Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā

    ๒. อายตนวิภโงฺค

    2. Āyatanavibhaṅgo

    ๑. สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา

    1. Suttantabhājanīyavaṇṇanā

    ๑๕๔. อิทานิ ตทนนฺตเร อายตนวิภงฺคนิเทฺทเส สุตฺตนฺตภาชนียํ ตาว ทเสฺสโนฺต ทฺวาทสายตนานิ จกฺขายตนํ รูปายตนนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปาฬิมุตฺตเกน ตาว นเยน –

    154. Idāni tadanantare āyatanavibhaṅganiddese suttantabhājanīyaṃ tāva dassento dvādasāyatanāni cakkhāyatanaṃ rūpāyatanantiādimāha. Tattha pāḷimuttakena tāva nayena –

    อตฺถลกฺขณตาวตฺว, กมสเงฺขปวิตฺถารา;

    Atthalakkhaṇatāvatva, kamasaṅkhepavitthārā;

    ตถา ทฎฺฐพฺพโต เจว, วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    Tathā daṭṭhabbato ceva, viññātabbo vinicchayo.

    ตตฺถ วิเสสโต ตาว จกฺขตีติ จกฺขุ; รูปํ อสฺสาเทติ, วิภาเวติ จาติ อโตฺถฯ รูปยตีติ รูปํ; วณฺณวิการํ อาปชฺชมานํ หทยงฺคตภาวํ ปกาเสตีติ อโตฺถฯ สุณาตีติ โสตํฯ สปฺปตีติ สโทฺท; อุทาหริยตีติ อโตฺถฯ ฆายตีติ ฆานํฯ คนฺธยตีติ คโนฺธ; อตฺตโน วตฺถุํ สูจยตีติ อโตฺถฯ ชีวิตํ อวฺหายตีติ ชิวฺหาฯ รสนฺติ ตํ สตฺตาติ รโส; อสฺสาเทนฺตีติ อโตฺถฯ กุจฺฉิตานํ สาสวธมฺมานํ อาโยติ กาโยฯ อาโยติ อุปฺปตฺติเทโสฯ ผุสียตีติ โผฎฺฐพฺพํฯ มนตีติ มโนฯ อตฺตโน ลกฺขณํ ธารยนฺตีติ ธมฺมา

    Tattha visesato tāva cakkhatīti cakkhu; rūpaṃ assādeti, vibhāveti cāti attho. Rūpayatīti rūpaṃ; vaṇṇavikāraṃ āpajjamānaṃ hadayaṅgatabhāvaṃ pakāsetīti attho. Suṇātīti sotaṃ. Sappatīti saddo; udāhariyatīti attho. Ghāyatīti ghānaṃ. Gandhayatīti gandho; attano vatthuṃ sūcayatīti attho. Jīvitaṃ avhāyatīti jivhā. Rasanti taṃ sattāti raso; assādentīti attho. Kucchitānaṃ sāsavadhammānaṃ āyoti kāyo. Āyoti uppattideso. Phusīyatīti phoṭṭhabbaṃ. Manatīti mano. Attano lakkhaṇaṃ dhārayantīti dhammā.

    อวิเสสโต ปน อายตนโต, อายานํ ตนนโต, อายตสฺส จ นยนโต อายตนนฺติ เวทิตพฺพํฯ จกฺขุรูปาทีสุ หิ ตํตํทฺวารารมฺมณา จิตฺตเจตสิกา ธมฺมา เสน เสน อนุภวนาทินา กิเจฺจน อายตนฺติ อุฎฺฐหนฺติ ฆเฎฺฎนฺติ วายมนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ เต จ ปน อายภูเต ธเมฺม เอตานิ ตโนนฺติ วิตฺถาเรนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ อิทญฺจ อนมตเคฺค สํสาเร ปวตฺตํ อตีว อายตํ สํสารทุกฺขํ ยาว น นิวตฺตติ ตาว นยเนฺตว, ปวตฺตยนฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ อิติ สเพฺพปิ เม ธมฺมา อายตนโต อายานํ ตนนโต อายตสฺส จ นยนโต ‘อายตนํ อายตน’นฺติ วุจฺจนฺติฯ

    Avisesato pana āyatanato, āyānaṃ tananato, āyatassa ca nayanato āyatananti veditabbaṃ. Cakkhurūpādīsu hi taṃtaṃdvārārammaṇā cittacetasikā dhammā sena sena anubhavanādinā kiccena āyatanti uṭṭhahanti ghaṭṭenti vāyamantīti vuttaṃ hoti. Te ca pana āyabhūte dhamme etāni tanonti vitthārentīti vuttaṃ hoti. Idañca anamatagge saṃsāre pavattaṃ atīva āyataṃ saṃsāradukkhaṃ yāva na nivattati tāva nayanteva, pavattayantīti vuttaṃ hoti. Iti sabbepi me dhammā āyatanato āyānaṃ tananato āyatassa ca nayanato ‘āyatanaṃ āyatana’nti vuccanti.

