Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā |
๘. สมฺมปฺปธานวิภโงฺค
8. Sammappadhānavibhaṅgo
๑. สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนา
1. Suttantabhājanīyavaṇṇanā
๓๙๐. อิทานิ ตทนนฺตเร สมฺมปฺปธานวิภเงฺค จตฺตาโรติ คณนปริเจฺฉโทฯ เตน น ตโต เหฎฺฐา น อุทฺธนฺติ สมฺมปฺปธานปริเจฺฉทํ ทีเปติฯ สมฺมปฺปธานาติ การณปฺปธานา อุปายปฺปธานา โยนิโสปธานาฯ อิธ ภิกฺขูติ อิมสฺมิํ สาสเน ปฎิปนฺนโก ภิกฺขุฯ อนุปฺปนฺนานนฺติ อนิพฺพตฺตานํฯ ปาปกานนฺติ ลามกานํฯ อกุสลานํ ธมฺมานนฺติ อโกสลฺลสมฺภูตานํ ธมฺมานํฯ อนุปฺปาทายาติ น อุปฺปาทนตฺถายฯ ฉนฺทํ ชเนตีติ กตฺตุกมฺยตาสงฺขาตํ กุสลจฺฉนฺทํ ชเนติ อุปฺปาเทติฯ วายมตีติ ปโยคํ ปรกฺกมํ กโรติฯ วีริยํ อารภตีติ กายิกเจตสิกํ วีริยํ กโรติฯ จิตฺตํ ปคฺคณฺหาตีติ เตเนว สหชาตวีริเยน จิตฺตํ อุกฺขิปติฯ ปทหตีติ ปธานวีริยํ กโรติฯ ปฎิปาฎิยา ปเนตานิ จตฺตาริปิ ปทานิ อาเสวนาภาวนาพหุลีกมฺมสาตจฺจกิริยาหิ โยเชตพฺพานิฯ
390. Idāni tadanantare sammappadhānavibhaṅge cattāroti gaṇanaparicchedo. Tena na tato heṭṭhā na uddhanti sammappadhānaparicchedaṃ dīpeti. Sammappadhānāti kāraṇappadhānā upāyappadhānā yonisopadhānā. Idha bhikkhūti imasmiṃ sāsane paṭipannako bhikkhu. Anuppannānanti anibbattānaṃ. Pāpakānanti lāmakānaṃ. Akusalānaṃ dhammānanti akosallasambhūtānaṃ dhammānaṃ. Anuppādāyāti na uppādanatthāya. Chandaṃ janetīti kattukamyatāsaṅkhātaṃ kusalacchandaṃ janeti uppādeti. Vāyamatīti payogaṃ parakkamaṃ karoti. Vīriyaṃ ārabhatīti kāyikacetasikaṃ vīriyaṃ karoti. Cittaṃ paggaṇhātīti teneva sahajātavīriyena cittaṃ ukkhipati. Padahatīti padhānavīriyaṃ karoti. Paṭipāṭiyā panetāni cattāripi padāni āsevanābhāvanābahulīkammasātaccakiriyāhi yojetabbāni.
อุปฺปนฺนานํ ปาปกานนฺติ อนุปฺปนฺนนฺติ อวตฺตพฺพตํ อาปนฺนานํ ปาปธมฺมานํฯ ปหานายาติ ปชหนตฺถายฯ อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ธมฺมานนฺติ อนิพฺพตฺตานํ โกสลฺลสมฺภูตานํ ธมฺมานํฯ อุปฺปาทายาติ อุปฺปาทนตฺถายฯ อุปฺปนฺนานนฺติ นิพฺพตฺตานํฯ ฐิติยาติ ฐิตตฺถายฯ อสโมฺมสายาติ อนสฺสนตฺถํฯ ภิโยฺยภาวายาติ ปุนปฺปุนํ ภาวายฯ เวปุลฺลายาติ วิปุลภาวายฯ ภาวนายาติ วฑฺฒิยาฯ ปาริปูริยาติ ปริปูรณตฺถายฯ อยํ ตาว จตุนฺนํ สมฺมปฺปธานานํ อุเทฺทสวารวเสน เอกปทิโก อตฺถุทฺธาโรฯ
Uppannānaṃ pāpakānanti anuppannanti avattabbataṃ āpannānaṃ pāpadhammānaṃ. Pahānāyāti pajahanatthāya. Anuppannānaṃ kusalānaṃ dhammānanti anibbattānaṃ kosallasambhūtānaṃ dhammānaṃ. Uppādāyāti uppādanatthāya. Uppannānanti nibbattānaṃ. Ṭhitiyāti ṭhitatthāya. Asammosāyāti anassanatthaṃ. Bhiyyobhāvāyāti punappunaṃ bhāvāya. Vepullāyāti vipulabhāvāya. Bhāvanāyāti vaḍḍhiyā. Pāripūriyāti paripūraṇatthāya. Ayaṃ tāva catunnaṃ sammappadhānānaṃ uddesavāravasena ekapadiko atthuddhāro.
๓๙๑. อิทานิ ปฎิปาฎิยา ตานิ ปทานิ ภาเชตฺวา ทเสฺสตุํ กถญฺจ ภิกฺขุ อนุปฺปนฺนานนฺติอาทินา นเยน นิเทฺทสวาโร อารโทฺธฯ ตตฺถ ยํ เหฎฺฐา ธมฺมสงฺคเห อาคตสทิสํ, ตํ ตสฺส วณฺณนายํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ ยํ ปน ตสฺมิํ อนาคตํ, ตตฺถ ฉนฺทนิเทฺทเส ตาว โย ฉโนฺทติ โย ฉนฺทนิยวเสน ฉโนฺทฯ ฉนฺทิกตาติ ฉนฺทิกภาโว, ฉนฺทกรณากาโร วาฯ กตฺตุกมฺยตาติ กตฺตุกามตาฯ กุสโลติ เฉโกฯ ธมฺมจฺฉโนฺทติ สภาวจฺฉโนฺทฯ อยญฺหิ ฉโนฺท นาม ตณฺหาฉโนฺท, ทิฎฺฐิฉโนฺท, วีริยฉโนฺท, ธมฺมจฺฉโนฺทติ พหุวิโธ นานปฺปการโกฯ เตสุ ธมฺมจฺฉโนฺทติ อิมสฺมิํ ฐาเน กตฺตุกมฺยตากุสลธมฺมจฺฉโนฺท อธิเปฺปโตฯ
391. Idāni paṭipāṭiyā tāni padāni bhājetvā dassetuṃ kathañca bhikkhu anuppannānantiādinā nayena niddesavāro āraddho. Tattha yaṃ heṭṭhā dhammasaṅgahe āgatasadisaṃ, taṃ tassa vaṇṇanāyaṃ vuttanayeneva veditabbaṃ. Yaṃ pana tasmiṃ anāgataṃ, tattha chandaniddese tāva yo chandoti yo chandaniyavasena chando. Chandikatāti chandikabhāvo, chandakaraṇākāro vā. Kattukamyatāti kattukāmatā. Kusaloti cheko. Dhammacchandoti sabhāvacchando. Ayañhi chando nāma taṇhāchando, diṭṭhichando, vīriyachando, dhammacchandoti bahuvidho nānappakārako. Tesu dhammacchandoti imasmiṃ ṭhāne kattukamyatākusaladhammacchando adhippeto.
อิมํ ฉนฺทํ ชเนตีติ ฉนฺทํ กุรุมาโนว ฉนฺทํ ชเนติ นามฯ สญฺชเนตีติ อุปสเคฺคน ปทํ วฑฺฒิตํฯ อุฎฺฐเปตีติ ฉนฺทํ กุรุมาโนว ตํ อุฎฺฐเปติ นามฯ สมุฎฺฐเปตีติ อุปสเคฺคน ปทํ วฑฺฒิตํฯ นิพฺพเตฺตตีติ ฉนฺทํ กุรุมาโนว ตํ นิพฺพเตฺตติ นามฯ อภินิพฺพเตฺตตีติ อุปสเคฺคน ปทํ วฑฺฒิตํฯ อปิจ ฉนฺทํ กโรโนฺตว ฉนฺทํ ชเนติ นามฯ ตเมว สตตํ กโรโนฺต สญฺชเนติ นามฯ เกนจิเทว อนฺตราเยน ปติตํ ปุน อุกฺขิปโนฺต อุฎฺฐเปติ นามฯ ปพนฺธฎฺฐิติํ ปาเปโนฺต สมุฎฺฐเปติ นามฯ ตํ ปากฎํ กโรโนฺต นิพฺพเตฺตติ นามฯ อโนสกฺกนตาย อลีนวุตฺติตาย อโนลีนวุตฺติตาย อภิมุขภาเวน นิพฺพเตฺตโนฺต อภินิพฺพเตฺตติ นามฯ
Imaṃ chandaṃ janetīti chandaṃ kurumānova chandaṃ janeti nāma. Sañjanetīti upasaggena padaṃ vaḍḍhitaṃ. Uṭṭhapetīti chandaṃ kurumānova taṃ uṭṭhapeti nāma. Samuṭṭhapetīti upasaggena padaṃ vaḍḍhitaṃ. Nibbattetīti chandaṃ kurumānova taṃ nibbatteti nāma. Abhinibbattetīti upasaggena padaṃ vaḍḍhitaṃ. Apica chandaṃ karontova chandaṃ janeti nāma. Tameva satataṃ karonto sañjaneti nāma. Kenacideva antarāyena patitaṃ puna ukkhipanto uṭṭhapeti nāma. Pabandhaṭṭhitiṃ pāpento samuṭṭhapeti nāma. Taṃ pākaṭaṃ karonto nibbatteti nāma. Anosakkanatāya alīnavuttitāya anolīnavuttitāya abhimukhabhāvena nibbattento abhinibbatteti nāma.
๓๙๔. วีริยนิเทฺทเส วีริยํ กโรโนฺตว วีริยํ อารภติ นามฯ ทุติยปทํ อุปสเคฺคน วฑฺฒิตํฯ วีริยํ กโรโนฺตเยว จ อาเสวติ ภาเวติ นามฯ ปุนปฺปุนํ กโรโนฺต วหุลีกโรติฯ อาทิโตว กโรโนฺต อารภติฯ ปุนปฺปุนํ กโรโนฺต สมารภติฯ ภาวนาวเสน ภชโนฺต อาเสวติฯ วเฑฺฒโนฺต ภาเวติฯ สพฺพกิเจฺจสุ ตเทว พหุลีกโรโนฺต พหุลีกโรตีติ เวทิตโพฺพฯ
394. Vīriyaniddese vīriyaṃ karontova vīriyaṃ ārabhati nāma. Dutiyapadaṃ upasaggena vaḍḍhitaṃ. Vīriyaṃ karontoyeva ca āsevati bhāveti nāma. Punappunaṃ karonto vahulīkaroti. Āditova karonto ārabhati. Punappunaṃ karonto samārabhati. Bhāvanāvasena bhajanto āsevati. Vaḍḍhento bhāveti. Sabbakiccesu tadeva bahulīkaronto bahulīkarotīti veditabbo.
๓๙๕. จิตฺตปคฺคหนิเทฺทเส วีริยปคฺคเหน โยเชโนฺต จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ, อุกฺขิปตีติ อโตฺถฯ ปุนปฺปุนํ ปคฺคณฺหโนฺต สมฺปคฺคณฺหาติฯ เอวํ สมฺปคฺคหิตํ ยถา น ปตติ ตถา นํ วีริยุปตฺถเมฺภน อุปตฺถเมฺภโนฺต อุปตฺถเมฺภติฯ อุปตฺถมฺภิตมฺปิ ถิรภาวตฺถาย ปุนปฺปุนํ อุปตฺถเมฺภโนฺต ปจฺจุปตฺถเมฺภติ นามฯ
395. Cittapaggahaniddese vīriyapaggahena yojento cittaṃ paggaṇhāti, ukkhipatīti attho. Punappunaṃ paggaṇhanto sampaggaṇhāti. Evaṃ sampaggahitaṃ yathā na patati tathā naṃ vīriyupatthambhena upatthambhento upatthambheti. Upatthambhitampi thirabhāvatthāya punappunaṃ upatthambhento paccupatthambheti nāma.
๔๐๖. ฐิติยาติปทสฺส นิเทฺทเส สเพฺพสมฺปิ อสโมฺมสาทีนํ ฐิติเววจนภาวํ ทเสฺสตุํ ยา ฐิติ โส อสโมฺมโสติอาทิ วุตฺตํฯ เอตฺถ หิ เหฎฺฐิมํ เหฎฺฐิมํ ปทํ อุปริมสฺส อุปริมสฺส ปทสฺส อโตฺถ, อุปริมํ อุปริมํ ปทํ เหฎฺฐิมสฺส เหฎฺฐิมสฺส อโตฺถติปิ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ อยํ ตาว ปาฬิวณฺณนาฯ
406. Ṭhitiyātipadassa niddese sabbesampi asammosādīnaṃ ṭhitivevacanabhāvaṃ dassetuṃ yā ṭhiti so asammosotiādi vuttaṃ. Ettha hi heṭṭhimaṃ heṭṭhimaṃ padaṃ uparimassa uparimassa padassa attho, uparimaṃ uparimaṃ padaṃ heṭṭhimassa heṭṭhimassa atthotipi vattuṃ vaṭṭati. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti. Ayaṃ tāva pāḷivaṇṇanā.
อยํ ปเนตฺถ วินิจฺฉยกถาฯ อยญฺหิ สมฺมปฺปธานกถา นาม ทุวิธา – โลกิยา โลกุตฺตรา จฯ ตตฺถ โลกิยา สพฺพปุพฺพภาเค โหติฯ สา กสฺสปสํยุตฺตปริยาเยน โลกิยมคฺคกฺขเณ เวทิตพฺพาฯ วุตฺตญฺหิ ตตฺถ –
Ayaṃ panettha vinicchayakathā. Ayañhi sammappadhānakathā nāma duvidhā – lokiyā lokuttarā ca. Tattha lokiyā sabbapubbabhāge hoti. Sā kassapasaṃyuttapariyāyena lokiyamaggakkhaṇe veditabbā. Vuttañhi tattha –
‘‘จตฺตาโร เม, อาวุโส, สมฺมปฺปธานาฯ กตเม จตฺตาโร?
‘‘Cattāro me, āvuso, sammappadhānā. Katame cattāro?
อิธาวุโส, ภิกฺขุ ‘อนุปฺปนฺนา เม ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อุปฺปชฺชมานา อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยุ’นฺติ อาตปฺปํ กโรติ; ‘อุปฺปนฺนา เม ปาปกา อกุสลา ธมฺมา อปฺปหียมานา อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยุ’นฺติ อาตปฺปํ กโรติ; ‘อนุปฺปนฺนา เม กุสลา ธมฺมา อนุปฺปชฺชมานา อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยุ’นฺติ อาตปฺปํ กโรติฯ ‘อุปฺปนฺนา เม กุสลา ธมฺมา นิรุชฺฌมานา อนตฺถาย สํวเตฺตยฺยุ’นฺติ อาตปฺปํ กโรตี’’ติ (สํ. นิ. ๒.๑๔๕)ฯ
Idhāvuso, bhikkhu ‘anuppannā me pāpakā akusalā dhammā uppajjamānā anatthāya saṃvatteyyu’nti ātappaṃ karoti; ‘uppannā me pāpakā akusalā dhammā appahīyamānā anatthāya saṃvatteyyu’nti ātappaṃ karoti; ‘anuppannā me kusalā dhammā anuppajjamānā anatthāya saṃvatteyyu’nti ātappaṃ karoti. ‘Uppannā me kusalā dhammā nirujjhamānā anatthāya saṃvatteyyu’nti ātappaṃ karotī’’ti (saṃ. ni. 2.145).
เอตฺถ จ ‘อนุปฺปนฺนา เม กุสลา ธมฺมา’ติ สมถวิปสฺสนา เจว มโคฺค จฯ อุปฺปนฺนา กุสลา นาม สมถวิปสฺสนาวฯ มโคฺค ปน สกิํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌมาโน อนตฺถาย สํวตฺตนโก นาม นตฺถิฯ โส หิ ผลสฺส ปจฺจยํ ทตฺวาว นิรุชฺฌติฯ ปุริมสฺมิํ วา สมถวิปสฺสนาว คเหตพฺพาติ วุตฺตํ, ตํ ปน น ยุตฺตํฯ
Ettha ca ‘anuppannā me kusalā dhammā’ti samathavipassanā ceva maggo ca. Uppannākusalā nāma samathavipassanāva. Maggo pana sakiṃ uppajjitvā nirujjhamāno anatthāya saṃvattanako nāma natthi. So hi phalassa paccayaṃ datvāva nirujjhati. Purimasmiṃ vā samathavipassanāva gahetabbāti vuttaṃ, taṃ pana na yuttaṃ.
ตตฺถ ‘‘อุปฺปนฺนา สมถวิปสฺสนา นิรุชฺฌมานา อนตฺถาย สํวตฺตนฺตี’’ติ อตฺถสฺส อาวิภาวตฺถํ อิทํ วตฺถุ – เอโก กิร ขีณาสวเตฺถโร ‘มหาเจติยญฺจ มหาโพธิญฺจ วนฺทิสฺสามี’ติ สมาปตฺติลาภินา ภณฺฑคาหกสามเณเรน สทฺธิํ ชนปทโต มหาวิหารํ อาคนฺตฺวา วิหารปริเวณํ ปาวิสิ; สายนฺหสมเย มหาภิกฺขุสเงฺฆ เจติยํ วนฺทมาเน เจติยํ วนฺทนตฺถาย น นิกฺขมิฯ กสฺมา? ขีณาสวานญฺหิ ตีสุ รตเนสุ มหนฺตํ คารวํ โหติฯ ตสฺมา ภิกฺขุสเงฺฆ วนฺทิตฺวา ปฎิกฺกเนฺต มนุสฺสานํ สายมาสภุตฺตเวลาย สามเณรมฺปิ อชานาเปตฺวา ‘เจติยํ วนฺทิสฺสามี’ติ เอกโกว นิกฺขมิฯ สามเณโร ‘กิํ นุ โข เถโร อเวลาย เอกโกว คจฺฉติ, ชานิสฺสามี’ติ อุปชฺฌายสฺส ปทานุปทิโกว นิกฺขมิฯ เถโร อนาวชฺชเนน ตสฺส อาคมนํ อชานโนฺต ทกฺขิณทฺวาเรน มหาเจติยงฺคณํ อารุโฬฺหฯ สามเณโรปิ อนุปทํเยว อารุโฬฺหฯ
Tattha ‘‘uppannā samathavipassanā nirujjhamānā anatthāya saṃvattantī’’ti atthassa āvibhāvatthaṃ idaṃ vatthu – eko kira khīṇāsavatthero ‘mahācetiyañca mahābodhiñca vandissāmī’ti samāpattilābhinā bhaṇḍagāhakasāmaṇerena saddhiṃ janapadato mahāvihāraṃ āgantvā vihārapariveṇaṃ pāvisi; sāyanhasamaye mahābhikkhusaṅghe cetiyaṃ vandamāne cetiyaṃ vandanatthāya na nikkhami. Kasmā? Khīṇāsavānañhi tīsu ratanesu mahantaṃ gāravaṃ hoti. Tasmā bhikkhusaṅghe vanditvā paṭikkante manussānaṃ sāyamāsabhuttavelāya sāmaṇerampi ajānāpetvā ‘cetiyaṃ vandissāmī’ti ekakova nikkhami. Sāmaṇero ‘kiṃ nu kho thero avelāya ekakova gacchati, jānissāmī’ti upajjhāyassa padānupadikova nikkhami. Thero anāvajjanena tassa āgamanaṃ ajānanto dakkhiṇadvārena mahācetiyaṅgaṇaṃ āruḷho. Sāmaṇeropi anupadaṃyeva āruḷho.
มหาเถโร มหาเจติยํ อุโลฺลเกตฺวา พุทฺธารมฺมณํ ปีติํ คเหตฺวา สพฺพํ เจตโส สมนฺนาหริตฺวา หฎฺฐปหโฎฺฐ มหาเจติยํ วนฺทติฯ สามเณโร เถรสฺส วนฺทนาการํ ทิสฺวา ‘อุปชฺฌาโย เม อติวิย ปสนฺนจิโตฺต วนฺทติ; กิํ นุ โข ปุปฺผานิ ลภิตฺวา ปูชํ กเรยฺยา’ติ จิเนฺตสิฯ เถเร วนฺทิตฺวา อุฎฺฐาย สิรสิ อญฺชลิํ ฐเปตฺวา มหาเจติยํ อุโลฺลเกตฺวา ฐิเต สามเณโร อุกฺกาสิตฺวา อตฺตโน อาคตภาวํ ชานาเปสิฯ เถโร ปริวเตฺตตฺวา โอโลเกโนฺต ‘‘กทา อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ตุมฺหากํ เจติยํ วนฺทนกาเล, ภเนฺต; อติวิย ปสนฺนา เจติยํ วนฺทิตฺถ; กินฺนุ โข ปุปฺผานิ ลภิตฺวา ปูเชยฺยาถา’’ติ? ‘‘อาม, สามเณร, อิมสฺมิํ เจติเย วิย อญฺญตฺร เอตฺตกํ ธาตุนิธานํ นาม นตฺถิฯ เอวรูปํ อสทิสํ มหาถูปํ ปุปฺผานิ ลภิตฺวา โก น ปูเชยฺยา’’ติ? ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, อธิวาเสถ, อาหริสฺสามี’’ติ ตาวเทว ฌานํ สมาปชฺชิตฺวา อิทฺธิยา หิมวนฺตํ คนฺตฺวา วณฺณคนฺธสมฺปนฺนานิ ปุปฺผานิ คเหตฺวา ปริสฺสาวนํ ปูเรตฺวา มหาเถเร ทกฺขิณมุขโต ปจฺฉิมมุเข อสมฺปเตฺตเยว อาคนฺตฺวา ปุปฺผปริสฺสาวนํ หเตฺถ ฐเปตฺวา ‘‘ปูเชถ ภเนฺต’’ติ อาหฯ เถโร ‘‘อติมนฺทานิ โน, สามเณร, ปุปฺผานี’’ติ อาหฯ ‘‘คจฺฉถ, ภเนฺต, ภควโต คุเณ อาวเชฺชตฺวา ปูเชถา’’ติฯ
Mahāthero mahācetiyaṃ ulloketvā buddhārammaṇaṃ pītiṃ gahetvā sabbaṃ cetaso samannāharitvā haṭṭhapahaṭṭho mahācetiyaṃ vandati. Sāmaṇero therassa vandanākāraṃ disvā ‘upajjhāyo me ativiya pasannacitto vandati; kiṃ nu kho pupphāni labhitvā pūjaṃ kareyyā’ti cintesi. There vanditvā uṭṭhāya sirasi añjaliṃ ṭhapetvā mahācetiyaṃ ulloketvā ṭhite sāmaṇero ukkāsitvā attano āgatabhāvaṃ jānāpesi. Thero parivattetvā olokento ‘‘kadā āgatosī’’ti pucchi. ‘‘Tumhākaṃ cetiyaṃ vandanakāle, bhante; ativiya pasannā cetiyaṃ vandittha; kinnu kho pupphāni labhitvā pūjeyyāthā’’ti? ‘‘Āma, sāmaṇera, imasmiṃ cetiye viya aññatra ettakaṃ dhātunidhānaṃ nāma natthi. Evarūpaṃ asadisaṃ mahāthūpaṃ pupphāni labhitvā ko na pūjeyyā’’ti? ‘‘Tena hi, bhante, adhivāsetha, āharissāmī’’ti tāvadeva jhānaṃ samāpajjitvā iddhiyā himavantaṃ gantvā vaṇṇagandhasampannāni pupphāni gahetvā parissāvanaṃ pūretvā mahāthere dakkhiṇamukhato pacchimamukhe asampatteyeva āgantvā pupphaparissāvanaṃ hatthe ṭhapetvā ‘‘pūjetha bhante’’ti āha. Thero ‘‘atimandāni no, sāmaṇera, pupphānī’’ti āha. ‘‘Gacchatha, bhante, bhagavato guṇe āvajjetvā pūjethā’’ti.
เถโร ปจฺฉิมมุขนิสฺสิเตน โสปาเนน อารุยฺห กุจฺฉิเวทิกาภูมิยํ ปุปฺผปูชํ กาตุํ อารโทฺธฯ เวทิกาภูมิ ปริปุณฺณา; ปุปฺผานิ ปติตฺวา ทุติยภูมิยํ ชณฺณุปฺปมาเณน โอธินา ปูรยิํสุฯ ตโต โอตริตฺวา ปาทปิฎฺฐิกปนฺติํ ปูเชสิ; สาปิ ปริปูริ; ปริปุณฺณภาวํ ญตฺวา เหฎฺฐิมตเล วิกิรโนฺต อคมาสิ; สพฺพํ เจติยงฺคณํ ปริปูริ; ตสฺมิํ ปริปุเณฺณ ‘‘สามเณร, ปุปฺผานิ น ขียนฺตี’’ติ อาหฯ ‘‘ปริสฺสาวนํ, ภเนฺต, อโธมุขํ กโรถา’’ติฯ อโธมุขํ กตฺวา จาเลสิฯ ตทา ปุปฺผานิ ขีณานิฯ เถโร ปริสฺสาวนํ สามเณรสฺส ทตฺวา สทฺธิํ หตฺถิปากาเรน เจติยํ ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา จตูสุ ฐาเนสุ วนฺทิตฺวา ปริเวณํ คจฺฉโนฺต จิเนฺตสิ – ‘ยาว มหิทฺธิโก วตายํ สามเณโร; สกฺขิสฺสติ นุ โข อิมํ อิทฺธานุภาวํ รกฺขิตุนฺติ? ตโต ‘น สกฺขิสฺสตี’ติ ทิสฺวา สามเณรํ อาห – ‘‘สามเณร, ตฺวํ อิทานิ มหิทฺธิโก; เอวรูปํ ปน อิทฺธิํ นาเสตฺวา ปจฺฉิมกาเล กาณเปสการิยา หเตฺถน มทฺทิตํกญฺชิยํ ปิวิสฺสสี’’ติฯ ทหรกภาวสฺส นาเมส โทโส ยํ โส อุปชฺฌายสฺส กถาย สํเวเชตฺวา ‘กมฺมฎฺฐานํ เม, ภเนฺต, อาจิกฺขถา’ติ น ยาจิ; ‘อมฺหากํ อุปชฺฌาโย กิํ วทตี’ติ ตํ ปน อสุณโนฺต วิย อคมาสิฯ
Thero pacchimamukhanissitena sopānena āruyha kucchivedikābhūmiyaṃ pupphapūjaṃ kātuṃ āraddho. Vedikābhūmi paripuṇṇā; pupphāni patitvā dutiyabhūmiyaṃ jaṇṇuppamāṇena odhinā pūrayiṃsu. Tato otaritvā pādapiṭṭhikapantiṃ pūjesi; sāpi paripūri; paripuṇṇabhāvaṃ ñatvā heṭṭhimatale vikiranto agamāsi; sabbaṃ cetiyaṅgaṇaṃ paripūri; tasmiṃ paripuṇṇe ‘‘sāmaṇera, pupphāni na khīyantī’’ti āha. ‘‘Parissāvanaṃ, bhante, adhomukhaṃ karothā’’ti. Adhomukhaṃ katvā cālesi. Tadā pupphāni khīṇāni. Thero parissāvanaṃ sāmaṇerassa datvā saddhiṃ hatthipākārena cetiyaṃ tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā catūsu ṭhānesu vanditvā pariveṇaṃ gacchanto cintesi – ‘yāva mahiddhiko vatāyaṃ sāmaṇero; sakkhissati nu kho imaṃ iddhānubhāvaṃ rakkhitunti? Tato ‘na sakkhissatī’ti disvā sāmaṇeraṃ āha – ‘‘sāmaṇera, tvaṃ idāni mahiddhiko; evarūpaṃ pana iddhiṃ nāsetvā pacchimakāle kāṇapesakāriyā hatthena madditaṃkañjiyaṃ pivissasī’’ti. Daharakabhāvassa nāmesa doso yaṃ so upajjhāyassa kathāya saṃvejetvā ‘kammaṭṭhānaṃ me, bhante, ācikkhathā’ti na yāci; ‘amhākaṃ upajjhāyo kiṃ vadatī’ti taṃ pana asuṇanto viya agamāsi.
เถโร มหาเจติยญฺจ มหาโพธิญฺจ วนฺทิตฺวา สามเณรํ ปตฺตจีวรํ คาหาเปตฺวา อนุปุเพฺพน กุเฎฬิติสฺสมหาวิหารํ อคมาสิฯ สามเณโร อุปชฺฌายสฺส ปทานุปทิโก หุตฺวา ภิกฺขาจารํ น คจฺฉติฯ ‘‘กตรํ คามํ ปวิสถ, ภเนฺต’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ปน ‘อิทานิ เม อุปชฺฌาโย คามทฺวารํ สมฺปโตฺต ภวิสฺสตี’ติ ญตฺวา อตฺตโน จ อุปชฺฌายสฺส จ ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา อากาเสนาคนฺตฺวา เถรสฺส ปตฺตจีวรํ ทตฺวา ปิณฺฑาย ปวิสติฯ เถโร สพฺพกาลํ โอวทติ – ‘‘สามเณร, มา เอวมกาสิ; ปุถุชฺชนิทฺธิ นาม จลา อนิพทฺธา; อสปฺปายํ รูปาทิอารมฺมณํ ลภิตฺวา อปฺปมตฺตเกเนว ภิชฺชติ; สนฺตาย สมาปตฺติยา ปริหีนา พฺรหฺมจริยวาเส สนฺถมฺภิตุํ น สโกฺกนฺตี’’ติฯ สามเณโร ‘กิํ กเถติ มยฺหํ อุปชฺฌาโย’ติ โสตุํ น อิจฺฉติ, ตเถว กโรติฯ เถโร อนุปุเพฺพน เจติยวนฺทนํ กโรโนฺต กมฺมุเปนฺทวิหารํ นาม คโตฯ ตตฺถ วสเนฺตปิ เถเร สามเณโร ตเถว กโรติฯ
Thero mahācetiyañca mahābodhiñca vanditvā sāmaṇeraṃ pattacīvaraṃ gāhāpetvā anupubbena kuṭeḷitissamahāvihāraṃ agamāsi. Sāmaṇero upajjhāyassa padānupadiko hutvā bhikkhācāraṃ na gacchati. ‘‘Kataraṃ gāmaṃ pavisatha, bhante’’ti pucchitvā pana ‘idāni me upajjhāyo gāmadvāraṃ sampatto bhavissatī’ti ñatvā attano ca upajjhāyassa ca pattacīvaraṃ gahetvā ākāsenāgantvā therassa pattacīvaraṃ datvā piṇḍāya pavisati. Thero sabbakālaṃ ovadati – ‘‘sāmaṇera, mā evamakāsi; puthujjaniddhi nāma calā anibaddhā; asappāyaṃ rūpādiārammaṇaṃ labhitvā appamattakeneva bhijjati; santāya samāpattiyā parihīnā brahmacariyavāse santhambhituṃ na sakkontī’’ti. Sāmaṇero ‘kiṃ katheti mayhaṃ upajjhāyo’ti sotuṃ na icchati, tatheva karoti. Thero anupubbena cetiyavandanaṃ karonto kammupendavihāraṃ nāma gato. Tattha vasantepi there sāmaṇero tatheva karoti.
อเถกทิวสํ เอกา เปสการธีตา อภิรูปา ปฐมวเย ฐิตา กมฺมุเปนฺทคามโต นิกฺขมิตฺวา ปทุมสฺสรํ โอรุยฺห คายมานา ปุปฺผานิ ภญฺชติฯ ตสฺมิํ สมเย สามเณโร ปทุมสฺสรมตฺถเกน คจฺฉติ คจฺฉโนฺต ปน, สกฺกรลสิกาย กาณมกฺขิกา วิย, ตสฺสา คีตสเทฺท พชฺฌิ; ตาวเทว อิทฺธิ อนฺตรหิตา, ฉินฺนปโกฺข กาโก วิย อโหสิฯ สนฺตสมาปตฺติพเลน ปน ตเตฺถว อุทกปิเฎฺฐ อปติตฺวา สิมฺพลิตูลํ วิย ปตมานํ อนุปุเพฺพน ปทุมสฺสรตีเร อฎฺฐาสิฯ โส เวเคน คนฺตฺวา อุปชฺฌายสฺส ปตฺตจีวรํ ทตฺวา นิวตฺติฯ มหาเถโร ‘ปเคเวตํ มยา ทิฎฺฐํ, นิวาริยมาโนปิ น นิวตฺติสฺสตี’ติ กิญฺจิ อวตฺวา ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ
Athekadivasaṃ ekā pesakāradhītā abhirūpā paṭhamavaye ṭhitā kammupendagāmato nikkhamitvā padumassaraṃ oruyha gāyamānā pupphāni bhañjati. Tasmiṃ samaye sāmaṇero padumassaramatthakena gacchati gacchanto pana, sakkaralasikāya kāṇamakkhikā viya, tassā gītasadde bajjhi; tāvadeva iddhi antarahitā, chinnapakkho kāko viya ahosi. Santasamāpattibalena pana tattheva udakapiṭṭhe apatitvā simbalitūlaṃ viya patamānaṃ anupubbena padumassaratīre aṭṭhāsi. So vegena gantvā upajjhāyassa pattacīvaraṃ datvā nivatti. Mahāthero ‘pagevetaṃ mayā diṭṭhaṃ, nivāriyamānopi na nivattissatī’ti kiñci avatvā piṇḍāya pāvisi.
สามเณโร คนฺตฺวา ปทุมสฺสรตีเร อฎฺฐาสิ ตสฺสา ปจฺจุตฺตรณํ อาคมยมาโนฯ สาปิ สามเณรํ อากาเสน คจฺฉนฺตญฺจ ปุนาคนฺตฺวา ฐิตญฺจ ทิสฺวา ‘อทฺธา เอส มํ นิสฺสาย อุกฺกณฺฐิโต’ติ ญตฺวา ‘ปฎิกฺกม สามเณรา’ติ อาหฯ โสปิ ปฎิปกฺกมิฯ อิตรา ปจฺจุตฺตริตฺวา สาฎกํ นิวาเสตฺวา ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘กิํ, ภเนฺต’ติ ปุจฺฉิฯ โส ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ สา พหูหิ การเณหิ ฆราวาเส อาทีนวํ พฺรหฺมจริยวาเส อานิสํสญฺจ ทเสฺสตฺวา โอวทมานาปิ ตสฺส อุกฺกณฺฐํ วิโนเทตุํ อสโกฺกนฺตี ‘อยํ มม การณา เอวรูปาย อิทฺธิยา ปริหีโน; น ทานิ ยุตฺตํ ปริจฺจชิตุ’นฺติฯ ‘อิเธว ติฎฺฐา’ติ วตฺวา ฆรํ คนฺตฺวา มาตาปิตูนํ ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ เตปิ อาคนฺตฺวา นานปฺปการํ โอวทมานา วจนํ อคฺคณฺหนฺตํ อาหํสุ – ‘‘ตฺวํ อเมฺห อุจฺจากุลาติ มา สลฺลเกฺขสิฯ มยํ เปสการาฯ สกฺขิสฺสสิ เปสการกมฺมํ กาตุ’’นฺติ? สามเณโร อาห – ‘‘อุปาสก, คิหีภูโต นาม เปสการกมฺมํ วา กเรยฺย นฬการกมฺมํ วา, กิํ อิมินา, มา สาฎกมเตฺต โลภํ กโรถา’’ติ ฯ เปสการโก อุทเร พทฺธสาฎกํ ทตฺวา ฆรํ เนตฺวา ธีตรํ อทาสิฯ
Sāmaṇero gantvā padumassaratīre aṭṭhāsi tassā paccuttaraṇaṃ āgamayamāno. Sāpi sāmaṇeraṃ ākāsena gacchantañca punāgantvā ṭhitañca disvā ‘addhā esa maṃ nissāya ukkaṇṭhito’ti ñatvā ‘paṭikkama sāmaṇerā’ti āha. Sopi paṭipakkami. Itarā paccuttaritvā sāṭakaṃ nivāsetvā taṃ upasaṅkamitvā ‘kiṃ, bhante’ti pucchi. So tamatthaṃ ārocesi. Sā bahūhi kāraṇehi gharāvāse ādīnavaṃ brahmacariyavāse ānisaṃsañca dassetvā ovadamānāpi tassa ukkaṇṭhaṃ vinodetuṃ asakkontī ‘ayaṃ mama kāraṇā evarūpāya iddhiyā parihīno; na dāni yuttaṃ pariccajitu’nti. ‘Idheva tiṭṭhā’ti vatvā gharaṃ gantvā mātāpitūnaṃ taṃ pavattiṃ ārocesi. Tepi āgantvā nānappakāraṃ ovadamānā vacanaṃ aggaṇhantaṃ āhaṃsu – ‘‘tvaṃ amhe uccākulāti mā sallakkhesi. Mayaṃ pesakārā. Sakkhissasi pesakārakammaṃ kātu’’nti? Sāmaṇero āha – ‘‘upāsaka, gihībhūto nāma pesakārakammaṃ vā kareyya naḷakārakammaṃ vā, kiṃ iminā, mā sāṭakamatte lobhaṃ karothā’’ti . Pesakārako udare baddhasāṭakaṃ datvā gharaṃ netvā dhītaraṃ adāsi.
โส เปสการกมฺมํ อุคฺคณฺหิตฺวา เปสกาเรหิ สทฺธิํ สาลาย กมฺมํ กโรติฯ อเญฺญสํ อิตฺถิโย ปาโตว ภตฺตํ สมฺปาเทตฺวา อาหริํสุฯ ตสฺส ภริยา น ตาว อาคจฺฉติฯ โส อิตเรสุ กมฺมํ วิสฺสเชฺชตฺวา ภุญฺชมาเนสุ ตสรํ วเฎฺฎโนฺต นิสีทิฯ สา ปจฺฉา อาคมาสิฯ อถ นํ โส ‘อติจิเรน อาคตาสี’ติ ตเชฺชสิฯ มาตุคาโม จ นาม อปิ จกฺกวตฺติราชานํ อตฺตนิ ปฎิพทฺธจิตฺตํ ญตฺวา ทาสํ วิย สลฺลเกฺขติฯ ตสฺมา สา เอวมาห – ‘‘อเญฺญสํ ฆเร ทารุปณฺณโลณาทีนิ สนฺนิหิตานิ; พาหิรโต อาหริตฺวา ทายกา เปสการกาปิ อตฺถิฯ อหํ ปน เอกิกา; ตฺวมฺปิ ‘มยฺหํ ฆเร อิทํ อตฺถิ, อิทํ นตฺถี’ติ น ชานาสิฯ สเจ อิจฺฉสิ ภุญฺช, โน เจ อิจฺฉสิ มา ภุญฺชา’’ติฯ โส ‘น เกวลํ อุสฺสูเร ภตฺตํ อาหรสิ, วาจายปิ มํ ฆเฎฺฎสี’ติ กุชฺฌิตฺวา อญฺญํ ปหรณํ อปสฺสโนฺต ตเมว ตสรทณฺฑกํ ตสรโต ลุญฺจิตฺวา ขิปิฯ สา ตํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา อีสกํ ปริวตฺติฯ ตสรทณฺฑกสฺส จ โกฎิ นาม ติขิณา โหติฯ สา ตสฺสา ปริวตฺตมานาย อกฺขิโกฎิยํ ปวิสิตฺวา อฎฺฐาสิฯ สา อุโภหิ หเตฺถหิ เวเคน อกฺขิํ อคฺคเหสิฯ ภินฺนฎฺฐานโต โลหิตํ ปคฺฆรติฯ
So pesakārakammaṃ uggaṇhitvā pesakārehi saddhiṃ sālāya kammaṃ karoti. Aññesaṃ itthiyo pātova bhattaṃ sampādetvā āhariṃsu. Tassa bhariyā na tāva āgacchati. So itaresu kammaṃ vissajjetvā bhuñjamānesu tasaraṃ vaṭṭento nisīdi. Sā pacchā āgamāsi. Atha naṃ so ‘aticirena āgatāsī’ti tajjesi. Mātugāmo ca nāma api cakkavattirājānaṃ attani paṭibaddhacittaṃ ñatvā dāsaṃ viya sallakkheti. Tasmā sā evamāha – ‘‘aññesaṃ ghare dārupaṇṇaloṇādīni sannihitāni; bāhirato āharitvā dāyakā pesakārakāpi atthi. Ahaṃ pana ekikā; tvampi ‘mayhaṃ ghare idaṃ atthi, idaṃ natthī’ti na jānāsi. Sace icchasi bhuñja, no ce icchasi mā bhuñjā’’ti. So ‘na kevalaṃ ussūre bhattaṃ āharasi, vācāyapi maṃ ghaṭṭesī’ti kujjhitvā aññaṃ paharaṇaṃ apassanto tameva tasaradaṇḍakaṃ tasarato luñcitvā khipi. Sā taṃ āgacchantaṃ disvā īsakaṃ parivatti. Tasaradaṇḍakassa ca koṭi nāma tikhiṇā hoti. Sā tassā parivattamānāya akkhikoṭiyaṃ pavisitvā aṭṭhāsi. Sā ubhohi hatthehi vegena akkhiṃ aggahesi. Bhinnaṭṭhānato lohitaṃ paggharati.
โส ตสฺมิํ กาเล อุปชฺฌายสฺส วจนํ อนุสฺสริ ‘อิทํ สนฺธาย มํ อุปชฺฌาโย ‘‘อนาคเต กาเล กาณเปสการิยา หเตฺถน มทฺทิตํ กญฺชิยํ ปิวิสฺสสี’’ติ อาหฯ อิทํ เถเรน ทิฎฺฐํ ภวิสฺสติฯ อโห ทีฆทสฺสี อโยฺย’ติ มหาสเทฺทน โรทิตุํ อารภิฯ ตเมนํ อเญฺญ ‘‘อลํ, อาวุโส, มา โรทิ; อกฺขิ นาม ภินฺนํ น สกฺกา โรทเนน ปฎิปากติกํ กาตุ’’นฺติ อาหํสุฯ โส ‘‘นาหํ เอตมตฺถํ โรทามิ; อปิจ โข อิทํ สนฺธาย โรทามี’’ติ สพฺพํ ปวตฺติํ ปฎิปาฎิยา กเถสิฯ เอวํ อุปฺปนฺนา สมถวิปสฺสนา นิรุชฺฌมานา อนตฺถาย สํวตฺตนฺติฯ
So tasmiṃ kāle upajjhāyassa vacanaṃ anussari ‘idaṃ sandhāya maṃ upajjhāyo ‘‘anāgate kāle kāṇapesakāriyā hatthena madditaṃ kañjiyaṃ pivissasī’’ti āha. Idaṃ therena diṭṭhaṃ bhavissati. Aho dīghadassī ayyo’ti mahāsaddena rodituṃ ārabhi. Tamenaṃ aññe ‘‘alaṃ, āvuso, mā rodi; akkhi nāma bhinnaṃ na sakkā rodanena paṭipākatikaṃ kātu’’nti āhaṃsu. So ‘‘nāhaṃ etamatthaṃ rodāmi; apica kho idaṃ sandhāya rodāmī’’ti sabbaṃ pavattiṃ paṭipāṭiyā kathesi. Evaṃ uppannā samathavipassanā nirujjhamānā anatthāya saṃvattanti.
อปรมฺปิ วตฺถุ – ติํสมตฺตา ภิกฺขู กลฺยาณิยํ มหาเจติยํ วนฺทิตฺวา อฎวิมเคฺคน มหามคฺคํ โอตรมานา อนฺตรามเคฺค ฌามเกฺขเตฺต กมฺมํ กตฺวา อาคจฺฉนฺตํ เอกํ มนุสฺสํ อทฺทสํสุฯ ตสฺส สรีรํ มสิมกฺขิตํ โหติ, มสิมกฺขิตเมว จ เอกํ กาสาวํ กจฺฉํ ปีเฬตฺวา นิวตฺถํฯ โอโลกิยมาโน ฌามขาณุโก วิย ขายติฯ โส ทิวสภาเค กมฺมํ กตฺวา อุปฑฺฒฌายมานานํ ทารูนํ กลาปํ อุกฺขิปิตฺวา ปิฎฺฐิยํ วิปฺปกิเณฺณหิ เกเสหิ กุมฺมเคฺคน อาคนฺตฺวา ภิกฺขูนํ สมฺมุเข อฎฺฐาสิฯ สามเณรา ทิสฺวา อญฺญมญฺญํ โอโลกยมานา ‘‘อาวุโส, ตุยฺหํ ปิตา, ตุยฺหํ มหาปิตา, ตุยฺหํ มาตุโล’’ติ หสมานา คนฺตฺวา ‘‘โก นาโมสิ ตฺวํ, อุปาสกา’’ติ นามํ ปุจฺฉิํสุฯ โส นามํ ปุจฺฉิโต วิปฺปฎิสารี หุตฺวา ทารุกลาปํ ฉเฑฺฑตฺวา วตฺถํ สํวิธาย นิวาเสตฺวา มหาเถเร วนฺทิตฺวา ‘‘ติฎฺฐถ ตาว, ภเนฺต’’ติ อาหฯ มหาเถรา อฎฺฐํสุฯ
Aparampi vatthu – tiṃsamattā bhikkhū kalyāṇiyaṃ mahācetiyaṃ vanditvā aṭavimaggena mahāmaggaṃ otaramānā antarāmagge jhāmakkhette kammaṃ katvā āgacchantaṃ ekaṃ manussaṃ addasaṃsu. Tassa sarīraṃ masimakkhitaṃ hoti, masimakkhitameva ca ekaṃ kāsāvaṃ kacchaṃ pīḷetvā nivatthaṃ. Olokiyamāno jhāmakhāṇuko viya khāyati. So divasabhāge kammaṃ katvā upaḍḍhajhāyamānānaṃ dārūnaṃ kalāpaṃ ukkhipitvā piṭṭhiyaṃ vippakiṇṇehi kesehi kummaggena āgantvā bhikkhūnaṃ sammukhe aṭṭhāsi. Sāmaṇerā disvā aññamaññaṃ olokayamānā ‘‘āvuso, tuyhaṃ pitā, tuyhaṃ mahāpitā, tuyhaṃ mātulo’’ti hasamānā gantvā ‘‘ko nāmosi tvaṃ, upāsakā’’ti nāmaṃ pucchiṃsu. So nāmaṃ pucchito vippaṭisārī hutvā dārukalāpaṃ chaḍḍetvā vatthaṃ saṃvidhāya nivāsetvā mahāthere vanditvā ‘‘tiṭṭhatha tāva, bhante’’ti āha. Mahātherā aṭṭhaṃsu.
ทหรสามเณรา อาคนฺตฺวา มหาเถรานํ สมฺมุขาปิ ปริหาสํ กโรนฺติฯ อุปาสโก อาห – ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห มํ ปสฺสิตฺวา ปริหสถ; เอตฺตเกเนว มตฺถกํ ปตฺตมฺหาติ สลฺลเกฺขถฯ อหมฺปิ ปุเพฺพ ตุมฺหาทิโสว สมโณ อโหสิํฯ ตุมฺหากํ ปน จิเตฺตกคฺคตามตฺตมฺปิ นตฺถิฯ อหํ อิมสฺมิํ สาสเน มหิทฺธิโก มหานุภาโว อโหสิํ; อากาสํ คเหตฺวา ปถวิํ กโรมิ, ปถวิํ อากาสํ; ทูรํ คณฺหิตฺวา สนฺติกํ กโรมิ, สนฺติกํ ทูรํ; จกฺกวาฬสหสฺสํ ขเณน วินิวิชฺฌามิฯ หเตฺถ เม ปสฺสถ; อิทานิ ปน มกฺกฎหตฺถสทิสาฯ อหํ อิเมเหว หเตฺถหิ อิธ นิสิโนฺนว จนฺทิมสูริเย ปรามสิํฯ อิเมสํเยว ปาทานํ จนฺทิมสูริเย ปาทกถลิกํ กตฺวา นิสีทิํฯ เอวรูปา เม อิทฺธิ ปมาเทน อนฺตรหิตาฯ ตุเมฺห มา ปมชฺชิตฺถฯ ปมาเทน หิ เอวรูปํ พฺยสนํ ปาปุณนฺติฯ อปฺปมตฺตา วิหรนฺตา ชาติชรามรณสฺส อนฺตํ กโรนฺติฯ ตสฺมา ตุเมฺห มเญฺญว อารมฺมณํ กริตฺวา อปฺปมตฺตา โหถ, ภเนฺต’’ติ ตเชฺชตฺวา โอวาทมทาสิฯ เต ตสฺส กเถนฺตเสฺสว สํเวคํ อาปชฺชิตฺวา วิปสฺสมานา ติํส ชนา ตเตฺถว อรหตฺตํ ปาปุณิํสูติฯ เอวมฺปิ อุปฺปนฺนา สมถวิปสฺสนา นิรุชฺฌมานา อนตฺถาย สํวตฺตนฺตีติ เวทิตพฺพาฯ อยํ ตาว โลกิยสมฺมปฺปธานกถาย วินิจฺฉโยฯ
Daharasāmaṇerā āgantvā mahātherānaṃ sammukhāpi parihāsaṃ karonti. Upāsako āha – ‘‘bhante, tumhe maṃ passitvā parihasatha; ettakeneva matthakaṃ pattamhāti sallakkhetha. Ahampi pubbe tumhādisova samaṇo ahosiṃ. Tumhākaṃ pana cittekaggatāmattampi natthi. Ahaṃ imasmiṃ sāsane mahiddhiko mahānubhāvo ahosiṃ; ākāsaṃ gahetvā pathaviṃ karomi, pathaviṃ ākāsaṃ; dūraṃ gaṇhitvā santikaṃ karomi, santikaṃ dūraṃ; cakkavāḷasahassaṃ khaṇena vinivijjhāmi. Hatthe me passatha; idāni pana makkaṭahatthasadisā. Ahaṃ imeheva hatthehi idha nisinnova candimasūriye parāmasiṃ. Imesaṃyeva pādānaṃ candimasūriye pādakathalikaṃ katvā nisīdiṃ. Evarūpā me iddhi pamādena antarahitā. Tumhe mā pamajjittha. Pamādena hi evarūpaṃ byasanaṃ pāpuṇanti. Appamattā viharantā jātijarāmaraṇassa antaṃ karonti. Tasmā tumhe maññeva ārammaṇaṃ karitvā appamattā hotha, bhante’’ti tajjetvā ovādamadāsi. Te tassa kathentasseva saṃvegaṃ āpajjitvā vipassamānā tiṃsa janā tattheva arahattaṃ pāpuṇiṃsūti. Evampi uppannā samathavipassanā nirujjhamānā anatthāya saṃvattantīti veditabbā. Ayaṃ tāva lokiyasammappadhānakathāya vinicchayo.
โลกุตฺตรมคฺคกฺขเณ ปเนตํ เอกเมว วีริยํ จตุกิจฺจสาธนวเสน จตฺตาริ นามานิ ลภติฯ ตตฺถ อนุปฺปนฺนานนฺติ อสมุทาจารวเสน วา อนนุภูตารมฺมณวเสน วา อนุปฺปนฺนานํ; อญฺญถา หิ อนมตเคฺค สํสาเร อนุปฺปนฺนา ปาปกา อกุสลา ธมฺมา นาม นตฺถิฯ อนุปฺปนฺนา ปน อุปฺปชฺชมานาปิ เอเตเยว อุปฺปชฺชนฺติ , ปหียมานาปิ เอเตเยว ปหียนฺติฯ
Lokuttaramaggakkhaṇe panetaṃ ekameva vīriyaṃ catukiccasādhanavasena cattāri nāmāni labhati. Tattha anuppannānanti asamudācāravasena vā ananubhūtārammaṇavasena vā anuppannānaṃ; aññathā hi anamatagge saṃsāre anuppannā pāpakā akusalā dhammā nāma natthi. Anuppannā pana uppajjamānāpi eteyeva uppajjanti , pahīyamānāpi eteyeva pahīyanti.
ตตฺถ เอกจฺจสฺส วตฺตวเสน กิเลสา น สมุทาจรนฺติฯ เอกจฺจสฺส คนฺถธุตงฺคสมาธิวิปสฺสนา นวกมฺมิกานํ อญฺญตรวเสนฯ กถํ? เอกโจฺจ หิ วตฺตสมฺปโนฺน โหติฯ ตสฺส ทฺวาสีติขุทฺทกวตฺตานิ (จูฬว. ๒๔๓ อาทโย), จุทฺทส มหาวตฺตานิ (จูฬว. ๓๕๖ อาทโย), เจติยงฺคณโพธิยงฺคณปานียมาฬอุโปสถาคารอาคนฺตุกคมิกวตฺตานิ จ กโรนฺตเสฺสว กิเลสา โอกาสํ น ลภนฺติ; อปรภาเค ปนสฺส วตฺตํ วิสฺสเชฺชตฺวา ภินฺนวตฺตสฺส วิจรโต อโยนิโสมนสิการเญฺจว สติโวสฺสคฺคญฺจ อาคมฺม อุปฺปชฺชนฺติฯ เอวํ อสมุทาจารวเสน อนุปฺปนฺนา อุปฺปชฺชนฺติ นามฯ
Tattha ekaccassa vattavasena kilesā na samudācaranti. Ekaccassa ganthadhutaṅgasamādhivipassanā navakammikānaṃ aññataravasena. Kathaṃ? Ekacco hi vattasampanno hoti. Tassa dvāsītikhuddakavattāni (cūḷava. 243 ādayo), cuddasa mahāvattāni (cūḷava. 356 ādayo), cetiyaṅgaṇabodhiyaṅgaṇapānīyamāḷauposathāgāraāgantukagamikavattāni ca karontasseva kilesā okāsaṃ na labhanti; aparabhāge panassa vattaṃ vissajjetvā bhinnavattassa vicarato ayonisomanasikārañceva sativossaggañca āgamma uppajjanti. Evaṃ asamudācāravasena anuppannā uppajjanti nāma.
เอกโจฺจ คนฺถยุโตฺต โหติ; เอกมฺปิ นิกายํ คณฺหาติ, เทฺวปิ, ตโยปิ, จตฺตาโรปิ, ปญฺจปิฯ ตเสฺสว เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ อตฺถวเสน ปาฬิวเสน อนุสนฺธิวเสน ปุพฺพาปรวเสน คณฺหนฺตสฺส สชฺฌายนฺตสฺส จิเนฺตนฺตสฺส วาเจนฺตสฺส เทเสนฺตสฺส ปกาเสนฺตสฺส กิเลสา โอกาสํ น ลภนฺติ; อปรภาเค ปนสฺส คนฺถกมฺมํ ปหาย กุสีตสฺส วิจรโต อโยนิโสมนสิการสติโวสฺสเคฺค อาคมฺม อุปฺปชฺชนฺติฯ เอวมฺปิ อสมุทาจารวเสน อนุปฺปนฺนา อุปฺปชฺชนฺติ นามฯ
Ekacco ganthayutto hoti; ekampi nikāyaṃ gaṇhāti, dvepi, tayopi, cattāropi, pañcapi. Tasseva tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ atthavasena pāḷivasena anusandhivasena pubbāparavasena gaṇhantassa sajjhāyantassa cintentassa vācentassa desentassa pakāsentassa kilesā okāsaṃ na labhanti; aparabhāge panassa ganthakammaṃ pahāya kusītassa vicarato ayonisomanasikārasativossagge āgamma uppajjanti. Evampi asamudācāravasena anuppannā uppajjanti nāma.
เอกโจฺจ ปน ธุตงฺคธโร โหติ, เตรส ธุตงฺคคุเณ สมาทาย วตฺตติฯ ตสฺส ธุตงฺคคุเณ ปริหรนฺตสฺส กิเลสา โอกาสํ น ลภนฺติ; อปรภาเค ปนสฺส ธุตงฺคานิ วิสฺสเชฺชตฺวา พาหุลฺลาย อาวฎฺฎสฺส วิจรโต อโยนิโสมนสิการสติโวสฺสเคฺค อาคมฺม อุปฺปชฺชนฺติฯ เอวมฺปิ อสมุทาจารวเสน อนุปฺปนฺนา อุปฺปชฺชนฺติ นามฯ
Ekacco pana dhutaṅgadharo hoti, terasa dhutaṅgaguṇe samādāya vattati. Tassa dhutaṅgaguṇe pariharantassa kilesā okāsaṃ na labhanti; aparabhāge panassa dhutaṅgāni vissajjetvā bāhullāya āvaṭṭassa vicarato ayonisomanasikārasativossagge āgamma uppajjanti. Evampi asamudācāravasena anuppannā uppajjanti nāma.
เอกโจฺจ ปน อฎฺฐสุ สมาปตฺตีสุ จิณฺณวสี โหติฯ ตสฺส ปฐมชฺฌานาทีสุ อาวชฺชนวสีอาทีนํ วเสน วิหรนฺตสฺส กิเลสา โอกาสํ น ลภนฺติ; อปรภาเค ปนสฺส ปริหีนชฺฌานสฺส วา วิสฺสฎฺฐชฺฌานสฺส วา ภสฺสาทีสุ อนุยุตฺตสฺส วิหรโต อโยนิโสมนสิการสติโวสฺสเคฺค อาคมฺม อุปฺปชฺชนฺติฯ เอวมฺปิ อสมุทาจารวเสน อนุปฺปนฺนา กิเลสา อุปฺปชฺชนฺติ นามฯ
Ekacco pana aṭṭhasu samāpattīsu ciṇṇavasī hoti. Tassa paṭhamajjhānādīsu āvajjanavasīādīnaṃ vasena viharantassa kilesā okāsaṃ na labhanti; aparabhāge panassa parihīnajjhānassa vā vissaṭṭhajjhānassa vā bhassādīsu anuyuttassa viharato ayonisomanasikārasativossagge āgamma uppajjanti. Evampi asamudācāravasena anuppannā kilesā uppajjanti nāma.
เอกโจฺจ ปน วิปสฺสโก โหติ; สตฺตสุ วา วิปสฺสนาสุ อฎฺฐารสสุ วา มหาวิปสฺสนาสุ กมฺมํ กโรโนฺต วิหรติฯ ตเสฺสวํ วิหรโต กิเลสา โอกาสํ น ลภนฺติ; อปรภาเค ปนสฺส วิปสฺสนากมฺมํ ปหาย กายทฬฺหีพหุลสฺส วิหรโต อโยนิโสมนสิการสติโวสฺสเคฺค อาคมฺม อุปฺปชฺชนฺติฯ เอวมฺปิ อสมุทาจารวเสน อนุปฺปนฺนา กิเลสา อุปฺปชฺชนฺติ นามฯ
Ekacco pana vipassako hoti; sattasu vā vipassanāsu aṭṭhārasasu vā mahāvipassanāsu kammaṃ karonto viharati. Tassevaṃ viharato kilesā okāsaṃ na labhanti; aparabhāge panassa vipassanākammaṃ pahāya kāyadaḷhībahulassa viharato ayonisomanasikārasativossagge āgamma uppajjanti. Evampi asamudācāravasena anuppannā kilesā uppajjanti nāma.
เอกโจฺจ ปน นวกมฺมิโก โหติ, อุโปสถาคารโภชนสาลาทีนิ กโรติฯ ตสฺส เตสํ อุปกรณานิ จิเนฺตนฺตสฺส กิเลสา โอกาสํ น ลภนฺติ; อปรภาเค ปนสฺส นวกเมฺม นิฎฺฐิเต วา วิสฺสเฎฺฐ วา อโยนิโสมนสิการสติโวสฺสเคฺค อาคมฺม อุปฺปชฺชนฺติฯ เอวมฺปิ อสมุทาจารวเสน อนุปฺปนฺนา กิเลสา อุปฺปชฺชนฺติ นามฯ
Ekacco pana navakammiko hoti, uposathāgārabhojanasālādīni karoti. Tassa tesaṃ upakaraṇāni cintentassa kilesā okāsaṃ na labhanti; aparabhāge panassa navakamme niṭṭhite vā vissaṭṭhe vā ayonisomanasikārasativossagge āgamma uppajjanti. Evampi asamudācāravasena anuppannā kilesā uppajjanti nāma.
เอกโจฺจ ปน พฺรหฺมโลกา อาคโต สุทฺธสโตฺต โหติฯ ตสฺส อนาเสวนาย กิเลสา โอกาสํ น ลภนฺติ; อปรภาเค ปนสฺส ลทฺธาเสวนสฺส อโยนิโสมนสิการสติโวสฺสเคฺค อาคมฺม อุปฺปชฺชนฺติฯ เอวมฺปิ อสมุทาจารวเสน อนุปฺปนฺนา กิเลสา อุปฺปชฺชนฺติ นามฯ เอวํ ตาว อสมุจารวเสน อนุปฺปนฺนตา เวทิตพฺพาฯ
Ekacco pana brahmalokā āgato suddhasatto hoti. Tassa anāsevanāya kilesā okāsaṃ na labhanti; aparabhāge panassa laddhāsevanassa ayonisomanasikārasativossagge āgamma uppajjanti. Evampi asamudācāravasena anuppannā kilesā uppajjanti nāma. Evaṃ tāva asamucāravasena anuppannatā veditabbā.
กถํ อนนุภูตารมฺมณวเสน? อิเธกโจฺจ อนนุภูตปุพฺพํ มนาปิยาทิเภทํ อารมฺมณํ ลภติฯ ตสฺส ตตฺถ อโยนิโสมนสิการสติโวสฺสเคฺค อาคมฺม ราคาทโย กิเลสา อุปฺปชฺชนฺติฯ เอวํ อนนุภูตารมฺมณวเสน อนุปฺปนฺนา อุปฺปชฺชนฺติ นามฯ โลกุตฺตรมคฺคกฺขเณ ปน เอกเมว วีริยํฯ
Kathaṃ ananubhūtārammaṇavasena? Idhekacco ananubhūtapubbaṃ manāpiyādibhedaṃ ārammaṇaṃ labhati. Tassa tattha ayonisomanasikārasativossagge āgamma rāgādayo kilesā uppajjanti. Evaṃ ananubhūtārammaṇavasena anuppannā uppajjanti nāma. Lokuttaramaggakkhaṇe pana ekameva vīriyaṃ.
เย จ เอวํ อนุปฺปนฺนา อุปฺปเชฺชยฺยุํ, เต ยถา เนว อุปฺปชฺชนฺติ, เอวํ เนสํ อนุปฺปาทกิจฺจํ อุปฺปนฺนานญฺจ ปหานกิจฺจํ สาเธติฯ ตสฺมา อุปฺปนฺนานํ ปาปกานนฺติ เอตฺถ ปน จตุพฺพิธํ อุปฺปนฺนํ – วตฺตมานุปฺปนฺนํ, ภุตฺวา วิคตุปฺปนฺนํ, โอกาสกตุปฺปนฺนํ, ภูมิลทฺธุปฺปนฺนนฺติฯ ตตฺถ เย กิเลสา วิชฺชมานา อุปฺปาทาทิสมงฺคิโน – อิทํ วตฺตมานุปฺปนฺนํ นามฯ กเมฺม ปน ชวิเต อารมฺมณรสํ อนุภวิตฺวา นิรุทฺธวิปาโก ภุตฺวา วิคตํ นามฯ กมฺมํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุทฺธํ ภุตฺวา วิคตํ นามฯ ตทุภยมฺปิ ภุตฺวา วิคตุปฺปนฺนนฺติ สงฺขํ คจฺฉติฯ กุสลากุสลกมฺมํ อญฺญสฺส กมฺมสฺส วิปากํ ปฎิพาหิตฺวา อตฺตโน วิปากสฺส โอกาสํ กโรติฯ เอวํ กเต โอกาเส วิปาโก อุปฺปชฺชมาโน โอกาสกรณโต ปฎฺฐาย อุปฺปโนฺนติ วุจฺจติฯ อิทํ โอกาสกตุปฺปนฺนํ นามฯ
Ye ca evaṃ anuppannā uppajjeyyuṃ, te yathā neva uppajjanti, evaṃ nesaṃ anuppādakiccaṃ uppannānañca pahānakiccaṃ sādheti. Tasmā uppannānaṃ pāpakānanti ettha pana catubbidhaṃ uppannaṃ – vattamānuppannaṃ, bhutvā vigatuppannaṃ, okāsakatuppannaṃ, bhūmiladdhuppannanti. Tattha ye kilesā vijjamānā uppādādisamaṅgino – idaṃ vattamānuppannaṃ nāma. Kamme pana javite ārammaṇarasaṃ anubhavitvā niruddhavipāko bhutvā vigataṃ nāma. Kammaṃ uppajjitvā niruddhaṃ bhutvā vigataṃ nāma. Tadubhayampi bhutvā vigatuppannanti saṅkhaṃ gacchati. Kusalākusalakammaṃ aññassa kammassa vipākaṃ paṭibāhitvā attano vipākassa okāsaṃ karoti. Evaṃ kate okāse vipāko uppajjamāno okāsakaraṇato paṭṭhāya uppannoti vuccati. Idaṃ okāsakatuppannaṃ nāma.
ปญฺจกฺขนฺธา ปน วิปสฺสนาย ภูมิ นามฯ เต อตีตาทิเภทา โหนฺติฯ เตสุ อนุสยิตกิเลสา ปน อตีตา วา อนาคตา วา ปจฺจุปฺปนฺนา วาติ น วตฺตพฺพาฯ อตีตกฺขเนฺธสุ อนุสยิตาปิ หิ อปฺปหีนาว โหนฺติฯ อนาคตกฺขเนฺธสุ, ปจฺจุปฺปนฺนกฺขเนฺธสุ อนุสยิตาปิ อปฺปหีนาว โหนฺติฯ อิทํ ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ นามฯ เตนาหุ โปราณา – ‘‘ตาสุ ตาสุ ภูมีสุ อสมุคฺฆาติตา กิเลสา ภูมิลทฺธุปฺปนฺนาติ สงฺขํ คจฺฉนฺตี’’ติฯ
Pañcakkhandhā pana vipassanāya bhūmi nāma. Te atītādibhedā honti. Tesu anusayitakilesā pana atītā vā anāgatā vā paccuppannā vāti na vattabbā. Atītakkhandhesu anusayitāpi hi appahīnāva honti. Anāgatakkhandhesu, paccuppannakkhandhesu anusayitāpi appahīnāva honti. Idaṃ bhūmiladdhuppannaṃ nāma. Tenāhu porāṇā – ‘‘tāsu tāsu bhūmīsu asamugghātitā kilesā bhūmiladdhuppannāti saṅkhaṃ gacchantī’’ti.
อปรมฺปิ จตุพฺพิธํ อุปฺปนฺนํ – สมุทาจารุปฺปนฺนํ, อารมฺมณาธิคหิตุปฺปนฺนํ, อวิกฺขมฺภิตุปฺปนฺนํ, อสมุคฺธาติตุปฺปนฺนนฺติฯ ตตฺถ สมฺปติ วตฺตมานํเยว ‘สมุทาจารุปฺปนฺนํ’ นามฯ สกิํ จกฺขูนิ อุมฺมีเลตฺวา อารมฺมเณ นิมิเตฺต คหิเต อนุสฺสริตานุสฺสริตกฺขเณ กิเลสา นุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ น วตฺตพฺพาฯ กสฺมา? อารมฺมณสฺส อธิคหิตตฺตาฯ ยถา กิํ? ยถา ขีรรุกฺขสฺส กุฐาริยา อาหตาหตฎฺฐาเน ขีรํ น นิกฺขมิสฺสตีติ น วตฺตพฺพํ, เอวํฯ อิทํ ‘อารมฺมณาธิคหิตุปฺปนฺนํ’ นามฯ สมาปตฺติยา อวิกฺขมฺภิตกิเลสา ปน อิมสฺมิํ นาม ฐาเน นุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ น วตฺตพฺพาฯ กสฺมา? อวิกฺขมฺภิตตฺตาฯ ยถา กิํ? ยถา สเจ ขีรรุกฺขํ กุฐาริยา อาหเนยฺยุํ, ‘อิมสฺมิํ นาม ฐาเน ขีรํ น นิกฺขเมยฺยา’ติ น วตฺตพฺพํ, เอวํฯ อิทํ ‘อวิกฺขมฺภิตุปฺปนฺนํ’ นามฯ มเคฺคน อสมุคฺฆาติตกิเลสา ปน ภวเคฺค นิพฺพตฺตสฺสาปิ นุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ ปุริมนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ อิทํ ‘อสมุคฺฆาติตุปฺปนฺนํ’ นามฯ
Aparampi catubbidhaṃ uppannaṃ – samudācāruppannaṃ, ārammaṇādhigahituppannaṃ, avikkhambhituppannaṃ, asamugdhātituppannanti. Tattha sampati vattamānaṃyeva ‘samudācāruppannaṃ’ nāma. Sakiṃ cakkhūni ummīletvā ārammaṇe nimitte gahite anussaritānussaritakkhaṇe kilesā nuppajjissantīti na vattabbā. Kasmā? Ārammaṇassa adhigahitattā. Yathā kiṃ? Yathā khīrarukkhassa kuṭhāriyā āhatāhataṭṭhāne khīraṃ na nikkhamissatīti na vattabbaṃ, evaṃ. Idaṃ ‘ārammaṇādhigahituppannaṃ’ nāma. Samāpattiyā avikkhambhitakilesā pana imasmiṃ nāma ṭhāne nuppajjissantīti na vattabbā. Kasmā? Avikkhambhitattā. Yathā kiṃ? Yathā sace khīrarukkhaṃ kuṭhāriyā āhaneyyuṃ, ‘imasmiṃ nāma ṭhāne khīraṃ na nikkhameyyā’ti na vattabbaṃ, evaṃ. Idaṃ ‘avikkhambhituppannaṃ’ nāma. Maggena asamugghātitakilesā pana bhavagge nibbattassāpi nuppajjissantīti purimanayeneva vitthāretabbaṃ. Idaṃ ‘asamugghātituppannaṃ’ nāma.
อิเมสุ อุปฺปเนฺนสุ วตฺตมานุปฺปนฺนํ, ภุตฺวาวิคตุปฺปนฺนํ, โอกาสกตุปฺปนฺนํ, สมุทาจารุปฺปนฺนนฺติ จตุพฺพิธํ อุปฺปนฺนํ น มคฺควชฺฌํ; ภูมิลทฺธุปฺปนฺนํ, อารมฺมณาธิคฺคหิตุปฺปนฺนํ, อวิกฺขมฺภิตุปฺปนฺนํ, อสมุคฺฆาติตุปฺปนฺนนฺติ จตุพฺพิธํ มคฺควชฺฌํฯ มโคฺค หิ อุปฺปชฺชมาโน เอเต กิเลเส ปชหติฯ โส เย กิเลเส ปชหติ, เต อตีตา วา อนาคตา วา ปจฺจุปฺปนฺนา วาติ น วตฺตพฺพาฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Imesu uppannesu vattamānuppannaṃ, bhutvāvigatuppannaṃ, okāsakatuppannaṃ, samudācāruppannanti catubbidhaṃ uppannaṃ na maggavajjhaṃ; bhūmiladdhuppannaṃ, ārammaṇādhiggahituppannaṃ, avikkhambhituppannaṃ, asamugghātituppannanti catubbidhaṃ maggavajjhaṃ. Maggo hi uppajjamāno ete kilese pajahati. So ye kilese pajahati, te atītā vā anāgatā vā paccuppannā vāti na vattabbā. Vuttampi cetaṃ –
‘‘หญฺจิ อตีเต กิเลเส ปชหติ, เตน หิ ขีณํ เขเปติ, นิรุทฺธํ นิโรเธติ, วิคตํ วิคเมติ, อตฺถงฺคตํ อตฺถํ คเมติ, อตีตํ ยํ นตฺถิ ตํ ปชหติฯ หญฺจิ อนาคเต กิเลเส ปชหติ, เตน หิ อชาตํ ปชหติ, อนิพฺพตฺตํ อนุปฺปนฺนํ อปาตุภูตํ ปชหติ, อนาคตํ ยํ นตฺถิ ตํ ปชหติฯ หญฺจิ ปจฺจุปฺปเนฺน กิเลเส ปชหติ, เตน หิ รโตฺต ราคํ ปชหติ, ทุโฎฺฐ โทสํ, มูโฬฺห โมหํ, วินิพโทฺธ มานํ, ปรามโฎฺฐ ทิฎฺฐิํ, วิเกฺขปคโต อุทฺธจฺจํ, อนิฎฺฐงฺคโต วิจิกิจฺฉํ, ถามคโต อนุสยํ ปชหติ; กณฺหสุกฺกธมฺมา ยุคนทฺธา สมเมว วตฺตนฺติ; สํกิเลสิกา มคฺคภาวนา โหติ…เป.… เตน หิ นตฺถิ มคฺคภาวนา, นตฺถิ ผลสจฺฉิกิริยา, นตฺถิ กิเลสปฺปหานํ, นตฺถิ ธมฺมาภิสมโย’ติฯ ‘อตฺถิ มคฺคภาวนา…เป.… อตฺถิ ธมฺมาภิสมโย’ติฯ ยถา กถํ วิย? เสยฺยถาปิ ตรุโณ รุโกฺข…เป.… อปาตุภูตาเนว น ปาตุภวนฺติ’’ติ (ปฎิ. ม. ๓.๒๑)ฯ
‘‘Hañci atīte kilese pajahati, tena hi khīṇaṃ khepeti, niruddhaṃ nirodheti, vigataṃ vigameti, atthaṅgataṃ atthaṃ gameti, atītaṃ yaṃ natthi taṃ pajahati. Hañci anāgate kilese pajahati, tena hi ajātaṃ pajahati, anibbattaṃ anuppannaṃ apātubhūtaṃ pajahati, anāgataṃ yaṃ natthi taṃ pajahati. Hañci paccuppanne kilese pajahati, tena hi ratto rāgaṃ pajahati, duṭṭho dosaṃ, mūḷho mohaṃ, vinibaddho mānaṃ, parāmaṭṭho diṭṭhiṃ, vikkhepagato uddhaccaṃ, aniṭṭhaṅgato vicikicchaṃ, thāmagato anusayaṃ pajahati; kaṇhasukkadhammā yuganaddhā samameva vattanti; saṃkilesikā maggabhāvanā hoti…pe… tena hi natthi maggabhāvanā, natthi phalasacchikiriyā, natthi kilesappahānaṃ, natthi dhammābhisamayo’ti. ‘Atthi maggabhāvanā…pe… atthi dhammābhisamayo’ti. Yathā kathaṃ viya? Seyyathāpi taruṇo rukkho…pe… apātubhūtāneva na pātubhavanti’’ti (paṭi. ma. 3.21).
อิติ ปาฬิยํ อชาตผลรุโกฺข อาคโต; ชาตผลรุเกฺขน ปน ทีเปตพฺพํฯ ยถา หิ สผโล ตรุณอมฺพรุโกฺขฯ ตสฺส ผลานิ มนุสฺสา ปริภุเญฺชยฺยุํ, เสสานิ ปาเตตฺวา ปจฺฉิโย ปูเรยฺยุํฯ อถโญฺญ ปุริโส ตํ ผรสุนา ฉิเนฺทยฺยฯ เตนสฺส เนว อตีตานิ ผลานิ นาสิตานิ โหนฺติ, น อนาคตปจฺจุปฺปนฺนานิ จ นาสิตานิ; อตีตานิ หิ มนุเสฺสหิ ปริภุตฺตานิ, อนาคตานิ อนิพฺพตฺตานิ น สกฺกา นาเสตุํ ฯ ยสฺมิํ ปน สมเย โส ฉิโนฺน ตทา ผลานิเยว นตฺถีติ ปจฺจุปฺปนฺนานิปิ อนาสิตานิฯ สเจ ปน รุโกฺข อจฺฉิโนฺน อสฺส, อถสฺส ปถวีรสญฺจ อาโปรสญฺจ อาคมฺม ยานิ ผลานิ นิพฺพเตฺตยฺยุํ, ตานิ นาสิตานิ โหนฺติฯ ตานิ หิ อชาตาเนว น ชายนฺติ, อนิพฺพตฺตาเนว น นิพฺพตฺตนฺติ, อปาตุภูตาเนว น ปาตุภวนฺติฯ เอวเมว มโคฺค นาปิ อตีตาทิเภเท กิเลเส ปชหติ, นาปิ น ปชหติฯ เยสญฺหิ กิเลสานํ มเคฺคน ขเนฺธสุ อปริญฺญาเตสุ อุปฺปตฺติ สิยา, มเคฺคน อุปฺปชฺชิตฺวา ขนฺธานํ ปริญฺญาตตฺตา เต กิเลสา อชาตาว น ชายนฺติ, อนิพฺพตฺตาว น นิพฺพตฺตนฺติ, อปาตุภูตาว น ปาตุภวนฺติฯ ตรุณปุตฺตาย อิตฺถิยา ปุน อวิชายนตฺถํ พฺยาธิตานํ โรควูปสมตฺถํ ปีตเภสเชฺชหิ จาปิ อยมโตฺถ วิภาเวตโพฺพฯ เอวํ มโคฺค เย กิเลเส ปชหติ, เต อตีตา วา อนาคตา วา ปจฺจุปฺปนฺนา วาติ น วตฺตพฺพาฯ น จ มโคฺค กิเลเส น ปชหติฯ เย ปน มโคฺค กิเลเส ปชหติ, เต สนฺธาย ‘อุปฺปนฺนานํ ปาปกาน’นฺติอาทิ วุตฺตํฯ
Iti pāḷiyaṃ ajātaphalarukkho āgato; jātaphalarukkhena pana dīpetabbaṃ. Yathā hi saphalo taruṇaambarukkho. Tassa phalāni manussā paribhuñjeyyuṃ, sesāni pātetvā pacchiyo pūreyyuṃ. Athañño puriso taṃ pharasunā chindeyya. Tenassa neva atītāni phalāni nāsitāni honti, na anāgatapaccuppannāni ca nāsitāni; atītāni hi manussehi paribhuttāni, anāgatāni anibbattāni na sakkā nāsetuṃ . Yasmiṃ pana samaye so chinno tadā phalāniyeva natthīti paccuppannānipi anāsitāni. Sace pana rukkho acchinno assa, athassa pathavīrasañca āporasañca āgamma yāni phalāni nibbatteyyuṃ, tāni nāsitāni honti. Tāni hi ajātāneva na jāyanti, anibbattāneva na nibbattanti, apātubhūtāneva na pātubhavanti. Evameva maggo nāpi atītādibhede kilese pajahati, nāpi na pajahati. Yesañhi kilesānaṃ maggena khandhesu apariññātesu uppatti siyā, maggena uppajjitvā khandhānaṃ pariññātattā te kilesā ajātāva na jāyanti, anibbattāva na nibbattanti, apātubhūtāva na pātubhavanti. Taruṇaputtāya itthiyā puna avijāyanatthaṃ byādhitānaṃ rogavūpasamatthaṃ pītabhesajjehi cāpi ayamattho vibhāvetabbo. Evaṃ maggo ye kilese pajahati, te atītā vā anāgatā vā paccuppannā vāti na vattabbā. Na ca maggo kilese na pajahati. Ye pana maggo kilese pajahati, te sandhāya ‘uppannānaṃ pāpakāna’ntiādi vuttaṃ.
น เกวลญฺจ มโคฺค กิเลเสเยว ปชหติ, กิเลสานํ ปน อปฺปหีนตฺตา เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ อุปาทินฺนกฺขนฺธา, เตปิ ปชหติเยวฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘โสตาปตฺติมคฺคญาเณน อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺส นิโรเธน สตฺต ภเว ฐเปตฺวา อนมตเคฺค สํสาเร เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ นามญฺจ รูปญฺจ เอเตฺถเต นิรุชฺฌนฺตี’’ติ (จูฬนิ. อชิตมาณวปุจฺฉานิเทฺทส ๖) วิตฺถาโรฯ อิติ มโคฺค อุปาทินฺนโต อนุปาทินฺนโต จ วุฎฺฐาติฯ ภววเสน ปน โสตาปตฺติมโคฺค อปายภวโต วุฎฺฐาติ ฯ สกทาคามิมโคฺค สุคติภเวกเทสโต; อนาคามิมโคฺค สุคติกามภวโต; วุฎฺฐาติ อรหตฺตมโคฺค รูปารูปภวโต วุฎฺฐาติ, สพฺพภเวหิ วุฎฺฐาติเยวาติปิ วทนฺติฯ
Na kevalañca maggo kileseyeva pajahati, kilesānaṃ pana appahīnattā ye uppajjeyyuṃ upādinnakkhandhā, tepi pajahatiyeva. Vuttampi cetaṃ ‘‘sotāpattimaggañāṇena abhisaṅkhāraviññāṇassa nirodhena satta bhave ṭhapetvā anamatagge saṃsāre ye uppajjeyyuṃ nāmañca rūpañca etthete nirujjhantī’’ti (cūḷani. ajitamāṇavapucchāniddesa 6) vitthāro. Iti maggo upādinnato anupādinnato ca vuṭṭhāti. Bhavavasena pana sotāpattimaggo apāyabhavato vuṭṭhāti . Sakadāgāmimaggo sugatibhavekadesato; anāgāmimaggo sugatikāmabhavato; vuṭṭhāti arahattamaggo rūpārūpabhavato vuṭṭhāti, sabbabhavehi vuṭṭhātiyevātipi vadanti.
อถ มคฺคกฺขเณ กถํ อนุปฺปนฺนานํ อุปฺปาทาย ภาวนา โหติ? กถํ วา อุปฺปนฺนานํ ฐิติยาติ? มคฺคปฺปวตฺติยา เอวฯ มโคฺค หิ ปวตฺตมาโน ปุเพฺพ อนุปฺปนฺนปุพฺพตฺตา อนุปฺปโนฺน นาม วุจฺจติฯ อนาคตปุพฺพญฺหิ ฐานํ คนฺตฺวา อนนุภูตปุพฺพํ วา อารมฺมณํ อนุภวิตฺวา วตฺตาโร ภวนฺติ – ‘อนาคตฎฺฐานํ อาคตมฺห, อนนุภูตํ อารมฺมณํ อนุภวามา’ติฯ ยา จสฺส ปวตฺติ, อยเมว ฐิติ นามาติ ฐิติยา ภาเวตีติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ เอวเมตสฺส ภิกฺขุโน อิทํ โลกุตฺตรมคฺคกฺขเณ วีริยํ ‘‘อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อนุปฺปาทายา’’ติอาทีนิ จตฺตาริ นามานิ ลภติฯ อยํ โลกุตฺตรมคฺคกฺขเณ สมฺมปฺปธานกถาฯ เอวเมตฺถ โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกา สมฺมปฺปธานา นิทฺทิฎฺฐาติฯ
Atha maggakkhaṇe kathaṃ anuppannānaṃ uppādāya bhāvanā hoti? Kathaṃ vā uppannānaṃ ṭhitiyāti? Maggappavattiyā eva. Maggo hi pavattamāno pubbe anuppannapubbattā anuppanno nāma vuccati. Anāgatapubbañhi ṭhānaṃ gantvā ananubhūtapubbaṃ vā ārammaṇaṃ anubhavitvā vattāro bhavanti – ‘anāgataṭṭhānaṃ āgatamha, ananubhūtaṃ ārammaṇaṃ anubhavāmā’ti. Yā cassa pavatti, ayameva ṭhiti nāmāti ṭhitiyā bhāvetīti vattuṃ vaṭṭati. Evametassa bhikkhuno idaṃ lokuttaramaggakkhaṇe vīriyaṃ ‘‘anuppannānaṃ pāpakānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ anuppādāyā’’tiādīni cattāri nāmāni labhati. Ayaṃ lokuttaramaggakkhaṇe sammappadhānakathā. Evamettha lokiyalokuttaramissakā sammappadhānā niddiṭṭhāti.
สุตฺตนฺตภาชนียวณฺณนาฯ
Suttantabhājanīyavaṇṇanā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๘. สมฺมปฺปธานวิภโงฺค • 8. Sammappadhānavibhaṅgo
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā / ๘. สมฺมปฺปธานวิภโงฺค • 8. Sammappadhānavibhaṅgo
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā / ๘. สมฺมปฺปธานวิภโงฺค • 8. Sammappadhānavibhaṅgo