaṃ āyukkhayo vā puññakkhayo vā tāva pavattantīti. Evaṃ ‘sabbabhavādīsu pavattito’pettha viññātabbo vinicchayo.
‘สงฺคหา’ติ เอตฺถ จ ยํ อารุเปฺป ปวตฺติปฎิสนฺธีสุ ปญฺจโวการภเว จ ปวตฺติยา วิญฺญาณปจฺจยา นามเมว, ยญฺจ อสญฺญีสุ สพฺพตฺถ ปญฺจโวการภเว จ ปวตฺติยา วิญฺญาณปจฺจยา รูปเมว, ยญฺจ ปญฺจโวการภเว สพฺพตฺถ วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ, ตํ สพฺพํ นามญฺจ รูปญฺจ นามรูปญฺจ นามรูปนฺติ เอวํ เอกเทสสรูเปกเสสนเยน สงฺคเหตฺวา วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปนฺติ เวทิตพฺพํฯ อสญฺญีสุ วิญฺญาณาภาวา อยุตฺตนฺติ เจ นายุตฺตํฯ อิทญฺหิ –
‘Saṅgahā’ti ettha ca yaṃ āruppe pavattipaṭisandhīsu pañcavokārabhave ca pavattiyā viññāṇapaccayā nāmameva, yañca asaññīsu sabbattha pañcavokārabhave ca pavattiyā viññāṇapaccayā rūpameva, yañca pañcavokārabhave sabbattha viññāṇapaccayā nāmarūpaṃ, taṃ sabbaṃ nāmañca rūpañca nāmarūpañca nāmarūpanti evaṃ ekadesasarūpekasesanayena saṅgahetvā viññāṇapaccayā nāmarūpanti veditabbaṃ. Asaññīsu viññāṇābhāvā ayuttanti ce nāyuttaṃ. Idañhi –
นามรูปสฺส ยํ เหตุ, วิญฺญาณํ ตํ ทฺวิธา มตํ;
Nāmarūpassa yaṃ hetu, viññāṇaṃ taṃ dvidhā mataṃ;
วิปากมวิปากญฺจ, ยุตฺตเมว ยโต อิทํฯ
Vipākamavipākañca, yuttameva yato idaṃ.
ยญฺหิ นามรูปสฺส เหตุ วิญฺญาณํ ตํ วิปากาวิปากเภทโต ทฺวิธา มตํฯ อิทญฺจ อสญฺญสเตฺตสุ กมฺมสมุฎฺฐานตฺตา ปญฺจโวการภเว ปวตฺตอภิสงฺขารวิญฺญาณปจฺจยา รูปํ, ตถา ปญฺจโวกาเร ปวตฺติยํ กุสลาทิจิตฺตกฺขเณ กมฺมสมุฎฺฐานนฺติ ยุตฺตเมว อิทํฯ เอวํ ‘สงฺคหโต’เปตฺถ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Yañhi nāmarūpassa hetu viññāṇaṃ taṃ vipākāvipākabhedato dvidhā mataṃ. Idañca asaññasattesu kammasamuṭṭhānattā pañcavokārabhave pavattaabhisaṅkhāraviññāṇapaccayā rūpaṃ, tathā pañcavokāre pavattiyaṃ kusalādicittakkhaṇe kammasamuṭṭhānanti yuttameva idaṃ. Evaṃ ‘saṅgahato’pettha viññātabbo vinicchayo.
‘ปจฺจยนยา’ติ เอตฺถ หิ –
‘Paccayanayā’ti ettha hi –
นามสฺส ปากวิญฺญาณํ, นวธา โหติ ปจฺจโย;
Nāmassa pākaviññāṇaṃ, navadhā hoti paccayo;
วตฺถุรูปสฺส นวธา, เสสรูปสฺส อฎฺฐธาฯ
Vatthurūpassa navadhā, sesarūpassa aṭṭhadhā.
อภิสงฺขารวิญฺญาณํ, โหติ รูปสฺส เอกธา;
Abhisaṅkhāraviññāṇaṃ, hoti rūpassa ekadhā;
ตทญฺญํ ปน วิญฺญาณํ, ตสฺส ตสฺส ยถารหํฯ
Tadaññaṃ pana viññāṇaṃ, tassa tassa yathārahaṃ.
ยเญฺหตํ ปฎิสนฺธิยํ ปวตฺติยํ วา วิปากสงฺขาตํ นามํ, ตสฺส รูปมิสฺสสฺส วา รูปอมิสฺสสฺส วา ปฎิสนฺธิกํ วา อญฺญํ วา วิปากวิญฺญาณํ สหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยสมฺปยุตฺตวิปากอาหารอินฺทฺริยอตฺถิอวิคตปจฺจเยหิ นวธา ปจฺจโย โหติฯ วตฺถุรูปสฺส ปฎิสนฺธิยํ สหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยวิปากอาหารอินฺทฺริยวิปฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตปจฺจเยหิ นวธา ปจฺจโย โหติฯ ฐเปตฺวา ปน วตฺถุรูปํ เสสรูปสฺส อิเมสุ นวสุ อญฺญมญฺญปจฺจยํ อปเนตฺวา เสเสหิ อฎฺฐหิ ปจฺจเยหิ ปจฺจโย โหติฯ อภิสงฺขารวิญฺญาณํ ปน อสญฺญสตฺตรูปสฺส วา ปญฺจโวกาเร วา กมฺมชสฺส สุตฺตนฺติกปริยาเยน อุปนิสฺสยวเสน เอกธาว ปจฺจโย โหติฯ อวเสสํ ปฐมภวงฺคโต ปภุติ สพฺพมฺปิ วิญฺญาณํ ตสฺส ตสฺส นามรูปสฺส ยถารหํ ปจฺจโย โหตีติ เวทิตพฺพํฯ วิตฺถารโต ปน ตสฺส ปจฺจยนเย ทสฺสิยมาเน สพฺพาปิ ปฎฺฐานกถา วิตฺถาเรตพฺพา โหตีติ น ตํ อารภามฯ
Yañhetaṃ paṭisandhiyaṃ pavattiyaṃ vā vipākasaṅkhātaṃ nāmaṃ, tassa rūpamissassa vā rūpaamissassa vā paṭisandhikaṃ vā aññaṃ vā vipākaviññāṇaṃ sahajātaaññamaññanissayasampayuttavipākaāhāraindriyaatthiavigatapaccayehi navadhā paccayo hoti. Vatthurūpassa paṭisandhiyaṃ sahajātaaññamaññanissayavipākaāhāraindriyavippayuttaatthiavigatapaccayehi navadhā paccayo hoti. Ṭhapetvā pana vatthurūpaṃ sesarūpassa imesu navasu aññamaññapaccayaṃ apanetvā sesehi aṭṭhahi paccayehi paccayo hoti. Abhisaṅkhāraviññāṇaṃ pana asaññasattarūpassa vā pañcavokāre vā kammajassa suttantikapariyāyena upanissayavasena ekadhāva paccayo hoti. Avasesaṃ paṭhamabhavaṅgato pabhuti sabbampi viññāṇaṃ tassa tassa nāmarūpassa yathārahaṃ paccayo hotīti veditabbaṃ. Vitthārato pana tassa paccayanaye dassiyamāne sabbāpi paṭṭhānakathā vitthāretabbā hotīti na taṃ ārabhāma.
ตตฺถ สิยา – กถํ ปเนตํ ชานิตพฺพํ ‘‘ปฎิสนฺธินามรูปํ วิญฺญาณปจฺจยา โหตี’’ติ? สุตฺตโต ยุตฺติโต จฯ สุเตฺต หิ ‘‘จิตฺตานุปริวตฺติโน ธมฺมา’’ติอาทินา (ธ. ส. ทุกมาติกา ๖๒) นเยน พหุธา เวทนาทีนํ วิญฺญาณปจฺจยตา สิทฺธาฯ ยุตฺติโต ปน –
Tattha siyā – kathaṃ panetaṃ jānitabbaṃ ‘‘paṭisandhināmarūpaṃ viññāṇapaccayā hotī’’ti? Suttato yuttito ca. Sutte hi ‘‘cittānuparivattino dhammā’’tiādinā (dha. sa. dukamātikā 62) nayena bahudhā vedanādīnaṃ viññāṇapaccayatā siddhā. Yuttito pana –
จิตฺตเชน หิ รูเปน, อิธ ทิเฎฺฐน สิชฺฌติ;
Cittajena hi rūpena, idha diṭṭhena sijjhati;
อทิฎฺฐสฺสาปิ รูปสฺส, วิญฺญาณํ ปจฺจโย อิติฯ
Adiṭṭhassāpi rūpassa, viññāṇaṃ paccayo iti.
จิเตฺต หิ ปสเนฺน อปฺปสเนฺน วา ตทนุรูปานิ รูปานิ อุปฺปชฺชมานานิ ทิฎฺฐานิฯ ทิเฎฺฐน จ อทิฎฺฐสฺส อนุมานํ โหตีติ อิมินา อิธ ทิเฎฺฐน จิตฺตชรูเปน อทิฎฺฐสฺสาปิ ปฎิสนฺธิรูปสฺส วิญฺญาณํ ปจฺจโย โหตีติ ชานิตพฺพเมตํฯ กมฺมสมุฎฺฐานสฺสาปิ หิ ตสฺส จิตฺตสมุฎฺฐานเสฺสว วิญฺญาณปจฺจยตา ปฎฺฐาเน (ปฎฺฐา. ๑.๑.๕๓, ๔๑๙) อาคตาติฯ เอวํ ปจฺจยนยโต เปตฺถ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Citte hi pasanne appasanne vā tadanurūpāni rūpāni uppajjamānāni diṭṭhāni. Diṭṭhena ca adiṭṭhassa anumānaṃ hotīti iminā idha diṭṭhena cittajarūpena adiṭṭhassāpi paṭisandhirūpassa viññāṇaṃ paccayo hotīti jānitabbametaṃ. Kammasamuṭṭhānassāpi hi tassa cittasamuṭṭhānasseva viññāṇapaccayatā paṭṭhāne (paṭṭhā. 1.1.53, 419) āgatāti. Evaṃ paccayanayato pettha viññātabbo vinicchayo.
เอตฺถ จ ‘‘วิญฺญาณปจฺจยา นามรูป’’นฺติ ภาสมาเนน ภควตา ยสฺมา อุปปริกฺขมานานํ ปณฺฑิตานํ ปรมตฺถโต นามรูปมตฺตเมว ปวตฺตมานํ ทิสฺสติ, น สโตฺต, น โปโส; ตสฺมา อปฺปฎิวตฺติยํ สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมิํ อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ โหตีติฯ
Ettha ca ‘‘viññāṇapaccayā nāmarūpa’’nti bhāsamānena bhagavatā yasmā upaparikkhamānānaṃ paṇḍitānaṃ paramatthato nāmarūpamattameva pavattamānaṃ dissati, na satto, na poso; tasmā appaṭivattiyaṃ samaṇena vā brāhmaṇena vā devena vā mārena vā brahmunā vā kenaci vā lokasmiṃ anuttaraṃ dhammacakkaṃ pavattitaṃ hotīti.
วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปปทนิเทฺทโสฯ
Viññāṇapaccayā nāmarūpapadaniddeso.
สฬายตนปทนิเทฺทโส
Saḷāyatanapadaniddeso
๒๒๙. นามรูปปจฺจยา สฬายตนนิเทฺทเส –
229. Nāmarūpapaccayā saḷāyatananiddese –
นามํ ขนฺธตฺตยํ รูปํ, ภูตวตฺถาทิกํ มตํ;
Nāmaṃ khandhattayaṃ rūpaṃ, bhūtavatthādikaṃ mataṃ;
กเตกเสสํ ตํ ตสฺส, ตาทิสเสฺสว ปจฺจโยฯ
Katekasesaṃ taṃ tassa, tādisasseva paccayo.
ยเญฺหตํ สฬายตนสฺส ปจฺจยภูตํ นามรูปํ, ตตฺถ นามนฺติ เวทนาทิกฺขนฺธตฺตยํ, รูปํ ปน สกสนฺตติปริยาปนฺนํ นิยมโต จตฺตาริ ภูตานิ ฉ วตฺถูนิ ชีวิตินฺทฺริยนฺติ เอวํ ภูตวตฺถาทิกํ มตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตํ ปน ‘‘นามญฺจ รูปญฺจ นามรูปญฺจ นามรูป’’นฺติ เอวํ กเตกเสสํ ‘‘ฉฎฺฐายตนญฺจ สฬายตนญฺจ สฬายตน’’นฺติ เอวํ กเตกเสสเสฺสว สฬายตนสฺส ปจฺจโยติ เวทิตพฺพํฯ กสฺมา? ยสฺมา อารุเปฺป นามเมว ปจฺจโยฯ ตญฺจ ฉฎฺฐายตนเสฺสว, น อญฺญสฺสฯ ‘‘นามปจฺจยา ฉฎฺฐายตน’’นฺติ หิ อพฺยากตวาเร วกฺขติฯ อิธ สงฺคหิตเมว หิ ตตฺถ วิภตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Yañhetaṃ saḷāyatanassa paccayabhūtaṃ nāmarūpaṃ, tattha nāmanti vedanādikkhandhattayaṃ, rūpaṃ pana sakasantatipariyāpannaṃ niyamato cattāri bhūtāni cha vatthūni jīvitindriyanti evaṃ bhūtavatthādikaṃ matanti veditabbaṃ. Taṃ pana ‘‘nāmañca rūpañca nāmarūpañca nāmarūpa’’nti evaṃ katekasesaṃ ‘‘chaṭṭhāyatanañca saḷāyatanañca saḷāyatana’’nti evaṃ katekasesasseva saḷāyatanassa paccayoti veditabbaṃ. Kasmā? Yasmā āruppe nāmameva paccayo. Tañca chaṭṭhāyatanasseva, na aññassa. ‘‘Nāmapaccayā chaṭṭhāyatana’’nti hi abyākatavāre vakkhati. Idha saṅgahitameva hi tattha vibhattanti veditabbaṃ.
ตตฺถ สิยา – กถํ ปเนตํ ชานิตพฺพํ ‘‘นามรูปํ สฬายตนสฺส ปจฺจโย’’ติ? นามรูปภาเว ภาวโตฯ ตสฺส ตสฺส หิ นามสฺส รูปสฺส จ ภาเว ตํ ตํ อายตนํ โหติ, น อญฺญถาฯ สา ปนสฺส ตพฺภาวภาวีภาวตา ปจฺจยนยสฺมิเญฺญว อาวิภวิสฺสติฯ ตสฺมา –
Tattha siyā – kathaṃ panetaṃ jānitabbaṃ ‘‘nāmarūpaṃ saḷāyatanassa paccayo’’ti? Nāmarūpabhāve bhāvato. Tassa tassa hi nāmassa rūpassa ca bhāve taṃ taṃ āyatanaṃ hoti, na aññathā. Sā panassa tabbhāvabhāvībhāvatā paccayanayasmiññeva āvibhavissati. Tasmā –
ปฎิสนฺธิยํ ปวเตฺต วา, โหติ ยํ ยสฺส ปจฺจโย;
Paṭisandhiyaṃ pavatte vā, hoti yaṃ yassa paccayo;
ยถา จ ปจฺจโย โหติ, ตถา เนยฺยํ วิภาวินาฯ
Yathā ca paccayo hoti, tathā neyyaṃ vibhāvinā.
ตตฺรายํ อตฺถทีปนา –
Tatrāyaṃ atthadīpanā –
นามเมว หิ อารุเปฺป, ปฎิสนฺธิปวตฺติสุ;
Nāmameva hi āruppe, paṭisandhipavattisu;
ปจฺจโย สตฺตธา ฉฎฺฐา, โหติ ตํ อวกํสโตฯ
Paccayo sattadhā chaṭṭhā, hoti taṃ avakaṃsato.
กถํ? ‘ปฎิสนฺธิยํ’ ตาว อวกํสโต สหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยสมฺปยุตฺตวิปากอตฺถิอวิคตปจฺจเยหิ สตฺตธา นามํ ฉฎฺฐายตนสฺส ปจฺจโย โหติฯ กิญฺจิ ปเนตฺถ เหตุปจฺจเยน, กิญฺจิ อาหารปจฺจเยนาติ เอวํ อญฺญถาปิ ปจฺจโย โหติฯ ตสฺส วเสน อุกฺกํสาวกํโส เวทิตโพฺพฯ
Kathaṃ? ‘Paṭisandhiyaṃ’ tāva avakaṃsato sahajātaaññamaññanissayasampayuttavipākaatthiavigatapaccayehi sattadhā nāmaṃ chaṭṭhāyatanassa paccayo hoti. Kiñci panettha hetupaccayena, kiñci āhārapaccayenāti evaṃ aññathāpi paccayo hoti. Tassa vasena ukkaṃsāvakaṃso veditabbo.
‘ปวเตฺต’ปิ วิปากํ วุตฺตนเยเนว ปจฺจโย โหติฯ อิตรํ ปน อวกํสโต วุตฺตปฺปกาเรสุ ปจฺจเยสุ วิปากปจฺจยวเชฺชหิ ฉหิ ปจฺจโย โหติฯ กิญฺจิ ปเนตฺถ เหตุปจฺจเยน, กิญฺจิ อาหารปจฺจเยนาติ เอวํ อญฺญถาปิ ปจฺจโย โหติฯ ตสฺส วเสน อุกฺกํสาวกํโส เวทิตโพฺพฯ
‘Pavatte’pi vipākaṃ vuttanayeneva paccayo hoti. Itaraṃ pana avakaṃsato vuttappakāresu paccayesu vipākapaccayavajjehi chahi paccayo hoti. Kiñci panettha hetupaccayena, kiñci āhārapaccayenāti evaṃ aññathāpi paccayo hoti. Tassa vasena ukkaṃsāvakaṃso veditabbo.
อญฺญสฺมิมฺปิ ภเว นามํ, ตเถว ปฎิสนฺธิยํ;
Aññasmimpi bhave nāmaṃ, tatheva paṭisandhiyaṃ;
ฉฎฺฐสฺส อิตเรสํ ตํ, ฉหากาเรหิ ปจฺจโยฯ
Chaṭṭhassa itaresaṃ taṃ, chahākārehi paccayo.
อารุปฺปโต หิ อญฺญสฺมิมฺปิ ปญฺจโวการภเว ตํ วิปากนามํ หทยวตฺถุโน สหายํ หุตฺวา ฉฎฺฐสฺส มนายตนสฺส ยถา อารุเปฺป วุตฺตํ ตเถว อวกํสโต สตฺตธา ปจฺจโย โหติฯ อิตเรสํ ปเนตํ ปญฺจนฺนํ จกฺขายตนาทีนํ จตุมหาภูตสหายํ หุตฺวา สหชาต นิสฺสยวิปากวิปฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตวเสน ฉหากาเรหิ ปจฺจโย โหติฯ กิญฺจิ ปเนตฺถ เหตุปจฺจเยน, กิญฺจิ อาหารปจฺจเยนาติ เอวํ อญฺญถาปิ ปจฺจโย โหติฯ ตสฺส วเสน อุกฺกํสาวกํโส เวทิตโพฺพฯ
Āruppato hi aññasmimpi pañcavokārabhave taṃ vipākanāmaṃ hadayavatthuno sahāyaṃ hutvā chaṭṭhassa manāyatanassa yathā āruppe vuttaṃ tatheva avakaṃsato sattadhā paccayo hoti. Itaresaṃ panetaṃ pañcannaṃ cakkhāyatanādīnaṃ catumahābhūtasahāyaṃ hutvā sahajāta nissayavipākavippayuttaatthiavigatavasena chahākārehi paccayo hoti. Kiñci panettha hetupaccayena, kiñci āhārapaccayenāti evaṃ aññathāpi paccayo hoti. Tassa vasena ukkaṃsāvakaṃso veditabbo.
ปวเตฺตปิ ตถา โหติ, ปากํ ปากสฺส ปจฺจโย;
Pavattepi tathā hoti, pākaṃ pākassa paccayo;
อปากํ อวิปากสฺส, ฉธา ฉฎฺฐสฺส ปจฺจโยฯ
Apākaṃ avipākassa, chadhā chaṭṭhassa paccayo.
ปวเตฺตปิ หิ ปญฺจโวการภเว ยถา ปฎิสนฺธิยํ, ตเถว วิปากนามํ วิปากสฺส ฉฎฺฐายตนสฺส อวกํสโต สตฺตธา ปจฺจโย โหติฯ อวิปากํ ปน อวิปากสฺส ฉฎฺฐสฺส อวกํสโตว ตโต วิปากปจฺจยํ อปเนตฺวา ฉธาว ปจฺจโย โหติฯ วุตฺตนเยเนว ปเนตฺถ อุกฺกํสาวกํโส เวทิตโพฺพฯ
Pavattepi hi pañcavokārabhave yathā paṭisandhiyaṃ, tatheva vipākanāmaṃ vipākassa chaṭṭhāyatanassa avakaṃsato sattadhā paccayo hoti. Avipākaṃ pana avipākassa chaṭṭhassa avakaṃsatova tato vipākapaccayaṃ apanetvā chadhāva paccayo hoti. Vuttanayeneva panettha ukkaṃsāvakaṃso veditabbo.
ตเตฺถว เสสปญฺจนฺนํ, วิปากํ ปจฺจโย ภเว;
Tattheva sesapañcannaṃ, vipākaṃ paccayo bhave;
จตุธา อวิปากมฺปิ, เอวเมว ปกาสิตํฯ
Catudhā avipākampi, evameva pakāsitaṃ.