    อปิจ นิวาสฎฺฐานเฎฺฐน, อากรเฎฺฐน, สโมสรณฎฺฐานเฎฺฐน , สญฺชาติเทสเฎฺฐน, การณเฎฺฐน จ อายตนํ เวทิตพฺพํฯ ตถา หิ โลเก ‘‘อิสฺสรายตนํ วาสุเทวายตน’’นฺติอาทีสุ นิวาสฎฺฐานํ อายตนนฺติ วุจฺจติ ฯ ‘‘สุวณฺณายตนํ รชตายตน’’นฺติอาทีสุ อากโรฯ สาสเน ปน ‘‘มโนรเม อายตเน เสวนฺติ นํ วิหงฺคมา’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๕.๓๘) สโมสรณฎฺฐานํฯ ‘‘ทกฺขิณาปโถ คุนฺนํ อายตน’’นฺติอาทีสุ สญฺชาติเทโสฯ ‘‘ตตฺร ตเตฺรว สกฺขิภพฺพตํ ปาปุณาติ สติ สติอายตเน’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๕.๒๓) การณํฯ

    Apica nivāsaṭṭhānaṭṭhena, ākaraṭṭhena, samosaraṇaṭṭhānaṭṭhena , sañjātidesaṭṭhena, kāraṇaṭṭhena ca āyatanaṃ veditabbaṃ. Tathā hi loke ‘‘issarāyatanaṃ vāsudevāyatana’’ntiādīsu nivāsaṭṭhānaṃ āyatananti vuccati . ‘‘Suvaṇṇāyatanaṃ rajatāyatana’’ntiādīsu ākaro. Sāsane pana ‘‘manorame āyatane sevanti naṃ vihaṅgamā’’tiādīsu (a. ni. 5.38) samosaraṇaṭṭhānaṃ. ‘‘Dakkhiṇāpatho gunnaṃ āyatana’’ntiādīsu sañjātideso. ‘‘Tatra tatreva sakkhibhabbataṃ pāpuṇāti sati satiāyatane’’tiādīsu (a. ni. 5.23) kāraṇaṃ.

    จกฺขุรูปาทีสุ จาปิ เต เต จิตฺตเจตสิกา ธมฺมา นิวสนฺติ ตทายตฺตวุตฺติตายาติ จกฺขาทโย เนสํ นิวาสนฎฺฐานํฯ จกฺขาทีสุ จ เต อากิณฺณา ตํ นิสฺสิตตฺตา ตทารมฺมณตฺตา จาติ จกฺขาทโย เนสํ อากโรฯ จกฺขาทโย จ เนสํ สโมสรณฎฺฐานํ, ตตฺถ ตตฺถ วตฺถุทฺวารารมฺมณวเสน สโมสรณโตฯ จกฺขาทโย จ เนสํ สญฺชาติเทโส; ตํ นิสฺสยารมฺมณภาเวน ตเตฺถว อุปฺปตฺติโตฯ จกฺขาทโย จ เนสํ การณํ, เตสํ อภาเว อภาวโตติฯ อิติ นิวาสฎฺฐานเฎฺฐน, อากรเฎฺฐน, สโมสรณฎฺฐานเฎฺฐน, สญฺชาติเทสเฎฺฐน, การณเฎฺฐนาติ อิเมหิ การเณหิ เอเต ธมฺมา ‘อายตนํ อายตน’นฺติ วุจฺจนฺติฯ ตสฺมา ยถาวุเตฺตนเตฺถน จกฺขุ จ ตํ อายตนญฺจาติ จกฺขายตนํ…เป.… ธมฺมา จ เต อายตนญฺจาติ ธมฺมายตนนฺติ เอวํ ตาเวตฺถ ‘อตฺถโต’ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    Cakkhurūpādīsu cāpi te te cittacetasikā dhammā nivasanti tadāyattavuttitāyāti cakkhādayo nesaṃ nivāsanaṭṭhānaṃ. Cakkhādīsu ca te ākiṇṇā taṃ nissitattā tadārammaṇattā cāti cakkhādayo nesaṃ ākaro. Cakkhādayo ca nesaṃ samosaraṇaṭṭhānaṃ, tattha tattha vatthudvārārammaṇavasena samosaraṇato. Cakkhādayo ca nesaṃ sañjātideso; taṃ nissayārammaṇabhāvena tattheva uppattito. Cakkhādayo ca nesaṃ kāraṇaṃ, tesaṃ abhāve abhāvatoti. Iti nivāsaṭṭhānaṭṭhena, ākaraṭṭhena, samosaraṇaṭṭhānaṭṭhena, sañjātidesaṭṭhena, kāraṇaṭṭhenāti imehi kāraṇehi ete dhammā ‘āyatanaṃ āyatana’nti vuccanti. Tasmā yathāvuttenatthena cakkhu ca taṃ āyatanañcāti cakkhāyatanaṃ…pe… dhammā ca te āyatanañcāti dhammāyatananti evaṃ tāvettha ‘atthato’ viññātabbo vinicchayo.

    ‘ลกฺขณโต’ติ จกฺขาทีนํ ลกฺขณโตเปตฺถ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ ตานิ จ ปน เนสํ ลกฺขณานิ เหฎฺฐา รูปกณฺฑนิเทฺทเส วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพานิฯ

    ‘Lakkhaṇato’ti cakkhādīnaṃ lakkhaṇatopettha viññātabbo vinicchayo. Tāni ca pana nesaṃ lakkhaṇāni heṭṭhā rūpakaṇḍaniddese vuttanayeneva veditabbāni.

