Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā

    สุตฺตนฺติกทุกนิเกฺขปกถา

    Suttantikadukanikkhepakathā

    ๑๓๐๓. สุตฺตนฺติกทุเกสุ มาติกากถายํ อตฺถโต วิเวจิตตฺตา ยานิ จ เนสํ นิเทฺทสปทานิ เตสมฺปิ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว สุวิเญฺญยฺยตฺตา เยภุเยฺยน อุตฺตานตฺถานิ เอวฯ อิทํ ปเนตฺถ วิเสสมตฺตํ – วิชฺชูปมทุเก ตาว จกฺขุมา กิร ปุริโส เมฆนฺธกาเร รตฺติํ มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ ตสฺส อนฺธการตาย มโคฺค น ปญฺญายิฯ วิชฺชุ นิจฺฉริตฺวา อนฺธการํ วิทฺธํเสสิฯ อถสฺส อนฺธการวิคมา มโคฺค ปากโฎ อโหสิฯ โส ทุติยมฺปิ คมนํ อภินีหริฯ ทุติยมฺปิ อนฺธกาโร โอตฺถริฯ มโคฺค น ปญฺญายิฯ วิชฺชุ นิจฺฉริตฺวา ตํ วิทฺธํเสสิฯ วิคเต อนฺธกาเร มโคฺค ปากโฎ อโหสิฯ ตติยมฺปิ คมนํ อภินีหริฯ อนฺธกาโร โอตฺถริฯ มโคฺค น ปญฺญายิฯ วิชฺชุ นิจฺฉริตฺวา อนฺธการํ วิทฺธํเสสิฯ

    1303. Suttantikadukesu mātikākathāyaṃ atthato vivecitattā yāni ca nesaṃ niddesapadāni tesampi heṭṭhā vuttanayeneva suviññeyyattā yebhuyyena uttānatthāni eva. Idaṃ panettha visesamattaṃ – vijjūpamaduke tāva cakkhumā kira puriso meghandhakāre rattiṃ maggaṃ paṭipajji. Tassa andhakāratāya maggo na paññāyi. Vijju niccharitvā andhakāraṃ viddhaṃsesi. Athassa andhakāravigamā maggo pākaṭo ahosi. So dutiyampi gamanaṃ abhinīhari. Dutiyampi andhakāro otthari. Maggo na paññāyi. Vijju niccharitvā taṃ viddhaṃsesi. Vigate andhakāre maggo pākaṭo ahosi. Tatiyampi gamanaṃ abhinīhari. Andhakāro otthari. Maggo na paññāyi. Vijju niccharitvā andhakāraṃ viddhaṃsesi.

    ตตฺถ จกฺขุมโต ปุริสสฺส อนฺธกาเร มคฺคปฎิปชฺชนํ วิย อริยสาวกสฺส โสตาปตฺติมคฺคตฺถาย วิปสฺสนารโมฺภฯ อนฺธกาเร มคฺคสฺส อปญฺญายนกาโล วิย สจฺจจฺฉาทกตมํฯ วิชฺชุยา นิจฺฉริตฺวา อนฺธการสฺส วิทฺธํสิตกาโล วิย โสตาปตฺติมโคฺคภาเสน อุปฺปชฺชิตฺวา สจฺจจฺฉาทกตมสฺส วิโนทิตกาโลฯ วิคเต อนฺธกาเร มคฺคสฺส ปากฎกาโล วิย โสตาปตฺติมคฺคสฺส จตุนฺนํ สจฺจานํ ปากฎกาโลฯ มคฺคสฺส ปากฎํ ปน มคฺคสมงฺคิปุคฺคลสฺส ปากฎเมวฯ ทุติยคมนาภินีหาโร วิย สกทาคามิมคฺคตฺถาย วิปสฺสนารโมฺภฯ อนฺธกาเร มคฺคสฺส อปญฺญายนกาโล วิย สจฺจจฺฉาทกตมํฯ ทุติยํ วิชฺชุยา นิจฺฉริตฺวา อนฺธการสฺส วิทฺธํสิตกาโล วิย สกทาคามิมโคฺคภาเสน อุปฺปชฺชิตฺวา สจฺจจฺฉาทกตมสฺส วิโนทิตกาโลฯ วิคเต อนฺธกาเร มคฺคสฺส ปากฎกาโล วิย สกทาคามิมคฺคสฺส จตุนฺนํ สจฺจานํ ปากฎกาโลฯ มคฺคสฺส ปากฎํ ปน มคฺคสมงฺคิปุคฺคลสฺส ปากฎเมวฯ ตติยคมนาภินีหาโร วิย อนาคามิมคฺคตฺถาย วิปสฺสนารโมฺภฯ อนฺธกาเร มคฺคสฺส อปญฺญายนกาโล วิย สจฺจจฺฉาทกตมํฯ ตติยํ วิชฺชุยา นิจฺฉริตฺวา อนฺธการสฺส วิทฺธํสิตกาโล วิย อนาคามิมโคฺคภาเสน อุปฺปชฺชิตฺวา สจฺจจฺฉาทกตมสฺส วิโนทิตกาโลฯ วิคเต อนฺธกาเร มคฺคสฺส ปากฎกาโล วิย อนาคามิมคฺคสฺส จตุนฺนํ สจฺจานํ ปากฎกาโลฯ มคฺคสฺส ปากฎํ ปน มคฺคสมงฺคิปุคฺคลสฺส ปากฎเมวฯ

    Tattha cakkhumato purisassa andhakāre maggapaṭipajjanaṃ viya ariyasāvakassa sotāpattimaggatthāya vipassanārambho. Andhakāre maggassa apaññāyanakālo viya saccacchādakatamaṃ. Vijjuyā niccharitvā andhakārassa viddhaṃsitakālo viya sotāpattimaggobhāsena uppajjitvā saccacchādakatamassa vinoditakālo. Vigate andhakāre maggassa pākaṭakālo viya sotāpattimaggassa catunnaṃ saccānaṃ pākaṭakālo. Maggassa pākaṭaṃ pana maggasamaṅgipuggalassa pākaṭameva. Dutiyagamanābhinīhāro viya sakadāgāmimaggatthāya vipassanārambho. Andhakāre maggassa apaññāyanakālo viya saccacchādakatamaṃ. Dutiyaṃ vijjuyā niccharitvā andhakārassa viddhaṃsitakālo viya sakadāgāmimaggobhāsena uppajjitvā saccacchādakatamassa vinoditakālo. Vigate andhakāre maggassa pākaṭakālo viya sakadāgāmimaggassa catunnaṃ saccānaṃ pākaṭakālo. Maggassa pākaṭaṃ pana maggasamaṅgipuggalassa pākaṭameva. Tatiyagamanābhinīhāro viya anāgāmimaggatthāya vipassanārambho. Andhakāre maggassa apaññāyanakālo viya saccacchādakatamaṃ. Tatiyaṃ vijjuyā niccharitvā andhakārassa viddhaṃsitakālo viya anāgāmimaggobhāsena uppajjitvā saccacchādakatamassa vinoditakālo. Vigate andhakāre maggassa pākaṭakālo viya anāgāmimaggassa catunnaṃ saccānaṃ pākaṭakālo. Maggassa pākaṭaṃ pana maggasamaṅgipuggalassa pākaṭameva.

    วชิรสฺส ปน ปาสาโณ วา มณิ วา อเภโชฺช นาม นตฺถิฯ ยตฺถ ปตติ ตํ วินิวิทฺธเมว โหติฯ วชิรํ เขเปนฺตํ อเสเสตฺวา เขเปติฯ วชิเรน คตมโคฺค นาม ปุน ปากติโก น โหติฯ เอวเมว อรหตฺตมคฺคสฺส อวชฺฌกิเลโส นาม นตฺถิฯ สพฺพกิเลเส วินิวิชฺฌติ วชิรํ วิยฯ อรหตฺตมโคฺคปิ กิเลเส เขเปโนฺต อเสเสตฺวา เขเปติฯ วชิเรน คตมคฺคสฺส ปุน ปากติกตฺตาภาโว วิย อรหตฺตมเคฺคน ปหีนกิเลสานํ ปุน ปจฺจุทาวตฺตนํ นาม นตฺถีติฯ

    Vajirassa pana pāsāṇo vā maṇi vā abhejjo nāma natthi. Yattha patati taṃ vinividdhameva hoti. Vajiraṃ khepentaṃ asesetvā khepeti. Vajirena gatamaggo nāma puna pākatiko na hoti. Evameva arahattamaggassa avajjhakileso nāma natthi. Sabbakilese vinivijjhati vajiraṃ viya. Arahattamaggopi kilese khepento asesetvā khepeti. Vajirena gatamaggassa puna pākatikattābhāvo viya arahattamaggena pahīnakilesānaṃ puna paccudāvattanaṃ nāma natthīti.

    ๑๓๐๗. พาลทุกนิเทฺทเส พาเลสุ อหิริกาโนตฺตปฺปานิ ปากฎานิ, มูลานิ จ เสสานํ พาลธมฺมานํฯ อหิริโก หิ อโนตฺตปฺปี จ น กิญฺจิ อกุสลํ น กโรติ นามาติฯ เอตานิ เทฺว ปฐมํเยว วิสุํ วุตฺตานิฯ สุกฺกปเกฺขปิ อยเมว นโยฯ ตถา กณฺหทุเกฯ

    1307. Bāladukaniddese bālesu ahirikānottappāni pākaṭāni, mūlāni ca sesānaṃ bāladhammānaṃ. Ahiriko hi anottappī ca na kiñci akusalaṃ na karoti nāmāti. Etāni dve paṭhamaṃyeva visuṃ vuttāni. Sukkapakkhepi ayameva nayo. Tathā kaṇhaduke.

    ๑๓๑๑. ตปนียทุกนิเทฺทเส กตตฺตา จ อกตตฺตา จ ตปนํ เวทิตพฺพํฯ กายทุจฺจริตาทีนิ หิ กตตฺตา ตปนฺติ, กายสุจริตาทีนิ อกตตฺตาฯ ตถา หิ ปุคฺคโล ‘กตํ เม กายทุจฺจริต’นฺติ ตปฺปติ, ‘อกตํ เม กายสุจริต’นฺติ ตปฺปติฯ ‘กตํ เม วจีทุจฺจริต’นฺติ ตปฺปติ…เป.… ‘อกตํ เม มโนสุจริต’นฺติ ตปฺปติฯ อตปนีเยปิ เอเสว นโยฯ กลฺยาณการี หิ ปุคฺคโล ‘กตํ เม กายสุจริต’นฺติ น ตปฺปติ, ‘อกตํ เม กายทุจฺจริต’นฺติ น ตปฺปติ…เป.… ‘อกตํ เม มโนทุจฺจริต’นฺติ น ตปฺปตีติ (อ. นิ. ๒.๓)ฯ

    1311. Tapanīyadukaniddese katattā ca akatattā ca tapanaṃ veditabbaṃ. Kāyaduccaritādīni hi katattā tapanti, kāyasucaritādīni akatattā. Tathā hi puggalo ‘kataṃ me kāyaduccarita’nti tappati, ‘akataṃ me kāyasucarita’nti tappati. ‘Kataṃ me vacīduccarita’nti tappati…pe… ‘akataṃ me manosucarita’nti tappati. Atapanīyepi eseva nayo. Kalyāṇakārī hi puggalo ‘kataṃ me kāyasucarita’nti na tappati, ‘akataṃ me kāyaduccarita’nti na tappati…pe… ‘akataṃ me manoduccarita’nti na tappatīti (a. ni. 2.3).

    ๑๓๑๓. อธิวจนทุกนิเทฺทเส ยา เตสํ เตสํ ธมฺมานนฺติ สพฺพธมฺมคฺคหณํฯ สงฺขายตีติ สงฺขา, สํกถิยตีติ อโตฺถฯ กินฺติ สํกถิยติ? อหนฺติ มมนฺติ ปโรติ ปรสฺสาติ สโตฺตติ ภาโวติ โปโสติ ปุคฺคโลติ นโรติ มาณโวติ ติโสฺสติ ทโตฺตติ, ‘มโญฺจ ปีฐํ ภิสิ พิโมฺพหนํ’ ‘วิหาโร ปริเวณํ ทฺวารํ วาตปาน’นฺติ เอวํ อเนเกหิ อากาเรหิ สํกถิยตีติ ‘สงฺขา’ฯ สมญฺญายตีติ สมญฺญาฯ กินฺติ สมญฺญายติ? ‘อหนฺติ…เป.… วาตปาน’นฺติ สมญฺญายตีติ ‘สมญฺญา’ฯ ปญฺญาปิยตีติ ปญฺญตฺติฯ โวหริยตีติ โวหาโรฯ กินฺติ โวหริยติ? ‘อห’นฺติ…เป.… ‘วาตปาน’นฺติ โวหริยตีติ โวหาโรฯ

    1313. Adhivacanadukaniddese yā tesaṃ tesaṃ dhammānanti sabbadhammaggahaṇaṃ. Saṅkhāyatīti saṅkhā, saṃkathiyatīti attho. Kinti saṃkathiyati? Ahanti mamanti paroti parassāti sattoti bhāvoti posoti puggaloti naroti māṇavoti tissoti dattoti, ‘mañco pīṭhaṃ bhisi bimbohanaṃ’ ‘vihāro pariveṇaṃ dvāraṃ vātapāna’nti evaṃ anekehi ākārehi saṃkathiyatīti ‘saṅkhā’. Samaññāyatīti samaññā. Kinti samaññāyati? ‘Ahanti…pe… vātapāna’nti samaññāyatīti ‘samaññā’. Paññāpiyatīti paññatti. Vohariyatīti vohāro. Kinti vohariyati? ‘Aha’nti…pe… ‘vātapāna’nti vohariyatīti vohāro.

    นามนฺติ จตุพฺพิธํ นามํ – สามญฺญนามํ คุณนามํ กิตฺติมนามํ โอปปาติกนามนฺติฯ ตตฺถ ปฐมกปฺปิเกสุ มหาชเนน สมฺมนฺนิตฺวา ฐปิตตฺตา มหาสมฺมโตติ รโญฺญ นามํ ‘สามญฺญนามํ’ นามฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ – ‘‘มหาชนสมฺมโตติ โข, วาเสฎฺฐ, มหาสมฺมโต เตฺวว ปฐมํ อกฺขรํ อุปนิพฺพตฺต’’นฺติ (ที. นิ. ๓.๑๓๑)ฯ ธมฺมกถิโก ปํสุกูลิโก วินยธโร เตปิฎโก สโทฺธ ปสโนฺนติ เอวรูปํ คุณโต อาคตนามํ ‘คุณนามํ’ นามฯ ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุโทฺธติอาทีนิปิ ตถาคตสฺส อเนกานิ นามสตานิ คุณนามาเนวฯ เตน วุตฺตํ –

    Nāmanti catubbidhaṃ nāmaṃ – sāmaññanāmaṃ guṇanāmaṃ kittimanāmaṃ opapātikanāmanti. Tattha paṭhamakappikesu mahājanena sammannitvā ṭhapitattā mahāsammatoti rañño nāmaṃ ‘sāmaññanāmaṃ’ nāma. Yaṃ sandhāya vuttaṃ – ‘‘mahājanasammatoti kho, vāseṭṭha, mahāsammato tveva paṭhamaṃ akkharaṃ upanibbatta’’nti (dī. ni. 3.131). Dhammakathiko paṃsukūliko vinayadharo tepiṭako saddho pasannoti evarūpaṃ guṇato āgatanāmaṃ ‘guṇanāmaṃ’ nāma. Bhagavā arahaṃ sammāsambuddhotiādīnipi tathāgatassa anekāni nāmasatāni guṇanāmāneva. Tena vuttaṃ –

    ‘‘อสเงฺขฺยยฺยานิ นามานิ, สคุเณน มเหสิโน;

    ‘‘Asaṅkhyeyyāni nāmāni, saguṇena mahesino;

    คุเณน นามมุเทฺธยฺยํ, อปิ นามสหสฺสโต’’ติฯ

    Guṇena nāmamuddheyyaṃ, api nāmasahassato’’ti.

    ยํ ปน ชาตสฺส กุมารกสฺส นามคฺคหณทิวเส ทกฺขิเณยฺยานํ สกฺการํ กตฺวา สมีเป ฐิตา ญาตกา กเปฺปตฺวา ปกเปฺปตฺวา ‘อยํ อสุโกนามา’ติ นามํ กโรนฺติ, อิทํ ‘กิตฺติมนาม’ นามฯ ยา ปน ปุริมปญฺญตฺติ ปจฺฉิมปญฺญตฺติยํ ปตติ, ปุริมโวหาโร ปจฺฉิมโวหาเร ปตติ, เสยฺยถิทํ – ปุริมกเปฺปปิ จโนฺท จโนฺทเยว นาม, เอตรหิปิ จโนฺทวฯ อตีเต สูริโย… สมุโทฺท… ปถวี… ปพฺพโต ปพฺพโตเยว, นาม, เอตรหิปิ ปพฺพโตเยวาติ อิทํ ‘โอปปาติกนามํ’ นามฯ อิทํ จตุพฺพิธมฺปิ นามํ เอตฺถ นามเมว โหติฯ

    Yaṃ pana jātassa kumārakassa nāmaggahaṇadivase dakkhiṇeyyānaṃ sakkāraṃ katvā samīpe ṭhitā ñātakā kappetvā pakappetvā ‘ayaṃ asukonāmā’ti nāmaṃ karonti, idaṃ ‘kittimanāma’ nāma. Yā pana purimapaññatti pacchimapaññattiyaṃ patati, purimavohāro pacchimavohāre patati, seyyathidaṃ – purimakappepi cando candoyeva nāma, etarahipi candova. Atīte sūriyo… samuddo… pathavī… pabbato pabbatoyeva, nāma, etarahipi pabbatoyevāti idaṃ ‘opapātikanāmaṃ’ nāma. Idaṃ catubbidhampi nāmaṃ ettha nāmameva hoti.

    นามกมฺมนฺติ นามกรณํฯ นามเธยฺยนฺติ นามฎฺฐปนํฯ นิรุตฺตีติ นามนิรุตฺติฯ พฺยญฺชนนฺติ นามพฺยญฺชนํฯ ยสฺมา ปเนตํ อตฺถํ พฺยเญฺชติ ตสฺมา เอวํ วุตฺตํฯ อภิลาโปติ นามาภิลาโปวฯ สเพฺพว ธมฺมา อธิวจนปถาติ อธิวจนสฺส โนปถธโมฺม นาม นตฺถิฯ เอกธโมฺม สพฺพธเมฺมสุ นิปตติ, สพฺพธมฺมา เอกธมฺมสฺมิํ นิปตนฺติฯ กถํ? อยญฺหิ นามปญฺญตฺติ เอกธโมฺม, โส สเพฺพสุ จตุภูมกธเมฺมสุ นิปตติฯ สโตฺตปิ สงฺขาโรปิ นามโต มุตฺตโก นาม นตฺถิฯ

    Nāmakammanti nāmakaraṇaṃ. Nāmadheyyanti nāmaṭṭhapanaṃ. Niruttīti nāmanirutti. Byañjananti nāmabyañjanaṃ. Yasmā panetaṃ atthaṃ byañjeti tasmā evaṃ vuttaṃ. Abhilāpoti nāmābhilāpova. Sabbeva dhammā adhivacanapathāti adhivacanassa nopathadhammo nāma natthi. Ekadhammo sabbadhammesu nipatati, sabbadhammā ekadhammasmiṃ nipatanti. Kathaṃ? Ayañhi nāmapaññatti ekadhammo, so sabbesu catubhūmakadhammesu nipatati. Sattopi saṅkhāropi nāmato muttako nāma natthi.

    อฎวีปพฺพตาทีสุ รุโกฺขปิ ชานปทานํ ภาโรฯ เต หิ ‘อยํ กิํ รุโกฺข นามา’ติ ปุฎฺฐา ‘ขทิโร’ ‘ปลาโส’ติ อตฺตนา ชานนกนามํ กเถนฺติฯ ยสฺส นามํ น ชานนฺติ ตมฺปิ ‘อนามโก’ นามาติ วทนฺติฯ ตมฺปิ ตสฺส นามเธยฺยเมว หุตฺวา ติฎฺฐติฯ สมุเทฺท มจฺฉกจฺฉปาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อิตเร เทฺว ทุกา อิมินา สมานตฺถา เอวฯ

    Aṭavīpabbatādīsu rukkhopi jānapadānaṃ bhāro. Te hi ‘ayaṃ kiṃ rukkho nāmā’ti puṭṭhā ‘khadiro’ ‘palāso’ti attanā jānanakanāmaṃ kathenti. Yassa nāmaṃ na jānanti tampi ‘anāmako’ nāmāti vadanti. Tampi tassa nāmadheyyameva hutvā tiṭṭhati. Samudde macchakacchapādīsupi eseva nayo. Itare dve dukā iminā samānatthā eva.

    ๑๓๑๖. นามรูปทุเก นามกรณเฎฺฐน จ นมนเฎฺฐน จ นามนเฎฺฐน จ นามํฯ ตตฺถ จตฺตาโร ขนฺธา ตาว นามกรณเฎฺฐน ‘นามํ’ฯ ยถา หิ มหาชนสมฺมตตฺตา มหาสมฺมตสฺส มหาสมฺมโตติ นามํ อโหสิ, ยถา วา มาตาปิตโร ‘อยํ ติโสฺส นาม โหตุ, ผุโสฺส นาม โหตู’ติ เอวํ ปุตฺตสฺส กิตฺติมนามํ กโรนฺติ, ยถา วา ‘ธมฺมกถิโก’ ‘วินยธโร’ติ คุณโต นามํ อาคจฺฉติ, น เอวํ เวทนาทีนํฯ เวทนาทโย หิ มหาปถวีอาทโย วิย อตฺตโน นามํ กโรนฺตาว อุปฺปชฺชนฺติฯ เตสุ อุปฺปเนฺนสุ เตสํ นามํ อุปฺปนฺนเมว โหติฯ น หิ เวทนํ อุปฺปนฺนํ ‘ตฺวํ เวทนา นาม โหหี’ติ โกจิ ภณติฯ น จ ตสฺสา นามคฺคหณกิจฺจํ อตฺถิฯ ยถา ปถวิยา อุปฺปนฺนาย ‘ตฺวํ ปถวี นาม โหหี’ติ นามคฺคหณกิจฺจํ นตฺถิ, จกฺกวาฬสิเนรุจนฺทิมสูริยนกฺขเตฺตสุ อุปฺปเนฺนสุ ‘ตฺวํ จกฺกวาฬํ นาม โหหิ ตฺวํ นกฺขตฺตํ นาม โหหี’ติ นามคฺคหณกิจฺจํ นตฺถิ, นามํ อุปฺปนฺนเมว โหติ, โอปปาติกปญฺญตฺติยํ นิปตติ, เอวํ เวทนาย อุปฺปนฺนาย ‘ตฺวํ เวทนา นาม โหหี’ติ นามคฺคหณกิจฺจํ นตฺถิฯ ตาย อุปฺปนฺนาย เวทนาติ นามํ อุปฺปนฺนเมว โหติฯ โอปปาติกปญฺญตฺติยํ นิปตติฯ สญฺญาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อตีเตปิ หิ เวทนา เวทนาเยว, สญฺญา… สงฺขารา… วิญฺญาณํ วิญฺญาณเมวฯ อนาคเตปิ, ปจฺจุปฺปเนฺนปิฯ นิพฺพานํ ปน สทาปิ นิพฺพานเมวาติฯ ‘นามกรณเฎฺฐน’ นามํฯ

    1316. Nāmarūpaduke nāmakaraṇaṭṭhena ca namanaṭṭhena ca nāmanaṭṭhena ca nāmaṃ. Tattha cattāro khandhā tāva nāmakaraṇaṭṭhena ‘nāmaṃ’. Yathā hi mahājanasammatattā mahāsammatassa mahāsammatoti nāmaṃ ahosi, yathā vā mātāpitaro ‘ayaṃ tisso nāma hotu, phusso nāma hotū’ti evaṃ puttassa kittimanāmaṃ karonti, yathā vā ‘dhammakathiko’ ‘vinayadharo’ti guṇato nāmaṃ āgacchati, na evaṃ vedanādīnaṃ. Vedanādayo hi mahāpathavīādayo viya attano nāmaṃ karontāva uppajjanti. Tesu uppannesu tesaṃ nāmaṃ uppannameva hoti. Na hi vedanaṃ uppannaṃ ‘tvaṃ vedanā nāma hohī’ti koci bhaṇati. Na ca tassā nāmaggahaṇakiccaṃ atthi. Yathā pathaviyā uppannāya ‘tvaṃ pathavī nāma hohī’ti nāmaggahaṇakiccaṃ natthi, cakkavāḷasinerucandimasūriyanakkhattesu uppannesu ‘tvaṃ cakkavāḷaṃ nāma hohi tvaṃ nakkhattaṃ nāma hohī’ti nāmaggahaṇakiccaṃ natthi, nāmaṃ uppannameva hoti, opapātikapaññattiyaṃ nipatati, evaṃ vedanāya uppannāya ‘tvaṃ vedanā nāma hohī’ti nāmaggahaṇakiccaṃ natthi. Tāya uppannāya vedanāti nāmaṃ uppannameva hoti. Opapātikapaññattiyaṃ nipatati. Saññādīsupi eseva nayo. Atītepi hi vedanā vedanāyeva, saññā… saṅkhārā… viññāṇaṃ viññāṇameva. Anāgatepi, paccuppannepi. Nibbānaṃ pana sadāpi nibbānamevāti. ‘Nāmakaraṇaṭṭhena’ nāmaṃ.

    ‘นมนเฎฺฐนา’ปิ เจตฺถ จตฺตาโร ขนฺธา นามํฯ เต หิ อารมฺมณาภิมุขา นมนฺติฯ ‘นามนเฎฺฐน’ สพฺพมฺปิ นามํฯ จตฺตาโร หิ ขนฺธา อารมฺมเณ อญฺญมญฺญํ นาเมนฺติฯ นิพฺพานํ อารมฺมณาธิปติปจฺจยตาย อตฺตนิ อนวชฺชธเมฺม นาเมติฯ

    ‘Namanaṭṭhenā’pi cettha cattāro khandhā nāmaṃ. Te hi ārammaṇābhimukhā namanti. ‘Nāmanaṭṭhena’ sabbampi nāmaṃ. Cattāro hi khandhā ārammaṇe aññamaññaṃ nāmenti. Nibbānaṃ ārammaṇādhipatipaccayatāya attani anavajjadhamme nāmeti.

    ๑๓๑๘. อวิชฺชาภวตณฺหา วฎฺฎมูลสมุทาจารทสฺสนตฺถํ คหิตาฯ

    1318. Avijjābhavataṇhā vaṭṭamūlasamudācāradassanatthaṃ gahitā.

    ๑๓๒๐. ภวิสฺสติ อตฺตา จ โลโก จาติ ขนฺธปญฺจกํ อตฺตา จ โลโก จาติ คเหตฺวา ‘ตํ ภวิสฺสตี’ติ คหณากาเรน นิวิฎฺฐา สสฺสตทิฎฺฐิฯ ทุติยา ‘น ภวิสฺสตี’ติ อากาเรน นิวิฎฺฐา อุเจฺฉททิฎฺฐิฯ

    1320. Bhavissati attā ca loko cāti khandhapañcakaṃ attā ca loko cāti gahetvā ‘taṃ bhavissatī’ti gahaṇākārena niviṭṭhā sassatadiṭṭhi. Dutiyā ‘na bhavissatī’ti ākārena niviṭṭhā ucchedadiṭṭhi.

    ๑๓๒๖. ปุพฺพนฺตํ อารพฺภาติ อตีตโกฎฺฐาสํ อารมฺมณํ กริตฺวาฯ อิมินา พฺรหฺมชาเล อาคตา อฎฺฐารส ปุพฺพนฺตานุทิฎฺฐิโย คหิตาฯ อปรนฺตํ อารพฺภาติ อนาคตโกฎฺฐาสํ อารมฺมณํ กริตฺวาฯ อิมินา ตเตฺถว อาคตา จตุจตฺตาลีส อปรนฺตานุทิฎฺฐิโย คหิตาฯ

    1326. Pubbantaṃārabbhāti atītakoṭṭhāsaṃ ārammaṇaṃ karitvā. Iminā brahmajāle āgatā aṭṭhārasa pubbantānudiṭṭhiyo gahitā. Aparantaṃ ārabbhāti anāgatakoṭṭhāsaṃ ārammaṇaṃ karitvā. Iminā tattheva āgatā catucattālīsa aparantānudiṭṭhiyo gahitā.

    ๑๓๓๒. โทวจสฺสตานิเทฺทเส สหธมฺมิเก วุจฺจมาเนติ สหธมฺมิกํ นาม ยํ ภควตา ปญฺญตฺตํ สิกฺขาปทํ, ตสฺมิํ วตฺถุํ ทเสฺสตฺวา อาปตฺติํ อาโรเปตฺวา ‘อิทํ นาม ตฺวํ อาปตฺติํ อาปโนฺน, อิงฺฆ เทเสหิ วุฎฺฐาหิ ปฎิกโรหี’ติ วุจฺจมาเนฯ โทวจสฺสายนฺติอาทีสุ เอวํ โจทิยมานสฺส ปฎิโจทนาย วา อปฺปทกฺขิณคาหิตาย วา ทุพฺพจสฺส กมฺมํ โทวจสฺสายํฯ ตเทว โทวจสฺสนฺติปิ วุจฺจติฯ ตสฺส ภาโว โทวจสฺสิยํฯ อิตรํ ตเสฺสว เววจนํฯ วิปฺปฎิกูลคาหิตาติ วิโลมคาหิตาฯ วิโลมคหณสงฺขาเตน วิปจฺจนีเกน สาตํ อสฺสาติ วิปจฺจนีกสาโตฯ ‘ปฎาณิกคหณํ คเหตฺวา เอกปเทเนว ตํ นิสฺสทฺทมกาสิ’นฺติ สุขํ ปฎิลภนฺตเสฺสตํ อธิวจนํฯ ตสฺส ภาโว วิปจฺจนีกสาตตาฯ โอวาทํ อนาทิยนวเสน อนาทรสฺส ภาโว อนาทริยํฯ อิตรํ ตเสฺสว เววจนํฯ อนาทิยนากาโร วา อนาทรตาฯ ครุวาสํ อวสนวเสน อุปฺปโนฺน อคารวภาโว อคารวตาฯ สเชฎฺฐกวาสํ อวสนวเสน อุปฺปโนฺน อปฺปฎิสฺสวภาโว อปฺปฎิสฺสวตาฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ เอวรูปา โทวจสฺสตา นาม วุจฺจติฯ อตฺถโต ปเนสา เตนากาเรน ปวตฺตา จตฺตาโร ขนฺธา, สงฺขารกฺขโนฺธเยว วาติฯ ปาปมิตฺตตาทีสุปิ เอเสว นโยฯ โทวจสฺสตา ปาปมิตฺตตาทโย หิ วิสุํ เจตสิกธมฺมา นาม นตฺถิฯ

    1332. Dovacassatāniddese sahadhammike vuccamāneti sahadhammikaṃ nāma yaṃ bhagavatā paññattaṃ sikkhāpadaṃ, tasmiṃ vatthuṃ dassetvā āpattiṃ āropetvā ‘idaṃ nāma tvaṃ āpattiṃ āpanno, iṅgha desehi vuṭṭhāhi paṭikarohī’ti vuccamāne. Dovacassāyantiādīsu evaṃ codiyamānassa paṭicodanāya vā appadakkhiṇagāhitāya vā dubbacassa kammaṃ dovacassāyaṃ. Tadeva dovacassantipi vuccati. Tassa bhāvo dovacassiyaṃ. Itaraṃ tasseva vevacanaṃ. Vippaṭikūlagāhitāti vilomagāhitā. Vilomagahaṇasaṅkhātena vipaccanīkena sātaṃ assāti vipaccanīkasāto. ‘Paṭāṇikagahaṇaṃ gahetvā ekapadeneva taṃ nissaddamakāsi’nti sukhaṃ paṭilabhantassetaṃ adhivacanaṃ. Tassa bhāvo vipaccanīkasātatā. Ovādaṃ anādiyanavasena anādarassa bhāvo anādariyaṃ. Itaraṃ tasseva vevacanaṃ. Anādiyanākāro vā anādaratā. Garuvāsaṃ avasanavasena uppanno agāravabhāvo agāravatā. Sajeṭṭhakavāsaṃ avasanavasena uppanno appaṭissavabhāvo appaṭissavatā. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ evarūpā dovacassatā nāma vuccati. Atthato panesā tenākārena pavattā cattāro khandhā, saṅkhārakkhandhoyeva vāti. Pāpamittatādīsupi eseva nayo. Dovacassatā pāpamittatādayo hi visuṃ cetasikadhammā nāma natthi.

    ๑๓๓๓. นตฺถิ เอเตสํ สทฺธาติ อสฺสทฺธา; พุทฺธาทีนิ วตฺถูนิ น สทฺทหนฺตีติ อโตฺถฯ ทุสฺสีลาติ สีลสฺส ทุนฺนามํ นตฺถิ, นิสฺสีลาติ อโตฺถฯ อปฺปสฺสุตาติ สุตรหิตาฯ ปญฺจ มจฺฉริยานิ เอเตสํ อตฺถีติ มจฺฉริโนฯ ทุปฺปญฺญาติ นิปฺปญฺญาฯ เสวนกวเสน เสวนาฯ พลวเสวนา นิเสวนาฯ สพฺพโตภาเคน เสวนา สํเสวนาฯ อุปสคฺควเสน วา ปทํ วฑฺฒิตํฯ ตีหิปิ เสวนาว กถิตาฯ ภชนาติ อุปสงฺกมนาฯ สมฺภชนาติ สพฺพโตภาเคน ภชนาฯ อุปสคฺควเสน วา ปทํ วฑฺฒิตํฯ ภตฺตีติ ทฬฺหภตฺติฯ สมฺภตฺตีติ สพฺพโตภาเคน ภตฺติฯ อุปสคฺควเสน วา ปทํ วฑฺฒิตํฯ ทฺวีหิปิ ทฬฺหภตฺติ เอว กถิตาฯ ตํสมฺปวงฺกตาติ เตสุ ปุคฺคเลสุ กาเยน เจว จิเตฺตน จ สมฺปวงฺกภาโว; ตนฺนินฺนตา ตโปฺปณตา ตปฺปพฺภารตาติ อโตฺถฯ

    1333. Natthi etesaṃ saddhāti assaddhā; buddhādīni vatthūni na saddahantīti attho. Dussīlāti sīlassa dunnāmaṃ natthi, nissīlāti attho. Appassutāti sutarahitā. Pañca macchariyāni etesaṃ atthīti maccharino. Duppaññāti nippaññā. Sevanakavasena sevanā. Balavasevanā nisevanā. Sabbatobhāgena sevanā saṃsevanā. Upasaggavasena vā padaṃ vaḍḍhitaṃ. Tīhipi sevanāva kathitā. Bhajanāti upasaṅkamanā. Sambhajanāti sabbatobhāgena bhajanā. Upasaggavasena vā padaṃ vaḍḍhitaṃ. Bhattīti daḷhabhatti. Sambhattīti sabbatobhāgena bhatti. Upasaggavasena vā padaṃ vaḍḍhitaṃ. Dvīhipi daḷhabhatti eva kathitā. Taṃsampavaṅkatāti tesu puggalesu kāyena ceva cittena ca sampavaṅkabhāvo; tanninnatā tappoṇatā tappabbhāratāti attho.

    ๑๓๓๔. โสวจสฺสตาทุกนิเทฺทโสปิ วุตฺตปฎิปกฺขนเยน เวทิตโพฺพฯ

    1334. Sovacassatādukaniddesopi vuttapaṭipakkhanayena veditabbo.

    ๑๓๓๖. ปญฺจปิ อาปตฺติกฺขนฺธาติ มาติกานิเทฺทเสน ‘ปาราชิกํ สงฺฆาทิเสสํ ปาจิตฺติยํ ปาฎิเทสนียํ ทุกฺกฎ’นฺติ อิมา ปญฺจ อาปตฺติโยฯ สตฺตปิ อาปตฺติกฺขนฺธาติ วินยนิเทฺทเสน ‘ปาราชิกํ สงฺฆาทิเสสํ ถุลฺลจฺจยํ ปาจิตฺติยํ ปาฎิเทสนียํ ทุกฺกฎํ ทุพฺภาสิต’นฺติ อิมา สตฺต อาปตฺติโยฯ ตตฺถ สห วตฺถุนา ตาสํ อาปตฺตีนํ ปริเจฺฉทชานนกปญฺญา อาปตฺติกุสลตา นามฯ สห กมฺมวาจาย อาปตฺติวุฎฺฐานปริเจฺฉทชานนกปญฺญา ปน อาปตฺติวุฎฺฐานกุสลตา นามฯ

    1336. Pañcapiāpattikkhandhāti mātikāniddesena ‘pārājikaṃ saṅghādisesaṃ pācittiyaṃ pāṭidesanīyaṃ dukkaṭa’nti imā pañca āpattiyo. Sattapi āpattikkhandhāti vinayaniddesena ‘pārājikaṃ saṅghādisesaṃ thullaccayaṃ pācittiyaṃ pāṭidesanīyaṃ dukkaṭaṃ dubbhāsita’nti imā satta āpattiyo. Tattha saha vatthunā tāsaṃ āpattīnaṃ paricchedajānanakapaññā āpattikusalatā nāma. Saha kammavācāya āpattivuṭṭhānaparicchedajānanakapaññā pana āpattivuṭṭhānakusalatā nāma.

    ๑๓๓๘. สมาปชฺชิตพฺพโต สมาปตฺติฯ สห ปริกเมฺมน อปฺปนาปริเจฺฉทชานนกปญฺญา ปน สมาปตฺติกุสลตา นามฯ ‘จเนฺท วา สูริเย วา นกฺขเตฺต วา เอตฺตกํ ฐานํ คเต วุฎฺฐหิสฺสามี’ติ อวิรชฺฌิตฺวา ตสฺมิํเยว สมเย วุฎฺฐานกปญฺญาย อตฺถิตาย สมาปตฺติวุฎฺฐานกุสลตา นามฯ

    1338. Samāpajjitabbato samāpatti. Saha parikammena appanāparicchedajānanakapaññā pana samāpattikusalatā nāma. ‘Cande vā sūriye vā nakkhatte vā ettakaṃ ṭhānaṃ gate vuṭṭhahissāmī’ti avirajjhitvā tasmiṃyeva samaye vuṭṭhānakapaññāya atthitāya samāpattivuṭṭhānakusalatā nāma.

    ๑๓๔๐. อฎฺฐารสนฺนํ ธาตูนํ อุคฺคหมนสิการสวนธารณปริเจฺฉทชานนกปญฺญา ธาตุกุสลตา นามฯ ตาสํเยว อุคฺคหมนสิการชานนกปญฺญา มนสิการกุสลตา นามฯ

    1340. Aṭṭhārasannaṃ dhātūnaṃ uggahamanasikārasavanadhāraṇaparicchedajānanakapaññā dhātukusalatā nāma. Tāsaṃyeva uggahamanasikārajānanakapaññā manasikārakusalatā nāma.

    ๑๓๔๒. ทฺวาทสนฺนํ อายตนานํ อุคฺคหมนสิการสวนธารณปริเจฺฉทชานนกปญฺญา ลตา นามฯ ตีสุปิ วา เอตาสุ กุสลตาสุ อุคฺคโห มนสิกาโร สวนํ สมฺมสนํ ปฎิเวโธ ปจฺจเวกฺขณาติ สพฺพํ วฎฺฎติฯ ตตฺถ สวนอุคฺคหปจฺจเวกฺขณา โลกิยา, ปฎิเวโธ โลกุตฺตโรฯ สมฺมสนมนสิการา โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกาฯ ‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’ติอาทีนิ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๒๕) ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภเงฺค อาวิภวิสฺสนฺติฯ ‘อิมินา ปน ปจฺจเยน อิทํ โหตี’ติ ชานนกปญฺญา ปฎิจฺจสมุปฺปาทกุสลตา นามฯ

    1342. Dvādasannaṃ āyatanānaṃ uggahamanasikārasavanadhāraṇaparicchedajānanakapaññā latā nāma. Tīsupi vā etāsu kusalatāsu uggaho manasikāro savanaṃ sammasanaṃ paṭivedho paccavekkhaṇāti sabbaṃ vaṭṭati. Tattha savanauggahapaccavekkhaṇā lokiyā, paṭivedho lokuttaro. Sammasanamanasikārā lokiyalokuttaramissakā. ‘Avijjāpaccayā saṅkhārā’tiādīni (vibha. aṭṭha. 225) paṭiccasamuppādavibhaṅge āvibhavissanti. ‘Iminā pana paccayena idaṃ hotī’ti jānanakapaññā paṭiccasamuppādakusalatā nāma.

    ๑๓๔๔. ฐานาฎฺฐานกุสลตาทุกนิเทฺทเส เหตู ปจฺจยาติ อุภยเมฺปตํ อญฺญมญฺญเววจนํฯ จกฺขุปสาโท หิ รูปํ อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปชฺชนกสฺส จกฺขุวิญฺญาณสฺส เหตุ เจว ปจฺจโย จฯ ตถา โสตปสาทาทโย โสตวิญฺญาณาทีนํ, อมฺพพีชาทีนิ จ อมฺพผลาทีนํฯ ทุติยนเย เย เย ธมฺมาติ วิสภาคปจฺจยธมฺมานํ นิทสฺสนํฯ เยสํ เยสนฺติ วิสภาคปจฺจยสมุปฺปนฺนธมฺมนิทสฺสนํฯ น เหตู น ปจฺจยาติ จกฺขุปสาโท สทฺทํ อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปชฺชนกสฺส โสตวิญฺญาณสฺส น เหตุ น ปจฺจโยฯ ตถา โสตปสาทาทโย อวเสสวิญฺญาณาทีนํฯ อมฺพาทโย จ ตาลาทีนํ อุปฺปตฺติยาติ เอวมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    1344. Ṭhānāṭṭhānakusalatādukaniddese hetū paccayāti ubhayampetaṃ aññamaññavevacanaṃ. Cakkhupasādo hi rūpaṃ ārammaṇaṃ katvā uppajjanakassa cakkhuviññāṇassa hetu ceva paccayo ca. Tathā sotapasādādayo sotaviññāṇādīnaṃ, ambabījādīni ca ambaphalādīnaṃ. Dutiyanaye ye ye dhammāti visabhāgapaccayadhammānaṃ nidassanaṃ. Yesaṃ yesanti visabhāgapaccayasamuppannadhammanidassanaṃ. Na hetū na paccayāti cakkhupasādo saddaṃ ārammaṇaṃ katvā uppajjanakassa sotaviññāṇassa na hetu na paccayo. Tathā sotapasādādayo avasesaviññāṇādīnaṃ. Ambādayo ca tālādīnaṃ uppattiyāti evamattho veditabbo.

    ๑๓๔๖. อชฺชวมทฺทวนิเทฺทเส นีจจิตฺตตาติ ปทมตฺตเมว วิเสโสฯ ตสฺสโตฺถ – มานาภาเวน นีจํ จิตฺตํ อสฺสาติ นีจจิโตฺตฯ นีจจิตฺตสฺส ภาโว นีจจิตฺตตาฯ เสสํ จิตฺตุชุกตาจิตฺตมุทุตานํ ปทภาชนีเย อาคตเมวฯ

    1346. Ajjavamaddavaniddese nīcacittatāti padamattameva viseso. Tassattho – mānābhāvena nīcaṃ cittaṃ assāti nīcacitto. Nīcacittassa bhāvo nīcacittatā. Sesaṃ cittujukatācittamudutānaṃ padabhājanīye āgatameva.

    ๑๓๔๘. ขนฺตินิเทฺทเส ขมนกวเสน ขนฺติฯ ขมนากาโร ขมนตาฯ อธิวาเสนฺติ เอตาย, อตฺตโน อุปริ อาโรเปตฺวา วาเสนฺติ, น ปฎิพาหนฺติ, น ปจฺจนีกตาย ติฎฺฐนฺตีติ อธิวาสนตา ฯ อจณฺฑิกสฺส ภาโว อจณฺฑิกฺกํฯ อนสุโรโปติ อสุโรโป วุจฺจติ น สมฺมาโรปิตตฺตา ทุรุตฺตวจนํฯ ตปฺปฎิปกฺขโต อนสุโรโป สุรุตฺตวาจาติ อโตฺถฯ เอวเมตฺถ ผลูปจาเรน การณํ นิทฺทิฎฺฐํฯ อตฺตมนตา จิตฺตสฺสาติ โสมนสฺสวเสน จิตฺตสฺส สกมนตา, อตฺตโน จิตฺตสภาโวเยว, น พฺยาปนฺนจิตฺตตาติ อโตฺถฯ

    1348. Khantiniddese khamanakavasena khanti. Khamanākāro khamanatā. Adhivāsenti etāya, attano upari āropetvā vāsenti, na paṭibāhanti, na paccanīkatāya tiṭṭhantīti adhivāsanatā. Acaṇḍikassa bhāvo acaṇḍikkaṃ. Anasuropoti asuropo vuccati na sammāropitattā duruttavacanaṃ. Tappaṭipakkhato anasuropo suruttavācāti attho. Evamettha phalūpacārena kāraṇaṃ niddiṭṭhaṃ. Attamanatā cittassāti somanassavasena cittassa sakamanatā, attano cittasabhāvoyeva, na byāpannacittatāti attho.

    ๑๓๔๙. โสรจฺจนิเทฺทเส กายิโก อวีติกฺกโมติ ติวิธํ กายสุจริตํฯ วาจสิโก อวีติกฺกโมติ จตุพฺพิธํ วจีสุจริตํฯ กายิกวาจสิโกติ อิมินา กายวจีทฺวารสมุฎฺฐิตํ อาชีวฎฺฐมกสีลํ ปริยาทิยติฯ อิทํ วุจฺจติ โสรจฺจนฺติ อิทํ ปาปโต สุฎฺฐุ โอรตตฺตา โสรจฺจํ นาม วุจฺจติฯ สโพฺพปิ สีลสํวโรติ อิทํ ยสฺมา น เกวลํ กายวาจาเหว อนาจารํ อาจรติ มนสาปิ อาจรติ เอว, ตสฺมา มานสิกสีลํ ปริยาทาย ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ

    1349. Soraccaniddese kāyiko avītikkamoti tividhaṃ kāyasucaritaṃ. Vācasiko avītikkamoti catubbidhaṃ vacīsucaritaṃ. Kāyikavācasikoti iminā kāyavacīdvārasamuṭṭhitaṃ ājīvaṭṭhamakasīlaṃ pariyādiyati. Idaṃ vuccati soraccanti idaṃ pāpato suṭṭhu oratattā soraccaṃ nāma vuccati. Sabbopi sīlasaṃvaroti idaṃ yasmā na kevalaṃ kāyavācāheva anācāraṃ ācarati manasāpi ācarati eva, tasmā mānasikasīlaṃ pariyādāya dassetuṃ vuttaṃ.

    ๑๓๕๐. สาขลฺยนิเทฺทเส อณฺฑกาติ ยถา สโทเส รุเกฺข อณฺฑกานิ อุฎฺฐหนฺติ, เอวํ สโทสตาย ขุํสนวมฺภนาทิวจเนหิ อณฺฑกา ชาตาฯ กกฺกสาติ ปูติกา สา ยถา นาม ปูติรุโกฺข กกฺกโส โหติ ปคฺฆริตจุโณฺณ เอวํ กกฺกสา โหติฯ โสตํ ฆํสยมานา วิย ปวิสติฯ เตน วุตฺตํ ‘กกฺกสา’ติฯ ปรกฎุกาติ ปเรสํ กฎุกา อมนาปา โทสชนนีฯ ปราภิสชฺชนีติ กุฎิลกณฺฎกสาขา วิย จเมฺมสุ วิชฺฌิตฺวา ปเรสํ อภิสชฺชนี, คนฺตุกามานมฺปิ คนฺตุํ อทตฺวา ลคฺคนการีฯ โกธสามนฺตาติ โกธสฺส อาสนฺนาฯ อสมาธิสํวตฺตนิกาติ อปฺปนาสมาธิสฺส วา อุปจารสมาธิสฺส วา อสํวตฺตนิกาฯ อิติ สพฺพาเนเวตานิ สโทสวาจาย เววจนานิฯ ตถารูปิํ วาจํ ปหายาติ อิทํ ผรุสวาจํ อปฺปชหิตฺวา ฐิตสฺส อนฺตรนฺตเร ปวตฺตาปิ สณฺหวาจา อสณฺหวาจา เอว นามาติ ทีปนตฺถํ วุตฺตํฯ

    1350. Sākhalyaniddese aṇḍakāti yathā sadose rukkhe aṇḍakāni uṭṭhahanti, evaṃ sadosatāya khuṃsanavambhanādivacanehi aṇḍakā jātā. Kakkasāti pūtikā sā yathā nāma pūtirukkho kakkaso hoti paggharitacuṇṇo evaṃ kakkasā hoti. Sotaṃ ghaṃsayamānā viya pavisati. Tena vuttaṃ ‘kakkasā’ti. Parakaṭukāti paresaṃ kaṭukā amanāpā dosajananī. Parābhisajjanīti kuṭilakaṇṭakasākhā viya cammesu vijjhitvā paresaṃ abhisajjanī, gantukāmānampi gantuṃ adatvā lagganakārī. Kodhasāmantāti kodhassa āsannā. Asamādhisaṃvattanikāti appanāsamādhissa vā upacārasamādhissa vā asaṃvattanikā. Iti sabbānevetāni sadosavācāya vevacanāni. Tathārūpiṃ vācaṃ pahāyāti idaṃ pharusavācaṃ appajahitvā ṭhitassa antarantare pavattāpi saṇhavācā asaṇhavācā eva nāmāti dīpanatthaṃ vuttaṃ.

    เนฬาติ เอฬํ วุจฺจติ โทโสฯ นาสฺสา เอฬนฺติ เนฬา; นิโทฺทสาติ อโตฺถฯ ‘‘เนฬโงฺค เสตปจฺฉาโท’’ติ (อุทา. ๖๕; สํ. นิ. ๔.๓๔๗; เปฎโก. ๒๕) เอตฺถ วุตฺตเนฬํ วิยฯ กณฺณสุขาติ พฺยญฺชนมธุรตาย กณฺณานํ สุขา, สูจิวิชฺฌนํ วิย กณฺณสูลํ น ชเนติฯ อตฺถมธุรตาย สรีเร โกปํ อชเนตฺวา เปมํ ชเนตีติ เปมนียาฯ หทยํ คจฺฉติ, อปฺปฎิหญฺญมานา สุเขน จิตฺตํ ปวิสตีติ หทยงฺคมาฯ คุณปริปุณฺณตาย ปุเร ภวาติ โปรีฯ ปุเร สํวฑฺฒนารี วิย สุกุมาราติปิ โปรีฯ ปุรสฺส เอสาติปิ โปรี; นครวาสีนํ กถาติ อโตฺถฯ นครวาสิโน หิ ยุตฺตกถา โหนฺติฯ ปิติมตฺตํ ปิตาติ ภาติมตฺตํ ภาตาติ วทนฺติฯ เอวรูปี กถา พหุโน ชนสฺส กนฺตา โหตีติ พหุชนกนฺตาฯ กนฺตภาเวเนว พหุโน ชนสฺส มนาปา จิตฺตวุฑฺฒิกราติ พหุชนมนาปาฯ ยา ตตฺถาติ ยา ตสฺมิํ ปุคฺคเลฯ สณฺหวาจตาติ มฎฺฐวาจตาฯ สขิลวาจตาติ มุทุวาจตาฯ อผรุสวาจตาติ อกกฺขฬวาจตาฯ

    Neḷāti eḷaṃ vuccati doso. Nāssā eḷanti neḷā; niddosāti attho. ‘‘Neḷaṅgo setapacchādo’’ti (udā. 65; saṃ. ni. 4.347; peṭako. 25) ettha vuttaneḷaṃ viya. Kaṇṇasukhāti byañjanamadhuratāya kaṇṇānaṃ sukhā, sūcivijjhanaṃ viya kaṇṇasūlaṃ na janeti. Atthamadhuratāya sarīre kopaṃ ajanetvā pemaṃ janetīti pemanīyā. Hadayaṃ gacchati, appaṭihaññamānā sukhena cittaṃ pavisatīti hadayaṅgamā. Guṇaparipuṇṇatāya pure bhavāti porī. Pure saṃvaḍḍhanārī viya sukumārātipi porī. Purassa esātipi porī; nagaravāsīnaṃ kathāti attho. Nagaravāsino hi yuttakathā honti. Pitimattaṃ pitāti bhātimattaṃ bhātāti vadanti. Evarūpī kathā bahuno janassa kantā hotīti bahujanakantā. Kantabhāveneva bahuno janassa manāpā cittavuḍḍhikarāti bahujanamanāpā. Yā tatthāti yā tasmiṃ puggale. Saṇhavācatāti maṭṭhavācatā. Sakhilavācatāti muduvācatā. Apharusavācatāti akakkhaḷavācatā.

    ๑๓๕๑. ปฎิสนฺถารนิเทฺทเส อามิสปฎิสนฺถาโรติ อามิสอลาเภน อตฺตนา สห ปเรสํ ฉิทฺทํ ยถา ปิหิตํ โหติ ปฎิจฺฉนฺนํ เอวํ อามิเสน ปฎิสนฺถรณํฯ ธมฺมปฎิสนฺถาโรติ ธมฺมสฺส อปฺปฎิลาเภน อตฺตนา สห ปเรสํ ฉิทฺทํ ยถา ปิหิตํ โหติ ปฎิจฺฉนฺนํ, เอวํ ธเมฺมน ปฎิสนฺถรณํฯ ปฎิสนฺถารโก โหตีติ เทฺวเยว หิ โลกสนฺนิวาสสฺส ฉิทฺทานิ, เตสํ ปฎิสนฺถารโก โหติฯ อามิสปฎิสนฺถาเรน วา ธมฺมปฎิสนฺถาเรน วาติ อิมินา ทุวิเธน ปฎิสนฺถาเรน ปฎิสนฺถารโก โหติ, ปฎิสนฺถรติ, นิรนฺตรํ กโรติฯ

    1351. Paṭisanthāraniddese āmisapaṭisanthāroti āmisaalābhena attanā saha paresaṃ chiddaṃ yathā pihitaṃ hoti paṭicchannaṃ evaṃ āmisena paṭisantharaṇaṃ. Dhammapaṭisanthāroti dhammassa appaṭilābhena attanā saha paresaṃ chiddaṃ yathā pihitaṃ hoti paṭicchannaṃ, evaṃ dhammena paṭisantharaṇaṃ. Paṭisanthārako hotīti dveyeva hi lokasannivāsassa chiddāni, tesaṃ paṭisanthārako hoti. Āmisapaṭisanthārena vā dhammapaṭisanthārena vāti iminā duvidhena paṭisanthārena paṭisanthārako hoti, paṭisantharati, nirantaraṃ karoti.

    ตตฺรายํ อาทิโต ปฎฺฐาย กถา – ปฎิสนฺถารเกน หิ ภิกฺขุนา อาคนฺตุกํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวาว ปจฺจุคฺคนฺตฺวา ปตฺตจีวรํ คเหตพฺพํ, อาสนํ ทาตพฺพํ, ตาลวเณฺฎน พีชิตพฺพํ, ปาทา โธวิตฺวา มเกฺขตพฺพา, สปฺปิผาณิเต สติ เภสชฺชํ ทาตพฺพํ, ปานีเยน ปุจฺฉิตโพฺพ, อาวาโส ปฎิชคฺคิตโพฺพฯ เอวํ เอกเทเสน อามิสปฎิสนฺถาโร กโต นาม โหติฯ

    Tatrāyaṃ ādito paṭṭhāya kathā – paṭisanthārakena hi bhikkhunā āgantukaṃ āgacchantaṃ disvāva paccuggantvā pattacīvaraṃ gahetabbaṃ, āsanaṃ dātabbaṃ, tālavaṇṭena bījitabbaṃ, pādā dhovitvā makkhetabbā, sappiphāṇite sati bhesajjaṃ dātabbaṃ, pānīyena pucchitabbo, āvāso paṭijaggitabbo. Evaṃ ekadesena āmisapaṭisanthāro kato nāma hoti.

    สายํ ปน นวกตเรปิ อตฺตโน อุปฎฺฐานํ อนาคเตเยว, ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา นิสีทิตฺวา อวิสเย อปุจฺฉิตฺวา ตสฺส วิสเย ปโญฺห ปุจฺฉิตโพฺพฯ ‘ตุเมฺห กตรภาณกา’ติ อปุจฺฉิตฺวา ตุมฺหากํ ‘อาจริยุปชฺฌายา กตรํ คนฺถํ วฬเญฺชนฺตี’ติ ปุจฺฉิตฺวา ปโหนกฎฺฐาเน ปโญฺห ปุจฺฉิตโพฺพฯ สเจ กเถตุํ สโกฺกติ อิเจฺจตํ กุสลํฯ โน เจ สโกฺกติ สยํ กเถตฺวา ทาตพฺพํฯ เอวํ เอกเทเสน ธมฺมปฎิสนฺถาโร กโต นาม โหติฯ

    Sāyaṃ pana navakatarepi attano upaṭṭhānaṃ anāgateyeva, tassa santikaṃ gantvā nisīditvā avisaye apucchitvā tassa visaye pañho pucchitabbo. ‘Tumhe katarabhāṇakā’ti apucchitvā tumhākaṃ ‘ācariyupajjhāyā kataraṃ ganthaṃ vaḷañjentī’ti pucchitvā pahonakaṭṭhāne pañho pucchitabbo. Sace kathetuṃ sakkoti iccetaṃ kusalaṃ. No ce sakkoti sayaṃ kathetvā dātabbaṃ. Evaṃ ekadesena dhammapaṭisanthāro kato nāma hoti.

    สเจ อตฺตโน สนฺติเก วสติ ตํ อาทาย นิพทฺธํ ปิณฺฑาย จริตพฺพํฯ สเจ คนฺตุกาโม โหติ ปุนทิวเส คมนสภาเคน ตํ อาทาย เอกสฺมิํ คาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา อุโยฺยเชตโพฺพฯ สเจ อญฺญสฺมิํ ทิสาภาเค ภิกฺขู นิมนฺติตา โหนฺติ ตํ ภิกฺขุํ อิจฺฉมานํ อาทาย คนฺตพฺพํฯ ‘น มยฺหํ เอสา ทิสา สภาคา’ติ คนฺตุํ อนิจฺฉเนฺต เสสภิกฺขู เปเสตฺวา ตํ อาทาย ปิณฺฑาย จริตพฺพํฯ อตฺตนา ลทฺธามิสํ ตสฺส ทาตพฺพํฯ เอวํ ‘อามิสปฎิสนฺถาโร’ กโต นาม โหติฯ

    Sace attano santike vasati taṃ ādāya nibaddhaṃ piṇḍāya caritabbaṃ. Sace gantukāmo hoti punadivase gamanasabhāgena taṃ ādāya ekasmiṃ gāme piṇḍāya caritvā uyyojetabbo. Sace aññasmiṃ disābhāge bhikkhū nimantitā honti taṃ bhikkhuṃ icchamānaṃ ādāya gantabbaṃ. ‘Na mayhaṃ esā disā sabhāgā’ti gantuṃ anicchante sesabhikkhū pesetvā taṃ ādāya piṇḍāya caritabbaṃ. Attanā laddhāmisaṃ tassa dātabbaṃ. Evaṃ ‘āmisapaṭisanthāro’ kato nāma hoti.

    อามิสปฎิสนฺถารเกน ปน อตฺตนา ลทฺธํ กสฺส ทาตพฺพนฺติ? อาคนฺตุกสฺส ตาว ทาตพฺพํฯ สเจ คิลาโน วา อวสฺสิโก วา อตฺถิ, เตสมฺปิ ทาตพฺพํฯ อาจริยุปชฺฌายานํ ทาตพฺพํฯ ภณฺฑคาหกสฺส ทาตพฺพํฯ สาราณียธมฺมปูรเกน ปน สตวารมฺปิ สหสฺสวารมฺปิ อาคตาคตานํ เถราสนโต ปฎฺฐาย ทาตพฺพํฯ ปฎิสนฺถารเกน ปน เยน เยน น ลทฺธํ, ตสฺส ตสฺส ทาตพฺพํฯ พหิคามํ นิกฺขมิตฺวา ชิณฺณกํ วา อนาถํ ภิกฺขุํ วา ภิกฺขุนิํ วา ทิสฺวา เตสมฺปิ ทาตพฺพํฯ

    Āmisapaṭisanthārakena pana attanā laddhaṃ kassa dātabbanti? Āgantukassa tāva dātabbaṃ. Sace gilāno vā avassiko vā atthi, tesampi dātabbaṃ. Ācariyupajjhāyānaṃ dātabbaṃ. Bhaṇḍagāhakassa dātabbaṃ. Sārāṇīyadhammapūrakena pana satavārampi sahassavārampi āgatāgatānaṃ therāsanato paṭṭhāya dātabbaṃ. Paṭisanthārakena pana yena yena na laddhaṃ, tassa tassa dātabbaṃ. Bahigāmaṃ nikkhamitvā jiṇṇakaṃ vā anāthaṃ bhikkhuṃ vā bhikkhuniṃ vā disvā tesampi dātabbaṃ.

    ตตฺริทํ วตฺถุ – โจเรหิ กิร คุตฺตสาลคาเม ปหเต ตงฺขณเญฺญว เอกา นิโรธโต วุฎฺฐิตา ขีณาสวเตฺถรี ทหรภิกฺขุนิยา ภณฺฑกํ คาหาเปตฺวา มหาชเนน สทฺธิํ มคฺคํ ปฎิปชฺชิตฺวา ฐิตมชฺฌนฺหิเก นกุลนครคามทฺวารํ ปตฺวา รุกฺขมูเล นิสีทิฯ ตสฺมิํ สมเย กาฬวลฺลิมณฺฑปวาสี มหานาคเตฺถโร นกุลนครคาเม ปิณฺฑาย จริตฺวา นิกฺขโนฺต เถริํ ทิสฺวา ภเตฺตน อาปุจฺฉิฯ สา ‘ปโตฺต เม นตฺถี’ติ อาหฯ เถโร ‘อิมินาว ภุญฺชถา’ติ สห ปเตฺตน อทาสิฯ เถรี ภตฺตกิจฺจํ กตฺวา ปตฺตํ โธวิตฺวา เถรสฺส ทตฺวา อาห – ‘อชฺช ตาว ภิกฺขาจาเรน กิลมิสฺสถ, อิโต ปฎฺฐาย ปน โว ภิกฺขาจารปริตฺตาโส นาม น ภวิสฺสติ, ตาตา’ติฯ ตโต ปฎฺฐาย เถรสฺส อูนกหาปณคฺฆนโก ปิณฺฑปาโต นาม น อุปฺปนฺนปุโพฺพฯ อยํ ‘อามิสปฎิสนฺถาโร’ นามฯ

    Tatridaṃ vatthu – corehi kira guttasālagāme pahate taṅkhaṇaññeva ekā nirodhato vuṭṭhitā khīṇāsavattherī daharabhikkhuniyā bhaṇḍakaṃ gāhāpetvā mahājanena saddhiṃ maggaṃ paṭipajjitvā ṭhitamajjhanhike nakulanagaragāmadvāraṃ patvā rukkhamūle nisīdi. Tasmiṃ samaye kāḷavallimaṇḍapavāsī mahānāgatthero nakulanagaragāme piṇḍāya caritvā nikkhanto theriṃ disvā bhattena āpucchi. Sā ‘patto me natthī’ti āha. Thero ‘imināva bhuñjathā’ti saha pattena adāsi. Therī bhattakiccaṃ katvā pattaṃ dhovitvā therassa datvā āha – ‘ajja tāva bhikkhācārena kilamissatha, ito paṭṭhāya pana vo bhikkhācāraparittāso nāma na bhavissati, tātā’ti. Tato paṭṭhāya therassa ūnakahāpaṇagghanako piṇḍapāto nāma na uppannapubbo. Ayaṃ ‘āmisapaṭisanthāro’ nāma.

    อิมํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ภิกฺขุนา สงฺคหปเกฺข ฐตฺวา ตสฺส ภิกฺขุโน กมฺมฎฺฐานํ กเถตพฺพํ, ธโมฺม วาเจตโพฺพ, กุกฺกุจฺจํ วิโนเทตพฺพํ, อุปฺปนฺนํ กิจฺจํ กรณียํ กาตพฺพํ, อพฺภานวุฎฺฐานมานตฺตปริวาสา ทาตพฺพาฯ ปพฺพชฺชารโห ปพฺพาเชตโพฺพ อุปสมฺปทารโห อุปสมฺปาเทตโพฺพฯ ภิกฺขุนิยาปิ อตฺตโน สนฺติเก อุปสมฺปทํ อากงฺขมานาย กมฺมวาจํ กาตุํ วฎฺฎติฯ อยํ ‘ธมฺมปฎิสนฺถาโร’ นามฯ

    Imaṃ paṭisanthāraṃ katvā bhikkhunā saṅgahapakkhe ṭhatvā tassa bhikkhuno kammaṭṭhānaṃ kathetabbaṃ, dhammo vācetabbo, kukkuccaṃ vinodetabbaṃ, uppannaṃ kiccaṃ karaṇīyaṃ kātabbaṃ, abbhānavuṭṭhānamānattaparivāsā dātabbā. Pabbajjāraho pabbājetabbo upasampadāraho upasampādetabbo. Bhikkhuniyāpi attano santike upasampadaṃ ākaṅkhamānāya kammavācaṃ kātuṃ vaṭṭati. Ayaṃ ‘dhammapaṭisanthāro’ nāma.

    อิเมหิ ทฺวีหิ ปฎิสนฺถาเรหิ ปฎิสนฺถารโก ภิกฺขุ อนุปฺปนฺนํ ลาภํ อุปฺปาเทติ, อุปฺปนฺนํ ถาวรํ กโรติ, สภยฎฺฐาเน อตฺตโน ชีวิตํ รกฺขติ โจรนาครโญฺญ ปตฺตคฺคหณหเตฺถเนว อคฺคํ คเหตฺวา ปเตฺตเนว ภตฺตํ อากิรโนฺต เถโร วิยฯ อลทฺธลาภุปฺปาทเน ปน อิโต ปลายิตฺวา ปรตีรํ คเตน มหานาครญฺญา เอกสฺส เถรสฺส สนฺติเก สงฺคหํ ลภิตฺวา ปุน อาคนฺตฺวา รเชฺช ปติฎฺฐิเตน เสตมฺพงฺคเณ ยาวชีวํ ปวตฺติตํ มหาเภสชฺชทานวตฺถุ กเถตพฺพํฯ อุปฺปนฺนลาภถาวรกรเณ ทีฆภาณกอภยเตฺถรสฺส หตฺถโต ปฎิสนฺถารํ ลภิตฺวา เจติยปพฺพเต โจเรหิ ภณฺฑกสฺส อวิลุตฺตภาเว วตฺถุ กเถตพฺพํฯ

    Imehi dvīhi paṭisanthārehi paṭisanthārako bhikkhu anuppannaṃ lābhaṃ uppādeti, uppannaṃ thāvaraṃ karoti, sabhayaṭṭhāne attano jīvitaṃ rakkhati coranāgarañño pattaggahaṇahattheneva aggaṃ gahetvā patteneva bhattaṃ ākiranto thero viya. Aladdhalābhuppādane pana ito palāyitvā paratīraṃ gatena mahānāgaraññā ekassa therassa santike saṅgahaṃ labhitvā puna āgantvā rajje patiṭṭhitena setambaṅgaṇe yāvajīvaṃ pavattitaṃ mahābhesajjadānavatthu kathetabbaṃ. Uppannalābhathāvarakaraṇe dīghabhāṇakaabhayattherassa hatthato paṭisanthāraṃ labhitvā cetiyapabbate corehi bhaṇḍakassa aviluttabhāve vatthu kathetabbaṃ.

    ๑๓๕๒. อินฺทฺริเยสุ อคุตฺตทฺวารตานิเทฺทเส จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวาติ การณวเสน จกฺขูติ ลทฺธโวหาเรน รูปทสฺสนสมเตฺถน จกฺขุวิญฺญาเณน รูปํ ทิสฺวาฯ โปราณา ปนาหุ – ‘‘จกฺขุ รูปํ น ปสฺสติ, อจิตฺตกตฺตา; จิตฺตํ น ปสฺสติ, อจกฺขุกตฺตา; ทฺวารารมฺมณสงฺฆฎฺฎเนน ปน ปสาทวตฺถุเกน จิเตฺตน ปสฺสติฯ อีทิสี ปเนสา ‘ธนุนา วิชฺชตี’ติอาทีสุ วิย สสมฺภารกถา นาม โหติฯ ตสฺมา จกฺขุวิญฺญาเณน รูปํ ทิสฺวา’’ติ อยเมเวตฺถ อโตฺถติฯ นิมิตฺตคฺคาหีติ อิตฺถิปุริสนิมิตฺตํ วา สุภนิมิตฺตาทิกํ วา กิเลสวตฺถุภูตํ นิมิตฺตํ ฉนฺทราควเสน คณฺหาติ, ทิฎฺฐมเตฺตเยว น สณฺฐาติฯ อนุพฺยญฺชนคฺคาหีติ กิเลสานํ อนุพฺยญฺชนโต ปากฎภาวกรณโต อนุพฺยญฺชนนฺติ ลทฺธโวหารํ หตฺถปาทสิตหสิตกถิตอาโลกิตวิโลกิตาทิเภทํ อาการํ คณฺหาติฯ ยตฺวาธิกรณเมนนฺติอาทิมฺหิ ยํการณา ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยาสํวรสฺส เหตุ, เอตํ ปุคฺคลํ สติกวาเฎน จกฺขุนฺทฺริยํ อสํวุตํ อปิหิตจกฺขุทฺวารํ หุตฺวา วิหรนฺตํ เอเต อภิชฺฌาทโย ธมฺมา อนฺวาสฺสเวยฺยุํ อนุพเนฺธยฺยุํ อโชฺฌตฺถเรยฺยุํฯ ตสฺส สํวราย น ปฎิปชฺชตีติ ตสฺส จกฺขุนฺทฺริยสฺส สติกวาเฎน ปิทหนตฺถาย น ปฎิปชฺชติฯ เอวํภูโตเยว จ น รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ, น จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชตีติ วุจฺจติฯ

    1352. Indriyesu aguttadvāratāniddese cakkhunā rūpaṃ disvāti kāraṇavasena cakkhūti laddhavohārena rūpadassanasamatthena cakkhuviññāṇena rūpaṃ disvā. Porāṇā panāhu – ‘‘cakkhu rūpaṃ na passati, acittakattā; cittaṃ na passati, acakkhukattā; dvārārammaṇasaṅghaṭṭanena pana pasādavatthukena cittena passati. Īdisī panesā ‘dhanunā vijjatī’tiādīsu viya sasambhārakathā nāma hoti. Tasmā cakkhuviññāṇena rūpaṃ disvā’’ti ayamevettha atthoti. Nimittaggāhīti itthipurisanimittaṃ vā subhanimittādikaṃ vā kilesavatthubhūtaṃ nimittaṃ chandarāgavasena gaṇhāti, diṭṭhamatteyeva na saṇṭhāti. Anubyañjanaggāhīti kilesānaṃ anubyañjanato pākaṭabhāvakaraṇato anubyañjananti laddhavohāraṃ hatthapādasitahasitakathitaālokitavilokitādibhedaṃ ākāraṃ gaṇhāti. Yatvādhikaraṇamenantiādimhi yaṃkāraṇā yassa cakkhundriyāsaṃvarassa hetu, etaṃ puggalaṃ satikavāṭena cakkhundriyaṃ asaṃvutaṃ apihitacakkhudvāraṃ hutvā viharantaṃ ete abhijjhādayo dhammā anvāssaveyyuṃ anubandheyyuṃ ajjhotthareyyuṃ. Tassa saṃvarāya na paṭipajjatīti tassa cakkhundriyassa satikavāṭena pidahanatthāya na paṭipajjati. Evaṃbhūtoyeva ca na rakkhati cakkhundriyaṃ, na cakkhundriye saṃvaraṃ āpajjatīti vuccati.

    ตตฺถ กิญฺจาปิ จกฺขุนฺทฺริเย สํวโร วา อสํวโร วา นตฺถิ, น หิ จกฺขุปสาทํ นิสฺสาย สติ วา มุฎฺฐสฺสจฺจํ วา อุปฺปชฺชติฯ อปิจ ยทา รูปารมฺมณํ จกฺขุสฺส อาปาถมาคจฺฉติ ตทา ภวเงฺค ทฺวิกฺขตฺตุํ อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุเทฺธ กิริยมโนธาตุ อาวชฺชนกิจฺจํ สาธยมานา อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌติฯ ตโต จกฺขุวิญฺญาณํ ทสฺสนกิจฺจํ, ตโต วิปากมโนธาตุ สมฺปฎิจฺฉนกิจฺจํ, ตโต วิปากาเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุ สนฺตีรณกิจฺจํ, ตโต กิริยาเหตุกมโนวิญฺญาณธาตุ โวฎฺฐพฺพนกิจฺจํ สาธยมานา อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌติฯ ตทนนฺตรํ ชวนํ ชวติฯ ตตฺราปิ เนว ภวงฺคสมเย น อาวชฺชนาทีนํ อญฺญตรสมเย สํวโร วา อสํวโร วา อตฺถิฯ ชวนกฺขเณ ปน ทุสฺสีลฺยํ วา มุฎฺฐสฺสจฺจํ วา อญฺญาณํ วา อกฺขนฺติ วา โกสชฺชํ วา อุปฺปชฺชติ, อสํวโร โหติฯ

    Tattha kiñcāpi cakkhundriye saṃvaro vā asaṃvaro vā natthi, na hi cakkhupasādaṃ nissāya sati vā muṭṭhassaccaṃ vā uppajjati. Apica yadā rūpārammaṇaṃ cakkhussa āpāthamāgacchati tadā bhavaṅge dvikkhattuṃ uppajjitvā niruddhe kiriyamanodhātu āvajjanakiccaṃ sādhayamānā uppajjitvā nirujjhati. Tato cakkhuviññāṇaṃ dassanakiccaṃ, tato vipākamanodhātu sampaṭicchanakiccaṃ, tato vipākāhetukamanoviññāṇadhātu santīraṇakiccaṃ, tato kiriyāhetukamanoviññāṇadhātu voṭṭhabbanakiccaṃ sādhayamānā uppajjitvā nirujjhati. Tadanantaraṃ javanaṃ javati. Tatrāpi neva bhavaṅgasamaye na āvajjanādīnaṃ aññatarasamaye saṃvaro vā asaṃvaro vā atthi. Javanakkhaṇe pana dussīlyaṃ vā muṭṭhassaccaṃ vā aññāṇaṃ vā akkhanti vā kosajjaṃ vā uppajjati, asaṃvaro hoti.

    เอวํ โหโนฺต ปน โส ‘จกฺขุนฺทฺริเย อสํวโร’ติ วุจฺจติฯ กสฺมา? ยสฺมา ตสฺมิํ อสํวเร สติ ทฺวารมฺปิ อคุตฺตํ โหติ, ภวงฺคมฺปิ, อาวชฺชนาทีนิปิ วีถิจิตฺตานิฯ ยถา กิํ? ยถา นคเร จตูสุ ทฺวาเรสุ อสํวุเตสุ กิญฺจาปิ อโนฺตฆรทฺวารโกฎฺฐกคพฺภาทโย สุสํวุตา, ตถาปิ อโนฺตนคเร สพฺพํ ภณฺฑํ อรกฺขิตํ อโคปิตเมว โหติฯ นครทฺวาเรน หิ ปวิสิตฺวา โจรา ยทิจฺฉกํ กเรยฺยุํฯ เอวเมว ชวเน ทุสฺสีลฺยาทีสุ อุปฺปเนฺนสุ ตสฺมิํ อสํวเร สติ ทฺวารมฺปิ อคุตฺตํ โหติ, ภวงฺคมฺปิ, อาวชฺชนาทีนิปิ วีถิจิตฺตานีติฯ

    Evaṃ honto pana so ‘cakkhundriye asaṃvaro’ti vuccati. Kasmā? Yasmā tasmiṃ asaṃvare sati dvārampi aguttaṃ hoti, bhavaṅgampi, āvajjanādīnipi vīthicittāni. Yathā kiṃ? Yathā nagare catūsu dvāresu asaṃvutesu kiñcāpi antogharadvārakoṭṭhakagabbhādayo susaṃvutā, tathāpi antonagare sabbaṃ bhaṇḍaṃ arakkhitaṃ agopitameva hoti. Nagaradvārena hi pavisitvā corā yadicchakaṃ kareyyuṃ. Evameva javane dussīlyādīsu uppannesu tasmiṃ asaṃvare sati dvārampi aguttaṃ hoti, bhavaṅgampi, āvajjanādīnipi vīthicittānīti.

    โสเตน สทฺทํ สุตฺวาติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ยา อิเมสนฺติ เอวํ สํวรํ อนาปชฺชนฺตสฺส อิเมสํ ฉนฺนํ อินฺทฺริยานํ ยา อคุตฺติ ยา อโคปนา โย อนารโกฺข โย อสํวโร, อถกนํ, อปิทหนนฺติ อโตฺถฯ

    Sotena saddaṃ sutvātiādīsupi eseva nayo. Yā imesanti evaṃ saṃvaraṃ anāpajjantassa imesaṃ channaṃ indriyānaṃ yā agutti yā agopanā yo anārakkho yo asaṃvaro, athakanaṃ, apidahananti attho.

    ๑๓๕๓. โภชเน อมตฺตญฺญุตานิเทฺทเส อิเธกโจฺจติ อิมสฺมิํ สตฺตโลเก เอกโจฺจฯ อปฺปฎิสงฺขาติ ปฎิสงฺขานปญฺญาย อชานิตฺวา อนุปธาเรตฺวาฯ อโยนิโสติ อนุปาเยนฯ อาหารนฺติ อสิตปีตาทิอโชฺฌหรณียํฯ อาหาเรตีติ ปริภุญฺชติ อโชฺฌหรติฯ ทวายาติอาทิ อนุปายทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ อนุปาเยน หิ อาหาเรโนฺต ทวตฺถาย มทตฺถาย มณฺฑนตฺถาย วิภูสนตฺถาย วา อาหาเรติ, โน อิทมตฺถิตํ ปฎิจฺจฯ ยา ตตฺถ อสนฺตุฎฺฐิตาติ ยา ตสฺมิํ อโยนิโส อาหารปริโภเค อสนฺตุสฺสนา อสนฺตุฎฺฐิภาโวฯ อมตฺตญฺญุตาติ อมตฺตญฺญุภาโว, ปมาณสงฺขาตาย มตฺตาย อชานนํฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ อปจฺจเวกฺขิตปริโภควเสน ปวตฺตา โภชเน อมตฺตญฺญุตา นาม วุจฺจติฯ

    1353. Bhojane amattaññutāniddese idhekaccoti imasmiṃ sattaloke ekacco. Appaṭisaṅkhāti paṭisaṅkhānapaññāya ajānitvā anupadhāretvā. Ayonisoti anupāyena. Āhāranti asitapītādiajjhoharaṇīyaṃ. Āhāretīti paribhuñjati ajjhoharati. Davāyātiādi anupāyadassanatthaṃ vuttaṃ. Anupāyena hi āhārento davatthāya madatthāya maṇḍanatthāya vibhūsanatthāya vā āhāreti, no idamatthitaṃ paṭicca. Yā tattha asantuṭṭhitāti yā tasmiṃ ayoniso āhāraparibhoge asantussanā asantuṭṭhibhāvo. Amattaññutāti amattaññubhāvo, pamāṇasaṅkhātāya mattāya ajānanaṃ. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ apaccavekkhitaparibhogavasena pavattā bhojane amattaññutā nāma vuccati.

    ๑๓๕๔. อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวารตานิเทฺทเส จกฺขุนาติอาทิ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ น นิมิตฺตคฺคาหี โหตีติ ฉนฺทราควเสน วุตฺตปฺปการํ นิมิตฺตํ น คณฺหาติฯ เอวํ เสสปทานิปิ วุตฺตปฎิปกฺขนเยเนว เวทิตพฺพานิฯ ยถา จ เหฎฺฐา ‘ชวเน ทุสฺสีลฺยาทีสุ อุปฺปเนฺนสุ ตสฺมิํ อสํวเร สติ, ทฺวารมฺปิ อคุตฺตํ โหติ, ภวงฺคมฺปิ, อาวชฺชนาทีนิปิ วีถิจิตฺตานี’ติ วุตฺตํ, เอวมิธ ตสฺมิํ สีลาทีสุ อุปฺปเนฺนสุ ทฺวารมฺปิ คุตฺตํ โหติ, ภวงฺคมฺปิ, อาวชฺชนาทีนิปิ วีถิจิตฺตานิฯ ยถา กิํ? ยถา นครทฺวาเรสุ สุสํวุเตสุ, กิญฺจาปิ อโนฺตฆราทโย อสํวุตา โหนฺติ, ตถาปิ อโนฺตนคเร สพฺพํ ภณฺฑํ สุรกฺขิตํ สุโคปิตเมว โหติ – นครทฺวาเรสุ ปิหิเตสุ โจรานํ ปเวโส นตฺถิ – เอวเมว ชวเน สีลาทีสุ อุปฺปเนฺนสุ ทฺวารมฺปิ คุตฺตํ โหติ, ภวงฺคมฺปิ, อาวชฺชนาทีนิปิ วีถิจิตฺตานิฯ ตสฺมา ชวนกฺขเณ อุปฺปชฺชมาโนปิ ‘จกฺขุนฺทฺริเย สํวโร’ติ วุโตฺตฯ โสเตน สทฺทํ สุตฺวาติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    1354. Indriyesu guttadvāratāniddese cakkhunātiādi vuttanayeneva veditabbaṃ. Na nimittaggāhī hotīti chandarāgavasena vuttappakāraṃ nimittaṃ na gaṇhāti. Evaṃ sesapadānipi vuttapaṭipakkhanayeneva veditabbāni. Yathā ca heṭṭhā ‘javane dussīlyādīsu uppannesu tasmiṃ asaṃvare sati, dvārampi aguttaṃ hoti, bhavaṅgampi, āvajjanādīnipi vīthicittānī’ti vuttaṃ, evamidha tasmiṃ sīlādīsu uppannesu dvārampi guttaṃ hoti, bhavaṅgampi, āvajjanādīnipi vīthicittāni. Yathā kiṃ? Yathā nagaradvāresu susaṃvutesu, kiñcāpi antogharādayo asaṃvutā honti, tathāpi antonagare sabbaṃ bhaṇḍaṃ surakkhitaṃ sugopitameva hoti – nagaradvāresu pihitesu corānaṃ paveso natthi – evameva javane sīlādīsu uppannesu dvārampi guttaṃ hoti, bhavaṅgampi, āvajjanādīnipi vīthicittāni. Tasmā javanakkhaṇe uppajjamānopi ‘cakkhundriye saṃvaro’ti vutto. Sotena saddaṃ sutvātiādīsupi eseva nayo.

    ๑๓๕๕. โภชเน มตฺตญฺญุตานิเทฺทเส ปฎิสงฺขา โยนิโส อาหารํ อาหาเรตีติ ปฎิสงฺขานปญฺญาย ชานิตฺวา อุปาเยน อาหารํ ปริภุญฺชติฯ อิทานิ ตํ อุปายํ ทเสฺสตุํ เนว ทวายาติอาทิ วุตฺตํฯ

    1355. Bhojane mattaññutāniddese paṭisaṅkhā yoniso āhāraṃ āhāretīti paṭisaṅkhānapaññāya jānitvā upāyena āhāraṃ paribhuñjati. Idāni taṃ upāyaṃ dassetuṃ neva davāyātiādi vuttaṃ.

    ตตฺถ ‘เนว ทวายา’ติ ทวตฺถาย น อาหาเรติฯ ตตฺถ นฎลงฺฆกาทโย ทวตฺถาย อาหาเรนฺติ นามฯ ยญฺหิ โภชนํ ภุตฺตสฺส นจฺจคีตกพฺยสิโลกสงฺขาโต ทโว อติเรกตเรน ปฎิภาติ, ตํ โภชนํ อธเมฺมน วิสเมน ปริเยสิตฺวา เต อาหาเรนฺติฯ อยํ ปน ภิกฺขุ เอวํ น อาหาเรติฯ

    Tattha ‘neva davāyā’ti davatthāya na āhāreti. Tattha naṭalaṅghakādayo davatthāya āhārenti nāma. Yañhi bhojanaṃ bhuttassa naccagītakabyasilokasaṅkhāto davo atirekatarena paṭibhāti, taṃ bhojanaṃ adhammena visamena pariyesitvā te āhārenti. Ayaṃ pana bhikkhu evaṃ na āhāreti.

    มทายาติ มานมทปุริสมทานํ วฑฺฒนตฺถาย น อาหาเรติฯ ตตฺถ ราชราชมหามตฺตา มทตฺถาย อาหาเรนฺติ นามฯ เต หิ อตฺตโน มานมทปุริสมทานํ วฑฺฒนตฺถาย ปิณฺฑรสโภชนาทีนิ ปณีตโภชนานิ ภุญฺชนฺติฯ อยํ ปน ภิกฺขุ เอวํ น อาหาเรติฯ

    Namadāyāti mānamadapurisamadānaṃ vaḍḍhanatthāya na āhāreti. Tattha rājarājamahāmattā madatthāya āhārenti nāma. Te hi attano mānamadapurisamadānaṃ vaḍḍhanatthāya piṇḍarasabhojanādīni paṇītabhojanāni bhuñjanti. Ayaṃ pana bhikkhu evaṃ na āhāreti.

    น มณฺฑนายาติ สรีรมณฺฑนตฺถาย น อาหาเรติฯ ตตฺถ รูปูปชีวินิโย มาตุคามา อเนฺตปุริกาทโย จ สปฺปิผาณิตํ นาม ปิวนฺติ, เต หิ สินิทฺธํ มุทุํ มนฺทํ โภชนํ อาหาเรนฺติ ‘เอวํ โน องฺคลฎฺฐิ สุสณฺฐิตา ภวิสฺสติ, สรีเร ฉวิวโณฺณ ปสโนฺน ภวิสฺสตี’ติฯ อยํ ปน ภิกฺขุ เอวํ น อาหาเรติฯ

    Na maṇḍanāyāti sarīramaṇḍanatthāya na āhāreti. Tattha rūpūpajīviniyo mātugāmā antepurikādayo ca sappiphāṇitaṃ nāma pivanti, te hi siniddhaṃ muduṃ mandaṃ bhojanaṃ āhārenti ‘evaṃ no aṅgalaṭṭhi susaṇṭhitā bhavissati, sarīre chavivaṇṇo pasanno bhavissatī’ti. Ayaṃ pana bhikkhu evaṃ na āhāreti.

    น วิภูสนายาติ สรีเร มํสวิภูสนตฺถาย น อาหาเรติฯ ตตฺถ นิพฺพุทฺธมลฺลมุฎฺฐิกมลฺลาทโย สุสินิเทฺธหิ มจฺฉมํสาทีหิ สรีรมํสํ ปีเณนฺติ ‘เอวํ โน มํสํ อุสฺสทํ ภวิสฺสติ ปหารสหนตฺถายา’ติฯ อยํ ปน ภิกฺขุ เอวํ สรีเร มํสวิภูสนตฺถาย น อาหาเรติฯ

    Na vibhūsanāyāti sarīre maṃsavibhūsanatthāya na āhāreti. Tattha nibbuddhamallamuṭṭhikamallādayo susiniddhehi macchamaṃsādīhi sarīramaṃsaṃ pīṇenti ‘evaṃ no maṃsaṃ ussadaṃ bhavissati pahārasahanatthāyā’ti. Ayaṃ pana bhikkhu evaṃ sarīre maṃsavibhūsanatthāya na āhāreti.

    ยาวเทวาติ อาหาราหรเณ ปโยชนสฺส ปริเจฺฉทนิยมทสฺสนํฯ อิมสฺส กายสฺส ฐิติยาติ อิมสฺส จตุมหาภูติกกรชกายสฺส ฐปนตฺถาย อาหาเรติฯ อิทมสฺส อาหาราหรเณ ปโยชนนฺติ อโตฺถฯ ยาปนายาติ ชีวิตินฺทฺริยยาปนตฺถาย อาหาเรติฯ วิหิํสูปรติยาติ วิหิํสา นาม อภุตฺตปจฺจยา อุปฺปชฺชนกา ขุทฺทาฯ ตสฺสา อุปรติยา วูปสมนตฺถาย อาหาเรติฯ พฺรหฺมจริยานุคฺคหายาติ พฺรหฺมจริยํ นาม ติโสฺส สิกฺขา, สกลํ สาสนํ, ตสฺส อนุคฺคณฺหนตฺถาย อาหาเรติฯ

    Yāvadevāti āhārāharaṇe payojanassa paricchedaniyamadassanaṃ. Imassa kāyassa ṭhitiyāti imassa catumahābhūtikakarajakāyassa ṭhapanatthāya āhāreti. Idamassa āhārāharaṇe payojananti attho. Yāpanāyāti jīvitindriyayāpanatthāya āhāreti. Vihiṃsūparatiyāti vihiṃsā nāma abhuttapaccayā uppajjanakā khuddā. Tassā uparatiyā vūpasamanatthāya āhāreti. Brahmacariyānuggahāyāti brahmacariyaṃ nāma tisso sikkhā, sakalaṃ sāsanaṃ, tassa anuggaṇhanatthāya āhāreti.

    อิตีติ อุปายนิทสฺสนํ; อิมินา อุปาเยนาติ อโตฺถฯ ปุราณญฺจ เวทนํ ปฎิหงฺขามีติ ปุราณเวทนา นาม อภุตฺตปฺปจฺจยา อุปฺปชฺชนกเวทนาฯ ตํ ปฎิหนิสฺสามีติ อาหาเรติฯ นวญฺจ เวทนํ น อุปฺปาเทสฺสามีติ นวเวทนา นาม อติภุตฺตปฺปจฺจเยน อุปฺปชฺชนกเวทนาฯ ตํ น อุปฺปาเทสฺสามีติ อาหาเรติฯ อถ วา, ‘นวเวทนา’ นาม ภุตฺตปฺปจฺจยา นอุปฺปชฺชนกเวทนาฯ ตสฺสา อนุปฺปนฺนาย อนุปฺปชฺชนตฺถเมว อาหาเรติฯ ยาตฺรา จ เม ภวิสฺสตีติ ยาปนา จ เม ภวิสฺสติฯ อนวชฺชตา จาติ เอตฺถ อตฺถิ สาวชฺชํ อตฺถิ อนวชฺชํฯ ตตฺถ อธมฺมิกปริเยสนา อธมฺมิกปฎิคฺคหณํ อธเมฺมน ปริโภโคติ อิทํ ‘สาวชฺชํ’ นามฯ ธเมฺมน ปริเยสิตฺวา ธเมฺมน ปฎิคฺคเหตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปริภุญฺชนํ ‘อนวชฺชํ’ นามฯ เอกโจฺจ อนวเชฺชเยว สาวชฺชํ กโรติ, ‘ลทฺธํ เม’ติ กตฺวา ปมาณาติกฺกนฺตํ ภุญฺชติฯ ตํ ชีราเปตุํ อสโกฺกโนฺต อุทฺธํวิเรจนอโธวิเรจนาทีหิ กิลมติฯ สกลวิหาเร ภิกฺขู ตสฺส สรีรปฎิชคฺคนเภสชฺชปริเยสนาทีสุ อุสฺสุกฺกํ อาปชฺชนฺติฯ ‘กิํ อิท’นฺติ วุเตฺต ‘อสุกสฺส นาม อุทรํ อุทฺธุมาต’นฺติอาทีนิ วทนฺติฯ ‘เอส นิจฺจกาลมฺปิ เอวํปกติโกเยว, อตฺตโน กุจฺฉิปมาณํ นาม น ชานาตี’ติ นินฺทนฺติ ครหนฺติฯ อยํ อนวเชฺชเยว สาวชฺชํ กโรติ นามฯ เอวํ อกตฺวา ‘อนวชฺชตา จ ภวิสฺสตี’ติ อาหาเรติฯ

    Itīti upāyanidassanaṃ; iminā upāyenāti attho. Purāṇañca vedanaṃ paṭihaṅkhāmīti purāṇavedanā nāma abhuttappaccayā uppajjanakavedanā. Taṃ paṭihanissāmīti āhāreti. Navañca vedanaṃ na uppādessāmīti navavedanā nāma atibhuttappaccayena uppajjanakavedanā. Taṃ na uppādessāmīti āhāreti. Atha vā, ‘navavedanā’ nāma bhuttappaccayā nauppajjanakavedanā. Tassā anuppannāya anuppajjanatthameva āhāreti. Yātrā ca me bhavissatīti yāpanā ca me bhavissati. Anavajjatā cāti ettha atthi sāvajjaṃ atthi anavajjaṃ. Tattha adhammikapariyesanā adhammikapaṭiggahaṇaṃ adhammena paribhogoti idaṃ ‘sāvajjaṃ’ nāma. Dhammena pariyesitvā dhammena paṭiggahetvā paccavekkhitvā paribhuñjanaṃ ‘anavajjaṃ’ nāma. Ekacco anavajjeyeva sāvajjaṃ karoti, ‘laddhaṃ me’ti katvā pamāṇātikkantaṃ bhuñjati. Taṃ jīrāpetuṃ asakkonto uddhaṃvirecanaadhovirecanādīhi kilamati. Sakalavihāre bhikkhū tassa sarīrapaṭijagganabhesajjapariyesanādīsu ussukkaṃ āpajjanti. ‘Kiṃ ida’nti vutte ‘asukassa nāma udaraṃ uddhumāta’ntiādīni vadanti. ‘Esa niccakālampi evaṃpakatikoyeva, attano kucchipamāṇaṃ nāma na jānātī’ti nindanti garahanti. Ayaṃ anavajjeyeva sāvajjaṃ karoti nāma. Evaṃ akatvā ‘anavajjatā ca bhavissatī’ti āhāreti.

    ผาสุวิหาโร จาติ เอตฺถาปิ อตฺถิ ผาสุวิหาโร อตฺถิ น ผาสุวิหาโรฯ ตตฺถ ‘อาหรหตฺถโก อลํสาฎโก ตตฺถวฎฺฎโก กากมาสโก ภุตฺตวมิตโก’ติ อิเมสํ ปญฺจนฺนํ พฺราหฺมณานํ โภชนํ น ผาสุวิหาโร นามฯ เอเตสุ หิ ‘อาหรหตฺถโก’ นาม พหุํ ภุญฺชิตฺวา อตฺตโน ธมฺมตาย อุฎฺฐาตุํ อสโกฺกโนฺต ‘อาหร หตฺถ’นฺติ วทติฯ ‘อลํสาฎโก’ นาม อจฺจุทฺธุมาตกุจฺฉิตาย อุฎฺฐิโตปิ สาฎกํ นิวาเสตุํ น สโกฺกติฯ ‘ตตฺถวฎฺฎโก’ นาม อุฎฺฐาตุํ อสโกฺกโนฺต ตเตฺถว ปริวฎฺฎติฯ ‘กากมาสโก’ นาม ยถา กาเกหิ อามสิตุํ สกฺกา โหติ, เอวํ ยาว มุขทฺวารา อาหาเรติฯ ‘ภุตฺตวมิตโก’ นาม มุเขน สนฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺต ตเตฺถว วมติฯ เอวํ อกตฺวา ‘ผาสุวิหาโร จ เม ภวิสฺสตี’ติ อาหาเรติฯ ผาสุวิหาโร นาม จตูหิ ปญฺจหิ อาโลเปหิ อูนูทรตาฯ เอตฺตกญฺหิ ภุญฺชิตฺวา ปานียํ ปิวโต จตฺตาโร อิริยาปถา สุเขน ปวตฺตนฺติฯ ตสฺมา ธมฺมเสนาปติ เอวมาห –

    Phāsuvihāro cāti etthāpi atthi phāsuvihāro atthi na phāsuvihāro. Tattha ‘āharahatthako alaṃsāṭako tatthavaṭṭako kākamāsako bhuttavamitako’ti imesaṃ pañcannaṃ brāhmaṇānaṃ bhojanaṃ na phāsuvihāro nāma. Etesu hi ‘āharahatthako’ nāma bahuṃ bhuñjitvā attano dhammatāya uṭṭhātuṃ asakkonto ‘āhara hattha’nti vadati. ‘Alaṃsāṭako’ nāma accuddhumātakucchitāya uṭṭhitopi sāṭakaṃ nivāsetuṃ na sakkoti. ‘Tatthavaṭṭako’ nāma uṭṭhātuṃ asakkonto tattheva parivaṭṭati. ‘Kākamāsako’ nāma yathā kākehi āmasituṃ sakkā hoti, evaṃ yāva mukhadvārā āhāreti. ‘Bhuttavamitako’ nāma mukhena sandhāretuṃ asakkonto tattheva vamati. Evaṃ akatvā ‘phāsuvihāro ca me bhavissatī’ti āhāreti. Phāsuvihāro nāma catūhi pañcahi ālopehi ūnūdaratā. Ettakañhi bhuñjitvā pānīyaṃ pivato cattāro iriyāpathā sukhena pavattanti. Tasmā dhammasenāpati evamāha –

    ‘‘จตฺตาโร ปญฺจ อาโลเป, อภุตฺวา อุทกํ ปิเว;

    ‘‘Cattāro pañca ālope, abhutvā udakaṃ pive;

    อลํ ผาสุวิหาราย, ปหิตตฺตสฺส ภิกฺขุโน’’ติฯ (เถรคา. ๙๘๓);

    Alaṃ phāsuvihārāya, pahitattassa bhikkhuno’’ti. (theragā. 983);

    อิมสฺมิํ ปน ฐาเน องฺคานิ สโมธาเนตพฺพานิฯ ‘เนว ทวายา’ติหิ เอกํ องฺคํ, ‘น มทายา’ติ เอกํ, ‘น มณฺฑนายา’ติ เอกํ, ‘น วิภูสนายา’ติ เอกํ, ‘ยาวเทว อิมสฺส กายสฺส ฐิติยา ยาปนายา’ติ เอกํ, ‘วิหิํสูปรติยา พฺรหฺมจริยานุคฺคหายา’ติ เอกํ, ‘อิติ ปุราณญฺจ เวทนํ ปฎิหงฺขามิ นวญฺจ เวทนํ น อุปฺปาเทสฺสามี’ติ เอกํ, ‘ยาตฺรา จ เม ภวิสฺสตี’ติ เอกํ องฺคํฯ อนวชฺชตา จ ผาสุวิหาโร จาติ อยเมตฺถ โภชนานิสํโสฯ มหาสีวเตฺถโร ปนาห – เหฎฺฐา จตฺตาริ องฺคานิ ปฎิเกฺขโป นามฯ อุปริ ปน อฎฺฐงฺคานิ สโมธาเนตพฺพานีติ – ตตฺถ ‘ยาวเทว อิมสฺส กายสฺส ฐิติยา’ติ เอกํ องฺคํ, ‘ยาปนายา’ติ เอกํ, ‘วิหิํสูปรติยาติ’ เอกํ, ‘พฺรหฺมจริยานุคฺคหายา’ติ เอกํ, ‘อิติ ปุราณญฺจ เวทนํ ปฎิหงฺขามี’ติ เอกํ, ‘นวญฺจ เวทนํ น อุปฺปาเทสฺสามี’ติ เอกํ, ‘ยาตฺรา จ เม ภวิสฺสตี’ติ เอกํ, ‘อนวชฺชตา’ จาติ เอกํฯ ผาสุวิหาโร ปน โภชนานิสํโสติฯ เอวํ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อาหารํ อาหาเรโนฺต โภชเน มตฺตญฺญู นาม โหติฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ ปริเยสนปฎิคฺคหณปริโภเคสุ ยุตฺตปฺปมาณชานนวเสน ปวโตฺต ปจฺจเวกฺขิตปริโภโค โภชเน มตฺตญฺญุตา นาม วุจฺจติฯ

    Imasmiṃ pana ṭhāne aṅgāni samodhānetabbāni. ‘Neva davāyā’tihi ekaṃ aṅgaṃ, ‘na madāyā’ti ekaṃ, ‘na maṇḍanāyā’ti ekaṃ, ‘na vibhūsanāyā’ti ekaṃ, ‘yāvadeva imassa kāyassa ṭhitiyā yāpanāyā’ti ekaṃ, ‘vihiṃsūparatiyā brahmacariyānuggahāyā’ti ekaṃ, ‘iti purāṇañca vedanaṃ paṭihaṅkhāmi navañca vedanaṃ na uppādessāmī’ti ekaṃ, ‘yātrā ca me bhavissatī’ti ekaṃ aṅgaṃ. Anavajjatā ca phāsuvihāro cāti ayamettha bhojanānisaṃso. Mahāsīvatthero panāha – heṭṭhā cattāri aṅgāni paṭikkhepo nāma. Upari pana aṭṭhaṅgāni samodhānetabbānīti – tattha ‘yāvadeva imassa kāyassa ṭhitiyā’ti ekaṃ aṅgaṃ, ‘yāpanāyā’ti ekaṃ, ‘vihiṃsūparatiyāti’ ekaṃ, ‘brahmacariyānuggahāyā’ti ekaṃ, ‘iti purāṇañca vedanaṃ paṭihaṅkhāmī’ti ekaṃ, ‘navañca vedanaṃ na uppādessāmī’ti ekaṃ, ‘yātrā ca me bhavissatī’ti ekaṃ, ‘anavajjatā’ cāti ekaṃ. Phāsuvihāro pana bhojanānisaṃsoti. Evaṃ aṭṭhaṅgasamannāgataṃ āhāraṃ āhārento bhojane mattaññū nāma hoti. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ pariyesanapaṭiggahaṇaparibhogesu yuttappamāṇajānanavasena pavatto paccavekkhitaparibhogo bhojane mattaññutā nāma vuccati.

    ๑๓๕๖. มุฎฺฐสฺสจฺจนิเทฺทเส อสตีติ สติวิรหิตา จตฺตาโร ขนฺธาฯ อนนุสฺสติ อปฺปฎิสฺสตีติ อุปสคฺควเสน ปทํ วฑฺฒิตํฯ อสรณตาติ อสรณากาโรฯ อธารณตาติ ธาเรตุํ อสมตฺถตาฯ ตาย หิ สมนฺนาคโต ปุคฺคโล อาธานปฺปโตฺต นิธานกฺขโม น โหติฯ อุทเก อลาพุกฎาหํ วิย อารมฺมเณ ปิลวตีติ ปิลาปนตาฯ สํมุสนตาติ นฎฺฐมุฎฺฐสฺสติตาฯ ตาย หิ สมนฺนาคโต ปุคฺคโล นิกฺขิตฺตภโตฺต วิย กาโก, นิกฺขิตฺตมํโส วิย จ สิงฺคาโล โหติฯ

    1356. Muṭṭhassaccaniddese asatīti sativirahitā cattāro khandhā. Ananussati appaṭissatīti upasaggavasena padaṃ vaḍḍhitaṃ. Asaraṇatāti asaraṇākāro. Adhāraṇatāti dhāretuṃ asamatthatā. Tāya hi samannāgato puggalo ādhānappatto nidhānakkhamo na hoti. Udake alābukaṭāhaṃ viya ārammaṇe pilavatīti pilāpanatā. Saṃmusanatāti naṭṭhamuṭṭhassatitā. Tāya hi samannāgato puggalo nikkhittabhatto viya kāko, nikkhittamaṃso viya ca siṅgālo hoti.

    ๑๓๖๑. ภาวนาพลนิเทฺทเส กุสลานํ ธมฺมานนฺติ โพธิปกฺขิยธมฺมานํ อาเสวนาติ อาทิเสวนาฯ ภาวนาติ วฑฺฒนาฯ พหุลีกมฺมนฺติ ปุนปฺปุนํ กรณํฯ

    1361. Bhāvanābalaniddese kusalānaṃ dhammānanti bodhipakkhiyadhammānaṃ āsevanāti ādisevanā. Bhāvanāti vaḍḍhanā. Bahulīkammanti punappunaṃ karaṇaṃ.

    ๑๓๖๘. สีลวิปตฺตินิเทฺทโส สีลสมฺปทานิเทฺทสปฎิปกฺขโต เวทิตโพฺพฯ ทิฎฺฐิวิปตฺตินิเทฺทโส จ ทิฎฺฐิสมฺปทานิเทฺทสปฎิปกฺขโต ทิฎฺฐิสมฺปทานิเทฺทโส จ ทิฎฺฐุปาทานนิเทฺทสปฎิปกฺขโตฯ สีลวิสุทฺธินิเทฺทโส กิญฺจาปิ สีลสมฺปทานิเทฺทเสน สมาโน, ตตฺถ ปน วิสุทฺธิสมฺปาปกํ ปาติโมกฺขสํวรสีลํ กถิตํ, อิธ วิสุทฺธิปฺปตฺตํ สีลํฯ สติ จ สมฺปชญฺญญฺจ, ปฎิสงฺขานพลญฺจ ภาวนาพลญฺจ, สมโถ จ วิปสฺสนา จ, สมถนิมิตฺตญฺจ ปคฺคหนิมิตฺตญฺจ, ปคฺคาโห จ อวิเกฺขโป จ, สีลสมฺปทา จ ทิฎฺฐิสมฺปทา จาติ อิเมหิ ปน ฉหิ ทุเกหิ จตุภูมกาปิ โลกิยโลกุตฺตรธมฺมาว กถิตาฯ

    1368. Sīlavipattiniddeso sīlasampadāniddesapaṭipakkhato veditabbo. Diṭṭhivipattiniddeso ca diṭṭhisampadāniddesapaṭipakkhato diṭṭhisampadāniddeso ca diṭṭhupādānaniddesapaṭipakkhato. Sīlavisuddhiniddeso kiñcāpi sīlasampadāniddesena samāno, tattha pana visuddhisampāpakaṃ pātimokkhasaṃvarasīlaṃ kathitaṃ, idha visuddhippattaṃ sīlaṃ. Sati ca sampajaññañca, paṭisaṅkhānabalañca bhāvanābalañca, samatho ca vipassanā ca, samathanimittañca paggahanimittañca, paggāho ca avikkhepo ca, sīlasampadā ca diṭṭhisampadā cāti imehi pana chahi dukehi catubhūmakāpi lokiyalokuttaradhammāva kathitā.

    ๑๓๗๓. ทิฎฺฐิวิสุทฺธินิเทฺทเส กมฺมสฺสกตญฺญาณนฺติ ‘อิทํ กมฺมํ สกํ, อิทํ โน สก’นฺติ ชานนปญฺญาฯ ตตฺถ อตฺตนา วา กตํ โหตุ ปเรน วา สพฺพมฺปิ อกุสลกมฺมํ โน สกํฯ กสฺมา? อตฺถภญฺชนโต อนตฺถชนนโต จฯ กุสลกมฺมํ ปน อนตฺถภญฺชนโต อตฺถชนนโต จ ‘สกํ’ นามฯ ตตฺถ ยถา นาม สธโน สโภโค ปุริโส อทฺธานมคฺคํ ปฎิปชฺชิตฺวา อนฺตรามเคฺค คามนิคมาทีสุ นกฺขเตฺต สงฺฆุเฎฺฐ ‘อหํ อาคนฺตุโก, กํ นุ โข นิสฺสาย นกฺขตฺตํ กีเฬยฺย’นฺติ อจิเนฺตตฺวา ยถา ยถา อิจฺฉติ เตน เตน นีหาเรน นกฺขตฺตํ กีฬโนฺต สุเขน กนฺตารํ อติกฺกมติ, เอวเมว อิมสฺมิํ กมฺมสฺสกตญฺญาเณ ฐตฺวา อิเม สตฺตา พหุํ วฎฺฎคามิกมฺมํ อายูหิตฺวา สุเขน สุขํ อนุภวนฺตา อรหตฺตํ ปตฺตา คณนปถํ วีติวตฺตาฯ สจฺจานุโลมิกญาณนฺติ จตุนฺนํ สจฺจานํ อนุโลมํ วิปสฺสนาญาณํฯ มคฺคสมงฺคิสฺส ญาณํ ผลสมงฺคิสฺส ญาณนฺติ มคฺคญาณผลญาณานิเยวฯ

    1373. Diṭṭhivisuddhiniddese kammassakataññāṇanti ‘idaṃ kammaṃ sakaṃ, idaṃ no saka’nti jānanapaññā. Tattha attanā vā kataṃ hotu parena vā sabbampi akusalakammaṃ no sakaṃ. Kasmā? Atthabhañjanato anatthajananato ca. Kusalakammaṃ pana anatthabhañjanato atthajananato ca ‘sakaṃ’ nāma. Tattha yathā nāma sadhano sabhogo puriso addhānamaggaṃ paṭipajjitvā antarāmagge gāmanigamādīsu nakkhatte saṅghuṭṭhe ‘ahaṃ āgantuko, kaṃ nu kho nissāya nakkhattaṃ kīḷeyya’nti acintetvā yathā yathā icchati tena tena nīhārena nakkhattaṃ kīḷanto sukhena kantāraṃ atikkamati, evameva imasmiṃ kammassakataññāṇe ṭhatvā ime sattā bahuṃ vaṭṭagāmikammaṃ āyūhitvā sukhena sukhaṃ anubhavantā arahattaṃ pattā gaṇanapathaṃ vītivattā. Saccānulomikañāṇanti catunnaṃ saccānaṃ anulomaṃ vipassanāñāṇaṃ. Maggasamaṅgissa ñāṇaṃ phalasamaṅgissa ñāṇanti maggañāṇaphalañāṇāniyeva.

    ๑๓๗๔. ‘ทิฎฺฐิวิสุทฺธิ โข ปนา’ติปทสฺส นิเทฺทเส ยา ปญฺญา ปชานนาติอาทีหิ ปเทหิ เหฎฺฐา วุตฺตานิ กมฺมสฺสกตญฺญาณาทีเนว จตฺตาริ ญาณานิ วิภตฺตานิฯ

    1374. ‘Diṭṭhivisuddhi kho panā’tipadassa niddese yā paññā pajānanātiādīhi padehi heṭṭhā vuttāni kammassakataññāṇādīneva cattāri ñāṇāni vibhattāni.

    ๑๓๗๕. ‘ยถาทิฎฺฐิสฺส จ ปธาน’นฺติ ปทสฺส นิเทฺทเส โย เจตสิโก วีริยารโมฺภติอาทีหิ ปเทหิ นิทฺทิฎฺฐํ วีริยํ ปญฺญาคติกเมว; ปญฺญาย หิ โลกิยฎฺฐาเน โลกิยํ โลกุตฺตรฎฺฐาเน โลกุตฺตรนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    1375. ‘Yathādiṭṭhissaca padhāna’nti padassa niddese yo cetasiko vīriyārambhotiādīhi padehi niddiṭṭhaṃ vīriyaṃ paññāgatikameva; paññāya hi lokiyaṭṭhāne lokiyaṃ lokuttaraṭṭhāne lokuttaranti veditabbaṃ.

    ๑๓๗๖. สํเวคทุกนิเทฺทเส ชาติภยนฺติ ชาติํ ภยโต ทิสฺวา ฐิตญาณํฯ ชรามรณภยาทีสุปิ เอเสว นโยฯ

    1376. Saṃvegadukaniddese jātibhayanti jātiṃ bhayato disvā ṭhitañāṇaṃ. Jarāmaraṇabhayādīsupi eseva nayo.

    ๑๓๗๗. อนุปฺปนฺนานํ ปาปกานนฺติอาทีหิ ชาติอาทีนิ ภยโต ทิสฺวา ชาติชราพฺยาธิมรเณหิ มุจฺจิตุกามสฺส อุปายปธานํ กถิตํฯ ปทภาชนียสฺส ปนโตฺถ วิภงฺคฎฺฐกถายํ (วิภ. อฎฺฐ. ๓๖๗ โพชฺฌงฺคปพฺพวณฺณนา) อาวิ ภวิสฺสติฯ

    1377. Anuppannānaṃ pāpakānantiādīhi jātiādīni bhayato disvā jātijarābyādhimaraṇehi muccitukāmassa upāyapadhānaṃ kathitaṃ. Padabhājanīyassa panattho vibhaṅgaṭṭhakathāyaṃ (vibha. aṭṭha. 367 bojjhaṅgapabbavaṇṇanā) āvi bhavissati.

    ๑๓๗๘. ‘อสนฺตุฎฺฐิตา จ กุสเลสุ ธเมฺมสู’ติ ปทนิเทฺทเส ภิโยฺยกมฺยตาติ วิเสสกามตาฯ อิเธกโจฺจ หิ อาทิโตว ปกฺขิกภตฺตํ วา สลากภตฺตํ วา อุโปสถิกํ วา ปาฎิปทิกํ วา เทติ, โส เตน อสนฺตุโฎฺฐ หุตฺวา ปุน ธุรภตฺตํ สงฺฆภตฺตํ วสฺสาวาสิกํ เทติ, อาวาสํ กาเรติ, จตฺตาโรปิ ปจฺจเย เทติฯ ตตฺราปิ อสนฺตุโฎฺฐ หุตฺวา สรณานิ คณฺหาติ, ปญฺจ สีลานิ สมาทิยติฯ ตตฺราปิ อสนฺตุโฎฺฐ หุตฺวา ปพฺพชติฯ ปพฺพชิตฺวา เอกํ นิกายํ เทฺว นิกาเยติ เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ คณฺหาติ, อฎฺฐ สมาปตฺติโย ภาเวติ, วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ คณฺหาติ ฯ อรหตฺตปฺปตฺติโต ปฎฺฐาย มหาสนฺตุโฎฺฐ นาม โหติฯ เอวํ ยาว อรหตฺตา วิเสสกามตา ‘ภิโยฺยกมฺยตา’ นามฯ

    1378. ‘Asantuṭṭhitā ca kusalesu dhammesū’ti padaniddese bhiyyokamyatāti visesakāmatā. Idhekacco hi āditova pakkhikabhattaṃ vā salākabhattaṃ vā uposathikaṃ vā pāṭipadikaṃ vā deti, so tena asantuṭṭho hutvā puna dhurabhattaṃ saṅghabhattaṃ vassāvāsikaṃ deti, āvāsaṃ kāreti, cattāropi paccaye deti. Tatrāpi asantuṭṭho hutvā saraṇāni gaṇhāti, pañca sīlāni samādiyati. Tatrāpi asantuṭṭho hutvā pabbajati. Pabbajitvā ekaṃ nikāyaṃ dve nikāyeti tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ gaṇhāti, aṭṭha samāpattiyo bhāveti, vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ gaṇhāti . Arahattappattito paṭṭhāya mahāsantuṭṭho nāma hoti. Evaṃ yāva arahattā visesakāmatā ‘bhiyyokamyatā’ nāma.

    ๑๓๗๙. ‘อปฺปฎิวานิตา จ ปธานสฺมิ’นฺติ ปทสฺส นิเทฺทเส ยสฺมา ปนฺตเสนาสเนสุ อธิกุสลานํ ธมฺมานํ ภาวนาย อุกฺกณฺฐมาโน ปธานํ ปฎิวาเสติ นาม , อนุกฺกณฺฐมาโน โน ปฎิวาเสติ นาม, ตสฺมา ตํ นยํ ทเสฺสตุํ ยา กุสลานํ ธมฺมานนฺติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สกฺกจฺจกิริยตาติ กุสลานํ กรเณ สกฺกจฺจการิตาฯ สาตจฺจกิริยตาติ สตตเมว กรณํฯ อฎฺฐิตกิริยตาติ ขณฺฑํ อกตฺวา อฎฺฐเปตฺวา กรณํฯ อโนลีนวุตฺติตาติ อลีนชีวิตา, อลีนปวตฺติตา วาฯ อนิกฺขิตฺตฉนฺทตาติ กุสลจฺฉนฺทสฺส อนิกฺขิปนํฯ อนิกฺขิตฺตธุรตาติ กุสลกรเณ วีริยธุรสฺส อนิกฺขิปนํฯ

    1379. ‘Appaṭivānitā ca padhānasmi’nti padassa niddese yasmā pantasenāsanesu adhikusalānaṃ dhammānaṃ bhāvanāya ukkaṇṭhamāno padhānaṃ paṭivāseti nāma , anukkaṇṭhamāno no paṭivāseti nāma, tasmā taṃ nayaṃ dassetuṃ yā kusalānaṃ dhammānantiādi vuttaṃ. Tattha sakkaccakiriyatāti kusalānaṃ karaṇe sakkaccakāritā. Sātaccakiriyatāti satatameva karaṇaṃ. Aṭṭhitakiriyatāti khaṇḍaṃ akatvā aṭṭhapetvā karaṇaṃ. Anolīnavuttitāti alīnajīvitā, alīnapavattitā vā. Anikkhittachandatāti kusalacchandassa anikkhipanaṃ. Anikkhittadhuratāti kusalakaraṇe vīriyadhurassa anikkhipanaṃ.

    ๑๓๘๐. ‘ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณํ วิชฺชา’ติ เอตฺถ ปุเพฺพนิวาโสติ ปุเพฺพ นิวุตฺถกฺขนฺธา จ ขนฺธปฎิพทฺธญฺจฯ ปุเพฺพนิวาสสฺส อนุสฺสติ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติฯ ตาย สมฺปยุตฺตํ ญาณํ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณํฯ ตยิทํ ปุเพฺพ นิวุตฺถกฺขนฺธปฎิจฺฉาทกํ ตมํ วิชฺฌตีติ วิชฺชาฯ ตํ ตมํ วิชฺฌิตฺวา เต ขเนฺธ วิทิเต ปากเฎ กโรตีติ วิทิตกรณเฎฺฐนาปิ วิชฺชา

    1380. ‘Pubbenivāsānussatiñāṇaṃvijjā’ti ettha pubbenivāsoti pubbe nivutthakkhandhā ca khandhapaṭibaddhañca. Pubbenivāsassa anussati pubbenivāsānussati. Tāya sampayuttaṃ ñāṇaṃ pubbenivāsānussatiñāṇaṃ. Tayidaṃ pubbe nivutthakkhandhapaṭicchādakaṃ tamaṃ vijjhatīti vijjā. Taṃ tamaṃ vijjhitvā te khandhe vidite pākaṭe karotīti viditakaraṇaṭṭhenāpi vijjā.

    จุตูปปาเต ญาณนฺติ จุติยญฺจ อุปปาเต จ ญาณํฯ อิทมฺปิ สตฺตานํ จุติปฎิสนฺธิจฺฉาทกํ ตมํ วิชฺฌตีติ วิชฺชาฯ ตํ ตมํ วิชฺฌิตฺวา สตฺตานํ จุติปฎิสนฺธิโย วิทิตา ปากฎา กโรตีติ วิทิตกรณเฎฺฐนาปิ วิชฺชาฯ อาสวานํ ขเย ญาณนฺติ สพฺพกิเลสานํ ขยสมเย ญาณํฯ ตยิทํ จตุสจฺจจฺฉาทกตมํ วิชฺฌตีติ วิชฺชาฯ ตํ ตมํ วิชฺฌิตฺวา จตฺตาริ สจฺจานิ วิทิตานิ ปากฎานิ กโรตีติ วิทิตกรณเฎฺฐนาปิ วิชฺชา

    Cutūpapāte ñāṇanti cutiyañca upapāte ca ñāṇaṃ. Idampi sattānaṃ cutipaṭisandhicchādakaṃ tamaṃ vijjhatīti vijjā. Taṃ tamaṃ vijjhitvā sattānaṃ cutipaṭisandhiyo viditā pākaṭā karotīti viditakaraṇaṭṭhenāpi vijjā. Āsavānaṃ khaye ñāṇanti sabbakilesānaṃ khayasamaye ñāṇaṃ. Tayidaṃ catusaccacchādakatamaṃ vijjhatīti vijjā. Taṃ tamaṃ vijjhitvā cattāri saccāni viditāni pākaṭāni karotīti viditakaraṇaṭṭhenāpi vijjā.

    ๑๓๘๑. ‘จิตฺตสฺส จ อธิมุตฺติ นิพฺพานญฺจา’ติ เอตฺถ อารมฺมเณ อธิมุจฺจนเฎฺฐน, ปจฺจนีกธเมฺมหิ จ สุฎฺฐุมุตฺตเฎฺฐน อฎฺฐ สมาปตฺติโย จิตฺตสฺส อธิมุตฺติ นามฯ อิตรํ ปน ‘นตฺถิ เอตฺถ ตณฺหาสงฺขาตํ วานํ’, ‘นิคฺคตํ วา ตสฺมา วานา’ติ นิพฺพานํฯ ตตฺถ อฎฺฐ สมาปตฺติโย สยํ วิกฺขมฺภิตกิเลเสหิ วิมุตฺตตฺตา วิมุตฺตีติ วุตฺตา, นิพฺพานํ ปน สพฺพกิเลเสหิ อจฺจนฺตํ วิมุตฺตตฺตา วิมุตฺตีติฯ

    1381. ‘Cittassaca adhimutti nibbānañcā’ti ettha ārammaṇe adhimuccanaṭṭhena, paccanīkadhammehi ca suṭṭhumuttaṭṭhena aṭṭha samāpattiyo cittassa adhimutti nāma. Itaraṃ pana ‘natthi ettha taṇhāsaṅkhātaṃ vānaṃ’, ‘niggataṃ vā tasmā vānā’ti nibbānaṃ. Tattha aṭṭha samāpattiyo sayaṃ vikkhambhitakilesehi vimuttattā vimuttīti vuttā, nibbānaṃ pana sabbakilesehi accantaṃ vimuttattā vimuttīti.

    ๑๓๘๒. มคฺคสมงฺคิสฺส ญาณนฺติ จตฺตาริ มคฺคญาณานิฯ ผลสมงฺคิสฺส ญาณนฺติ จตฺตาริ ผลญาณานิฯ ตตฺถ ปฐมมคฺคญาณํ ปญฺจ กิเลเส เขเปนฺตํ นิโรเธนฺตํ วูปสเมนฺตํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภนฺตํ อุปฺปชฺชตีติ ขเย ญาณํ นาม ชาตํฯ ทุติยมคฺคญาณํ จตฺตาโร กิเลเสฯ ตถา ตติยมคฺคญาณํฯ จตุตฺถมคฺคญาณํ ปน อฎฺฐ กิเลเส เขเปนฺตํ นิโรเธนฺตํ วูปสเมนฺตํ ปฎิปฺปสฺสเมฺภนฺตํ อุปฺปชฺชตีติ ‘ขเย ญาณํ’ นาม ชาตํฯ ตํ ตํ มคฺคผลญาณํ ปน เตสํ เตสํ กิเลสานํ ขีณเนฺต นิรุทฺธเนฺต วูปสมเนฺต ปฎิปฺปสฺสมฺภเนฺต อนุปฺปาทเนฺต อปฺปวตฺตเนฺต อุปฺปนฺนนฺติ อนุปฺปาเท ญาณํ นาม ชาตนฺติฯ

    1382. Maggasamaṅgissañāṇanti cattāri maggañāṇāni. Phalasamaṅgissa ñāṇanti cattāri phalañāṇāni. Tattha paṭhamamaggañāṇaṃ pañca kilese khepentaṃ nirodhentaṃ vūpasamentaṃ paṭippassambhentaṃ uppajjatīti khaye ñāṇaṃ nāma jātaṃ. Dutiyamaggañāṇaṃ cattāro kilese. Tathā tatiyamaggañāṇaṃ. Catutthamaggañāṇaṃ pana aṭṭha kilese khepentaṃ nirodhentaṃ vūpasamentaṃ paṭippassambhentaṃ uppajjatīti ‘khaye ñāṇaṃ’ nāma jātaṃ. Taṃ taṃ maggaphalañāṇaṃ pana tesaṃ tesaṃ kilesānaṃ khīṇante niruddhante vūpasamante paṭippassambhante anuppādante appavattante uppannanti anuppāde ñāṇaṃ nāma jātanti.

    อฎฺฐสาลินิยา ธมฺมสงฺคหอฎฺฐกถาย

    Aṭṭhasāliniyā dhammasaṅgahaaṭṭhakathāya

    นิเกฺขปกณฺฑวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Nikkhepakaṇḍavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / สุตฺตนฺติกทุกนิเกฺขปํ • Suttantikadukanikkhepaṃ

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā / สุตฺตนฺติกทุกนิเกฺขปกถาวณฺณนา • Suttantikadukanikkhepakathāvaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / สุตฺตนฺติกทุกนิเกฺขปกถาวณฺณนา • Suttantikadukanikkhepakathāvaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact