Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā |
สุตฺตนฺติกทุกนิเกฺขปกถาวณฺณนา
Suttantikadukanikkhepakathāvaṇṇanā
๑๓๐๓. วิเวจิตตฺตาติ วิสุํ กตตฺตา ปกาสิตตฺตาฯ อเสเสตฺวา เขเปตีติ วชิรํ อตฺตนา ปติตฎฺฐานํ อเสเสตฺวา เขเปติ ปุน อปากติกตาอาปาทเนนฯ
1303. Vivecitattāti visuṃ katattā pakāsitattā. Asesetvā khepetīti vajiraṃ attanā patitaṭṭhānaṃ asesetvā khepeti puna apākatikatāāpādanena.
๑๓๑๑. ตปฺปตีติ วิปฺปฎิสารี โหติ, อนุโสจติ วาฯ
1311. Tappatīti vippaṭisārī hoti, anusocati vā.
๑๓๑๓. อหนฺติ อิติ-สทฺทปเรน อหํ-สเทฺทน เหตุภูเตน โย อโตฺถ วิญฺญายติ, โส สํกถียติ, อุทีรียตีติ อโตฺถฯ อญฺญถา หิ วุจฺจมานสฺส วจเนน ปกาสิยมานสฺส ปทตฺถสฺส สงฺขาทิภาเว สเพฺพสํ กุสลาทิธมฺมานํ อธิวจนาทิตา สิยาติฯ ภาโวติ สตฺตเววจนนฺติ ภณนฺติ, ธาตุยา วา เอตํ อธิวจนํฯ ทโตฺตติ เอตฺตาวตา สตฺตปญฺญตฺติํ ทเสฺสตฺวา อญฺญมฺปิ อุปาทาปญฺญตฺติํ ทเสฺสตุํ ‘‘มโญฺจ’’ติอาทิมาหฯ อหนฺติ จ ปวตฺตํ อธิวจนํ วทเนฺตน สุณเนฺตน จ ปุเพฺพ คหิตสเญฺญน อตฺถปฺปกาสนภาเวน วิญฺญายติฯ น หิ ตสฺมิํ อวิญฺญาเต ตทตฺถวิชานนํ อตฺถีติ วิเสเสน อธิวจนํ ‘‘ญายตีติ สมญฺญา’’ติ วุตฺตํฯ เอตสฺสตฺถสฺส อหนฺติ อิทํ อธิวจนนฺติ เอวํ วา สญฺญาคหณวเสน ญายติ สมญฺญายติ ปากฎา โหตีติ สมญฺญาฯ ปญฺญาปียตีติ อหนฺติ อิทํ เอตสฺส อธิวจนนฺติ เอวํ ฐปียตีติ อโตฺถฯ โวหรียตีติ วุจฺจติฯ อุเทฺธยฺยนฺติ อุทฺธริตพฺพํฯ อปิ นามสหสฺสโตติ อเนเกหิปิ นามสหเสฺสหีติ อโตฺถฯ สยเมว อุปปตนสีลํ นามํ ‘‘โอปปาติกนาม’’นฺติ วุจฺจติฯ
1313. Ahanti iti-saddaparena ahaṃ-saddena hetubhūtena yo attho viññāyati, so saṃkathīyati, udīrīyatīti attho. Aññathā hi vuccamānassa vacanena pakāsiyamānassa padatthassa saṅkhādibhāve sabbesaṃ kusalādidhammānaṃ adhivacanāditā siyāti. Bhāvoti sattavevacananti bhaṇanti, dhātuyā vā etaṃ adhivacanaṃ. Dattoti ettāvatā sattapaññattiṃ dassetvā aññampi upādāpaññattiṃ dassetuṃ ‘‘mañco’’tiādimāha. Ahanti ca pavattaṃ adhivacanaṃ vadantena suṇantena ca pubbe gahitasaññena atthappakāsanabhāvena viññāyati. Na hi tasmiṃ aviññāte tadatthavijānanaṃ atthīti visesena adhivacanaṃ ‘‘ñāyatīti samaññā’’ti vuttaṃ. Etassatthassa ahanti idaṃ adhivacananti evaṃ vā saññāgahaṇavasena ñāyati samaññāyati pākaṭā hotīti samaññā. Paññāpīyatīti ahanti idaṃ etassa adhivacananti evaṃ ṭhapīyatīti attho. Voharīyatīti vuccati. Uddheyyanti uddharitabbaṃ. Api nāmasahassatoti anekehipi nāmasahassehīti attho. Sayameva upapatanasīlaṃ nāmaṃ ‘‘opapātikanāma’’nti vuccati.
กรียตีติ กมฺมํ, นามเมว กมฺมํ นามกมฺมํฯ ตถา นามเธยฺยํฯ กรณฐปนสทฺทาปิ หิ กมฺมตฺถา โหนฺตีติฯ อถ กรณตฺถา, กรียติ จ ฐปียติ จ เอเตน อโตฺถ เอวํนาโมติ ปญฺญาปียตีติ กรณํ ฐปนญฺจ นาม โหติฯ อถ ภาวตฺถา, ญาปนมตฺตเมว กรณํ ฐปนนฺติ จ วุตฺตํฯ นามนิรุตฺติ นามพฺยญฺชนนฺติ นามมิเจฺจว วุตฺตํ โหติฯ น หิ ปถวีสงฺขาตํ อตฺถปฺปการมตฺตํ นิวทติ พฺยญฺชยติ วา ปถวีติ นามํ นิวทติ พฺยญฺชยติ วา, ตสฺมา อนามสฺส นิรุตฺติพฺยญฺชนภาวนิวารณตฺถํ ‘‘นามนิรุตฺติ นามพฺยญฺชน’’นฺติ วุตฺตํฯ เอวํ นามาภิลาโปติ เอตฺถาปิ นโยฯ เอตฺถ ปน สงฺขา สมญฺญา ปญฺญตฺติ โวหาโรติ จตูหิ ปเทหิ ปญฺญาปิตพฺพโต ปญฺญตฺติ วุตฺตา, อิตเรหิ ปญฺญาปนโตฯ
Karīyatīti kammaṃ, nāmameva kammaṃ nāmakammaṃ. Tathā nāmadheyyaṃ. Karaṇaṭhapanasaddāpi hi kammatthā hontīti. Atha karaṇatthā, karīyati ca ṭhapīyati ca etena attho evaṃnāmoti paññāpīyatīti karaṇaṃ ṭhapanañca nāma hoti. Atha bhāvatthā, ñāpanamattameva karaṇaṃ ṭhapananti ca vuttaṃ. Nāmanirutti nāmabyañjananti nāmamicceva vuttaṃ hoti. Na hi pathavīsaṅkhātaṃ atthappakāramattaṃ nivadati byañjayati vā pathavīti nāmaṃ nivadati byañjayati vā, tasmā anāmassa niruttibyañjanabhāvanivāraṇatthaṃ ‘‘nāmanirutti nāmabyañjana’’nti vuttaṃ. Evaṃ nāmābhilāpoti etthāpi nayo. Ettha pana saṅkhā samaññā paññatti vohāroti catūhi padehi paññāpitabbato paññatti vuttā, itarehi paññāpanato.
ตตฺถ จ ‘‘ปุริมา อุปาทาปญฺญตฺติ อุปฺปาทวยกิจฺจรหิตา โลกสเงฺกตสิทฺธา, ปจฺฉิมา นามปญฺญตฺติ, ยาย ปุริมา ปญฺญตฺติ รูปาทโย จ โสตทฺวารวิญฺญาณสนฺตานานนฺตรมุปฺปเนฺนน คหิตปุพฺพสเงฺกเตน มโนทฺวารวิญฺญาณสนฺตาเนน คหิตาย ปญฺญาปียนฺตี’’ติ อาจริยา วทนฺติฯ เอตสฺมิํ ปน อิมิสฺสา ปาฬิยา อฎฺฐกถาย จ อเตฺถ สติ ยํ วุตฺตํ มาติกายํ ‘‘วจนมตฺตเมว อธิการํ กตฺวา ปวตฺตา อธิวจนา นาม, สเหตุกํ กตฺวา วุจฺจมานา อภิลาปา นิรุตฺติ นาม, ปกาเรน ญาปนโต ปญฺญตฺติ นามา’’ติ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๑๐๑-๑๐๘), เตน วิโรโธ สิยาฯ น หิ อุปฺปาทวยกิจฺจรหิตสฺส วจนมตฺตํ อธิการํ กตฺวา ปวตฺติ อตฺถิ อุปฺปาทาทิสหิตเสฺสว ปวตฺติสพฺภาวโต, น จ วจนวจนตฺถวิมุตฺตสฺส นามสฺส นิทฺธาเรตฺวา สเหตุกํ กตฺวา วุจฺจมานตา อตฺถิ, นาปิ อนิทฺธาริตสภาวสฺส ปทตฺถสฺส เตน เตน ปกาเรน ญาปนํ อตฺถีติฯ
Tattha ca ‘‘purimā upādāpaññatti uppādavayakiccarahitā lokasaṅketasiddhā, pacchimā nāmapaññatti, yāya purimā paññatti rūpādayo ca sotadvāraviññāṇasantānānantaramuppannena gahitapubbasaṅketena manodvāraviññāṇasantānena gahitāya paññāpīyantī’’ti ācariyā vadanti. Etasmiṃ pana imissā pāḷiyā aṭṭhakathāya ca atthe sati yaṃ vuttaṃ mātikāyaṃ ‘‘vacanamattameva adhikāraṃ katvā pavattā adhivacanā nāma, sahetukaṃ katvā vuccamānā abhilāpā nirutti nāma, pakārena ñāpanato paññatti nāmā’’ti (dha. sa. aṭṭha. 101-108), tena virodho siyā. Na hi uppādavayakiccarahitassa vacanamattaṃ adhikāraṃ katvā pavatti atthi uppādādisahitasseva pavattisabbhāvato, na ca vacanavacanatthavimuttassa nāmassa niddhāretvā sahetukaṃ katvā vuccamānatā atthi, nāpi aniddhāritasabhāvassa padatthassa tena tena pakārena ñāpanaṃ atthīti.