    ‘ตาวตฺวโต’ติ ตาวภาวโตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – จกฺขาทโยปิ หิ ธมฺมา เอวฯ เอวํ สติ ธมฺมายตนมิเจฺจว อวตฺวา กสฺมา ทฺวาทสายตนานิ วุตฺตานีติ เจ? ฉ วิญฺญาณกายุปฺปตฺติทฺวารารมฺมณววตฺถานโตฯ อิธ ฉนฺนํ วิญฺญาณกายานํ ทฺวารภาเวน อารมฺมณภาเวน จ ววตฺถานโต อยเมว เตสํ เภโท โหตีติ ทฺวาทส วุตฺตานิฯ จกฺขุวิญฺญาณวีถิปริยาปนฺนสฺส หิ วิญฺญาณกายสฺส จกฺขายตนเมว อุปฺปตฺติทฺวารํ, รูปายตนเมว จารมฺมณํ ฯ ตถา อิตรานิ อิตเรสํฯ ฉฎฺฐสฺส ปน ภวงฺคมนสงฺขาโต มนายตเนกเทโสว อุปฺปตฺติทฺวารํ, อสาธารณญฺจ ธมฺมายตนํ อารมฺมณนฺติ ฯ อิติ ฉนฺนํ วิญฺญาณกายานํ อุปฺปตฺติทฺวารารมฺมณววตฺถานโต ทฺวาทส วุตฺตานีติฯ เอวเมตฺถ ‘ตาวตฺวโต’ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    ‘Tāvatvato’ti tāvabhāvato. Idaṃ vuttaṃ hoti – cakkhādayopi hi dhammā eva. Evaṃ sati dhammāyatanamicceva avatvā kasmā dvādasāyatanāni vuttānīti ce? Cha viññāṇakāyuppattidvārārammaṇavavatthānato. Idha channaṃ viññāṇakāyānaṃ dvārabhāvena ārammaṇabhāvena ca vavatthānato ayameva tesaṃ bhedo hotīti dvādasa vuttāni. Cakkhuviññāṇavīthipariyāpannassa hi viññāṇakāyassa cakkhāyatanameva uppattidvāraṃ, rūpāyatanameva cārammaṇaṃ . Tathā itarāni itaresaṃ. Chaṭṭhassa pana bhavaṅgamanasaṅkhāto manāyatanekadesova uppattidvāraṃ, asādhāraṇañca dhammāyatanaṃ ārammaṇanti . Iti channaṃ viññāṇakāyānaṃ uppattidvārārammaṇavavatthānato dvādasa vuttānīti. Evamettha ‘tāvatvato’ viññātabbo vinicchayo.

    ‘กมโต’ติ อิธาปิ ปุเพฺพ วุเตฺตสุ อุปฺปตฺติกฺกมาทีสุ เทสนากฺกโมว ยุชฺชติฯ อชฺฌตฺติเกสุ หิ อายตเนสุ สนิทสฺสนสปฺปฎิฆวิสยตฺตา จกฺขายตนํ ปากฎนฺติ ปฐมํ เทสิตํฯ ตโต อนิทสฺสนสปฺปฎิฆวิสยานิ โสตายตนาทีนิฯ อถ วา ทสฺสนานุตฺตริยสวนานุตฺตริยเหตุภาเวน พหูปการตฺตา อชฺฌตฺติเกสุ จกฺขายตนโสตายตนานิ ปฐมํ เทสิตานิฯ ตโต ฆานายตนาทีนิ ตีณิฯ ปญฺจนฺนมฺปิ โคจรวิสยตฺตา อเนฺต มนายตนํฯ จกฺขาทีนํ ปน โคจรตฺตา ตสฺส ตสฺส อนนฺตรานิ พาหิเรสุ รูปายตนาทีนิฯ อปิจ วิญฺญาณุปฺปตฺติการณววตฺถานโตปิ อยเมว เตสํ กโม เวทิตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘จกฺขุญฺจ ปฎิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญาณํ…เป.… มนญฺจ ปฎิจฺจ ธเมฺม จ อุปฺปชฺชติ มโนวิญฺญาณ’’นฺติ (ม. นิ. ๓.๔๒๑) เอวํ ‘กมโต’เปตฺถ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    ‘Kamato’ti idhāpi pubbe vuttesu uppattikkamādīsu desanākkamova yujjati. Ajjhattikesu hi āyatanesu sanidassanasappaṭighavisayattā cakkhāyatanaṃ pākaṭanti paṭhamaṃ desitaṃ. Tato anidassanasappaṭighavisayāni sotāyatanādīni. Atha vā dassanānuttariyasavanānuttariyahetubhāvena bahūpakārattā ajjhattikesu cakkhāyatanasotāyatanāni paṭhamaṃ desitāni. Tato ghānāyatanādīni tīṇi. Pañcannampi gocaravisayattā ante manāyatanaṃ. Cakkhādīnaṃ pana gocarattā tassa tassa anantarāni bāhiresu rūpāyatanādīni. Apica viññāṇuppattikāraṇavavatthānatopi ayameva tesaṃ kamo veditabbo. Vuttañhetaṃ ‘‘cakkhuñca paṭicca rūpe ca uppajjati cakkhuviññāṇaṃ…pe… manañca paṭicca dhamme ca uppajjati manoviññāṇa’’nti (ma. ni. 3.421) evaṃ ‘kamato’pettha viññātabbo vinicchayo.