ตเตฺถว หิ ปวเตฺต เสสานํ จกฺขายตนาทีนํ ปญฺจนฺนํ จกฺขุปฺปสาทาทิวตฺถุกมฺปิ อิตรมฺปิ วิปากนามํ ปจฺฉาชาตวิปฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตปจฺจเยหิ จตุธา ปจฺจโย โหติฯ ยถา จ วิปากํ, อวิปากมฺปิ เอวเมว ปกาสิตํฯ ตสฺมา กุสลาทิเภทมฺปิ เตสํ จตุธา ปจฺจโย โหตีติ เวทิตพฺพํฯ เอวํ ตาว นามเมว ปฎิสนฺธิยํ ปวเตฺต วา ยสฺส ยสฺส อายตนสฺส ปจฺจโย โหติ, ยถา จ โหติ, ตถา เวทิตพฺพํฯ
Tattheva hi pavatte sesānaṃ cakkhāyatanādīnaṃ pañcannaṃ cakkhuppasādādivatthukampi itarampi vipākanāmaṃ pacchājātavippayuttaatthiavigatapaccayehi catudhā paccayo hoti. Yathā ca vipākaṃ, avipākampi evameva pakāsitaṃ. Tasmā kusalādibhedampi tesaṃ catudhā paccayo hotīti veditabbaṃ. Evaṃ tāva nāmameva paṭisandhiyaṃ pavatte vā yassa yassa āyatanassa paccayo hoti, yathā ca hoti, tathā veditabbaṃ.
รูปํ ปเนตฺถ อารุปฺป-ภเว ภวติ ปจฺจโย;
Rūpaṃ panettha āruppa-bhave bhavati paccayo;
น เอกายตนสฺสาปิ, ปญฺจกฺขนฺธภเว ปนฯ
Na ekāyatanassāpi, pañcakkhandhabhave pana.
รูปโต สนฺธิยํ วตฺถุ, ฉธา ฉฎฺฐสฺส ปจฺจโย;
Rūpato sandhiyaṃ vatthu, chadhā chaṭṭhassa paccayo;
ภูตานิ จตุธา โหนฺติ, ปญฺจนฺนํ อวิเสสโตฯ
Bhūtāni catudhā honti, pañcannaṃ avisesato.
รูปโต หิ ปฎิสนฺธิยํ วตฺถุรูปํ ฉฎฺฐสฺส มนายตนสฺส สหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยวิปฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตปจฺจเยหิ ฉธา ปจฺจโย โหติฯ จตฺตาริ ปน ภูตานิ อวิเสสโต ปฎิสนฺธิยํ ปวเตฺต จ ยํ ยํ อายตนํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺส ตสฺส วเสน ปญฺจนฺนมฺปิ จกฺขายตนาทีนํ สหชาตนิสฺสยอตฺถิอวิคตปจฺจเยหิ จตุธา ปจฺจยา โหนฺติฯ
Rūpato hi paṭisandhiyaṃ vatthurūpaṃ chaṭṭhassa manāyatanassa sahajātaaññamaññanissayavippayuttaatthiavigatapaccayehi chadhā paccayo hoti. Cattāri pana bhūtāni avisesato paṭisandhiyaṃ pavatte ca yaṃ yaṃ āyatanaṃ uppajjati, tassa tassa vasena pañcannampi cakkhāyatanādīnaṃ sahajātanissayaatthiavigatapaccayehi catudhā paccayā honti.
ติธา ชีวิตเมเตสํ, อาหาโร จ ปวตฺติยํ;
Tidhā jīvitametesaṃ, āhāro ca pavattiyaṃ;
ตาเนว ฉธา ฉฎฺฐสฺส, วตฺถุ ตเสฺสว ปญฺจธาฯ
Tāneva chadhā chaṭṭhassa, vatthu tasseva pañcadhā.
เอเตสํ ปน จกฺขาทีนํ ปญฺจนฺนํ ปฎิสนฺธิยํ ปวเตฺต จ อตฺถิอวิคตอินฺทฺริยวเสน รูปชีวิตํ ติธา ปจฺจโย โหติฯ
Etesaṃ pana cakkhādīnaṃ pañcannaṃ paṭisandhiyaṃ pavatte ca atthiavigataindriyavasena rūpajīvitaṃ tidhā paccayo hoti.
‘อาหาโร จา’ติ อาหาโร จ อตฺถิอวิคตอาหารวเสน ติธา ปจฺจโย โหติฯ โส จ โข เย สตฺตา อาหารูปชีวิโน, เตสํ อาหารานุคเต กาเย ปวตฺติยํเยว, โน ปฎิสนฺธิยํฯ ตานิ ปน ปญฺจ จกฺขายตนาทีนิ ฉฎฺฐสฺส จกฺขุโสตฆานชิวฺหากายวิญฺญาณสงฺขาตสฺส มนายตนสฺส นิสฺสยปุเรชาตอินฺทฺริยวิปฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตวเสน ฉหากาเรหิ ปจฺจยา โหนฺติ ปวเตฺต, โน ปฎิสนฺธิยํฯ ฐเปตฺวา ปน ปญฺจ วิญฺญาณานิ ตเสฺสว อวเสสมนายตนสฺส วตฺถุรูปํ นิสฺสยปุเรชาตวิปฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตวเสน ปญฺจธา ปจฺจโย โหติ ปวเตฺต, โน ปฎิสนฺธิยํฯ เอวํ รูปเมว ปฎิสนฺธิยํ ปวเตฺต วา ยสฺส ยสฺส อายตนสฺส ปจฺจโย โหติ ยถา จ โหติ ตถา เวทิตพฺพํฯ
‘Āhāro cā’ti āhāro ca atthiavigataāhāravasena tidhā paccayo hoti. So ca kho ye sattā āhārūpajīvino, tesaṃ āhārānugate kāye pavattiyaṃyeva, no paṭisandhiyaṃ. Tāni pana pañca cakkhāyatanādīni chaṭṭhassa cakkhusotaghānajivhākāyaviññāṇasaṅkhātassa manāyatanassa nissayapurejātaindriyavippayuttaatthiavigatavasena chahākārehi paccayā honti pavatte, no paṭisandhiyaṃ. Ṭhapetvā pana pañca viññāṇāni tasseva avasesamanāyatanassa vatthurūpaṃ nissayapurejātavippayuttaatthiavigatavasena pañcadhā paccayo hoti pavatte, no paṭisandhiyaṃ. Evaṃ rūpameva paṭisandhiyaṃ pavatte vā yassa yassa āyatanassa paccayo hoti yathā ca hoti tathā veditabbaṃ.
นามรูปํ ปนุภยํ, โหติ ยํ ยสฺส ปจฺจโย;
Nāmarūpaṃ panubhayaṃ, hoti yaṃ yassa paccayo;
ยถา จ ตมฺปิ สพฺพตฺถ, วิญฺญาตพฺพํ วิภาวินาฯ
Yathā ca tampi sabbattha, viññātabbaṃ vibhāvinā.
เสยฺยถิทํ – ปฎิสนฺธิยํ ตาว ปญฺจโวการภเว ขนฺธตฺตยวตฺถุรูปสงฺขาตํ นามรูปํ ฉฎฺฐายตนสฺส สหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยวิปากสมฺปยุตฺตวิปฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตปจฺจยาทีหิ ปจฺจโย โหตีติ อิทเมตฺถ มุขมตฺตํฯ วุตฺตนยานุสาเรน ปน สกฺกา สพฺพํ โยเชตุนฺติ น เอตฺถ วิตฺถาโร ทสฺสิโตติฯ
Seyyathidaṃ – paṭisandhiyaṃ tāva pañcavokārabhave khandhattayavatthurūpasaṅkhātaṃ nāmarūpaṃ chaṭṭhāyatanassa sahajātaaññamaññanissayavipākasampayuttavippayuttaatthiavigatapaccayādīhi paccayo hotīti idamettha mukhamattaṃ. Vuttanayānusārena pana sakkā sabbaṃ yojetunti na ettha vitthāro dassitoti.
นามรูปปจฺจยา สฬายตนปทนิเทฺทโสฯ
Nāmarūpapaccayā saḷāyatanapadaniddeso.
ผสฺสปทนิเทฺทโส
Phassapadaniddeso
๒๓๐. สฬายตนปจฺจยา ผสฺสนิเทฺทเส –
230. Saḷāyatanapaccayā phassaniddese –
ฉเฬว ผสฺสา สเงฺขปา, จกฺขุสมฺผสฺสอาทโย;
Chaḷeva phassā saṅkhepā, cakkhusamphassaādayo;
วิญฺญาณมิว พตฺติํส, วิตฺถาเรน ภวนฺติ เตฯ
Viññāṇamiva battiṃsa, vitthārena bhavanti te.
‘สเงฺขปโต’ หิ ปาฬิยํ จกฺขุสมฺผโสฺสติ อาทโย ฉเฬว ผสฺสา อาคตาฯ วิตฺถาเรน ปน จกฺขุสมฺผสฺสาทโย ปญฺจ กุสลวิปากา ปญฺจ อกุสลวิปากาติ ทส, เสสา พาวีสติ โลกิยวิปากวิญฺญาณสมฺปยุตฺตา จ พาวีสตีติ เอวํ สเพฺพปิ สงฺขารปจฺจยา วุตฺตวิญฺญาณมิว พาตฺติํส โหนฺติฯ ยํ ปเนตสฺส พาตฺติํสวิธสฺสาปิ ผสฺสสฺส ปจฺจโย สฬายตนํฯ ตตฺถ –
‘Saṅkhepato’ hi pāḷiyaṃ cakkhusamphassoti ādayo chaḷeva phassā āgatā. Vitthārena pana cakkhusamphassādayo pañca kusalavipākā pañca akusalavipākāti dasa, sesā bāvīsati lokiyavipākaviññāṇasampayuttā ca bāvīsatīti evaṃ sabbepi saṅkhārapaccayā vuttaviññāṇamiva bāttiṃsa honti. Yaṃ panetassa bāttiṃsavidhassāpi phassassa paccayo saḷāyatanaṃ. Tattha –
ฉเฎฺฐน สห อชฺฌตฺตํ, จกฺขาทิํ พาหิเรหิปิ;
Chaṭṭhena saha ajjhattaṃ, cakkhādiṃ bāhirehipi;
สฬายตนมิจฺฉนฺติ, ฉหิ สทฺธิํ วิจกฺขณาฯ
Saḷāyatanamicchanti, chahi saddhiṃ vicakkhaṇā.
ตตฺถ เย ตาว ‘‘อุปาทินฺนกปวตฺติกถา อย’’นฺติ เอกสนฺตติปริยาปนฺนเมว ปจฺจยํ ปจฺจยุปฺปนฺนญฺจ ทีเปนฺติ, เต ฉฎฺฐายตนปจฺจยา ผโสฺสติ ปาฬิอนุสารโต อารุเปฺป ฉฎฺฐายตนญฺจ อญฺญตฺถ สพฺพสงฺคหโต สฬายตนญฺจ ผสฺสสฺส ปจฺจโยติ เอกเทสสรูเปกเสสํ กตฺวา ฉเฎฺฐน สห อชฺฌตฺตํ จกฺขาทิํ สฬายตนนฺติ อิจฺฉนฺติฯ ตญฺหิ ฉฎฺฐายตนญฺจ สฬายตนญฺจ สฬายตนเนฺตฺวว สงฺฆํ คจฺฉติฯ เย ปน ปจฺจยุปฺปนฺนเมว เอกสนฺตติปริยาปนฺนํ ทีเปนฺติ, ปจฺจยํ ปน ภินฺนสนฺตานมฺปิ, เต ยํ ยํ อายตนํ ผสฺสสฺส ปจฺจโย โหติ ตํ สพฺพํ ทีเปนฺตา พาหิรมฺปิ ปริคฺคเหตฺวา ตเทว ฉเฎฺฐน สห อชฺฌตฺตํ พาหิเรหิปิ รูปายตนาทีหิ สทฺธิํ สฬายตนนฺติ อิจฺฉนฺติฯ ตมฺปิ หิ ฉฎฺฐายตนญฺจ สฬายตนญฺจ สฬายตนนฺติ เอเตสํ เอกเสเส กเต สฬายตนเนฺตฺวว สงฺขํ คจฺฉติฯ
Tattha ye tāva ‘‘upādinnakapavattikathā aya’’nti ekasantatipariyāpannameva paccayaṃ paccayuppannañca dīpenti, te chaṭṭhāyatanapaccayā phassoti pāḷianusārato āruppe chaṭṭhāyatanañca aññattha sabbasaṅgahato saḷāyatanañca phassassa paccayoti ekadesasarūpekasesaṃ katvā chaṭṭhena saha ajjhattaṃ cakkhādiṃ saḷāyatananti icchanti. Tañhi chaṭṭhāyatanañca saḷāyatanañca saḷāyatanantveva saṅghaṃ gacchati. Ye pana paccayuppannameva ekasantatipariyāpannaṃ dīpenti, paccayaṃ pana bhinnasantānampi, te yaṃ yaṃ āyatanaṃ phassassa paccayo hoti taṃ sabbaṃ dīpentā bāhirampi pariggahetvā tadeva chaṭṭhena saha ajjhattaṃ bāhirehipi rūpāyatanādīhi saddhiṃ saḷāyatananti icchanti. Tampi hi chaṭṭhāyatanañca saḷāyatanañca saḷāyatananti etesaṃ ekasese kate saḷāyatanantveva saṅkhaṃ gacchati.
เอตฺถาห – น สพฺพายตเนหิ เอโก ผโสฺส สโมฺภติ, นาปิ เอกมฺหา อายตนา สเพฺพ ผสฺสา, อยญฺจ สฬายตนปจฺจยา ผโสฺสติ เอโกว วุโตฺต, โส กสฺมาติ? ตตฺริทํ วิสฺสชฺชนํ – สจฺจเมตํฯ สเพฺพหิ เอโก เอกมฺหา วา สเพฺพ น สโมฺภนฺติ, สโมฺภติ ปน อเนเกหิ เอโก; ยถา จกฺขุสมฺผโสฺส จกฺขายตนา รูปายตนา จกฺขุวิญฺญาณสงฺขาตา มนายตนา อวเสสา สมฺปยุตฺตธมฺมายตนา จาติ เอวํ สพฺพตฺถ ยถานุรูปํ โยเชตพฺพํฯ ตสฺมา เอว หิ –
Etthāha – na sabbāyatanehi eko phasso sambhoti, nāpi ekamhā āyatanā sabbe phassā, ayañca saḷāyatanapaccayā phassoti ekova vutto, so kasmāti? Tatridaṃ vissajjanaṃ – saccametaṃ. Sabbehi eko ekamhā vā sabbe na sambhonti, sambhoti pana anekehi eko; yathā cakkhusamphasso cakkhāyatanā rūpāyatanā cakkhuviññāṇasaṅkhātā manāyatanā avasesā sampayuttadhammāyatanā cāti evaṃ sabbattha yathānurūpaṃ yojetabbaṃ. Tasmā eva hi –
เอโก ปเนกายตน-ปฺปภโว อิติ ทีปิโต;
Eko panekāyatana-ppabhavo iti dīpito;
ผโสฺสยํ เอกวจน-นิเทฺทเสนิธ ตาทินาฯ
Phassoyaṃ ekavacana-niddesenidha tādinā.
‘เอกวจนนิเทฺทเสนา’ติ สฬายตนปจฺจยา ผโสฺสติ อิมินา หิ เอกวจนนิเทฺทเสน อเนเกหิ อายตเนหิ เอโก ผโสฺส โหตีติ ตาทินา ทีปิโตติ อโตฺถฯ อายตเนสุ ปน –
‘Ekavacananiddesenā’ti saḷāyatanapaccayā phassoti iminā hi ekavacananiddesena anekehi āyatanehi eko phasso hotīti tādinā dīpitoti attho. Āyatanesu pana –
ฉธา ปญฺจ ตโต เอกํ, นวธา พาหิรานิ ฉ;
Chadhā pañca tato ekaṃ, navadhā bāhirāni cha;
ยถาสมฺภวเมตสฺส, ปจฺจยเตฺต วิภาวเยฯ
Yathāsambhavametassa, paccayatte vibhāvaye.
ตตฺรายํ วิภาวนา – จกฺขายตนาทีนิ ตาว ปญฺจ จกฺขุสมฺผสฺสาทิเภทโต ปญฺจวิธสฺส ผสฺสสฺส นิสฺสยปุเรชาตอินฺทฺริยวิปฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตวเสน ฉธา ปจฺจยา โหนฺติฯ ตโต ปรํ เอกํ วิปากมนายตนํ อเนกเภทสฺส วิปากมโนสมฺผสฺสสฺส สหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยวิปากอาหารอินฺทฺริยสมฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตวเสน นวธา ปจฺจโย โหติฯ พาหิเรสุ ปน รูปายตนํ จกฺขุสมฺผสฺสสฺส อารมฺมณปุเรชาตอตฺถิอวิคตวเสน จตุธา ปจฺจโย โหติฯ ตถา สทฺทายตนาทีนิ โสตสมฺผสฺสาทีนํฯ มโนสมฺผสฺสสฺส ปน ตานิ ธมฺมายตนญฺจ ตถา จ อารมฺมณปจฺจยมเตฺตเนว จาติ เอวํ พาหิรานิ ฉ ยถาสมฺภวเมตสฺส ปจฺจยเตฺต วิภาวเยติฯ
Tatrāyaṃ vibhāvanā – cakkhāyatanādīni tāva pañca cakkhusamphassādibhedato pañcavidhassa phassassa nissayapurejātaindriyavippayuttaatthiavigatavasena chadhā paccayā honti. Tato paraṃ ekaṃ vipākamanāyatanaṃ anekabhedassa vipākamanosamphassassa sahajātaaññamaññanissayavipākaāhāraindriyasampayuttaatthiavigatavasena navadhā paccayo hoti. Bāhiresu pana rūpāyatanaṃ cakkhusamphassassa ārammaṇapurejātaatthiavigatavasena catudhā paccayo hoti. Tathā saddāyatanādīni sotasamphassādīnaṃ. Manosamphassassa pana tāni dhammāyatanañca tathā ca ārammaṇapaccayamatteneva cāti evaṃ bāhirāni cha yathāsambhavametassa paccayatte vibhāvayeti.
สฬายตนปจฺจยา ผสฺสปทนิเทฺทโสฯ
Saḷāyatanapaccayā phassapadaniddeso.
เวทนาปทนิเทฺทโส
Vedanāpadaniddeso
๒๓๑. ผสฺสปจฺจยา เวทนานิเทฺทเส –
231. Phassapaccayā vedanāniddese –
ทฺวารโต เวทนา วุตฺตา, จกฺขุสมฺผสฺสชาทิกา;
Dvārato vedanā vuttā, cakkhusamphassajādikā;
ฉเฬว ตา ปเภเทน, เอกูนนวุตี มตาฯ
Chaḷeva tā pabhedena, ekūnanavutī matā.
จกฺขุสมฺผสฺสชาเวทนาติอาทินา หิ นเยน ปาฬิยํ อิมา จกฺขุสมฺผสฺสชาทิกา ทฺวารโต ฉเฬว เวทนา วุตฺตาฯ ตา ปน ปเภเทน เอกูนนวุติยา จิเตฺตหิ สมฺปยุตฺตตฺตา เอกูนนวุตีติ มตาฯ
Cakkhusamphassajāvedanātiādinā hi nayena pāḷiyaṃ imā cakkhusamphassajādikā dvārato chaḷeva vedanā vuttā. Tā pana pabhedena ekūnanavutiyā cittehi sampayuttattā ekūnanavutīti matā.
เวทนาสุ ปเนตาสุ, อิธ พาตฺติํส เวทนา;
Vedanāsu panetāsu, idha bāttiṃsa vedanā;
วิปากจิตฺตยุตฺตาว, อธิเปฺปตาติ ภาสิตาฯ
Vipākacittayuttāva, adhippetāti bhāsitā.
อฎฺฐธา ตตฺถ ปญฺจนฺนํ, ปญฺจทฺวารมฺหิ ปจฺจโย;
Aṭṭhadhā tattha pañcannaṃ, pañcadvāramhi paccayo;
เสสานํ เอกธา ผโสฺส, มโนทฺวาเรปิ โส ตถาฯ
Sesānaṃ ekadhā phasso, manodvārepi so tathā.
ตตฺถ หิ ปญฺจทฺวาเร จกฺขุปสาทาทิวตฺถุกานํ ปญฺจนฺนํ เวทนานํ จกฺขุสมฺผสฺสาทิโก ผโสฺส สหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยวิปากอาหารสมฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตวเสน อฎฺฐธา ปจฺจโย โหติฯ เสสานํ ปน เอเกกสฺมิํ ทฺวาเร สมฺปฎิจฺฉนสนฺตีรณตทารมฺมณวเสน ปวตฺตานํ กามาวจรวิปากเวทนานํ จกฺขุสมฺผสฺสาทิโก ผโสฺส อุปนิสฺสยวเสน เอกธาว ปจฺจโย โหติฯ
Tattha hi pañcadvāre cakkhupasādādivatthukānaṃ pañcannaṃ vedanānaṃ cakkhusamphassādiko phasso sahajātaaññamaññanissayavipākaāhārasampayuttaatthiavigatavasena aṭṭhadhā paccayo hoti. Sesānaṃ pana ekekasmiṃ dvāre sampaṭicchanasantīraṇatadārammaṇavasena pavattānaṃ kāmāvacaravipākavedanānaṃ cakkhusamphassādiko phasso upanissayavasena ekadhāva paccayo hoti.
‘มโนทฺวาเรปิ โส ตถา’ติ มโนทฺวาเรปิ หิ ตทารมฺมณวเสน ปวตฺตานํ กามาวจรวิปากเวทนานํ โส สหชาตมโนสมฺผสฺสสงฺขาโต ผโสฺส ตเถว อฎฺฐธา ปจฺจโย โหติ, ปฎิสนฺธิภวงฺคจุติวเสน จ ปวตฺตานํ เตภูมกวิปากเวทนานมฺปิฯ ยา ปเนตา มโนทฺวาเร ตทารมฺมณวเสน ปวตฺตา กามาวจรเวทนา, ตาสํ มโนทฺวาเร อาวชฺชนสมฺปยุโตฺต มโนสมฺผโสฺส อุปนิสฺสยวเสน เอกธา ปจฺจโย โหตีติฯ
‘Manodvārepi so tathā’ti manodvārepi hi tadārammaṇavasena pavattānaṃ kāmāvacaravipākavedanānaṃ so sahajātamanosamphassasaṅkhāto phasso tatheva aṭṭhadhā paccayo hoti, paṭisandhibhavaṅgacutivasena ca pavattānaṃ tebhūmakavipākavedanānampi. Yā panetā manodvāre tadārammaṇavasena pavattā kāmāvacaravedanā, tāsaṃ manodvāre āvajjanasampayutto manosamphasso upanissayavasena ekadhā paccayo hotīti.
ผสฺสปจฺจยา เวทนาปทนิเทฺทโสฯ
Phassapaccayā vedanāpadaniddeso.
ตณฺหาปทนิเทฺทโส
Taṇhāpadaniddeso
๒๓๒. เวทนาปจฺจยา ตณฺหานิเทฺทเส –
232. Vedanāpaccayā taṇhāniddese –
รูปตณฺหาทิเภเทน, ฉ ตณฺหา อิธ ทีปิตา;
Rūpataṇhādibhedena, cha taṇhā idha dīpitā;
เอเกกา ติวิธา ตตฺถ, ปวตฺตาการโต มตาฯ
Ekekā tividhā tattha, pavattākārato matā.
อิมสฺมิญฺหิ เวทนาปจฺจยา ตณฺหานิเทฺทเส ‘เสฎฺฐิปุโตฺต พฺราหฺมณปุโตฺต’ติ ปิติโต นามวเสน ปุโตฺต วิย อิมา รูปตณฺหา…เป.… ธมฺมตณฺหาติ อารมฺมณโต นามวเสน ฉ ตณฺหา ทีปิตา ปกาสิตา กถิตาติ อโตฺถฯ ตตฺถ รูเป ตณฺหา รูปตณฺหาติ อิมินา นเยน ปทโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Imasmiñhi vedanāpaccayā taṇhāniddese ‘seṭṭhiputto brāhmaṇaputto’ti pitito nāmavasena putto viya imā rūpataṇhā…pe… dhammataṇhāti ārammaṇato nāmavasena cha taṇhā dīpitā pakāsitā kathitāti attho. Tattha rūpe taṇhā rūpataṇhāti iminā nayena padattho veditabbo.
ตาสุ จ ปน ตณฺหาสุ เอเกกา ตณฺหา ปวตฺติอาการโต กามตณฺหา, ภวตณฺหา, วิภวตณฺหาติ เอวํ ติวิธา มตาฯ รูปตณฺหา เอว หิ ยทา จกฺขุสฺส อาปาถคตํ รูปารมฺมณํ กามสฺสาทวเสน อสฺสาทยมานา ปวตฺตติ, ตทา กามตณฺหา นาม โหติฯ ยทา ตเทวารมฺมณํ ธุวํ สสฺสตนฺติ ปวตฺตาย สสฺสตทิฎฺฐิยา สทฺธิํ ปวตฺตติ, ตทา ภวตณฺหา นาม โหติฯ สสฺสตทิฎฺฐิสหคโต หิ ราโค ภวตณฺหาติ วุจฺจติฯ ยทา ปน ตเทวารมฺมณํ ‘‘อุจฺฉิชฺชติ วินสฺสตี’’ติ ปวตฺตาย อุเจฺฉททิฎฺฐิยา สทฺธิํ ปวตฺตติ, ตทา วิภวตณฺหา นาม โหติฯ อุเจฺฉททิฎฺฐิสหคโต หิ ราโค วิภวตณฺหาติ วุจฺจติฯ เอเสว นโย สทฺทตณฺหาทีสุปีติ เอตา อฎฺฐารส ตณฺหา โหนฺติฯ
Tāsu ca pana taṇhāsu ekekā taṇhā pavattiākārato kāmataṇhā, bhavataṇhā, vibhavataṇhāti evaṃ tividhā matā. Rūpataṇhā eva hi yadā cakkhussa āpāthagataṃ rūpārammaṇaṃ kāmassādavasena assādayamānā pavattati, tadā kāmataṇhā nāma hoti. Yadā tadevārammaṇaṃ dhuvaṃ sassatanti pavattāya sassatadiṭṭhiyā saddhiṃ pavattati, tadā bhavataṇhā nāma hoti. Sassatadiṭṭhisahagato hi rāgo bhavataṇhāti vuccati. Yadā pana tadevārammaṇaṃ ‘‘ucchijjati vinassatī’’ti pavattāya ucchedadiṭṭhiyā saddhiṃ pavattati, tadā vibhavataṇhā nāma hoti. Ucchedadiṭṭhisahagato hi rāgo vibhavataṇhāti vuccati. Eseva nayo saddataṇhādīsupīti etā aṭṭhārasa taṇhā honti.
ตา อชฺฌตฺตรูปาทีสุ อฎฺฐารส, พหิทฺธา อฎฺฐารสาติ ฉตฺติํสฯ อิติ อตีตา ฉตฺติํส, อนาคตา ฉตฺติํส, ปจฺจุปฺปนฺนา ฉตฺติํสาติ อฎฺฐสตํ ตณฺหา โหนฺติฯ ตา ปน สํงฺขิปฺปมานา รูปาทิอารมฺมณวเสน ฉ, กามตณฺหาทิวเสน วา ติโสฺสว ตณฺหา โหนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ ยสฺมา ปนิเม สตฺตา ปุตฺตํ อสฺสาเทตฺวา ปุเตฺต มมเตฺตน ธาติยา วิย รูปาทิอารมฺมณวเสน อุปฺปชฺชมานํ เวทนํ อสฺสาเทตฺวา เวทนาย มมเตฺตน รูปาทิอารมฺมณทายกานํ จิตฺตการคนฺธพฺพคนฺธิกสูทตนฺตวายรสายนวิธายกเวชฺชาทีนํ มหาสกฺการํ กโรนฺติ, ตสฺมา สพฺพาเปสา เวทนาปจฺจยา ตณฺหา โหตีติ เวทิตพฺพาฯ
Tā ajjhattarūpādīsu aṭṭhārasa, bahiddhā aṭṭhārasāti chattiṃsa. Iti atītā chattiṃsa, anāgatā chattiṃsa, paccuppannā chattiṃsāti aṭṭhasataṃ taṇhā honti. Tā pana saṃṅkhippamānā rūpādiārammaṇavasena cha, kāmataṇhādivasena vā tissova taṇhā hontīti veditabbā. Yasmā panime sattā puttaṃ assādetvā putte mamattena dhātiyā viya rūpādiārammaṇavasena uppajjamānaṃ vedanaṃ assādetvā vedanāya mamattena rūpādiārammaṇadāyakānaṃ cittakāragandhabbagandhikasūdatantavāyarasāyanavidhāyakavejjādīnaṃ mahāsakkāraṃ karonti, tasmā sabbāpesā vedanāpaccayā taṇhā hotīti veditabbā.
ยสฺมา เจตฺถ อธิเปฺปตา, วิปากสุขเวทนา;
Yasmā cettha adhippetā, vipākasukhavedanā;
เอกาว เอกธา เจสา, ตสฺมา ตณฺหาย ปจฺจโยฯ
Ekāva ekadhā cesā, tasmā taṇhāya paccayo.
‘เอกธา’ติ อุปนิสฺสยปจฺจเยน ปจฺจโย โหติฯ ยสฺมา วา –
‘Ekadhā’ti upanissayapaccayena paccayo hoti. Yasmā vā –
ทุกฺขี สุขํ ปตฺถยติ, สุขี ภิโยฺยปิ อิจฺฉติ;
Dukkhī sukhaṃ patthayati, sukhī bhiyyopi icchati;
อุเปกฺขา ปน สนฺตตฺตา, สุขมิเจฺจว ภาสิตาฯ
Upekkhā pana santattā, sukhamicceva bhāsitā.
ตณฺหาย ปจฺจยา ตสฺมา, โหนฺติ ติโสฺสปิ เวทนา;
Taṇhāya paccayā tasmā, honti tissopi vedanā;
เวทนาปจฺจยา ตณฺหา, อิติ วุตฺตา มเหสินาฯ
Vedanāpaccayā taṇhā, iti vuttā mahesinā.
เวทนา ปจฺจยา จาปิ, ยสฺมา นานุสยํ วินา;
Vedanā paccayā cāpi, yasmā nānusayaṃ vinā;
โหติ ตสฺมา น สา โหติ, พฺราหฺมณสฺส วุสีมโตติฯ
Hoti tasmā na sā hoti, brāhmaṇassa vusīmatoti.
เวทนาปจฺจยา ตณฺหาปทนิเทฺทโสฯ
Vedanāpaccayā taṇhāpadaniddeso.
อุปาทานปทนิเทฺทโส
Upādānapadaniddeso
๒๓๓. ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานนิเทฺทเส –
233. Taṇhāpaccayā upādānaniddese –
อุปาทานานิ จตฺตาริ, ตานิ อตฺถวิภาคโต;
Upādānāni cattāri, tāni atthavibhāgato;
ธมฺมสเงฺขปวิตฺถารา, กมโต จ วิภาวเยฯ
Dhammasaṅkhepavitthārā, kamato ca vibhāvaye.
ปาฬิยญฺหิ อุปาทานนฺติ กามุปาทานํ…เป.… อตฺตวาทุปาทานนฺติ อิมานิ จตฺตาริ อุปาทานานิ อาคตานิฯ เตสํ อยํ อตฺถวิภาโค – วตฺถุสงฺขาตํ กามํ อุปาทิยตีติ กามุปาทานํฯ กาโม จ โส อุปาทานญฺจาติปิ กามุปาทานํฯ อุปาทานนฺติ ทฬฺหคฺคหณํฯ ทฬฺหโตฺถ เหตฺถ อุปสโทฺท อุปายาส-อุปกฎฺฐาทีสุ วิยฯ ตถา ทิฎฺฐิ จ สา อุปาทานญฺจาติ ทิฎฺฐุปาทานํฯ ทิฎฺฐิํ อุปาทิยตีติ วา ทิฎฺฐุปาทานํ ฯ สสฺสโต อตฺตา จ โลโก จาติอาทีสุ หิ ปุริมทิฎฺฐิํ อุตฺตรทิฎฺฐิ อุปาทิยติฯ ตถา สีลพฺพตํ อุปาทิยตีติ สีลพฺพตุปาทานํฯ สีลพฺพตญฺจ ตํ อุปาทานญฺจาติปิ สีลพฺพตุปาทานํฯ โคสีลโควตาทีนิ หิ เอวํ สุทฺธีติ อภินิเวสโต สยเมว อุปาทานานีติฯ ตถา วทนฺติ เอเตนาติ วาโท, อุปาทิยนฺติ เอเตนาติ อุปาทานํฯ กิํ วทนฺติ อุปาทิยนฺติ วา? อตฺตานํฯ อตฺตโน วาทุปาทานํ อตฺตวาทุปาทานํฯ อตฺตวาทมตฺตเมว วา อตฺตาติ อุปาทิยนฺติ เอเตนาติ อตฺตวาทุปาทานํฯ อยํ ตาว เตสํ อตฺถวิภาโคฯ
Pāḷiyañhi upādānanti kāmupādānaṃ…pe… attavādupādānanti imāni cattāri upādānāni āgatāni. Tesaṃ ayaṃ atthavibhāgo – vatthusaṅkhātaṃ kāmaṃ upādiyatīti kāmupādānaṃ. Kāmo ca so upādānañcātipi kāmupādānaṃ. Upādānanti daḷhaggahaṇaṃ. Daḷhattho hettha upasaddo upāyāsa-upakaṭṭhādīsu viya. Tathā diṭṭhi ca sā upādānañcāti diṭṭhupādānaṃ. Diṭṭhiṃ upādiyatīti vā diṭṭhupādānaṃ. Sassato attā ca loko cātiādīsu hi purimadiṭṭhiṃ uttaradiṭṭhi upādiyati. Tathā sīlabbataṃ upādiyatīti sīlabbatupādānaṃ. Sīlabbatañca taṃ upādānañcātipi sīlabbatupādānaṃ. Gosīlagovatādīni hi evaṃ suddhīti abhinivesato sayameva upādānānīti. Tathā vadanti etenāti vādo, upādiyanti etenāti upādānaṃ. Kiṃ vadanti upādiyanti vā? Attānaṃ. Attano vādupādānaṃ attavādupādānaṃ. Attavādamattameva vā attāti upādiyanti etenāti attavādupādānaṃ. Ayaṃ tāva tesaṃ atthavibhāgo.
‘ธมฺมสเงฺขปวิตฺถาเร’ ปน กามุปาทานํ ตาว ‘‘ตตฺถ กตมํ กามุปาทานํ? โย กาเมสุ กามจฺฉโนฺท กามราโค กามนนฺที กามตณฺหา กามเสฺนโห กามปริฬาโห กามมุจฺฉา กามโชฺฌสานํ – อิทํ วุจฺจติ กามุปาทาน’’นฺติ อาคตตฺตา สเงฺขปโต ตณฺหาทฬฺหตฺตํ วุตฺตํฯ ตณฺหาทฬฺหตฺตํ นาม ปุริมตณฺหาอุปนิสฺสยปจฺจเยน ทฬฺหสมฺภูตา อุตฺตรตณฺหา เอวฯ เกจิ ปนาหุ – อปฺปตฺตวิสยปตฺถนา ตณฺหา, อนฺธกาเร โจรสฺส หตฺถปฺปสารณํ วิยฯ สมฺปตฺตวิสยคฺคหณํ อุปาทานํ, ตเสฺสว ภณฺฑคฺคหณํ วิยฯ อปฺปิจฺฉตาสนฺตุฎฺฐิตาปฎิปกฺขา จ เต ธมฺมาฯ ตถา ปริเยสนารกฺขทุกฺขมูลาติฯ เสสุปาทานตฺตยํ ปน สเงฺขปโต ทิฎฺฐิมตฺตเมวฯ
‘Dhammasaṅkhepavitthāre’ pana kāmupādānaṃ tāva ‘‘tattha katamaṃ kāmupādānaṃ? Yo kāmesu kāmacchando kāmarāgo kāmanandī kāmataṇhā kāmasneho kāmapariḷāho kāmamucchā kāmajjhosānaṃ – idaṃ vuccati kāmupādāna’’nti āgatattā saṅkhepato taṇhādaḷhattaṃ vuttaṃ. Taṇhādaḷhattaṃ nāma purimataṇhāupanissayapaccayena daḷhasambhūtā uttarataṇhā eva. Keci panāhu – appattavisayapatthanā taṇhā, andhakāre corassa hatthappasāraṇaṃ viya. Sampattavisayaggahaṇaṃ upādānaṃ, tasseva bhaṇḍaggahaṇaṃ viya. Appicchatāsantuṭṭhitāpaṭipakkhā ca te dhammā. Tathā pariyesanārakkhadukkhamūlāti. Sesupādānattayaṃ pana saṅkhepato diṭṭhimattameva.
วิตฺถารโต ปน ปุเพฺพ รูปาทีสุ วุตฺตาย อฎฺฐสตปฺปเภทายปิ ตณฺหาย ทฬฺหภาโว กามุปาทานํฯ ทสวตฺถุกา มิจฺฉาทิฎฺฐิ ทิฎฺฐุปาทานํฯ ยถาห – ‘‘ตตฺถ กตมํ ทิฎฺฐุปาทานํ? นตฺถิ ทินฺนํ, นตฺถิ ยิฎฺฐํ…เป.… สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตีติ ยา เอวรูปา ทิฎฺฐิ…เป.… วิปริเยสคฺคาโห – อิทํ วุจฺจติ ทิฎฺฐุปาทาน’’นฺติ (ธ. ส. ๑๒๒๑; วิภ. ๙๓๘) สีลวเตหิ สุทฺธิปรามสนํ ปน สีลพฺพตุปาทานํฯ ยถาห – ‘‘ตตฺถ กตมํ สีลพฺพตุปาทานํ? อิโต พหิทฺธา สมณพฺราหฺมณานํ สีเลน สุทฺธิ, วเตน สุทฺธิ, สีลพฺพเตน สุทฺธีติ ยา เอวรูปา ทิฎฺฐิ…เป.… วิปริเยสคฺคาโห – อิทํ วุจฺจติ สีลพฺพตุปาทาน’’นฺติ (ธ. ส. ๑๒๒๒; วิภ. ๙๓๘)ฯ วีสติวตฺถุกา สกฺกายทิฎฺฐิ อตฺตวาทุปาทานํฯ ยถาห – ‘‘ตตฺถ กตมํ อตฺตวาทุปาทานํ? อิธ อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน…เป.… สปฺปุริสธเมฺม อวินีโต รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ…เป.… วิปริเยสคฺคาโห – อิทํ วุจฺจติ อตฺตวาทุปาทาน’’นฺติ (ธ. ส. ๑๒๒๓; วิภ. ๙๓๘)ฯ อยเมตฺถ ธมฺมสเงฺขปวิตฺถาโรฯ
Vitthārato pana pubbe rūpādīsu vuttāya aṭṭhasatappabhedāyapi taṇhāya daḷhabhāvo kāmupādānaṃ. Dasavatthukā micchādiṭṭhi diṭṭhupādānaṃ. Yathāha – ‘‘tattha katamaṃ diṭṭhupādānaṃ? Natthi dinnaṃ, natthi yiṭṭhaṃ…pe… sacchikatvā pavedentīti yā evarūpā diṭṭhi…pe… vipariyesaggāho – idaṃ vuccati diṭṭhupādāna’’nti (dha. sa. 1221; vibha. 938) sīlavatehi suddhiparāmasanaṃ pana sīlabbatupādānaṃ. Yathāha – ‘‘tattha katamaṃ sīlabbatupādānaṃ? Ito bahiddhā samaṇabrāhmaṇānaṃ sīlena suddhi, vatena suddhi, sīlabbatena suddhīti yā evarūpā diṭṭhi…pe… vipariyesaggāho – idaṃ vuccati sīlabbatupādāna’’nti (dha. sa. 1222; vibha. 938). Vīsativatthukā sakkāyadiṭṭhi attavādupādānaṃ. Yathāha – ‘‘tattha katamaṃ attavādupādānaṃ? Idha assutavā puthujjano…pe… sappurisadhamme avinīto rūpaṃ attato samanupassati…pe… vipariyesaggāho – idaṃ vuccati attavādupādāna’’nti (dha. sa. 1223; vibha. 938). Ayamettha dhammasaṅkhepavitthāro.
‘กมโต’ติ เอตฺถ ปน ติวิโธ กโม – อุปฺปตฺติกฺกโม, ปหานกฺกโม, เทสนากฺกโม จฯ ตตฺถ อนมตเคฺค สํสาเร อิมสฺส ปฐมํ อุปฺปตฺตีติ อภาวโต กิเลสานํ นิปฺปริยาเยน อุปฺปตฺติกฺกโม น วุจฺจติฯ ปริยาเยน ปน เยภุเยฺยน เอกสฺมิํ ภเว อตฺตคฺคาหปุพฺพงฺคโม สสฺสตุเจฺฉทาภินิเวโสฯ ตโต ‘‘สสฺสโต อยํ อตฺตา’’ติ คณฺหโต อตฺตวิสุทฺธตฺถํ สีลพฺพตุปาทานํ, อุจฺฉิชฺชตีติ คณฺหโต ปรโลกนิรเปกฺขสฺส กามุปาทานนฺติ เอวํ ปฐมํ อตฺตวาทุปาทานํ, ตโต ทิฎฺฐิสีลพฺพตกามุปาทานานีติ อยเมเตสํ เอกสฺมิํ ภเว อุปฺปตฺติกฺกโมฯ
‘Kamato’ti ettha pana tividho kamo – uppattikkamo, pahānakkamo, desanākkamo ca. Tattha anamatagge saṃsāre imassa paṭhamaṃ uppattīti abhāvato kilesānaṃ nippariyāyena uppattikkamo na vuccati. Pariyāyena pana yebhuyyena ekasmiṃ bhave attaggāhapubbaṅgamo sassatucchedābhiniveso. Tato ‘‘sassato ayaṃ attā’’ti gaṇhato attavisuddhatthaṃ sīlabbatupādānaṃ, ucchijjatīti gaṇhato paralokanirapekkhassa kāmupādānanti evaṃ paṭhamaṃ attavādupādānaṃ, tato diṭṭhisīlabbatakāmupādānānīti ayametesaṃ ekasmiṃ bhave uppattikkamo.
ทิฎฺฐุปาทานาทีนิ เจตฺถ ปฐมํ ปหียนฺติ โสตาปตฺติมคฺควชฺฌตฺตาฯ กามุปาทานํ ปจฺฉา อรหตฺตมคฺควชฺฌตฺตาติฯ อยเมเตสํ ปหานกฺกโมฯ
Diṭṭhupādānādīni cettha paṭhamaṃ pahīyanti sotāpattimaggavajjhattā. Kāmupādānaṃ pacchā arahattamaggavajjhattāti. Ayametesaṃ pahānakkamo.
มหาวิสยตฺตา ปน ปากฎตฺตา จ เอเตสุ กามุปาทานํ ปฐมํ เทสิตํฯ มหาวิสยญฺหิ ตํ อฎฺฐจิตฺตสมฺปโยคาฯ อปฺปวิสยานิ อิตรานิ จตุจิตฺตสมฺปโยคาฯ เยภุเยฺยน จ อาลยรามตาย ปชาย ปากฎํ กามุปาทานํ, น อิตรานิฯ กามุปาทานวา วตฺถุกามานํ สมธิคมตฺถํ โกตูหลมงฺคลาทิพหุโล โหติ, น สสฺสตทิฎฺฐีติ ตทนนฺตรํ ทิฎฺฐุปาทานํฯ ตํ ปภิชฺชมานํ สีลพฺพตอตฺตวาทุปาทานวเสน ทุวิธํ โหติฯ ตสฺมิํ ทฺวเย โคกิริยํ วา กุกฺกุรกิริยํ วา ทิสฺวาปิ เวทิตพฺพโต โอฬาริกนฺติ สีลพฺพตุปาทานํ ปฐมํ เทสิตํ, สุขุมตฺตา อเนฺต อตฺตวาทุปาทานนฺติ อยเมเตสํ เทสนากฺกโมฯ
Mahāvisayattā pana pākaṭattā ca etesu kāmupādānaṃ paṭhamaṃ desitaṃ. Mahāvisayañhi taṃ aṭṭhacittasampayogā. Appavisayāni itarāni catucittasampayogā. Yebhuyyena ca ālayarāmatāya pajāya pākaṭaṃ kāmupādānaṃ, na itarāni. Kāmupādānavā vatthukāmānaṃ samadhigamatthaṃ kotūhalamaṅgalādibahulo hoti, na sassatadiṭṭhīti tadanantaraṃ diṭṭhupādānaṃ. Taṃ pabhijjamānaṃ sīlabbataattavādupādānavasena duvidhaṃ hoti. Tasmiṃ dvaye gokiriyaṃ vā kukkurakiriyaṃ vā disvāpi veditabbato oḷārikanti sīlabbatupādānaṃ paṭhamaṃ desitaṃ, sukhumattā ante attavādupādānanti ayametesaṃ desanākkamo.
ตณฺหา จ ปุริมเสฺสตฺถ, เอกธา โหติ ปจฺจโย;
Taṇhā ca purimassettha, ekadhā hoti paccayo;
สตฺตธา อฎฺฐธา วาปิ, โหติ เสสตฺตยสฺส สาฯ
Sattadhā aṭṭhadhā vāpi, hoti sesattayassa sā.
เอตฺถ จ เอวํ เทสิเต อุปาทานจตุเกฺก ปุริมสฺส กามุปาทานสฺส กามตณฺหา อุปนิสฺสยวเสน เอกธาว ปจฺจโย โหติ ตณฺหาภินนฺทิเตสุ วิสเยสุ อุปฺปตฺติโตฯ เสสตฺตยสฺส ปน สหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยสมฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตเหตุวเสน สตฺตธา วา อุปนิสฺสเยน สห อฎฺฐธา วาปิ ปจฺจโย โหติฯ ยทา จ สา อุปนิสฺสยวเสน ปจฺจโย โหติ ตทา อสหชาตาว โหตีติฯ
Ettha ca evaṃ desite upādānacatukke purimassa kāmupādānassa kāmataṇhā upanissayavasena ekadhāva paccayo hoti taṇhābhinanditesu visayesu uppattito. Sesattayassa pana sahajātaaññamaññanissayasampayuttaatthiavigatahetuvasena sattadhā vā upanissayena saha aṭṭhadhā vāpi paccayo hoti. Yadā ca sā upanissayavasena paccayo hoti tadā asahajātāva hotīti.
ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานปทนิเทฺทโสฯ
Taṇhāpaccayā upādānapadaniddeso.
ภวปทนิเทฺทโส
Bhavapadaniddeso
๒๓๔. อุปาทานปจฺจยา ภวนิเทฺทเส –
234. Upādānapaccayā bhavaniddese –
อตฺถโต ธมฺมโต เจว, สาตฺถโต เภทสงฺคหา;
Atthato dhammato ceva, sātthato bhedasaṅgahā;
ยํ ยสฺส ปจฺจโย เจว, วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Yaṃ yassa paccayo ceva, viññātabbo vinicchayo.
ตตฺถ ภวตีติ ภโวฯ ทุวิเธนาติ ทฺวีหิ อากาเรหิ ปวตฺติโตติ อโตฺถฯ อถวา ทุวิเธนาติ ปจฺจเต กรณวจนํ, ทุวิโธติ วุตฺตํ โหติฯ อตฺถีติ สํวิชฺชติฯ กมฺมเมว ภโว กมฺมภโวฯ อุปปตฺติเยว ภโว อุปปตฺติภโวฯ เอตฺถ จ อุปปตฺติ ภวตีติ ภโวฯ กมฺมํ ปน ยถา สุขการณตฺตา ‘‘สุโข พุทฺธานมุปฺปาโท’’ติ (ธ. ป. ๑๙๔) วุโตฺต, เอวํ ภวการณตฺตา ผลโวหาเรน ภโวติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ กตโม กมฺมภโวติ เตสุ ทฺวีสุ ภเวสุ โย กมฺมภโวติ วุโตฺต, โส กตโมติ อโตฺถฯ ปุญฺญาภิสงฺขาราทโย วุตฺตตฺถา เอวฯ สพฺพนฺติ อนวเสสํฯ ภวํ คจฺฉติ คเมติ จาติ ภวคามิฯ อิมินา โลกุตฺตรํ ปฎิกฺขิปติฯ อยญฺหิ วฎฺฎกถา, ตญฺจ วิวฎฺฎนิสฺสิตนฺติฯ กรียตีติ กมฺมํฯ
Tattha bhavatīti bhavo. Duvidhenāti dvīhi ākārehi pavattitoti attho. Athavā duvidhenāti paccate karaṇavacanaṃ, duvidhoti vuttaṃ hoti. Atthīti saṃvijjati. Kammameva bhavo kammabhavo. Upapattiyeva bhavo upapattibhavo. Ettha ca upapatti bhavatīti bhavo. Kammaṃ pana yathā sukhakāraṇattā ‘‘sukho buddhānamuppādo’’ti (dha. pa. 194) vutto, evaṃ bhavakāraṇattā phalavohārena bhavoti veditabbaṃ. Tattha katamo kammabhavoti tesu dvīsu bhavesu yo kammabhavoti vutto, so katamoti attho. Puññābhisaṅkhārādayo vuttatthā eva. Sabbanti anavasesaṃ. Bhavaṃ gacchati gameti cāti bhavagāmi. Iminā lokuttaraṃ paṭikkhipati. Ayañhi vaṭṭakathā, tañca vivaṭṭanissitanti. Karīyatīti kammaṃ.
กามภวาทีสุ กามสงฺขาโต ภโว กามภโวฯ เอส นโย รูปารูปภเวสุฯ สญฺญาวตํ ภโว, สญฺญา วา เอตฺถ ภเว อตฺถีติ สญฺญาภโวฯ วิปริยาเยน อสญฺญาภโวฯ โอฬาริกสญฺญาย อภาวา สุขุมาย จ ภาวา เนว สญฺญา นาสญฺญา อสฺมิํ ภเวติ เนวสญฺญานาสญฺญาภโวฯ เอเกน รูปกฺขเนฺธน โวกิโณฺณ ภโว เอกโวการภโวฯ เอโก วา โวกาโร อสฺส ภวสฺสาติ เอกโวการภโวฯ เอเสว นโย จตุโวการปญฺจโวการภเวสุฯ อยํ วุจฺจติ อุปปตฺติภโวติ เอส นววิโธปิ อุปปตฺติภโว นาม วุจฺจตีติฯ เอวํ ตาเวตฺถ ‘อตฺถโต’ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Kāmabhavādīsu kāmasaṅkhāto bhavo kāmabhavo. Esa nayo rūpārūpabhavesu. Saññāvataṃ bhavo, saññā vā ettha bhave atthīti saññābhavo. Vipariyāyena asaññābhavo. Oḷārikasaññāya abhāvā sukhumāya ca bhāvā neva saññā nāsaññā asmiṃ bhaveti nevasaññānāsaññābhavo. Ekena rūpakkhandhena vokiṇṇo bhavo ekavokārabhavo. Eko vā vokāro assa bhavassāti ekavokārabhavo. Eseva nayo catuvokārapañcavokārabhavesu. Ayaṃ vuccati upapattibhavoti esa navavidhopi upapattibhavo nāma vuccatīti. Evaṃ tāvettha ‘atthato’ viññātabbo vinicchayo.
‘ธมฺมโต’ ปน เอตฺถ หิ ปุญฺญาภิสงฺขาโร ธมฺมโต เตรส เจตนา, อปุญฺญาภิสงฺขาโร ทฺวาทส, อาเนญฺชาภิสงฺขาโร จตโสฺสฯ ‘‘สพฺพมฺปิ ภวคามิกมฺม’’นฺติ เอเตน สเพฺพเปเต ธมฺมา เจตนา สมฺปยุตฺตา วา กมฺมสงฺขาตา อาจยคามิโน ธมฺมา สงฺคหิตาฯ กามภโว ปญฺจ อุปาทินฺนกฺขนฺธา, ตถา รูปภโว, อรูปภโว จตฺตาโร, สญฺญาภโว จตุปญฺจ, อสญฺญาภโว เอโก อุปาทินฺนกฺขโนฺธ, เนวสญฺญานาสญฺญาภโว จตฺตาโรฯ เอกโวการภวาทโย เอกจตุปญฺจกฺขนฺธา อุปาทินฺนกฺขเนฺธหีติ เอวเมตฺถ ‘ธมฺมโต’ปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
‘Dhammato’ pana ettha hi puññābhisaṅkhāro dhammato terasa cetanā, apuññābhisaṅkhāro dvādasa, āneñjābhisaṅkhāro catasso. ‘‘Sabbampi bhavagāmikamma’’nti etena sabbepete dhammā cetanā sampayuttā vā kammasaṅkhātā ācayagāmino dhammā saṅgahitā. Kāmabhavo pañca upādinnakkhandhā, tathā rūpabhavo, arūpabhavo cattāro, saññābhavo catupañca, asaññābhavo eko upādinnakkhandho, nevasaññānāsaññābhavo cattāro. Ekavokārabhavādayo ekacatupañcakkhandhā upādinnakkhandhehīti evamettha ‘dhammato’pi viññātabbo vinicchayo.
‘สาตฺถโต’ติ ยถา จ ภวนิเทฺทเส ตเถว กามญฺจ สงฺขารนิเทฺทเสปิ ปุญฺญาภิสงฺขาราทโยว วุตฺตา, เอวํ สเนฺตปิ ปุริมา อตีตกมฺมวเสน อิธ ปฎิสนฺธิยา ปจฺจยตฺตา วุตฺตาฯ อิเม ปจฺจุปฺปนฺนกมฺมวเสน อายติํ ปฎิสนฺธิยา ปจฺจยตฺตาติ ปุนวจนํ สาตฺถกเมวฯ ปุเพฺพ วา ‘‘ตตฺถ กตโม ปุญฺญาภิสงฺขาโร? กุสลเจตนา กามาวจรา’’ติ เอวมาทินา นเยน เจตนาว สงฺขาราติ วุตฺตาฯ อิธ ปน ‘‘สพฺพมฺปิ ภวคามิกมฺม’’นฺติ วจนโต เจตนาสมฺปยุตฺตาปิฯ ปุเพฺพ จ วิญฺญาณปจฺจยเมว กมฺมํ สงฺขาราติ วุตฺตํ, อิทานิ อสญฺญาภวนิพฺพตฺตกมฺปิฯ กิํ วา พหุนา? ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติ เอตฺถ ปุญฺญาภิสงฺขาราทโยว กุสลากุสลธมฺมา วุตฺตาฯ ‘‘อุปาทานปจฺจยา ภโว’’ติ อิธ ปน อุปปตฺติภวสฺสาปิ สงฺคหิตตฺตา กุสลากุสลาพฺยากตา ธมฺมา วุตฺตาฯ ตสฺมา สพฺพถาปิ สาตฺถกเมวิทํ ปุนวจนนฺติฯ เอวเมตฺถ ‘สาตฺถโต’ปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
‘Sātthato’ti yathā ca bhavaniddese tatheva kāmañca saṅkhāraniddesepi puññābhisaṅkhārādayova vuttā, evaṃ santepi purimā atītakammavasena idha paṭisandhiyā paccayattā vuttā. Ime paccuppannakammavasena āyatiṃ paṭisandhiyā paccayattāti punavacanaṃ sātthakameva. Pubbe vā ‘‘tattha katamo puññābhisaṅkhāro? Kusalacetanā kāmāvacarā’’ti evamādinā nayena cetanāva saṅkhārāti vuttā. Idha pana ‘‘sabbampi bhavagāmikamma’’nti vacanato cetanāsampayuttāpi. Pubbe ca viññāṇapaccayameva kammaṃ saṅkhārāti vuttaṃ, idāni asaññābhavanibbattakampi. Kiṃ vā bahunā? ‘‘Avijjāpaccayā saṅkhārā’’ti ettha puññābhisaṅkhārādayova kusalākusaladhammā vuttā. ‘‘Upādānapaccayā bhavo’’ti idha pana upapattibhavassāpi saṅgahitattā kusalākusalābyākatā dhammā vuttā. Tasmā sabbathāpi sātthakamevidaṃ punavacananti. Evamettha ‘sātthato’pi viññātabbo vinicchayo.
‘เภทสงฺคหา’ติ อุปาทานปจฺจยา ภวสฺส เภทโต เจว สงฺคหโต จฯ ยญฺหิ กามุปาทานปจฺจยา กามภวนิพฺพตฺตกํ กมฺมํ กริยติ, โส กมฺมภโวฯ ตทภินิพฺพตฺตา ขนฺธา อุปปตฺติภโวฯ เอส นโย รูปารูปภเวสุฯ เอวํ กามุปาทานปจฺจยา เทฺว กามภวา, ตทโนฺตคธาว สญฺญาภวปญฺจโวการภวา; เทฺว รูปภวา, ตทโนฺตคธาว สญฺญาภวอสญฺญาภวเอกโวการภวปญฺจโวการภวา; เทฺว อรูปภวา, ตทโนฺตคธาว สญฺญาภวเนวสญฺญานาสญฺญาภวจตุโวการภวาติ สทฺธิํ อโนฺตคเธหิ ฉ ภวาฯ ยถา จ กามุปาทานปจฺจยา สทฺธิํ อโนฺตคเธหิ ฉ ภวา ตถา เสสุปาทานปจฺจยาปีติ เอวํ อุปาทานปจฺจยา เภทโต สทฺธิํ อโนฺตคเธหิ จตุวีสติ ภวาฯ
‘Bhedasaṅgahā’ti upādānapaccayā bhavassa bhedato ceva saṅgahato ca. Yañhi kāmupādānapaccayā kāmabhavanibbattakaṃ kammaṃ kariyati, so kammabhavo. Tadabhinibbattā khandhā upapattibhavo. Esa nayo rūpārūpabhavesu. Evaṃ kāmupādānapaccayā dve kāmabhavā, tadantogadhāva saññābhavapañcavokārabhavā; dve rūpabhavā, tadantogadhāva saññābhavaasaññābhavaekavokārabhavapañcavokārabhavā; dve arūpabhavā, tadantogadhāva saññābhavanevasaññānāsaññābhavacatuvokārabhavāti saddhiṃ antogadhehi cha bhavā. Yathā ca kāmupādānapaccayā saddhiṃ antogadhehi cha bhavā tathā sesupādānapaccayāpīti evaṃ upādānapaccayā bhedato saddhiṃ antogadhehi catuvīsati bhavā.
สงฺคหโต ปน กมฺมภวํ อุปปตฺติภวญฺจ เอกโต กตฺวา กามุปาทานปจฺจยา สทฺธิํ อโนฺตคเธหิ เอโก กามภโว, ตถา รูปารูปภวาติ ตโย ภวาฯ ตถา เสสุปาทานปจฺจยาปีติ เอวํ อุปาทานปจฺจยา สงฺคหโต สทฺธิํ อโนฺตคเธหิ ทฺวาทส ภวาฯ อปิจ อวิเสเสน อุปาทานปจฺจยา กามภวูปคํ กมฺมํ กมฺมภโวฯ ตทภินิพฺพตฺตา ขนฺธา อุปปตฺติภโวฯ เอส นโย รูปารูปภเวสุฯ เอวํ อุปาทานปจฺจยา สทฺธิํ อโนฺตคเธหิ เทฺว กามภวา, เทฺว รูปภวา, เทฺว อรูปภวาติ อปเรนปิ ปริยาเยน สงฺคหโต ฉ ภวาฯ กมฺมภวอุปปตฺติภวเภทํ วา อนุปคมฺม สทฺธิํ อโนฺตคเธหิ กามภวาทิวเสน ตโย ภวา โหนฺติฯ กามภวาทิเภทญฺจาปิ อนุปคมฺม กมฺมภวอุปปตฺติภววเสน เทฺว ภวา โหนฺติฯ กมฺมุปปตฺติเภทญฺจ อนุปคมฺม อุปาทานปจฺจยา ภโวติ ภววเสน เอโก ภโว โหตีติฯ เอวเมตฺถ อุปาทานปจฺจยสฺส ภวสฺส เภทสงฺคหาปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Saṅgahato pana kammabhavaṃ upapattibhavañca ekato katvā kāmupādānapaccayā saddhiṃ antogadhehi eko kāmabhavo, tathā rūpārūpabhavāti tayo bhavā. Tathā sesupādānapaccayāpīti evaṃ upādānapaccayā saṅgahato saddhiṃ antogadhehi dvādasa bhavā. Apica avisesena upādānapaccayā kāmabhavūpagaṃ kammaṃ kammabhavo. Tadabhinibbattā khandhā upapattibhavo. Esa nayo rūpārūpabhavesu. Evaṃ upādānapaccayā saddhiṃ antogadhehi dve kāmabhavā, dve rūpabhavā, dve arūpabhavāti aparenapi pariyāyena saṅgahato cha bhavā. Kammabhavaupapattibhavabhedaṃ vā anupagamma saddhiṃ antogadhehi kāmabhavādivasena tayo bhavā honti. Kāmabhavādibhedañcāpi anupagamma kammabhavaupapattibhavavasena dve bhavā honti. Kammupapattibhedañca anupagamma upādānapaccayā bhavoti bhavavasena eko bhavo hotīti. Evamettha upādānapaccayassa bhavassa bhedasaṅgahāpi viññātabbo vinicchayo.
‘ยํ ยสฺส ปจฺจโย เจวา’ติ ยเญฺจตฺถ อุปาทานํ ยสฺส ปจฺจโย โหติ, ตโตปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยติ อโตฺถฯ กิํ ปเนตฺถ กสฺส ปจฺจโย โหติ? ยํ กิญฺจิ ยสฺส กสฺสจิ ปจฺจโย โหติเยวฯ อุมฺมตฺตโก วิย หิ ปุถุชฺชโนฯ โส ‘อิทํ ยุตฺตํ, อิทํ อยุตฺต’นฺติ อวิจาเรตฺวา ยสฺส กสฺสจิ อุปาทานสฺส วเสน ยํ กิญฺจิ ภวํ ปเตฺถตฺวา ยํ กิญฺจิ กมฺมํ กโรติเยวฯ ตสฺมา ยเทกเจฺจ ‘‘สีลพฺพตุปาทาเนน รูปารูปภวา น โหนฺตี’’ติ วทนฺติ, ตํ น คเหตพฺพํฯ สเพฺพน ปน สโพฺพ โหตีติ คเหตพฺพํ, เสยฺยถิทํ – อิเธกโจฺจ อนุสฺสววเสน วา ทิฎฺฐานุสาเรน วา ‘‘กามา นาเมเต มนุสฺสโลเก เจว ขตฺติยมหาสาลกุลาทีสุ ฉกามาวจรเทวโลเก จ สมิทฺธา’’ติ จิเนฺตตฺวา เตสํ อธิคมตฺถํ อสทฺธมฺมสวนาทีหิ วญฺจิโต ‘อิมินา กเมฺมน กามา สมฺปชฺชนฺตี’ติ มญฺญมาโน กามุปาทานวเสน กายทุจฺจริตาทีนิปิ กโรติฯ โส ทุจฺจริตปาริปูริยา อปาเย อุปฺปชฺชติ; สนฺทิฎฺฐิเก วา ปน กาเม ปตฺถยมาโน ปฎิลเทฺธ วา โคปยมาโน กามุปาทานวเสน กายทุจฺจริตาทีนิปิ กโรติฯ โส ทุจฺจริตปาริปูริยา อปาเย อุปฺปชฺชติฯ ตตฺราสฺส อุปปตฺติเหตุภูตํ กมฺมํ กมฺมภโว, กมฺมาภินิพฺพตฺตา ขนฺธา อุปปตฺติภโว สญฺญาภวปญฺจโวการภวา ปน ตทโนฺตคธา เอวฯ
‘Yaṃ yassa paccayo cevā’ti yañcettha upādānaṃ yassa paccayo hoti, tatopi viññātabbo vinicchayoti attho. Kiṃ panettha kassa paccayo hoti? Yaṃ kiñci yassa kassaci paccayo hotiyeva. Ummattako viya hi puthujjano. So ‘idaṃ yuttaṃ, idaṃ ayutta’nti avicāretvā yassa kassaci upādānassa vasena yaṃ kiñci bhavaṃ patthetvā yaṃ kiñci kammaṃ karotiyeva. Tasmā yadekacce ‘‘sīlabbatupādānena rūpārūpabhavā na hontī’’ti vadanti, taṃ na gahetabbaṃ. Sabbena pana sabbo hotīti gahetabbaṃ, seyyathidaṃ – idhekacco anussavavasena vā diṭṭhānusārena vā ‘‘kāmā nāmete manussaloke ceva khattiyamahāsālakulādīsu chakāmāvacaradevaloke ca samiddhā’’ti cintetvā tesaṃ adhigamatthaṃ asaddhammasavanādīhi vañcito ‘iminā kammena kāmā sampajjantī’ti maññamāno kāmupādānavasena kāyaduccaritādīnipi karoti. So duccaritapāripūriyā apāye uppajjati; sandiṭṭhike vā pana kāme patthayamāno paṭiladdhe vā gopayamāno kāmupādānavasena kāyaduccaritādīnipi karoti. So duccaritapāripūriyā apāye uppajjati. Tatrāssa upapattihetubhūtaṃ kammaṃ kammabhavo, kammābhinibbattā khandhā upapattibhavo saññābhavapañcavokārabhavā pana tadantogadhā eva.
อปโร ปน สทฺธมฺมสวนาทีหิ อุปพฺรูหิตญาโณ ‘‘อิมินา กเมฺมน กามา สมฺปชฺชนฺตี’’ติ มญฺญมาโน กามุปาทานวเสน กายสุจริตาทีนิ กโรติฯ โส สุจริตปาริปูริยา เทเวสุ วา มนุเสฺสสุ วา อุปฺปชฺชติฯ ตตฺราสฺส อุปปตฺติเหตุภูตํ กมฺมํ กมฺมภโว, กมฺมาภินิพฺพตฺตา ขนฺธา อุปปตฺติภโวฯ สญฺญาภวปญฺจโวการภวา ปน ตทโนฺตคธา เอวฯ อิติ กามุปาทานํ สปฺปเภทสฺส สาโนฺตคธสฺส กามภวสฺส ปจฺจโย โหติฯ
Aparo pana saddhammasavanādīhi upabrūhitañāṇo ‘‘iminā kammena kāmā sampajjantī’’ti maññamāno kāmupādānavasena kāyasucaritādīni karoti. So sucaritapāripūriyā devesu vā manussesu vā uppajjati. Tatrāssa upapattihetubhūtaṃ kammaṃ kammabhavo, kammābhinibbattā khandhā upapattibhavo. Saññābhavapañcavokārabhavā pana tadantogadhā eva. Iti kāmupādānaṃ sappabhedassa sāntogadhassa kāmabhavassa paccayo hoti.
อปโร ‘‘รูปารูปภเวสุ ตโต สมิทฺธตรา กามา’’ติ สุตฺวา วา ปริกเปฺปตฺวา วา กามุปาทานวเสเนว รูปารูปสมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา สมาปตฺติพเลน รูปารูปพฺรหฺมโลเก อุปฺปชฺชติฯ ตตฺราสฺส อุปปตฺติเหตุภูตํ กมฺมํ กมฺมภโว, กมฺมาภินิพฺพตฺตา ขนฺธา อุปปตฺติภโวฯ สญฺญาอสญฺญา เนวสญฺญา นาสญฺญาเอกโวการจตุโวการปญฺจโวการภวา ปน ตทโนฺตคธา เอวฯ อิติ กามุปาทานํ สปฺปเภทานํ สาโนฺตคธานํ รูปารูปภวานมฺปิ ปจฺจโย โหติ ฯ
Aparo ‘‘rūpārūpabhavesu tato samiddhatarā kāmā’’ti sutvā vā parikappetvā vā kāmupādānavaseneva rūpārūpasamāpattiyo nibbattetvā samāpattibalena rūpārūpabrahmaloke uppajjati. Tatrāssa upapattihetubhūtaṃ kammaṃ kammabhavo, kammābhinibbattā khandhā upapattibhavo. Saññāasaññā nevasaññā nāsaññāekavokāracatuvokārapañcavokārabhavā pana tadantogadhā eva. Iti kāmupādānaṃ sappabhedānaṃ sāntogadhānaṃ rūpārūpabhavānampi paccayo hoti .
อปโร ‘‘อยํ อตฺตา นาม กามาวจรสมฺปตฺติภเว วา รูปารูปภวานํ วา อญฺญตรสฺมิํ อุจฺฉิโนฺน สุอุจฺฉิโนฺน โหตี’’ติ อุเจฺฉททิฎฺฐิํ อุปาทาย ตทุปคํ กมฺมํ กโรติฯ ตสฺส ตํ กมฺมํ กมฺมภโว, กมฺมาภินิพฺพตฺตา ขนฺธา อุปปตฺติภโวฯ สญฺญาภวาทโย ปน ตทโนฺตคธา เอวฯ อิติ ทิฎฺฐุปาทานํ สปฺปเภทานํ สาโนฺตคธานํ ติณฺณมฺปิ กามรูปารูปภวานํ ปจฺจโย โหติฯ
Aparo ‘‘ayaṃ attā nāma kāmāvacarasampattibhave vā rūpārūpabhavānaṃ vā aññatarasmiṃ ucchinno suucchinno hotī’’ti ucchedadiṭṭhiṃ upādāya tadupagaṃ kammaṃ karoti. Tassa taṃ kammaṃ kammabhavo, kammābhinibbattā khandhā upapattibhavo. Saññābhavādayo pana tadantogadhā eva. Iti diṭṭhupādānaṃ sappabhedānaṃ sāntogadhānaṃ tiṇṇampi kāmarūpārūpabhavānaṃ paccayo hoti.
อปโร ‘‘อยํ อตฺตา นาม กามาวจรสมฺปตฺติภเว วา รูปารูปภวานํ วา อญฺญตรสฺมิํ สุขี โหติ, วิคตปริฬาโห โหตี’’ติ อตฺตวาทุปาทาเนน ตทุปคํ กมฺมํ กโรติฯ ตสฺส ตํ กมฺมํ กมฺมภโว, ตทภินิพฺพตฺตา ขนฺธา อุปปตฺติภโวฯ สญฺญาภวาทโย ปน ตทโนฺตคธา เอว ฯ อิติ อตฺตวาทุปาทานํ สปฺปเภทานํ สาโนฺตคธานํ ติณฺณํ ภวานํ ปจฺจโย โหติฯ
Aparo ‘‘ayaṃ attā nāma kāmāvacarasampattibhave vā rūpārūpabhavānaṃ vā aññatarasmiṃ sukhī hoti, vigatapariḷāho hotī’’ti attavādupādānena tadupagaṃ kammaṃ karoti. Tassa taṃ kammaṃ kammabhavo, tadabhinibbattā khandhā upapattibhavo. Saññābhavādayo pana tadantogadhā eva . Iti attavādupādānaṃ sappabhedānaṃ sāntogadhānaṃ tiṇṇaṃ bhavānaṃ paccayo hoti.
อปโร ‘‘อิทํ สีลพฺพตํ นาม กามาวจรสมฺปตฺติภเว วา รูปารูปภวานํ วา อญฺญตรสฺมิํ ปริปูเรนฺตสฺส สุขํ ปาริปูริํ คจฺฉตี’’ติ สีลพฺพตุปาทานวเสน ตทุปคํ กมฺมํ กโรติฯ ตสฺส ตํ กมฺมํ กมฺมภโว, ตทภินิพฺพตฺตา ขนฺธา อุปปตฺติภโวฯ สญฺญาภวาทโย ปน ตทโนฺตคธา เอวฯ อิติ สีลพฺพตุปาทานมฺปิ สปฺปเภทานํ สาโนฺตคธานํ ติณฺณํ ภวานํ ปจฺจโย โหตีติ เอวเมตฺถ ยํ ยสฺส ปจฺจโย โหติ ตโตปิ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ
Aparo ‘‘idaṃ sīlabbataṃ nāma kāmāvacarasampattibhave vā rūpārūpabhavānaṃ vā aññatarasmiṃ paripūrentassa sukhaṃ pāripūriṃ gacchatī’’ti sīlabbatupādānavasena tadupagaṃ kammaṃ karoti. Tassa taṃ kammaṃ kammabhavo, tadabhinibbattā khandhā upapattibhavo. Saññābhavādayo pana tadantogadhā eva. Iti sīlabbatupādānampi sappabhedānaṃ sāntogadhānaṃ tiṇṇaṃ bhavānaṃ paccayo hotīti evamettha yaṃ yassa paccayo hoti tatopi viññātabbo vinicchayo.
กิํ ปเนตฺถ กสฺส ภวสฺส กถํ ปจฺจโย โหตีติ เจ?
Kiṃ panettha kassa bhavassa kathaṃ paccayo hotīti ce?
รูปารูปภวานํ, อุปนิสฺสยปจฺจโย อุปาทานํ;
Rūpārūpabhavānaṃ, upanissayapaccayo upādānaṃ;
สหชาตาทีหิปิ ตํ, กามภวสฺสาติ วิเญฺญยฺยํฯ
Sahajātādīhipi taṃ, kāmabhavassāti viññeyyaṃ.
รูปารูปภวานญฺหิ กามภวปริยาปนฺนสฺส จ กามภเว กุสลกมฺมเสฺสว อุปปตฺติภวสฺส เจตํ จตุพฺพิธมฺปิ อุปาทานํ อุปนิสฺสยปจฺจเยน เอกธา ปจฺจโย โหติฯ กามภเว อตฺตนา สมฺปยุตฺตอกุสลกมฺมภวสฺส สหชาตอญฺญมญฺญนิสฺสยสมฺปยุตฺตอตฺถิอวิคตเหตุปจฺจยปฺปเภเทหิ สหชาตาทีหิ ปจฺจโย โหติฯ วิปฺปยุตฺตสฺส ปน อุปนิสฺสยปจฺจเยเนวาติฯ
Rūpārūpabhavānañhi kāmabhavapariyāpannassa ca kāmabhave kusalakammasseva upapattibhavassa cetaṃ catubbidhampi upādānaṃ upanissayapaccayena ekadhā paccayo hoti. Kāmabhave attanā sampayuttaakusalakammabhavassa sahajātaaññamaññanissayasampayuttaatthiavigatahetupaccayappabhedehi sahajātādīhi paccayo hoti. Vippayuttassa pana upanissayapaccayenevāti.
อุปาทานปจฺจยา ภวปทนิเทฺทโสฯ
Upādānapaccayā bhavapadaniddeso.
ชาติชรามรณาทิปทนิเทฺทโส
Jātijarāmaraṇādipadaniddeso
๒๓๕. ภวปจฺจยา ชาตินิเทฺทสาทีสุ ชาติอาทีนํ วินิจฺฉโย สจฺจวิภเงฺค วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ ภโวติ ปเนตฺถ กมฺมภโวว อธิเปฺปโตฯ โส หิ ชาติยา ปจฺจโย, น อุปปตฺติภโวฯ โส ปน กมฺมปจฺจยอุปนิสฺสยปจฺจยวเสน ทฺวิธาว ปจฺจโย โหตีติฯ
235. Bhavapaccayā jātiniddesādīsu jātiādīnaṃ vinicchayo saccavibhaṅge vuttanayeneva veditabbo. Bhavoti panettha kammabhavova adhippeto. So hi jātiyā paccayo, na upapattibhavo. So pana kammapaccayaupanissayapaccayavasena dvidhāva paccayo hotīti.
ตตฺถ สิยา – กถํ ปเนตํ ชานิตพฺพํ ‘‘ภโว ชาติยา ปจฺจโย’’ติ เจ? พาหิรปจฺจยสมเตฺตปิ หีนปณีตตาทิวิเสสทสฺสนโตฯ พาหิรานญฺหิ ชนกชเนตฺติสุกฺกโสณิตาหาราทีนํ ปจฺจยานํ สมเตฺตปิ สตฺตานํ ยมกานมฺปิ สตํ หีนปณีตตาทิวิเสโส ทิสฺสติฯ โส จ น อเหตุโก , สพฺพทา จ สเพฺพสญฺจ อภาวโต; น กมฺมภวโต อญฺญเหตุโก, ตทภินิพฺพตฺตกสตฺตานํ อชฺฌตฺตสนฺตาเน อญฺญสฺส การณสฺส อภาวโตติ กมฺมภวเหตุโกวฯ กมฺมญฺหิ สตฺตานํ หีนปณีตาทิวิเสสเหตุฯ เตนาห ภควา – ‘‘กมฺมํ สเตฺต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตตายา’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๘๙)ฯ ตสฺมา ชานิตพฺพเมตํ – ‘‘ภโว ชาติยา ปจฺจโย’’ติฯ
Tattha siyā – kathaṃ panetaṃ jānitabbaṃ ‘‘bhavo jātiyā paccayo’’ti ce? Bāhirapaccayasamattepi hīnapaṇītatādivisesadassanato. Bāhirānañhi janakajanettisukkasoṇitāhārādīnaṃ paccayānaṃ samattepi sattānaṃ yamakānampi sataṃ hīnapaṇītatādiviseso dissati. So ca na ahetuko , sabbadā ca sabbesañca abhāvato; na kammabhavato aññahetuko, tadabhinibbattakasattānaṃ ajjhattasantāne aññassa kāraṇassa abhāvatoti kammabhavahetukova. Kammañhi sattānaṃ hīnapaṇītādivisesahetu. Tenāha bhagavā – ‘‘kammaṃ satte vibhajati yadidaṃ hīnappaṇītatāyā’’ti (ma. ni. 3.289). Tasmā jānitabbametaṃ – ‘‘bhavo jātiyā paccayo’’ti.
ยสฺมา จ อสติ ชาติยา ชรามรณํ นาม น โหติ, โสกาทโย จ ธมฺมา น โหนฺติ, ชาติยา ปน สติ ชรามรณเญฺจว ชรามรณสงฺขาตทุกฺขธมฺมผุฎฺฐสฺส จ พาลสฺส ชรามรณาภิสมฺพนฺธา วา เตน เตน ทุกฺขธเมฺมน ผุฎฺฐสฺส อนภิสมฺพนฺธา วา โสกาทโย จ ธมฺมา โหนฺติ, ตสฺมา อยํ ชาติชรามรณสฺส เจว โสกาทีนญฺจ ปจฺจโย โหตีติ เวทิตพฺพาฯ สา ปน อุปนิสฺสยโกฎิยา เอกธาว ปจฺจโย โหตีติฯ
Yasmā ca asati jātiyā jarāmaraṇaṃ nāma na hoti, sokādayo ca dhammā na honti, jātiyā pana sati jarāmaraṇañceva jarāmaraṇasaṅkhātadukkhadhammaphuṭṭhassa ca bālassa jarāmaraṇābhisambandhā vā tena tena dukkhadhammena phuṭṭhassa anabhisambandhā vā sokādayo ca dhammā honti, tasmā ayaṃ jātijarāmaraṇassa ceva sokādīnañca paccayo hotīti veditabbā. Sā pana upanissayakoṭiyā ekadhāva paccayo hotīti.
ภวปจฺจยา ชาติอาทิปทนิเทฺทโสฯ
Bhavapaccayā jātiādipadaniddeso.
๒๔๒. เอวเมตสฺสาติอาทีนํ อโตฺถ อุเทฺทสวาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ สงฺคติอาทีนิ สมุทยเววจนาเนวฯ
242. Evametassātiādīnaṃ attho uddesavāre vuttanayeneva veditabbo. Saṅgatiādīni samudayavevacanāneva.
ยสฺมา ปเนตฺถ โสกาทโย อวสาเน วุตฺตา, ตสฺมา ยา สา อวิชฺชา ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติ เอวเมตสฺส ภวจกฺกสฺส อาทิมฺหิ วุตฺตา, สา –
Yasmā panettha sokādayo avasāne vuttā, tasmā yā sā avijjā ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’ti evametassa bhavacakkassa ādimhi vuttā, sā –
โสกาทีหิ อวิชฺชา, สิทฺธา ภวจกฺกมวิทิตาทิมิทํ;
Sokādīhi avijjā, siddhā bhavacakkamaviditādimidaṃ;
การกเวทกรหิตํ, ทฺวาทสวิธสุญฺญตาสุญฺญํฯ
Kārakavedakarahitaṃ, dvādasavidhasuññatāsuññaṃ.
สตตํ สมิตํ ปวตฺตตีติ เวทิตพฺพํฯ กถํ ปเนตฺถ โสกาทีหิ อวิชฺชา สิทฺธา? กถมิทํ ภวจกฺกํ อวิทิตาทิ? กถํ การกเวทกรหิตํ? กถํ ทฺวาทสวิธสุญฺญตาสุญฺญนฺติ เจ? เอตฺถ หิ โสกทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา อวิชฺชาย อวิโยคิโน, ปริเทโว จ นาม มูฬฺหสฺสาติ เตสุ ตาว สิเทฺธสุ สิทฺธาว โหติ อวิชฺชาฯ อปิจ ‘‘อาสวสมุทยา อวิชฺชาสมุทโย’’ติ หิ วุตฺตํฯ อาสวสมุทยา เจเต โสกาทโย โหนฺติฯ กถํ? วตฺถุกามวิโยเค ตาว โสโก กามาสวสมุทโย โหติ? ยถาห –
Satataṃ samitaṃ pavattatīti veditabbaṃ. Kathaṃ panettha sokādīhi avijjā siddhā? Kathamidaṃ bhavacakkaṃ aviditādi? Kathaṃ kārakavedakarahitaṃ? Kathaṃ dvādasavidhasuññatāsuññanti ce? Ettha hi sokadukkhadomanassupāyāsā avijjāya aviyogino, paridevo ca nāma mūḷhassāti tesu tāva siddhesu siddhāva hoti avijjā. Apica ‘‘āsavasamudayā avijjāsamudayo’’ti hi vuttaṃ. Āsavasamudayā cete sokādayo honti. Kathaṃ? Vatthukāmaviyoge tāva soko kāmāsavasamudayo hoti? Yathāha –
‘‘ตสฺส เจ กามยานสฺส, ฉนฺทชาตสฺส ชนฺตุโน;
‘‘Tassa ce kāmayānassa, chandajātassa jantuno;
เต กามา ปริหายนฺติ, สลฺลวิโทฺธว รุปฺปตี’’ติฯ (สุ. นิ. ๗๗๓);
Te kāmā parihāyanti, sallaviddhova ruppatī’’ti. (su. ni. 773);
ยถา จาห – ‘‘กามโต ชายตี โสโก’’ติ (ธ. ป. ๒๑๕)ฯ สเพฺพปิ เจเต ทิฎฺฐาสวสมุทยา โหนฺติ, ยถาห – ‘‘ตสฺส อหํ รูปํ, มม รูปนฺติ ปริยุฎฺฐฎฺฐายิโน ตํ รูปํ วิปริณมติ อญฺญถา โหติฯ ตสฺส รูปวิปริณามญฺญถาภาวา อุปฺปชฺชนฺติ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา’’ติ (สํ. นิ. ๓.๑)ฯ ยถา จ ทิฎฺฐาสวสมุทยา เอวํ ภวาสวสมุทยาปิ, ยถาห – ‘‘เยปิ เต เทวา ทีฆายุกา วณฺณวโนฺต สุขพหุลา อุเจฺจสุ วิมาเนสุ จิรฎฺฐิติกา เตปิ ตถาคตสฺส ธมฺมเทสนํ สุตฺวา เยภุเยฺยน ภยํ สํเวคํ สนฺตาสํ อาปชฺช’’นฺติ (สํ. นิ. ๓.๗๘; อ. นิ. ๔.๓๓) ปญฺจ ปุพฺพนิมิตฺตานิ ทิสฺวา มรณภเยน สนฺตชฺชิตานํ เทวานํ วิยาติฯ ยถา จ ภวาสวสมุทยา เอวํ อวิชฺชาสวสมุทยาปิ , ยถาห – ‘‘ส โข โส, ภิกฺขเว, พาโล ทิเฎฺฐว ธเมฺม ติวิธํ ทุกฺขโทมนสฺสํ ปฎิสํเวเทตี’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๔๖)ฯ
Yathā cāha – ‘‘kāmato jāyatī soko’’ti (dha. pa. 215). Sabbepi cete diṭṭhāsavasamudayā honti, yathāha – ‘‘tassa ahaṃ rūpaṃ, mama rūpanti pariyuṭṭhaṭṭhāyino taṃ rūpaṃ vipariṇamati aññathā hoti. Tassa rūpavipariṇāmaññathābhāvā uppajjanti sokaparidevadukkhadomanassupāyāsā’’ti (saṃ. ni. 3.1). Yathā ca diṭṭhāsavasamudayā evaṃ bhavāsavasamudayāpi, yathāha – ‘‘yepi te devā dīghāyukā vaṇṇavanto sukhabahulā uccesu vimānesu ciraṭṭhitikā tepi tathāgatassa dhammadesanaṃ sutvā yebhuyyena bhayaṃ saṃvegaṃ santāsaṃ āpajja’’nti (saṃ. ni. 3.78; a. ni. 4.33) pañca pubbanimittāni disvā maraṇabhayena santajjitānaṃ devānaṃ viyāti. Yathā ca bhavāsavasamudayā evaṃ avijjāsavasamudayāpi , yathāha – ‘‘sa kho so, bhikkhave, bālo diṭṭheva dhamme tividhaṃ dukkhadomanassaṃ paṭisaṃvedetī’’ti (ma. ni. 3.246).
อิติ ยสฺมา อาสวสมุทยา เอเต โหนฺติ, ตสฺมา เอเต สิชฺฌมานา อวิชฺชาย เหตุภูเต อาสเว สาเธนฺติฯ อาสเวสุ จ สิเทฺธสุ ปจฺจยภาเว ภาวโต อวิชฺชาปิ สิทฺธาว โหตีติฯ เอวํ ตาเวตฺถ ‘โสกาทีหิ อวิชฺชา สิทฺธา’ โหตีติ เวทิตพฺพาฯ
Iti yasmā āsavasamudayā ete honti, tasmā ete sijjhamānā avijjāya hetubhūte āsave sādhenti. Āsavesu ca siddhesu paccayabhāve bhāvato avijjāpi siddhāva hotīti. Evaṃ tāvettha ‘sokādīhi avijjā siddhā’ hotīti veditabbā.
ยสฺมา ปน เอวํ ปจฺจยภาเว ภาวโต อวิชฺชาย สิทฺธาย ปุน ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา, สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณ’’นฺติ เอวํ เหตุผลปรมฺปราย ปริโยสานํ นตฺถิ, ตสฺมา ตํ เหตุผลสมฺพนฺธวเสน ปวตฺตํ ทฺวาทสงฺคํ ‘ภวจกฺกํ อวิทิตาที’ติ สิทฺธํ โหติฯ
Yasmā pana evaṃ paccayabhāve bhāvato avijjāya siddhāya puna ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā, saṅkhārapaccayā viññāṇa’’nti evaṃ hetuphalaparamparāya pariyosānaṃ natthi, tasmā taṃ hetuphalasambandhavasena pavattaṃ dvādasaṅgaṃ ‘bhavacakkaṃ aviditādī’ti siddhaṃ hoti.
เอวํ สติ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติ อิทํ อาทิมตฺตกถนํ วิรุชฺฌตีติ เจ? นยิทํ อาทิมตฺตกถนํ, ปธานธมฺมกถนํ ปเนตํฯ ติณฺณญฺหิ วฎฺฎานํ อวิชฺชา ปธานาฯ อวิชฺชาคฺคหเณน หิ อวเสสํ กิเลสวฎฺฎญฺจ กมฺมาทีนิ จ พาลํ ปลิเวเฐนฺติ, สปฺปสิรคฺคหเณน เสสํ สปฺปสรีรํ วิย พาหํฯ อวิชฺชาสมุเจฺฉเท ปน กเต เตหิ วิโมโกฺข โหติ, สปฺปสิรเจฺฉเท กเต ปลิเวฐิตพาหาวิโมโกฺข วิยฯ ยถาห – ‘‘อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๒.๑; มหาว. ๑)ฯ อิติ ยํ คณฺหโต พโนฺธ มุญฺจโต จ โมโกฺข โหติ, ตสฺส ปธานธมฺมสฺส กถนมิทํ, น อาทิมตฺตกถนนฺติ เอวมิทํ ภวจกฺกํ อวิทิตาทีติ เวทิตพฺพํฯ ตยิทํ ยสฺมา อวิชฺชาทีหิ การเณหิ สงฺขาราทีนํ ปวตฺติ, ตสฺมา ตโต อเญฺญน ‘‘พฺรหฺมา มหาพฺรหฺมา เสโฎฺฐ สชิตา’’ติ เอวํ ปริกปฺปิเตน พฺรหฺมาทินา วา สํสารสฺส การเกน ‘‘โส โข ปน เม อยํ อตฺตา วโท เวเทโยฺย’’ติ เอวํ ปริกปฺปิเตน อตฺตนา วา สุขทุกฺขานํ เวทเกน รหิตํฯ อิติ ‘การกเวทกรหิต’นฺติ เวทิตพฺพํฯ
Evaṃ sati ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’ti idaṃ ādimattakathanaṃ virujjhatīti ce? Nayidaṃ ādimattakathanaṃ, padhānadhammakathanaṃ panetaṃ. Tiṇṇañhi vaṭṭānaṃ avijjā padhānā. Avijjāggahaṇena hi avasesaṃ kilesavaṭṭañca kammādīni ca bālaṃ paliveṭhenti, sappasiraggahaṇena sesaṃ sappasarīraṃ viya bāhaṃ. Avijjāsamucchede pana kate tehi vimokkho hoti, sappasiracchede kate paliveṭhitabāhāvimokkho viya. Yathāha – ‘‘avijjāyatveva asesavirāganirodhā saṅkhāranirodho’’tiādi (saṃ. ni. 2.1; mahāva. 1). Iti yaṃ gaṇhato bandho muñcato ca mokkho hoti, tassa padhānadhammassa kathanamidaṃ, na ādimattakathananti evamidaṃ bhavacakkaṃ aviditādīti veditabbaṃ. Tayidaṃ yasmā avijjādīhi kāraṇehi saṅkhārādīnaṃ pavatti, tasmā tato aññena ‘‘brahmā mahābrahmā seṭṭho sajitā’’ti evaṃ parikappitena brahmādinā vā saṃsārassa kārakena ‘‘so kho pana me ayaṃ attā vado vedeyyo’’ti evaṃ parikappitena attanā vā sukhadukkhānaṃ vedakena rahitaṃ. Iti ‘kārakavedakarahita’nti veditabbaṃ.
ยสฺมา ปเนตฺถ อวิชฺชา อุทยพฺพยธมฺมกตฺตา ธุวภาเวน, สํกิลิฎฺฐตฺตา สํกิเลสิกตฺตา จ สุภภาเวน, อุทยพฺพยปฎิปีฬิตตฺตา สุขภาเวน, ปจฺจยายตฺตวุตฺติตฺตา วสวตฺตนภูเตน อตฺตภาเวน จ สุญฺญา, ตถา สงฺขาราทีนิปิ องฺคานิ; ยสฺมา วา อวิชฺชา น อตฺตา, น อตฺตโน , น อตฺตนิ, น อตฺตวตี, ตถา สงฺขาราทีนิปิ องฺคานิ; ตสฺมา ‘ทฺวาทสวิธสุญฺญตาสุญฺญมิทํ’ ภวจกฺกนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Yasmā panettha avijjā udayabbayadhammakattā dhuvabhāvena, saṃkiliṭṭhattā saṃkilesikattā ca subhabhāvena, udayabbayapaṭipīḷitattā sukhabhāvena, paccayāyattavuttittā vasavattanabhūtena attabhāvena ca suññā, tathā saṅkhārādīnipi aṅgāni; yasmā vā avijjā na attā, na attano , na attani, na attavatī, tathā saṅkhārādīnipi aṅgāni; tasmā ‘dvādasavidhasuññatāsuññamidaṃ’ bhavacakkanti veditabbaṃ.
เอวญฺจ วิทิตฺวา ปุน –
Evañca viditvā puna –
ตสฺส อวิชฺชาตณฺหา, มูลมตีตาทโย ตโย กาลา;
Tassa avijjātaṇhā, mūlamatītādayo tayo kālā;
เทฺว อฎฺฐ เทฺว เอว จ, สรูปโต เตสุ องฺคานิฯ
Dve aṭṭha dve eva ca, sarūpato tesu aṅgāni.
ตสฺส โข ปเนตสฺส ภวจกฺกสฺส อวิชฺชา ตณฺหา จาติ เทฺว ธมฺมา มูลนฺติ เวทิตพฺพาฯ ตเทตํ ปุพฺพนฺตาหรณโต อวิชฺชามูลํ เวทนาวสานํ, อปรนฺตสนฺตานโต ตณฺหามูลํ ชรามรณาวสานนฺติ ทุวิธํ โหติฯ ตตฺถ ปุริมํ ทิฎฺฐิจริตวเสน วุตฺตํ, ปจฺฉิมํ ตณฺหาจริตวเสนฯ ทิฎฺฐิจริตานญฺหิ อวิชฺชา, ตณฺหาจริตานํ ตณฺหา สํสารนายิกาฯ อุเจฺฉททิฎฺฐิสมุคฺฆาตาย วา ปฐมํ, ผลุปฺปตฺติยา เหตูนํ อนุปเจฺฉทปกาสนโต; สสฺสตทิฎฺฐิสมุคฺฆาตาย ทุติยํ, อุปฺปนฺนานํ ชรามรณปกาสนโต; คพฺภเสยฺยกวเสน วา ปุริมํ, อนุปุพฺพปวตฺติทีปนโต; โอปปาติกวเสน ปจฺฉิมํ สหุปฺปตฺติทีปนโตฯ
Tassa kho panetassa bhavacakkassa avijjā taṇhā cāti dve dhammā mūlanti veditabbā. Tadetaṃ pubbantāharaṇato avijjāmūlaṃ vedanāvasānaṃ, aparantasantānato taṇhāmūlaṃ jarāmaraṇāvasānanti duvidhaṃ hoti. Tattha purimaṃ diṭṭhicaritavasena vuttaṃ, pacchimaṃ taṇhācaritavasena. Diṭṭhicaritānañhi avijjā, taṇhācaritānaṃ taṇhā saṃsāranāyikā. Ucchedadiṭṭhisamugghātāya vā paṭhamaṃ, phaluppattiyā hetūnaṃ anupacchedapakāsanato; sassatadiṭṭhisamugghātāya dutiyaṃ, uppannānaṃ jarāmaraṇapakāsanato; gabbhaseyyakavasena vā purimaṃ, anupubbapavattidīpanato; opapātikavasena pacchimaṃ sahuppattidīpanato.
อตีตปจฺจุปฺปนฺนานาคตา จสฺส ตโย กาลาฯ เตสุ ปาฬิยํ สรูปโต อาคตวเสน อวิชฺชา สงฺขารา จาติ เทฺว องฺคานิ อตีตกาลานิ , วิญฺญาณาทีนิ ภวาวสานานิ อฎฺฐ ปจฺจุปฺปนฺนกาลานิ, ชาติ เจว ชรามรณญฺจ เทฺว อนาคตกาลานีติ เวทิตพฺพานิฯ ปุน –
Atītapaccuppannānāgatā cassa tayo kālā. Tesu pāḷiyaṃ sarūpato āgatavasena avijjā saṅkhārā cāti dve aṅgāni atītakālāni , viññāṇādīni bhavāvasānāni aṭṭha paccuppannakālāni, jāti ceva jarāmaraṇañca dve anāgatakālānīti veditabbāni. Puna –
เหตุผลเหตุปุพฺพก-ติสนฺธิจตุเภทสงฺคหเญฺจตํ;
Hetuphalahetupubbaka-tisandhicatubhedasaṅgahañcetaṃ;
วีสติอาการารํ, ติวฎฺฎมนวฎฺฐิตํ ภมติฯ
Vīsatiākārāraṃ, tivaṭṭamanavaṭṭhitaṃ bhamati.
อิติปิ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ สงฺขารานญฺจ ปฎิสนฺธิวิญฺญาณสฺส จ อนฺตรา เอโก เหตุผลสนฺธิ นามฯ เวทนาย จ ตณฺหาย จ อนฺตรา เอโก ผลเหตุสนฺธิ นามฯ ภวสฺส จ ชาติยา จ อนฺตรา เอโก เหตุผลสนฺธีติฯ เอวมิทํ เหตุผลเหตุปุพฺพกติสนฺธีติ เวทิตพฺพํฯ สนฺธีนํ อาทิปริโยสานววตฺถิตา ปนสฺส จตฺตาโร สงฺคหา โหนฺติ, เสยฺยถิทํ – อวิชฺชาสงฺขารา เอโก สงฺคโห, วิญฺญาณนามรูปสฬายตนผสฺสเวทนา ทุติโย, ตณฺหุปาทานภวา ตติโย, ชาติชรามรณํ จตุโตฺถติฯ เอวมิทํ จตุเภทสงฺคหนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Itipi veditabbaṃ. Tattha saṅkhārānañca paṭisandhiviññāṇassa ca antarā eko hetuphalasandhi nāma. Vedanāya ca taṇhāya ca antarā eko phalahetusandhi nāma. Bhavassa ca jātiyā ca antarā eko hetuphalasandhīti. Evamidaṃ hetuphalahetupubbakatisandhīti veditabbaṃ. Sandhīnaṃ ādipariyosānavavatthitā panassa cattāro saṅgahā honti, seyyathidaṃ – avijjāsaṅkhārā eko saṅgaho, viññāṇanāmarūpasaḷāyatanaphassavedanā dutiyo, taṇhupādānabhavā tatiyo, jātijarāmaraṇaṃ catutthoti. Evamidaṃ catubhedasaṅgahanti veditabbaṃ.
อตีเต เหตโว ปญฺจ, อิทานิ ผลปญฺจกํ;
Atīte hetavo pañca, idāni phalapañcakaṃ;
อิทานิ เหตโว ปญฺจ, อายติํ ผลปญฺจกนฺติฯ
Idāni hetavo pañca, āyatiṃ phalapañcakanti.
เอเตหิ ปน วีสติยา อากาเรหิ อเรหิ วีสติอาการารนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ ‘อตีเต เหตโว ปญฺจา’ติ อวิชฺชา สงฺขารา จาติ อิเม ตาว เทฺว วุตฺตา เอวฯ ยสฺมา ปน อวิทฺวา ปริตสฺสติ, ปริตสิโต อุปาทิยติ, ตสฺส อุปาทานปจฺจยา ภโว, ตสฺมา ตณฺหุปาทานภวาปิ คหิตา โหนฺติฯ เตนาห ‘‘ปุริมกมฺมภวสฺมิํ โมโห อวิชฺชา, อายูหนา สงฺขารา, นิกนฺติ ตณฺหา, อุปคมนํ อุปาทานํ, เจตนา ภโว, อิเม ปญฺจ ธมฺมา ปุริมกมฺมภวสฺมิํ อิธ ปฎิสนฺธิยา ปจฺจยา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๔๗)ฯ
Etehi pana vīsatiyā ākārehi arehi vīsatiākārāranti veditabbaṃ. Tattha ‘atīte hetavo pañcā’ti avijjā saṅkhārā cāti ime tāva dve vuttā eva. Yasmā pana avidvā paritassati, paritasito upādiyati, tassa upādānapaccayā bhavo, tasmā taṇhupādānabhavāpi gahitā honti. Tenāha ‘‘purimakammabhavasmiṃ moho avijjā, āyūhanā saṅkhārā, nikanti taṇhā, upagamanaṃ upādānaṃ, cetanā bhavo, ime pañca dhammā purimakammabhavasmiṃ idha paṭisandhiyā paccayā’’ti (paṭi. ma. 1.47).
ตตฺถ ปุริมกมฺมภวสฺมินฺติ ปุริเม กมฺมภเว, อตีตชาติยํ กมฺมภเว กริยมาเนติ อโตฺถฯ โมโห อวิชฺชาติ โย ตทา ทุกฺขาทีสุ โมโห, เยน มูโฬฺห กมฺมํ กโรติ, สา อวิชฺชาฯ อายูหนา สงฺขาราติ ตํ กมฺมํ กโรโต ปุริมเจตนาโย, ยถา ‘ทานํ ทสฺสามี’ติ จิตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา มาสมฺปิ สํวจฺฉรมฺปิ ทานูปกรณานิ สเชฺชนฺตสฺส อุปฺปนฺนา ปุริมเจตนาโยฯ ปฎิคฺคาหกานํ ปน หเตฺถ ทกฺขิณํ ปติฎฺฐาปยโต เจตนา ภโวติ วุจฺจติฯ เอกาวชฺชเนสุ วา ฉสุ ชวเนสุ เจตนา อายูหนสงฺขารา นามฯ สตฺตมา เจตนา ภโวฯ ยา กาจิ วา ปน เจตนา ภโว, ตํสมฺปยุตฺตา อายูหนสงฺขารา นามฯ นิกนฺติ ตณฺหาติ ยา กมฺมํ กโรนฺตสฺส ตสฺส ผเล อุปฺปตฺติภเว นิกามนา ปตฺถนา สา ตณฺหา นามฯ อุปคมนํ อุปาทานนฺติ ยํ กมฺมํ ภวสฺส ปจฺจยภูตํ; ‘อิทํ กตฺวา อสุกสฺมิํ นาม ฐาเน กาเม เสวิสฺสามิ อุจฺฉิชฺชิสฺสามี’ติอาทินา นเยน ปวตฺตํ อุปคมนํ คหณํ ปรามสนํ – อิทํ อุปาทานํ นามฯ เจตนา ภโวติ อายูหนาวสาเน วุตฺตเจตนา ภโวติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Tattha purimakammabhavasminti purime kammabhave, atītajātiyaṃ kammabhave kariyamāneti attho. Moho avijjāti yo tadā dukkhādīsu moho, yena mūḷho kammaṃ karoti, sā avijjā. Āyūhanā saṅkhārāti taṃ kammaṃ karoto purimacetanāyo, yathā ‘dānaṃ dassāmī’ti cittaṃ uppādetvā māsampi saṃvaccharampi dānūpakaraṇāni sajjentassa uppannā purimacetanāyo. Paṭiggāhakānaṃ pana hatthe dakkhiṇaṃ patiṭṭhāpayato cetanā bhavoti vuccati. Ekāvajjanesu vā chasu javanesu cetanā āyūhanasaṅkhārā nāma. Sattamā cetanā bhavo. Yā kāci vā pana cetanā bhavo, taṃsampayuttā āyūhanasaṅkhārā nāma. Nikanti taṇhāti yā kammaṃ karontassa tassa phale uppattibhave nikāmanā patthanā sā taṇhā nāma. Upagamanaṃ upādānanti yaṃ kammaṃ bhavassa paccayabhūtaṃ; ‘idaṃ katvā asukasmiṃ nāma ṭhāne kāme sevissāmi ucchijjissāmī’tiādinā nayena pavattaṃ upagamanaṃ gahaṇaṃ parāmasanaṃ – idaṃ upādānaṃ nāma. Cetanā bhavoti āyūhanāvasāne vuttacetanā bhavoti evamattho veditabbo.
‘อิทานิ ผลปญฺจก’นฺติ วิญฺญาณาทิ เวทนาวสานํ ปาฬิยํ อาคตเมวฯ ยถาห ‘‘อิธ ปฎิสนฺธิ วิญฺญาณํ, โอกฺกนฺติ นามรูปํ, ปสาโท อายตนํ, ผุโฎฺฐ ผโสฺส, เวทยิตํ เวทนา อิเม ปญฺจ ธมฺมา อิธูปปตฺติภวสฺมิํ ปุเรกตสฺส กมฺมสฺส ปจฺจยา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๔๗)ฯ ตตฺถ ปฎิสนฺธิ วิญฺญาณนฺติ ยํ ภวนฺตรปฎิสนฺธานวเสน อุปฺปนฺนตฺตา ปฎิสนฺธีติ วุจฺจติ, ตํ วิญฺญาณํฯ โอกฺกนฺติ นามรูปนฺติ ยา คเพฺภ รูปารูปธมฺมานํ โอกฺกนฺติ, อาคนฺตฺวา ปวิสนํ วิย – อิทํ นามรูปํฯ ปสาโท อายตนนฺติ อิทํ จกฺขาทิปญฺจายตนวเสน วุตฺตํฯ ผุโฎฺฐ ผโสฺสติ โย อารมฺมณํ ผุโฎฺฐ ผุสโนฺต อุปฺปโนฺน – อยํ ผโสฺสฯ เวทยิตํ เวทนาติ ยํ ปฎิสนฺธิวิญฺญาเณน วา สฬายตนปจฺจเยน วา ผเสฺสน สหุปฺปนฺนํ วิปากเวทยิตํ, สา เวทนาติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
‘Idāni phalapañcaka’nti viññāṇādi vedanāvasānaṃ pāḷiyaṃ āgatameva. Yathāha ‘‘idha paṭisandhi viññāṇaṃ, okkanti nāmarūpaṃ, pasādo āyatanaṃ, phuṭṭho phasso, vedayitaṃ vedanā ime pañca dhammā idhūpapattibhavasmiṃ purekatassa kammassa paccayā’’ti (paṭi. ma. 1.47). Tattha paṭisandhi viññāṇanti yaṃ bhavantarapaṭisandhānavasena uppannattā paṭisandhīti vuccati, taṃ viññāṇaṃ. Okkanti nāmarūpanti yā gabbhe rūpārūpadhammānaṃ okkanti, āgantvā pavisanaṃ viya – idaṃ nāmarūpaṃ. Pasādo āyatananti idaṃ cakkhādipañcāyatanavasena vuttaṃ. Phuṭṭho phassoti yo ārammaṇaṃ phuṭṭho phusanto uppanno – ayaṃ phasso. Vedayitaṃ vedanāti yaṃ paṭisandhiviññāṇena vā saḷāyatanapaccayena vā phassena sahuppannaṃ vipākavedayitaṃ, sā vedanāti evamattho veditabbo.
‘อิทานิ เหตโว ปญฺจา’ติ ตณฺหาทโย ปาฬิยํ อาคตาว ตณฺหุปาทานภวาฯ ภเว ปน คหิเต ตสฺส ปุพฺพภาคา ตํสมฺปยุตฺตา วา สงฺขารา คหิตาว โหนฺติ, ตณฺหุปาทานคฺคหเณน จ ตํสมฺปยุตฺตา, ยาย วา มูโฬฺห กมฺมํ กโรติ สา อวิชฺชา คหิตาว โหตีติ เอวํ ปญฺจฯ เตนาห ‘‘อิธ ปริปกฺกตฺตา อายตนานํ โมโห อวิชฺชา, อายูหนา สงฺขารา, นิกนฺติ ตณฺหา, อุปคมนํ อุปาทานํ, เจตนา ภโวฯ อิเม ปญฺจ ธมฺมา อิธ กมฺมภวสฺมิํ อายติํ ปฎิสนฺธิยา ปจฺจยา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๔๗)ฯ ตตฺถ อิธ ปริปกฺกตฺตา อายตนานนฺติ ปริปกฺกายตนสฺส กมฺมกรณกาเล สโมฺมโห ทสฺสิโตฯ เสสํ อุตฺตานเมวฯ
‘Idāni hetavo pañcā’ti taṇhādayo pāḷiyaṃ āgatāva taṇhupādānabhavā. Bhave pana gahite tassa pubbabhāgā taṃsampayuttā vā saṅkhārā gahitāva honti, taṇhupādānaggahaṇena ca taṃsampayuttā, yāya vā mūḷho kammaṃ karoti sā avijjā gahitāva hotīti evaṃ pañca. Tenāha ‘‘idha paripakkattā āyatanānaṃ moho avijjā, āyūhanā saṅkhārā, nikanti taṇhā, upagamanaṃ upādānaṃ, cetanā bhavo. Ime pañca dhammā idha kammabhavasmiṃ āyatiṃ paṭisandhiyā paccayā’’ti (paṭi. ma. 1.47). Tattha idha paripakkattā āyatanānanti paripakkāyatanassa kammakaraṇakāle sammoho dassito. Sesaṃ uttānameva.
‘อายติํ ผลปญฺจก’นฺติ วิญฺญาณาทีนิ ปญฺจฯ ตานิ ชาติคฺคหเณน วุตฺตานิฯ ชรามรณํ ปน เตสํเยว ชรามรณํฯ เตนาห ‘‘อายติํ ปฎิสนฺธิ วิญฺญาณํ, โอกฺกนฺติ นามรูปํ, ปสาโท อายตนํ, ผุโฎฺฐ ผโสฺส, เวทยิตํ เวทนาฯ อิเม ปญฺจ ธมฺมา อายติํ อุปปตฺติภวสฺมิํ อิธ กตสฺส กมฺมสฺส ปจฺจยา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๔๗)ฯ เอวมิทํ วีสติอาการารํ โหติฯ
‘Āyatiṃ phalapañcaka’nti viññāṇādīni pañca. Tāni jātiggahaṇena vuttāni. Jarāmaraṇaṃ pana tesaṃyeva jarāmaraṇaṃ. Tenāha ‘‘āyatiṃ paṭisandhi viññāṇaṃ, okkanti nāmarūpaṃ, pasādo āyatanaṃ, phuṭṭho phasso, vedayitaṃ vedanā. Ime pañca dhammā āyatiṃ upapattibhavasmiṃ idha katassa kammassa paccayā’’ti (paṭi. ma. 1.47). Evamidaṃ vīsatiākārāraṃ hoti.
ตตฺถ ปุริมภวสฺมิํ ปญฺจ กมฺมสมฺภารา, เอตรหิ ปญฺจ วิปากสมฺภารา, เอตรหิ ปญฺจ กมฺมสมฺภารา, อนาคเต ปญฺจ วิปากธมฺมาติ ทส ธมฺมา กมฺมํ, ทส วิปาโกติฯ ทฺวีสุ ฐาเนสุ กมฺมํ กมฺมํ นาม, ทฺวีสุ ฐาเนสุ วิปาโก วิปาโก นามาติ สพฺพเมฺปตํ ภวจกฺกํ ปจฺจยาการวฎฺฎํ กมฺมเญฺจว กมฺมวิปาโก จฯ ตถา ทฺวีสุ ฐาเนสุ กมฺมํ กมฺมสเงฺขโป, ทฺวีสุ ฐาเนสุ วิปาโก วิปากสเงฺขโปติ สพฺพเมฺปตํ กมฺมสเงฺขโป เจว วิปากสเงฺขโป จฯ ทฺวีสุ ฐาเนสุ กมฺมํ กมฺมวฎฺฎํ, ทฺวีสุ ฐาเนสุ วิปาโก วิปากวฎฺฎนฺติ สพฺพเมฺปตํ กมฺมวฎฺฎเญฺจว วิปากวฎฺฎญฺจฯ ตถา ทฺวีสุ ฐาเนสุ กมฺมํ กมฺมภโว, ทฺวีสุ ฐาเนสุ วิปาโก วิปากภโวติ สพฺพเมฺปตํ กมฺมภโว เจว วิปากภโว จฯ ทฺวีสุ ฐาเนสุ กมฺมํ กมฺมปวตฺตํ , ทฺวีสุ ฐาเนสุ วิปาโก วิปากปวตฺตนฺติ สพฺพเมฺปตํ กมฺมปวตฺตเญฺจว วิปากปวตฺตญฺจฯ ตถา ทฺวีสุ ฐาเนสุ กมฺมํ กมฺมสนฺตติ, ทฺวีสุ วิปาโก วิปากสนฺตตีติ สพฺพเมฺปตํ กมฺมสนฺตติ เจว วิปากสนฺตติ จฯ ทฺวีสุ ฐาเนสุ กมฺมํ กิริยา นาม, ทฺวีสุ วิปาโก กิริยาผลํ นามาติ สพฺพเมฺปตํ กิริยา เจว กิริยาผลญฺจาติฯ
Tattha purimabhavasmiṃ pañca kammasambhārā, etarahi pañca vipākasambhārā, etarahi pañca kammasambhārā, anāgate pañca vipākadhammāti dasa dhammā kammaṃ, dasa vipākoti. Dvīsu ṭhānesu kammaṃ kammaṃ nāma, dvīsu ṭhānesu vipāko vipāko nāmāti sabbampetaṃ bhavacakkaṃ paccayākāravaṭṭaṃ kammañceva kammavipāko ca. Tathā dvīsu ṭhānesu kammaṃ kammasaṅkhepo, dvīsu ṭhānesu vipāko vipākasaṅkhepoti sabbampetaṃ kammasaṅkhepo ceva vipākasaṅkhepo ca. Dvīsu ṭhānesu kammaṃ kammavaṭṭaṃ, dvīsu ṭhānesu vipāko vipākavaṭṭanti sabbampetaṃ kammavaṭṭañceva vipākavaṭṭañca. Tathā dvīsu ṭhānesu kammaṃ kammabhavo, dvīsu ṭhānesu vipāko vipākabhavoti sabbampetaṃ kammabhavo ceva vipākabhavo ca. Dvīsu ṭhānesu kammaṃ kammapavattaṃ , dvīsu ṭhānesu vipāko vipākapavattanti sabbampetaṃ kammapavattañceva vipākapavattañca. Tathā dvīsu ṭhānesu kammaṃ kammasantati, dvīsu vipāko vipākasantatīti sabbampetaṃ kammasantati ceva vipākasantati ca. Dvīsu ṭhānesu kammaṃ kiriyā nāma, dvīsu vipāko kiriyāphalaṃ nāmāti sabbampetaṃ kiriyā ceva kiriyāphalañcāti.
เอวํ สมุปฺปนฺนมิทํ สเหตุกํ,
Evaṃ samuppannamidaṃ sahetukaṃ,
ทุกฺขํ อนิจฺจํ จลมิตฺตรทฺธุวํ;
Dukkhaṃ aniccaṃ calamittaraddhuvaṃ;
ธเมฺมหิ ธมฺมา ปภวนฺติ เหตุโส,
Dhammehi dhammā pabhavanti hetuso,
น เหตฺถ อตฺตาว ปโรว วิชฺชติฯ
Na hettha attāva parova vijjati.
ธมฺมา ธเมฺม สญฺชเนนฺติ, เหตุสมฺภารปจฺจยา;
Dhammā dhamme sañjanenti, hetusambhārapaccayā;
เหตูนญฺจ นิโรธาย, ธโมฺม พุเทฺธน เทสิโต;
Hetūnañca nirodhāya, dhammo buddhena desito;
เหตูสุ อุปรุเทฺธสุ, ฉินฺนํ วฎฺฎํ น วฎฺฎติฯ
Hetūsu uparuddhesu, chinnaṃ vaṭṭaṃ na vaṭṭati.
เอวํ ทุกฺขนฺตกิริยาย, พฺรหฺมจริยีธ วิชฺชติ;
Evaṃ dukkhantakiriyāya, brahmacariyīdha vijjati;
สเตฺต จ นูปลพฺภเนฺต, เนวุเจฺฉโท น สสฺสตํฯ
Satte ca nūpalabbhante, nevucchedo na sassataṃ.
ติวฎฺฎมนวฎฺฐิตํ ภมตีติ เอตฺถ ปน สงฺขารภวา กมฺมวฎฺฎํ, อวิชฺชาตณฺหูปาทานานิ กิเลสวฎฺฎํ, วิญฺญาณนามรูปสฬายตนผสฺสเวทนา วิปากวฎฺฎนฺติ อิเมหิ ตีหิ วเฎฺฎหิ ติวฎฺฎมิทํ ภวจกฺกํ ยาว กิเลสวฎฺฎํ น อุปจฺฉิชฺชติ ตาว อนุปจฺฉินฺนปจฺจยตฺตา อนวฎฺฐิตํ ปุนปฺปุนํ ปริวฎฺฎนโต ภมติเยวาติ เวทิตพฺพํฯ
Tivaṭṭamanavaṭṭhitaṃ bhamatīti ettha pana saṅkhārabhavā kammavaṭṭaṃ, avijjātaṇhūpādānāni kilesavaṭṭaṃ, viññāṇanāmarūpasaḷāyatanaphassavedanā vipākavaṭṭanti imehi tīhi vaṭṭehi tivaṭṭamidaṃ bhavacakkaṃ yāva kilesavaṭṭaṃ na upacchijjati tāva anupacchinnapaccayattā anavaṭṭhitaṃ punappunaṃ parivaṭṭanato bhamatiyevāti veditabbaṃ.
ตยิทเมวํ ภมมานํ –
Tayidamevaṃ bhamamānaṃ –
สจฺจปฺปภวโต กิจฺจา, วารณา อุปมาหิ จ;
Saccappabhavato kiccā, vāraṇā upamāhi ca;
คมฺภีรนยเภทา จ, วิญฺญาตพฺพํ ยถารหํฯ
Gambhīranayabhedā ca, viññātabbaṃ yathārahaṃ.
ตตฺถ ยสฺมา กุสลากุสลกมฺมํ อวิเสเสน สมุทยสจฺจนฺติ สจฺจวิภเงฺค วุตฺตํ, ตสฺมา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราติ อวิชฺชาย สงฺขารา ทุติยสจฺจปฺปภวํ ทุติยสจฺจํ, สงฺขาเรหิ วิญฺญาณํ ทุติยสจฺจปฺปภวํ ปฐมสจฺจํ, วิญฺญาณาทีหิ นามรูปาทีนิ วิปากเวทนาปริโยสานานิ ปฐมสจฺจปฺปภวํ ปฐมสจฺจํ, เวทนาย ตณฺหา ปฐมสจฺจปฺปภวํ ทุติยสจฺจํ, ตณฺหาย อุปาทานํ ทุติยสจฺจปฺปภวํ ทุติยสจฺจํ, อุปาทานโต ภโว ทุติยสจฺจปฺปภวํ ปฐมทุติยสจฺจทฺวยํ, ภวโต ชาติ ทุติยสจฺจปฺปภวํ ปฐมสจฺจํ, ชาติยา ชรามรณํ ปฐมสจฺจปฺปภวํ ปฐมสจฺจนฺติฯ เอวํ ตาวิทํ ‘สจฺจปฺปภวโต’ วิญฺญาตพฺพํ ยถารหํฯ
Tattha yasmā kusalākusalakammaṃ avisesena samudayasaccanti saccavibhaṅge vuttaṃ, tasmā avijjāpaccayā saṅkhārāti avijjāya saṅkhārā dutiyasaccappabhavaṃ dutiyasaccaṃ, saṅkhārehi viññāṇaṃ dutiyasaccappabhavaṃ paṭhamasaccaṃ, viññāṇādīhi nāmarūpādīni vipākavedanāpariyosānāni paṭhamasaccappabhavaṃ paṭhamasaccaṃ, vedanāya taṇhā paṭhamasaccappabhavaṃ dutiyasaccaṃ, taṇhāya upādānaṃ dutiyasaccappabhavaṃ dutiyasaccaṃ, upādānato bhavo dutiyasaccappabhavaṃ paṭhamadutiyasaccadvayaṃ, bhavato jāti dutiyasaccappabhavaṃ paṭhamasaccaṃ, jātiyā jarāmaraṇaṃ paṭhamasaccappabhavaṃ paṭhamasaccanti. Evaṃ tāvidaṃ ‘saccappabhavato’ viññātabbaṃ yathārahaṃ.
ยสฺมา ปเนตฺถ อวิชฺชา วตฺถูสุ จ สเตฺต สโมฺมเหติ ปจฺจโย จ โหติ สงฺขารานํ ปาตุภาวาย, ตถา สงฺขารา สงฺขตญฺจ อภิสงฺขโรนฺติ ปจฺจยา จ โหนฺติ วิญฺญาณสฺส, วิญฺญาณมฺปิ วตฺถุญฺจ ปฎิชานาติ ปจฺจโย จ โหติ นามรูปสฺส, นามรูปมฺปิ อญฺญมญฺญญฺจ อุปตฺถเมฺภติ ปจฺจโย จ โหติ สฬายตนสฺส, สฬายตนมฺปิ สวิสเย จ วตฺตติ ปจฺจโย จ โหติ ผสฺสสฺส, ผโสฺสปิ อารมฺมณญฺจ ผุสติ ปจฺจโย จ โหติ เวทนาย, เวทนาปิ อารมฺมณรสญฺจ อนุภวติ ปจฺจโย จ โหติ ตณฺหาย, ตณฺหาปิ รชฺชนีเย จ ธเมฺม รชฺชติ ปจฺจโย จ โหติ อุปาทานสฺส, อุปาทานมฺปิ อุปาทานีเย จ ธเมฺม อุปาทิยติ ปจฺจโย จ โหติ ภวสฺส, ภโวปิ นานาคตีสุ จ วิกฺขิปติ ปจฺจโย จ โหติ ชาติยา, ชาติปิ ขเนฺธ จ ชเนติ เตสํ อภินิพฺพตฺติภาเวน ปวตฺตตา ปจฺจโย จ โหติ ชรามรณสฺส, ชรามรณมฺปิ ขนฺธานํ ปากเภทภาวญฺจ อธิติฎฺฐติ ปจฺจโย จ โหติ ภวนฺตรปาตุภาวาย โสกาทีนํ อธิฎฺฐานตฺตา, ตสฺมา สพฺพปเทสุ ทฺวิธา ปวตฺต‘กิจฺจโต’ปิ อิทํ วิญฺญาตพฺพํ ยถารหํฯ
Yasmā panettha avijjā vatthūsu ca satte sammoheti paccayo ca hoti saṅkhārānaṃ pātubhāvāya, tathā saṅkhārā saṅkhatañca abhisaṅkharonti paccayā ca honti viññāṇassa, viññāṇampi vatthuñca paṭijānāti paccayo ca hoti nāmarūpassa, nāmarūpampi aññamaññañca upatthambheti paccayo ca hoti saḷāyatanassa, saḷāyatanampi savisaye ca vattati paccayo ca hoti phassassa, phassopi ārammaṇañca phusati paccayo ca hoti vedanāya, vedanāpi ārammaṇarasañca anubhavati paccayo ca hoti taṇhāya, taṇhāpi rajjanīye ca dhamme rajjati paccayo ca hoti upādānassa, upādānampi upādānīye ca dhamme upādiyati paccayo ca hoti bhavassa, bhavopi nānāgatīsu ca vikkhipati paccayo ca hoti jātiyā, jātipi khandhe ca janeti tesaṃ abhinibbattibhāvena pavattatā paccayo ca hoti jarāmaraṇassa, jarāmaraṇampi khandhānaṃ pākabhedabhāvañca adhitiṭṭhati paccayo ca hoti bhavantarapātubhāvāya sokādīnaṃ adhiṭṭhānattā, tasmā sabbapadesu dvidhā pavatta‘kiccato’pi idaṃ viññātabbaṃ yathārahaṃ.
ยสฺมา เจตฺถ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติ อิทํ การกทสฺสนนิวารณํ, ‘‘สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณ’’นฺติ อตฺตสงฺกนฺติทสฺสนนิวารณํ, ‘‘วิญฺญาณปจฺจยา นามรูป’’นฺติ อตฺตาติปริกปฺปิตวตฺถุเภททสฺสนโต ฆนสญฺญานิวารณํ, ‘‘นามรูปปจฺจยา สฬายตน’’นฺติอาทีสุ ‘‘อตฺตา ปสฺสติ…เป.… วิชานาติ ผุสติ เวทยติ ตณฺหิยติ อุปาทิยติ ภวติ ชายติ ชียติ มียตี’’ติ เอวมาทิทสฺสนนิวารณํ, ตสฺมา มิจฺฉาทสฺสนนิวารณโตเปตํ ภวจกฺกํ ‘นิวารณโต’ วิญฺญาตพฺพํ ยถารหํฯ
Yasmā cettha ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’ti idaṃ kārakadassananivāraṇaṃ, ‘‘saṅkhārapaccayā viññāṇa’’nti attasaṅkantidassananivāraṇaṃ, ‘‘viññāṇapaccayā nāmarūpa’’nti attātiparikappitavatthubhedadassanato ghanasaññānivāraṇaṃ, ‘‘nāmarūpapaccayā saḷāyatana’’ntiādīsu ‘‘attā passati…pe… vijānāti phusati vedayati taṇhiyati upādiyati bhavati jāyati jīyati mīyatī’’ti evamādidassananivāraṇaṃ, tasmā micchādassananivāraṇatopetaṃ bhavacakkaṃ ‘nivāraṇato’ viññātabbaṃ yathārahaṃ.
ยสฺมา ปเนตฺถ สลกฺขณสามญฺญลกฺขณวเสน ธมฺมานํ อทสฺสนโต อโนฺธ วิย อวิชฺชา , อนฺธสฺส อุปกฺขลนํ วิย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา, อุปกฺขลิตสฺส ปตนํ วิย สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ, ปติตสฺส คณฺฑปาตุภาโว วิย วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ, คณฺฑเภทปีฬกา วิย นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ, คณฺฑปีฬกาฆฎฺฎนํ วิย สฬายตนปจฺจยา ผโสฺส, ฆฎฺฎนทุกฺขํ วิย ผสฺสปจฺจยา เวทนา, ทุกฺขสฺส ปฎิการาภิลาโส วิย เวทนาปจฺจยา ตณฺหา, ปฎิการาภิลาเสน อสปฺปายคฺคหณํ วิย ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ, อุปาทินฺนอสปฺปายาเลปนํ วิย อุปาทานปจฺจยา ภโว, อสปฺปายาเลปเนน คณฺฑวิการปาตุภาโว วิย ภวปจฺจยา ชาติ, คณฺฑวิการโต คณฺฑเภโท วิย ชาติปจฺจยา ชรามรณํฯ
Yasmā panettha salakkhaṇasāmaññalakkhaṇavasena dhammānaṃ adassanato andho viya avijjā , andhassa upakkhalanaṃ viya avijjāpaccayā saṅkhārā, upakkhalitassa patanaṃ viya saṅkhārapaccayā viññāṇaṃ, patitassa gaṇḍapātubhāvo viya viññāṇapaccayā nāmarūpaṃ, gaṇḍabhedapīḷakā viya nāmarūpapaccayā saḷāyatanaṃ, gaṇḍapīḷakāghaṭṭanaṃ viya saḷāyatanapaccayā phasso, ghaṭṭanadukkhaṃ viya phassapaccayā vedanā, dukkhassa paṭikārābhilāso viya vedanāpaccayā taṇhā, paṭikārābhilāsena asappāyaggahaṇaṃ viya taṇhāpaccayā upādānaṃ, upādinnaasappāyālepanaṃ viya upādānapaccayā bhavo, asappāyālepanena gaṇḍavikārapātubhāvo viya bhavapaccayā jāti, gaṇḍavikārato gaṇḍabhedo viya jātipaccayā jarāmaraṇaṃ.
ยสฺมา วา ปเนตฺถ อวิชฺชา อปฺปฎิปตฺติมิจฺฉาปฎิปตฺติภาเวน สเตฺต อภิภวติ ปฎลํ วิย อกฺขีนิ, ตทภิภูโต จ พาโล โปโนพฺภวิเกหิ สงฺขาเรหิ อตฺตานํ เวเฐติ โกสการกิมิ วิย โกสปฺปเทเสหิ, สงฺขารปริคฺคหิตํ วิญฺญาณํ คตีสุ ปติฎฺฐํ ลภติ ปริณายกปริคฺคหิโต วิย ราชกุมาโร รเชฺช, อุปปตฺตินิมิตฺตํ ปริกปฺปนโต วิญฺญาณํ ปฎิสนฺธิยํ อเนกปฺปการํ นามรูปํ อภินิพฺพเตฺตติ มายากาโร วิย มายํ, นามรูเป ปติฎฺฐิตํ สฬายตนํ วุทฺธิํ วิรูฬฺหิํ เวปุลฺลํ ปาปุณาติ สุภูมิยํ ปติฎฺฐิโต วนปฺปคุโมฺพ วิย, อายตนฆฎฺฎนโต ผโสฺส ชายติ อรณีสหิตาภิมทฺทนโต อคฺคิ วิย, ผเสฺสน ผุฎฺฐสฺส เวทนา ปาตุภวติ อคฺคินา ผุฎฺฐสฺส ฑาโห วิย, เวทยมานสฺส ตณฺหา วฑฺฒติ โลณูทกํ ปิวโต ปิปาสา วิย, ตสิโต ภเวสุ อภิลาสํ กโรติ ปิปาสิโต วิย ปานีเย, ตทสฺสุปาทานํ อุปาทาเนน ภวํ อุปาทิยติ อามิสโลเภน มโจฺฉ พฬิสํ วิย, ภเว สติ ชาติ โหติ พีเช สติ องฺกุโร วิย, ชาตสฺส อวสฺสํ ชรามรณํ อุปฺปนฺนสฺส รุกฺขสฺส ปตนํ วิย, ตสฺมา เอวํ ‘อุปมาหิ’ เปตํ ภวจกฺกํ วิญฺญาตพฺพํ ยถารหํฯ
Yasmā vā panettha avijjā appaṭipattimicchāpaṭipattibhāvena satte abhibhavati paṭalaṃ viya akkhīni, tadabhibhūto ca bālo ponobbhavikehi saṅkhārehi attānaṃ veṭheti kosakārakimi viya kosappadesehi, saṅkhārapariggahitaṃ viññāṇaṃ gatīsu patiṭṭhaṃ labhati pariṇāyakapariggahito viya rājakumāro rajje, upapattinimittaṃ parikappanato viññāṇaṃ paṭisandhiyaṃ anekappakāraṃ nāmarūpaṃ abhinibbatteti māyākāro viya māyaṃ, nāmarūpe patiṭṭhitaṃ saḷāyatanaṃ vuddhiṃ virūḷhiṃ vepullaṃ pāpuṇāti subhūmiyaṃ patiṭṭhito vanappagumbo viya, āyatanaghaṭṭanato phasso jāyati araṇīsahitābhimaddanato aggi viya, phassena phuṭṭhassa vedanā pātubhavati agginā phuṭṭhassa ḍāho viya, vedayamānassa taṇhā vaḍḍhati loṇūdakaṃ pivato pipāsā viya, tasito bhavesu abhilāsaṃ karoti pipāsito viya pānīye, tadassupādānaṃ upādānena bhavaṃ upādiyati āmisalobhena maccho baḷisaṃ viya, bhave sati jāti hoti bīje sati aṅkuro viya, jātassa avassaṃ jarāmaraṇaṃ uppannassa rukkhassa patanaṃ viya, tasmā evaṃ ‘upamāhi’ petaṃ bhavacakkaṃ viññātabbaṃ yathārahaṃ.
ยสฺมา จ ภควตา อตฺถโตปิ ธมฺมโตปิ เทสนาโตปิ ปฎิเวธโตปิ คมฺภีรภาวํ สนฺธาย ‘‘คมฺภีโร จายํ, อานนฺท, ปฎิจฺจสมุปฺปาโท คมฺภีราวภาโส จา’’ติ (ที. นิ. ๒.๙๕; สํ. นิ. ๒.๖๐) วุตฺตํ, ตสฺมา ‘คมฺภีรเภทโต’เปตํ ภวจกฺกํ วิญฺญาตพฺพํ ยถารหํฯ
Yasmā ca bhagavatā atthatopi dhammatopi desanātopi paṭivedhatopi gambhīrabhāvaṃ sandhāya ‘‘gambhīro cāyaṃ, ānanda, paṭiccasamuppādo gambhīrāvabhāso cā’’ti (dī. ni. 2.95; saṃ. ni. 2.60) vuttaṃ, tasmā ‘gambhīrabhedato’petaṃ bhavacakkaṃ viññātabbaṃ yathārahaṃ.
ตตฺถ ยสฺมา น ชาติโต ชรามรณํ น โหติ, น จ ชาติํ วินา อญฺญโต โหติ, อิตฺถญฺจ ชาติโต สมุทาคจฺฉตีติ เอวํ ชาติปจฺจยสมุทาคตฎฺฐสฺส ทุรวโพธนียโต ชรามรณสฺส ชาติปจฺจยสมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐ คมฺภีโร, ตถา ชาติยา ภวปจฺจย…เป.… สงฺขารานํ อวิชฺชาปจฺจยสมฺภูตสมุทาคตโฎฺฐ คมฺภีโร, ตสฺมา อิทํ ภวจกฺกํ อตฺถคมฺภีรนฺติฯ อยํ ตาเวตฺถ ‘อตฺถคมฺภีรตา’ เหตุผลญฺหิ อโตฺถติ วุจฺจติ, ยถาห ‘‘เหตุผเล ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา’’ติ (วิภ. ๗๒๐)ฯ
Tattha yasmā na jātito jarāmaraṇaṃ na hoti, na ca jātiṃ vinā aññato hoti, itthañca jātito samudāgacchatīti evaṃ jātipaccayasamudāgataṭṭhassa duravabodhanīyato jarāmaraṇassa jātipaccayasambhūtasamudāgataṭṭho gambhīro, tathā jātiyā bhavapaccaya…pe… saṅkhārānaṃ avijjāpaccayasambhūtasamudāgataṭṭho gambhīro, tasmā idaṃ bhavacakkaṃ atthagambhīranti. Ayaṃ tāvettha ‘atthagambhīratā’ hetuphalañhi atthoti vuccati, yathāha ‘‘hetuphale ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā’’ti (vibha. 720).
ยสฺมา ปน เยนากาเรน ยทวตฺถา จ อวิชฺชา เตสํ เตสํ สงฺขารานํ ปจฺจโย โหติ, ตสฺส ทุรวโพธนียโต อวิชฺชาย สงฺขารานํ ปจฺจยโฎฺฐ คมฺภีโร, ตถา สงฺขารานํ…เป.… ชาติยา ชรามรณสฺส ปจฺจยโฎฺฐ คมฺภีโร, ตสฺมา อิทํ ภวจกฺกํ ธมฺมคมฺภีรนฺติ อยเมตฺถ ‘ธมฺมคมฺภีรตา’ เหตุโน หิ ธโมฺมติ นามํ, ยถาห ‘‘เหตุมฺหิ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทา’’ติฯ
Yasmā pana yenākārena yadavatthā ca avijjā tesaṃ tesaṃ saṅkhārānaṃ paccayo hoti, tassa duravabodhanīyato avijjāya saṅkhārānaṃ paccayaṭṭho gambhīro, tathā saṅkhārānaṃ…pe… jātiyā jarāmaraṇassa paccayaṭṭho gambhīro, tasmā idaṃ bhavacakkaṃ dhammagambhīranti ayamettha ‘dhammagambhīratā’ hetuno hi dhammoti nāmaṃ, yathāha ‘‘hetumhi ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā’’ti.
ยสฺมา จสฺส เตน เตน การเณน ตถา ตถา ปวเตฺตตพฺพตฺตา เทสนาปิ คมฺภีรา, น ตตฺถ สพฺพญฺญุตญาณโต อญฺญํ ญาณํ ปติฎฺฐํ ลภติ, ตถา เหตํ กตฺถจิ สุเตฺต อนุโลมโต, กตฺถจิ ปฎิโลมโต; กตฺถจิ อนุโลมปฎิโลมโต, กตฺถจิ เวมชฺฌโต ปฎฺฐาย อนุโลมโต วา ปฎิโลมโต วา, กตฺถจิ ติสนฺธิจตุสเงฺขปํ, กตฺถจิ ทฺวิสนฺธิติสเงฺขปํ, กตฺถจิ เอกสนฺธิทฺวิสเงฺขปํ เทสิตํ, ตสฺมา อิทํ ภวจกฺกํ เทสนาคมฺภีรนฺติ อยํ เทสนาคมฺภีรตาฯ
Yasmā cassa tena tena kāraṇena tathā tathā pavattetabbattā desanāpi gambhīrā, na tattha sabbaññutañāṇato aññaṃ ñāṇaṃ patiṭṭhaṃ labhati, tathā hetaṃ katthaci sutte anulomato, katthaci paṭilomato; katthaci anulomapaṭilomato, katthaci vemajjhato paṭṭhāya anulomato vā paṭilomato vā, katthaci tisandhicatusaṅkhepaṃ, katthaci dvisandhitisaṅkhepaṃ, katthaci ekasandhidvisaṅkhepaṃ desitaṃ, tasmā idaṃ bhavacakkaṃ desanāgambhīranti ayaṃ desanāgambhīratā.
ยสฺมา ปเนตฺถ โย อวิชฺชาทีนํ สภาโว, เยน ปฎิวิเทฺธน อวิชฺชาทโย ธมฺมา สลกฺขณโต ปฎิวิทฺธา โหนฺติ, โส ทุปฺปริโยคาหตฺตา คมฺภีโร, ตสฺมา อิทํ ภวจกฺกํ ปฎิเวธคมฺภีรํฯ ตถา เหตฺถ อวิชฺชาย อญฺญาณาทสฺสนสจฺจาสมฺปฎิเวธโฎฺฐ คมฺภีโร, สงฺขารานํ อภิสงฺขรณายูหนสราควิราคโฎฺฐ, วิญฺญาณสฺส สุญฺญตอพฺยาปารอสงฺกนฺติปฎิสนฺธิปาตุภาวโฎฺฐ , นามรูปสฺส เอกุปฺปาทวินิโพฺภคาวินิโพฺภคนมนรุปฺปนโฎฺฐ, สฬายตนสฺส อธิปติโลกทฺวารเขตฺตวิสยวิสยีภาวโฎฺฐ, ผสฺสสฺส ผุสนสงฺฆฎฺฎนสงฺคติสนฺนิปาตโฎฺฐ, เวทนาย อารมฺมณรสานุภวนสุขทุกฺขมชฺฌตฺตภาวนิชฺชีวเวทยิตโฎฺฐ, ตณฺหาย อภินนฺทิตโชฺฌสานสริตาลตานทีตณฺหาสมุทฺททุปฺปูรณโฎฺฐ, อุปาทานสฺส อาทานคฺคหณาภินิเวสปรามาสทุรติกฺกมนโฎฺฐ, ภวสฺส อายูหนาภิสงฺขรณโยนิคติฐิตินิวาเสสุ ขิปนโฎฺฐ, ชาติยา ชาติสญฺชาติโอกฺกนฺตินิพฺพตฺติปาตุภาวโฎฺฐ, ชรามรณสฺส ขยวยเภทวิปริณามโฎฺฐ คมฺภีโรติ อยเมตฺถ ปฎิเวธคมฺภีรตาฯ
Yasmā panettha yo avijjādīnaṃ sabhāvo, yena paṭividdhena avijjādayo dhammā salakkhaṇato paṭividdhā honti, so duppariyogāhattā gambhīro, tasmā idaṃ bhavacakkaṃ paṭivedhagambhīraṃ. Tathā hettha avijjāya aññāṇādassanasaccāsampaṭivedhaṭṭho gambhīro, saṅkhārānaṃ abhisaṅkharaṇāyūhanasarāgavirāgaṭṭho, viññāṇassa suññataabyāpāraasaṅkantipaṭisandhipātubhāvaṭṭho , nāmarūpassa ekuppādavinibbhogāvinibbhoganamanaruppanaṭṭho, saḷāyatanassa adhipatilokadvārakhettavisayavisayībhāvaṭṭho, phassassa phusanasaṅghaṭṭanasaṅgatisannipātaṭṭho, vedanāya ārammaṇarasānubhavanasukhadukkhamajjhattabhāvanijjīvavedayitaṭṭho, taṇhāya abhinanditajjhosānasaritālatānadītaṇhāsamuddaduppūraṇaṭṭho, upādānassa ādānaggahaṇābhinivesaparāmāsaduratikkamanaṭṭho, bhavassa āyūhanābhisaṅkharaṇayonigatiṭhitinivāsesu khipanaṭṭho, jātiyā jātisañjātiokkantinibbattipātubhāvaṭṭho, jarāmaraṇassa khayavayabhedavipariṇāmaṭṭho gambhīroti ayamettha paṭivedhagambhīratā.
ยสฺมา ปเนตฺถ เอกตฺตนโย, นานตฺตนโย, อพฺยาปารนโย, เอวํธมฺมตานโยติ จตฺตาโร อตฺถนยา โหนฺติ , ตสฺมา ‘นยเภทโต’เปตํ ภวจกฺกํ วิญฺญาตพฺพํ ยถารหํฯ ตตฺถ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา, สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณ’’นฺติ เอวํ พีชสฺส องฺกุราทิภาเวน รุกฺขภาวปฺปตฺติ วิย สนฺตานานุปเจฺฉโท ‘เอกตฺตนโย’ นาม; ยํ สมฺมา ปสฺสโนฺต เหตุผลสมฺพเนฺธน ปวตฺตมานสฺส สนฺตานสฺส อนุปเจฺฉทาวโพธโต อุเจฺฉททิฎฺฐิํ ปชหติ, มิจฺฉา ปสฺสโนฺต เหตุผลสมฺพเนฺธน ปวตฺตมานสฺส สนฺตานานุปเจฺฉทสฺส เอกตฺตคฺคหณโต สสฺสตทิฎฺฐิํ อุปาทิยติฯ
Yasmā panettha ekattanayo, nānattanayo, abyāpāranayo, evaṃdhammatānayoti cattāro atthanayā honti , tasmā ‘nayabhedato’petaṃ bhavacakkaṃ viññātabbaṃ yathārahaṃ. Tattha ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā, saṅkhārapaccayā viññāṇa’’nti evaṃ bījassa aṅkurādibhāvena rukkhabhāvappatti viya santānānupacchedo ‘ekattanayo’ nāma; yaṃ sammā passanto hetuphalasambandhena pavattamānassa santānassa anupacchedāvabodhato ucchedadiṭṭhiṃ pajahati, micchā passanto hetuphalasambandhena pavattamānassa santānānupacchedassa ekattaggahaṇato sassatadiṭṭhiṃ upādiyati.
อวิชฺชาทีนํ ปน ยถาสกลกฺขณววตฺถานํ ‘นานตฺตนโย’ นาม; ยํ สมฺมา ปสฺสโนฺต นวนวานํ อุปฺปาททสฺสนโต สสฺสตทิฎฺฐิํ ปชหติ, มิจฺฉา ปสฺสโนฺต เอกสนฺตานปติตสฺส ภินฺนสนฺตานเสฺสว นานตฺตคฺคหณโต อุเจฺฉททิฎฺฐิํ อุปาทิยติฯ
Avijjādīnaṃ pana yathāsakalakkhaṇavavatthānaṃ ‘nānattanayo’ nāma; yaṃ sammā passanto navanavānaṃ uppādadassanato sassatadiṭṭhiṃ pajahati, micchā passanto ekasantānapatitassa bhinnasantānasseva nānattaggahaṇato ucchedadiṭṭhiṃ upādiyati.
อวิชฺชาย ‘สงฺขารา มยา อุปฺปาเทตพฺพา’, สงฺขารานํ วา ‘วิญฺญาณํ อเมฺหหี’ติ เอวมาทิพฺยาปาราภาโว ‘อพฺยาปารนโย’ นาม; ยํ สมฺมา ปสฺสโนฺต การกสฺส อภาวาวโพธโต อตฺตทิฎฺฐิํ ปชหติ, มิจฺฉา ปสฺสโนฺต โย อสติปิ พฺยาปาเร อวิชฺชาทีนํ สภาวนิยมสิโทฺธ เหตุภาโว ตสฺส อคฺคหณโต อกิริยทิฎฺฐิํ อุปาทิยติฯ
Avijjāya ‘saṅkhārā mayā uppādetabbā’, saṅkhārānaṃ vā ‘viññāṇaṃ amhehī’ti evamādibyāpārābhāvo ‘abyāpāranayo’ nāma; yaṃ sammā passanto kārakassa abhāvāvabodhato attadiṭṭhiṃ pajahati, micchā passanto yo asatipi byāpāre avijjādīnaṃ sabhāvaniyamasiddho hetubhāvo tassa aggahaṇato akiriyadiṭṭhiṃ upādiyati.
อวิชฺชาทีหิ ปน การเณหิ สงฺขาราทีนํเยว สมฺภโว ขีราทีหิ ทธิอาทีนํ วิย, น อเญฺญสนฺติ อยํ ‘เอวํธมฺมตานโย’ นาม; ยํ สมฺมา ปสฺสโนฺต ปจฺจยานุรูปโต ผลาวโพธโต อเหตุกทิฎฺฐิญฺจ อกิริยทิฎฺฐิญฺจ ปชหติ, มิจฺฉา ปสฺสโนฺต ปจฺจยานุรูปํ ผลปฺปวตฺติํ อคฺคเหตฺวา ยโต กุโตจิ ยสฺส กสฺสจิ อสมฺภวคฺคหณโต อเหตุกทิฎฺฐิเญฺจว นิยตวาทญฺจ อุปาทิยตีติ เอวมิทํ ภวจกฺกํ –
Avijjādīhi pana kāraṇehi saṅkhārādīnaṃyeva sambhavo khīrādīhi dadhiādīnaṃ viya, na aññesanti ayaṃ ‘evaṃdhammatānayo’ nāma; yaṃ sammā passanto paccayānurūpato phalāvabodhato ahetukadiṭṭhiñca akiriyadiṭṭhiñca pajahati, micchā passanto paccayānurūpaṃ phalappavattiṃ aggahetvā yato kutoci yassa kassaci asambhavaggahaṇato ahetukadiṭṭhiñceva niyatavādañca upādiyatīti evamidaṃ bhavacakkaṃ –
สจฺจปฺปภวโต กิจฺจา, วารณา อุปมาหิ จ;
Saccappabhavato kiccā, vāraṇā upamāhi ca;
คมฺภีรนยเภทา จ, วิญฺญาตพฺพํ ยถารหํฯ
Gambhīranayabhedā ca, viññātabbaṃ yathārahaṃ.
อิทญฺหิ คมฺภีรโต อคาธํ นานานยคฺคหณโต ทุรภิยานํ ญาณาสินา สมาธิปวรสิลายํ สุนิสิเตน –
Idañhi gambhīrato agādhaṃ nānānayaggahaṇato durabhiyānaṃ ñāṇāsinā samādhipavarasilāyaṃ sunisitena –
ภวจกฺกมปทาเลตฺวา ,
Bhavacakkamapadāletvā ,
อสนิวิจกฺกมิว นิจฺจนิมฺมถนํ;
Asanivicakkamiva niccanimmathanaṃ;
สํสารภยมตีโต,
Saṃsārabhayamatīto,
น โกจิ สุปินนฺตเรปฺยตฺถิฯ
Na koci supinantarepyatthi.
วุตฺตมฺปิ เจตํ ภควตา – ‘‘คมฺภีโร จายํ, อานนฺท, ปฎิจฺจสมุปฺปาโท คมฺภีราวภาโส จฯ เอตสฺส, อานนฺท, ธมฺมสฺส อนนุโพธา อปฺปฎิเวธา เอวมยํ ปชา ตนฺตากุลกชาตา กุลคณฺฐิกชาตา มุญฺชปพฺพชภูตา อปายํ ทุคฺคติํ วินิปาตํ สํสารํ นาติวตฺตตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๙๕; สํ. นิ. ๒.๖๐)ฯ ตสฺมา อตฺตโน วา ปเรสํ วา หิตาย สุขาย ปฎิปโนฺน อวเสสกิจฺจานิ ปหาย –
Vuttampi cetaṃ bhagavatā – ‘‘gambhīro cāyaṃ, ānanda, paṭiccasamuppādo gambhīrāvabhāso ca. Etassa, ānanda, dhammassa ananubodhā appaṭivedhā evamayaṃ pajā tantākulakajātā kulagaṇṭhikajātā muñjapabbajabhūtā apāyaṃ duggatiṃ vinipātaṃ saṃsāraṃ nātivattatī’’ti (dī. ni. 2.95; saṃ. ni. 2.60). Tasmā attano vā paresaṃ vā hitāya sukhāya paṭipanno avasesakiccāni pahāya –
คมฺภีเร ปจฺจยาการ-ปฺปเภเท อิธ ปณฺฑิโต;
Gambhīre paccayākāra-ppabhede idha paṇḍito;
ยถา คาธํ ลเภเถว-มนุยุเญฺช สทา สโตติฯ
Yathā gādhaṃ labhetheva-manuyuñje sadā satoti.
สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนาฯ
Suttantabhājanīyavaṇṇanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๖. ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภโงฺค • 6. Paṭiccasamuppādavibhaṅgo
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā / ๖. ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภโงฺค • 6. Paṭiccasamuppādavibhaṅgo
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā / ๖. ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภโงฺค • 6. Paṭiccasamuppādavibhaṅgo