ทุวิธา จายํ ปญฺญตฺติ ยถาวุตฺตปฺปการาติ อฎฺฐกถาวจนญฺจ น ทิสฺสติ, อฎฺฐกถายํ ปน วิชฺชมานปญฺญตฺติอาทโย ฉ ปญฺญตฺติโยว วุตฺตาฯ ตตฺถ ‘‘รูปํ เวทนา’’ติอาทิกา วิชฺชมานปญฺญตฺติฯ ‘‘อิตฺถี ปุริโส’’ติอาทิกา อวิชฺชมานปญฺญตฺติฯ ‘‘เตวิโชฺช ฉฬภิโญฺญ’’ติอาทิกา วิชฺชมาเนน อวิชฺชมานปญฺญตฺติฯ ‘‘อิตฺถิสโทฺท ปุริสสโทฺท’’ติอาทิกา อวิชฺชมาเนน วิชฺชมานปญฺญตฺติฯ ‘‘จกฺขุวิญฺญาณํ โสตวิญฺญาณ’’นฺติอาทิกา วิชฺชมาเนน วิชฺชมานปญฺญตฺติฯ ‘‘ขตฺติยกุมาโร พฺราหฺมณกุมาโร’’ติอาทิกา อวิชฺชมาเนน อวิชฺชมานปญฺญตฺติฯ น เจตฺถ ยถาวุตฺตปฺปการา ทุวิธา ปญฺญตฺติ วุตฺตาติ สกฺกา วิญฺญาตุํฯ วิชฺชมานสฺส หิ สงฺขา…เป.… อภิลาโป วิชฺชมานปญฺญตฺติฯ อวิชฺชมานสฺส จ สงฺขาทิกา อวิชฺชมานปญฺญตฺติฯ เตสํเยว วิเสสนวิเสสิตพฺพภาเวน ปวตฺตา สงฺขาทโย อิตราติฯ
Duvidhā cāyaṃ paññatti yathāvuttappakārāti aṭṭhakathāvacanañca na dissati, aṭṭhakathāyaṃ pana vijjamānapaññattiādayo cha paññattiyova vuttā. Tattha ‘‘rūpaṃ vedanā’’tiādikā vijjamānapaññatti. ‘‘Itthī puriso’’tiādikā avijjamānapaññatti. ‘‘Tevijjo chaḷabhiñño’’tiādikā vijjamānena avijjamānapaññatti. ‘‘Itthisaddo purisasaddo’’tiādikā avijjamānena vijjamānapaññatti. ‘‘Cakkhuviññāṇaṃ sotaviññāṇa’’ntiādikā vijjamānena vijjamānapaññatti. ‘‘Khattiyakumāro brāhmaṇakumāro’’tiādikā avijjamānena avijjamānapaññatti. Na cettha yathāvuttappakārā duvidhā paññatti vuttāti sakkā viññātuṃ. Vijjamānassa hi saṅkhā…pe… abhilāpo vijjamānapaññatti. Avijjamānassa ca saṅkhādikā avijjamānapaññatti. Tesaṃyeva visesanavisesitabbabhāvena pavattā saṅkhādayo itarāti.
อวิชฺชมานปญฺญตฺติวจเนน ปญฺญาปิตพฺพา อุปาทาปญฺญตฺติ, ตสฺสา ปญฺญาปนภูตา นามปญฺญตฺติ จ วุตฺตา, อิตเรหิ นามปญฺญตฺติเยว ยถาวุตฺตาติ เจ? น, อสิทฺธตฺตาฯ สติ หิ อุชุเก ปุริเม ปาฬิอนุคเต อเตฺถ อยมโตฺถ อิมาย อฎฺฐกถาย วุโตฺตติ อสิทฺธเมตํฯ ยทิ จ สตฺตรถฆฎาทิทิสากาลกสิณอชฎากาสกสิณุคฺฆาฎิมากาสอากิญฺจญฺญายตนวิสยนิโรธสมาปตฺติอาทิปฺปการา อุปาทาปญฺญตฺติ อวิชฺชมานปญฺญตฺติ, เอเตเนว วจเนน ตสฺสา อวิชฺชมานตา วุตฺตาติ น สา อตฺถีติ วตฺตพฺพาฯ ยถา จ ปญฺญาปิตพฺพโต อวิชฺชมานานํ สตฺตาทีนํ อวิชฺชมานปญฺญตฺติภาโว, เอวํ รูปาทีนํ วิชฺชมานานํ ปญฺญเปตพฺพโต วิชฺชมานปญฺญตฺติภาโว อาปชฺชติฯ ตโต ‘‘สเพฺพ ธมฺมา ปญฺญตฺตี’’ติ ปญฺญตฺติปเถหิ อวิสิโฎฺฐ ปญฺญตฺติธมฺมนิเทฺทโส วตฺตโพฺพ สิยาฯ อถาปิ ปญฺญาปิตพฺพปญฺญาปนวิเสสทสฺสนโตฺถ สงฺขาทินิเทฺทโส, ตถาปิ ‘‘เอกธโมฺม สพฺพธเมฺมสุ นิปตติ, สพฺพธมฺมา เอกธมฺมสฺมิํ นิปตนฺตี’’ติอาทินา ปญฺญาปิตพฺพานํ ปญฺญตฺติปถภาวสฺส ทสฺสิตตฺตา ปญฺญาปิตพฺพานํ ปญฺญตฺติภาเว ปญฺญตฺติปถา ปญฺญตฺติสเทฺทเนว วุตฺตาติ ปญฺญตฺติปถปทํ น วตฺตพฺพํ สิยา, นาปิ สกฺกา ปญฺญาปิตพฺพปญฺญาปนวิเสสทสฺสนโตฺถ สงฺขาทินิเทฺทโสติ วตฺตุํ สงฺขาทิสทฺทานํ สมานตฺถตฺตาฯ วุตฺตญฺหิ ‘‘มรเณนปิ ตํ ปหียติ, ยํ ปุริโส มมิทนฺติ มญฺญตี’’ติ (มหานิ. ๔๑) เอตฺถ ‘‘ปุริโสติ สงฺขา สมญฺญา…เป.… อภิลาโป’’ติ (มหานิ. ๔๑)ฯ ตถา ‘‘มาคณฺฑิโยติ ตสฺส พฺราหฺมณสฺส นามํ สงฺขา สมญฺญา’’ติอาทิ (มหานิ. ๗๓)ฯ น จ ‘‘อยํ อิตฺถนฺนาโม’’ติ สเงฺกตคฺคหณํ ‘‘รูปํ ติโสฺส’’ติอาทิวจนคฺคหณญฺจ มุญฺจิตฺวา อญฺญสฺส อสิทฺธสภาวสฺส อตฺถปญฺญาปเน สมตฺถตา สมฺภวติ, เตสญฺจ อสมตฺถตาฯ ยทิ หิ เตสํ วินา ปญฺญตฺติยา อตฺถปญฺญาปเน อสมตฺถตา สิยา, ปญฺญตฺติปญฺญาปเน จ อสมตฺถตาติ ตสฺสา อญฺญา ปญฺญตฺติ วตฺตพฺพา สิยา, ตสฺสา ตสฺสาติ อนวตฺถานํ, ตโต อตฺถวิชานนเมว น สิยา, นาปิ สเงฺกตคฺคหณํ สเงฺกตสฺส ปญฺญตฺติภาเว ‘‘อยํ อิมสฺส ภาสิตสฺส อโตฺถ’’ติ วา, ‘‘อิมสฺสตฺถสฺส อิทํ วจนํ โชตก’’นฺติ วาฯ สญฺญุปฺปาทมเตฺต ปน สเงฺกตคฺคหเณ วจนสฺส วจนตฺถวินิมุตฺตสฺส กปฺปเน ปโยชนํ นตฺถิฯ ‘‘พุทฺธสฺส ภควโต โวหาโร โลกิเย โสเต ปฎิหญฺญติ’’ (กถา. ๓๔๗), ‘‘อภิชานาสิ โน ตฺวํ อานนฺท อิโต ปุเพฺพ เอวรูปํ นามเธยฺยํ สุตํ ยทิทํ ชนวสโภ’’ติ (ที. นิ. ๒.๒๘๐), ‘‘นามญฺจ สาเวติ โกณฺฑโญฺญ อหํ ภควา’’ติอาทีหิ (สํ. นิ. ๑.๒๑๗) จ ปญฺญตฺติยา วจนภาโว สิโทฺธฯ ตสฺมา ปาฬิยา อฎฺฐกถาย จ อวิรุโทฺธ อโตฺถ วิจาเรตฺวา คเหตโพฺพฯ
Avijjamānapaññattivacanena paññāpitabbā upādāpaññatti, tassā paññāpanabhūtā nāmapaññatti ca vuttā, itarehi nāmapaññattiyeva yathāvuttāti ce? Na, asiddhattā. Sati hi ujuke purime pāḷianugate atthe ayamattho imāya aṭṭhakathāya vuttoti asiddhametaṃ. Yadi ca sattarathaghaṭādidisākālakasiṇaajaṭākāsakasiṇugghāṭimākāsaākiñcaññāyatanavisayanirodhasamāpattiādippakārā upādāpaññatti avijjamānapaññatti, eteneva vacanena tassā avijjamānatā vuttāti na sā atthīti vattabbā. Yathā ca paññāpitabbato avijjamānānaṃ sattādīnaṃ avijjamānapaññattibhāvo, evaṃ rūpādīnaṃ vijjamānānaṃ paññapetabbato vijjamānapaññattibhāvo āpajjati. Tato ‘‘sabbe dhammā paññattī’’ti paññattipathehi avisiṭṭho paññattidhammaniddeso vattabbo siyā. Athāpi paññāpitabbapaññāpanavisesadassanattho saṅkhādiniddeso, tathāpi ‘‘ekadhammo sabbadhammesu nipatati, sabbadhammā ekadhammasmiṃ nipatantī’’tiādinā paññāpitabbānaṃ paññattipathabhāvassa dassitattā paññāpitabbānaṃ paññattibhāve paññattipathā paññattisaddeneva vuttāti paññattipathapadaṃ na vattabbaṃ siyā, nāpi sakkā paññāpitabbapaññāpanavisesadassanattho saṅkhādiniddesoti vattuṃ saṅkhādisaddānaṃ samānatthattā. Vuttañhi ‘‘maraṇenapi taṃ pahīyati, yaṃ puriso mamidanti maññatī’’ti (mahāni. 41) ettha ‘‘purisoti saṅkhā samaññā…pe… abhilāpo’’ti (mahāni. 41). Tathā ‘‘māgaṇḍiyoti tassa brāhmaṇassa nāmaṃ saṅkhā samaññā’’tiādi (mahāni. 73). Na ca ‘‘ayaṃ itthannāmo’’ti saṅketaggahaṇaṃ ‘‘rūpaṃ tisso’’tiādivacanaggahaṇañca muñcitvā aññassa asiddhasabhāvassa atthapaññāpane samatthatā sambhavati, tesañca asamatthatā. Yadi hi tesaṃ vinā paññattiyā atthapaññāpane asamatthatā siyā, paññattipaññāpane ca asamatthatāti tassā aññā paññatti vattabbā siyā, tassā tassāti anavatthānaṃ, tato atthavijānanameva na siyā, nāpi saṅketaggahaṇaṃ saṅketassa paññattibhāve ‘‘ayaṃ imassa bhāsitassa attho’’ti vā, ‘‘imassatthassa idaṃ vacanaṃ jotaka’’nti vā. Saññuppādamatte pana saṅketaggahaṇe vacanassa vacanatthavinimuttassa kappane payojanaṃ natthi. ‘‘Buddhassa bhagavato vohāro lokiye sote paṭihaññati’’ (kathā. 347), ‘‘abhijānāsi no tvaṃ ānanda ito pubbe evarūpaṃ nāmadheyyaṃ sutaṃ yadidaṃ janavasabho’’ti (dī. ni. 2.280), ‘‘nāmañca sāveti koṇḍañño ahaṃ bhagavā’’tiādīhi (saṃ. ni. 1.217) ca paññattiyā vacanabhāvo siddho. Tasmā pāḷiyā aṭṭhakathāya ca aviruddho attho vicāretvā gahetabbo.
