Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā |
๔. สจฺจวิภโงฺค
4. Saccavibhaṅgo
๑. สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา
1. Suttantabhājanīyavaṇṇanā
๑๘๙. อิทานิ ตทนนฺตเร สจฺจวิภเงฺค จตฺตารีติ คณนปริเจฺฉโทฯ อริยสจฺจานีติ ปริจฺฉินฺนธมฺมนิทสฺสนํฯ ทุกฺขํ อริยสจฺจนฺติอาทิมฺหิ ปน อุเทฺทสวาเร –
189. Idāni tadanantare saccavibhaṅge cattārīti gaṇanaparicchedo. Ariyasaccānīti paricchinnadhammanidassanaṃ. Dukkhaṃ ariyasaccantiādimhi pana uddesavāre –
วิภาคโต นิพฺพจน-ลกฺขณาทิปฺปเภทโต;
Vibhāgato nibbacana-lakkhaṇādippabhedato;
อตฺถตฺถุทฺธารโต เจว, อนูนาธิกโต ตถาฯ
Atthatthuddhārato ceva, anūnādhikato tathā.
กมโต อริยสเจฺจสุ, ยํ ญาณํ ตสฺส กิจฺจโต;
Kamato ariyasaccesu, yaṃ ñāṇaṃ tassa kiccato;
อโนฺตคธานํ ปเภโท, อุปมาโต จตุกฺกโตฯ
Antogadhānaṃ pabhedo, upamāto catukkato.
สุญฺญเตกวิธาทีหิ, สภาควิสภาคโต;
Suññatekavidhādīhi, sabhāgavisabhāgato;
วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพ, วิญฺญุนา สาสนกฺกเมฯ
Vinicchayo veditabbo, viññunā sāsanakkame.
ตตฺถ ‘วิภาคโต’ติ ทุกฺขาทีนญฺหิ จตฺตาโร จตฺตาโร อตฺถา วิภตฺตา ตถา อวิตถา อนญฺญถา, เย ทุกฺขาทีนิ อภิสเมเนฺตหิ อภิสเมตพฺพาฯ ยถาห, ‘‘ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ, สงฺขตโฎฺฐ, สนฺตาปโฎฺฐ, วิปริณามโฎฺฐ – อิเม จตฺตาโร ทุกฺขสฺส ทุกฺขฎฺฐา ตถา อวิตถา อนญฺญถาฯ สมุทยสฺส อายูหนโฎฺฐ, นิทานโฎฺฐ, สํโยคโฎฺฐ, ปลิโพธโฎฺฐ…เป.… นิโรธสฺส นิสฺสรณโฎฺฐ, วิเวกโฎฺฐ, อสงฺขตโฎฺฐ, อมตโฎฺฐ…เป.… มคฺคสฺส นิยฺยานโฎฺฐ, เหตฺวโฎฺฐ, ทสฺสนโฎฺฐ, อาธิปเตยฺยโฎฺฐ – อิเม จตฺตาโร มคฺคสฺส มคฺคฎฺฐา ตถา อวิตถา อนญฺญถา’’ติ (ปฎิ. ม. ๒.๘)ฯ ตถา ‘‘ทุกฺขสฺส ปีฬนโฎฺฐ, สงฺขตโฎฺฐ, สนฺตาปโฎฺฐ, วิปรินามโฎฺฐ, อภิสมยโฎฺฐ’’ติ (ปฎิ. ม. ๒.๑๑) เอวมาทิฯ อิติ เอวํ วิภตฺตานํ จตุนฺนํ จตุนฺนํ อตฺถานํ วเสน ทุกฺขาทีนิ เวทิตพฺพานีติฯ อยํ ตาเวตฺถ วิภาคโต วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
Tattha ‘vibhāgato’ti dukkhādīnañhi cattāro cattāro atthā vibhattā tathā avitathā anaññathā, ye dukkhādīni abhisamentehi abhisametabbā. Yathāha, ‘‘dukkhassa pīḷanaṭṭho, saṅkhataṭṭho, santāpaṭṭho, vipariṇāmaṭṭho – ime cattāro dukkhassa dukkhaṭṭhā tathā avitathā anaññathā. Samudayassa āyūhanaṭṭho, nidānaṭṭho, saṃyogaṭṭho, palibodhaṭṭho…pe… nirodhassa nissaraṇaṭṭho, vivekaṭṭho, asaṅkhataṭṭho, amataṭṭho…pe… maggassa niyyānaṭṭho, hetvaṭṭho, dassanaṭṭho, ādhipateyyaṭṭho – ime cattāro maggassa maggaṭṭhā tathā avitathā anaññathā’’ti (paṭi. ma. 2.8). Tathā ‘‘dukkhassa pīḷanaṭṭho, saṅkhataṭṭho, santāpaṭṭho, viparināmaṭṭho, abhisamayaṭṭho’’ti (paṭi. ma. 2.11) evamādi. Iti evaṃ vibhattānaṃ catunnaṃ catunnaṃ atthānaṃ vasena dukkhādīni veditabbānīti. Ayaṃ tāvettha vibhāgato vinicchayo veditabbo.
‘นิพฺพจนลกฺขณาทิปฺปเภทโต’ติ เอตฺถ ปน ‘นิพฺพจนโต’ ตาว อิธ ‘ทุ’อิติ อยํ สโทฺท กุจฺฉิเต ทิสฺสติ; กุจฺฉิตญฺหิ ปุตฺตํ ทุปุโตฺตติ วทนฺติฯ ‘ขํ’สโทฺท ปน ตุเจฺฉ; ตุจฺฉญฺหิ อากาสํ ขนฺติ วุจฺจติฯ อิทญฺจ ปฐมสจฺจํ กุจฺฉิตํ อเนกอุปทฺทวาธิฎฺฐานโต, ตุจฺฉํ พาลชนปริกปฺปิตธุวสุภสุขตฺตภาววิรหิตโตฯ ตสฺมา กุจฺฉิตตฺตา ตุจฺฉตฺตา จ ทุกฺขนฺติ วุจฺจติฯ ‘สํ’อิติ จ อยํ สโทฺท ‘‘สมาคโม สเมต’’นฺติอาทีสุ (วิภ. ๑๙๙; ที. นิ. ๒.๓๙๖) สํโยคํ ทีเปติ; ‘อุ’อิติ อยํ สโทฺท ‘‘อุปฺปนฺนํ อุทิต’’นฺติอาทีสุ (ปารา. ๑๗๒; จูฬนิ. ขคฺควิสาณสุตฺตนิเทฺทส ๑๔๑) อุปฺปตฺติํฯ ‘อย’สโทฺท ปน การณํ ทีเปติฯ อิทญฺจาปิ ทุติยสจฺจํ อวเสสปจฺจยสมาโยเค สติ ทุกฺขสฺสุปฺปตฺติการณํฯ อิติ ทุกฺขสฺส สํโยเค อุปฺปตฺติการณตฺตา ทุกฺขสมุทยนฺติ วุจฺจติฯ
‘Nibbacanalakkhaṇādippabhedato’ti ettha pana ‘nibbacanato’ tāva idha ‘du’iti ayaṃ saddo kucchite dissati; kucchitañhi puttaṃ duputtoti vadanti. ‘Khaṃ’saddo pana tucche; tucchañhi ākāsaṃ khanti vuccati. Idañca paṭhamasaccaṃ kucchitaṃ anekaupaddavādhiṭṭhānato, tucchaṃ bālajanaparikappitadhuvasubhasukhattabhāvavirahitato. Tasmā kucchitattā tucchattā ca dukkhanti vuccati. ‘Saṃ’iti ca ayaṃ saddo ‘‘samāgamo sameta’’ntiādīsu (vibha. 199; dī. ni. 2.396) saṃyogaṃ dīpeti; ‘u’iti ayaṃ saddo ‘‘uppannaṃ udita’’ntiādīsu (pārā. 172; cūḷani. khaggavisāṇasuttaniddesa 141) uppattiṃ. ‘Aya’saddo pana kāraṇaṃ dīpeti. Idañcāpi dutiyasaccaṃ avasesapaccayasamāyoge sati dukkhassuppattikāraṇaṃ. Iti dukkhassa saṃyoge uppattikāraṇattā dukkhasamudayanti vuccati.
ตติยสจฺจํ ปน ยสฺมา ‘นิ’สโทฺท อภาวํ ‘โรธ’สโทฺท จ จารกํ ทีเปติ, ตสฺมา อภาโว เอตฺถ สํสารจารกสงฺขาตสฺส ทุกฺขโรธสฺส สพฺพคติสุญฺญตฺตา, สมธิคเต วา ตสฺมิํ สํสารจารกสงฺขาตสฺส ทุกฺขโรธสฺส อภาโว โหติ ตปฺปฎิปกฺขตฺตาติปิ ทุกฺขนิโรธนฺติ วุจฺจติ, ทุกฺขสฺส วา อนุปฺปาทนิโรธปจฺจยตฺตา ทุกฺขนิโรธนฺติฯ จตุตฺถสจฺจํ ปน ยสฺมา เอตํ ทุกฺขนิโรธํ คจฺฉติ อารมฺมณวเสน ตทภิมุขีภูตตฺตา, ปฎิปทา จ โหติ ทุกฺขนิโรธปฺปตฺติยา, ตสฺมา ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทาติ วุจฺจติฯ
Tatiyasaccaṃ pana yasmā ‘ni’saddo abhāvaṃ ‘rodha’saddo ca cārakaṃ dīpeti, tasmā abhāvo ettha saṃsāracārakasaṅkhātassa dukkharodhassa sabbagatisuññattā, samadhigate vā tasmiṃ saṃsāracārakasaṅkhātassa dukkharodhassa abhāvo hoti tappaṭipakkhattātipi dukkhanirodhanti vuccati, dukkhassa vā anuppādanirodhapaccayattā dukkhanirodhanti. Catutthasaccaṃ pana yasmā etaṃ dukkhanirodhaṃ gacchati ārammaṇavasena tadabhimukhībhūtattā, paṭipadā ca hoti dukkhanirodhappattiyā, tasmā dukkhanirodhagāminī paṭipadāti vuccati.
ยสฺมา ปเนตานิ พุทฺธาทโย อริยา ปฎิวิชฺฌนฺติ, ตสฺมา อริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺติฯ ยถาห – ‘‘จตาริมานิ, ภิกฺขเว, อริยสจฺจานิ (สํ. นิ. ๕.๑๐๙๗)ฯ กตมานิ…เป.… อิมานิ โข, ภิกฺขเว, จตฺตาริ อริยสจฺจานิฯ อริยา อิมานิ ปฎิวิชฺฌนฺติ, ตสฺมา อริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺตี’’ติฯ อปิจ อริยสฺส สจฺจานีติปิ อริยสจฺจานิฯ ยถาห – ‘‘สเทวเก, ภิกฺขเว, โลเก…เป.… สเทวมนุสฺสาย ตถาคโต อริโย, ตสฺมา อริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺตี’’ติฯ อถ วา เอเตสํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา อริยภาวสิทฺธิโตปิ อริยสจฺจานิฯ ยถาห – ‘‘อิเมสํ โข, ภิกฺขเว, จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ ยถาภูตํ อภิสมฺพุทฺธตฺตา ตถาคโต อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธ ‘อริโย’ติ วุจฺจตี’’ติฯ อปิจ โข ปน อริยานิ สจฺจานีติปิ อริยสจฺจานิ; อริยานีติ ตถานิ อวิตถานิ อวิสํวาทกานีติ อโตฺถฯ ยถาห – ‘‘อิมานิ โข, ภิกฺขเว, จตฺตาริ อริยสจฺจานิ ตถานิ อวิตถานิ อนญฺญถานิ, ตสฺมา อริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺตี’’ติฯ เอวเมตฺถ นิพฺพจนโต วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
Yasmā panetāni buddhādayo ariyā paṭivijjhanti, tasmā ariyasaccānīti vuccanti. Yathāha – ‘‘catārimāni, bhikkhave, ariyasaccāni (saṃ. ni. 5.1097). Katamāni…pe… imāni kho, bhikkhave, cattāri ariyasaccāni. Ariyā imāni paṭivijjhanti, tasmā ariyasaccānīti vuccantī’’ti. Apica ariyassa saccānītipi ariyasaccāni. Yathāha – ‘‘sadevake, bhikkhave, loke…pe… sadevamanussāya tathāgato ariyo, tasmā ariyasaccānīti vuccantī’’ti. Atha vā etesaṃ abhisambuddhattā ariyabhāvasiddhitopi ariyasaccāni. Yathāha – ‘‘imesaṃ kho, bhikkhave, catunnaṃ ariyasaccānaṃ yathābhūtaṃ abhisambuddhattā tathāgato arahaṃ sammāsambuddho ‘ariyo’ti vuccatī’’ti. Apica kho pana ariyāni saccānītipi ariyasaccāni; ariyānīti tathāni avitathāni avisaṃvādakānīti attho. Yathāha – ‘‘imāni kho, bhikkhave, cattāri ariyasaccāni tathāni avitathāni anaññathāni, tasmā ariyasaccānīti vuccantī’’ti. Evamettha nibbacanato vinicchayo veditabbo.
กถํ ‘ลกฺขณาทิปฺปเภทโต’? เอตฺถ หิ พาธนลกฺขณํ ทุกฺขสจฺจํ, สนฺตาปนรสํ, ปวตฺติปจฺจุปฎฺฐานํฯ ปภวลกฺขณํ สมุทยสจฺจํ, อนุปเจฺฉทกรณรสํ, ปลิโพธปจฺจุปฎฺฐานํฯ สนฺติลกฺขณํ นิโรธสจฺจํ, อจฺจุติรสํ, อนิมิตฺตปจฺจุปฎฺฐานํ ฯ นิยฺยานลกฺขณํ มคฺคสจฺจํ, กิเลสปฺปหานกรณรสํ, วุฎฺฐานปจฺจุปฎฺฐานํฯ อปิจ ปวตฺติปวตฺตกนิวตฺตินิวตฺตกลกฺขณานิ ปฎิปาฎิยาฯ ตถา สงฺขตตณฺหาอสงฺขตทสฺสนลกฺขณานิ จาติ เอวเมตฺถ ‘ลกฺขณาทิปฺปเภทโต’ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
Kathaṃ ‘lakkhaṇādippabhedato’? Ettha hi bādhanalakkhaṇaṃ dukkhasaccaṃ, santāpanarasaṃ, pavattipaccupaṭṭhānaṃ. Pabhavalakkhaṇaṃ samudayasaccaṃ, anupacchedakaraṇarasaṃ, palibodhapaccupaṭṭhānaṃ. Santilakkhaṇaṃ nirodhasaccaṃ, accutirasaṃ, animittapaccupaṭṭhānaṃ . Niyyānalakkhaṇaṃ maggasaccaṃ, kilesappahānakaraṇarasaṃ, vuṭṭhānapaccupaṭṭhānaṃ. Apica pavattipavattakanivattinivattakalakkhaṇāni paṭipāṭiyā. Tathā saṅkhatataṇhāasaṅkhatadassanalakkhaṇāni cāti evamettha ‘lakkhaṇādippabhedato’ vinicchayo veditabbo.
‘อตฺถตฺถุทฺธารโต เจวา’ติ เอตฺถ ปน อตฺถโต ตาว โก สจฺจโฎฺฐติ เจ? โย ปญฺญาจกฺขุนา อุปปริกฺขมานานํ มายาว วิปรีตโก, มรีจีว วิสํวาทโก, ติตฺถิยานํ อตฺตาว อนุปลพฺภสภาโว จ น โหติ; อถ โข พาธนปภวสนฺตินิยฺยานปฺปกาเรน ตจฺฉาวิปรีตภูตภาเวน อริยญาณสฺส โคจโร โหติเยว; เอส อคฺคิลกฺขณํ วิย, โลกปกติ วิย จ ตจฺฉาวิปรีตภูตภาโว สจฺจโฎฺฐติ เวทิตโพฺพฯ ยถาห – ‘‘อิทํ ทุกฺขนฺติ โข, ภิกฺขเว, ตถเมตํ อวิตถเมตํ อนญฺญถเมต’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๙๐) วิตฺถาโรฯ อปิจ –
‘Atthatthuddhārato cevā’ti ettha pana atthato tāva ko saccaṭṭhoti ce? Yo paññācakkhunā upaparikkhamānānaṃ māyāva viparītako, marīcīva visaṃvādako, titthiyānaṃ attāva anupalabbhasabhāvo ca na hoti; atha kho bādhanapabhavasantiniyyānappakārena tacchāviparītabhūtabhāvena ariyañāṇassa gocaro hotiyeva; esa aggilakkhaṇaṃ viya, lokapakati viya ca tacchāviparītabhūtabhāvo saccaṭṭhoti veditabbo. Yathāha – ‘‘idaṃ dukkhanti kho, bhikkhave, tathametaṃ avitathametaṃ anaññathameta’’nti (saṃ. ni. 5.1090) vitthāro. Apica –
นาพาธกํ ยโต ทุกฺขํ, ทุกฺขา อญฺญํ น พาธกํ;
Nābādhakaṃ yato dukkhaṃ, dukkhā aññaṃ na bādhakaṃ;
พาธกตฺตนิยาเมน, ตโต สจฺจมิทํ มตํฯ
Bādhakattaniyāmena, tato saccamidaṃ mataṃ.
ตํ วินา นาญฺญโต ทุกฺขํ, น โหติ น จ ตํ ตโต;
Taṃ vinā nāññato dukkhaṃ, na hoti na ca taṃ tato;
ทุกฺขเหตุนิยาเมน, อิติ สจฺจํ วิสตฺติกาฯ
Dukkhahetuniyāmena, iti saccaṃ visattikā.
นาญฺญา นิพฺพานโต สนฺติ, สนฺตํ น จ น ตํ ยโต;
Nāññā nibbānato santi, santaṃ na ca na taṃ yato;
สนฺตภาวนิยาเมน, ตโต สจฺจมิทํ มตํฯ
Santabhāvaniyāmena, tato saccamidaṃ mataṃ.
มคฺคา อญฺญํ น นิยฺยานํ, อนิยฺยาโน น จาปิ โส;
Maggā aññaṃ na niyyānaṃ, aniyyāno na cāpi so;
ตจฺฉนิยฺยานภาวตฺตา, อิติ โส สจฺจสมฺมโตฯ
Tacchaniyyānabhāvattā, iti so saccasammato.
อิติ ตจฺฉาวิปลฺลาส-ภูตภาวํ จตูสุปิ;
Iti tacchāvipallāsa-bhūtabhāvaṃ catūsupi;
ทุกฺขาทีสฺววิเสเสน, สจฺจฎฺฐํ อาหุ ปณฺฑิตาติฯ
Dukkhādīsvavisesena, saccaṭṭhaṃ āhu paṇḍitāti.
เอวํ ‘อตฺถโต’ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
Evaṃ ‘atthato’ vinicchayo veditabbo.
กถํ ‘อตฺถุทฺธารโต’? อิธายํ ‘สจฺจ’สโทฺท อเนเกสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติ, เสยฺยถิทํ – ‘‘สจฺจํ ภเณ, น กุเชฺฌยฺยา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๒๒๔) วาจาสเจฺจฯ ‘‘สเจฺจ ฐิตา สมณพฺราหฺมณา จา’’ติอาทีสุ (ชา. ๒.๒๑.๔๓๓) วิรติสเจฺจฯ ‘‘กสฺมา นุ สจฺจานิ วทนฺติ นานา, ปวาทิยาเส กุสลาวทานา’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๘๙๑) ทิฎฺฐิสเจฺจฯ ‘‘เอกญฺหิ สจฺจํ น ทุติยมตฺถี’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๘๙๐) ปรมตฺถสเจฺจ นิพฺพาเน เจว มเคฺค จฯ ‘‘จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ กติ กุสลา’’ติอาทีสุ (วิภ. ๒๑๖) อริยสเจฺจฯ สฺวายมิธาปิ อริยสเจฺจ วตฺตตีติ เอวเมตฺถ ‘อตฺถุทฺธารโต’ปิ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
Kathaṃ ‘atthuddhārato’? Idhāyaṃ ‘sacca’saddo anekesu atthesu dissati, seyyathidaṃ – ‘‘saccaṃ bhaṇe, na kujjheyyā’’tiādīsu (dha. pa. 224) vācāsacce. ‘‘Sacce ṭhitā samaṇabrāhmaṇā cā’’tiādīsu (jā. 2.21.433) viratisacce. ‘‘Kasmā nu saccāni vadanti nānā, pavādiyāse kusalāvadānā’’tiādīsu (su. ni. 891) diṭṭhisacce. ‘‘Ekañhi saccaṃ na dutiyamatthī’’tiādīsu (su. ni. 890) paramatthasacce nibbāne ceva magge ca. ‘‘Catunnaṃ ariyasaccānaṃ kati kusalā’’tiādīsu (vibha. 216) ariyasacce. Svāyamidhāpi ariyasacce vattatīti evamettha ‘atthuddhārato’pi vinicchayo veditabbo.
‘อนูนาธิกโต’ติ กสฺมา ปน จตฺตาเรว อริยสจฺจานิ วุตฺตานิ, อนูนานิ อนธิกานีติ เจ? อญฺญสฺสาสมฺภวโต, อญฺญตรสฺส จ อนปเนยฺยภาวโต; น หิ เอเตหิ อญฺญํ อธิกํ วา เอเตสํ วา เอกมฺปิ อปเนตพฺพํ สโมฺภติฯ ยถาห – ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, อาคเจฺฉยฺย สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา ‘เนตํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ, อญฺญํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ยํ สมเณน โคตเมน เทสิตํฯ อหเมตํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ฐเปตฺวา อญฺญํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปญฺญเปสฺสามี’ติ เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติอาทิฯ ยถา จาห – ‘‘โย หิ โกจิ, ภิกฺขเว, สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา เอวํ วเทยฺย ‘เนตํ ทุกฺขํ ปฐมํ อริยสจฺจํ, ยํ สมเณน โคตเมน เทสิตํฯ อหเมตํ ทุกฺขํ ปฐมํ อริยสจฺจํ ปจฺจกฺขาย อญฺญํ ทุกฺขํ ปฐมํ อริยสจฺจํ ปญฺญเปสฺสามี’ติ เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติอาทิ (สํ. นิ. ๕.๑๐๘๖)ฯ
‘Anūnādhikato’ti kasmā pana cattāreva ariyasaccāni vuttāni, anūnāni anadhikānīti ce? Aññassāsambhavato, aññatarassa ca anapaneyyabhāvato; na hi etehi aññaṃ adhikaṃ vā etesaṃ vā ekampi apanetabbaṃ sambhoti. Yathāha – ‘‘idha, bhikkhave, āgaccheyya samaṇo vā brāhmaṇo vā ‘netaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ, aññaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ yaṃ samaṇena gotamena desitaṃ. Ahametaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ ṭhapetvā aññaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ paññapessāmī’ti netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’tiādi. Yathā cāha – ‘‘yo hi koci, bhikkhave, samaṇo vā brāhmaṇo vā evaṃ vadeyya ‘netaṃ dukkhaṃ paṭhamaṃ ariyasaccaṃ, yaṃ samaṇena gotamena desitaṃ. Ahametaṃ dukkhaṃ paṭhamaṃ ariyasaccaṃ paccakkhāya aññaṃ dukkhaṃ paṭhamaṃ ariyasaccaṃ paññapessāmī’ti netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’tiādi (saṃ. ni. 5.1086).
อปิจ ปวตฺติมาจิกฺขโนฺต ภควา สเหตุกํ อาจิกฺขิ, นิวตฺติญฺจ สอุปายํฯ อิติ ปวตฺตินิวตฺติตทุภยเหตูนํ เอตปฺปรมโต จตฺตาเรว วุตฺตานิฯ ตถา ปริเญฺญยฺย ปหาตพฺพ สจฺฉิกาตพฺพ ภาเวตพฺพานํ, ตณฺหาวตฺถุตณฺหาตณฺหานิโรธตณฺหานิโรธุปายานํ, อาลยาลยรามตาอาลยสมุคฺฆาตอาลยสมุคฺฆาตูปายานญฺจ วเสนาปิ จตฺตาเรว วุตฺตานีติฯ เอวเมตฺถ ‘อนูนาธิกโต’ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
Apica pavattimācikkhanto bhagavā sahetukaṃ ācikkhi, nivattiñca saupāyaṃ. Iti pavattinivattitadubhayahetūnaṃ etapparamato cattāreva vuttāni. Tathā pariññeyya pahātabba sacchikātabba bhāvetabbānaṃ, taṇhāvatthutaṇhātaṇhānirodhataṇhānirodhupāyānaṃ, ālayālayarāmatāālayasamugghātaālayasamugghātūpāyānañca vasenāpi cattāreva vuttānīti. Evamettha ‘anūnādhikato’ vinicchayo veditabbo.
‘กมโต’ติ อยมฺปิ เทสนากฺกโมวฯ เอตฺถ จ โอฬาริกตฺตา สพฺพสตฺตสาธารณตฺตา จ สุวิเญฺญยฺยนฺติ ทุกฺขสจฺจํ ปฐมํ วุตฺตํ, ตเสฺสว เหตุทสฺสนตฺถํ ตทนนฺตรํ สมุทยสจฺจํ, เหตุนิโรธา ผลนิโรโธติ ญาปนตฺถํ ตโต นิโรธสจฺจํ, ตทธิคมุปายทสฺสนตฺถํ อเนฺต มคฺคสจฺจํฯ ภวสุขสฺสาทคธิตานํ วา สตฺตานํ สํเวคชนนตฺถํ ปฐมํ ทุกฺขมาหฯ ตํ เนว อกตํ อาคจฺฉติ, น อิสฺสรนิมฺมานาทิโต โหติ, อิโต ปน โหตีติ ญาปนตฺถํ ตทนนฺตรํ สมุทยํฯ ตโต สเหตุเกน ทุเกฺขน อภิภูตตฺตา สํวิคฺคมานสานํ ทุกฺขนิสฺสรณคเวสีนํ นิสฺสรณทสฺสเนน อสฺสาสชนนตฺถํ นิโรธํฯ ตโต นิโรธาธิคมตฺถํ นิโรธสมฺปาปกํ มคฺคนฺติ เอวเมตฺถ ‘กมโต’ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
‘Kamato’ti ayampi desanākkamova. Ettha ca oḷārikattā sabbasattasādhāraṇattā ca suviññeyyanti dukkhasaccaṃ paṭhamaṃ vuttaṃ, tasseva hetudassanatthaṃ tadanantaraṃ samudayasaccaṃ, hetunirodhā phalanirodhoti ñāpanatthaṃ tato nirodhasaccaṃ, tadadhigamupāyadassanatthaṃ ante maggasaccaṃ. Bhavasukhassādagadhitānaṃ vā sattānaṃ saṃvegajananatthaṃ paṭhamaṃ dukkhamāha. Taṃ neva akataṃ āgacchati, na issaranimmānādito hoti, ito pana hotīti ñāpanatthaṃ tadanantaraṃ samudayaṃ. Tato sahetukena dukkhena abhibhūtattā saṃviggamānasānaṃ dukkhanissaraṇagavesīnaṃ nissaraṇadassanena assāsajananatthaṃ nirodhaṃ. Tato nirodhādhigamatthaṃ nirodhasampāpakaṃ magganti evamettha ‘kamato’ vinicchayo veditabbo.
‘อริยสเจฺจสุ ยํ ญาณํ ตสฺส กิจฺจโต’ติ สจฺจญาณกิจฺจโตปิ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพติ อโตฺถฯ ทุวิธญฺหิ สจฺจญาณํ – อนุโพธญาณญฺจ ปฎิเวธญาณญฺจฯ ตตฺถ อนุโพธญาณํ โลกิยํ อนุสฺสวาทิวเสน นิโรเธ มเคฺค จ ปวตฺตติฯ ปฎิเวธญาณํ โลกุตฺตรํ นิโรธารมฺมณํ กตฺวา กิจฺจโต จตฺตาริปิ สจฺจานิ ปฎิวิชฺฌติฯ ยถาห – ‘‘โย, ภิกฺขเว, ทุกฺขํ ปสฺสติ ทุกฺขสมุทยมฺปิ โส ปสฺสติ, ทุกฺขนิโรธมฺปิ ปสฺสติ, ทุกฺขนิโรธคามินิํ ปฎิปทมฺปิ ปสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๑๐๐) สพฺพํ วตฺตพฺพํฯ ยํ ปเนตํ โลกิยํ, ตตฺถ ทุกฺขญาณํ ปริยุฎฺฐานาภิภวนวเสน ปวตฺตมานํ สกฺกายทิฎฺฐิํ นิวเตฺตติ, สมุทยญาณํ อุเจฺฉททิฎฺฐิํ, นิโรธญาณํ สสฺสตทิฎฺฐิํ, มคฺคญาณํ อกิริยทิฎฺฐิํ; ทุกฺขญาณํ วา ธุวสุภสุขตฺตภาวรหิเตสุ ขเนฺธสุ ธุวสุภสุขตฺตภาวสญฺญาสงฺขาตํ ผเล วิปฺปฎิปตฺติํ, สมุทยญาณํ อิสฺสรปฺปธานกาลสภาวาทีหิ โลโก ปวตฺตตีติ อการเณ การณาภิมานปฺปวตฺตํ เหตุมฺหิ วิปฺปฎิปตฺติํ, นิโรธญาณํ อรูปโลกโลกถูปิกาทีสุ อปวคฺคคฺคาหภูตํ นิโรเธ วิปฺปฎิปตฺติํ, มคฺคญาณํ กามสุขลฺลิกอตฺตกิลมถานุโยคปฺปเภเท อวิสุทฺธิมเคฺค วิสุทฺธิมคฺคคฺคาหวเสน ปวตฺตํ อุปาเย วิปฺปฎิปตฺติํ นิวเตฺตติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
‘Ariyasaccesu yaṃ ñāṇaṃ tassa kiccato’ti saccañāṇakiccatopi vinicchayo veditabboti attho. Duvidhañhi saccañāṇaṃ – anubodhañāṇañca paṭivedhañāṇañca. Tattha anubodhañāṇaṃ lokiyaṃ anussavādivasena nirodhe magge ca pavattati. Paṭivedhañāṇaṃ lokuttaraṃ nirodhārammaṇaṃ katvā kiccato cattāripi saccāni paṭivijjhati. Yathāha – ‘‘yo, bhikkhave, dukkhaṃ passati dukkhasamudayampi so passati, dukkhanirodhampi passati, dukkhanirodhagāminiṃ paṭipadampi passatī’’ti (saṃ. ni. 5.1100) sabbaṃ vattabbaṃ. Yaṃ panetaṃ lokiyaṃ, tattha dukkhañāṇaṃ pariyuṭṭhānābhibhavanavasena pavattamānaṃ sakkāyadiṭṭhiṃ nivatteti, samudayañāṇaṃ ucchedadiṭṭhiṃ, nirodhañāṇaṃ sassatadiṭṭhiṃ, maggañāṇaṃ akiriyadiṭṭhiṃ; dukkhañāṇaṃ vā dhuvasubhasukhattabhāvarahitesu khandhesu dhuvasubhasukhattabhāvasaññāsaṅkhātaṃ phale vippaṭipattiṃ, samudayañāṇaṃ issarappadhānakālasabhāvādīhi loko pavattatīti akāraṇe kāraṇābhimānappavattaṃ hetumhi vippaṭipattiṃ, nirodhañāṇaṃ arūpalokalokathūpikādīsu apavaggaggāhabhūtaṃ nirodhe vippaṭipattiṃ, maggañāṇaṃ kāmasukhallikaattakilamathānuyogappabhede avisuddhimagge visuddhimaggaggāhavasena pavattaṃ upāye vippaṭipattiṃ nivatteti. Tenetaṃ vuccati –
โลเก โลกปฺปภเว, โลกตฺถคเม สิเว จ ตทุปาเย;
Loke lokappabhave, lokatthagame sive ca tadupāye;
สมฺมุยฺหติ ตาว นโร, น วิชานาติ ยาว สจฺจานีติฯ
Sammuyhati tāva naro, na vijānāti yāva saccānīti.