    ‘สเงฺขปวิตฺถารา’ติ สเงฺขปโต หิ มนายตนสฺส เจว ธมฺมายตเนกเทสสฺส จ นาเมน, ตทวเสสานญฺจ อายตนานํ รูเปน สงฺคหิตตฺตา ทฺวาทสาปิ อายตนานิ นามรูปมตฺตเมว โหนฺติฯ

    ‘Saṅkhepavitthārā’ti saṅkhepato hi manāyatanassa ceva dhammāyatanekadesassa ca nāmena, tadavasesānañca āyatanānaṃ rūpena saṅgahitattā dvādasāpi āyatanāni nāmarūpamattameva honti.

    วิตฺถารโต ปน อชฺฌตฺติเกสุ ตาว จกฺขายตนํ ชาติวเสน จกฺขุปสาทมตฺตเมว, ปจฺจยคตินิกายปุคฺคลเภทโต ปน อนนฺตปฺปเภทํฯ ตถา โสตายตนาทีนิ จตฺตาริฯ มนายตนํ เตภูมกกุสลากุสลวิปากกิริยวิญฺญาณเภเทน เอกาสีติปฺปเภทํ, วตฺถุปฎิปทาทิเภทโต ปน อนนฺตปฺปเภทํฯ รูปคนฺธรสายตนานิ สมุฎฺฐานเภทโต จตุปฺปเภทานิ, สทฺทายตนํ ทฺวิปฺปเภทํฯ สภาควิสภาคเภทโต ปน สพฺพานิปิ อนนฺตปฺปเภทานิฯ โผฎฺฐพฺพายตนํ ปถวีธาตุเตโชธาตุวาโยธาตุวเสน ติปฺปเภทํ, สมุฎฺฐานโต จตุปฺปเภทํ, สภาควิสภาคโต อเนกปฺปเภทํฯ ธมฺมายตนํ เตภูมกธมฺมารมฺมณวเสน อเนกปฺปเภทนฺติฯ เอวํ สเงฺขปวิตฺถารา วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยฯ

    Vitthārato pana ajjhattikesu tāva cakkhāyatanaṃ jātivasena cakkhupasādamattameva, paccayagatinikāyapuggalabhedato pana anantappabhedaṃ. Tathā sotāyatanādīni cattāri. Manāyatanaṃ tebhūmakakusalākusalavipākakiriyaviññāṇabhedena ekāsītippabhedaṃ, vatthupaṭipadādibhedato pana anantappabhedaṃ. Rūpagandharasāyatanāni samuṭṭhānabhedato catuppabhedāni, saddāyatanaṃ dvippabhedaṃ. Sabhāgavisabhāgabhedato pana sabbānipi anantappabhedāni. Phoṭṭhabbāyatanaṃ pathavīdhātutejodhātuvāyodhātuvasena tippabhedaṃ, samuṭṭhānato catuppabhedaṃ, sabhāgavisabhāgato anekappabhedaṃ. Dhammāyatanaṃ tebhūmakadhammārammaṇavasena anekappabhedanti. Evaṃ saṅkhepavitthārā viññātabbo vinicchayo.

    ‘ทฎฺฐพฺพโต’ติ เอตฺถ ปน สพฺพาเนเวตานิ อายตนานิ อนาคมนโต อนิคฺคมนโต จ ทฎฺฐพฺพานิฯ น หิ ตานิ ปุเพฺพ อุทยา กุโตจิ อาคจฺฉนฺติ, นาปิ อุทฺธํ วยา กุหิญฺจิ คจฺฉนฺติ; อถ โข ปุเพฺพ อุทยา อปฺปฎิลทฺธสภาวานิ, อุทฺธํ วยา ปริภินฺนสภาวานิ, ปุพฺพนฺตาปรนฺตเวมเชฺฌ ปจฺจยายตฺตวุตฺติตาย อวสานิ ปวตฺตนฺติฯ ตสฺมา อนาคมนโต อนิคฺคมนโต จ ทฎฺฐพฺพานิฯ ตถา นิรีหโต อพฺยาปารโต จฯ น หิ จกฺขุรูปาทีนํ เอวํ โหติ – ‘อโห วต อมฺหากํ สามคฺคิยา วิญฺญาณํ นาม อุปฺปเชฺชยฺยา’ติ, น จ ตานิ วิญฺญาณุปฺปาทนตฺถํ ทฺวารภาเวน วตฺถุภาเวน อารมฺมณภาเวน วา อีหนฺติ, น พฺยาปารมาปชฺชนฺติ; อถ โข ธมฺมตาเวสา ยํ จกฺขุรูปาทีนํ สามคฺคิยํ จกฺขุวิญฺญาณาทีนิ สมฺภวนฺติฯ ตสฺมา นิรีหโต อพฺยาปารโต จ ทฎฺฐพฺพานิฯ อปิจ อชฺฌตฺติกานิ สุญฺญคาโม วิย ทฎฺฐพฺพานิ ธุวสุภสุขตฺตภาววิรหิตตฺตา, พาหิรานิ คามฆาตกโจรา วิย อชฺฌตฺติกานํ อภิฆาตกตฺตาฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘จกฺขุ, ภิกฺขเว, หญฺญติ มนาปามนาเปหิ รูเปหีติ วิตฺถาโรฯ อปิจ อชฺฌตฺติกานิ ฉ ปาณกา วิย ทฎฺฐพฺพานิ, พาหิรานิ เตสํ โคจรา วิยาติฯ เอวเมฺปตฺถ ‘ทฎฺฐพฺพโต’ วิญฺญาตโพฺพ วินิจฺฉโยติฯ