ยทิ สตฺตาทโย อวิชฺชมานปญฺญตฺติ น โหนฺติ, กา ปน อวิชฺชมานปญฺญตฺติ นามาติ? ปกาสิโต อยมโตฺถ ‘‘อวิชฺชมานานํ สตฺตาทีนํ สงฺขา…เป.… อภิลาโป อวิชฺชมานปญฺญตฺตี’’ติฯ สตฺตาทีนญฺจ อวิชฺชมานตฺตา อตฺถิตา เนว วตฺตพฺพา, เย จ วเทยฺยุํ ‘‘รูปาทีนิ วิย อวิชฺชมานตฺตา อวิชฺชมานตา วุตฺตา, น นตฺถิภาวโต’’ติ, อยญฺจ วาโท เหวตฺถิกถาย ปฎิสิโทฺธ, น จ รูปํ เวทนา น โหตีติ อวิชฺชมานํ นาม โหติฯ เอวํ สตฺตาทโยปิ ยทิ อตฺถิ, รูปาทโย น โหนฺตีติ อวิชฺชมานาติ น วตฺตพฺพาฯ ยสฺมา ปน เยสุ รูปาทีสุ จกฺขาทีสุ จ ตถา ตถา ปวตฺตมาเนสุ ‘‘สโตฺต อิตฺถี รโถ ฆโฎ’’ติอาทิกา วิจิตฺตสญฺญา อุปฺปชฺชติ, สญฺญานุโลมานิ จ อธิวจนานิ, เตหิ รูปจกฺขาทีหิ อโญฺญ สตฺตรถาทิสญฺญาวลมฺพิโต วจนโตฺถ วิชฺชมาโน น โหติ, ตสฺมา สตฺตรถาทิอภิลาปา ‘‘อวิชฺชมานปญฺญตฺตี’’ติ วุจฺจนฺติ, น จ เต ‘‘มุสา’’ติ วุจฺจนฺติ โลกสมญฺญาวเสน ปวตฺตตฺตาฯ ตโต เอว เต อภิลาปา ‘‘สมฺมุติสจฺจ’’นฺติ วุจฺจนฺติฯ โส จ วจนโตฺถ สยํ อวิชฺชมาโนปิ วิชฺชมานสฺส วจนเสฺสว วเสน ปญฺญตฺติโวหารํ ลภติ, ‘‘สมฺมุติสจฺจ’’นฺติ จ วุจฺจติ ยถาคหิตสญฺญาวเสน ปวตฺตวจนตฺถภาวโตฯ ‘‘สมฺมุติญาณํ สจฺจารมฺมณเมว, นาญฺญารมฺมณ’’นฺติ (กถา. ๔๓๔) กถาย จ ‘‘ปถวีกสิณาทิ จีวราทิ จ สมฺมุติสจฺจมฺหี’’ติ อิมินาว อธิปฺปาเยน วุตฺตนฺติ วิญฺญายติฯ ยสฺมา รูปาทีสุ สนฺตาเนน ปวตฺตมาเนสุ เอกตฺตคฺคหณวเสน เต อมุญฺจิตฺวา ปวตฺตํ สตฺตาทิคฺคหณํ จกฺขุวิญฺญาณาทีนิ วิย รูปาทีสุ เตสุ ขเนฺธสุ จกฺขาทีสุ จ อสนฺตํ อวิชฺชมานํ สตฺตรถาทิํ คณฺหาติ, ตสฺมา ตํ ปริตฺตารมฺมณาทิภาเวน น วตฺตพฺพนฺติ วุตฺตํฯ ตถา ยํ ขนฺธสมูหสนฺตานํ เอกเตฺตน คหิตํ อุปาทาย ‘‘กลฺยาณมิโตฺต ปาปมิโตฺต ปุคฺคโล’’ติ คหณํ ปญฺญตฺติ จ ปวตฺตติ, ตํ ตทุปาทานภูตํ ปุคฺคลสญฺญาย เสวมานสฺส กุสลากุสลานํ อุปฺปตฺติ โหตีติ ‘‘ปุคฺคโลปิ อุปนิสฺสยปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๙) วุตฺตํฯ ยสฺมา ปน ปุคฺคโล นาม โกจิ ภาโว นตฺถิ, ตสฺมา ยถา อาโปธาตุอาทีนิ จิเตฺตน วิเวเจตฺวา ปถวีธาตุ อุปลพฺภติ, น เอวํ รูปาทโย ขเนฺธ วิเวเจตฺวา ปุคฺคโล อุปลพฺภติฯ ปฎิเสธิตา จ ปุคฺคลกถาย ปุคฺคลทิฎฺฐิฯ วชิราย จ ภิกฺขุนิยา วุตฺตํ –
Yadi sattādayo avijjamānapaññatti na honti, kā pana avijjamānapaññatti nāmāti? Pakāsito ayamattho ‘‘avijjamānānaṃ sattādīnaṃ saṅkhā…pe… abhilāpo avijjamānapaññattī’’ti. Sattādīnañca avijjamānattā atthitā neva vattabbā, ye ca vadeyyuṃ ‘‘rūpādīni viya avijjamānattā avijjamānatā vuttā, na natthibhāvato’’ti, ayañca vādo hevatthikathāya paṭisiddho, na ca rūpaṃ vedanā na hotīti avijjamānaṃ nāma hoti. Evaṃ sattādayopi yadi atthi, rūpādayo na hontīti avijjamānāti na vattabbā. Yasmā pana yesu rūpādīsu cakkhādīsu ca tathā tathā pavattamānesu ‘‘satto itthī ratho ghaṭo’’tiādikā vicittasaññā uppajjati, saññānulomāni ca adhivacanāni, tehi rūpacakkhādīhi añño sattarathādisaññāvalambito vacanattho vijjamāno na hoti, tasmā sattarathādiabhilāpā ‘‘avijjamānapaññattī’’ti vuccanti, na ca te ‘‘musā’’ti vuccanti lokasamaññāvasena pavattattā. Tato eva te abhilāpā ‘‘sammutisacca’’nti vuccanti. So ca vacanattho sayaṃ avijjamānopi vijjamānassa vacanasseva vasena paññattivohāraṃ labhati, ‘‘sammutisacca’’nti ca vuccati yathāgahitasaññāvasena pavattavacanatthabhāvato. ‘‘Sammutiñāṇaṃ saccārammaṇameva, nāññārammaṇa’’nti (kathā. 434) kathāya ca ‘‘pathavīkasiṇādi cīvarādi ca sammutisaccamhī’’ti imināva adhippāyena vuttanti viññāyati. Yasmā rūpādīsu santānena pavattamānesu ekattaggahaṇavasena te amuñcitvā pavattaṃ sattādiggahaṇaṃ cakkhuviññāṇādīni viya rūpādīsu tesu khandhesu cakkhādīsu ca asantaṃ avijjamānaṃ sattarathādiṃ gaṇhāti, tasmā taṃ parittārammaṇādibhāvena na vattabbanti vuttaṃ. Tathā yaṃ khandhasamūhasantānaṃ ekattena gahitaṃ upādāya ‘‘kalyāṇamitto pāpamitto puggalo’’ti gahaṇaṃ paññatti ca pavattati, taṃ tadupādānabhūtaṃ puggalasaññāya sevamānassa kusalākusalānaṃ uppatti hotīti ‘‘puggalopi upanissayapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 1.1.9) vuttaṃ. Yasmā pana puggalo nāma koci bhāvo natthi, tasmā yathā āpodhātuādīni cittena vivecetvā pathavīdhātu upalabbhati, na evaṃ rūpādayo khandhe vivecetvā puggalo upalabbhati. Paṭisedhitā ca puggalakathāya puggaladiṭṭhi. Vajirāya ca bhikkhuniyā vuttaṃ –
‘‘กํ นุ สโตฺตติ ปเจฺจสิ, มาร ทิฎฺฐิคตํ นุ เต;
‘‘Kaṃ nu sattoti paccesi, māra diṭṭhigataṃ nu te;
สุทฺธสงฺขารปุโญฺชยํ, นยิธ สตฺตุปลพฺภตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๗๑; มหานิ. ๑๘๖; กถา. ๒๓๓);
Suddhasaṅkhārapuñjoyaṃ, nayidha sattupalabbhatī’’ti. (saṃ. ni. 1.171; mahāni. 186; kathā. 233);
สโตฺตติ ปน วจนสฺส ปญฺญตฺติยา ปวตฺติํ ทเสฺสตุํ สา เอวมาห –
Sattoti pana vacanassa paññattiyā pavattiṃ dassetuṃ sā evamāha –
‘‘ยถาปิ องฺคสมฺภารา, โหติ สโทฺท รโถ อิติ;
‘‘Yathāpi aṅgasambhārā, hoti saddo ratho iti;
เอวํ ขเนฺธสุ สเนฺตสุ, โหติ สโตฺตติ สมฺมุตี’’ติฯ (สํ. นิ. ๑.๑๗๑; มหานิ. ๑๘๖; กถา. ๒๓๓);
Evaṃ khandhesu santesu, hoti sattoti sammutī’’ti. (saṃ. ni. 1.171; mahāni. 186; kathā. 233);
ยทิ ปุคฺคโล น วิชฺชติ, กถํ ปุคฺคลคฺคหณสฺส สารมฺมณตา สิยาติ? อวิชฺชมานสฺสปิ อารมฺมณสฺส คหณโตฯ อวิชฺชมานมฺปิ หิ ปริกปฺปิตํ โลกสญฺญาตํ วา วิชฺชมานํ วา สภาวภูตํ อารมฺมณํ คเหตฺวาว อุปฺปชฺชนโต สารมฺมณตา วุตฺตาฯ สารมฺมณาติ หิ วจนํ จิตฺตเจตสิกานํ อารมฺมเณน วินา อปฺปวตฺติเญฺญว ทีเปติ, น เตหิ คหิตสฺส อารมฺมณสฺส วิชฺชมานตํ อวิชฺชมานตํ วาติฯ อยํ สงฺขตาสงฺขตวินิมุตฺตสฺส อตฺถิตาปฎิเสธํ สพฺพถา อนุวตฺตนฺตานํ วินิจฺฉโยฯ
Yadi puggalo na vijjati, kathaṃ puggalaggahaṇassa sārammaṇatā siyāti? Avijjamānassapi ārammaṇassa gahaṇato. Avijjamānampi hi parikappitaṃ lokasaññātaṃ vā vijjamānaṃ vā sabhāvabhūtaṃ ārammaṇaṃ gahetvāva uppajjanato sārammaṇatā vuttā. Sārammaṇāti hi vacanaṃ cittacetasikānaṃ ārammaṇena vinā appavattiññeva dīpeti, na tehi gahitassa ārammaṇassa vijjamānataṃ avijjamānataṃ vāti. Ayaṃ saṅkhatāsaṅkhatavinimuttassa atthitāpaṭisedhaṃ sabbathā anuvattantānaṃ vinicchayo.
๑๓๑๖. นามกรณเฎฺฐนาติ อญฺญํ อนเปกฺขิตฺวา สยเมว อตฺตโน นามกรณสภาวโตติ อโตฺถฯ ยญฺหิ ปรสฺส นามํ กโรติ, ตสฺส จ ตทเปกฺขตฺตา อญฺญาเปกฺขํ นามกรณนฺติ นามกรณสภาวตา น โหติฯ ตสฺมา มหาชนสฺส ญาตีนํ คุณานญฺจ สามญฺญนามาทิการกานํ นามภาโว นาปชฺชติฯ ยสฺส จ อเญฺญหิ นามํ กรียติ, ตสฺส จ นามกรณสภาวตา นตฺถีติ นตฺถิเยว นามภาโว, เวทนาทีนํ ปน สภาวสิทฺธตฺตา เวทนาทินามสฺส นามกรณสภาวโต นามตา วุตฺตาฯ ปถวีอาทินิทสฺสเนน นามสฺส สภาวสิทฺธตํเยว นิทเสฺสติ, น นามภาวสามญฺญํ, นิรุฬฺหตฺตา ปน นามสโทฺท อรูปธเมฺมสุ เอว วุโตฺต, น ปถวีอาทีสูติ น เตสํ นามภาโวฯ มาติกาย จ ปถวีอาทีนํ นามตานาปตฺติ วุตฺตาวฯ น หิ ปถวีอาทินามํ วิชหิตฺวา เกสาทินาเมหิ รูปธมฺมานํ วิย เวทนาทินามํ วิชหิตฺวา อเญฺญน นาเมน อรูปธมฺมานํ โวหริตเพฺพน ปิณฺฑากาเรน ปวตฺติ อตฺถีติฯ
1316. Nāmakaraṇaṭṭhenāti aññaṃ anapekkhitvā sayameva attano nāmakaraṇasabhāvatoti attho. Yañhi parassa nāmaṃ karoti, tassa ca tadapekkhattā aññāpekkhaṃ nāmakaraṇanti nāmakaraṇasabhāvatā na hoti. Tasmā mahājanassa ñātīnaṃ guṇānañca sāmaññanāmādikārakānaṃ nāmabhāvo nāpajjati. Yassa ca aññehi nāmaṃ karīyati, tassa ca nāmakaraṇasabhāvatā natthīti natthiyeva nāmabhāvo, vedanādīnaṃ pana sabhāvasiddhattā vedanādināmassa nāmakaraṇasabhāvato nāmatā vuttā. Pathavīādinidassanena nāmassa sabhāvasiddhataṃyeva nidasseti, na nāmabhāvasāmaññaṃ, niruḷhattā pana nāmasaddo arūpadhammesu eva vutto, na pathavīādīsūti na tesaṃ nāmabhāvo. Mātikāya ca pathavīādīnaṃ nāmatānāpatti vuttāva. Na hi pathavīādināmaṃ vijahitvā kesādināmehi rūpadhammānaṃ viya vedanādināmaṃ vijahitvā aññena nāmena arūpadhammānaṃ voharitabbena piṇḍākārena pavatti atthīti.
อถ วา รูปธมฺมา จกฺขาทโย รูปาทโย จ เตสํ ปกาสกปกาสิตพฺพภาวโต วินา นาเมน ปากฎา โหนฺติ, น เอวํ อรูปธมฺมาติ อธิวจนสมฺผโสฺส วิย นามายตฺตคหณียภาเวน ‘‘นาม’’นฺติ วุตฺตา, ปฎิฆสมฺผโสฺสปิ น จกฺขาทีนิ วิย นาเมน วินา ปากโฎติ ‘‘นาม’’นฺติ วุโตฺตฯ อรูปตาย วา อญฺญนามสภาคตฺตา สงฺคหิโตยํ, อญฺญผสฺสสภาคตฺตา วาฯ วจนโตฺถปิ หิ ‘‘รูปยตีติ รูปํ, นามยตีติ นาม’’นฺติ อิธ ปจฺฉิมปุริมานํ สมฺภวติฯ รูปยตีติ วินาปิ นาเมน อตฺตานํ ปกาสยตีติ อโตฺถ, นามยตีติ นาเมน วินา อปากฎภาวโต อตฺตโน ปกาสกํ นามํ กโรตีติ อโตฺถฯ อารมฺมณาธิปติปจฺจยตายาติ สติปิ รูปสฺส อารมฺมณาธิปติปจฺจยภาเว น ปรมสฺสาสภูตํ นิพฺพานํ วิย สาติสยํ ตํนามนสภาเวน ปจฺจโยติ นิพฺพานเมว ‘‘นาม’’นฺติ วุตฺตํฯ
Atha vā rūpadhammā cakkhādayo rūpādayo ca tesaṃ pakāsakapakāsitabbabhāvato vinā nāmena pākaṭā honti, na evaṃ arūpadhammāti adhivacanasamphasso viya nāmāyattagahaṇīyabhāvena ‘‘nāma’’nti vuttā, paṭighasamphassopi na cakkhādīni viya nāmena vinā pākaṭoti ‘‘nāma’’nti vutto. Arūpatāya vā aññanāmasabhāgattā saṅgahitoyaṃ, aññaphassasabhāgattā vā. Vacanatthopi hi ‘‘rūpayatīti rūpaṃ, nāmayatīti nāma’’nti idha pacchimapurimānaṃ sambhavati. Rūpayatīti vināpi nāmena attānaṃ pakāsayatīti attho, nāmayatīti nāmena vinā apākaṭabhāvato attano pakāsakaṃ nāmaṃ karotīti attho. Ārammaṇādhipatipaccayatāyāti satipi rūpassa ārammaṇādhipatipaccayabhāve na paramassāsabhūtaṃ nibbānaṃ viya sātisayaṃ taṃnāmanasabhāvena paccayoti nibbānameva ‘‘nāma’’nti vuttaṃ.
๑๓๑๘. วฎฺฎมูลสมุทาจารทสฺสนตฺถนฺติ สตฺตานํ วฎฺฎมูลสมุทาจาโร นาม อวิชฺชา จ ภวตณฺหา จ, ตํทสฺสนตฺถนฺติ อโตฺถฯ ตตฺถ สมุทาจรตีติ สมุทาจาโร, วฎฺฎมูลเมว สมุทาจาโร วฎฺฎมูลสมุทาจาโร, วฎฺฎมูลทสฺสเนน วฎฺฎมูลานํ ปวตฺติ ทสฺสิตา โหตีติ วฎฺฎมูลานํ สมุทาจารสฺส ทสฺสนตฺถนฺติปิ อโตฺถฯ
1318. Vaṭṭamūlasamudācāradassanatthanti sattānaṃ vaṭṭamūlasamudācāro nāma avijjā ca bhavataṇhā ca, taṃdassanatthanti attho. Tattha samudācaratīti samudācāro, vaṭṭamūlameva samudācāro vaṭṭamūlasamudācāro, vaṭṭamūladassanena vaṭṭamūlānaṃ pavatti dassitā hotīti vaṭṭamūlānaṃ samudācārassa dassanatthantipi attho.
๑๓๒๐. เอเกกสฺมิญฺจ อตฺตาติ จ โลโกติ จ คหณวิเสสํ อุปาทาย ‘‘อตฺตา จ โลโก จา’’ติ วุตฺตํฯ เอกํ วา ขนฺธํ อตฺตโต คเหตฺวา อญฺญํ อตฺตโน อุปโภคภูโต โลโกติ คณฺหนฺตสฺส อตฺตโน อตฺตานํ ‘‘อตฺตา’’ติ คเหตฺวา ปรสฺส อตฺตานํ ‘‘โลโก’’ติ คณฺหนฺตสฺส วา วเสน ‘‘อตฺตา จ โลโก จา’’ติ วุตฺตํฯ ตํ ภวิสฺสตีติ ตํ ทฺวิธาปิ คหิตํ ขนฺธปญฺจกํ ภวิสฺสตีติ นิวิฎฺฐา ปรามสนฺตีติ อโตฺถฯ
1320. Ekekasmiñca attāti ca lokoti ca gahaṇavisesaṃ upādāya ‘‘attā ca loko cā’’ti vuttaṃ. Ekaṃ vā khandhaṃ attato gahetvā aññaṃ attano upabhogabhūto lokoti gaṇhantassa attano attānaṃ ‘‘attā’’ti gahetvā parassa attānaṃ ‘‘loko’’ti gaṇhantassa vā vasena ‘‘attā ca loko cā’’ti vuttaṃ. Taṃ bhavissatīti taṃ dvidhāpi gahitaṃ khandhapañcakaṃ bhavissatīti niviṭṭhā parāmasantīti attho.
๑๓๓๒. สห สิกฺขิตโพฺพ ธโมฺม สหธโมฺม, ตตฺถ ภวํ สหธมฺมิกํฯ กมฺมเตฺถ วตฺตมานโต โทวจสฺสสทฺทโต อาย-สทฺทํ อนญฺญตฺถํ กตฺวา ‘‘โทวจสฺสาย’’นฺติ วุตฺตนฺติ อธิปฺปาเยน ‘‘ทุพฺพจสฺส กมฺม’’นฺติ อาหฯ โทวจสฺสสฺส วา อยนํ ปวตฺติ โทวจสฺสายํฯ วจนสฺส ปฎิวิรุทฺธวจนํ ปฎาณิกคหณํ ฯ คุเณหิ ครูสุ คารเวน วสนํ ครุวาโสฯ ชาติอาทีหิ เชฎฺฐเกสุ ปฎิสฺสุณิตเพฺพสุ วสนํ สเชฎฺฐกวาโสฯ โอตฺตปฺปิตพฺพา วา ครุโนฯ หิริยิตพฺพา เชฎฺฐกาฯ ยาย เจตนาย ทุพฺพโจ โหติ, สา โทวจสฺสตา ภวิตุํ อรหตีติ ‘‘สงฺขารกฺขโนฺธเยวา’’ติ อาหฯ
1332. Saha sikkhitabbo dhammo sahadhammo, tattha bhavaṃ sahadhammikaṃ. Kammatthe vattamānato dovacassasaddato āya-saddaṃ anaññatthaṃ katvā ‘‘dovacassāya’’nti vuttanti adhippāyena ‘‘dubbacassa kamma’’nti āha. Dovacassassa vā ayanaṃ pavatti dovacassāyaṃ. Vacanassa paṭiviruddhavacanaṃ paṭāṇikagahaṇaṃ. Guṇehi garūsu gāravena vasanaṃ garuvāso. Jātiādīhi jeṭṭhakesu paṭissuṇitabbesu vasanaṃ sajeṭṭhakavāso. Ottappitabbā vā garuno. Hiriyitabbā jeṭṭhakā. Yāya cetanāya dubbaco hoti, sā dovacassatā bhavituṃ arahatīti ‘‘saṅkhārakkhandhoyevā’’ti āha.
๑๓๓๓. ทุ-สเทฺทน ยุตฺตํ นามํ ทุนฺนามํฯ อนุปสงฺกมนฺตสฺสปิ อนุสิกฺขนํ เสวนาติ อธิปฺปาเยน ‘‘ภชนาติ อุปสงฺกมนา’’ติ อาหฯ สพฺพโตภาเคนาติ กายวาจาจิเตฺตหิ อาวิ เจว รโห จฯ
1333. Du-saddena yuttaṃ nāmaṃ dunnāmaṃ. Anupasaṅkamantassapi anusikkhanaṃ sevanāti adhippāyena ‘‘bhajanāti upasaṅkamanā’’ti āha. Sabbatobhāgenāti kāyavācācittehi āvi ceva raho ca.
๑๓๓๖. วินโยติ วิภงฺคขนฺธกา วุตฺตาฯ วตฺถุวีติกฺกมโต ปุเพฺพ ปรโต จ อาปตฺติํ อาปชฺชโนฺต นาม น โหตีติ สห วตฺถุนา อาปตฺติํ ปริจฺฉินฺทติฯ เตนาห ‘‘สห วตฺถุนา…เป.… อาปตฺติกุสลตา นามา’’ติฯ สห กมฺมวาจายาติ อพฺภานติณวตฺถารกกมฺมวาจาย ‘‘อหํ, ภเนฺต, อิตฺถนฺนามํ อาปตฺติํ อาปชฺชิ’’นฺติอาทิกาย จฯ สเหว หิ กมฺมวาจาย อาปตฺติวุฎฺฐานญฺจ ปริจฺฉินฺทตีติฯ อาปตฺติยา วา การณํ วตฺถุ, วุฎฺฐานสฺส การณํ กมฺมวาจาติ การเณน สห ผลสฺส ชานนวเสน ‘‘สห วตฺถุนา สห กมฺมวาจายา’’ติ วุตฺตํฯ
1336. Vinayoti vibhaṅgakhandhakā vuttā. Vatthuvītikkamato pubbe parato ca āpattiṃ āpajjanto nāma na hotīti saha vatthunā āpattiṃ paricchindati. Tenāha ‘‘saha vatthunā…pe… āpattikusalatā nāmā’’ti. Saha kammavācāyāti abbhānatiṇavatthārakakammavācāya ‘‘ahaṃ, bhante, itthannāmaṃ āpattiṃ āpajji’’ntiādikāya ca. Saheva hi kammavācāya āpattivuṭṭhānañca paricchindatīti. Āpattiyā vā kāraṇaṃ vatthu, vuṭṭhānassa kāraṇaṃ kammavācāti kāraṇena saha phalassa jānanavasena ‘‘saha vatthunā saha kammavācāyā’’ti vuttaṃ.
๑๓๓๘. อยเมวโตฺถ สห ปริกเมฺมนาติ เอตฺถ วุโตฺตฯ วุฎฺฐานกปญฺญายาติ วุฎฺฐานสฺส การณภูตาย ปริกมฺมปญฺญายฯ
1338. Ayamevattho saha parikammenāti ettha vutto. Vuṭṭhānakapaññāyāti vuṭṭhānassa kāraṇabhūtāya parikammapaññāya.
๑๓๔๐. ธาตุวิสยา สพฺพาปิ ปญฺญา ธาตุกุสลตา, ตเทกเทสา มนสิการกุสลตาติ อธิปฺปาเยน ปุริมปเทปิ อุคฺคหมนสิการชานนปญฺญา วุตฺตาฯ ปุริมปเท วา วาจุคฺคตาย ธาตุปาฬิยา มนสิกรณํ ‘‘มนสิกาโร’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ อุคฺคณฺหนฺตี มนสิกโรนฺตี ธาตุปาฬิยา อตฺถํ สุณนฺตี คนฺถโต จ อตฺถโต จ ธาเรนฺตี ‘‘อยํ จกฺขุธาตุ นามา’’ติอาทินา สภาวโต อฎฺฐารเสวาติ คณนโต จ ปริเจฺฉทํ ชานนฺตี จ ปญฺญา อุคฺคหปญฺญาทิกา วุตฺตาฯ ปจฺฉิมปเท ปญฺจวิธาปิ สา ปญฺญา อุคฺคโหติ ตโต จ ปวโตฺต อนิจฺจาทิมนสิกาโร ‘‘อุคฺคหมนสิกาโร’’ติ วุโตฺต, ตสฺส ชานนํ ปวตฺตนเมว, ยถา ปวตฺตํ วา อุคฺคหํ, เอวเมว ปวโตฺต อุคฺคโหติ ชานนํ อุคฺคหชานนํฯ มนสิกาโรปิ ‘‘เอวํ ปวเตฺตตโพฺพ เอวญฺจ ปวโตฺต’’ติ ชานนํ มนสิการชานนํฯ ตทุภยมฺปิ มนสิการโกสลฺลนฺติ วุตฺตํฯ อุคฺคโหปิ หิ มนสิการสมฺปโยคโต มนสิการนิรุตฺติํ ลทฺธุํ ยุโตฺตติ โย จ มนสิ กาตโพฺพ, โย จ มนสิกรณุปาโย, สโพฺพ โส มนสิกาโรติ วตฺตุํ วฎฺฎตีติฯ ตตฺถ จ โกสลฺลํ มนสิการกุสลตาติฯ
1340. Dhātuvisayā sabbāpi paññā dhātukusalatā, tadekadesā manasikārakusalatāti adhippāyena purimapadepi uggahamanasikārajānanapaññā vuttā. Purimapade vā vācuggatāya dhātupāḷiyā manasikaraṇaṃ ‘‘manasikāro’’ti vuttaṃ. Tattha uggaṇhantī manasikarontī dhātupāḷiyā atthaṃ suṇantī ganthato ca atthato ca dhārentī ‘‘ayaṃ cakkhudhātu nāmā’’tiādinā sabhāvato aṭṭhārasevāti gaṇanato ca paricchedaṃ jānantī ca paññā uggahapaññādikā vuttā. Pacchimapade pañcavidhāpi sā paññā uggahoti tato ca pavatto aniccādimanasikāro ‘‘uggahamanasikāro’’ti vutto, tassa jānanaṃ pavattanameva, yathā pavattaṃ vā uggahaṃ, evameva pavatto uggahoti jānanaṃ uggahajānanaṃ. Manasikāropi ‘‘evaṃ pavattetabbo evañca pavatto’’ti jānanaṃ manasikārajānanaṃ. Tadubhayampi manasikārakosallanti vuttaṃ. Uggahopi hi manasikārasampayogato manasikāraniruttiṃ laddhuṃ yuttoti yo ca manasi kātabbo, yo ca manasikaraṇupāyo, sabbo so manasikāroti vattuṃ vaṭṭatīti. Tattha ca kosallaṃ manasikārakusalatāti.
๑๓๔๒. ตีสุปิ วา…เป.… วฎฺฎตีติ ตสฺสา จ อุคฺคหาทิภาโว วุโตฺตฯ สมฺมสนํ ปญฺญา , สา มคฺคสมฺปยุตฺตา อนิจฺจาทิสมฺมสนกิจฺจํ สาเธติ นิจฺจสญฺญาทิปชหนโตฯ มนสิกาโร สมฺมสนสมฺปยุโตฺต ตเถว อนิจฺจาทิมนสิการกิจฺจํ มคฺคสมฺปยุโตฺต สาเธติฯ เตนาห ‘‘สมฺมสนมนสิการา โลกิยโลกุตฺตรมิสฺสกา’’ติฯ อิมินา ปน ปจฺจเยน อิทํ โหตีติ เอวํ อวิชฺชาทีนํ สงฺขาราทิปจฺจยุปฺปนฺนสฺส ปจฺจยภาวชานนํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทกุสลตาติ ทเสฺสติฯ
1342. Tīsupi vā…pe… vaṭṭatīti tassā ca uggahādibhāvo vutto. Sammasanaṃ paññā , sā maggasampayuttā aniccādisammasanakiccaṃ sādheti niccasaññādipajahanato. Manasikāro sammasanasampayutto tatheva aniccādimanasikārakiccaṃ maggasampayutto sādheti. Tenāha ‘‘sammasanamanasikārā lokiyalokuttaramissakā’’ti. Iminā pana paccayena idaṃ hotīti evaṃ avijjādīnaṃ saṅkhārādipaccayuppannassa paccayabhāvajānanaṃ paṭiccasamuppādakusalatāti dasseti.
๑๓๔๔. อมฺพพีชาทีนิ อนุปาทินฺนกทสฺสนตฺถํ วุตฺตานิฯ โสตวิญฺญาณาทีนํ วิสภาคา อนนุรูปา อนุปฺปาทกาเยว จกฺขาทโย ‘‘วิสภาคปจฺจยา’’ติ วุตฺตา, เตหิ อนุปฺปชฺชมานาเนว จ โสตวิญฺญาณาทีนิ ‘‘วิสภาคปจฺจยสมุปฺปนฺนธมฺมา’’ติฯ โสตวิญฺญาเณน วา วิสภาคสฺส จกฺขุวิญฺญาณสฺส ปจฺจโยติ วิสภาคปจฺจโย, จกฺขายตนสฺส วิสภาเคน โสตายตเนน ปจฺจเยน สมุปฺปโนฺน วิสภาคปจฺจยสมุปฺปโนฺนฯ
1344. Ambabījādīni anupādinnakadassanatthaṃ vuttāni. Sotaviññāṇādīnaṃ visabhāgā ananurūpā anuppādakāyeva cakkhādayo ‘‘visabhāgapaccayā’’ti vuttā, tehi anuppajjamānāneva ca sotaviññāṇādīni ‘‘visabhāgapaccayasamuppannadhammā’’ti. Sotaviññāṇena vā visabhāgassa cakkhuviññāṇassa paccayoti visabhāgapaccayo, cakkhāyatanassa visabhāgena sotāyatanena paccayena samuppanno visabhāgapaccayasamuppanno.
๑๓๔๖. อชฺชวนิเทฺทเส อชฺชโว อชฺชวตาติ อุชุตา อุชุกตา อิเจฺจว วุตฺตํ โหตีติ อชฺชวมทฺทวนิเทฺทเสสุ อุชุกตามุทุตานิเทฺทเสหิ วิเสสํ มทฺทวนิเทฺทเส วุตฺตํ ‘‘นีจจิตฺตตา’’ติปทมาหฯ ตตฺถ ‘‘นีจจิตฺตตา มุทุตา’’ติ ปุน มุทุตาวจนํ นีจจิตฺตตาย วิเสสนตฺถํฯ โอมาโนปิ หิ นีจจิตฺตตา โหติ, น ปน มุทุตาติฯ
1346. Ajjavaniddese ajjavo ajjavatāti ujutā ujukatā icceva vuttaṃ hotīti ajjavamaddavaniddesesu ujukatāmudutāniddesehi visesaṃ maddavaniddese vuttaṃ ‘‘nīcacittatā’’tipadamāha. Tattha ‘‘nīcacittatā mudutā’’ti puna mudutāvacanaṃ nīcacittatāya visesanatthaṃ. Omānopi hi nīcacittatā hoti, na pana mudutāti.
๑๓๔๘. ปเรสํ ทุกฺกฎํ ทุรุตฺตญฺจ ปฎิวิโรธากรเณน อตฺตโน อุปริ อาโรเปตฺวา วาเสนฺติฯ จิตฺตสฺส สกมนตาติ จิตฺตสฺส อพฺยาปโนฺน สโก มโนภาโวติ อโตฺถฯ จิตฺตนฺติ วา จิตฺตปฺปพนฺธํ เอกเตฺตน คเหตฺวา ตสฺส อนฺตรา อุปฺปเนฺนน ปีติสหคตมเนน สกมนตฺตํ อาหฯ อตฺตมโน วา ปุคฺคโล, ตสฺส ภาโว อตฺตมนตาฯ สา น สตฺตสฺสาติ ปุคฺคลทิฎฺฐินิวารณตฺตํ ‘‘จิตฺตสฺสา’’ติ วุตฺตํฯ
1348. Paresaṃ dukkaṭaṃ duruttañca paṭivirodhākaraṇena attano upari āropetvā vāsenti. Cittassa sakamanatāti cittassa abyāpanno sako manobhāvoti attho. Cittanti vā cittappabandhaṃ ekattena gahetvā tassa antarā uppannena pītisahagatamanena sakamanattaṃ āha. Attamano vā puggalo, tassa bhāvo attamanatā. Sā na sattassāti puggaladiṭṭhinivāraṇattaṃ ‘‘cittassā’’ti vuttaṃ.
๑๓๔๙. กายวาจาหิ กตฺตพฺพสฺส อกรเณน อสาทิยิตพฺพสฺส สาทิยเนน จ มนสาปิ อาจรติ เอว, อินฺทฺริยสํวราทิเภทนวเสน วา เอตํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
1349. Kāyavācāhi kattabbassa akaraṇena asādiyitabbassa sādiyanena ca manasāpi ācarati eva, indriyasaṃvarādibhedanavasena vā etaṃ vuttanti veditabbaṃ.
๑๓๕๐. สโทสวเณ รุเกฺข นิยฺยาสปิณฺฑิโย, อหิจฺฉตฺตกานิ วา อุฎฺฐิตานิ ‘‘อณฺฑกานี’’ติ วทนฺติฯ เผคฺคุรุกฺขสฺส ปน กุถิตสฺส อณฺฑานิ วิย อุฎฺฐิตา จุณฺณปิณฺฑิโย คณฺฐิโย วา ‘‘อณฺฑกานี’’ติ เวทิตพฺพาฯ ปทุมนาฬํ วิย โสตํ ฆํสยมานา วิย ปวิสนฺตี กกฺกสา ทฎฺฐพฺพาฯ โกเธน นิพฺพตฺตา ตสฺส ปริวารภูตา โกธสามนฺตาฯ ปุเร สํวฑฺฒนารี โปรี, สา วิย สุกุมารา มุทุกา วาจา โปรี วิยาติ โปรีฯ ตตฺถาติ ‘‘ภาสิตา โหตี’’ติ วุตฺตาย กิริยายาติปิ โยชนา สมฺภวติ, ตตฺถ วาจายาติ วาฯ สณฺหวาจตาติอาทินา ตํ วาจํ ปวตฺตยมานํ เจตนํ ทเสฺสติฯ
1350. Sadosavaṇe rukkhe niyyāsapiṇḍiyo, ahicchattakāni vā uṭṭhitāni ‘‘aṇḍakānī’’ti vadanti. Pheggurukkhassa pana kuthitassa aṇḍāni viya uṭṭhitā cuṇṇapiṇḍiyo gaṇṭhiyo vā ‘‘aṇḍakānī’’ti veditabbā. Padumanāḷaṃ viya sotaṃ ghaṃsayamānā viya pavisantī kakkasā daṭṭhabbā. Kodhena nibbattā tassa parivārabhūtā kodhasāmantā. Pure saṃvaḍḍhanārī porī, sā viya sukumārā mudukā vācā porī viyāti porī. Tatthāti ‘‘bhāsitā hotī’’ti vuttāya kiriyāyātipi yojanā sambhavati, tattha vācāyāti vā. Saṇhavācatātiādinā taṃ vācaṃ pavattayamānaṃ cetanaṃ dasseti.
๑๓๕๑. อามิสาลาเภน ยํ ฉิทฺทํ โหติ, ตํ อามิสาลาเภน ‘‘ฉิทฺท’’นฺติ วุตฺตํฯ เทฺวเยว หีติ ยถาวุตฺตานิ อามิสธมฺมาลาเภหิ ปวตฺตมานานิ ฉิทฺทานิ อาหฯ คมนสภาเคนาติ คมนมคฺคสฺส อนุจฺฉวิกทิสาภาเคนฯ สงฺคหปเกฺข ฐตฺวาติ สงฺคหํ กโรมิเจฺจว กเถตพฺพํ, น ลาภสกฺการกามตาทีหีติ อโตฺถฯ อวสฺสํ กาตพฺพํ กิจฺจํ, อิตรํ กรณียํฯ อพฺภานโต อญฺญํ อาปตฺติวุฎฺฐานํ ‘‘วุฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตํฯ
1351. Āmisālābhena yaṃ chiddaṃ hoti, taṃ āmisālābhena ‘‘chidda’’nti vuttaṃ. Dveyeva hīti yathāvuttāni āmisadhammālābhehi pavattamānāni chiddāni āha. Gamanasabhāgenāti gamanamaggassa anucchavikadisābhāgena. Saṅgahapakkhe ṭhatvāti saṅgahaṃ karomicceva kathetabbaṃ, na lābhasakkārakāmatādīhīti attho. Avassaṃ kātabbaṃ kiccaṃ, itaraṃ karaṇīyaṃ. Abbhānato aññaṃ āpattivuṭṭhānaṃ ‘‘vuṭṭhāna’’nti vuttaṃ.
๑๓๕๒. สสมฺภารกถาติ ทสฺสนสฺส การณสหิตาติ อโตฺถ, สสมฺภารสฺส วา ทสฺสนสฺส กถา สสมฺภารกถาฯ ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยาสํวรสฺส เหตูติ วตฺวา ปุน ‘‘ตสฺส จกฺขุนฺทฺริยสฺส สติกวาเฎน ปิทหนตฺถายา’’ติ วุตฺตํ, น อสํวรสฺสาติฯ ตทิทํ ยํ จกฺขุนฺทฺริยาสํวรสฺส เหตุ อภิชฺฌาทิอนฺวาสฺสวนํ ทสฺสิตํ, ตํ อสํวุตจกฺขุนฺทฺริยเสฺสว เหตุปวตฺตํ ทสฺสิตนฺติ กตฺวา วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํ, ยตฺวาธิกรณนฺติ หิ ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยสฺส การณาติ อโตฺถฯ กสฺส จ การณาติ? อสํวุตสฺสฯ กิญฺจ อสํวุตํ? ยสฺส จกฺขุนฺทฺริยาสํวรสฺส เหตุ อนฺวาสฺสวนฺติ ตทุปลกฺขิตํ, ตสฺส สํวรายาติ อยมตฺถโยชนาฯ
1352. Sasambhārakathāti dassanassa kāraṇasahitāti attho, sasambhārassa vā dassanassa kathā sasambhārakathā. Yassa cakkhundriyāsaṃvarassa hetūti vatvā puna ‘‘tassa cakkhundriyassa satikavāṭena pidahanatthāyā’’ti vuttaṃ, na asaṃvarassāti. Tadidaṃ yaṃ cakkhundriyāsaṃvarassa hetu abhijjhādianvāssavanaṃ dassitaṃ, taṃ asaṃvutacakkhundriyasseva hetupavattaṃ dassitanti katvā vuttanti veditabbaṃ, yatvādhikaraṇanti hi yassa cakkhundriyassa kāraṇāti attho. Kassa ca kāraṇāti? Asaṃvutassa. Kiñca asaṃvutaṃ? Yassa cakkhundriyāsaṃvarassa hetu anvāssavanti tadupalakkhitaṃ, tassa saṃvarāyāti ayamatthayojanā.
ชวนกฺขเณ ปน ทุสฺสีลฺยํ วาติอาทิ ปุน อวจนตฺถํ อิเธว สพฺพํ วุตฺตนฺติ ฉสุ ทฺวาเรสุ ยถาสมฺภวํ โยเชตพฺพํฯ น หิ ปญฺจทฺวาเร กายวจีทุจฺจริตสงฺขาตํ ทุสฺสีลฺยํ อตฺถีติฯ ยถา กินฺติอาทินา นครทฺวาเร อสํวเร สติ ตํสมฺพนฺธานํ ฆราทีนํ อสํวุตตา วิย ชวเน อสํวเร สติ ตํสมฺพนฺธานํ ทฺวาราทีนํ อสํวุตตาติ เอวํ อเญฺญสํ สํวเร, อเญฺญสํ สํวุตตาสามญฺญเมว นิทเสฺสติ, น ปุพฺพาปรสามญฺญํ อโนฺต พหิ สามญฺญํ วาฯ สติ วา ทฺวารภวงฺคาทิเก ปุน อุปฺปชฺชมานํ ชวนํ พาหิรํ วิย กตฺวา นครทฺวารสมานํ วุตฺตํ, อิตรญฺจ อโนฺตนครทฺวารสมานํฯ ชวเน วา อสํวเร อุปฺปเนฺน ตโต ปรํ ทฺวารภวงฺคาทีนํ อสํวรเหตุภาวาปตฺติโต นครทฺวารสทิเสน ชวเนน ปวิสิตฺวา ทุสฺสีลฺยาทิโจรานํ ทฺวารภวงฺคาทิมูสนํ กุสลภณฺฑวินาสนํ กถิตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Javanakkhaṇe pana dussīlyaṃ vātiādi puna avacanatthaṃ idheva sabbaṃ vuttanti chasu dvāresu yathāsambhavaṃ yojetabbaṃ. Na hi pañcadvāre kāyavacīduccaritasaṅkhātaṃ dussīlyaṃ atthīti. Yathā kintiādinā nagaradvāre asaṃvare sati taṃsambandhānaṃ gharādīnaṃ asaṃvutatā viya javane asaṃvare sati taṃsambandhānaṃ dvārādīnaṃ asaṃvutatāti evaṃ aññesaṃ saṃvare, aññesaṃ saṃvutatāsāmaññameva nidasseti, na pubbāparasāmaññaṃ anto bahi sāmaññaṃ vā. Sati vā dvārabhavaṅgādike puna uppajjamānaṃ javanaṃ bāhiraṃ viya katvā nagaradvārasamānaṃ vuttaṃ, itarañca antonagaradvārasamānaṃ. Javane vā asaṃvare uppanne tato paraṃ dvārabhavaṅgādīnaṃ asaṃvarahetubhāvāpattito nagaradvārasadisena javanena pavisitvā dussīlyādicorānaṃ dvārabhavaṅgādimūsanaṃ kusalabhaṇḍavināsanaṃ kathitanti daṭṭhabbaṃ.
๑๓๕๓. อิมินา อาหาเรน นิตฺถรณเตฺถน อตฺถิกภาโว อิทมตฺถิกตาฯ อาหารปริโภเค อสนฺตุสฺสนาติ อาหารปริโภคกฺขเณ ปวตฺตา อสนฺตุสฺสนา, ทวตฺถาทิอภิลาโสติ อโตฺถฯ เอตฺถ จ อสนฺตุฎฺฐิตา โลโภ, อมตฺตญฺญุตา อปฺปฎิสงฺขา จ โมโหติ อิเม เทฺว ธมฺมา ‘‘โภชเน อมตฺตญฺญุตา’’ติ เวทิตพฺพาฯ
1353. Iminā āhārena nittharaṇatthena atthikabhāvo idamatthikatā. Āhāraparibhoge asantussanāti āhāraparibhogakkhaṇe pavattā asantussanā, davatthādiabhilāsoti attho. Ettha ca asantuṭṭhitā lobho, amattaññutā appaṭisaṅkhā ca mohoti ime dve dhammā ‘‘bhojane amattaññutā’’ti veditabbā.
๑๓๕๕. ‘‘เสโยฺยหมสฺมี’’ติอาทินา ปวตฺตมาโนว มานมโทฯ อสทฺธมฺมเสวนาสมตฺถตํ นิสฺสาย ปวโตฺต มาโน, ราโค เอว วา ปุริสมโทฯ สกฺกรสปฺปิขีราทีนิ โยเชตฺวา พหลปกฺกํ โภชนํ ปิณฺฑรสโภชนํ, พหลปกฺกํ วา มํสรสาทิโภชนํฯ มนฺทนฺติ อปฺปํฯ ฐิติยาติ ฐิตตฺถํฯ ตทตฺถญฺจ ภุญฺชโนฺต ยสฺมา ‘‘กายํ ฐเปสฺสามี’’ติ ภุญฺชติ, ตสฺมา ‘‘ฐปนตฺถายา’’ติ วุตฺตํฯ อภุตฺตปจฺจยา อุปฺปชฺชนกาติ อิทํ ขุทาย วิเสสนํ ยสฺสา อปฺปวตฺติ โภชเนน กาตพฺพา, ตสฺสา ทสฺสนตฺถํฯ สกลํ สาสนนฺติ ปาฬิธมฺมมฺปิ สพฺพกุสเลปิ สงฺคณฺหาติฯ อภุตฺตปจฺจยา อุปฺปชฺชนกเวทนา, ภุตฺตปจฺจยา น อุปฺปชฺชนกเวทนาติ เอตาสํ โก วิเสโส? ปุริมา ยถาปวตฺตา ชิฆจฺฉานิมิตฺตา เวทนาฯ สา หิ อภุญฺชนฺตสฺส ภิโยฺย ปวตฺตนวเสน อุปฺปชฺชตีติฯ ปจฺฉิมาปิ ขุทานิมิตฺตาว องฺคทาหสูลาทิเวทนา อปฺปวตฺตาฯ สา หิ ภุตฺตปจฺจยา ปุเพฺพ อนุปฺปนฺนาว น อุปฺปชฺชิสฺสติฯ วิหิํสานิมิตฺตตา เจตาสํ วิหิํสาย วิเสโสฯ
1355. ‘‘Seyyohamasmī’’tiādinā pavattamānova mānamado. Asaddhammasevanāsamatthataṃ nissāya pavatto māno, rāgo eva vā purisamado. Sakkarasappikhīrādīni yojetvā bahalapakkaṃ bhojanaṃ piṇḍarasabhojanaṃ, bahalapakkaṃ vā maṃsarasādibhojanaṃ. Mandanti appaṃ. Ṭhitiyāti ṭhitatthaṃ. Tadatthañca bhuñjanto yasmā ‘‘kāyaṃ ṭhapessāmī’’ti bhuñjati, tasmā ‘‘ṭhapanatthāyā’’ti vuttaṃ. Abhuttapaccayā uppajjanakāti idaṃ khudāya visesanaṃ yassā appavatti bhojanena kātabbā, tassā dassanatthaṃ. Sakalaṃ sāsananti pāḷidhammampi sabbakusalepi saṅgaṇhāti. Abhuttapaccayā uppajjanakavedanā, bhuttapaccayā na uppajjanakavedanāti etāsaṃ ko viseso? Purimā yathāpavattā jighacchānimittā vedanā. Sā hi abhuñjantassa bhiyyo pavattanavasena uppajjatīti. Pacchimāpi khudānimittāva aṅgadāhasūlādivedanā appavattā. Sā hi bhuttapaccayā pubbe anuppannāva na uppajjissati. Vihiṃsānimittatā cetāsaṃ vihiṃsāya viseso.
ยาตฺราติ ยาปนา วุตฺตา, ปุเพฺพปิ ‘‘ยาปนายา’’ติ วุตฺตํ, โก เอตฺถ วิเสโส? ปุเพฺพ ‘‘ยาปนายาติ ชีวิตินฺทฺริยยาปนตฺถายา’’ติ วุตฺตํ, อิธ ปน จตุนฺนํ อิริยาปถานํ อวิเจฺฉทสงฺขาตา ยาปนา ยาตฺราติ อยเมตฺถ วิเสโส ฯ ทายกเทยฺยธมฺมานํ อตฺตโน จ ปมาณํ อชานิตฺวา ปฎิคฺคหณํ, สทฺธาเทยฺยวินิปาตนตฺถํ วา ปฎิคฺคหณํ อธมฺมิกปฎิคฺคหณํ, เยน วา อาปตฺติํ อาปเชฺชยฺยฯ อปจฺจเวกฺขิตปริโภโค อธเมฺมน ปริโภโคฯ อนวเชฺช อนินฺทิตเพฺพ ปจฺจเย สาวชฺชํ สนินฺทํ ปริโภเคน อตฺตานํ กโรติฯ อนวชฺชตา จ ภวิสฺสตีติ อตฺตโน ปกติอคฺคิพลาทิํ ชานิตฺวา ‘‘เอวํ เม อครหิตพฺพตา จ ภวิสฺสตี’’ติ ปมาณยุตฺตํ อาหาเรตีติ อโตฺถฯ
Yātrāti yāpanā vuttā, pubbepi ‘‘yāpanāyā’’ti vuttaṃ, ko ettha viseso? Pubbe ‘‘yāpanāyāti jīvitindriyayāpanatthāyā’’ti vuttaṃ, idha pana catunnaṃ iriyāpathānaṃ avicchedasaṅkhātā yāpanā yātrāti ayamettha viseso . Dāyakadeyyadhammānaṃ attano ca pamāṇaṃ ajānitvā paṭiggahaṇaṃ, saddhādeyyavinipātanatthaṃ vā paṭiggahaṇaṃ adhammikapaṭiggahaṇaṃ, yena vā āpattiṃ āpajjeyya. Apaccavekkhitaparibhogo adhammena paribhogo. Anavajje aninditabbe paccaye sāvajjaṃ sanindaṃ paribhogena attānaṃ karoti. Anavajjatā ca bhavissatīti attano pakatiaggibalādiṃ jānitvā ‘‘evaṃ me agarahitabbatā ca bhavissatī’’ti pamāṇayuttaṃ āhāretīti attho.
สุโข อิริยาปถวิหาโร ผาสุวิหาโรฯ เอตฺตกญฺหิ ภุญฺชิตฺวา…เป.… ปวตฺตนฺตีติ อิริยาปถานํ สุขปฺปวตฺติยา การณภูตํ ภุญฺชนํ ปิวนญฺจ อิริยาปเถหิ การณภาเวน คหิตตฺตา เตหิ สาธิตํ วิย วุตฺตํฯ ‘‘อภุตฺวา อุทกํ ปิเว’’ติ ลิขนฺติ, ‘‘ภุตฺวานา’’ติ ปน ปาโฐฯ ปุนปิ หิ อปฺปเสฺสว อนุชานนวเสน –
Sukho iriyāpathavihāro phāsuvihāro. Ettakañhi bhuñjitvā…pe… pavattantīti iriyāpathānaṃ sukhappavattiyā kāraṇabhūtaṃ bhuñjanaṃ pivanañca iriyāpathehi kāraṇabhāvena gahitattā tehi sādhitaṃ viya vuttaṃ. ‘‘Abhutvā udakaṃ pive’’ti likhanti, ‘‘bhutvānā’’ti pana pāṭho. Punapi hi appasseva anujānanavasena –
‘‘กปฺปิยํ ตํ เจ ฉาเทติ, จีวรํ อิทมตฺถิกํ;
‘‘Kappiyaṃ taṃ ce chādeti, cīvaraṃ idamatthikaṃ;
อลํ ผาสุวิหารายฯ
Alaṃ phāsuvihārāya.
‘‘ปลฺลเงฺกน นิสินฺนสฺส, ชณฺณุเก นาภิวสฺสติ;
‘‘Pallaṅkena nisinnassa, jaṇṇuke nābhivassati;
อลํ ผาสุวิหารายา’’ติฯ (เถรคา. ๙๘๔-๙๘๕) –
Alaṃ phāsuvihārāyā’’ti. (theragā. 984-985) –
อาหฯ
Āha.
โภชนานิสํโสติ ยถาวุเตฺตหิ อฎฺฐหเงฺคหิ สมนฺนาคตสฺส โภชนสฺส อครหิตพฺพตา สุขวิหาโร จ อานิสํโสติ อโตฺถฯ ยุตฺตสฺส นิโทฺทสสฺส โภชนสฺส ปริมาณสฺส จ วเสน ชานนํ ยุตฺตปมาณชานนํ นามฯ
Bhojanānisaṃsoti yathāvuttehi aṭṭhahaṅgehi samannāgatassa bhojanassa agarahitabbatā sukhavihāro ca ānisaṃsoti attho. Yuttassa niddosassa bhojanassa parimāṇassa ca vasena jānanaṃ yuttapamāṇajānanaṃ nāma.
๑๓๕๖. วินาสํ ปตฺติยา นฎฺฐา, ปฎิปเกฺขหิ อภิภูตตฺตา มุฎฺฐา จ สติ ยสฺส, โส นฎฺฐมุฎฺฐสฺสติ, ตสฺส ภาโว นฎฺฐมุฎฺฐสฺสติตาฯ
1356. Vināsaṃ pattiyā naṭṭhā, paṭipakkhehi abhibhūtattā muṭṭhā ca sati yassa, so naṭṭhamuṭṭhassati, tassa bhāvo naṭṭhamuṭṭhassatitā.
๑๓๖๘. วิสุทฺธิปฺปตฺตนฺติ มคฺคผลสีลํ วุจฺจติฯ โลกุตฺตรธมฺมาวาติ โลกุตฺตรสติอาทิธมฺมาวฯ สีลสมฺปทา ปน รูปารูปาวจรา นตฺถีติ สมฺภวโต โยเชตพฺพาฯ
1368. Visuddhippattanti maggaphalasīlaṃ vuccati. Lokuttaradhammāvāti lokuttarasatiādidhammāva. Sīlasampadā pana rūpārūpāvacarā natthīti sambhavato yojetabbā.
๑๓๗๓. โภคูปกรเณหิ สโภโคฯ จตุนฺนํ สจฺจานํ อนุโลมนฺติ จตุสจฺจปฺปฎิเวธสฺส อนุโลมนฺติ อโตฺถฯ ‘‘สจฺจาน’’นฺติ หิ ปฎิวิชฺฌิตเพฺพหิ ปฎิเวโธ วุโตฺต, จตุสจฺจปฺปฎิเวธสฺส วา อุปนิสฺสยภูตํ ปฎิวิชฺฌิตพฺพานํ จตุนฺนํ สจฺจานํ อนุโลมนฺติ วุตฺตํฯ
1373. Bhogūpakaraṇehi sabhogo. Catunnaṃ saccānaṃ anulomanti catusaccappaṭivedhassa anulomanti attho. ‘‘Saccāna’’nti hi paṭivijjhitabbehi paṭivedho vutto, catusaccappaṭivedhassa vā upanissayabhūtaṃ paṭivijjhitabbānaṃ catunnaṃ saccānaṃ anulomanti vuttaṃ.
๑๓๗๘. ‘‘มม ฆรํ ธุรํ กตฺวา ภิกฺขํ ปวิสถา’’ติ ทิยฺยมานํ ธุรภตฺตนฺติ วทนฺติฯ นิจฺจภตฺตาทิ วา อเญฺญปิ อาณาเปตฺวา สยํ ธุรํ หุตฺวา ทินฺนํ ธุรภตฺตํฯ
1378. ‘‘Mama gharaṃ dhuraṃ katvā bhikkhaṃ pavisathā’’ti diyyamānaṃ dhurabhattanti vadanti. Niccabhattādi vā aññepi āṇāpetvā sayaṃ dhuraṃ hutvā dinnaṃ dhurabhattaṃ.
๑๓๗๙. ปฎิวาเสติ นามาติ นิวเตฺตติ นาม โอสเกฺกติ นามฯ
1379. Paṭivāsetināmāti nivatteti nāma osakketi nāma.
๑๓๘๐. ปุเพฺพ นิวุตฺถกฺขนฺธาติ ปุริมชาตีสุ สนฺตติปริยาปเนฺน ขเนฺธ อาหฯ ขนฺธปฎิพทฺธนฺติ วตฺถาภรณยานคามชนปทาทิฯ ขยสมเยติ มคฺคกฺขณํ อาหฯ
1380. Pubbe nivutthakkhandhāti purimajātīsu santatipariyāpanne khandhe āha. Khandhapaṭibaddhanti vatthābharaṇayānagāmajanapadādi. Khayasamayeti maggakkhaṇaṃ āha.
๑๓๘๑. อธิมุจฺจนเฎฺฐนาติ อนิคฺคหิตปกฺขนฺทนสงฺขาเตน ยถาสุขํ ปวตฺตนเฎฺฐนฯ
1381. Adhimuccanaṭṭhenāti aniggahitapakkhandanasaṅkhātena yathāsukhaṃ pavattanaṭṭhena.
๑๓๘๒. ขีณานํ อโนฺต อวสานํ นิฎฺฐิตภาโว ขีณโนฺต, ขีณานํ วา อาทิกาโล, ตสฺมิํ ขีณเนฺตฯ เอส นโย นิรุทฺธเนฺตติอาทีสุฯ
1382. Khīṇānaṃ anto avasānaṃ niṭṭhitabhāvo khīṇanto, khīṇānaṃ vā ādikālo, tasmiṃ khīṇante. Esa nayo niruddhantetiādīsu.
ทุกนิเกฺขปกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dukanikkhepakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
นิเกฺขปกณฺฑวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Nikkhepakaṇḍavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / สุตฺตนฺติกทุกนิเกฺขปํ • Suttantikadukanikkhepaṃ
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā / สุตฺตนฺติกทุกนิเกฺขปกถา • Suttantikadukanikkhepakathā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / สุตฺตนฺติกทุกนิเกฺขปกถาวณฺณนา • Suttantikadukanikkhepakathāvaṇṇanā