เอวเมตฺถ ‘ญาณกิจฺจโต’ปิ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
Evamettha ‘ñāṇakiccato’pi vinicchayo veditabbo.
‘อโนฺตคธานํ ปเภทา’ติ ทุกฺขสจฺจสฺมิญฺหิ, ฐเปตฺวา ตณฺหเญฺจว อนาสวธเมฺม จ, เสสา สพฺพธมฺมา อโนฺตคธา; สมุทยสเจฺจ ฉตฺติํส ตณฺหาวิจริตานิ; นิโรธสจฺจํ อสมฺมิสฺสํ; มคฺคสเจฺจ สมฺมาทิฎฺฐิมุเขน วีมํสิทฺธิปาทปญฺญินฺทฺริยปญฺญาพลธมฺมวิจยสโมฺพชฺฌงฺคานิฯ สมฺมาสงฺกปฺปาปเทเสน ตโย เนกฺขมฺมวิตกฺกาทโย, สมฺมาวาจาปเทเสน จตฺตาริ วจีสุจริตานิ, สมฺมากมฺมนฺตาปเทเสน ตีณิ กายสุจริตานิ, สมฺมาอาชีวมุเขน อปฺปิจฺฉตา สนฺตุฎฺฐิตา จ, สเพฺพสํเยว วา เอเตสํ สมฺมาวาจากมฺมนฺตาชีวานํ อริยกนฺตสีลตฺตา สีลสฺส จ สทฺธาหเตฺถน ปฎิคฺคเหตพฺพตฺตา เตสํ อตฺถิตาย จ อตฺถิภาวโต สทฺธินฺทฺริยสทฺธาพลฉนฺทิทฺธิปาทา, สมฺมาวายามาปเทเสน จตุพฺพิธสมฺมปฺปธานวีริยินฺทฺริยวีริยพลวีริยสโมฺพชฺฌงฺคานิ, สมฺมาสติอปเทเสน จตุพฺพิธสติปฎฺฐานสตินฺทฺริยสติพลสติสโมฺพชฺฌงฺคานิ, สมฺมาสมาธิอปเทเสน สวิตกฺกสวิจาราทโย ตโย ตโย สมาธี, จิตฺตสมาธิสมาธินฺทฺริยสมาธิพลปีติปสฺสทฺธิสมาธิอุเปกฺขาสโมฺพชฺฌงฺคานิ อโนฺตคธานีติฯ เอวเมตฺถ ‘อโนฺตคธานํ ปเภทา’ปิ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
‘Antogadhānaṃ pabhedā’ti dukkhasaccasmiñhi, ṭhapetvā taṇhañceva anāsavadhamme ca, sesā sabbadhammā antogadhā; samudayasacce chattiṃsa taṇhāvicaritāni; nirodhasaccaṃ asammissaṃ; maggasacce sammādiṭṭhimukhena vīmaṃsiddhipādapaññindriyapaññābaladhammavicayasambojjhaṅgāni. Sammāsaṅkappāpadesena tayo nekkhammavitakkādayo, sammāvācāpadesena cattāri vacīsucaritāni, sammākammantāpadesena tīṇi kāyasucaritāni, sammāājīvamukhena appicchatā santuṭṭhitā ca, sabbesaṃyeva vā etesaṃ sammāvācākammantājīvānaṃ ariyakantasīlattā sīlassa ca saddhāhatthena paṭiggahetabbattā tesaṃ atthitāya ca atthibhāvato saddhindriyasaddhābalachandiddhipādā, sammāvāyāmāpadesena catubbidhasammappadhānavīriyindriyavīriyabalavīriyasambojjhaṅgāni, sammāsatiapadesena catubbidhasatipaṭṭhānasatindriyasatibalasatisambojjhaṅgāni, sammāsamādhiapadesena savitakkasavicārādayo tayo tayo samādhī, cittasamādhisamādhindriyasamādhibalapītipassaddhisamādhiupekkhāsambojjhaṅgāni antogadhānīti. Evamettha ‘antogadhānaṃ pabhedā’pi vinicchayo veditabbo.
‘อุปมาโต’ติ ภาโร วิย หิ ทุกฺขสจฺจํ ทฎฺฐพฺพํ, ภาราทานมิว สมุทยสจฺจํ, ภารนิเกฺขปนมิว นิโรธสจฺจํ, ภารนิเกฺขปนูปาโย วิย มคฺคสจฺจํ; โรโค วิย จ ทุกฺขสจฺจํ, โรคนิทานมิว สมุทยสจฺจํ, โรควูปสโม วิย นิโรธสจฺจํ, เภสชฺชมิว มคฺคสจฺจํ; ทุพฺภิกฺขมิว วา ทุกฺขสจฺจํ, ทุพฺพุฎฺฐิ วิย สมุทยสจฺจํ, สุภิกฺขมิว นิโรธสจฺจํ , สุวุฎฺฐิ วิย มคฺคสจฺจํฯ อปิจ เวรีเวรมูลเวรสมุคฺฆาตเวรสมุคฺฆาตุปาเยหิ, วิสรุกฺขรุกฺขมูลมูลุปเจฺฉทตทุปเจฺฉทุปาเยหิ, ภยภยมูลนิพฺภยตทธิคมุปาเยหิ, โอริมตีรมโหฆปาริมตีรตํสมฺปาปกวายาเมหิ จ โยเชตฺวาเปตานิ อุปมาโต เวทิตพฺพานีติฯ เอวเมตฺถ ‘อุปมาโต’ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
‘Upamāto’ti bhāro viya hi dukkhasaccaṃ daṭṭhabbaṃ, bhārādānamiva samudayasaccaṃ, bhāranikkhepanamiva nirodhasaccaṃ, bhāranikkhepanūpāyo viya maggasaccaṃ; rogo viya ca dukkhasaccaṃ, roganidānamiva samudayasaccaṃ, rogavūpasamo viya nirodhasaccaṃ, bhesajjamiva maggasaccaṃ; dubbhikkhamiva vā dukkhasaccaṃ, dubbuṭṭhi viya samudayasaccaṃ, subhikkhamiva nirodhasaccaṃ , suvuṭṭhi viya maggasaccaṃ. Apica verīveramūlaverasamugghātaverasamugghātupāyehi, visarukkharukkhamūlamūlupacchedatadupacchedupāyehi, bhayabhayamūlanibbhayatadadhigamupāyehi, orimatīramahoghapārimatīrataṃsampāpakavāyāmehi ca yojetvāpetāni upamāto veditabbānīti. Evamettha ‘upamāto’ vinicchayo veditabbo.
‘จตุกฺกโต’ติ อตฺถิ เจตฺถ ทุกฺขํ น อริยสจฺจํ, อตฺถิ อริยสจฺจํ น ทุกฺขํ, อตฺถิ ทุกฺขเญฺจว อริยสจฺจญฺจ, อตฺถิ เนว ทุกฺขํ น อริยสจฺจํฯ เอส นโย สมุทยาทีสุฯ ตตฺถ มคฺคสมฺปยุตฺตา ธมฺมา สามญฺญผลานิ จ ‘‘ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺข’’นฺติ (สํ. นิ. ๓.๑๕) วจนโต สงฺขารทุกฺขตาย ทุกฺขํ น อริยสจฺจํฯ นิโรโธ อริยสจฺจํ น ทุกฺขํฯ อิตรํ ปน อริยสจฺจทฺวยํ สิยา ทุกฺขํ อนิจฺจโต, น ปน ยสฺส ปริญฺญาย ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสติ ตถเตฺถนฯ สพฺพากาเรน ปน อุปาทานกฺขนฺธปญฺจกํ ทุกฺขเญฺจว อริยสจฺจญฺจ อญฺญตฺร ตณฺหายฯ มคฺคสมฺปยุตฺตา ธมฺมา สามญฺญผลานิ จ ยสฺส ปริญฺญตฺถํ ภควติ พฺรหฺมจริยํ วุสฺสติ ตถเตฺถน เนว ทุกฺขํ น อริยสจฺจํฯ เอวํ สมุทยาทีสุปิ ยถาโยคํ โยเชตฺวา ‘จตุกฺกโต’เปตฺถ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
‘Catukkato’ti atthi cettha dukkhaṃ na ariyasaccaṃ, atthi ariyasaccaṃ na dukkhaṃ, atthi dukkhañceva ariyasaccañca, atthi neva dukkhaṃ na ariyasaccaṃ. Esa nayo samudayādīsu. Tattha maggasampayuttā dhammā sāmaññaphalāni ca ‘‘yadaniccaṃ taṃ dukkha’’nti (saṃ. ni. 3.15) vacanato saṅkhāradukkhatāya dukkhaṃ na ariyasaccaṃ. Nirodho ariyasaccaṃ na dukkhaṃ. Itaraṃ pana ariyasaccadvayaṃ siyā dukkhaṃ aniccato, na pana yassa pariññāya bhagavati brahmacariyaṃ vussati tathatthena. Sabbākārena pana upādānakkhandhapañcakaṃ dukkhañceva ariyasaccañca aññatra taṇhāya. Maggasampayuttā dhammā sāmaññaphalāni ca yassa pariññatthaṃ bhagavati brahmacariyaṃ vussati tathatthena neva dukkhaṃ na ariyasaccaṃ. Evaṃ samudayādīsupi yathāyogaṃ yojetvā ‘catukkato’pettha vinicchayo veditabbo.
‘สุญฺญเตกวิธาทีหี’ติ เอตฺถ สุญฺญโต ตาว ปรมเตฺถน หิ สพฺพาเนว สจฺจานิ เวทกการกนิพฺพุตคมกาภาวโต สุญฺญานีติ เวทิตพฺพานิฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
‘Suññatekavidhādīhī’ti ettha suññato tāva paramatthena hi sabbāneva saccāni vedakakārakanibbutagamakābhāvato suññānīti veditabbāni. Tenetaṃ vuccati –
ทุกฺขเมว หิ น โกจิ ทุกฺขิโต, การโก น กิริยาว วิชฺชติ;
Dukkhameva hi na koci dukkhito, kārako na kiriyāva vijjati;
อตฺถิ นิพฺพุติ น นิพฺพุโต ปุมา, มคฺคมตฺถิ คมโก น วิชฺชตีติฯ
Atthi nibbuti na nibbuto pumā, maggamatthi gamako na vijjatīti.
อถ วา –
Atha vā –
ธุวสุภสุขตฺตสุญฺญํ, ปุริมทฺวยมตฺตสุญฺญมมตปทํ;
Dhuvasubhasukhattasuññaṃ, purimadvayamattasuññamamatapadaṃ;
ธุวสุขอตฺตวิรหิโต, มโคฺค อิติ สุญฺญโต เตสุฯ
Dhuvasukhaattavirahito, maggo iti suññato tesu.
นิโรธสุญฺญานิ วา ตีณิ, นิโรโธ จ เสสตฺตยสุโญฺญฯ ผลสุโญฺญ วา เอตฺถ เหตุ สมุทเย ทุกฺขสฺสาภาวโต มเคฺค จ นิโรธสฺส, น ผเลน สคโพฺภ ปกติวาทีนํ ปกติ วิยฯ เหตุสุญฺญญฺจ ผลํ ทุกฺขสมุทยานํ นิโรธมคฺคานญฺจ อสมวายา, น เหตุสมเวตํ เหตุผลํ เหตุผลสมวายวาทีนํ ทฺวิอณุกาทีนิ วิยฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
Nirodhasuññāni vā tīṇi, nirodho ca sesattayasuñño. Phalasuñño vā ettha hetu samudaye dukkhassābhāvato magge ca nirodhassa, na phalena sagabbho pakativādīnaṃ pakati viya. Hetusuññañca phalaṃ dukkhasamudayānaṃ nirodhamaggānañca asamavāyā, na hetusamavetaṃ hetuphalaṃ hetuphalasamavāyavādīnaṃ dviaṇukādīni viya. Tenetaṃ vuccati –
ตยมิธ นิโรธสุญฺญํ, ตเยน เตนาปิ นิพฺพุติ สุญฺญา;
Tayamidha nirodhasuññaṃ, tayena tenāpi nibbuti suññā;
สุโญฺญ ผเลน เหตุ, ผลมฺปิ ตํ เหตุนา สุญฺญนฺติฯ
Suñño phalena hetu, phalampi taṃ hetunā suññanti.
เอวํ ตาว ‘สุญฺญโต’ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
Evaṃ tāva ‘suññato’ vinicchayo veditabbo.
‘เอกวิธาทีหี’ติ สพฺพเมว เจตฺถ ทุกฺขํ เอกวิธํ ปวตฺติภาวโต, ทุวิธํ นามรูปโต, ติวิธํ กามรูปารูปูปปติภวเภทโต, จตุพฺพิธํ จตุอาหารเภทโต, ปญฺจวิธํ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธเภทโตฯ สมุทโยปิ เอกวิโธ ปวตฺตกภาวโต, ทุวิโธ ทิฎฺฐิสมฺปยุตฺตาสมฺปยุตฺตโต, ติวิโธ กามภววิภวตณฺหาเภทโต, จตุพฺพิโธ จตุมคฺคปฺปเหยฺยโต, ปญฺจวิโธ รูปาภินนฺทนาทิเภทโต, ฉพฺพิโธ ฉตณฺหากายเภทโตฯ นิโรโธปิ เอกวิโธ อสงฺขตธาตุภาวโต, ปริยาเยน ปน ทุวิโธ สอุปาทิเสสอนุปาทิเสสโต, ติวิโธ ภวตฺตยวูปสมโต, จตุพฺพิโธ จตุมคฺคาธิคมนียโต, ปญฺจวิโธ ปญฺจาภินนฺทนวูปสมโต, ฉพฺพิโธ ฉตณฺหากายกฺขยเภทโตฯ มโคฺคปิ เอกวิโธ ภาเวตพฺพโต, ทุวิโธ สมถวิปสฺสนาเภทโต ทสฺสนภาวนาเภทโต วา , ติวิโธ ขนฺธตฺตยเภทโตฯ อยญฺหิ สปฺปเทสตฺตา นครํ วิย รเชฺชน นิปฺปเทเสหิ ตีหิ ขเนฺธหิ สงฺคหิโตฯ ยถาห –
‘Ekavidhādīhī’ti sabbameva cettha dukkhaṃ ekavidhaṃ pavattibhāvato, duvidhaṃ nāmarūpato, tividhaṃ kāmarūpārūpūpapatibhavabhedato, catubbidhaṃ catuāhārabhedato, pañcavidhaṃ pañcupādānakkhandhabhedato. Samudayopi ekavidho pavattakabhāvato, duvidho diṭṭhisampayuttāsampayuttato, tividho kāmabhavavibhavataṇhābhedato, catubbidho catumaggappaheyyato, pañcavidho rūpābhinandanādibhedato, chabbidho chataṇhākāyabhedato. Nirodhopi ekavidho asaṅkhatadhātubhāvato, pariyāyena pana duvidho saupādisesaanupādisesato, tividho bhavattayavūpasamato, catubbidho catumaggādhigamanīyato, pañcavidho pañcābhinandanavūpasamato, chabbidho chataṇhākāyakkhayabhedato. Maggopi ekavidho bhāvetabbato, duvidho samathavipassanābhedato dassanabhāvanābhedato vā , tividho khandhattayabhedato. Ayañhi sappadesattā nagaraṃ viya rajjena nippadesehi tīhi khandhehi saṅgahito. Yathāha –
‘‘น โข, อาวุโส วิสาข, อริเยน อฎฺฐงฺคิเกน มเคฺคน ตโย ขนฺธา สงฺคหิตาฯ ตีหิ จ โข, อาวุโส วิสาข, ขเนฺธหิ อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค สงฺคหิโตฯ ยา จาวุโส วิสาข, สมฺมาวาจา, โย จ สมฺมากมฺมโนฺต, โย จ สมฺมาอาชีโว – อิเม ธมฺมา สีลกฺขเนฺธ สงฺคหิตา; โย จ สมฺมาวายาโม, ยา จ สมฺมาสติ, โย จ สมฺมาสมาธิ – อิเม ธมฺมา สมาธิกฺขเนฺธ สงฺคหิตา; ยา จ สมฺมาทิฎฺฐิ, โย จ สมฺมาสงฺกโปฺป – อิเม ธมฺมา ปญฺญากฺขเนฺธ สงฺคหิตา’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๒)ฯ
‘‘Na kho, āvuso visākha, ariyena aṭṭhaṅgikena maggena tayo khandhā saṅgahitā. Tīhi ca kho, āvuso visākha, khandhehi ariyo aṭṭhaṅgiko maggo saṅgahito. Yā cāvuso visākha, sammāvācā, yo ca sammākammanto, yo ca sammāājīvo – ime dhammā sīlakkhandhe saṅgahitā; yo ca sammāvāyāmo, yā ca sammāsati, yo ca sammāsamādhi – ime dhammā samādhikkhandhe saṅgahitā; yā ca sammādiṭṭhi, yo ca sammāsaṅkappo – ime dhammā paññākkhandhe saṅgahitā’’ti (ma. ni. 1.462).
เอตฺถ หิ สมฺมาวาจาทโย ตโย สีลเมวฯ ตสฺมา เต สชาติโต สีลกฺขเนฺธน สงฺคหิตาฯ กิญฺจาปิ หิ ปาฬิยํ สีลกฺขเนฺธติ ภุเมฺมน นิเทฺทโส กโต, อโตฺถ ปน กรณวเสเนว เวทิตโพฺพฯ สมฺมาวายามาทีสุ ปน ตีสุ สมาธิ อตฺตโน ธมฺมตาย อารมฺมเณ เอกคฺคภาเวน อเปฺปตุํ น สโกฺกติ, วีริเย ปน ปคฺคหกิจฺจํ สาเธเนฺต สติยา จ อปิลาปนกิจฺจํ สาเธนฺติยา ลทฺธูปกาโร หุตฺวา สโกฺกติฯ
Ettha hi sammāvācādayo tayo sīlameva. Tasmā te sajātito sīlakkhandhena saṅgahitā. Kiñcāpi hi pāḷiyaṃ sīlakkhandheti bhummena niddeso kato, attho pana karaṇavaseneva veditabbo. Sammāvāyāmādīsu pana tīsu samādhi attano dhammatāya ārammaṇe ekaggabhāvena appetuṃ na sakkoti, vīriye pana paggahakiccaṃ sādhente satiyā ca apilāpanakiccaṃ sādhentiyā laddhūpakāro hutvā sakkoti.
ตตฺรายํ อุปมา – ยถา หิ นกฺขตฺตํ กีฬิสฺสามาติ อุยฺยานํ ปวิเฎฺฐสุ ตีสุ สหาเยสุ เอโก สุปุปฺผิตํ จมฺปกรุกฺขํ ทิสฺวา หตฺถํ อุกฺขิปิตฺวาปิ คเหตุํ น สกฺกุเณยฺยฯ อถสฺส ทุติโย โอนมิตฺวา ปิฎฺฐิํ ทเทยฺยฯ โส ตสฺส ปิฎฺฐิยํ ฐตฺวาปิ กมฺปมาโน คเหตุํ น สกฺกุเณยฺยฯ อถสฺส อิตโร อํสกูฎํ อุปนาเมยฺยฯ โส เอกสฺส ปิฎฺฐิยํ ฐตฺวา เอกสฺส อํสกูฎํ โอลุพฺภ ยถารุจิ ปุปฺผานิ โอจินิตฺวา ปิฬนฺธิตฺวา นกฺขตฺตํ กีเฬยฺยฯ เอวํสมฺปทมิทํ ทฎฺฐพฺพํฯ
Tatrāyaṃ upamā – yathā hi nakkhattaṃ kīḷissāmāti uyyānaṃ paviṭṭhesu tīsu sahāyesu eko supupphitaṃ campakarukkhaṃ disvā hatthaṃ ukkhipitvāpi gahetuṃ na sakkuṇeyya. Athassa dutiyo onamitvā piṭṭhiṃ dadeyya. So tassa piṭṭhiyaṃ ṭhatvāpi kampamāno gahetuṃ na sakkuṇeyya. Athassa itaro aṃsakūṭaṃ upanāmeyya. So ekassa piṭṭhiyaṃ ṭhatvā ekassa aṃsakūṭaṃ olubbha yathāruci pupphāni ocinitvā piḷandhitvā nakkhattaṃ kīḷeyya. Evaṃsampadamidaṃ daṭṭhabbaṃ.
เอกโต อุยฺยานํ ปวิฎฺฐา ตโย สหายา วิย หิ เอกโต ชาตา สมฺมาวายามาทโย ตโย ธมฺมา, สุปุปฺผิตจมฺปกรุโกฺข วิย อารมฺมณํ, หตฺถํ อุกฺขิปิตฺวาปิ คเหตุํ อสโกฺกโนฺต วิย อตฺตโน ธมฺมตาย อารมฺมเณ เอกคฺคภาเวน อเปฺปตุํ อสโกฺกโนฺต สมาธิ, ปิฎฺฐิํ ทตฺวา โอนตสหาโย วิย วายาโม, อํสกูฎํ ทตฺวา ฐิตสหาโย วิย สติฯ ยถา เตสุ เอกสฺส ปิฎฺฐิยํ ฐตฺวา เอกสฺส อํสกูฎํ โอลุพฺภ อิตโร ยถารุจิ ปุปฺผํ คเหตุํ สโกฺกติ, เอวเมว วีริเย ปคฺคหกิจฺจํ สาเธเนฺต สติยา จ อปิลาปนกิจฺจํ สาเธนฺติยา ลทฺธูปกาโร สมาธิ สโกฺกติ อารมฺมเณ เอกคฺคภาเวน อเปฺปตุํฯ ตสฺมา สมาธิเยเวตฺถ สชาติโต สมาธิกฺขเนฺธน สงฺคหิโตฯ วายามสติโย ปน กิริยโต สงฺคหิตา โหนฺติฯ
Ekato uyyānaṃ paviṭṭhā tayo sahāyā viya hi ekato jātā sammāvāyāmādayo tayo dhammā, supupphitacampakarukkho viya ārammaṇaṃ, hatthaṃ ukkhipitvāpi gahetuṃ asakkonto viya attano dhammatāya ārammaṇe ekaggabhāvena appetuṃ asakkonto samādhi, piṭṭhiṃ datvā onatasahāyo viya vāyāmo, aṃsakūṭaṃ datvā ṭhitasahāyo viya sati. Yathā tesu ekassa piṭṭhiyaṃ ṭhatvā ekassa aṃsakūṭaṃ olubbha itaro yathāruci pupphaṃ gahetuṃ sakkoti, evameva vīriye paggahakiccaṃ sādhente satiyā ca apilāpanakiccaṃ sādhentiyā laddhūpakāro samādhi sakkoti ārammaṇe ekaggabhāvena appetuṃ. Tasmā samādhiyevettha sajātito samādhikkhandhena saṅgahito. Vāyāmasatiyo pana kiriyato saṅgahitā honti.
สมฺมาทิฎฺฐิสมฺมาสงฺกเปฺปสุปิ ปญฺญา อตฺตโน ธมฺมตาย ‘อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา’ติ อารมฺมณํ นิเจฺฉตุํ น สโกฺกติ, วิตเกฺก ปน อาโกเฎตฺวา อาโกเฎตฺวา เทเนฺต สโกฺกติฯ กถํ? ยถา หิ เหรญฺญิโก กหาปณํ หเตฺถ ฐเปตฺวา สพฺพภาเคสุ โอโลเกตุกาโม สมาโนปิ น จกฺขุตเลเนว ปริวเตฺตตุํ สโกฺกติ, องฺคุลิปเพฺพหิ ปน ปริวเตฺตตฺวา ปริวเตฺตตฺวา อิโต จิโต จ โอโลเกตุํ สโกฺกติ; เอวเมว น ปญฺญา อตฺตโน ธมฺมตาย อนิจฺจาทิวเสน อารมฺมณํ นิเจฺฉตุํ สโกฺกติ, อภินิโรปนลกฺขเณน ปน อาหนนปริยาหนนรเสน วิตเกฺกน อาโกเฎเนฺตน วิย ปริวเตฺตเนฺตน วิย จ อาทาย อาทาย ทินฺนเมว นิเจฺฉตุํ สโกฺกติฯ ตสฺมา อิธาปิ สมฺมาทิฎฺฐิเยว สชาติโต ปญฺญากฺขเนฺธน สงฺคหิตา, สมฺมาสงฺกโปฺป ปน กิริยโต สงฺคหิโต โหติฯ อิติ อิเมหิ ตีหิ ขเนฺธหิ มโคฺค สงฺคหํ คจฺฉติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ติวิโธ ขนฺธตฺตยเภทโต’’ติฯ จตุพฺพิโธ โสตาปตฺติมคฺคาทิวเสนฯ
Sammādiṭṭhisammāsaṅkappesupi paññā attano dhammatāya ‘aniccaṃ dukkhaṃ anattā’ti ārammaṇaṃ nicchetuṃ na sakkoti, vitakke pana ākoṭetvā ākoṭetvā dente sakkoti. Kathaṃ? Yathā hi heraññiko kahāpaṇaṃ hatthe ṭhapetvā sabbabhāgesu oloketukāmo samānopi na cakkhutaleneva parivattetuṃ sakkoti, aṅgulipabbehi pana parivattetvā parivattetvā ito cito ca oloketuṃ sakkoti; evameva na paññā attano dhammatāya aniccādivasena ārammaṇaṃ nicchetuṃ sakkoti, abhiniropanalakkhaṇena pana āhananapariyāhananarasena vitakkena ākoṭentena viya parivattentena viya ca ādāya ādāya dinnameva nicchetuṃ sakkoti. Tasmā idhāpi sammādiṭṭhiyeva sajātito paññākkhandhena saṅgahitā, sammāsaṅkappo pana kiriyato saṅgahito hoti. Iti imehi tīhi khandhehi maggo saṅgahaṃ gacchati. Tena vuttaṃ – ‘‘tividho khandhattayabhedato’’ti. Catubbidho sotāpattimaggādivasena.
อปิจ สพฺพาเนว สจฺจานิ เอกวิธานิ อวิตถตฺตา อภิเญฺญยฺยตฺตา วา, ทุวิธานิ โลกิยโลกุตฺตรโต สงฺขตาสงฺขตโต จ, ติวิธานิ ทสฺสนภาวนาหิ ปหาตพฺพโต อปฺปหาตพฺพโต เนวปหาตพฺพนาปหาตพฺพโต จ, จตุพฺพิธานิ ปริเญฺญยฺยาทิเภทโตติฯ เอวเมตฺถ ‘เอกวิธาทีหิ’ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ
Apica sabbāneva saccāni ekavidhāni avitathattā abhiññeyyattā vā, duvidhāni lokiyalokuttarato saṅkhatāsaṅkhatato ca, tividhāni dassanabhāvanāhi pahātabbato appahātabbato nevapahātabbanāpahātabbato ca, catubbidhāni pariññeyyādibhedatoti. Evamettha ‘ekavidhādīhi’ vinicchayo veditabbo.
‘สภาควิสภาคโต’ติ สพฺพาเนว จ สจฺจานิ อญฺญมญฺญํ สภาคานิ อวิตถโต อตฺตสุญฺญโต ทุกฺกรปฎิเวธโต จฯ ยถาห –
‘Sabhāgavisabhāgato’ti sabbāneva ca saccāni aññamaññaṃ sabhāgāni avitathato attasuññato dukkarapaṭivedhato ca. Yathāha –
‘‘ตํ กิํ มญฺญสิ, อานนฺท, กตมํ นุ โข ทุกฺกรตรํ วา ทุรภิสมฺภวตรํ วา – โย ทูรโตว สุขุเมน ตาลจฺฉิคฺคเฬน อสนํ อติปาเตยฺย โปงฺขานุโปงฺขํ อวิราธิตํ, โย วา สตฺตธา ภินฺนสฺส วาลสฺส โกฎิยา โกฎิํ ปฎิวิเชฺฌยฺยา’’ติ? ‘‘เอตเทว, ภเนฺต, ทุกฺกรตรเญฺจว ทุรภิสมฺภวตรญฺจ – โย สตฺตธา ภินฺนสฺส วาลสฺส โกฎิยา โกฎิํ ปฎิวิเชฺฌยฺยา’’ติฯ ‘‘ตโต โข เต, อานนฺท, ทุปฺปฎิวิชฺฌตรํ ปฎิวิชฺฌนฺติ เย อิทํ ทุกฺขนฺติ ยถาภูตํ ปฎิวิชฺฌนฺติ…เป.… อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทาติ ยถาภูตํ ปฎิวิชฺฌนฺตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๑๑๕)ฯ
‘‘Taṃ kiṃ maññasi, ānanda, katamaṃ nu kho dukkarataraṃ vā durabhisambhavataraṃ vā – yo dūratova sukhumena tālacchiggaḷena asanaṃ atipāteyya poṅkhānupoṅkhaṃ avirādhitaṃ, yo vā sattadhā bhinnassa vālassa koṭiyā koṭiṃ paṭivijjheyyā’’ti? ‘‘Etadeva, bhante, dukkaratarañceva durabhisambhavatarañca – yo sattadhā bhinnassa vālassa koṭiyā koṭiṃ paṭivijjheyyā’’ti. ‘‘Tato kho te, ānanda, duppaṭivijjhataraṃ paṭivijjhanti ye idaṃ dukkhanti yathābhūtaṃ paṭivijjhanti…pe… ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadāti yathābhūtaṃ paṭivijjhantī’’ti (saṃ. ni. 5.1115).