    ‘Daṭṭhabbato’ti ettha pana sabbānevetāni āyatanāni anāgamanato aniggamanato ca daṭṭhabbāni. Na hi tāni pubbe udayā kutoci āgacchanti, nāpi uddhaṃ vayā kuhiñci gacchanti; atha kho pubbe udayā appaṭiladdhasabhāvāni, uddhaṃ vayā paribhinnasabhāvāni, pubbantāparantavemajjhe paccayāyattavuttitāya avasāni pavattanti. Tasmā anāgamanato aniggamanato ca daṭṭhabbāni. Tathā nirīhato abyāpārato ca. Na hi cakkhurūpādīnaṃ evaṃ hoti – ‘aho vata amhākaṃ sāmaggiyā viññāṇaṃ nāma uppajjeyyā’ti, na ca tāni viññāṇuppādanatthaṃ dvārabhāvena vatthubhāvena ārammaṇabhāvena vā īhanti, na byāpāramāpajjanti; atha kho dhammatāvesā yaṃ cakkhurūpādīnaṃ sāmaggiyaṃ cakkhuviññāṇādīni sambhavanti. Tasmā nirīhato abyāpārato ca daṭṭhabbāni. Apica ajjhattikāni suññagāmo viya daṭṭhabbāni dhuvasubhasukhattabhāvavirahitattā, bāhirāni gāmaghātakacorā viya ajjhattikānaṃ abhighātakattā. Vuttañhetaṃ – ‘‘cakkhu, bhikkhave, haññati manāpāmanāpehi rūpehīti vitthāro. Apica ajjhattikāni cha pāṇakā viya daṭṭhabbāni, bāhirāni tesaṃ gocarā viyāti. Evampettha ‘daṭṭhabbato’ viññātabbo vinicchayoti.

    อิทานิ เตสํ วิปสฺสิตพฺพาการํ ทเสฺสตุํ จกฺขุํ อนิจฺจนฺติอาทิ อารทฺธํฯ ตตฺถ จกฺขุ ตาว หุตฺวา อภาวเฎฺฐน อนิจฺจนฺติ เวทิตพฺพํฯ อปเรหิปิ จตูหิ การเณหิ อนิจฺจํ – อุปฺปาทวยวนฺตโต, วิปริณามโต, ตาวกาลิกโต, นิจฺจปฎิเกฺขปโตติฯ

    Idāni tesaṃ vipassitabbākāraṃ dassetuṃ cakkhuṃ aniccantiādi āraddhaṃ. Tattha cakkhu tāva hutvā abhāvaṭṭhena aniccanti veditabbaṃ. Aparehipi catūhi kāraṇehi aniccaṃ – uppādavayavantato, vipariṇāmato, tāvakālikato, niccapaṭikkhepatoti.

    ตเทว ปฎิปีฬนเฎฺฐน ทุกฺขํฯ ยสฺมา วา เอตํ อุปฺปนฺนํ ฐิติํ ปาปุณาติ, ฐิติยํ ชราย กิลมติ, ชรํ ปตฺวา อวสฺสํ ภิชฺชติ; ตสฺมา อภิณฺหสมฺปฎิปีฬนโต, ทุกฺขมโต, ทุกฺขวตฺถุโต, สุขปฎิเกฺขปโตติ อิเมหิ จตูหิ การเณหิ ทุกฺขํฯ

    Tadeva paṭipīḷanaṭṭhena dukkhaṃ. Yasmā vā etaṃ uppannaṃ ṭhitiṃ pāpuṇāti, ṭhitiyaṃ jarāya kilamati, jaraṃ patvā avassaṃ bhijjati; tasmā abhiṇhasampaṭipīḷanato, dukkhamato, dukkhavatthuto, sukhapaṭikkhepatoti imehi catūhi kāraṇehi dukkhaṃ.

    อวสวตฺตนเฎฺฐน ปน อนตฺตาฯ ยสฺมา วา เอตํ อุปฺปนฺนํ ฐิติํ มา ปาปุณาตุ, ฐานปฺปตฺตํ มา ชิรตุ, ชรปฺปตํ มา ภิชฺชตูติ อิเมสุ ตีสุ ฐาเนสุ กสฺสจิ วสวตฺติภาโว นตฺถิ, สุญฺญํ เตน วสวตฺตนากาเรน; ตสฺมา สุญฺญโต, อสฺสามิกโต, อกามการิยโต, อตฺตปฎิเกฺขปโตติ อิเมหิ จตูหิ การเณหิ อนตฺตาฯ

    Avasavattanaṭṭhena pana anattā. Yasmā vā etaṃ uppannaṃ ṭhitiṃ mā pāpuṇātu, ṭhānappattaṃ mā jiratu, jarappataṃ mā bhijjatūti imesu tīsu ṭhānesu kassaci vasavattibhāvo natthi, suññaṃ tena vasavattanākārena; tasmā suññato, assāmikato, akāmakāriyato, attapaṭikkhepatoti imehi catūhi kāraṇehi anattā.