วิสภาคานิ สลกฺขณววตฺถานโตฯ ปุริมานิ จ เทฺว สภาคานิ ทุรวคาหเตฺถน คมฺภีรตฺตา โลกิยตฺตา สาสวตฺตา จ, วิสภาคานิ ผลเหตุเภทโต ปริเญฺญยฺยปฺปหาตพฺพโต จฯ ปจฺฉิมานิปิ เทฺว สภาคานิ คมฺภีรเตฺถน ทุรวคาหตฺตา โลกุตฺตรตฺตา อนาสวตฺตา จ, วิสภาคานิ วิสยวิสยีเภทโต สจฺฉิกาตพฺพภาเวตพฺพโต จฯ ปฐมตติยานิ จาปิ สภาคานิ ผลาปเทสโต, วิสภาคานิ สงฺขตาสงฺขตโตฯ ทุติยจตุตฺถานิ จาปิ สภาคานิ เหตุอปเทสโต, วิสภาคานิ เอกนฺตกุสลากุสลโตฯ ปฐมจตุตฺถานิ จาปิ สภาคานิ สงฺขตโต, วิสภาคานิ โลกิยโลกุตฺตรโตฯ ทุติยตติยานิ จาปิ สภาคานิ เนวเสกฺขานาเสกฺขภาวโต, วิสภาคานิ สารมฺมณานารมฺมณโตฯ
Visabhāgāni salakkhaṇavavatthānato. Purimāni ca dve sabhāgāni duravagāhatthena gambhīrattā lokiyattā sāsavattā ca, visabhāgāni phalahetubhedato pariññeyyappahātabbato ca. Pacchimānipi dve sabhāgāni gambhīratthena duravagāhattā lokuttarattā anāsavattā ca, visabhāgāni visayavisayībhedato sacchikātabbabhāvetabbato ca. Paṭhamatatiyāni cāpi sabhāgāni phalāpadesato, visabhāgāni saṅkhatāsaṅkhatato. Dutiyacatutthāni cāpi sabhāgāni hetuapadesato, visabhāgāni ekantakusalākusalato. Paṭhamacatutthāni cāpi sabhāgāni saṅkhatato, visabhāgāni lokiyalokuttarato. Dutiyatatiyāni cāpi sabhāgāni nevasekkhānāsekkhabhāvato, visabhāgāni sārammaṇānārammaṇato.
อิติ เอวํ ปกาเรหิ, นเยหิ จ วิจกฺขโณ;
Iti evaṃ pakārehi, nayehi ca vicakkhaṇo;
วิชญฺญา อริยสจฺจานํ, สภาควิสภาคตนฺติฯ
Vijaññā ariyasaccānaṃ, sabhāgavisabhāgatanti.
สุตฺตนฺตภาชนียอุเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Suttantabhājanīyauddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
๑. ทุกฺขสจฺจนิเทฺทสวณฺณนา
1. Dukkhasaccaniddesavaṇṇanā
ชาตินิเทฺทโส
Jātiniddeso
๑๙๐. อิทานิ สเงฺขปโต อุทฺทิฎฺฐานิ ทุกฺขาทีนิ วิภชิตฺวา ทเสฺสตุํ อยํ ตตฺถ กตมํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ชาติปิ ทุกฺขาติ นิเทฺทสวาโร อารโทฺธฯ ตตฺถ ชาติ เวทิตพฺพา, ชาติยา ทุกฺขโฎฺฐ เวทิตโพฺพ; ชรา, มรณํ, โสโก , ปริเทโว, ทุกฺขํ, โทมนสฺสํ, อุปายาโส, อปฺปิยสมฺปโยโค, ปิยวิปฺปโยโค เวทิตโพฺพ; อปฺปิยสมฺปโยคสฺส ปิยวิปฺปโยคสฺส ทุกฺขโฎฺฐ เวทิตโพฺพ; อิจฺฉา เวทิตพฺพา, อิจฺฉาย ทุกฺขโฎฺฐ เวทิตโพฺพ; ขนฺธา เวทิตพฺพา, ขนฺธานํ ทุกฺขโฎฺฐ เวทิตโพฺพฯ
190. Idāni saṅkhepato uddiṭṭhāni dukkhādīni vibhajitvā dassetuṃ ayaṃ tattha katamaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ jātipi dukkhāti niddesavāro āraddho. Tattha jāti veditabbā, jātiyā dukkhaṭṭho veditabbo; jarā, maraṇaṃ, soko , paridevo, dukkhaṃ, domanassaṃ, upāyāso, appiyasampayogo, piyavippayogo veditabbo; appiyasampayogassa piyavippayogassa dukkhaṭṭho veditabbo; icchā veditabbā, icchāya dukkhaṭṭho veditabbo; khandhā veditabbā, khandhānaṃ dukkhaṭṭho veditabbo.
ตตฺถ ทุกฺขสฺส อริยสจฺจสฺส กถนตฺถาย อยํ มาติกา – อิทญฺหิ ทุกฺขํ นาม อเนกํ นานปฺปการํ, เสยฺยถิทํ – ทุกฺขทุกฺขํ, วิปริณามทุกฺขํ, สงฺขารทุกฺขํ, ปฎิจฺฉนฺนทุกฺขํ, อปฺปฎิจฺฉนฺนทุกฺขํ, ปริยายทุกฺขํ, นิปฺปริยายทุกฺขนฺติฯ
Tattha dukkhassa ariyasaccassa kathanatthāya ayaṃ mātikā – idañhi dukkhaṃ nāma anekaṃ nānappakāraṃ, seyyathidaṃ – dukkhadukkhaṃ, vipariṇāmadukkhaṃ, saṅkhāradukkhaṃ, paṭicchannadukkhaṃ, appaṭicchannadukkhaṃ, pariyāyadukkhaṃ, nippariyāyadukkhanti.
ตตฺถ กายิกเจตสิกา ทุกฺขเวทนา สภาวโต จ นามโต จ ทุกฺขตฺตา ‘ทุกฺขทุกฺขํ’ นามฯ สุขเวทนา วิปริณาเมน ทุกฺขุปฺปตฺติเหตุโต ‘วิปริณามทุกฺขํ’ นามฯ อุเปกฺขาเวทนา เจว อวเสสา จ เตภูมกา สงฺขารา อุทยพฺพยปีฬิตตฺตา ‘สงฺขารทุกฺขํ’ นามฯ ตถา ปีฬนํ ปน มคฺคผลานมฺปิ อตฺถิฯ ตสฺมา เอเต ธมฺมา ทุกฺขสจฺจปริยาปนฺนเตฺตน สงฺขารทุกฺขํ นามาติ เวทิตพฺพาฯ กณฺณสูลทนฺตสูลราคชปริฬาหโทสชปริฬาหาทิ กายิกเจตสิโก อาพาโธ ปุจฺฉิตฺวา ชานิตพฺพโต อุปกฺกมสฺส จ อปากฎภาวโต ‘ปฎิจฺฉนฺนทุกฺขํ’ นาม, อปากฎทุกฺขนฺติปิ วุจฺจติฯ ทฺวตฺติํสกมฺมการณาทิสมุฎฺฐาโน อาพาโธ อปุจฺฉิตฺวาว ชานิตพฺพโต อุปกฺกมสฺส จ ปากฎภาวโต ‘อปฺปฎิจฺฉนฺนทุกฺขํ’ นาม, ปากฎทุกฺขนฺติปิ วุจฺจติฯ ฐเปตฺวา ทุกฺขทุกฺขํ เสสํ ทุกฺขสจฺจวิภเงฺค อาคตํ ชาติอาทิ สพฺพมฺปิ ตสฺส ตสฺส ทุกฺขสฺส วตฺถุภาวโต ‘ปริยายทุกฺขํ’ นามฯ ทุกฺขทุกฺขํ ‘นิปฺปริยายทุกฺขํ’ นามฯ
Tattha kāyikacetasikā dukkhavedanā sabhāvato ca nāmato ca dukkhattā ‘dukkhadukkhaṃ’ nāma. Sukhavedanā vipariṇāmena dukkhuppattihetuto ‘vipariṇāmadukkhaṃ’ nāma. Upekkhāvedanā ceva avasesā ca tebhūmakā saṅkhārā udayabbayapīḷitattā ‘saṅkhāradukkhaṃ’ nāma. Tathā pīḷanaṃ pana maggaphalānampi atthi. Tasmā ete dhammā dukkhasaccapariyāpannattena saṅkhāradukkhaṃ nāmāti veditabbā. Kaṇṇasūladantasūlarāgajapariḷāhadosajapariḷāhādi kāyikacetasiko ābādho pucchitvā jānitabbato upakkamassa ca apākaṭabhāvato ‘paṭicchannadukkhaṃ’ nāma, apākaṭadukkhantipi vuccati. Dvattiṃsakammakāraṇādisamuṭṭhāno ābādho apucchitvāva jānitabbato upakkamassa ca pākaṭabhāvato ‘appaṭicchannadukkhaṃ’ nāma, pākaṭadukkhantipi vuccati. Ṭhapetvā dukkhadukkhaṃ sesaṃ dukkhasaccavibhaṅge āgataṃ jātiādi sabbampi tassa tassa dukkhassa vatthubhāvato ‘pariyāyadukkhaṃ’ nāma. Dukkhadukkhaṃ ‘nippariyāyadukkhaṃ’ nāma.
ตตฺถ ปริยายทุกฺขํ นิปฺปริยายทุกฺขนฺติ อิมสฺมิํ ปททฺวเย ฐตฺวา ทุกฺขํ อริยสจฺจํ กเถตพฺพํฯ อริยสจฺจญฺจ นาเมตํ ปาฬิยํ สเงฺขปโตปิ อาคจฺฉติ วิตฺถารโตปิฯ สเงฺขปโต อาคตฎฺฐาเน สเงฺขเปนปิ วิตฺถาเรนปิ กเถตุํ วฎฺฎติ ฯ วิตฺถารโต อาคตฎฺฐาเน ปน วิตฺถาเรเนว กเถตุํ วฎฺฎติ, น สเงฺขเปนฯ ตํ อิทํ อิมสฺมิํ ฐาเน วิตฺถาเรน อาคตนฺติ วิตฺถาเรเนว กเถตพฺพํฯ ตสฺมา ยํ ตํ นิเทฺทสวาเร ‘‘ตตฺถ กตมํ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ? ชาติปิ ทุกฺขา’’ติอาทีนิ ปทานิ คเหตฺวา ‘‘ชาติ เวทิตพฺพา, ชาติยา ทุกฺขโฎฺฐ เวทิตโพฺพ’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ ชาติอาทีนิ ตาว ‘‘ตตฺถ กตมา ชาติ? ยา เตสํ เตสํ สตฺตานํ ตมฺหิ ตมฺหิ สตฺตนิกาเย ชาติ สญฺชาตี’’ติ อิมสฺส ปน ปทภาชนียสฺส วเสน เวทิตพฺพานิฯ
Tattha pariyāyadukkhaṃ nippariyāyadukkhanti imasmiṃ padadvaye ṭhatvā dukkhaṃ ariyasaccaṃ kathetabbaṃ. Ariyasaccañca nāmetaṃ pāḷiyaṃ saṅkhepatopi āgacchati vitthāratopi. Saṅkhepato āgataṭṭhāne saṅkhepenapi vitthārenapi kathetuṃ vaṭṭati . Vitthārato āgataṭṭhāne pana vitthāreneva kathetuṃ vaṭṭati, na saṅkhepena. Taṃ idaṃ imasmiṃ ṭhāne vitthārena āgatanti vitthāreneva kathetabbaṃ. Tasmā yaṃ taṃ niddesavāre ‘‘tattha katamaṃ dukkhaṃ ariyasaccaṃ? Jātipi dukkhā’’tiādīni padāni gahetvā ‘‘jāti veditabbā, jātiyā dukkhaṭṭho veditabbo’’tiādi vuttaṃ. Tattha jātiādīni tāva ‘‘tattha katamā jāti? Yā tesaṃ tesaṃ sattānaṃ tamhi tamhi sattanikāye jāti sañjātī’’ti imassa pana padabhājanīyassa vasena veditabbāni.
๑๙๑. ตตฺรายํ อตฺถวณฺณนา – เตสํ เตสํ สตฺตานนฺติ อยํ สเงฺขปโต อเนเกสํ สตฺตานํ สาธารณนิเทฺทโสฯ ยา เทวทตฺตสฺส ชาติ, ยา โสมทตฺตสฺส ชาตีติ เอวญฺหิ ทิวสมฺปิ กถิยมาเน เนว สตฺตา ปริยาทานํ คจฺฉนฺติ, น สพฺพํ อปรตฺถทีปนํ สิชฺฌติฯ อิเมหิ ปน ทฺวีหิ ปเทหิ น โกจิ สโตฺต อปริยาทิโนฺน โหติ, น กิญฺจิ อปรตฺถทีปนํ น สิชฺฌติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘ยา เตสํ เตสํ สตฺตาน’’นฺติฯ ตมฺหิ ตมฺหีติ อยํ ชาติคติวเสน อเนเกสํ สตฺตนิกายานํ สาธารณนิเทฺทโสฯ สตฺตนิกาเยติ สตฺตานํ นิกาเย, สตฺตฆฎายํ สตฺตสมูเหติ อโตฺถฯ
191. Tatrāyaṃ atthavaṇṇanā – tesaṃ tesaṃ sattānanti ayaṃ saṅkhepato anekesaṃ sattānaṃ sādhāraṇaniddeso. Yā devadattassa jāti, yā somadattassa jātīti evañhi divasampi kathiyamāne neva sattā pariyādānaṃ gacchanti, na sabbaṃ aparatthadīpanaṃ sijjhati. Imehi pana dvīhi padehi na koci satto apariyādinno hoti, na kiñci aparatthadīpanaṃ na sijjhati. Tena vuttaṃ – ‘‘yā tesaṃ tesaṃ sattāna’’nti. Tamhi tamhīti ayaṃ jātigativasena anekesaṃ sattanikāyānaṃ sādhāraṇaniddeso. Sattanikāyeti sattānaṃ nikāye, sattaghaṭāyaṃ sattasamūheti attho.
ชาตีติ อยํ ชาติสโทฺท อเนกโตฺถฯ ตถา เหส ‘‘เอกมฺปิ ชาติํ, เทฺวปิ ชาติโย’’ติ (ปารา. ๑๒; ม. นิ. ๒.๒๕๗) เอตฺถ ภเว อาคโตฯ ‘‘อตฺถิ วิสาเข , นิคณฺฐา นาม สมณชาติกา’’ติ (อ. นิ. ๓.๗๑) เอตฺถ นิกาเยฯ ‘‘ติริยา นาม ติณชาติ นาภิยา อุคฺคนฺตฺวา นภํ อาหจฺจ ฐิตา อโหสี’’ติ (อ. นิ. ๕.๑๙๖) เอตฺถ ปญฺญตฺติยํฯ ‘‘ชาติ ทฺวีหิ ขเนฺธหิ สงฺคหิตา’’ติ (ธาตุ. ๗๑) เอตฺถ สงฺขตลกฺขเณฯ ‘‘ยํ, ภิกฺขเว, มาตุกุจฺฉิมฺหิ ปฐมํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ, ปฐมํ วิญฺญาณํ ปาตุภูตํ, ตทุปาทาย สาวสฺส ชาตี’’ติ (มหาว. ๑๒๔) เอตฺถ ปฎิสนฺธิยํฯ ‘‘สมฺปติชาโต, อานนฺท, โพธิสโตฺต’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๐๗) เอตฺถ ปสูติยํฯ ‘‘อนุปกฺกุโฎฺฐ ชาติวาเทนา’’ติ (ที. นิ. ๑.๓๓๑) เอตฺถ กุเลฯ ‘‘ยโตหํ, ภคินิ, อริยาย ชาติยา ชาโต’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๕๑) เอตฺถ อริยสีเลฯ อิธ ปนายํ สวิกาเรสุ ปฐมาภินิพฺพตฺตกฺขเนฺธสุ วตฺตติฯ ตสฺมา ชายมานกวเสน ชาตีติ อิทเมตฺถ สภาวปจฺจตฺตํฯ สญฺชายนวเสน สญฺชาตีติ อุปสเคฺคน ปทํ วฑฺฒิตํฯ โอกฺกมนวเสน โอกฺกนฺติฯ ชายนเฎฺฐน วา ชาติ, สา อปริปุณฺณายตนวเสน ยุตฺตาฯ สญฺชายนเฎฺฐน สญฺชาติ, สา ปริปุณฺณายตนวเสน ยุตฺตาฯ โอกฺกมนเฎฺฐน โอกฺกนฺติ, สา อณฺฑชชลาพุชวเสน ยุตฺตาฯ เต หิ อณฺฑโกสญฺจ วตฺถิโกสญฺจ โอกฺกมนฺติ, โอกฺกมนฺตาปิ ปวิสนฺตา วิย ปฎิสนฺธิํ คณฺหนฺติฯ อภินิพฺพตฺตนเฎฺฐน อภินิพฺพตฺติฯ สา สํเสทชโอปปาติกวเสน ยุตฺตาฯ เต หิ ปากฎา เอว หุตฺวา นิพฺพตฺตนฺติฯ อยํ ตาว สมฺมุติกถาฯ
Jātīti ayaṃ jātisaddo anekattho. Tathā hesa ‘‘ekampi jātiṃ, dvepi jātiyo’’ti (pārā. 12; ma. ni. 2.257) ettha bhave āgato. ‘‘Atthi visākhe , nigaṇṭhā nāma samaṇajātikā’’ti (a. ni. 3.71) ettha nikāye. ‘‘Tiriyā nāma tiṇajāti nābhiyā uggantvā nabhaṃ āhacca ṭhitā ahosī’’ti (a. ni. 5.196) ettha paññattiyaṃ. ‘‘Jāti dvīhi khandhehi saṅgahitā’’ti (dhātu. 71) ettha saṅkhatalakkhaṇe. ‘‘Yaṃ, bhikkhave, mātukucchimhi paṭhamaṃ cittaṃ uppannaṃ, paṭhamaṃ viññāṇaṃ pātubhūtaṃ, tadupādāya sāvassa jātī’’ti (mahāva. 124) ettha paṭisandhiyaṃ. ‘‘Sampatijāto, ānanda, bodhisatto’’ti (ma. ni. 3.207) ettha pasūtiyaṃ. ‘‘Anupakkuṭṭho jātivādenā’’ti (dī. ni. 1.331) ettha kule. ‘‘Yatohaṃ, bhagini, ariyāya jātiyā jāto’’ti (ma. ni. 2.351) ettha ariyasīle. Idha panāyaṃ savikāresu paṭhamābhinibbattakkhandhesu vattati. Tasmā jāyamānakavasena jātīti idamettha sabhāvapaccattaṃ. Sañjāyanavasena sañjātīti upasaggena padaṃ vaḍḍhitaṃ. Okkamanavasena okkanti. Jāyanaṭṭhena vā jāti, sā aparipuṇṇāyatanavasena yuttā. Sañjāyanaṭṭhena sañjāti, sā paripuṇṇāyatanavasena yuttā. Okkamanaṭṭhena okkanti, sā aṇḍajajalābujavasena yuttā. Te hi aṇḍakosañca vatthikosañca okkamanti, okkamantāpi pavisantā viya paṭisandhiṃ gaṇhanti. Abhinibbattanaṭṭhena abhinibbatti. Sā saṃsedajaopapātikavasena yuttā. Te hi pākaṭā eva hutvā nibbattanti. Ayaṃ tāva sammutikathā.
อิทานิ ปรมตฺถกถา โหติฯ ขนฺธา เอว หิ ปรมตฺถโต ปาตุภวนฺติ, น สตฺตาฯ ตตฺถ จ ขนฺธานนฺติ เอกโวการภเว เอกสฺส, จตุโวการภเว จตุนฺนํ, ปญฺจโวการภเว ปญฺจนฺนํ คหณํ เวทิตพฺพํฯ ปาตุภาโวติ อุปฺปตฺติฯ อายตนานนฺติ เอตฺถ ตตฺร ตตฺร อุปฺปชฺชมานายตนวเสน สงฺคโห เวทิตโพฺพฯ ปฎิลาโภติ สนฺตติยํ ปาตุภาโวเยว; ปาตุภวนฺตาเนว หิ ตานิ ปฎิลทฺธานิ นาม โหนฺติฯ อยํ วุจฺจติ ชาตีติ อยํ ชาติ นาม กถิยติฯ สา ปเนสา ตตฺถ ตตฺถ ภเว ปฐมาภินิพฺพตฺติลกฺขณา, นียฺยาตนรสา, อตีตภวโต อิธ อุมฺมุชฺชนปจฺจุปฎฺฐานา, ผลวเสน ทุกฺขวิจิตฺตตาปจฺจุปฎฺฐานา วาฯ
Idāni paramatthakathā hoti. Khandhā eva hi paramatthato pātubhavanti, na sattā. Tattha ca khandhānanti ekavokārabhave ekassa, catuvokārabhave catunnaṃ, pañcavokārabhave pañcannaṃ gahaṇaṃ veditabbaṃ. Pātubhāvoti uppatti. Āyatanānanti ettha tatra tatra uppajjamānāyatanavasena saṅgaho veditabbo. Paṭilābhoti santatiyaṃ pātubhāvoyeva; pātubhavantāneva hi tāni paṭiladdhāni nāma honti. Ayaṃ vuccati jātīti ayaṃ jāti nāma kathiyati. Sā panesā tattha tattha bhave paṭhamābhinibbattilakkhaṇā, nīyyātanarasā, atītabhavato idha ummujjanapaccupaṭṭhānā, phalavasena dukkhavicittatāpaccupaṭṭhānā vā.
อิทานิ ‘ชาติยา ทุกฺขโฎฺฐ เวทิตโพฺพ’ติ อยญฺหิ ชาติ สยํ น ทุกฺขา, ทุกฺขุปฺปตฺติยา ปน วตฺถุภาเวน ทุกฺขาติ วุตฺตาฯ กตรทุกฺขสฺส ปนายํ วตฺถูติ? ยํ ตํ พาลปณฺฑิตสุตฺตาทีสุ (ม. นิ. ๓.๒๔๖ อาทโย) ภควตาปิ อุปมาวเสน ปกาสิตํ อาปายิกํทุกฺขํ, ยญฺจ สุคติยํ มนุสฺสโลเก คโพฺภกฺกนฺติมูลกาทิเภทํ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺส สพฺพสฺสาปิ เอสา วตฺถุฯ ตตฺริทํ คโพฺภกฺกนฺติมูลกาทิเภทํ ทุกฺขํ – อยญฺหิ สโตฺต มาตุกุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺตมาโน น อุปฺปลปทุมปุณฺฑรีกาทีสุ นิพฺพตฺตติฯ อถ โข เหฎฺฐา อามาสยสฺส อุปริ ปกฺกาสยสฺส อุทรปฎลปิฎฺฐิกณฺฑกานํ เวมเชฺฌ ปรมสมฺพาเธ ติพฺพนฺธกาเร นานากุณปคนฺธปริภาวิเต อสุจิปรมทุคฺคนฺธปวนวิจริเต อธิมตฺตเชคุเจฺฉ กุจฺฉิปฺปเทเส ปูติมจฺฉปูติกุมฺมาสจนฺทนิกาทีสุ กิมิ วิย นิพฺพตฺตติฯ โส ตตฺถ นิพฺพโตฺต ทส มาเส มาตุกุจฺฉิสมฺภเวน อุสฺมนา ปุฎปากํ วิย ปจฺจมาโน ปิฎฺฐปิณฺฑิ วิย เสทิยมาโน สมิญฺชนปสารณาทิรหิโต อธิมตฺตํ ทุกฺขํ ปจฺจนุโภตีติฯ อิทํ ตาว ‘คโพฺภกฺกนฺติมูลกํ’ ทุกฺขํฯ
Idāni ‘jātiyā dukkhaṭṭho veditabbo’ti ayañhi jāti sayaṃ na dukkhā, dukkhuppattiyā pana vatthubhāvena dukkhāti vuttā. Kataradukkhassa panāyaṃ vatthūti? Yaṃ taṃ bālapaṇḍitasuttādīsu (ma. ni. 3.246 ādayo) bhagavatāpi upamāvasena pakāsitaṃ āpāyikaṃdukkhaṃ, yañca sugatiyaṃ manussaloke gabbhokkantimūlakādibhedaṃ dukkhaṃ uppajjati, tassa sabbassāpi esā vatthu. Tatridaṃ gabbhokkantimūlakādibhedaṃ dukkhaṃ – ayañhi satto mātukucchimhi nibbattamāno na uppalapadumapuṇḍarīkādīsu nibbattati. Atha kho heṭṭhā āmāsayassa upari pakkāsayassa udarapaṭalapiṭṭhikaṇḍakānaṃ vemajjhe paramasambādhe tibbandhakāre nānākuṇapagandhaparibhāvite asuciparamaduggandhapavanavicarite adhimattajegucche kucchippadese pūtimacchapūtikummāsacandanikādīsu kimi viya nibbattati. So tattha nibbatto dasa māse mātukucchisambhavena usmanā puṭapākaṃ viya paccamāno piṭṭhapiṇḍi viya sediyamāno samiñjanapasāraṇādirahito adhimattaṃ dukkhaṃ paccanubhotīti. Idaṃ tāva ‘gabbhokkantimūlakaṃ’ dukkhaṃ.
ยํ ปน โส มาตุ สหสา อุปกฺขลนคมนนิสีทนอุฎฺฐานปริวตฺตนาทีสุ สุราธุตฺตหตฺถคโต เอฬโก วิย อหิคุณฺฐิกหตฺถคโต สปฺปโปตโก วิย จ อากฑฺฒนปริกฑฺฒนโอธุนนนิทฺธุนนาทินา อุปกฺกเมน อธิมตฺตํ ทุกฺขมนุภวติ, ยญฺจ มาตุ สีตุทกปานกาเล สีตนรกูปปโนฺน วิย, อุณฺหยาคุภตฺตาทิอโชฺฌหรณกาเล องฺคารวุฎฺฐิสมฺปริกิโณฺณ วิย, โลณมฺพิลาทิอโชฺฌหรณกาเล ขาราปฎิจฺฉกาทิกมฺมการณปฺปโตฺต วิย ติพฺพํ ทุกฺขมนุโภติ – อิทํ ‘คพฺภปริหรณมูลกํ’ ทุกฺขํฯ
Yaṃ pana so mātu sahasā upakkhalanagamananisīdanauṭṭhānaparivattanādīsu surādhuttahatthagato eḷako viya ahiguṇṭhikahatthagato sappapotako viya ca ākaḍḍhanaparikaḍḍhanaodhunananiddhunanādinā upakkamena adhimattaṃ dukkhamanubhavati, yañca mātu sītudakapānakāle sītanarakūpapanno viya, uṇhayāgubhattādiajjhoharaṇakāle aṅgāravuṭṭhisamparikiṇṇo viya, loṇambilādiajjhoharaṇakāle khārāpaṭicchakādikammakāraṇappatto viya tibbaṃ dukkhamanubhoti – idaṃ ‘gabbhapariharaṇamūlakaṃ’ dukkhaṃ.
ยํ ปนสฺส มูฬฺหคพฺภาย มาตุยา มิตฺตามจฺจสุหชฺชาทีหิปิ อทสฺสนารเห ทุกฺขุปฺปตฺติฎฺฐาเน เฉทนผาลนาทีหิ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชติ – อิทํ ‘คพฺภวิปตฺติมูลกํ’ ทุกฺขํฯ ยํ วิชายมานาย มาตุยา กมฺมเชหิ วาเตหิ ปริวเตฺตตฺวา นรกปปาตํ วิย อติภยานกํ โยนิมคฺคํ ปฎิปาติยมานสฺส ปรมสมฺพาเธน โยนิมุเขน ตาฬจฺฉิคฺคเฬน วิย นิกฺกฑฺฒิยมานสฺส มหานาคสฺส นรกสตฺตสฺส วิย จ สงฺฆาฎปพฺพเตหิ วิจุณฺณิยมานสฺส ทุกฺขํ อุปฺปชฺชติ – อิทํ ‘วิชายนมูลกํ’ ทุกฺขํฯ ยํ ปน ชาตสฺส ตรุณวณสทิสสฺส สุกุมารสรีรสฺส หตฺถคฺคหณนฺหาปนโธวนโจฬปริมชฺชนาทิกาเล สูจิมุขขุรธารวิชฺฌนผาลนสทิสํ ทุกฺขํ อุปฺปชฺชติ – อิทํ มาตุกุจฺฉิโต ‘พหิ นิกฺขมนมูลกํ’ ทุกฺขํฯ ยํ ตโต ปรํ ปวตฺติยํ อตฺตนาว อตฺตานํ วธนฺตสฺส, อเจลกวตาทิวเสน อาตาปนปริตาปนานุโยคมนุยุตฺตสฺส, โกธวเสน อภุญฺชนฺตสฺส, อุพฺพนฺธนฺตสฺส จ ทุกฺขํ โหติ – อิทํ ‘อตฺตูปกฺกมมูลกํ’ ทุกฺขํฯ
Yaṃ panassa mūḷhagabbhāya mātuyā mittāmaccasuhajjādīhipi adassanārahe dukkhuppattiṭṭhāne chedanaphālanādīhi dukkhaṃ uppajjati – idaṃ ‘gabbhavipattimūlakaṃ’ dukkhaṃ. Yaṃ vijāyamānāya mātuyā kammajehi vātehi parivattetvā narakapapātaṃ viya atibhayānakaṃ yonimaggaṃ paṭipātiyamānassa paramasambādhena yonimukhena tāḷacchiggaḷena viya nikkaḍḍhiyamānassa mahānāgassa narakasattassa viya ca saṅghāṭapabbatehi vicuṇṇiyamānassa dukkhaṃ uppajjati – idaṃ ‘vijāyanamūlakaṃ’ dukkhaṃ. Yaṃ pana jātassa taruṇavaṇasadisassa sukumārasarīrassa hatthaggahaṇanhāpanadhovanacoḷaparimajjanādikāle sūcimukhakhuradhāravijjhanaphālanasadisaṃ dukkhaṃ uppajjati – idaṃ mātukucchito ‘bahi nikkhamanamūlakaṃ’ dukkhaṃ. Yaṃ tato paraṃ pavattiyaṃ attanāva attānaṃ vadhantassa, acelakavatādivasena ātāpanaparitāpanānuyogamanuyuttassa, kodhavasena abhuñjantassa, ubbandhantassa ca dukkhaṃ hoti – idaṃ ‘attūpakkamamūlakaṃ’ dukkhaṃ.
ยํ ปน ปรโต วธพนฺธนาทีนิ อนุภวนฺตสฺส ทุกฺขํ อุปฺปชฺชติ – อิทํ ‘ปรูปกฺกมมูลกํ’ ทุกฺขนฺติฯ อิติ อิมสฺส สพฺพสฺสาปิ ทุกฺขสฺส อยํ ชาติ วตฺถุเมว โหตีติฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
Yaṃ pana parato vadhabandhanādīni anubhavantassa dukkhaṃ uppajjati – idaṃ ‘parūpakkamamūlakaṃ’ dukkhanti. Iti imassa sabbassāpi dukkhassa ayaṃ jāti vatthumeva hotīti. Tenetaṃ vuccati –
ชาเยถ โน เจ นรเกสุ สโตฺต,
Jāyetha no ce narakesu satto,
ตตฺถคฺคิทาหาทิกมปฺปสยฺหํ;
Tatthaggidāhādikamappasayhaṃ;
ลเภถ ทุกฺขํ นุ กุหิํ ปติฎฺฐํ,
Labhetha dukkhaṃ nu kuhiṃ patiṭṭhaṃ,
อิจฺจาห ทุกฺขาติ มุนีธ ชาติฯ
Iccāha dukkhāti munīdha jāti.
ทุกฺขํ ติรเจฺฉสุ กสาปโตท-
Dukkhaṃ tiracchesu kasāpatoda-
ทณฺฑาภิฆาตาทิภวํ อเนกํ;
Daṇḍābhighātādibhavaṃ anekaṃ;
ยํ ตํ กถํ ตตฺถ ภเวยฺย ชาติํ,
Yaṃ taṃ kathaṃ tattha bhaveyya jātiṃ,
วินา ตหิํ ชาติ ตโตปิ ทุกฺขาฯ
Vinā tahiṃ jāti tatopi dukkhā.
เปเตสุ ทุกฺขํ ปน ขุปฺปิปาสา-
Petesu dukkhaṃ pana khuppipāsā-
วาตาตปาทิปฺปภวํ วิจิตฺตํ;
Vātātapādippabhavaṃ vicittaṃ;
ยสฺมา อชาตสฺส น ตตฺถ อตฺถิ,
Yasmā ajātassa na tattha atthi,
ตสฺมาปิ ทุกฺขํ มุนิ ชาติมาหฯ
Tasmāpi dukkhaṃ muni jātimāha.
ติพฺพนฺธกาเร จ อสยฺหสีเต,
Tibbandhakāre ca asayhasīte,
โลกนฺตเร ยํ อสุเรสุ ทุกฺขํ;
Lokantare yaṃ asuresu dukkhaṃ;
น ตํ ภเว ตตฺถ น จสฺส ชาติ,
Na taṃ bhave tattha na cassa jāti,
ยโต อยํ ชาติ ตโตปิ ทุกฺขาฯ
Yato ayaṃ jāti tatopi dukkhā.
ยญฺจาปิ คูถนรเก วิย มาตุคเพฺภ,
Yañcāpi gūthanarake viya mātugabbhe,
สโตฺต วสํ จิรมโต พหิ นิกฺขมนญฺจ;
Satto vasaṃ ciramato bahi nikkhamanañca;
ปโปฺปติ ทุกฺขมติโฆรมิทมฺปิ นตฺถิ,
Pappoti dukkhamatighoramidampi natthi,
ชาติํ วินา อิติปิ ชาติรยญฺหิ ทุกฺขาฯ
Jātiṃ vinā itipi jātirayañhi dukkhā.
กิํ ภาสิเตน พหุนา นนุ ยํ กุหิญฺจิ,
Kiṃ bhāsitena bahunā nanu yaṃ kuhiñci,
อตฺถีธ กิญฺจิทปิ ทุกฺขมิทํ กทาจิ;
Atthīdha kiñcidapi dukkhamidaṃ kadāci;
เนวตฺถิ ชาติวิรเห ยทโต มเหสี,
Nevatthi jātivirahe yadato mahesī,
ทุกฺขาติ สพฺพปฐมํ อิมมาห ชาตินฺติฯ
Dukkhāti sabbapaṭhamaṃ imamāha jātinti.
ชรานิเทฺทโส
Jarāniddeso
๑๙๒. ชรานิเทฺทเส ชราติ สภาวปจฺจตฺตํฯ ชีรณตาติ อาการนิเทฺทโสฯ ขณฺฑิจฺจนฺติอาทโย ตโย กาลาติกฺกเม กิจฺจนิเทฺทสาฯ ปจฺฉิมา เทฺว ปกตินิเทฺทสาฯ อยญฺหิ ชราติ อิมินา ปเทน สภาวโต ทีปิตา, เตนสฺสา อิทํ สภาวปจฺจตฺตํฯ ชีรณตาติ อิมินา อาการโต , เตนสฺสายํ อาการนิเทฺทโสฯ ขณฺฑิจฺจนฺติ อิมินา กาลาติกฺกเม ทนฺตนขานํ ขณฺฑิตภาวกรณกิจฺจโตฯ ปาลิจฺจนฺติ อิมินา เกสโลมานํ ปลิตภาวกรณกิจฺจโตฯ วลิตฺตจตาติ อิมินา มํสํ มิลาเปตฺวา ตเจ วลิตฺตภาวกรณกิจฺจโต ทีปิตาฯ เตนสฺสา อิเม ขณฺฑิจฺจนฺติ อาทโย ตโย กาลาติกฺกเม กิจฺจนิเทฺทสาฯ เตหิ อิเมสํ วิการานํ ทสฺสนวเสน ปากฎีภูตาติ ปากฎชรา ทสฺสิตาฯ ยเถว หิ อุทกสฺส วา วาตสฺส วา อคฺคิโน วา ติณรุกฺขาทีนํ สํสคฺคปลิภคฺคตาย วา ฌามตาย วา คตมโคฺค ปากโฎ โหติ, น จ โส คตมโคฺค ตาเนว อุทกาทีนิ, เอวเมว ชราย ทนฺตาทีสุ ขณฺฑิจฺจาทิวเสน คตมโคฺค ปากโฎ, จกฺขุํ อุมฺมีเลตฺวาปิ คยฺหติฯ น จ ขณฺฑิจฺจาทีเนว ชรา; น หิ ชรา จกฺขุวิเญฺญยฺยา โหติฯ
192. Jarāniddese jarāti sabhāvapaccattaṃ. Jīraṇatāti ākāraniddeso. Khaṇḍiccantiādayo tayo kālātikkame kiccaniddesā. Pacchimā dve pakatiniddesā. Ayañhi jarāti iminā padena sabhāvato dīpitā, tenassā idaṃ sabhāvapaccattaṃ. Jīraṇatāti iminā ākārato , tenassāyaṃ ākāraniddeso. Khaṇḍiccanti iminā kālātikkame dantanakhānaṃ khaṇḍitabhāvakaraṇakiccato. Pāliccanti iminā kesalomānaṃ palitabhāvakaraṇakiccato. Valittacatāti iminā maṃsaṃ milāpetvā tace valittabhāvakaraṇakiccato dīpitā. Tenassā ime khaṇḍiccanti ādayo tayo kālātikkame kiccaniddesā. Tehi imesaṃ vikārānaṃ dassanavasena pākaṭībhūtāti pākaṭajarā dassitā. Yatheva hi udakassa vā vātassa vā aggino vā tiṇarukkhādīnaṃ saṃsaggapalibhaggatāya vā jhāmatāya vā gatamaggo pākaṭo hoti, na ca so gatamaggo tāneva udakādīni, evameva jarāya dantādīsu khaṇḍiccādivasena gatamaggo pākaṭo, cakkhuṃ ummīletvāpi gayhati. Na ca khaṇḍiccādīneva jarā; na hi jarā cakkhuviññeyyā hoti.
อายุโน สํหานิ อินฺทฺริยานํ ปริปาโกติ อิเมหิ ปน ปเทหิ กาลาติกฺกเมเยว อภิพฺยตฺตาย อายุกฺขยจกฺขาทิอินฺทฺริยปริปากสงฺขาตาย ปกติยา ทีปิตาฯ เตนสฺสิเม ปจฺฉิมา เทฺว ปกตินิเทฺทสาติ เวทิตพฺพาฯ ตตฺถ ยสฺมา ชรํ ปตฺตสฺส อายุ หายติ ตสฺมา ชรา ‘‘อายุโน สํหานี’’ติ ผลูปจาเรน วุตฺตาฯ ยสฺมา ทหรกาเล สุปฺปสนฺนานิ สุขุมมฺปิ อตฺตโน วิสยํ สุเขเนว คณฺหนสมตฺถานิ จกฺขาทีนิ อินฺทฺริยานิ ชรํ ปตฺตสฺส ปริปกฺกานิ อาลุฬิตานิ อวิสทานิ โอฬาริกมฺปิ อตฺตโน วิสยํ คเหตุํ อสมตฺถานิ โหนฺติ, ตสฺมา ‘‘อินฺทฺริยานํ ปริปาโก’’ติ ผลูปจาเรเนว วุตฺตาฯ
Āyunosaṃhāni indriyānaṃ paripākoti imehi pana padehi kālātikkameyeva abhibyattāya āyukkhayacakkhādiindriyaparipākasaṅkhātāya pakatiyā dīpitā. Tenassime pacchimā dve pakatiniddesāti veditabbā. Tattha yasmā jaraṃ pattassa āyu hāyati tasmā jarā ‘‘āyuno saṃhānī’’ti phalūpacārena vuttā. Yasmā daharakāle suppasannāni sukhumampi attano visayaṃ sukheneva gaṇhanasamatthāni cakkhādīni indriyāni jaraṃ pattassa paripakkāni āluḷitāni avisadāni oḷārikampi attano visayaṃ gahetuṃ asamatthāni honti, tasmā ‘‘indriyānaṃ paripāko’’ti phalūpacāreneva vuttā.
สา ปเนสา เอวํ นิทฺทิฎฺฐา สพฺพาปิ ชรา ปากฎา ปฎิจฺฉนฺนาติ ทุวิธา โหติฯ ตตฺถ ทนฺตาทีสุ ขณฺฑาทิภาวทสฺสนโต รูปธเมฺมสุ ชรา ‘ปากฎชรา’ นามฯ อรูปธเมฺมสุ ปน ชรา ตาทิสสฺส วิการสฺส อทสฺสนโต ‘ปฎิจฺฉนฺนชรา’ นามฯ ตตฺถ ยฺวายํ ขณฺฑาทิภาโว ทิสฺสติ, โส ตาทิสานํ ทนฺตาทีนํ สุวิเญฺญยฺยตฺตา วโณฺณเยวฯ ตํ จกฺขุนา ทิสฺวา มโนทฺวาเรน จิเนฺตตฺวา ‘‘อิเม ทนฺตา ชราย ปหฎา’’ติ ชรํ ชานาติ, อุทกฎฺฐาเน พทฺธานิ โคสิงฺคาทีนิ โอโลเกตฺวา เหฎฺฐา อุทกสฺส อตฺถิภาวํ ชานนํ วิยฯ ปุน อวีจิ สวีจีติ เอวมฺปิ อยํ ชรา ทุวิธา โหติฯ ตตฺถ มณิกนกรชตปวาฬจนฺทสูริยาทีนํ มนฺททสกาทีสุ ปาณีนํ วิย จ ปุปฺผผลปลฺลวาทีสุ อปาณีนํ วิย จ อนฺตรนฺตรา วณฺณวิเสสาทีนํ ทุพฺพิเญฺญยฺยตฺตา ชรา ‘อวีจิชรา’ นาม, นิรนฺตรชราติ อโตฺถฯ ตโต อเญฺญสุ ปน ยถาวุเตฺตสุ อนฺตรนฺตรา วณฺณวิเสสาทีนํ สุวิเญฺญยฺยตฺตา ชรา ‘สวีจิชรา’ นามฯ
Sā panesā evaṃ niddiṭṭhā sabbāpi jarā pākaṭā paṭicchannāti duvidhā hoti. Tattha dantādīsu khaṇḍādibhāvadassanato rūpadhammesu jarā ‘pākaṭajarā’ nāma. Arūpadhammesu pana jarā tādisassa vikārassa adassanato ‘paṭicchannajarā’ nāma. Tattha yvāyaṃ khaṇḍādibhāvo dissati, so tādisānaṃ dantādīnaṃ suviññeyyattā vaṇṇoyeva. Taṃ cakkhunā disvā manodvārena cintetvā ‘‘ime dantā jarāya pahaṭā’’ti jaraṃ jānāti, udakaṭṭhāne baddhāni gosiṅgādīni oloketvā heṭṭhā udakassa atthibhāvaṃ jānanaṃ viya. Puna avīci savīcīti evampi ayaṃ jarā duvidhā hoti. Tattha maṇikanakarajatapavāḷacandasūriyādīnaṃ mandadasakādīsu pāṇīnaṃ viya ca pupphaphalapallavādīsu apāṇīnaṃ viya ca antarantarā vaṇṇavisesādīnaṃ dubbiññeyyattā jarā ‘avīcijarā’ nāma, nirantarajarāti attho. Tato aññesu pana yathāvuttesu antarantarā vaṇṇavisesādīnaṃ suviññeyyattā jarā ‘savīcijarā’ nāma.
ตตฺถ สวีจิชรา อุปาทินฺนานุปาทินฺนกวเสน เอวํ ทีเปตพฺพา – ทหรกุมารกานญฺหิ ปฐมเมว ขีรทนฺตา นาม อุฎฺฐหนฺติ, น เต ถิราฯ เตสุ ปน ปติเตสุ ปุน ทนฺตา อุฎฺฐหนฺติฯ เต ปฐมเมว เสตา โหนฺติ, ชราวาเตน ปน ปหฎกาเล กาฬกา โหนฺติฯ เกสา ปน ปฐมเมว ตมฺพาปิ โหนฺติ กาฬกาปิ เสตาปิฯ ฉวิ ปน สโลหิติกา โหติฯ วฑฺฒนฺตานํ วฑฺฒนฺตานํ โอทาตานํ โอทาตภาโว, กาฬกานํ กาฬกภาโว ปญฺญายติ, ชราวาเตน ปน ปหฎกาเล วฬิํ คณฺหาติฯ สพฺพมฺปิ สสฺสํ วปิตกาเล เสตํ โหติ, ปจฺฉา นีลํ, ชราวาเตน ปน ปหฎกาเล ปณฺฑุกํ โหติฯ อมฺพงฺกุเรนาปิ ทีเปตุํ วฎฺฎติ เอวฯ อยํ วุจฺจติ ชราติ อยํ ชรา นาม กถิยติฯ สา ปเนสา ขนฺธปริปากลกฺขณา, มรณูปนยนรสา, โยพฺพนวินาสปจฺจุปฎฺฐานาฯ
Tattha savīcijarā upādinnānupādinnakavasena evaṃ dīpetabbā – daharakumārakānañhi paṭhamameva khīradantā nāma uṭṭhahanti, na te thirā. Tesu pana patitesu puna dantā uṭṭhahanti. Te paṭhamameva setā honti, jarāvātena pana pahaṭakāle kāḷakā honti. Kesā pana paṭhamameva tambāpi honti kāḷakāpi setāpi. Chavi pana salohitikā hoti. Vaḍḍhantānaṃ vaḍḍhantānaṃ odātānaṃ odātabhāvo, kāḷakānaṃ kāḷakabhāvo paññāyati, jarāvātena pana pahaṭakāle vaḷiṃ gaṇhāti. Sabbampi sassaṃ vapitakāle setaṃ hoti, pacchā nīlaṃ, jarāvātena pana pahaṭakāle paṇḍukaṃ hoti. Ambaṅkurenāpi dīpetuṃ vaṭṭati eva. Ayaṃ vuccati jarāti ayaṃ jarā nāma kathiyati. Sā panesā khandhaparipākalakkhaṇā, maraṇūpanayanarasā, yobbanavināsapaccupaṭṭhānā.
‘ชราย ทุกฺขโฎฺฐ เวทิตโพฺพ’ติ เอตฺถ ปน อยมฺปิ สยํ น ทุกฺขา, ทุกฺขสฺส ปน วตฺถุภาเวน ทุกฺขาติ วุตฺตาฯ กตรสฺส ทุกฺขสฺส? กายทุกฺขสฺส เจว โทมนสฺสทุกฺขสฺส จฯ ชิณฺณสฺส หิ อตฺตภาโว ชรสกฎํ วิย ทุพฺพโล โหติ, ฐาตุํ วา คนฺตุํ วา นิสีทิตุํ วา วายมนฺตสฺส พลวํ กายทุกฺขํ อุปฺปชฺชติ; ปุตฺตทาเร ยถาปุเร อสลฺลเกฺขเนฺต โทมนสฺสํ อุปฺปชฺชติฯ อิติ อิเมสํ ทฺวินฺนมฺปิ ทุกฺขานํ วตฺถุภาเวน ทุกฺขาติ เวทิตพฺพาฯ อปิจ –
‘Jarāya dukkhaṭṭho veditabbo’ti ettha pana ayampi sayaṃ na dukkhā, dukkhassa pana vatthubhāvena dukkhāti vuttā. Katarassa dukkhassa? Kāyadukkhassa ceva domanassadukkhassa ca. Jiṇṇassa hi attabhāvo jarasakaṭaṃ viya dubbalo hoti, ṭhātuṃ vā gantuṃ vā nisīdituṃ vā vāyamantassa balavaṃ kāyadukkhaṃ uppajjati; puttadāre yathāpure asallakkhente domanassaṃ uppajjati. Iti imesaṃ dvinnampi dukkhānaṃ vatthubhāvena dukkhāti veditabbā. Apica –
องฺคานํ สิถิลภาวา, อินฺทฺริยานํ วิการโต;
Aṅgānaṃ sithilabhāvā, indriyānaṃ vikārato;
โยพฺพนสฺส วินาเสน, พลสฺส อุปฆาตโตฯ
Yobbanassa vināsena, balassa upaghātato.
วิปฺปวาสา สตาทีนํ, ปุตฺตทาเรหิ อตฺตโน;
Vippavāsā satādīnaṃ, puttadārehi attano;
อปสาทนียโต เจว, ภีโยฺย พาลตฺตปตฺติยาฯ
Apasādanīyato ceva, bhīyyo bālattapattiyā.
ปโปฺปติ ทุกฺขํ ยํ มโจฺจ, กายิกํ มานสํ ตถา;
Pappoti dukkhaṃ yaṃ macco, kāyikaṃ mānasaṃ tathā;
สพฺพเมตํ ชราเหตุ, ยสฺมา ตสฺมา ชรา ทุขาติฯ
Sabbametaṃ jarāhetu, yasmā tasmā jarā dukhāti.
มรณนิเทฺทโส
Maraṇaniddeso
๑๙๓. มรณนิเทฺทเส จวนกวเสน จุติ; เอกจตุปญฺจกฺขนฺธาย จุติยา สามญฺญวจนเมตํฯ จวนตาติ ภาววจเนน ลกฺขณนิทสฺสนํฯ เภโทติ จุติขนฺธานํ ภงฺคุปฺปตฺติปริทีปนํ ฯ อนฺตรธานนฺติ ฆฎสฺส วิย ภินฺนสฺส ภินฺนานํ จุติขนฺธานํ เยน เกนจิ ปริยาเยน ฐานาภาวปริทีปนํฯ มจฺจุ มรณนฺติ มจฺจุสงฺขาตํ มรณํฯ กาโล นาม อนฺตโก, ตสฺส กิริยา กาลกิริยาฯ เอตฺตาวตา สมฺมุติยา มรณํ ทีปิตํ โหติฯ
193. Maraṇaniddese cavanakavasena cuti; ekacatupañcakkhandhāya cutiyā sāmaññavacanametaṃ. Cavanatāti bhāvavacanena lakkhaṇanidassanaṃ. Bhedoti cutikhandhānaṃ bhaṅguppattiparidīpanaṃ . Antaradhānanti ghaṭassa viya bhinnassa bhinnānaṃ cutikhandhānaṃ yena kenaci pariyāyena ṭhānābhāvaparidīpanaṃ. Maccu maraṇanti maccusaṅkhātaṃ maraṇaṃ. Kālo nāma antako, tassa kiriyā kālakiriyā. Ettāvatā sammutiyā maraṇaṃ dīpitaṃ hoti.
อิทานิ ปรมเตฺถน ทีเปตุํ ขนฺธานํ เภโทติอาทิมาหฯ ปรมเตฺถน หิ ขนฺธาเยว ภิชฺชนฺติ, น สโตฺต นาม โกจิ มรติฯ ขเนฺธสุ ปน ภิชฺชมาเนสุ สโตฺต มรติ ภิเนฺนสุ มโตติ โวหาโร โหติฯ เอตฺถ จ จตุปญฺจโวการวเสน ขนฺธานํ เภโท, เอกโวการวเสน กเฬวรสฺส นิเกฺขโป; จตุโวการวเสน วา ขนฺธานํ เภโท, เสสทฺวยวเสน กเฬวรสฺส นิเกฺขโป เวทิตโพฺพฯ กสฺมา? ภวทฺวเยปิ รูปกายสงฺขาตสฺส กเฬวรสฺส สมฺภวโตฯ ยสฺมา วา จาตุมหาราชิกาทีสุ ขนฺธา ภิชฺชเนฺตว, น กิญฺจิ นิกฺขิปติ, ตสฺมา เตสํ วเสน ขนฺธานํ เภโทฯ มนุสฺสาทีสุ กเฬวรสฺส นิเกฺขโปฯ เอตฺถ จ กเฬวรสฺส นิเกฺขปกรณโต มรณํ ‘‘กเฬวรสฺส นิเกฺขโป’’ติ วุตฺตํฯ
Idāni paramatthena dīpetuṃ khandhānaṃ bhedotiādimāha. Paramatthena hi khandhāyeva bhijjanti, na satto nāma koci marati. Khandhesu pana bhijjamānesu satto marati bhinnesu matoti vohāro hoti. Ettha ca catupañcavokāravasena khandhānaṃ bhedo, ekavokāravasena kaḷevarassa nikkhepo; catuvokāravasena vā khandhānaṃ bhedo, sesadvayavasena kaḷevarassa nikkhepo veditabbo. Kasmā? Bhavadvayepi rūpakāyasaṅkhātassa kaḷevarassa sambhavato. Yasmā vā cātumahārājikādīsu khandhā bhijjanteva, na kiñci nikkhipati, tasmā tesaṃ vasena khandhānaṃ bhedo. Manussādīsu kaḷevarassa nikkhepo. Ettha ca kaḷevarassa nikkhepakaraṇato maraṇaṃ ‘‘kaḷevarassa nikkhepo’’ti vuttaṃ.
ชีวิตินฺทฺริยสฺส อุปเจฺฉโทติ อิมินา อินฺทฺริยพทฺธเสฺสว มรณํ นาม โหติ, อนินฺทฺริยพทฺธสฺส มรณํ นาม นตฺถีติ ทเสฺสติฯ ‘สสฺสํ มตํ, รุโกฺข มโต’ติ อิทํ ปน โวหารมตฺตเมวฯ อตฺถโต ปน เอวรูปานิ วจนานิ สสฺสาทีนํ ขยวยภาวเมว ทีเปนฺติฯ อิทํ วุจฺจติ มรณนฺติ อิทํ สพฺพมฺปิ มรณํ นาม กถิยติฯ
Jīvitindriyassa upacchedoti iminā indriyabaddhasseva maraṇaṃ nāma hoti, anindriyabaddhassa maraṇaṃ nāma natthīti dasseti. ‘Sassaṃ mataṃ, rukkho mato’ti idaṃ pana vohāramattameva. Atthato pana evarūpāni vacanāni sassādīnaṃ khayavayabhāvameva dīpenti. Idaṃ vuccati maraṇanti idaṃ sabbampi maraṇaṃ nāma kathiyati.
อปิเจตฺถ ขณิกมรณํ, สมฺมุติมรณํ, สมุเจฺฉทมรณนฺติ อยมฺปิ เภโท เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ ‘ขณิกมรณํ’ นาม ปวเตฺต รูปารูปธมฺมานํ เภโทฯ ‘ติโสฺส มโต, ผุโสฺส มโต’ติ อิทํ ‘สมฺมุติมรณํ’ นามฯ ขีณาสวสฺส อปฺปฎิสนฺธิกา กาลกิริยา ‘สมุเจฺฉทมรณํ’ นามฯ อิมสฺมิํ ปนเตฺถ สมฺมุติมรณํ อธิเปฺปตํฯ ชาติกฺขยมรณํ, อุปกฺกมมรณํ, สรสมรณํ, อายุกฺขยมรณํ, ปุญฺญกฺขยมรณนฺติปิ ตเสฺสว นามํฯ ตยิทํ จุติลกฺขณํ, วิโยครสํ, วิปฺปวาสปจฺจุปฎฺฐานํฯ
Apicettha khaṇikamaraṇaṃ, sammutimaraṇaṃ, samucchedamaraṇanti ayampi bhedo veditabbo. Tattha ‘khaṇikamaraṇaṃ’ nāma pavatte rūpārūpadhammānaṃ bhedo. ‘Tisso mato, phusso mato’ti idaṃ ‘sammutimaraṇaṃ’ nāma. Khīṇāsavassa appaṭisandhikā kālakiriyā ‘samucchedamaraṇaṃ’ nāma. Imasmiṃ panatthe sammutimaraṇaṃ adhippetaṃ. Jātikkhayamaraṇaṃ, upakkamamaraṇaṃ, sarasamaraṇaṃ, āyukkhayamaraṇaṃ, puññakkhayamaraṇantipi tasseva nāmaṃ. Tayidaṃ cutilakkhaṇaṃ, viyogarasaṃ, vippavāsapaccupaṭṭhānaṃ.
‘มรณสฺส ทุกฺขโฎฺฐ เวทิตโพฺพ’ติ เอตฺถ ปน อิทมฺปิ สยํ น ทุกฺขํ, ทุกฺขสฺส ปน วตฺถุภาเวน ทุกฺขนฺติ วุตฺตํฯ มรณนฺติกาปิ หิ สารีริกา เวทนา, ปฎิวาเต คหิตา อาทิตฺตติณุกฺกา วิย, สรีรํ นิทหนฺติฯ นรกนิมิตฺตาทีนํ อุปฎฺฐานกาเล พลวโทมนสฺสํ อุปฺปชฺชติฯ อิติ อิเมสํ ทฺวินฺนมฺปิ ทุกฺขานํ วตฺถุภาเวน ทุกฺขนฺติ เวทิตพฺพํฯ อปิ จ –
‘Maraṇassa dukkhaṭṭho veditabbo’ti ettha pana idampi sayaṃ na dukkhaṃ, dukkhassa pana vatthubhāvena dukkhanti vuttaṃ. Maraṇantikāpi hi sārīrikā vedanā, paṭivāte gahitā ādittatiṇukkā viya, sarīraṃ nidahanti. Narakanimittādīnaṃ upaṭṭhānakāle balavadomanassaṃ uppajjati. Iti imesaṃ dvinnampi dukkhānaṃ vatthubhāvena dukkhanti veditabbaṃ. Api ca –
ปาปสฺส ปาปกมฺมาทิ, นิมิตฺตมนุปสฺสโต;
Pāpassa pāpakammādi, nimittamanupassato;
ภทฺทสฺสาปสหนฺตสฺส, วิโยคํ ปิยวตฺถุกํฯ
Bhaddassāpasahantassa, viyogaṃ piyavatthukaṃ.
มียมานสฺส ยํ ทุกฺขํ, มานสํ อวิเสสโต;
Mīyamānassa yaṃ dukkhaṃ, mānasaṃ avisesato;
สเพฺพสญฺจาปิ ยํ สนฺธิ-พนฺธนเจฺฉทนาทิกํฯ
Sabbesañcāpi yaṃ sandhi-bandhanacchedanādikaṃ.
วิตุชฺชมานมมฺมานํ, โหติ ทุกฺขํ สรีรชํ;
Vitujjamānamammānaṃ, hoti dukkhaṃ sarīrajaṃ;
อสยฺหมปฺปฎิการํ, ทุกฺขเสฺสตสฺสิทํ ยโต;
Asayhamappaṭikāraṃ, dukkhassetassidaṃ yato;
มรณํ วตฺถุ เตเนตํ, ทุกฺขมิเจฺจว ภาสิตนฺติฯ
Maraṇaṃ vatthu tenetaṃ, dukkhamicceva bhāsitanti.
อปิจ อิมานิ ชาติชรามรณานิ นาม อิเมสํ สตฺตานํ วธกปจฺจามิตฺตา วิย โอตารํ คเวสนฺตานิ วิจรนฺติฯ ยถา หิ ปุริสสฺส ตีสุ ปจฺจามิเตฺตสุ โอตาราเปเกฺขสุ วิจรเนฺตสุ เอโก วเทยฺย – ‘‘อหํ อสุกอรญฺญสฺส นาม วณฺณํ กเถตฺวา เอตํ อาทาย ตตฺถ คมิสฺสามิ, เอตฺถ มยฺหํ ทุกฺกรํ นตฺถี’’ติฯ ทุติโย วเทยฺย ‘‘อหํ ตว เอตํ คเหตฺวา คตกาเล โปเถตฺวา ทุพฺพลํ กริสฺสามิ, เอตฺถ มยฺหํ ทุกฺกรํ นตฺถี’’ติฯ ตติโย วเทยฺย – ‘‘ตยา เอตสฺมิํ โปเถตฺวา ทุพฺพเล กเต ติเณฺหน อสินา สีสเจฺฉทนํ นาม มยฺหํ ภาโร โหตู’’ติฯ เต เอวํ วตฺวา ตถา กเรยฺยุํฯ
Apica imāni jātijarāmaraṇāni nāma imesaṃ sattānaṃ vadhakapaccāmittā viya otāraṃ gavesantāni vicaranti. Yathā hi purisassa tīsu paccāmittesu otārāpekkhesu vicarantesu eko vadeyya – ‘‘ahaṃ asukaaraññassa nāma vaṇṇaṃ kathetvā etaṃ ādāya tattha gamissāmi, ettha mayhaṃ dukkaraṃ natthī’’ti. Dutiyo vadeyya ‘‘ahaṃ tava etaṃ gahetvā gatakāle pothetvā dubbalaṃ karissāmi, ettha mayhaṃ dukkaraṃ natthī’’ti. Tatiyo vadeyya – ‘‘tayā etasmiṃ pothetvā dubbale kate tiṇhena asinā sīsacchedanaṃ nāma mayhaṃ bhāro hotū’’ti. Te evaṃ vatvā tathā kareyyuṃ.
ตตฺถ ปฐมปจฺจามิตฺตสฺส อรญฺญสฺส วณฺณํ กเถตฺวา ตํ อาทาย ตตฺถ คตกาโล วิย สุหชฺชญาติมณฺฑลโต นิกฺกฑฺฒิตฺวา ยตฺถ กตฺถจิ นิพฺพตฺตาปนํ นาม ชาติยา กิจฺจํฯ ทุติยสฺส โปเถตฺวา ทุพฺพลกรณํ วิย นิพฺพตฺตกฺขเนฺธสุ นิปติตฺวา ปราธีนมญฺจปรายณภาวกรณํ ชราย กิจฺจํฯ ตติยสฺส ติเณฺหน อสินา สีสเจฺฉทนํ วิย ชีวิตกฺขยปาปนํ มรณสฺส กิจฺจนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Tattha paṭhamapaccāmittassa araññassa vaṇṇaṃ kathetvā taṃ ādāya tattha gatakālo viya suhajjañātimaṇḍalato nikkaḍḍhitvā yattha katthaci nibbattāpanaṃ nāma jātiyā kiccaṃ. Dutiyassa pothetvā dubbalakaraṇaṃ viya nibbattakkhandhesu nipatitvā parādhīnamañcaparāyaṇabhāvakaraṇaṃ jarāya kiccaṃ. Tatiyassa tiṇhena asinā sīsacchedanaṃ viya jīvitakkhayapāpanaṃ maraṇassa kiccanti veditabbaṃ.
อปิเจตฺถ ชาติทุกฺขํ สาทีนวมหากนฺตารปฺปเวโส วิย ทฎฺฐพฺพํฯ ชราทุกฺขํ ตตฺถ อนฺนปานรหิตสฺส ทุพฺพลฺยํ วิย ทฎฺฐพฺพํฯ มรณทุกฺขํ ทุพฺพลสฺส อิริยาปถปวตฺตเน วิหตปรกฺกมสฺส วาฬาทีหิ อนยพฺยสนาปาทนํ วิย ทฎฺฐพฺพนฺติฯ
Apicettha jātidukkhaṃ sādīnavamahākantārappaveso viya daṭṭhabbaṃ. Jarādukkhaṃ tattha annapānarahitassa dubbalyaṃ viya daṭṭhabbaṃ. Maraṇadukkhaṃ dubbalassa iriyāpathapavattane vihataparakkamassa vāḷādīhi anayabyasanāpādanaṃ viya daṭṭhabbanti.
โสกนิเทฺทโส
Sokaniddeso
๑๙๔. โสกนิเทฺทเส พฺยสตีติ พฺยสนํ; หิตสุขํ ขิปติ วิทฺธํเสตีติ อโตฺถฯ ญาตีนํ พฺยสนํ ญาติพฺยสนํ; โจรโรคภยาทีหิ ญาติกฺขโย ญาติวินาโสติ อโตฺถฯ เตน ญาติพฺยสเนน ผุฎฺฐสฺสาติ อโชฺฌตฺถฎสฺส อภิภูตสฺส สมนฺนาคตสฺสาติ อโตฺถฯ เสเสสุปิ เอเสว นโยฯ อยํ ปน วิเสโส – โภคานํ พฺยสนํ โภคพฺยสนํ; ราชโจราทิวเสน โภคกฺขโย โภควินาโสติ อโตฺถฯ โรโคเยว พฺยสนํ โรคพฺยสนํ; โรโค หิ อาโรคฺยํ พฺยสติ วินาเสตีติ พฺยสนํฯ สีลสฺส พฺยสนํ สีลพฺยสนํ; ทุสฺสีลฺยเสฺสตํ นามํฯ สมฺมาทิฎฺฐิํ วินาสยมานา อุปฺปนฺนา ทิฎฺฐิเยว พฺยสนํ ทิฎฺฐิพฺยสนํฯ เอตฺถ จ ปุริมานิ เทฺว อนิปฺผนฺนานิ, ปจฺฉิมานิ ตีณิ นิปฺผนฺนานิ ติลกฺขณพฺภาหตานิฯ ปุริมานิ จ ตีณิ เนว กุสลานิ น อกุสลานิฯ สีลทิฎฺฐิพฺยสนทฺวยํ อกุสลํฯ
194. Sokaniddese byasatīti byasanaṃ; hitasukhaṃ khipati viddhaṃsetīti attho. Ñātīnaṃ byasanaṃ ñātibyasanaṃ; corarogabhayādīhi ñātikkhayo ñātivināsoti attho. Tena ñātibyasanena phuṭṭhassāti ajjhotthaṭassa abhibhūtassa samannāgatassāti attho. Sesesupi eseva nayo. Ayaṃ pana viseso – bhogānaṃ byasanaṃ bhogabyasanaṃ; rājacorādivasena bhogakkhayo bhogavināsoti attho. Rogoyeva byasanaṃ rogabyasanaṃ; rogo hi ārogyaṃ byasati vināsetīti byasanaṃ. Sīlassa byasanaṃ sīlabyasanaṃ; dussīlyassetaṃ nāmaṃ. Sammādiṭṭhiṃ vināsayamānā uppannā diṭṭhiyeva byasanaṃ diṭṭhibyasanaṃ. Ettha ca purimāni dve anipphannāni, pacchimāni tīṇi nipphannāni tilakkhaṇabbhāhatāni. Purimāni ca tīṇi neva kusalāni na akusalāni. Sīladiṭṭhibyasanadvayaṃ akusalaṃ.
อญฺญตรญฺญตเรนาติ คหิเตสุ วา เยน เกนจิ อคฺคหิเตสุ วา มิตฺตามจฺจพฺยสนาทีสุ เยน เกนจิฯ สมนฺนาคตสฺสาติ สมนุพนฺธสฺส อปริมุจฺจมานสฺสฯ อญฺญตรญฺญตเรน ทุกฺขธเมฺมนาติ เยน เกนจิ โสกทุกฺขสฺส อุปฺปตฺติเหตุนาฯ โสโกติ โสจนกวเสน โสโก; อิทํ เตหิ การเณหิ อุปชฺชนกโสกสฺส สภาวปจฺจตฺตํฯ โสจนาติ โสจนากโรฯ โสจิตตฺตนฺติ โสจิตภาโวฯ อโนฺตโสโกติ อพฺภนฺตเร โสโกฯ ทุติยปทํ อุปสคฺควเสน วฑฺฒิตํฯ โส หิ อพฺภนฺตเร สุกฺขาเปโนฺต วิย ปริสุกฺขาเปโนฺต วิย อุปฺปชฺชตีติ ‘‘อโนฺตโสโก อโนฺตปริโสโก’’ติ วุจฺจติฯ
Aññataraññatarenāti gahitesu vā yena kenaci aggahitesu vā mittāmaccabyasanādīsu yena kenaci. Samannāgatassāti samanubandhassa aparimuccamānassa. Aññataraññatarena dukkhadhammenāti yena kenaci sokadukkhassa uppattihetunā. Sokoti socanakavasena soko; idaṃ tehi kāraṇehi upajjanakasokassa sabhāvapaccattaṃ. Socanāti socanākaro. Socitattanti socitabhāvo. Antosokoti abbhantare soko. Dutiyapadaṃ upasaggavasena vaḍḍhitaṃ. So hi abbhantare sukkhāpento viya parisukkhāpento viya uppajjatīti ‘‘antosoko antoparisoko’’ti vuccati.
เจตโส ปริชฺฌายนาติ จิตฺตสฺส ฌายนากาโรฯ โสโก หิ อุปฺปชฺชมาโน อคฺคิ วิย จิตฺตํ ฌาเปติ ปริทหติ, ‘‘จิตฺตํ เม ฌามํ, น เม กิญฺจิ ปฎิภาตี’’ติ วทาเปติฯ ทุกฺขิโต มโน ทุมฺมโน, ตสฺส ภาโว โทมนสฺสํฯ อนุปวิฎฺฐเฎฺฐน โสโกว สลฺลนฺติ โสกสลฺลํฯ อยํ วุจฺจติ โสโกติ อยํ โสโก นาม กถิยติฯ โส ปนายํ กิญฺจาปิ อตฺถโต โทมนสฺสเวทนาว โหติ, เอวํ สเนฺตปิ อโนฺตนิชฺฌานลกฺขโณ, เจตโส ปรินิชฺฌายนรโส, อนุโสจนปจฺจุปฎฺฐาโนฯ
Cetaso parijjhāyanāti cittassa jhāyanākāro. Soko hi uppajjamāno aggi viya cittaṃ jhāpeti paridahati, ‘‘cittaṃ me jhāmaṃ, na me kiñci paṭibhātī’’ti vadāpeti. Dukkhito mano dummano, tassa bhāvo domanassaṃ. Anupaviṭṭhaṭṭhena sokova sallanti sokasallaṃ. Ayaṃ vuccati sokoti ayaṃ soko nāma kathiyati. So panāyaṃ kiñcāpi atthato domanassavedanāva hoti, evaṃ santepi antonijjhānalakkhaṇo, cetaso parinijjhāyanaraso, anusocanapaccupaṭṭhāno.
‘โสกสฺส ทุกฺขโฎฺฐ เวทิตโพฺพ’ติ เอตฺถ ปน อยํ สภาวทุกฺขตฺตา เจว ทุกฺขสฺส จ วตฺถุภาเวน ทุโกฺขติ วุโตฺตฯ กตรทุกฺขสฺสาติ? กายิกทุกฺขสฺส เจว ชวนกฺขเณ จ โทมนสฺสทุกฺขสฺสฯ โสกเวเคน หิ หทเย มหาคโณฺฑ อุฎฺฐหิตฺวา ปริปจฺจิตฺวา ภิชฺชติ, มุขโต วา กาฬโลหิตํ นิกฺขมติ, พลวํ กายทุกฺขํ อุปฺปชฺชติฯ ‘‘เอตฺตกา เม ญาตโย ขยํ คตา, เอตฺตกา เม โภคา’’ติ จิเนฺตนฺตสฺส จ พลวํ โทมนสฺสํ อุปฺปชฺชติฯ อิติ อิเมสํ ทฺวินฺนํ ทุกฺขานํ วตฺถุภาเวนเปส ทุโกฺขติ เวทิตโพฺพฯ อปิจ –
‘Sokassa dukkhaṭṭho veditabbo’ti ettha pana ayaṃ sabhāvadukkhattā ceva dukkhassa ca vatthubhāvena dukkhoti vutto. Kataradukkhassāti? Kāyikadukkhassa ceva javanakkhaṇe ca domanassadukkhassa. Sokavegena hi hadaye mahāgaṇḍo uṭṭhahitvā paripaccitvā bhijjati, mukhato vā kāḷalohitaṃ nikkhamati, balavaṃ kāyadukkhaṃ uppajjati. ‘‘Ettakā me ñātayo khayaṃ gatā, ettakā me bhogā’’ti cintentassa ca balavaṃ domanassaṃ uppajjati. Iti imesaṃ dvinnaṃ dukkhānaṃ vatthubhāvenapesa dukkhoti veditabbo. Apica –
สตฺตานํ หทยํ โสโก, สลฺลํ วิย วิตุชฺชติ;
Sattānaṃ hadayaṃ soko, sallaṃ viya vitujjati;
อคฺคิตโตฺตว นาราโจ, ภุสญฺจ ฑหเต ปุนฯ
Aggitattova nārāco, bhusañca ḍahate puna.
สมาวหติ จ พฺยาธิ-ชรามรณเภทนํ;
Samāvahati ca byādhi-jarāmaraṇabhedanaṃ;
ทุกฺขมฺปิ วิวิธํ ยสฺมา, ตสฺมา ทุโกฺขติ วุจฺจตีติฯ
Dukkhampi vividhaṃ yasmā, tasmā dukkhoti vuccatīti.
ปริเทวนิเทฺทโส
Paridevaniddeso
๑๙๕. ปริเทวนิเทฺทเส ‘มยฺหํ ธีตา, มยฺหํ ปุโตฺต’ติ เอวํ อาทิสฺส อาทิสฺส เทวนฺติ โรทนฺติ เอเตนาติ อาเทโวฯ ตํ ตํ วณฺณํ ปริกิเตฺตตฺวา ปริกิเตฺตตฺวา เทวนฺติ เอเตนาติ ปริเทโวฯ ตโต ปรานิ เทฺว เทฺว ปทานิ ปุริมทฺวยเสฺสว อาการภาวนิเทฺทสวเสน วุตฺตานิฯ วาจาติ วจนํฯ ปลาโปติ ตุจฺฉํ นิรตฺถกวจนํฯ อุปฑฺฒภณิตอญฺญภณิตาทิวเสน วิรูโป ปลาโป วิปฺปลาโปฯ ลาลโปฺปติ ปุนปฺปุนํ ลปนํฯ ลาลปฺปนากาโร ลาลปฺปนาฯ ลาลปฺปิตสฺส ภาโว ลาลปฺปิตตฺตํฯ อยํ วุจฺจติ ปริเทโวติ อยํ ปริเทโว นาม กถิยติฯ โส ลาลปฺปนลกฺขโณ, คุณโทสปริกิตฺตนรโส, สมฺภมปจฺจุปฎฺฐาโนฯ
195. Paridevaniddese ‘mayhaṃ dhītā, mayhaṃ putto’ti evaṃ ādissa ādissa devanti rodanti etenāti ādevo. Taṃ taṃ vaṇṇaṃ parikittetvā parikittetvā devanti etenāti paridevo. Tato parāni dve dve padāni purimadvayasseva ākārabhāvaniddesavasena vuttāni. Vācāti vacanaṃ. Palāpoti tucchaṃ niratthakavacanaṃ. Upaḍḍhabhaṇitaaññabhaṇitādivasena virūpo palāpo vippalāpo. Lālappoti punappunaṃ lapanaṃ. Lālappanākāro lālappanā. Lālappitassa bhāvo lālappitattaṃ. Ayaṃ vuccati paridevoti ayaṃ paridevo nāma kathiyati. So lālappanalakkhaṇo, guṇadosaparikittanaraso, sambhamapaccupaṭṭhāno.
‘ปริเทวสฺส ทุกฺขโฎฺฐ เวทิตโพฺพ’ติ เอตฺถ ปน อยมฺปิ สยํ น ทุโกฺข, กายทุกฺขโทมนสฺสทุกฺขานํ ปน วตฺถุภาเวน ทุโกฺขติ วุโตฺตฯ ปริเทวโนฺต หิ อตฺตโน ขนฺธํ มุฎฺฐีหิ โปเถติ, อุโภหิ หเตฺถหิ อุรํ ปหรติ ปิํสติ, สีเสน ภิตฺติยา สทฺธิํ ยุชฺฌติฯ เตนสฺส พลวํ กายทุกฺขํ อุปฺปชฺชติฯ ‘เอตฺตกา เม ญาตโย ขยํ วยํ อพฺภตฺถํ คตา’ติอาทีนิ จิเนฺตติฯ เตนสฺส พลวํ โทมนสฺสํ อุปฺปชฺชติฯ อิติ อิเมสํ ทฺวินฺนมฺปิ ทุกฺขานํ วตฺถุภาเวน ทุโกฺขติ เวทิตโพฺพฯ อปิจ –
‘Paridevassa dukkhaṭṭho veditabbo’ti ettha pana ayampi sayaṃ na dukkho, kāyadukkhadomanassadukkhānaṃ pana vatthubhāvena dukkhoti vutto. Paridevanto hi attano khandhaṃ muṭṭhīhi potheti, ubhohi hatthehi uraṃ paharati piṃsati, sīsena bhittiyā saddhiṃ yujjhati. Tenassa balavaṃ kāyadukkhaṃ uppajjati. ‘Ettakā me ñātayo khayaṃ vayaṃ abbhatthaṃ gatā’tiādīni cinteti. Tenassa balavaṃ domanassaṃ uppajjati. Iti imesaṃ dvinnampi dukkhānaṃ vatthubhāvena dukkhoti veditabbo. Apica –
ยํ โสกสลฺลวิหโต ปริเทวมาโน,
Yaṃ sokasallavihato paridevamāno,
กโณฺฐฎฺฐตาลุตลโสสชมปฺปสยฺหํ;
Kaṇṭhoṭṭhatālutalasosajamappasayhaṃ;
ภิโยฺยธิมตฺตมธิคจฺฉติเยว ทุกฺขํ,
Bhiyyodhimattamadhigacchatiyeva dukkhaṃ,
ทุโกฺขติ เตน ภควา ปริเทวมาหาติฯ
Dukkhoti tena bhagavā paridevamāhāti.
ทุกฺขโทมนสฺสนิเทฺทโส
Dukkhadomanassaniddeso
๑๙๖-๗. ทุกฺขโทมนสฺสนิเทฺทสา เหฎฺฐา ธมฺมสงฺคหฎฺฐกถายํ วณฺณิตตฺตา ปากฎา เอวฯ ลกฺขณาทีนิ ปน เตสํ ตตฺถ วุตฺตาเนวฯ
196-7. Dukkhadomanassaniddesā heṭṭhā dhammasaṅgahaṭṭhakathāyaṃ vaṇṇitattā pākaṭā eva. Lakkhaṇādīni pana tesaṃ tattha vuttāneva.
‘ทุกฺขสฺส ทุกฺขโฎฺฐ เวทิตโพฺพ, โทมนสฺสสฺส ทุกฺขโฎฺฐ เวทิตโพฺพ’ติ เอตฺถ ปน อุภยเมฺปตํ สยญฺจ ทุกฺขตฺตา กายิกเจตสิกทุกฺขานญฺจ วตฺถุภาเวน ทุกฺขนฺติ วุตฺตํฯ หตฺถปาทานญฺหิ กณฺณนาสิกานญฺจ เฉทนทุเกฺขน ทุกฺขิตสฺส , อนาถสาลายํ อุจฺฉิฎฺฐกปาลํ ปุรโต กตฺวา นิปนฺนสฺส, วณมุเขหิ ปุฬุวเกสุ นิกฺขมเนฺตสุ พลวํ กายทุกฺขํ อุปฺปชฺชติ; นานารงฺครตฺตวตฺถมนุญฺญาลงฺการํ นกฺขตฺตํ กีฬนฺตํ มหาชนํ ทิสฺวา พลวโทมนสฺสํ อุปฺปชฺชติฯ เอวํ ตาว ทุกฺขสฺส ทฺวินฺนมฺปิ ทุกฺขานํ วตฺถุภาโว เวทิตโพฺพฯ อปิจ –
‘Dukkhassa dukkhaṭṭho veditabbo, domanassassa dukkhaṭṭho veditabbo’ti ettha pana ubhayampetaṃ sayañca dukkhattā kāyikacetasikadukkhānañca vatthubhāvena dukkhanti vuttaṃ. Hatthapādānañhi kaṇṇanāsikānañca chedanadukkhena dukkhitassa , anāthasālāyaṃ ucchiṭṭhakapālaṃ purato katvā nipannassa, vaṇamukhehi puḷuvakesu nikkhamantesu balavaṃ kāyadukkhaṃ uppajjati; nānāraṅgarattavatthamanuññālaṅkāraṃ nakkhattaṃ kīḷantaṃ mahājanaṃ disvā balavadomanassaṃ uppajjati. Evaṃ tāva dukkhassa dvinnampi dukkhānaṃ vatthubhāvo veditabbo. Apica –
ปีเฬติ กายิกมิทํ, ทุกฺขํ ทุกฺขญฺจ มานสํ ภิโยฺย;
Pīḷeti kāyikamidaṃ, dukkhaṃ dukkhañca mānasaṃ bhiyyo;
ชนยติ ยสฺมา ตสฺมา, ทุกฺขนฺติ วิเสสโต วุตฺตนฺติฯ
Janayati yasmā tasmā, dukkhanti visesato vuttanti.
เจโตทุกฺขสมปฺปิตา ปน เกเส ปกิริย อุรานิ ปติปิเสนฺติ, อาวฎฺฎนฺติ, วิวฎฺฎนฺติ, ฉินฺนปปาตํ ปปตนฺติ, สตฺถํ อาหรนฺติ, วิสํ ขาทนฺติ, รชฺชุยา อุพฺพนฺธนฺติ, อคฺคิํ ปวิสนฺติ ฯ ตํ ตํ วิปรีตํ วตฺถุํ ตถา ตถา วิปฺปฎิสาริโน ปริฑยฺหมานจิตฺตา จิเนฺตนฺติฯ เอวํ โทมนสฺสสฺส อุภินฺนมฺปิ ทุกฺขานํ วตฺถุภาโว เวทิตโพฺพฯ อปิจ –
Cetodukkhasamappitā pana kese pakiriya urāni patipisenti, āvaṭṭanti, vivaṭṭanti, chinnapapātaṃ papatanti, satthaṃ āharanti, visaṃ khādanti, rajjuyā ubbandhanti, aggiṃ pavisanti . Taṃ taṃ viparītaṃ vatthuṃ tathā tathā vippaṭisārino pariḍayhamānacittā cintenti. Evaṃ domanassassa ubhinnampi dukkhānaṃ vatthubhāvo veditabbo. Apica –
ปีเฬติ ยโต จิตฺตํ, กายสฺส จ ปีฬนํ สมาวหติ;
Pīḷeti yato cittaṃ, kāyassa ca pīḷanaṃ samāvahati;
ทุกฺขนฺติ โทมนสฺสมฺปิ, โทมนสฺสํ ตโต อหูติฯ
Dukkhanti domanassampi, domanassaṃ tato ahūti.
อุปายาสนิเทฺทโส
Upāyāsaniddeso
๑๙๘. อุปายาสนิเทฺทเส อายาสนเฎฺฐน อายาโส; สํสีทนวิสีทนาการปฺปวตฺตสฺส จิตฺตกิลมถเสฺสตํ นามํฯ พลวํ อายาโส อุปายาโสฯ อายาสิตภาโว อายาสิตตฺตํฯ อุปายาสิตภาโว อุปายาสิตตฺตํฯ อยํ วุจฺจติ อุปายาโสติ อยํ อุปายาโส นาม กถิยติฯ โส ปเนส พฺยาสตฺติลกฺขโณ, นิตฺถุนนรโส, วิสาทปจฺจุปฎฺฐาโนฯ
198. Upāyāsaniddese āyāsanaṭṭhena āyāso; saṃsīdanavisīdanākārappavattassa cittakilamathassetaṃ nāmaṃ. Balavaṃ āyāso upāyāso. Āyāsitabhāvo āyāsitattaṃ. Upāyāsitabhāvo upāyāsitattaṃ. Ayaṃ vuccati upāyāsoti ayaṃ upāyāso nāma kathiyati. So panesa byāsattilakkhaṇo, nitthunanaraso, visādapaccupaṭṭhāno.
‘อุปายาสสฺส ทุกฺขโฎฺฐ เวทิตโพฺพ’ติ เอตฺถ ปน อยมฺปิ สยํ น ทุโกฺข, อุภินฺนมฺปิ ทุกฺขานํ วตฺถุภาเวน ทุโกฺขติ วุโตฺตฯ กุปิเตน หิ รญฺญา อิสฺสริยํ อจฺฉินฺทิตฺวา หตปุตฺตภาติกานํ อาณตฺตวธานํ ภเยน อฎวิํ ปวิสิตฺวา นิลีนานํ มหาวิสาทปฺปตฺตานํ ทุกฺขฎฺฐาเนน ทุกฺขเสยฺยาย ทุกฺขนิสชฺชาย พลวํ กายทุกฺขํ อุปฺปชฺชติฯ ‘เอตฺตกา โน ญาตกา, เอตฺตกา โภคา นฎฺฐา’ติ จิเนฺตนฺตานํ พลวโทมนสฺสํ อุปฺปชฺชติฯ อิติ อิเมสํ ทฺวินฺนมฺปิ ทุกฺขานํ วตฺถุภาเวน ทุโกฺขติ เวทิตโพฺพติฯ อปิจ –
‘Upāyāsassa dukkhaṭṭho veditabbo’ti ettha pana ayampi sayaṃ na dukkho, ubhinnampi dukkhānaṃ vatthubhāvena dukkhoti vutto. Kupitena hi raññā issariyaṃ acchinditvā hataputtabhātikānaṃ āṇattavadhānaṃ bhayena aṭaviṃ pavisitvā nilīnānaṃ mahāvisādappattānaṃ dukkhaṭṭhānena dukkhaseyyāya dukkhanisajjāya balavaṃ kāyadukkhaṃ uppajjati. ‘Ettakā no ñātakā, ettakā bhogā naṭṭhā’ti cintentānaṃ balavadomanassaṃ uppajjati. Iti imesaṃ dvinnampi dukkhānaṃ vatthubhāvena dukkhoti veditabboti. Apica –
จิตฺตสฺส ปริทหนา, กายสฺส วิสาทนา จ อธิมตฺตํ;
Cittassa paridahanā, kāyassa visādanā ca adhimattaṃ;
ยํ ทุกฺขมุปายาโส, ชเนติ ทุโกฺข ตโต วุโตฺตฯ
Yaṃ dukkhamupāyāso, janeti dukkho tato vutto.
เอตฺถ จ มนฺทคฺคินา อโนฺตภาชเนเยว เตลาทีนํ ปาโก วิย โสโกฯ ติกฺขคฺคินา ปจฺจมานสฺส ภาชนโต พหินิกฺขมนํ วิย ปริเทโวฯ พหินิกฺขนฺตาวเสสสฺส นิกฺขมิตุมฺปิ อปฺปโหนฺตสฺส อโนฺตภาชเนเยว ยาว ปริกฺขยา ปาโก วิย อุปายาโส ทฎฺฐโพฺพฯ
Ettha ca mandagginā antobhājaneyeva telādīnaṃ pāko viya soko. Tikkhagginā paccamānassa bhājanato bahinikkhamanaṃ viya paridevo. Bahinikkhantāvasesassa nikkhamitumpi appahontassa antobhājaneyeva yāva parikkhayā pāko viya upāyāso daṭṭhabbo.
อปฺปิยสมฺปโยคนิเทฺทโส
Appiyasampayoganiddeso
๑๙๙. อปฺปิยสมฺปโยคนิเทฺทเส ยสฺสาติ เย อสฺสฯ อนิฎฺฐาติ อปริเยสิตาฯ ปริเยสิตา วา โหนฺตุ อปริเยสิตา วา, นามเมเวตํ อมนาปารมฺมณานํฯ มนสฺมิํ น กมนฺติ, น ปวิสนฺตีติ อกนฺตาฯ มนสฺมิํ น อปฺปิยนฺติ, น วา มนํ วเฑฺฒนฺตีติ อมนาปาฯ รูปาติอาทิ เตสํ สภาวนิทสฺสนํฯ อนตฺถํ กาเมนฺติ อิจฺฉนฺตีติ อนตฺถกามาฯ อหิตํ กาเมนฺติ อิจฺฉนฺตีติ อหิตกามาฯ อผาสุกํ ทุกฺขวิหารํ กาเมนฺติ อิจฺฉนฺตีติ อผาสุกกามาฯ จตูหิ โยเคหิ เขมํ นิพฺภยํ วิวฎฺฎํ น อิจฺฉนฺติ, สภยํ วฎฺฎเมว เนสํ กาเมนฺติ อิจฺฉนฺตีติ อาโยคเกฺขมกามาฯ
199. Appiyasampayoganiddese yassāti ye assa. Aniṭṭhāti apariyesitā. Pariyesitā vā hontu apariyesitā vā, nāmamevetaṃ amanāpārammaṇānaṃ. Manasmiṃ na kamanti, na pavisantīti akantā. Manasmiṃ na appiyanti, na vā manaṃ vaḍḍhentīti amanāpā. Rūpātiādi tesaṃ sabhāvanidassanaṃ. Anatthaṃ kāmenti icchantīti anatthakāmā. Ahitaṃ kāmenti icchantīti ahitakāmā. Aphāsukaṃ dukkhavihāraṃ kāmenti icchantīti aphāsukakāmā. Catūhi yogehi khemaṃ nibbhayaṃ vivaṭṭaṃ na icchanti, sabhayaṃ vaṭṭameva nesaṃ kāmenti icchantīti āyogakkhemakāmā.
อปิจ สทฺธาทีนํ วุทฺธิสงฺขาตสฺส อตฺถสฺส อกามนโต เตสํเยว หานิสงฺขาตสฺส อนตฺถสฺส จ กามนโต อนตฺถกามาฯ สทฺธาทีนํเยว อุปายภูตสฺส หิตสฺส อกามนโต สทฺธาหานิอาทีนํ อุปายภูตสฺส อหิตสฺส จ กามนโต อหิตกามาฯ ผาสุกวิหารสฺส อกามนโต อผาสุกวิหารสฺส จ กามนโต อผาสุกกามาฯ ยสฺส กสฺสจิ นิพฺภยสฺส อกามนโต ภยสฺส จ กามนโต อโยคเกฺขมกามาติ เอวเมฺปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Apica saddhādīnaṃ vuddhisaṅkhātassa atthassa akāmanato tesaṃyeva hānisaṅkhātassa anatthassa ca kāmanato anatthakāmā. Saddhādīnaṃyeva upāyabhūtassa hitassa akāmanato saddhāhāniādīnaṃ upāyabhūtassa ahitassa ca kāmanato ahitakāmā. Phāsukavihārassa akāmanato aphāsukavihārassa ca kāmanato aphāsukakāmā. Yassa kassaci nibbhayassa akāmanato bhayassa ca kāmanato ayogakkhemakāmāti evampettha attho daṭṭhabbo.
สงฺคตีติ คนฺตฺวา สํโยโคฯ สมาคโมติ อาคเตหิ สํโยโคฯ สโมธานนฺติ ฐานนิสชฺชาทีสุ สหภาโวฯ มิสฺสีภาโวติ สพฺพกิจฺจานํ สหกรณํฯ อยํ สตฺตวเสน โยชนาฯ สงฺขารวเสน ปน ยํ ลพฺภติ ตํ คเหตพฺพํฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ อปฺปิยสมฺปโยโค นาม กถิยติฯ โส อนิฎฺฐสโมธานลกฺขโณ, จิตฺตวิฆาตกรณรโส, อนตฺถภาวปจฺจุปฎฺฐาโนฯ
Saṅgatīti gantvā saṃyogo. Samāgamoti āgatehi saṃyogo. Samodhānanti ṭhānanisajjādīsu sahabhāvo. Missībhāvoti sabbakiccānaṃ sahakaraṇaṃ. Ayaṃ sattavasena yojanā. Saṅkhāravasena pana yaṃ labbhati taṃ gahetabbaṃ. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ appiyasampayogo nāma kathiyati. So aniṭṭhasamodhānalakkhaṇo, cittavighātakaraṇaraso, anatthabhāvapaccupaṭṭhāno.
โส อตฺถโต เอโก ธโมฺม นาม นตฺถิฯ เกวลํ อปฺปิยสมฺปยุตฺตานํ ทุวิธสฺสาปิ ทุกฺขสฺส วตฺถุภาวโต ทุโกฺขติ วุโตฺตฯ อนิฎฺฐานิ หิ วตฺถูนิ สโมธานคตานิ วิชฺฌนเฉทนผาลนาทีหิ กายิกมฺปิ ทุกฺขํ อุปฺปาเทนฺติ, อุเพฺพคชนนโต มานสมฺปิฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
So atthato eko dhammo nāma natthi. Kevalaṃ appiyasampayuttānaṃ duvidhassāpi dukkhassa vatthubhāvato dukkhoti vutto. Aniṭṭhāni hi vatthūni samodhānagatāni vijjhanachedanaphālanādīhi kāyikampi dukkhaṃ uppādenti, ubbegajananato mānasampi. Tenetaṃ vuccati –
ทิสฺวาว อปฺปิเย ทุกฺขํ, ปฐมํ โหติ เจตสิ;
Disvāva appiye dukkhaṃ, paṭhamaṃ hoti cetasi;
ตทุปกฺกมสมฺภูต-มถ กาเย ยโต อิธฯ
Tadupakkamasambhūta-matha kāye yato idha.
ตโต ทุกฺขทฺวยสฺสาปิ, วตฺถุโต โส มเหสินา;
Tato dukkhadvayassāpi, vatthuto so mahesinā;
ทุโกฺข วุโตฺตติ วิเญฺญโยฺย, อปฺปิเยหิ สมาคโมติฯ
Dukkho vuttoti viññeyyo, appiyehi samāgamoti.
ปิยวิปฺปโยคนิเทฺทโส
Piyavippayoganiddeso
๒๐๐. ปิยวิปฺปโยคนิเทฺทโส วุตฺตปฎิปกฺขนเยน เวทิตโพฺพฯ มาตา วาติอาทิ ปเนตฺถ อตฺถกาเม สรูเปน ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ตตฺถ มมายตีติ มาตาฯ ปิยายตีติ ปิตาฯ ภชตีติ ภาตาฯ ตถา ภคินีฯ เมตฺตายนฺตีติ มิตฺตา, มินนฺตีติ วา มิตฺตา; สพฺพคุเยฺหสุ อโนฺต ปกฺขิปนฺตีติ อโตฺถฯ กิจฺจกรณีเยสุ สหภาวเฎฺฐน อมา โหนฺตีติ อมจฺจาฯ อยํ อมฺหากํ อชฺฌตฺติโกติ เอวํ ชานนฺติ ญายนฺตีติ วา ญาตีฯ โลหิเตน สมฺพนฺธาติ สาโลหิตาฯ เอวเมตานิ ปทานิ อตฺถโต เวทิตพฺพานิฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ ปิเยหิ วิปฺปโยโค นาม กถิยติฯ โส อิฎฺฐวตฺถุวิโยคลกฺขโณ, โสกุปฺปาทนรโส, พฺยสนปจฺจุปฎฺฐาโนฯ
200. Piyavippayoganiddeso vuttapaṭipakkhanayena veditabbo. Mātā vātiādi panettha atthakāme sarūpena dassetuṃ vuttaṃ. Tattha mamāyatīti mātā. Piyāyatīti pitā. Bhajatīti bhātā. Tathā bhaginī. Mettāyantīti mittā, minantīti vā mittā; sabbaguyhesu anto pakkhipantīti attho. Kiccakaraṇīyesu sahabhāvaṭṭhena amā hontīti amaccā. Ayaṃ amhākaṃ ajjhattikoti evaṃ jānanti ñāyantīti vā ñātī. Lohitena sambandhāti sālohitā. Evametāni padāni atthato veditabbāni. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ piyehi vippayogo nāma kathiyati. So iṭṭhavatthuviyogalakkhaṇo, sokuppādanaraso, byasanapaccupaṭṭhāno.
โส อตฺถโต เอโก ธโมฺม นาม นตฺถิฯ เกวลํ ปิยวิปฺปยุตฺตานํ ทุวิธสฺสาปิ ทุกฺขสฺส วตฺถุภาวโต ทุโกฺขติ วุโตฺตฯ อิฎฺฐานิ หิ วตฺถูนิ วิยุชฺชมานานิ สรีรสฺส โสสนมิลาปนาทิภาเวน กายิกมฺปิ ทุกฺขํ อุปฺปาเทนฺติ, ‘ยมฺปิ โน อโหสิ, ตมฺปิ โน นตฺถี’ติ อนุโสจาปนโต มานสมฺปิฯ เตเนตํ วุจฺจติ –
So atthato eko dhammo nāma natthi. Kevalaṃ piyavippayuttānaṃ duvidhassāpi dukkhassa vatthubhāvato dukkhoti vutto. Iṭṭhāni hi vatthūni viyujjamānāni sarīrassa sosanamilāpanādibhāvena kāyikampi dukkhaṃ uppādenti, ‘yampi no ahosi, tampi no natthī’ti anusocāpanato mānasampi. Tenetaṃ vuccati –
ญาติธนาทิวิโยคา, โสกสรสมปฺปิตา วิตุชฺชนฺติ;
Ñātidhanādiviyogā, sokasarasamappitā vitujjanti;
พาลา ยโต ตโต ยํ, ทุโกฺขติ มโต ปิยวิโยโคติฯ
Bālā yato tato yaṃ, dukkhoti mato piyaviyogoti.
อิจฺฉานิเทฺทโส
Icchāniddeso
๒๐๑. อิจฺฉานิเทฺทเส ชาติธมฺมานนฺติ ชาติสภาวานํ ชาติปกติกานํฯ อิจฺฉา อุปฺปชฺชตีติ ตณฺหา อุปฺปชฺชติฯ อโห วตาติ ปตฺถนาฯ น โข ปเนตํ อิจฺฉาย ปตฺตพฺพนฺติ ยํ เอตํ ‘‘อโห วต มยํ น ชาติธมฺมา อสฺสาม, น จ วต โน ชาติ อาคเจฺฉยฺยา’’ติ เอวํ ปหีนสมุทเยสุ สาธูสุ วิชฺชมานํ อชาติธมฺมตฺตํ, ปรินิพฺพุเตสุ จ วิชฺชมานํ ชาติยา อนาคมนํ อิจฺฉิตํ, ตํ อิจฺฉนฺตสฺสาปิ มคฺคภาวนาย วินา อปตฺตพฺพโต อนิจฺฉนฺตสฺส จ ภาวนาย ปตฺตพฺพโต น อิจฺฉาย ปตฺตพฺพํ นาม โหติฯ อิทมฺปีติ เอตมฺปิ; อุปริ เสสานิ อุปาทาย ปิกาโรฯ ยมฺปิจฺฉนฺติ เยนปิ ธเมฺมน อลพฺภเนยฺยํ วตฺถุํ อิจฺฉโนฺต น ลภติ, ตํ อลพฺภเนยฺยวตฺถุอิจฺฉนํ ทุกฺขนฺติ เวทิตพฺพํฯ ชราธมฺมานนฺติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ เอวเมตฺถ อลพฺภเนยฺยวตฺถูสุ อิจฺฉาว ‘‘ยมฺปิจฺฉํ น ลภติ ตมฺปิ ทุกฺข’’นฺติ วุตฺตาฯ สา อลพฺภเนยฺยวตฺถุอิจฺฉนลกฺขณา, ตปฺปริเยสนรสา, เตสํ อปฺปตฺติปจฺจุปฎฺฐานาฯ
201. Icchāniddese jātidhammānanti jātisabhāvānaṃ jātipakatikānaṃ. Icchā uppajjatīti taṇhā uppajjati. Aho vatāti patthanā. Nakho panetaṃ icchāya pattabbanti yaṃ etaṃ ‘‘aho vata mayaṃ na jātidhammā assāma, na ca vata no jāti āgaccheyyā’’ti evaṃ pahīnasamudayesu sādhūsu vijjamānaṃ ajātidhammattaṃ, parinibbutesu ca vijjamānaṃ jātiyā anāgamanaṃ icchitaṃ, taṃ icchantassāpi maggabhāvanāya vinā apattabbato anicchantassa ca bhāvanāya pattabbato na icchāya pattabbaṃ nāma hoti. Idampīti etampi; upari sesāni upādāya pikāro. Yampicchanti yenapi dhammena alabbhaneyyaṃ vatthuṃ icchanto na labhati, taṃ alabbhaneyyavatthuicchanaṃ dukkhanti veditabbaṃ. Jarādhammānantiādīsupi eseva nayo. Evamettha alabbhaneyyavatthūsu icchāva ‘‘yampicchaṃ na labhati tampi dukkha’’nti vuttā. Sā alabbhaneyyavatthuicchanalakkhaṇā, tappariyesanarasā, tesaṃ appattipaccupaṭṭhānā.
ทฺวินฺนํ ปน ทุกฺขานํ วตฺถุภาวโต ทุกฺขาติ วุตฺตาฯ เอกโจฺจ หิ ราชา ภวิสฺสตีติ สมฺภาวิโต โหติฯ โส ฉินฺนภินฺนคเณน ปริวาริโต ปพฺพตวิสมํ วา วนคหนํ วา ปวิสติฯ อถ ราชา ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา พลกายํ เปเสติฯ โส ราชปุริเสหิ นิหตปริวาโร สยมฺปิ ลทฺธปฺปหาโร ปลายมาโน รุกฺขนฺตรํ วา ปาสาณนฺตรํ วา ปวิสติฯ ตสฺมิํ สมเย มหาเมโฆ อุฎฺฐหติ, ติพฺพนฺธการา กาฬวทฺทลิกา โหติฯ อถ นํ สมนฺตโต กาฬกิปิลฺลิกาทโย ปาณา ปริวาเรตฺวา คณฺหนฺติฯ เตนสฺส พลวกายทุกฺขํ อุปฺปชฺชติฯ ‘มํ เอกํ นิสฺสาย เอตฺตกา ญาตี จ โภคา จ วินฎฺฐา’ติ จิเนฺตนฺตสฺส พลวโทมนสฺสํ อุปฺปชฺชติฯ อิติ อยํ อิจฺฉา อิเมสํ ทฺวินฺนมฺปิ ทุกฺขานํ วตฺถุภาเวน ทุกฺขาติ เวทิตพฺพาฯ อปิจ –
Dvinnaṃ pana dukkhānaṃ vatthubhāvato dukkhāti vuttā. Ekacco hi rājā bhavissatīti sambhāvito hoti. So chinnabhinnagaṇena parivārito pabbatavisamaṃ vā vanagahanaṃ vā pavisati. Atha rājā taṃ pavattiṃ ñatvā balakāyaṃ peseti. So rājapurisehi nihataparivāro sayampi laddhappahāro palāyamāno rukkhantaraṃ vā pāsāṇantaraṃ vā pavisati. Tasmiṃ samaye mahāmegho uṭṭhahati, tibbandhakārā kāḷavaddalikā hoti. Atha naṃ samantato kāḷakipillikādayo pāṇā parivāretvā gaṇhanti. Tenassa balavakāyadukkhaṃ uppajjati. ‘Maṃ ekaṃ nissāya ettakā ñātī ca bhogā ca vinaṭṭhā’ti cintentassa balavadomanassaṃ uppajjati. Iti ayaṃ icchā imesaṃ dvinnampi dukkhānaṃ vatthubhāvena dukkhāti veditabbā. Apica –
ตํ ตํ ปตฺถยมานานํ, ตสฺส ตสฺส อลาภโต;
Taṃ taṃ patthayamānānaṃ, tassa tassa alābhato;
ยํ วิฆาตมยํ ทุกฺขํ, สตฺตานํ อิธ ชายติฯ
Yaṃ vighātamayaṃ dukkhaṃ, sattānaṃ idha jāyati.
อลพฺภเนยฺยวตฺถูนํ, ปตฺถนา ตสฺส การณํ;
Alabbhaneyyavatthūnaṃ, patthanā tassa kāraṇaṃ;
ยสฺมา ตสฺมา ชิโน ทุกฺขํ, อิจฺฉิตาลาภมพฺรวีติฯ
Yasmā tasmā jino dukkhaṃ, icchitālābhamabravīti.
อุปาทานกฺขนฺธนิเทฺทโส
Upādānakkhandhaniddeso
๒๐๒. อุปาทานกฺขนฺธนิเทฺทเส สํขิเตฺตนาติ เทสนํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ทุกฺขญฺหิ เอตฺตกานิ ทุกฺขสตานีติ วา เอตฺตกานิ ทุกฺขสหสฺสานีติ วา เอตฺตกานิ ทุกฺขสตสหสฺสานีติ วา สํขิปิตุํ น สกฺกา, เทสนา ปน สกฺกา, ตสฺมา ‘‘ทุกฺขํ นาม อญฺญํ กิญฺจิ นตฺถิ, สํขิเตฺตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา’’ติ เทสนํ สงฺขิเปโนฺต เอวมาหฯ เสยฺยถิทนฺติ นิปาโต; ตสฺส เต กตเมติ เจติ อโตฺถฯ รูปูปาทานกฺขโนฺธติอาทีนํ อโตฺถ ขนฺธวิภเงฺค วณฺณิโตเยวฯ
202. Upādānakkhandhaniddese saṃkhittenāti desanaṃ sandhāya vuttaṃ. Dukkhañhi ettakāni dukkhasatānīti vā ettakāni dukkhasahassānīti vā ettakāni dukkhasatasahassānīti vā saṃkhipituṃ na sakkā, desanā pana sakkā, tasmā ‘‘dukkhaṃ nāma aññaṃ kiñci natthi, saṃkhittena pañcupādānakkhandhā dukkhā’’ti desanaṃ saṅkhipento evamāha. Seyyathidanti nipāto; tassa te katameti ceti attho. Rūpūpādānakkhandhotiādīnaṃ attho khandhavibhaṅge vaṇṇitoyeva.
‘ขนฺธานํ ทุกฺขโฎฺฐ เวทิตโพฺพ’ติ เอตฺถ ปน –
‘Khandhānaṃdukkhaṭṭho veditabbo’ti ettha pana –
ชาติปฺปภุติกํ ทุกฺขํ, ยํ วุตฺตํ อิธ ตาทินา;
Jātippabhutikaṃ dukkhaṃ, yaṃ vuttaṃ idha tādinā;
อวุตฺตํ ยญฺจ ตํ สพฺพํ, วินา เอเต น วิชฺชติฯ
Avuttaṃ yañca taṃ sabbaṃ, vinā ete na vijjati.
ยสฺมา ตสฺมา อุปาทาน-กฺขนฺธา สเงฺขปโต อิเม;
Yasmā tasmā upādāna-kkhandhā saṅkhepato ime;
ทุกฺขาติ วุตฺตา ทุกฺขนฺต-เทสเกน มเหสินาฯ
Dukkhāti vuttā dukkhanta-desakena mahesinā.
ตถา หิ อินฺธนมิว ปาวโก, ลกฺขมิว ปหรณานิ, โครูปมิว ฑํสมกสาทโย, เขตฺตมิว ลาวกา, คามํ วิย คามฆาตกา, อุปาทานกฺขนฺธปญฺจกเมว ชาติอาทโย นานปฺปกาเรหิ พาธยมานา, ติณลตาทีนิ วิย ภูมิยํ, ปุปฺผผลปลฺลวาทีนิ วิย รุเกฺขสุ, อุปาทานกฺขเนฺธสุเยว นิพฺพตฺตนฺติฯ อุปาทานกฺขนฺธานญฺจ อาทิทุกฺขํ ชาติ, มเชฺฌทุกฺขํ ชรา, ปริโยสานทุกฺขํ มรณํฯ มารณนฺติกทุกฺขาภิฆาเตน ปริฑยฺหมานทุกฺขํ โสโก, ตทสหนโต ลาลปฺปนทุกฺขํ ปริเทโวฯ ตโต ธาตุโกฺขภสงฺขาตอนิฎฺฐโผฎฺฐพฺพสมาโยคโต กายสฺส อาพาธนทุกฺขํ ทุกฺขํฯ เตน พาธิยมานานํ ปุถุชฺชนานํ ตตฺถ ปฎิฆุปฺปตฺติโต เจโตพาธนทุกฺขํ โทมนสฺสํฯ โสกาทิวุฑฺฒิยา ชนิตวิสาทานํ อนุตฺถุนนทุกฺขํ อุปายาโสฯ มโนรถวิฆาตปฺปตฺตานํ อิจฺฉาวิฆาตทุกฺขํ อิจฺฉิตาลาโภติ เอวํ นานปฺปการโต อุปปริกฺขิยมานา อุปาทานกฺขนฺธาว ทุกฺขาติ ยเทตํ เอกเมกํ ทเสฺสตฺวา วุจฺจมานํ อเนเกหิ กเปฺปหิ น สกฺกา อเสสโต วตฺตุํ, ตํ สพฺพมฺปิ ทุกฺขํ เอกชลพินฺทุมฺหิ สกลสมุทฺทชลรสํ วิย เยสุ เกสุจิ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขเนฺธสุ สงฺขิปิตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘สํขิเตฺตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา’’ติ ภควา อโวจาติฯ
Tathā hi indhanamiva pāvako, lakkhamiva paharaṇāni, gorūpamiva ḍaṃsamakasādayo, khettamiva lāvakā, gāmaṃ viya gāmaghātakā, upādānakkhandhapañcakameva jātiādayo nānappakārehi bādhayamānā, tiṇalatādīni viya bhūmiyaṃ, pupphaphalapallavādīni viya rukkhesu, upādānakkhandhesuyeva nibbattanti. Upādānakkhandhānañca ādidukkhaṃ jāti, majjhedukkhaṃ jarā, pariyosānadukkhaṃ maraṇaṃ. Māraṇantikadukkhābhighātena pariḍayhamānadukkhaṃ soko, tadasahanato lālappanadukkhaṃ paridevo. Tato dhātukkhobhasaṅkhātaaniṭṭhaphoṭṭhabbasamāyogato kāyassa ābādhanadukkhaṃ dukkhaṃ. Tena bādhiyamānānaṃ puthujjanānaṃ tattha paṭighuppattito cetobādhanadukkhaṃ domanassaṃ. Sokādivuḍḍhiyā janitavisādānaṃ anutthunanadukkhaṃ upāyāso. Manorathavighātappattānaṃ icchāvighātadukkhaṃ icchitālābhoti evaṃ nānappakārato upaparikkhiyamānā upādānakkhandhāva dukkhāti yadetaṃ ekamekaṃ dassetvā vuccamānaṃ anekehi kappehi na sakkā asesato vattuṃ, taṃ sabbampi dukkhaṃ ekajalabindumhi sakalasamuddajalarasaṃ viya yesu kesuci pañcasu upādānakkhandhesu saṅkhipitvā dassetuṃ ‘‘saṃkhittena pañcupādānakkhandhā dukkhā’’ti bhagavā avocāti.
ทุกฺขสจฺจนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dukkhasaccaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
๒. สมุทยสจฺจนิเทฺทสวณฺณนา
2. Samudayasaccaniddesavaṇṇanā
๒๐๓. สมุทยสจฺจนิเทฺทเส ยายํ ตณฺหาติ ยา อยํ ตณฺหาฯ โปโนพฺภวิกาติ ปุนพฺภวกรณํ ปุโนพฺภโว, ปุโนพฺภโว สีลมสฺสาติ โปโนพฺภวิกาฯ อปิจ ปุนพฺภวํ เทติ, ปุนพฺภวาย สํวตฺตติ, ปุนปฺปุนํ ภเว นิพฺพเตฺตตีติ โปโนพฺภวิกาฯ สา ปเนสา ปุนพฺภวสฺส ทายิกาปิ อตฺถิ อทายิกาปิ, ปุนพฺภวาย สํวตฺตนิกาปิ อตฺถิ อสํวตฺตนิกาปิ, ทินฺนาย ปฎิสนฺธิยา อุปธิเวปกฺกมตฺตาปิฯ สา ปุนพฺภวํ ททมานาปิ อททมานาปิ, ปุนพฺภวาย สํวตฺตมานาปิ อสํวตฺตมานาปิ, ทินฺนาย ปฎิสนฺธิยา อุปธิเวปกฺกมตฺตาปิ โปโนพฺภวิกา เอวาติ นามํ ลภติฯ อภินนฺทนสงฺขาเตน นนฺทิราเคน สหคตาติ นนฺทิราคสหคตา, นนฺทิราเคน สทฺธิํ อตฺถโต เอกตฺตเมว คตาติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺรตตฺราภินนฺทินีติ ยตฺร ยตฺร อตฺตภาโว ตตฺรตตฺราภินนฺทินี, รูปาทีสุ วา อารมฺมเณสุ ตตฺรตตฺราภินนฺทินี; รูปาภินนฺทินี สทฺทคนฺธรสโผฎฺฐพฺพธมฺมาภินนฺทินีติ อโตฺถฯ เสยฺยถิทนฺติ นิปาโต; ตสฺส สา กตมาติ เจติ อโตฺถฯ กามตณฺหาติ กาเม ตณฺหา กามตณฺหา; ปญฺจกามคุณิกราคเสฺสตํ อธิวจนํฯ ภเว ตณฺหา ภวตณฺหา; ภวปตฺถนาวเสน อุปฺปนฺนสฺส สสฺสตทิฎฺฐิสหคตสฺส รูปารูปภวราคสฺส จ ฌานนิกนฺติยา เจตํ อธิวจนํฯ วิภเว ตณฺหา วิภวตณฺหา; อุเจฺฉททิฎฺฐิสหคตสฺส ราคเสฺสตํ อธิวจนํฯ
203. Samudayasaccaniddese yāyaṃ taṇhāti yā ayaṃ taṇhā. Ponobbhavikāti punabbhavakaraṇaṃ punobbhavo, punobbhavo sīlamassāti ponobbhavikā. Apica punabbhavaṃ deti, punabbhavāya saṃvattati, punappunaṃ bhave nibbattetīti ponobbhavikā. Sā panesā punabbhavassa dāyikāpi atthi adāyikāpi, punabbhavāya saṃvattanikāpi atthi asaṃvattanikāpi, dinnāya paṭisandhiyā upadhivepakkamattāpi. Sā punabbhavaṃ dadamānāpi adadamānāpi, punabbhavāya saṃvattamānāpi asaṃvattamānāpi, dinnāya paṭisandhiyā upadhivepakkamattāpi ponobbhavikā evāti nāmaṃ labhati. Abhinandanasaṅkhātena nandirāgena sahagatāti nandirāgasahagatā, nandirāgena saddhiṃ atthato ekattameva gatāti vuttaṃ hoti. Tatratatrābhinandinīti yatra yatra attabhāvo tatratatrābhinandinī, rūpādīsu vā ārammaṇesu tatratatrābhinandinī; rūpābhinandinī saddagandharasaphoṭṭhabbadhammābhinandinīti attho. Seyyathidanti nipāto; tassa sā katamāti ceti attho. Kāmataṇhāti kāme taṇhā kāmataṇhā; pañcakāmaguṇikarāgassetaṃ adhivacanaṃ. Bhave taṇhā bhavataṇhā; bhavapatthanāvasena uppannassa sassatadiṭṭhisahagatassa rūpārūpabhavarāgassa ca jhānanikantiyā cetaṃ adhivacanaṃ. Vibhave taṇhā vibhavataṇhā; ucchedadiṭṭhisahagatassa rāgassetaṃ adhivacanaṃ.
อิทานิ ตสฺสา ตณฺหาย วตฺถุํ วิตฺถารโต ทเสฺสตุํ สา โข ปเนสาติอาทิมาหฯ ตตฺถ อุปฺปชฺชตีติ ชายติฯ นิวิสตีติ ปุนปฺปุนํ ปวตฺติวเสน ปติฎฺฐหติฯ ยํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปนฺติ ยํ โลกสฺมิํ ปิยสภาวเญฺจว มธุรสภาวญฺจฯ จกฺขุํ โลเกติอาทีสุ โลกสฺมิญฺหิ จกฺขาทีสุ มมเตฺตน อภินิวิฎฺฐา สตฺตา สมฺปตฺติยํ ปติฎฺฐิตา อตฺตโน จกฺขุํ อาทาสาทีสุ นิมิตฺตคฺคหณานุสาเรน วิปฺปสนฺนปญฺจปสาทํ สุวณฺณวิมาเน อุคฺฆาฎิตมณิสีหปญฺชรํ วิย มญฺญนฺติ, โสตํ รชตปนาฬิกํ วิย ปามงฺคสุตฺตกํ วิย จ มญฺญนฺติ, ตุงฺคนาสาติ ลทฺธโวหารํ ฆานํ วเฎฺฎตฺวา ฐปิตหริตาลวฎฺฎิํ วิย มญฺญนฺติ, ชิวฺหํ รตฺตกมฺพลปฎลํ วิย มุทุสินิทฺธมธุรรสทํ มญฺญนฺติ, กายํ สาลลฎฺฐิํ วิย สุวณฺณโตรณํ วิย จ มญฺญนฺติ, มนํ อเญฺญสํ มเนน อสทิสํ อุฬารํ มญฺญนฺติ, รูปํ สุวณฺณกณิการปุปฺผาทิวณฺณํ วิย , สทฺทํ มตฺตกรวีกโกกิลมนฺทธมิตมณิวํสนิโคฺฆสํ วิย, อตฺตนา ปฎิลทฺธานิ จตุสมุฎฺฐานิกคนฺธารมฺมณาทีนิ ‘กสฺส อญฺญสฺส เอวรูปานิ อตฺถี’ติ มญฺญนฺติฯ เตสํ เอวํ มญฺญมานานํ ตานิ จกฺขาทีนิ ปิยรูปานิ เจว โหนฺติ สาตรูปานิ จฯ อถ เนสํ ตตฺถ อนุปฺปนฺนา เจว ตณฺหา อุปฺปชฺชติ, อุปฺปนฺนา จ ปุนปฺปุนํ ปวตฺติวเสน นิวิสติฯ ตสฺมา ภควา – ‘‘จกฺขุํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํฯ เอเตฺถสา ตณฺหา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชตี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อุปฺปชฺชมานาติ ยทา อุปฺปชฺชติ ตทา เอตฺถ อุปฺปชฺชตีติ อโตฺถฯ เอส นโย สพฺพตฺถาปีติฯ
Idāni tassā taṇhāya vatthuṃ vitthārato dassetuṃ sā kho panesātiādimāha. Tattha uppajjatīti jāyati. Nivisatīti punappunaṃ pavattivasena patiṭṭhahati. Yaṃ loke piyarūpaṃ sātarūpanti yaṃ lokasmiṃ piyasabhāvañceva madhurasabhāvañca. Cakkhuṃ loketiādīsu lokasmiñhi cakkhādīsu mamattena abhiniviṭṭhā sattā sampattiyaṃ patiṭṭhitā attano cakkhuṃ ādāsādīsu nimittaggahaṇānusārena vippasannapañcapasādaṃ suvaṇṇavimāne ugghāṭitamaṇisīhapañjaraṃ viya maññanti, sotaṃ rajatapanāḷikaṃ viya pāmaṅgasuttakaṃ viya ca maññanti, tuṅganāsāti laddhavohāraṃ ghānaṃ vaṭṭetvā ṭhapitaharitālavaṭṭiṃ viya maññanti, jivhaṃ rattakambalapaṭalaṃ viya mudusiniddhamadhurarasadaṃ maññanti, kāyaṃ sālalaṭṭhiṃ viya suvaṇṇatoraṇaṃ viya ca maññanti, manaṃ aññesaṃ manena asadisaṃ uḷāraṃ maññanti, rūpaṃ suvaṇṇakaṇikārapupphādivaṇṇaṃ viya , saddaṃ mattakaravīkakokilamandadhamitamaṇivaṃsanigghosaṃ viya, attanā paṭiladdhāni catusamuṭṭhānikagandhārammaṇādīni ‘kassa aññassa evarūpāni atthī’ti maññanti. Tesaṃ evaṃ maññamānānaṃ tāni cakkhādīni piyarūpāni ceva honti sātarūpāni ca. Atha nesaṃ tattha anuppannā ceva taṇhā uppajjati, uppannā ca punappunaṃ pavattivasena nivisati. Tasmā bhagavā – ‘‘cakkhuṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ. Etthesā taṇhā uppajjamānā uppajjatī’’tiādimāha. Tattha uppajjamānāti yadā uppajjati tadā ettha uppajjatīti attho. Esa nayo sabbatthāpīti.
สมุทยสจฺจนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Samudayasaccaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
๓. นิโรธสจฺจนิเทฺทสวณฺณนา
3. Nirodhasaccaniddesavaṇṇanā
๒๐๔. นิโรธสจฺจนิเทฺทเส โย ตสฺสาเยว ตณฺหายาติ เอตฺถ ‘โย ตเสฺสว ทุกฺขสฺสา’ติ วตฺตเพฺพ ยสฺมา สมุทยนิโรเธเนว ทุกฺขํ นิรุชฺฌติ โน อญฺญถา, ยถาห –
204. Nirodhasaccaniddese yo tassāyeva taṇhāyāti ettha ‘yo tasseva dukkhassā’ti vattabbe yasmā samudayanirodheneva dukkhaṃ nirujjhati no aññathā, yathāha –
‘‘ยถาปิ มูเล อนุปทฺทเว ทเฬฺห,
‘‘Yathāpi mūle anupaddave daḷhe,
ฉิโนฺนปิ รุโกฺข ปุนเรว รูหติ;
Chinnopi rukkho punareva rūhati;
เอวมฺปิ ตณฺหานุสเย อนูหเต,
Evampi taṇhānusaye anūhate,
นิพฺพตฺตติ ทุกฺขมิทํ ปุนปฺปุน’’นฺติฯ (ธ. ป. ๓๓๘);
Nibbattati dukkhamidaṃ punappuna’’nti. (dha. pa. 338);
ตสฺมา ตํ ทุกฺขนิโรธํ ทเสฺสโนฺต สมุทยนิโรเธน ทเสฺสตุํ เอวมาหฯ สีหสมานวุตฺติโน หิ ตถาคตาฯ เต ทุกฺขํ นิโรเธนฺตา ทุกฺขนิโรธญฺจ ทเสฺสนฺตา เหตุมฺหิ ปฎิปชฺชนฺติ, น ผเลฯ สุวานวุตฺติโน ปน อญฺญติตฺถิยาฯ เต ทุกฺขํ นิโรเธนฺตา ทุกฺขนิโรธญฺจ ทเสฺสนฺตา อตฺตกิลมถานุโยเคน เจว ตเสฺสว จ เทสนาย ผเล ปฎิปชฺชนฺติ, น เหตุมฺหีติฯ สีหสมานวุตฺติตาย สตฺถา เหตุมฺหิ ปฎิปชฺชโนฺต โย ตสฺสาเยวาติอาทิมาหฯ
Tasmā taṃ dukkhanirodhaṃ dassento samudayanirodhena dassetuṃ evamāha. Sīhasamānavuttino hi tathāgatā. Te dukkhaṃ nirodhentā dukkhanirodhañca dassentā hetumhi paṭipajjanti, na phale. Suvānavuttino pana aññatitthiyā. Te dukkhaṃ nirodhentā dukkhanirodhañca dassentā attakilamathānuyogena ceva tasseva ca desanāya phale paṭipajjanti, na hetumhīti. Sīhasamānavuttitāya satthā hetumhi paṭipajjanto yo tassāyevātiādimāha.
ตตฺถ ตสฺสาเยวาติ ยา สา อุปฺปตฺติ นิเวสวเสน เหฎฺฐา ปกาสิตา ตสฺสาเยวฯ อเสสวิราคนิโรโธติอาทีนิ สพฺพานิ นิพฺพานเววจนาเนว ฯ นิพฺพานญฺหิ อาคมฺม ตณฺหา อเสสา วิรชฺชติ นิรุชฺฌติฯ ตสฺมา ตํ ‘‘ตสฺสาเยว ตณฺหาย อเสสวิราคนิโรโธ’’ติ วุจฺจติฯ นิพฺพานญฺจ อาคมฺม ตณฺหา จชิยติ, ปฎินิสฺสชฺชิยติ, มุจฺจติ, น อลฺลิยติฯ ตสฺมา นิพฺพานํ ‘‘จาโค ปฎินิสฺสโคฺค มุตฺติ อนาลโย’’ติ วุจฺจติฯ เอกเมว หิ นิพฺพานํฯ นามานิ ปนสฺส สพฺพสงฺขตานํ นามปฎิปกฺขวเสน อเนกานิ นิพฺพานเววจนาเนว โหนฺติ, เสยฺยถิทํ – อเสสวิราคนิโรโธ, จาโค, ปฎินิสฺสโคฺค, มุตฺติ, อนาลโย, ราคกฺขโย, โทสกฺขโย, โมหกฺขโย, ตณฺหากฺขโย, อนุปฺปาโท, อปฺปวตฺตํ, อนิมิตฺตํ, อปฺปณิหิตํ, อนายูหนํ, อปฺปฎิสนฺธิ, อนุปปตฺติ, อคติ, อชาตํ, อชรํ, อพฺยาธิ, อมตํ, อโสกํ, อปริเทวํ, อนุปายาสํ, อสํกิลิฎฺฐนฺติอาทีนิฯ
Tattha tassāyevāti yā sā uppatti nivesavasena heṭṭhā pakāsitā tassāyeva. Asesavirāganirodhotiādīni sabbāni nibbānavevacanāneva . Nibbānañhi āgamma taṇhā asesā virajjati nirujjhati. Tasmā taṃ ‘‘tassāyeva taṇhāya asesavirāganirodho’’ti vuccati. Nibbānañca āgamma taṇhā cajiyati, paṭinissajjiyati, muccati, na alliyati. Tasmā nibbānaṃ ‘‘cāgo paṭinissaggo mutti anālayo’’ti vuccati. Ekameva hi nibbānaṃ. Nāmāni panassa sabbasaṅkhatānaṃ nāmapaṭipakkhavasena anekāni nibbānavevacanāneva honti, seyyathidaṃ – asesavirāganirodho, cāgo, paṭinissaggo, mutti, anālayo, rāgakkhayo, dosakkhayo, mohakkhayo, taṇhākkhayo, anuppādo, appavattaṃ, animittaṃ, appaṇihitaṃ, anāyūhanaṃ, appaṭisandhi, anupapatti, agati, ajātaṃ, ajaraṃ, abyādhi, amataṃ, asokaṃ, aparidevaṃ, anupāyāsaṃ, asaṃkiliṭṭhantiādīni.
อิทานิ มเคฺคน ฉินฺนาย นิพฺพานํ อาคมฺม อปฺปวตฺติปตฺตายปิ จ ตณฺหาย เยสุ วตฺถูสุ ตสฺสา อุปฺปตฺติ ทสฺสิตา, ตเตฺถว อภาวํ ทเสฺสตุํ สา โข ปเนสาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ยถา ปุริโส เขเตฺต ชาตํ ติตฺตอลาพุวลฺลิํ ทิสฺวา อคฺคโต ปฎฺฐาย มูลํ ปริเยสิตฺวา ฉิเนฺทยฺย, สา อนุปุเพฺพน มิลายิตฺวา อปฺปวตฺติํ คเจฺฉยฺยฯ ตโต ตสฺมิํ เขเตฺต ติตฺตอลาพุ นิรุทฺธา ปหีนาติ วุเจฺจยฺยฯ เอวเมว เขเตฺต ติตฺตอลาพุ วิย จกฺขาทีสุ ตณฺหาฯ สา อริยมเคฺคน มูลจฺฉินฺนา นิพฺพานํ อาคมฺม อปฺปวตฺติํ คจฺฉติฯ เอวํ คตา ปน เตสุ วตฺถูสุ เขเตฺต ติตฺตอลาพุ วิย น ปญฺญายติฯ ยถา จ อฎวิโต โจเร อาเนตฺวา นครสฺส ทกฺขิณทฺวาเร ฆาเตยฺยุํ, ตโต อฎวิยํ โจรา มตาติ วา มาริตาติ วา วุเจฺจยฺยุํ; เอวเมว อฎวิยํ โจรา วิย ยา จกฺขาทีสุ ตณฺหา, สา ทกฺขิณทฺวาเร โจรา วิย นิพฺพานํ อาคมฺม นิรุทฺธตฺตา นิพฺพาเน นิรุทฺธาฯ เอวํ นิรุทฺธา ปน เตสุ วตฺถูสุ อฎวิยํ โจรา วิย น ปญฺญายติฯ เตนสฺสา ตเตฺถว นิโรธํ ทเสฺสโนฺต ‘‘จกฺขุํ โลเก ปิยรูปํ สาตรูปํ, เอเตฺถสา ตณฺหา ปหียมานา ปหียติ, เอตฺถ นิรุชฺฌมานา นิรุชฺฌตี’’ติอาทิมาหฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ
Idāni maggena chinnāya nibbānaṃ āgamma appavattipattāyapi ca taṇhāya yesu vatthūsu tassā uppatti dassitā, tattheva abhāvaṃ dassetuṃ sā kho panesātiādimāha. Tattha yathā puriso khette jātaṃ tittaalābuvalliṃ disvā aggato paṭṭhāya mūlaṃ pariyesitvā chindeyya, sā anupubbena milāyitvā appavattiṃ gaccheyya. Tato tasmiṃ khette tittaalābu niruddhā pahīnāti vucceyya. Evameva khette tittaalābu viya cakkhādīsu taṇhā. Sā ariyamaggena mūlacchinnā nibbānaṃ āgamma appavattiṃ gacchati. Evaṃ gatā pana tesu vatthūsu khette tittaalābu viya na paññāyati. Yathā ca aṭavito core ānetvā nagarassa dakkhiṇadvāre ghāteyyuṃ, tato aṭaviyaṃ corā matāti vā māritāti vā vucceyyuṃ; evameva aṭaviyaṃ corā viya yā cakkhādīsu taṇhā, sā dakkhiṇadvāre corā viya nibbānaṃ āgamma niruddhattā nibbāne niruddhā. Evaṃ niruddhā pana tesu vatthūsu aṭaviyaṃ corā viya na paññāyati. Tenassā tattheva nirodhaṃ dassento ‘‘cakkhuṃ loke piyarūpaṃ sātarūpaṃ, etthesā taṇhā pahīyamānā pahīyati, ettha nirujjhamānā nirujjhatī’’tiādimāha. Sesamettha uttānatthamevāti.
นิโรธสจฺจนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Nirodhasaccaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
๔. มคฺคสจฺจนิเทฺทสวณฺณนา
4. Maggasaccaniddesavaṇṇanā
๒๐๕. มคฺคสจฺจนิเทฺทเส อยเมวาติ อญฺญมคฺคปฎิเกฺขปนตฺถํ นิยมนํฯ อริโยติ ตํตํมคฺควเชฺฌหิ กิเลเสหิ อารกตฺตา อริยภาวกรตฺตา อริยผลปฎิลาภกรตฺตา จ อริโยฯ อฎฺฐงฺคานิ อสฺสาติ อฎฺฐงฺคิโกฯ สฺวายํ จตุรงฺคิกา วิย เสนา, ปญฺจงฺคิกํ วิย ตูริยํ องฺคมตฺตเมว โหติ, องฺควินิมุโตฺต นตฺถิฯ นิพฺพานตฺถิเกหิ มคฺคียติ, นิพฺพานํ วา มคฺคติ, กิเลเส วา มาเรโนฺต คจฺฉตีติ มโคฺคฯ เสยฺยถิทนฺติ โส กตโมติ เจติ อโตฺถฯ
205. Maggasaccaniddese ayamevāti aññamaggapaṭikkhepanatthaṃ niyamanaṃ. Ariyoti taṃtaṃmaggavajjhehi kilesehi ārakattā ariyabhāvakarattā ariyaphalapaṭilābhakarattā ca ariyo. Aṭṭhaṅgāni assāti aṭṭhaṅgiko. Svāyaṃ caturaṅgikā viya senā, pañcaṅgikaṃ viya tūriyaṃ aṅgamattameva hoti, aṅgavinimutto natthi. Nibbānatthikehi maggīyati, nibbānaṃ vā maggati, kilese vā mārento gacchatīti maggo. Seyyathidanti so katamoti ceti attho.
อิทานิ องฺคมตฺตเมว มโคฺค โหติ, องฺควินิมฺมุโตฺต นตฺถีติ ทเสฺสโนฺต สมฺมาทิฎฺฐิ…เป.… สมฺมาสมาธีติ อาหฯ ตตฺถ สมฺมา ทสฺสนลกฺขณา สมฺมาทิฎฺฐิฯ สมฺมา อภินิโรปนลกฺขโณ สมฺมาสงฺกโปฺปฯ สมฺมา ปริคฺคหลกฺขณา สมฺมาวาจาฯ สมฺมา สมุฎฺฐาปนลกฺขโณ สมฺมากมฺมโนฺตฯ สมฺมา โวทานลกฺขโณ สมฺมาอาชีโวฯ สมฺมา ปคฺคหลกฺขโณ สมฺมาวายาโมฯ สมฺมา อุปฎฺฐานลกฺขณา สมฺมาสติฯ สมฺมา สมาธานลกฺขโณ สมฺมาสมาธิฯ
Idāni aṅgamattameva maggo hoti, aṅgavinimmutto natthīti dassento sammādiṭṭhi…pe… sammāsamādhīti āha. Tattha sammā dassanalakkhaṇā sammādiṭṭhi. Sammā abhiniropanalakkhaṇo sammāsaṅkappo. Sammā pariggahalakkhaṇā sammāvācā. Sammā samuṭṭhāpanalakkhaṇo sammākammanto. Sammā vodānalakkhaṇo sammāājīvo. Sammā paggahalakkhaṇo sammāvāyāmo. Sammā upaṭṭhānalakkhaṇā sammāsati. Sammā samādhānalakkhaṇo sammāsamādhi.
เตสุ จ เอเกกสฺส ตีณิ ตีณิ กิจฺจานิ โหนฺติ, เสยฺยถิทํ – สมฺมาทิฎฺฐิ ตาว อเญฺญหิปิ อตฺตโน ปจฺจนีกกิเลเสหิ สทฺธิํ มิจฺฉาทิฎฺฐิํ ปชหติ, นิโรธํ อารมฺมณํ กโรติ, สมฺปยุตฺตธเมฺม จ ปสฺสติ ตปฺปฎิจฺฉาทกโมหวิธมนวเสน อสโมฺมหโตฯ สมฺมาสงฺกปฺปาทโยปิ ตเถว มิจฺฉาสงฺกปฺปาทีนิ จ ปชหนฺติ, นิโรธญฺจ อารมฺมณํ กโรนฺติฯ วิเสสโต ปเนตฺถ สมฺมาสงฺกโปฺป สหชาตธเมฺม อภินิโรเปติ, สมฺมาวาจา สมฺมา ปริคฺคณฺหาติ, สมฺมากมฺมโนฺต สมฺมา สมุฎฺฐาเปติ, สมฺมาอาชีโว สมฺมา โวทาเปติ, สมฺมาวายาโม สมฺมา ปคฺคณฺหาติ, สมฺมาสติ สมฺมา อุปฎฺฐาติ, สมฺมาสมาธิ สมฺมา ปทหติฯ
Tesu ca ekekassa tīṇi tīṇi kiccāni honti, seyyathidaṃ – sammādiṭṭhi tāva aññehipi attano paccanīkakilesehi saddhiṃ micchādiṭṭhiṃ pajahati, nirodhaṃ ārammaṇaṃ karoti, sampayuttadhamme ca passati tappaṭicchādakamohavidhamanavasena asammohato. Sammāsaṅkappādayopi tatheva micchāsaṅkappādīni ca pajahanti, nirodhañca ārammaṇaṃ karonti. Visesato panettha sammāsaṅkappo sahajātadhamme abhiniropeti, sammāvācā sammā pariggaṇhāti, sammākammanto sammā samuṭṭhāpeti, sammāājīvo sammā vodāpeti, sammāvāyāmo sammā paggaṇhāti, sammāsati sammā upaṭṭhāti, sammāsamādhi sammā padahati.
อปิเจสา สมฺมาทิฎฺฐิ นาม ปุพฺพภาเค นานากฺขณา นานารมฺมณา โหติ, มคฺคกาเล เอกกฺขณา เอการมฺมณา, กิจฺจโต ปน ทุเกฺข ญาณนฺติอาทีนิ จตฺตาริ นามานิ ลภติฯ สมฺมาสงฺกปฺปาทโยปิ ปุพฺพภาเค นานากฺขณา นานารมฺมณา โหนฺติ, มคฺคกาเล เอกกฺขณา เอการมฺมณาฯ เตสุ สมฺมาสงฺกโปฺป กิจฺจโต เนกฺขมฺมสงฺกโปฺปติอาทีนิ ตีณิ นามานิ ลภติฯ สมฺมาวาจาทโย ตโย ปุพฺพภาเค นานากฺขณา นานารมฺมณา วิรติโยปิ โหนฺติ เจตนาโยปิ, มคฺคกฺขเณ ปน วิรติโยวฯ สมฺมาวายาโม สมฺมาสตีติ อิทมฺปิ ทฺวยํ กิจฺจโต สมฺมปฺปธานสติปฎฺฐานวเสน จตฺตาริ นามานิ ลภติฯ สมฺมาสมาธิ ปน ปุพฺพภาเคปิ มคฺคกฺขเณปิ สมฺมาสมาธิเยวฯ
Apicesā sammādiṭṭhi nāma pubbabhāge nānākkhaṇā nānārammaṇā hoti, maggakāle ekakkhaṇā ekārammaṇā, kiccato pana dukkhe ñāṇantiādīni cattāri nāmāni labhati. Sammāsaṅkappādayopi pubbabhāge nānākkhaṇā nānārammaṇā honti, maggakāle ekakkhaṇā ekārammaṇā. Tesu sammāsaṅkappo kiccato nekkhammasaṅkappotiādīni tīṇi nāmāni labhati. Sammāvācādayo tayo pubbabhāge nānākkhaṇā nānārammaṇā viratiyopi honti cetanāyopi, maggakkhaṇe pana viratiyova. Sammāvāyāmo sammāsatīti idampi dvayaṃ kiccato sammappadhānasatipaṭṭhānavasena cattāri nāmāni labhati. Sammāsamādhi pana pubbabhāgepi maggakkhaṇepi sammāsamādhiyeva.
อิติ อิเมสุ อฎฺฐสุ ธเมฺมสุ ภควตา นิพฺพานาธิคมาย ปฎิปนฺนสฺส โยคิโน พหูปการตฺตา ปฐมํ สมฺมาทิฎฺฐิ เทสิตาฯ อยญฺหิ ‘‘ปญฺญาปโชฺชโต ปญฺญาสตฺถ’’นฺติ (ธ. ส. ๑๖, ๒๐, ๒๙, ๓๔) จ วุตฺตาฯ ตสฺมา เอตาย ปุพฺพภาเค วิปสฺสนาญาณสงฺขาตาย สมฺมาทิฎฺฐิยา อวิชฺชนฺธการํ วิทฺธํเสตฺวา กิเลสโจเร ฆาเตโนฺต เขเมน โยคาวจโร นิพฺพานํ ปาปุณาติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘นิพฺพานาธิคมาย ปฎิปนฺนสฺส โยคิโน พหูปการตฺตา ปฐมํ สมฺมาทิฎฺฐิ เทสิตา’’ติฯ
Iti imesu aṭṭhasu dhammesu bhagavatā nibbānādhigamāya paṭipannassa yogino bahūpakārattā paṭhamaṃ sammādiṭṭhi desitā. Ayañhi ‘‘paññāpajjoto paññāsattha’’nti (dha. sa. 16, 20, 29, 34) ca vuttā. Tasmā etāya pubbabhāge vipassanāñāṇasaṅkhātāya sammādiṭṭhiyā avijjandhakāraṃ viddhaṃsetvā kilesacore ghātento khemena yogāvacaro nibbānaṃ pāpuṇāti. Tena vuttaṃ ‘‘nibbānādhigamāya paṭipannassa yogino bahūpakārattā paṭhamaṃ sammādiṭṭhi desitā’’ti.
สมฺมาสงฺกโปฺป ปน ตสฺสา พหูปกาโร, ตสฺมา ตทนนฺตรํ วุโตฺตฯ ยถา หิ เหรญฺญิโก หเตฺถน ปริวเตฺตตฺวา ปริวเตฺตตฺวา จกฺขุนา กหาปณํ โอโลเกโนฺต ‘อยํ กูโฎ, อยํ เฉโก’ติ ชานาติ, เอวํ โยคาวจโรปิ ปุพฺพภาเค วิตเกฺกน วิตเกฺกตฺวา วิปสฺสนาปญฺญาย โอโลกยมาโน ‘อิเม ธมฺมา กามาวจรา, อิเม ธมฺมา รูปาวจราทโย’ติ ชานาติฯ ยถา วา ปน ปุริเสน โกฎิยํ คเหตฺวา ปริวเตฺตตฺวา ปริวเตฺตตฺวา ทินฺนํ มหารุกฺขํ ตจฺฉโก วาสิยา ตเจฺฉตฺวา กเมฺม อุปเนติ, เอวํ วิตเกฺกน วิตเกฺกตฺวา วิตกฺกตฺวา ทินฺนธเมฺม โยคาวจโร ปญฺญาย ‘อิเม ธมฺมา กามาวจรา, อิเม ธมฺมา รูปาวจรา’ติอาทินา นเยน ปริจฺฉินฺทิตฺวา กเมฺม อุปเนติฯ เตน วุตฺตํ ‘สมฺมาสงฺกโปฺป ปน ตสฺสา พหูปกาโร, ตสฺมา ตทนนฺตรํ วุโตฺต’’ติฯ
Sammāsaṅkappo pana tassā bahūpakāro, tasmā tadanantaraṃ vutto. Yathā hi heraññiko hatthena parivattetvā parivattetvā cakkhunā kahāpaṇaṃ olokento ‘ayaṃ kūṭo, ayaṃ cheko’ti jānāti, evaṃ yogāvacaropi pubbabhāge vitakkena vitakketvā vipassanāpaññāya olokayamāno ‘ime dhammā kāmāvacarā, ime dhammā rūpāvacarādayo’ti jānāti. Yathā vā pana purisena koṭiyaṃ gahetvā parivattetvā parivattetvā dinnaṃ mahārukkhaṃ tacchako vāsiyā tacchetvā kamme upaneti, evaṃ vitakkena vitakketvā vitakkatvā dinnadhamme yogāvacaro paññāya ‘ime dhammā kāmāvacarā, ime dhammā rūpāvacarā’tiādinā nayena paricchinditvā kamme upaneti. Tena vuttaṃ ‘sammāsaṅkappo pana tassā bahūpakāro, tasmā tadanantaraṃ vutto’’ti.
สฺวายํ ยถา สมฺมาทิฎฺฐิยา, เอวํ สมฺมาวาจายปิ อุปการโกฯ ยถาห – ‘‘ปุเพฺพ โข, คหปติ, วิตเกฺกตฺวา วิจาเรตฺวา ปจฺฉา วาจํ ภินฺทตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๖๓)ฯ ตสฺมา ตทนนฺตรํ สมฺมาวาจา วุตฺตาฯ
Svāyaṃ yathā sammādiṭṭhiyā, evaṃ sammāvācāyapi upakārako. Yathāha – ‘‘pubbe kho, gahapati, vitakketvā vicāretvā pacchā vācaṃ bhindatī’’ti (ma. ni. 1.463). Tasmā tadanantaraṃ sammāvācā vuttā.
ยสฺมา ปน ‘อิทญฺจิทญฺจ กริสฺสามา’ติ ปฐมํ วาจาย สํวิทหิตฺวา โลเก กมฺมเนฺต ปโยเชนฺติ, ตสฺมา วาจา กายกมฺมสฺส อุปการิกาติ สมฺมาวาจาย อนนฺตรํ สมฺมากมฺมโนฺต วุโตฺตฯ
Yasmā pana ‘idañcidañca karissāmā’ti paṭhamaṃ vācāya saṃvidahitvā loke kammante payojenti, tasmā vācā kāyakammassa upakārikāti sammāvācāya anantaraṃ sammākammanto vutto.
จตุพฺพิธํ ปน วจีทุจฺจริตํ, ติวิธํ กายทุจฺจริตํ ปหาย อุภยํ สุจริตํ ปูเรนฺตเสฺสว ยสฺมา อาชีวฎฺฐมกสีลํ ปูรติ, น อิตรสฺส, ตสฺมา ตทุภยานนฺตรํ สมฺมาอาชีโว วุโตฺตฯ
Catubbidhaṃ pana vacīduccaritaṃ, tividhaṃ kāyaduccaritaṃ pahāya ubhayaṃ sucaritaṃ pūrentasseva yasmā ājīvaṭṭhamakasīlaṃ pūrati, na itarassa, tasmā tadubhayānantaraṃ sammāājīvo vutto.
เอวํ สุทฺธาชีเวน ‘ปริสุโทฺธ เม อาชีโว’ติ เอตฺตาวตา ปริโตสํ อกตฺวา สุตฺตปฺปมเตฺตน วิหริตุํ น ยุตฺตํ, อถ โข สพฺพอิริยาปเถสุ อิทํ วีริยมารภิตพฺพนฺติ ทเสฺสตุํ ตทนนฺตรํ สมฺมาวายาโม วุโตฺตฯ
Evaṃ suddhājīvena ‘parisuddho me ājīvo’ti ettāvatā paritosaṃ akatvā suttappamattena viharituṃ na yuttaṃ, atha kho sabbairiyāpathesu idaṃ vīriyamārabhitabbanti dassetuṃ tadanantaraṃ sammāvāyāmo vutto.
ตโต อารทฺธวีริเยนาปิ กายาทีสุ จตูสุ วตฺถูสุ สติ สุปฺปติฎฺฐิตา กาตพฺพาติ ทสฺสนตฺถํ ตทนนฺตรํ สมฺมาสติ เทสิตาฯ
Tato āraddhavīriyenāpi kāyādīsu catūsu vatthūsu sati suppatiṭṭhitā kātabbāti dassanatthaṃ tadanantaraṃ sammāsati desitā.
ยสฺมา ปน เอวํ สุปฺปติฎฺฐิตา สติ สมาธิสฺส อุปการานุปการานํ ธมฺมานํ คติโย สมเนฺวสิตฺวา ปโหติ เอกตฺตารมฺมเณ จิตฺตํ สมาธาตุํ, ตสฺมา สมฺมาสติอนนฺตรํ สมฺมาสมาธิ เทสิโตติ เวทิตโพฺพฯ
Yasmā pana evaṃ suppatiṭṭhitā sati samādhissa upakārānupakārānaṃ dhammānaṃ gatiyo samanvesitvā pahoti ekattārammaṇe cittaṃ samādhātuṃ, tasmā sammāsatianantaraṃ sammāsamādhi desitoti veditabbo.
สมฺมาทิฎฺฐินิเทฺทเส ‘‘ทุเกฺข ญาณ’’นฺติอาทินา จตุสจฺจกมฺมฎฺฐานํ ทสฺสิตํฯ ตตฺถ ปุริมานิ เทฺว สจฺจานิ วฎฺฎํ, ปจฺฉิมานิ วิวฎฺฎํฯ เตสุ ภิกฺขุโน วเฎฺฎ กมฺมฎฺฐานาภินิเวโส โหติ, วิวเฎฺฎ นตฺถิ อภินิเวโสฯ ปุริมานิ หิ เทฺว สจฺจานิ ‘‘ปญฺจกฺขนฺธา ทุกฺขํ, ตณฺหา สมุทโย’’ติ เอวํ สเงฺขเปน จ ‘‘กตเม ปญฺจกฺขนฺธา? รูปกฺขโนฺธ’’ติอาทินา นเยน วิตฺถาเรน จ อาจริยสฺส สนฺติเก อุคฺคณฺหิตฺวา วาจาย ปุนปฺปุนํ ปริวเตฺตโนฺต โยคาวจโร กมฺมํ กโรติ; อิตเรสุ ปน ทฺวีสุ สเจฺจสุ ‘‘นิโรธสจฺจํ อิฎฺฐํ กนฺตํ มนาปํ, มคฺคสจฺจํ อิฎฺฐํ กนฺตํ มนาป’’นฺติ เอวํ สวเนเนว กมฺมํ กโรติฯ โส เอวํ กมฺมํ กโรโนฺต จตฺตาริ สจฺจานิ เอเกน ปฎิเวเธน ปฎิวิชฺฌติ, เอกาภิสมเยน อภิสเมติ; ทุกฺขํ ปริญฺญาปฎิเวเธน ปฎิวิชฺฌติ, สมุทยํ ปหานปฎิเวเธน, นิโรธํ สจฺฉิกิริยปฎิเวเธน, มคฺคํ ภาวนาปฎิเวเธน ปฎิวิชฺฌติ; ทุกฺขํ ปริญฺญาภิสมเยน…เป.… มคฺคํ ภาวนาภิสมเยน อภิสเมติฯ
Sammādiṭṭhiniddese ‘‘dukkhe ñāṇa’’ntiādinā catusaccakammaṭṭhānaṃ dassitaṃ. Tattha purimāni dve saccāni vaṭṭaṃ, pacchimāni vivaṭṭaṃ. Tesu bhikkhuno vaṭṭe kammaṭṭhānābhiniveso hoti, vivaṭṭe natthi abhiniveso. Purimāni hi dve saccāni ‘‘pañcakkhandhā dukkhaṃ, taṇhā samudayo’’ti evaṃ saṅkhepena ca ‘‘katame pañcakkhandhā? Rūpakkhandho’’tiādinā nayena vitthārena ca ācariyassa santike uggaṇhitvā vācāya punappunaṃ parivattento yogāvacaro kammaṃ karoti; itaresu pana dvīsu saccesu ‘‘nirodhasaccaṃ iṭṭhaṃ kantaṃ manāpaṃ, maggasaccaṃ iṭṭhaṃ kantaṃ manāpa’’nti evaṃ savaneneva kammaṃ karoti. So evaṃ kammaṃ karonto cattāri saccāni ekena paṭivedhena paṭivijjhati, ekābhisamayena abhisameti; dukkhaṃ pariññāpaṭivedhena paṭivijjhati, samudayaṃ pahānapaṭivedhena, nirodhaṃ sacchikiriyapaṭivedhena, maggaṃ bhāvanāpaṭivedhena paṭivijjhati; dukkhaṃ pariññābhisamayena…pe… maggaṃ bhāvanābhisamayena abhisameti.
เอวมสฺส ปุพฺพภาเค ทฺวีสุ สเจฺจสุ อุคฺคหปริปุจฺฉาสวนธารณสมฺมสนปฎิเวโธ โหติ, ทฺวีสุ สวนปฎิเวโธเยว; อปรภาเค ตีสุ กิจฺจโต ปฎิเวโธ โหติ, นิโรเธ อารมฺมณปฎิเวโธฯ ตตฺถ สพฺพมฺปิ ปฎิเวธญาณํ โลกุตฺตรํ, สวนธารณสมฺมสนญาณํ โลกิยํ กามาวจรํ, ปจฺจเวกฺขณา ปน ปตฺตสจฺจสฺส โหติฯ อยญฺจ อาทิกมฺมิโกฯ ตสฺมา สา อิธ น วุตฺตาฯ อิมสฺส จ ภิกฺขุโน ปุเพฺพ ปริคฺคหโต ‘ทุกฺขํ ปริชานามิ , สมุทยํ ปชหามิ, นิโรธํ สจฺฉิกโรมิ, มคฺคํ ภาเวมี’ติ อาโภคสมนฺนาหารมนสิการปจฺจเวกฺขณา นตฺถิ, ปริคฺคหโต ปฎฺฐาย โหติ; อปรภาเค ปน ทุกฺขํ ปริญฺญาตเมว โหติ…เป.… มโคฺค ภาวิโตว โหติฯ
Evamassa pubbabhāge dvīsu saccesu uggahaparipucchāsavanadhāraṇasammasanapaṭivedho hoti, dvīsu savanapaṭivedhoyeva; aparabhāge tīsu kiccato paṭivedho hoti, nirodhe ārammaṇapaṭivedho. Tattha sabbampi paṭivedhañāṇaṃ lokuttaraṃ, savanadhāraṇasammasanañāṇaṃ lokiyaṃ kāmāvacaraṃ, paccavekkhaṇā pana pattasaccassa hoti. Ayañca ādikammiko. Tasmā sā idha na vuttā. Imassa ca bhikkhuno pubbe pariggahato ‘dukkhaṃ parijānāmi , samudayaṃ pajahāmi, nirodhaṃ sacchikaromi, maggaṃ bhāvemī’ti ābhogasamannāhāramanasikārapaccavekkhaṇā natthi, pariggahato paṭṭhāya hoti; aparabhāge pana dukkhaṃ pariññātameva hoti…pe… maggo bhāvitova hoti.
ตตฺถ เทฺว สจฺจานิ ทุทฺทสตฺตา คมฺภีรานิ, เทฺว คมฺภีรตฺตา ทุทฺทสานิฯ ทุกฺขสจฺจญฺหิ อุปฺปตฺติโต ปากฎํ; ขาณุกณฺฎกปฺปหาราทีสุ ‘อโห ทุกฺข’นฺติ วตฺตพฺพตมฺปิ อาปชฺชติฯ สมุทยมฺปิ ขาทิตุกามตาภุญฺชิตุกามตาทิวเสน อุปฺปตฺติโต ปากฎํฯ ลกฺขณปฎิเวธโต ปน อุภยมฺปิ คมฺภีรํฯ อิติ ตานิ ทุทฺทสตฺตา คมฺภีรานิฯ อิตเรสํ ปน ทฺวินฺนํ ทสฺสนตฺถาย ปโยโค ภวคฺคคหณตฺถํ หตฺถปฺปสารณํ วิย, อวีจิผุสนตฺถํ ปาทปฺปสารณํ วิย, สตธา ภินฺนวาลสฺส โกฎิยา โกฎิํ ปฎิปาทนํ วิย จ โหติฯ อิติ ตานิ คมฺภีรตฺตา ทุทฺทสานิฯ เอวํ ทุทฺทสตฺตา คมฺภีเรสุ คมฺภีรตฺตา จ ทุทฺทเสสุ จตูสุ สเจฺจสุ อุคฺคหาทิวเสน ปุพฺพภาคญาณุปฺปตฺติํ สนฺธาย อิทํ ‘‘ทุเกฺข ญาณ’’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ ปฎิเวธกฺขเณ ปน เอกเมว ญาณํ โหติฯ
Tattha dve saccāni duddasattā gambhīrāni, dve gambhīrattā duddasāni. Dukkhasaccañhi uppattito pākaṭaṃ; khāṇukaṇṭakappahārādīsu ‘aho dukkha’nti vattabbatampi āpajjati. Samudayampi khāditukāmatābhuñjitukāmatādivasena uppattito pākaṭaṃ. Lakkhaṇapaṭivedhato pana ubhayampi gambhīraṃ. Iti tāni duddasattā gambhīrāni. Itaresaṃ pana dvinnaṃ dassanatthāya payogo bhavaggagahaṇatthaṃ hatthappasāraṇaṃ viya, avīciphusanatthaṃ pādappasāraṇaṃ viya, satadhā bhinnavālassa koṭiyā koṭiṃ paṭipādanaṃ viya ca hoti. Iti tāni gambhīrattā duddasāni. Evaṃ duddasattā gambhīresu gambhīrattā ca duddasesu catūsu saccesu uggahādivasena pubbabhāgañāṇuppattiṃ sandhāya idaṃ ‘‘dukkhe ñāṇa’’ntiādi vuttaṃ. Paṭivedhakkhaṇe pana ekameva ñāṇaṃ hoti.
สมฺมาสงฺกปฺปนิเทฺทเส กามโต นิสฺสโฎติ เนกฺขมฺมสงฺกโปฺปฯ พฺยาปาทโต นิสฺสโฎติ อพฺยาปาทสงฺกโปฺปฯ วิหิํสาย นิสฺสโฎติ อวิหิํสาสงฺกโปฺปฯ ตตฺถ เนกฺขมฺมวิตโกฺก กามวิตกฺกสฺส ปทฆาตํ ปทเจฺฉทํ กโรโนฺต อุปฺปชฺชติ, อพฺยาปาทวิตโกฺก พฺยาปาทวิตกฺกสฺส, อวิหิํสาวิตโกฺก วิหิํสาวิตกฺกสฺสฯ เนกฺขมฺมวิตโกฺก จ กามวิตกฺกสฺส ปจฺจนีโก หุตฺวา อุปฺปชฺชติ, อพฺยาปาทอวิหิํสาวิตกฺกา พฺยาปาทวิหิํสาวิตกฺกานํฯ
Sammāsaṅkappaniddese kāmato nissaṭoti nekkhammasaṅkappo. Byāpādato nissaṭoti abyāpādasaṅkappo. Vihiṃsāya nissaṭoti avihiṃsāsaṅkappo. Tattha nekkhammavitakko kāmavitakkassa padaghātaṃ padacchedaṃ karonto uppajjati, abyāpādavitakko byāpādavitakkassa, avihiṃsāvitakko vihiṃsāvitakkassa. Nekkhammavitakko ca kāmavitakkassa paccanīko hutvā uppajjati, abyāpādaavihiṃsāvitakkā byāpādavihiṃsāvitakkānaṃ.
ตตฺถ โยคาวจโร กามวิตกฺกสฺส ปทฆาตนตฺถํ กามวิตกฺกํ วา สมฺมสติ อญฺญํ วา ปน กิญฺจิ สงฺขารํฯ อถสฺส วิปสฺสนากฺขเณ วิปสฺสนาสมฺปยุโตฺต สงฺกโปฺป ตทงฺควเสน กามวิตกฺกสฺส ปทฆาตํ ปทเจฺฉทํ กโรโนฺต อุปฺปชฺชติ, วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา มคฺคํ ปาเปติฯ อถสฺส มคฺคกฺขเณ มคฺคสมฺปยุโตฺต สงฺกโปฺป สมุเจฺฉทวเสน กามวิตกฺกสฺส ปทฆาตํ ปทเจฺฉทํ กโรโนฺต อุปฺปชฺชติ; พฺยาปาทวิตกฺกสฺสาปิ ปทฆาตนตฺถํ พฺยาปาทวิตกฺกํ วา อญฺญํ วา สงฺขารํ สมฺมสติ; วิหิํสาวิตกฺกสฺส ปทฆาตนตฺถํ วิหิํสาวิตกฺกํ วา อญฺญํ วา สงฺขารํ สมฺมสติฯ อถสฺส วิปสฺสนากฺขเณติ สพฺพํ ปุริมนเยเนว โยเชตพฺพํฯ
Tattha yogāvacaro kāmavitakkassa padaghātanatthaṃ kāmavitakkaṃ vā sammasati aññaṃ vā pana kiñci saṅkhāraṃ. Athassa vipassanākkhaṇe vipassanāsampayutto saṅkappo tadaṅgavasena kāmavitakkassa padaghātaṃ padacchedaṃ karonto uppajjati, vipassanaṃ ussukkāpetvā maggaṃ pāpeti. Athassa maggakkhaṇe maggasampayutto saṅkappo samucchedavasena kāmavitakkassa padaghātaṃ padacchedaṃ karonto uppajjati; byāpādavitakkassāpi padaghātanatthaṃ byāpādavitakkaṃ vā aññaṃ vā saṅkhāraṃ sammasati; vihiṃsāvitakkassa padaghātanatthaṃ vihiṃsāvitakkaṃ vā aññaṃ vā saṅkhāraṃ sammasati. Athassa vipassanākkhaṇeti sabbaṃ purimanayeneva yojetabbaṃ.
กามวิตกฺกาทีนํ ปน ติณฺณํ ปาฬิยํ วิภเตฺตสุ อฎฺฐติํสารมฺมเณสุ เอกกมฺมฎฺฐานมฺปิ อปจฺจนีกํ นาม นตฺถิฯ เอกนฺตโต ปน กามวิตกฺกสฺส ตาว อสุเภสุ ปฐมชฺฌานเมว ปจฺจนีกํ, พฺยาปาทวิตกฺกสฺส เมตฺตาย ติกจตุกฺกชฺฌานานิ, วิหิํสาวิตกฺกสฺส กรุณาย ติกจตุกฺกชฺฌานานิฯ ตสฺมา อสุเภ ปริกมฺมํ กตฺวา ฌานํ สมาปนฺนสฺส สมาปตฺติกฺขเณ ฌานสมฺปยุโตฺต สงฺกโปฺป วิกฺขมฺภนวเสน กามวิตกฺกสฺส ปจฺจนีโก หุตฺวา อุปฺปชฺชติฯ ฌานํ ปาทกํ กตฺวา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปนฺตสฺส วิปสฺสนากฺขเณ วิปสฺสนาสมฺปยุโตฺต สงฺกโปฺป ตทงฺควเสน กามวิตกฺกสฺส ปจฺจนีโก หุตฺวา อุปฺปชฺชติฯ วิปสฺสนํ อุสฺสุกฺกาเปตฺวา มคฺคํ ปาเปนฺตสฺส มคฺคกฺขเณ มคฺคสมฺปยุโตฺต สงฺกโปฺป สมุเจฺฉทวเสน กามวิตกฺกสฺส ปจฺจนีโก หุตฺวา อุปฺปชฺชติฯ เอวํ อุปฺปโนฺน เนกฺขมฺมสงฺกโปฺปติ วุจฺจตีติ เวทิตโพฺพฯ
Kāmavitakkādīnaṃ pana tiṇṇaṃ pāḷiyaṃ vibhattesu aṭṭhatiṃsārammaṇesu ekakammaṭṭhānampi apaccanīkaṃ nāma natthi. Ekantato pana kāmavitakkassa tāva asubhesu paṭhamajjhānameva paccanīkaṃ, byāpādavitakkassa mettāya tikacatukkajjhānāni, vihiṃsāvitakkassa karuṇāya tikacatukkajjhānāni. Tasmā asubhe parikammaṃ katvā jhānaṃ samāpannassa samāpattikkhaṇe jhānasampayutto saṅkappo vikkhambhanavasena kāmavitakkassa paccanīko hutvā uppajjati. Jhānaṃ pādakaṃ katvā vipassanaṃ paṭṭhapentassa vipassanākkhaṇe vipassanāsampayutto saṅkappo tadaṅgavasena kāmavitakkassa paccanīko hutvā uppajjati. Vipassanaṃ ussukkāpetvā maggaṃ pāpentassa maggakkhaṇe maggasampayutto saṅkappo samucchedavasena kāmavitakkassa paccanīko hutvā uppajjati. Evaṃ uppanno nekkhammasaṅkappoti vuccatīti veditabbo.
เมตฺตาย ปน ปริกมฺมํ กตฺวา, กรุณาย ปริกมฺมํ กตฺวา ฌานํ สมาปชฺชตีติ สพฺพํ ปุริมนเยเนว โยเชตพฺพํฯ เอวํ อุปฺปโนฺน อพฺยาปาทสงฺกโปฺปติ วุจฺจติ, อวิหิํสาสงฺกโปฺปติ จ วุจฺจตีติ เวทิตโพฺพฯ เอวเมเต เนกฺขมฺมสงฺกปฺปาทโย วิปสฺสนาฌานวเสน อุปฺปตฺตีนํ นานตฺตา ปุพฺพภาเค นานา; มคฺคกฺขเณ ปน อิเมสุ ตีสุ ฐาเนสุ อุปฺปนฺนสฺส อกุสลสงฺกปฺปสฺส ปทเจฺฉทโต อนุปฺปตฺติสาธนวเสน มคฺคงฺคํ ปูรยมาโน เอโกว กุสลสงฺกโปฺป อุปฺปชฺชติฯ อยํ สมฺมาสงฺกโปฺป นามฯ
Mettāya pana parikammaṃ katvā, karuṇāya parikammaṃ katvā jhānaṃ samāpajjatīti sabbaṃ purimanayeneva yojetabbaṃ. Evaṃ uppanno abyāpādasaṅkappoti vuccati, avihiṃsāsaṅkappoti ca vuccatīti veditabbo. Evamete nekkhammasaṅkappādayo vipassanājhānavasena uppattīnaṃ nānattā pubbabhāge nānā; maggakkhaṇe pana imesu tīsu ṭhānesu uppannassa akusalasaṅkappassa padacchedato anuppattisādhanavasena maggaṅgaṃ pūrayamāno ekova kusalasaṅkappo uppajjati. Ayaṃ sammāsaṅkappo nāma.
สมฺมาวาจานิเทฺทเสปิ ยสฺมา อเญฺญเนว จิเตฺตน มุสาวาทา วิรมติ, อเญฺญนเญฺญน ปิสุณวาจาทีหิ, ตสฺมา จตโสฺสเปตา เวรมณิโย ปุพฺพภาเค นานา; มคฺคกฺขเณ ปน มิจฺฉาวาจาสงฺขาตาย จตุพฺพิธาย อกุสลทุสฺสีลฺยเจตนาย ปทเจฺฉทโต อนุปฺปตฺติสาธนวเสน มคฺคงฺคํ ปูรยมานา เอกาว สมฺมาวาจาสงฺขาตา กุสลเวรมณี อุปฺปชฺชติฯ อยํ สมฺมาวาจา นามฯ
Sammāvācāniddesepi yasmā aññeneva cittena musāvādā viramati, aññenaññena pisuṇavācādīhi, tasmā catassopetā veramaṇiyo pubbabhāge nānā; maggakkhaṇe pana micchāvācāsaṅkhātāya catubbidhāya akusaladussīlyacetanāya padacchedato anuppattisādhanavasena maggaṅgaṃ pūrayamānā ekāva sammāvācāsaṅkhātā kusalaveramaṇī uppajjati. Ayaṃ sammāvācā nāma.
สมฺมากมฺมนฺตนิเทฺทเสปิ ยสฺมา อเญฺญเนว จิเตฺตน ปาณาติปาตา วิรมติ, อเญฺญน อทินฺนาทานา, อเญฺญน กาเมสุมิจฺฉาจารา, ตสฺมา ติโสฺสเปตา เวรมณิโย ปุพฺพภาเค นานา; มคฺคกฺขเณ ปน มิจฺฉากมฺมนฺตสงฺขาตาย ติวิธาย อกุสลทุสฺสีลฺยเจตนาย ปทเจฺฉทโต อนุปฺปตฺติสาธนวเสน มคฺคงฺคํ ปูรยมานา เอกาว สมฺมากมฺมนฺตสงฺขาตา อกุสลเวรมณี อุปฺปชฺชติฯ อยํ สมฺมากมฺมโนฺต นามฯ
Sammākammantaniddesepi yasmā aññeneva cittena pāṇātipātā viramati, aññena adinnādānā, aññena kāmesumicchācārā, tasmā tissopetā veramaṇiyo pubbabhāge nānā; maggakkhaṇe pana micchākammantasaṅkhātāya tividhāya akusaladussīlyacetanāya padacchedato anuppattisādhanavasena maggaṅgaṃ pūrayamānā ekāva sammākammantasaṅkhātā akusalaveramaṇī uppajjati. Ayaṃ sammākammanto nāma.
สมฺมาอาชีวนิเทฺทเส อิธาติ อิมสฺมิํ สาสเนฯ อริยสาวโกติ อริยสฺส พุทฺธสฺส สาวโกฯ มิจฺฉาอาชีวํ ปหายาติ ปาปกํ อาชีวํ ปชหิตฺวาฯ สมฺมาอาชีเวนาติ พุทฺธปสเตฺถน กุสลอาชีเวนฯ ชีวิกํ กเปฺปตีติ ชีวิตปฺปวตฺติํ ปวเตฺตติฯ อิธาปิ ยสฺมา อเญฺญเนว จิเตฺตน กายทฺวารวีติกฺกมา วิรมติ; อเญฺญน วจีทฺวารวีติกฺกมา, ตสฺมา ปุพฺพภาเค นานากฺขเณสุ อุปฺปชฺชติ; มคฺคกฺขเณ ปน ทฺวีสุ ทฺวาเรสุ สตฺตนฺนํ กมฺมปถานํ วเสน อุปฺปนฺนาย มิจฺฉาอาชีวทุสฺสีลฺยเจตนาย ปทเจฺฉทโต อนุปฺปตฺติสาธนวเสน มคฺคงฺคํ ปูรยมานา เอกาว สมฺมาอาชีวสงฺขาตา กุสลเวรมณี อุปฺปชฺชติฯ อยํ สมฺมาอาชีโว นามฯ
Sammāājīvaniddese idhāti imasmiṃ sāsane. Ariyasāvakoti ariyassa buddhassa sāvako. Micchāājīvaṃ pahāyāti pāpakaṃ ājīvaṃ pajahitvā. Sammāājīvenāti buddhapasatthena kusalaājīvena. Jīvikaṃ kappetīti jīvitappavattiṃ pavatteti. Idhāpi yasmā aññeneva cittena kāyadvāravītikkamā viramati; aññena vacīdvāravītikkamā, tasmā pubbabhāge nānākkhaṇesu uppajjati; maggakkhaṇe pana dvīsu dvāresu sattannaṃ kammapathānaṃ vasena uppannāya micchāājīvadussīlyacetanāya padacchedato anuppattisādhanavasena maggaṅgaṃ pūrayamānā ekāva sammāājīvasaṅkhātā kusalaveramaṇī uppajjati. Ayaṃ sammāājīvo nāma.
สมฺมาวายามนิเทฺทโส สมฺมปฺปธานวิภเงฺค อนุปทวณฺณนาวเสน อาวิภวิสฺสติฯ อยํ ปน ปุพฺพภาเค นานาจิเตฺตสุ ลภติฯ อเญฺญเนว หิ จิเตฺตน อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปฺปาทาย วายามํ กโรติ, อเญฺญน อุปฺปนฺนานํ ปหานาย; อเญฺญเนว จ อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานํ อุปฺปาทาย, อเญฺญน อุปฺปนฺนานํ ฐิติยา; มคฺคกฺขเณ ปน เอกจิเตฺตเยว ลพฺภติฯ เอกเมว หิ มคฺคสมฺปยุตฺตํ วีริยํ จตุกิจฺจสาธนเฎฺฐน จตฺตาริ นามานิ ลพฺภติฯ
Sammāvāyāmaniddeso sammappadhānavibhaṅge anupadavaṇṇanāvasena āvibhavissati. Ayaṃ pana pubbabhāge nānācittesu labhati. Aññeneva hi cittena anuppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ anuppādāya vāyāmaṃ karoti, aññena uppannānaṃ pahānāya; aññeneva ca anuppannānaṃ kusalānaṃ dhammānaṃ uppādāya, aññena uppannānaṃ ṭhitiyā; maggakkhaṇe pana ekacitteyeva labbhati. Ekameva hi maggasampayuttaṃ vīriyaṃ catukiccasādhanaṭṭhena cattāri nāmāni labbhati.
สมฺมาสตินิเทฺทโสปิ สติปฎฺฐานวิภเงฺค อนุปทวณฺณนาวเสน อาวิภวิสฺสติฯ อยมฺปิ จ ปุพฺพภาเค นานาจิเตฺตสุ ลพฺภติฯ อเญฺญเนว หิ จิเตฺตน กายํ ปริคฺคณฺหาติ, อเญฺญนเญฺญน เวทนาทีนิ; มคฺคกฺขเณ ปน เอกจิเตฺตเยว ลพฺภติฯ เอกาเยว หิ มคฺคสมฺปยุตฺตา สติ จตุกิจฺจสาธนเฎฺฐน จตฺตาริ นามานิ ลภติฯ
Sammāsatiniddesopi satipaṭṭhānavibhaṅge anupadavaṇṇanāvasena āvibhavissati. Ayampi ca pubbabhāge nānācittesu labbhati. Aññeneva hi cittena kāyaṃ pariggaṇhāti, aññenaññena vedanādīni; maggakkhaṇe pana ekacitteyeva labbhati. Ekāyeva hi maggasampayuttā sati catukiccasādhanaṭṭhena cattāri nāmāni labhati.
สมฺมาสมาธินิเทฺทเส จตฺตาริ ฌานานิ ปุพฺพภาเคปิ นานา, มคฺคกฺขเณปิฯ ปุพฺพภาเค สมาปตฺติวเสน นานา, มคฺคกฺขเณ นานามคฺควเสนฯ เอกสฺส หิ ปฐมมโคฺค ปฐมชฺฌานิโก โหติ, ทุติยมคฺคาทโยปิ ปฐมชฺฌานิกา, ทุติยาทีสุ อญฺญตรชฺฌานิกา วาฯ เอกสฺส ปฐมมโคฺค ทุติยาทีนํ อญฺญตรชฺฌานิโก โหติ, ทุติยาทโยปิ ทุติยาทีนํ อญฺญตรชฺฌานิกา วา ปฐมชฺฌานิกา วาฯ เอวํ จตฺตาโรปิ มคฺคา ฌานวเสน สทิสา วา อสทิสา วา เอกจฺจสทิสา วา โหนฺติฯ
Sammāsamādhiniddese cattāri jhānāni pubbabhāgepi nānā, maggakkhaṇepi. Pubbabhāge samāpattivasena nānā, maggakkhaṇe nānāmaggavasena. Ekassa hi paṭhamamaggo paṭhamajjhāniko hoti, dutiyamaggādayopi paṭhamajjhānikā, dutiyādīsu aññatarajjhānikā vā. Ekassa paṭhamamaggo dutiyādīnaṃ aññatarajjhāniko hoti, dutiyādayopi dutiyādīnaṃ aññatarajjhānikā vā paṭhamajjhānikā vā. Evaṃ cattāropi maggā jhānavasena sadisā vā asadisā vā ekaccasadisā vā honti.
อยํ ปนสฺส วิเสโส ปาทกชฺฌานนิยาเมน โหติฯ ปาทกชฺฌานนิยาเมน ตาว ปฐมชฺฌานลาภิโน ปฐมชฺฌานา วุฎฺฐาย วิปสฺสนฺตสฺส อุปฺปนฺนมโคฺค ปฐมชฺฌานิโก โหติ; มคฺคงฺคโพชฺฌงฺคานิ ปเนตฺถ ปริปุณฺณาเนว โหนฺติฯ ทุติยชฺฌานโต อุฎฺฐาย วิปสฺสนฺตสฺส อุปฺปโนฺน มโคฺค ทุติยชฺฌานิโก โหติ; มคฺคงฺคานิ ปเนตฺถ สตฺต โหนฺติฯ ตติยชฺฌานโต อุฎฺฐาย วิปสฺสนฺตสฺส อุปฺปโนฺน มโคฺค ตติยชฺฌานิโก โหติ; มคฺคงฺคานิ ปเนตฺถ สตฺต, โพชฺฌงฺคานิ ฉ โหนฺติฯ เอส นโย จตุตฺถชฺฌานโต ปฎฺฐาย ยาว เนวสญฺญานาสญฺญายตนาฯ
Ayaṃ panassa viseso pādakajjhānaniyāmena hoti. Pādakajjhānaniyāmena tāva paṭhamajjhānalābhino paṭhamajjhānā vuṭṭhāya vipassantassa uppannamaggo paṭhamajjhāniko hoti; maggaṅgabojjhaṅgāni panettha paripuṇṇāneva honti. Dutiyajjhānato uṭṭhāya vipassantassa uppanno maggo dutiyajjhāniko hoti; maggaṅgāni panettha satta honti. Tatiyajjhānato uṭṭhāya vipassantassa uppanno maggo tatiyajjhāniko hoti; maggaṅgāni panettha satta, bojjhaṅgāni cha honti. Esa nayo catutthajjhānato paṭṭhāya yāva nevasaññānāsaññāyatanā.
อารุเปฺป จตุกฺกปญฺจกชฺฌานํ อุปฺปชฺชติฯ ตญฺจ โข โลกุตฺตรํ โน โลกิยนฺติ วุตฺตํฯ เอตฺถ กถนฺติ? เอตฺถาปิ ปฐมชฺฌานาทีสุ ยโต อุฎฺฐาย โสตาปตฺติมคฺคํ ปฎิลภิตฺวา อารุปฺปสมาปตฺติํ ภาเวตฺวา โย อารุเปฺป อุปฺปโนฺน, ตํฌานิกาว ตสฺส ตตฺถ ตโย มคฺคา อุปฺปชฺชนฺติ ฯ เอวํ ปาทกชฺฌานเมว นิยาเมติฯ เกจิ ปน เถรา ‘‘วิปสฺสนาย อารมฺมณภูตา ขนฺธา นิยาเมนฺตี’’ติ วทนฺติฯ เกจิ ‘‘ปุคฺคลชฺฌาสโย นิยาเมตี’’ติ วทนฺติฯ เกจิ ‘‘วุฎฺฐานคามินีวิปสฺสนา นิยาเมตี’’ติ วทนฺติฯ เตสํ วาทวินิจฺฉโย เหฎฺฐา จิตฺตุปฺปาทกเณฺฑ โลกุตฺตรปทภาชนียวณฺณนายํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๓๕๐) วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อยํ วุจฺจติ สมฺมาสมาธีติ ยา อิเมสุ จตูสุ ฌาเนสุ เอกคฺคตา, อยํ ปุพฺพภาเค โลกิโย, อปรภาเค โลกุตฺตโร สมฺมาสมาธิ นาม วุจฺจตีติฯ เอวํ โลกิยโลกุตฺตรวเสน ภควา มคฺคสจฺจํ เทเสสิฯ
Āruppe catukkapañcakajjhānaṃ uppajjati. Tañca kho lokuttaraṃ no lokiyanti vuttaṃ. Ettha kathanti? Etthāpi paṭhamajjhānādīsu yato uṭṭhāya sotāpattimaggaṃ paṭilabhitvā āruppasamāpattiṃ bhāvetvā yo āruppe uppanno, taṃjhānikāva tassa tattha tayo maggā uppajjanti . Evaṃ pādakajjhānameva niyāmeti. Keci pana therā ‘‘vipassanāya ārammaṇabhūtā khandhā niyāmentī’’ti vadanti. Keci ‘‘puggalajjhāsayo niyāmetī’’ti vadanti. Keci ‘‘vuṭṭhānagāminīvipassanā niyāmetī’’ti vadanti. Tesaṃ vādavinicchayo heṭṭhā cittuppādakaṇḍe lokuttarapadabhājanīyavaṇṇanāyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 350) vuttanayeneva veditabbo. Ayaṃ vuccati sammāsamādhīti yā imesu catūsu jhānesu ekaggatā, ayaṃ pubbabhāge lokiyo, aparabhāge lokuttaro sammāsamādhi nāma vuccatīti. Evaṃ lokiyalokuttaravasena bhagavā maggasaccaṃ desesi.
ตตฺถ โลกิยมเคฺค สพฺพาเนว มคฺคงฺคานิ ยถานุรูปํ ฉสุ อารมฺมเณสุ อญฺญตรารมฺมณานิ โหนฺติฯ โลกุตฺตรมเคฺค ปน จตุสจฺจปฎิเวธาย ปวตฺตสฺส อริยสฺส นิพฺพานารมฺมณํ อวิชฺชานุสยสมุคฺฆาตกํ ปญฺญาจกฺขุ สมฺมาทิฎฺฐิฯ ตถา สมฺปนฺนทิฎฺฐิสฺส ตํสมฺปยุตฺตํ ติวิธมิจฺฉาสงฺกปฺปสมุคฺฆาตกํ เจตโส นิพฺพานปทาภินิโรปนํ สมฺมาสงฺกโปฺปฯ ตถา ปสฺสนฺตสฺส วิตเกฺกนฺตสฺส จ ตํสมฺปยุตฺตาว จตุพฺพิธวจีทุจฺจริตสมุคฺฆาติกาย มิจฺฉาวาจาย วิรติ สมฺมาวาจาฯ ตถา วิรมนฺตสฺส ตํสมฺปยุตฺตาว มิจฺฉากมฺมนฺตสมุเจฺฉทิกา ติวิธกายทุจฺจริตวิรติ สมฺมากมฺมโนฺตฯ เตสํเยว สมฺมาวาจากมฺมนฺตานํ โวทานภูตา ตํสมฺปยุตฺตาว กุหนาทิสมุเจฺฉทิกา มิจฺฉาอาชีววิรติ สมฺมาอาชีโวฯ อิมิสฺสา สมฺมาวาจากมฺมนฺตาชีวสํขาตาย สีลภูมิยํ ปติฎฺฐมานสฺส ตทนุรูโป ตํสมฺปยุโตฺตว โกสชฺชสมุเจฺฉทโก อนุปฺปนฺนุปฺปนฺนานํ อกุสลกุสลานํ อนุปฺปาทปหานุปฺปาทฎฺฐิติสาธโก จ วีริยารโมฺภ สมฺมาวายาโมฯ เอวํ วายมนฺตสฺส ตํสมฺปยุโตฺตว มิจฺฉาสติวินิทฺธุนนโก กายาทีสุ กายานุปสฺสนาทิสาธโก จ เจตโส อสโมฺมโส สมฺมาสติฯ อิติ อนุตฺตราย สติยา สุวิหิตจิตฺตารกฺขสฺส ตํสมฺปยุตฺตาว มิจฺฉาสมาธิสมุคฺฆาติกา จิเตฺตกคฺคตา สมฺมาสมาธีติฯ เอส โลกุตฺตโร อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค โย สห โลกิเยน มเคฺคน ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทาติ สงฺขํ คโตฯ
Tattha lokiyamagge sabbāneva maggaṅgāni yathānurūpaṃ chasu ārammaṇesu aññatarārammaṇāni honti. Lokuttaramagge pana catusaccapaṭivedhāya pavattassa ariyassa nibbānārammaṇaṃ avijjānusayasamugghātakaṃ paññācakkhu sammādiṭṭhi. Tathā sampannadiṭṭhissa taṃsampayuttaṃ tividhamicchāsaṅkappasamugghātakaṃ cetaso nibbānapadābhiniropanaṃ sammāsaṅkappo. Tathā passantassa vitakkentassa ca taṃsampayuttāva catubbidhavacīduccaritasamugghātikāya micchāvācāya virati sammāvācā. Tathā viramantassa taṃsampayuttāva micchākammantasamucchedikā tividhakāyaduccaritavirati sammākammanto. Tesaṃyeva sammāvācākammantānaṃ vodānabhūtā taṃsampayuttāva kuhanādisamucchedikā micchāājīvavirati sammāājīvo. Imissā sammāvācākammantājīvasaṃkhātāya sīlabhūmiyaṃ patiṭṭhamānassa tadanurūpo taṃsampayuttova kosajjasamucchedako anuppannuppannānaṃ akusalakusalānaṃ anuppādapahānuppādaṭṭhitisādhako ca vīriyārambho sammāvāyāmo. Evaṃ vāyamantassa taṃsampayuttova micchāsativiniddhunanako kāyādīsu kāyānupassanādisādhako ca cetaso asammoso sammāsati. Iti anuttarāya satiyā suvihitacittārakkhassa taṃsampayuttāva micchāsamādhisamugghātikā cittekaggatā sammāsamādhīti. Esa lokuttaro ariyo aṭṭhaṅgiko maggo yo saha lokiyena maggena dukkhanirodhagāminī paṭipadāti saṅkhaṃ gato.
โส โข ปเนส มโคฺค สมฺมาทิฎฺฐิสงฺกปฺปานํ วิชฺชาย, เสสธมฺมานํ จรเณน สงฺคหิตตฺตา วิชฺชา เจว จรณญฺจฯ ตถา เตสํ ทฺวินฺนํ วิปสฺสนายาเนน, อิตเรสํ สมถยาเนน สงฺคหิตตฺตา สมโถ เจว วิปสฺสนา จฯ เตสํ วา ทฺวินฺนํ ปญฺญากฺขเนฺธน, ตทนนฺตรานํ ติณฺณํ สีลกฺขเนฺธน, อวเสสานํ สมาธิกฺขเนฺธน อธิปญฺญาอธิสีลอธิจิตฺตสิกฺขาหิ จ สงฺคหิตตฺตา ขนฺธตฺตยเญฺจว สิกฺขาตฺตยญฺจ โหติ; เยน สมนฺนาคโต อริยสาวโก ทสฺสนสมเตฺถหิ จกฺขูหิ คมนสมเตฺถหิ จ ปาเทหิ สมนฺนาคโต อทฺธิโก วิย วิชฺชาจรณสมฺปโนฺน หุตฺวา วิปสฺสนายาเนน กามสุขลฺลิกานุโยคํ, สมถยาเนน อตฺตกิลมถานุโยคนฺติ อนฺตทฺวยํ ปริวเชฺชตฺวา มชฺฌิมปฎิปทํ ปฎิปโนฺน ปญฺญากฺขเนฺธน โมหกฺขนฺธํ, สีลกฺขเนฺธน โทสกฺขนฺธํ, สมาธิกฺขเนฺธน จ โลภกฺขนฺธํ ปทาเลโนฺต อธิปญฺญาสิกฺขาย ปญฺญาสมฺปทํ, อธิสีลสิกฺขาย สีลสมฺปทํ, อธิจิตฺตสิกฺขาย สมาธิสมฺปทนฺติ ติโสฺส สมฺปตฺติโย ปตฺวา อมตํ นิพฺพานํ สจฺฉิกโรติ, อาทิมชฺฌปริโยสานกลฺยาณํ สตฺตติํสโพธิปกฺขิยธมฺมรตนวิจิตฺตํ สมฺมตฺตนิยามสงฺขาตํ อริยภูมิญฺจ โอกฺกโนฺต โหตีติฯ
So kho panesa maggo sammādiṭṭhisaṅkappānaṃ vijjāya, sesadhammānaṃ caraṇena saṅgahitattā vijjā ceva caraṇañca. Tathā tesaṃ dvinnaṃ vipassanāyānena, itaresaṃ samathayānena saṅgahitattā samatho ceva vipassanā ca. Tesaṃ vā dvinnaṃ paññākkhandhena, tadanantarānaṃ tiṇṇaṃ sīlakkhandhena, avasesānaṃ samādhikkhandhena adhipaññāadhisīlaadhicittasikkhāhi ca saṅgahitattā khandhattayañceva sikkhāttayañca hoti; yena samannāgato ariyasāvako dassanasamatthehi cakkhūhi gamanasamatthehi ca pādehi samannāgato addhiko viya vijjācaraṇasampanno hutvā vipassanāyānena kāmasukhallikānuyogaṃ, samathayānena attakilamathānuyoganti antadvayaṃ parivajjetvā majjhimapaṭipadaṃ paṭipanno paññākkhandhena mohakkhandhaṃ, sīlakkhandhena dosakkhandhaṃ, samādhikkhandhena ca lobhakkhandhaṃ padālento adhipaññāsikkhāya paññāsampadaṃ, adhisīlasikkhāya sīlasampadaṃ, adhicittasikkhāya samādhisampadanti tisso sampattiyo patvā amataṃ nibbānaṃ sacchikaroti, ādimajjhapariyosānakalyāṇaṃ sattatiṃsabodhipakkhiyadhammaratanavicittaṃ sammattaniyāmasaṅkhātaṃ ariyabhūmiñca okkanto hotīti.
สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนาฯ
Suttantabhājanīyavaṇṇanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๔. สจฺจวิภโงฺค • 4. Saccavibhaṅgo
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā / ๔. สจฺจวิภโงฺค • 4. Saccavibhaṅgo
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā / ๔. สจฺจวิภโงฺค • 4. Saccavibhaṅgo