    วิภวคติกโต , ปุพฺพาปรวเสน ภวสงฺกนฺติคมนโต, ปกติภาววิชหนโต จ วิปริณามธมฺมํฯ อิทํ อนิจฺจเววจนเมวฯ รูปา อนิจฺจาติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อปิเจตฺถ ฐเปตฺวา จกฺขุํ เตภูมกธมฺมา อนิจฺจา, โน จกฺขุฯ จกฺขุ ปน จกฺขุ เจว อนิจฺจญฺจฯ ตถา เสสธมฺมา ทุกฺขา, โน จกฺขุฯ จกฺขุ ปน จกฺขุ เจว ทุกฺขญฺจฯ เสสธมฺมา อนตฺตา, โน จกฺขุฯ จกฺขุ ปน จกฺขุ เจว อนตฺตา จาติฯ รูปาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    Vibhavagatikato , pubbāparavasena bhavasaṅkantigamanato, pakatibhāvavijahanato ca vipariṇāmadhammaṃ. Idaṃ aniccavevacanameva. Rūpā aniccātiādīsupi eseva nayo. Apicettha ṭhapetvā cakkhuṃ tebhūmakadhammā aniccā, no cakkhu. Cakkhu pana cakkhu ceva aniccañca. Tathā sesadhammā dukkhā, no cakkhu. Cakkhu pana cakkhu ceva dukkhañca. Sesadhammā anattā, no cakkhu. Cakkhu pana cakkhu ceva anattā cāti. Rūpādīsupi eseva nayo.

    อิมสฺมิํ ปน สุตฺตนฺตภาชนีเย ตถาคเตน กิํ ทสฺสิตนฺติ? ทฺวาทสนฺนํ อายตนานํ อนตฺตลกฺขณํฯ สมฺมาสมฺพุโทฺธ หิ อนตฺตลกฺขณํ ทเสฺสโนฺต อนิเจฺจน วา ทเสฺสติ, ทุเกฺขน วา, อนิจฺจทุเกฺขหิ วาฯ ตตฺถ ‘‘จกฺขุ, อตฺตาติ โย วเทยฺย, ตํ น อุปปชฺชติฯ จกฺขุสฺส อุปฺปาโทปิ วโยปิ ปญฺญายติฯ ยสฺส โข ปน อุปฺปาโทปิ วโยปิ ปญฺญายติ ‘อตฺตา เม อุปฺปชฺชติ จ เวติ จา’ติ อิจฺจสฺส เอวมาคตํ โหติฯ ตสฺมา ตํ น อุปปชฺชติ – จกฺขุ อตฺตาติ โย วเทยฺย อิติ จกฺขุ อนตฺตา’’ติ (ม. นิ. ๓.๔๒๒)ฯ อิมสฺมิํ สุเตฺต อนิเจฺจน อนตฺตลกฺขณํ ทเสฺสสิฯ ‘‘รูปํ, ภิกฺขเว, อนตฺตาฯ รูปญฺจ หิทํ, ภิกฺขเว, อตฺตา อภวิสฺส, น ยิทํ รูปํ อาพาธาย สํวเตฺตยฺย; ลเพฺภถ จ รูเป – เอวํ เม รูปํ โหตุ, เอวํ เม รูปํ มา อโหสีติฯ ยสฺมา จ โข, ภิกฺขเว, รูปํ อนตฺตา ตสฺมา รูปํ อาพาธาย สํวตฺตติ; น จ ลพฺภติ รูเป – เอวํ เม รูปํ โหตุ, เอวํ เม รูปํ มา อโหสี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๕๙; มหาว. ๒๐) อิมสฺมิํ สุเตฺต ทุเกฺขน อนตฺตลกฺขณํ ทเสฺสสิฯ ‘‘รูปํ, ภิกฺขเว, อนิจฺจํ, ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺขํ, ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตา, ยทนตฺตา ตํ เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๑๕) อนิจฺจทุเกฺขหิ อนตฺตลกฺขณํ ทเสฺสสิฯ กสฺมา? อนิจฺจทุกฺขานํ ปากฎตฺตาฯ

    Imasmiṃ pana suttantabhājanīye tathāgatena kiṃ dassitanti? Dvādasannaṃ āyatanānaṃ anattalakkhaṇaṃ. Sammāsambuddho hi anattalakkhaṇaṃ dassento aniccena vā dasseti, dukkhena vā, aniccadukkhehi vā. Tattha ‘‘cakkhu, attāti yo vadeyya, taṃ na upapajjati. Cakkhussa uppādopi vayopi paññāyati. Yassa kho pana uppādopi vayopi paññāyati ‘attā me uppajjati ca veti cā’ti iccassa evamāgataṃ hoti. Tasmā taṃ na upapajjati – cakkhu attāti yo vadeyya iti cakkhu anattā’’ti (ma. ni. 3.422). Imasmiṃ sutte aniccena anattalakkhaṇaṃ dassesi. ‘‘Rūpaṃ, bhikkhave, anattā. Rūpañca hidaṃ, bhikkhave, attā abhavissa, na yidaṃ rūpaṃ ābādhāya saṃvatteyya; labbhetha ca rūpe – evaṃ me rūpaṃ hotu, evaṃ me rūpaṃ mā ahosīti. Yasmā ca kho, bhikkhave, rūpaṃ anattā tasmā rūpaṃ ābādhāya saṃvattati; na ca labbhati rūpe – evaṃ me rūpaṃ hotu, evaṃ me rūpaṃ mā ahosī’’ti (saṃ. ni. 3.59; mahāva. 20) imasmiṃ sutte dukkhena anattalakkhaṇaṃ dassesi. ‘‘Rūpaṃ, bhikkhave, aniccaṃ, yadaniccaṃ taṃ dukkhaṃ, yaṃ dukkhaṃ tadanattā, yadanattā taṃ netaṃ mama, nesohamasmi, na meso attā’’tiādīsu (saṃ. ni. 3.15) aniccadukkhehi anattalakkhaṇaṃ dassesi. Kasmā? Aniccadukkhānaṃ pākaṭattā.

    หตฺถโต หิ ตฎฺฎเก วา สรเก วา กิสฺมิญฺจิเทว วา ปติตฺวา ภิเนฺน ‘อโห อนิจฺจ’นฺติ วทนฺติฯ เอวํ อนิจฺจํ ปากฎํ นามฯ อตฺตภาวสฺมิํ ปน คณฺฑปิฬกาทีสุ วา อุฎฺฐิตาสุ ขาณุกณฺฎกาทีหิ วา วิทฺธาสุ ‘อโห ทุกฺข’นฺติ วทนฺติฯ เอวํ ทุกฺขํ ปากฎํ นามฯ อนตฺตลกฺขณํ อปากฎํ อนฺธการํ อวิภูตํ ทุปฺปฎิวิชฺฌํ ทุทฺทีปนํ ทุปฺปญฺญาปนํ ฯ อนิจฺจทุกฺขลกฺขณานิ อุปฺปาทา วา ตถาคตานํ อนุปฺปาทา วา ปญฺญายนฺติฯ อนตฺตลกฺขณํ วินา พุทฺธุปฺปาทา น ปญฺญายติ, พุทฺธุปฺปาเทเยว ปญฺญายติฯ มหิทฺธิกา หิ มหานุภาวา ตาปสปริพฺพาชกา สรภงฺคสตฺถาราทโยปิ ‘อนิจฺจํ ทุกฺข’นฺติ วตฺตุํ สโกฺกนฺติ, ‘อนตฺตา’ติ วตฺตุํ น สโกฺกนฺติฯ สเจ หิ เต สมฺปตฺตปริสาย อนตฺตาติ วตฺตุํ สกฺกุเณยฺยุํ, สมฺปตฺตปริสาย มคฺคผลปฎิเวโธ ภเวยฺยฯ อนตฺตลกฺขณปญฺญาปนญฺหิ อญฺญสฺส กสฺสจิ อวิสโย, สพฺพญฺญุพุทฺธานเมว วิสโยฯ เอวเมตํ อนตฺตลกฺขณํ อปากฎํฯ ตสฺมา สตฺถา อนตฺตลกฺขณํ ทเสฺสโนฺต อนิเจฺจน วา ทเสฺสสิ, ทุเกฺขน วา, อนิจฺจทุเกฺขหิ วาฯ อิธ ปน ตํ อนิจฺจทุเกฺขหิ ทเสฺสสีติ เวทิตพฺพํฯ

    Hatthato hi taṭṭake vā sarake vā kismiñcideva vā patitvā bhinne ‘aho anicca’nti vadanti. Evaṃ aniccaṃ pākaṭaṃ nāma. Attabhāvasmiṃ pana gaṇḍapiḷakādīsu vā uṭṭhitāsu khāṇukaṇṭakādīhi vā viddhāsu ‘aho dukkha’nti vadanti. Evaṃ dukkhaṃ pākaṭaṃ nāma. Anattalakkhaṇaṃ apākaṭaṃ andhakāraṃ avibhūtaṃ duppaṭivijjhaṃ duddīpanaṃ duppaññāpanaṃ . Aniccadukkhalakkhaṇāni uppādā vā tathāgatānaṃ anuppādā vā paññāyanti. Anattalakkhaṇaṃ vinā buddhuppādā na paññāyati, buddhuppādeyeva paññāyati. Mahiddhikā hi mahānubhāvā tāpasaparibbājakā sarabhaṅgasatthārādayopi ‘aniccaṃ dukkha’nti vattuṃ sakkonti, ‘anattā’ti vattuṃ na sakkonti. Sace hi te sampattaparisāya anattāti vattuṃ sakkuṇeyyuṃ, sampattaparisāya maggaphalapaṭivedho bhaveyya. Anattalakkhaṇapaññāpanañhi aññassa kassaci avisayo, sabbaññubuddhānameva visayo. Evametaṃ anattalakkhaṇaṃ apākaṭaṃ. Tasmā satthā anattalakkhaṇaṃ dassento aniccena vā dassesi, dukkhena vā, aniccadukkhehi vā. Idha pana taṃ aniccadukkhehi dassesīti veditabbaṃ.

    อิมานิ ปน ลกฺขณานิ กิสฺส อมนสิการา อปฺปฎิเวธา, เกน ปฎิจฺฉนฺนตฺตา, น อุปฎฺฐหนฺติ? อนิจฺจลกฺขณํ ตาว อุทยพฺพยานํ อมนสิการา อปฺปฎิเวธา, สนฺตติยา ปฎิจฺฉนฺนตฺตา, น อุปฎฺฐาติฯ ทุกฺขลกฺขณํ อภิณฺหสมฺปฎิปีฬนสฺส อมนสิการา อปฺปฎิเวธา, อิริยาปเถหิ ปฎิจฺฉนฺนตฺตา, น อุปฎฺฐาติฯ อนตฺตลกฺขณํ นานาธาตุวินิโพฺภคสฺส อมนสิการา อปฺปฎิเวธา, ฆเนน ปฎิจฺฉนฺนตฺตา, น อุปฎฺฐาติฯ อุทยพฺพยํ ปน ปริคฺคเหตฺวา สนฺตติยา วิโกปิตาย อนิจฺจลกฺขณํ ยาถาวสรสโต อุปฎฺฐาติฯ อภิณฺหสมฺปฎิปีฬนํ มนสิกตฺวา อิริยาปเถ อุคฺฆาฎิเต ทุกฺขลกฺขณํ ยาถาวสรสโต อุปฎฺฐาติฯ นานาธาตุโย วินิพฺภุชิตฺวา ฆนวินิโพฺภเค กเต อนตฺตลกฺขณํ ยาถาวสรสโต อุปฎฺฐาติฯ

    Imāni pana lakkhaṇāni kissa amanasikārā appaṭivedhā, kena paṭicchannattā, na upaṭṭhahanti? Aniccalakkhaṇaṃ tāva udayabbayānaṃ amanasikārā appaṭivedhā, santatiyā paṭicchannattā, na upaṭṭhāti. Dukkhalakkhaṇaṃ abhiṇhasampaṭipīḷanassa amanasikārā appaṭivedhā, iriyāpathehi paṭicchannattā, na upaṭṭhāti. Anattalakkhaṇaṃ nānādhātuvinibbhogassa amanasikārā appaṭivedhā, ghanena paṭicchannattā, na upaṭṭhāti. Udayabbayaṃ pana pariggahetvā santatiyā vikopitāya aniccalakkhaṇaṃ yāthāvasarasato upaṭṭhāti. Abhiṇhasampaṭipīḷanaṃ manasikatvā iriyāpathe ugghāṭite dukkhalakkhaṇaṃ yāthāvasarasato upaṭṭhāti. Nānādhātuyo vinibbhujitvā ghanavinibbhoge kate anattalakkhaṇaṃ yāthāvasarasato upaṭṭhāti.

    เอตฺถ จ อนิจฺจํ อนิจฺจลกฺขณํ, ทุกฺขํ ทุกฺขลกฺขณํ, อนตฺตา อนตฺตลกฺขณนฺติ อยํ วิภาโค เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ อนิจฺจนฺติ ขนฺธปญฺจกํฯ กสฺมา? อุปฺปาทวยญฺญถตฺตภาวา, หุตฺวา อภาวโต วา; อุปฺปาทวยญฺญถตฺตํ อนิจฺจลกฺขณํ, หุตฺวา อภาวสงฺขาโต อาการวิกาโร วาฯ ‘‘ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺข’’นฺติ วจนโต ปน ตเทว ขนฺธปญฺจกํ ทุกฺขํฯ กสฺมา? อภิณฺหสมฺปฎิปีฬนโต; อภิณฺหสมฺปฎิปีฬนากาโร ทุกฺขลกฺขณํฯ ‘‘ยํ ทุกฺขํ ตํ อนตฺตา’’ติ ปน วจนโต ตเทว ขนฺธปญฺจกํ อนตฺตาฯ กสฺมา? อวสวตฺตนโต; อวสวตฺตนากาโร อนตฺตลกฺขณํฯ อิติ อญฺญเทว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา, อญฺญานิ อนิจฺจทุกฺขานตฺตลกฺขณานิฯ ปญฺจกฺขนฺธา, ทฺวาทสายตนานิ, อฎฺฐารส ธาตุโยติ อิทญฺหิ สพฺพมฺปิ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นามฯ วุตฺตปฺปการาการวิการา อนิจฺจทุกฺขานตฺตลกฺขณานีติฯ

    Ettha ca aniccaṃ aniccalakkhaṇaṃ, dukkhaṃ dukkhalakkhaṇaṃ, anattā anattalakkhaṇanti ayaṃ vibhāgo veditabbo. Tattha aniccanti khandhapañcakaṃ. Kasmā? Uppādavayaññathattabhāvā, hutvā abhāvato vā; uppādavayaññathattaṃ aniccalakkhaṇaṃ, hutvā abhāvasaṅkhāto ākāravikāro vā. ‘‘Yadaniccaṃ taṃ dukkha’’nti vacanato pana tadeva khandhapañcakaṃ dukkhaṃ. Kasmā? Abhiṇhasampaṭipīḷanato; abhiṇhasampaṭipīḷanākāro dukkhalakkhaṇaṃ. ‘‘Yaṃ dukkhaṃ taṃ anattā’’ti pana vacanato tadeva khandhapañcakaṃ anattā. Kasmā? Avasavattanato; avasavattanākāro anattalakkhaṇaṃ. Iti aññadeva aniccaṃ dukkhaṃ anattā, aññāni aniccadukkhānattalakkhaṇāni. Pañcakkhandhā, dvādasāyatanāni, aṭṭhārasa dhātuyoti idañhi sabbampi aniccaṃ dukkhaṃ anattā nāma. Vuttappakārākāravikārā aniccadukkhānattalakkhaṇānīti.

    สเงฺขปโต ปเนตฺถ ทสายตนานิ กามาวจรานิ, เทฺว เตภูมกานิฯ สเพฺพสุปิ สมฺมสนจาโร กถิโตติ เวทิตโพฺพฯ

    Saṅkhepato panettha dasāyatanāni kāmāvacarāni, dve tebhūmakāni. Sabbesupi sammasanacāro kathitoti veditabbo.

    สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนาฯ

    Suttantabhājanīyavaṇṇanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๒. อายตนวิภโงฺค • 2. Āyatanavibhaṅgo

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā / ๒. อายตนวิภโงฺค • 2. Āyatanavibhaṅgo


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact