Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๑๓๖] ๖. สุวณฺณหํสชาตกวณฺณนา

    [136] 6. Suvaṇṇahaṃsajātakavaṇṇanā

    ยํ ลทฺธํ เตน ตุฎฺฐพฺพนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ถุลฺลนนฺทํ ภิกฺขุนิํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิยญฺหิ อญฺญตโร อุปาสโก ภิกฺขุนิสงฺฆํ ลสุเณน ปวาเรตฺวา เขตฺตปาลํ อาณาเปสิ ‘‘สเจ ภิกฺขุนิโย อาคจฺฉนฺติ, เอเกกาย ภิกฺขุนิยา เทฺว ตโย ภณฺฑิเก เทหี’’ติฯ ตโต ปฎฺฐาย ภิกฺขุนิโย ตสฺส เคหมฺปิ เขตฺตมฺปิ ลสุณตฺถาย คจฺฉนฺติฯ อเถกสฺมิํ อุสฺสวทิวเส ตสฺส เคเห ลสุณํ ปริกฺขยํ อคมาสิฯ ถุลฺลนนฺทา ภิกฺขุนี สปริวารา เคหํ คนฺตฺวา ‘‘ลสุเณนาวุโส อโตฺถ’’ติ วตฺวา ‘‘นตฺถเยฺย, ยถาภตํ ลสุณํ ปริกฺขีณํ, เขตฺตํ คจฺฉถา’’ติ วุตฺตา เขตฺตํ คนฺตฺวา น มตฺตํ ชานิตฺวา ลสุณํ อาหราเปสิฯ เขตฺตปาโล อุชฺฌายิ ‘‘กถญฺหิ นาม ภิกฺขุนิโย น มตฺตํ ชานิตฺวา ลสุณํ หราเปสฺสนฺตี’’ติ? ตสฺส กถํ สุตฺวา ยา ตา ภิกฺขุนิโย อปฺปิจฺฉา, ตาปิ, ตาสํ สุตฺวา ภิกฺขูปิ, อุชฺฌายิํสุฯ อุชฺฌายิตฺวา จ ปน ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ ภควา ถุลฺลนนฺทํ ภิกฺขนิํ ครหิตฺวา ‘‘ภิกฺขเว, มหิโจฺฉ ปุคฺคโล นาม วิชาตมาตุยาปิ อปฺปิโย โหติ อมนาโป, อปฺปสเนฺน ปสาเทตุํ, ปสนฺนานํ วา ภิโยฺยโสมตฺตาย ปสาทํ ชเนตุํ, อนุปฺปนฺนํ วา ลาภํ อุปฺปาเทตุํ, อุปฺปนฺนํ วา ปน ลาภํ ถิรํ กาตุํ น สโกฺกติฯ อปฺปิโจฺฉ ปน ปุคฺคโล อปฺปสเนฺน ปสาเทตุํ, ปสนฺนานํ วา ภิโยฺยโสมตฺตาย ปสาทํ ชเนตุํ, อนุปฺปนฺนํ วา ลาภํ อุปฺปาเทตุํ, อุปฺปนฺนํ วา ปน ลาภํ ถิรํ กาตุํ สโกฺกตี’’ติอาทินา นเยน ภิกฺขูนํ ตทนุจฺฉวิกํ ธมฺมํ กเถตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, ถุลฺลนนฺทา อิทาเนว มหิจฺฉา, ปุเพฺพปิ มหิจฺฉาเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Yaṃ laddhaṃ tena tuṭṭhabbanti idaṃ satthā jetavane viharanto thullanandaṃ bhikkhuniṃ ārabbha kathesi. Sāvatthiyañhi aññataro upāsako bhikkhunisaṅghaṃ lasuṇena pavāretvā khettapālaṃ āṇāpesi ‘‘sace bhikkhuniyo āgacchanti, ekekāya bhikkhuniyā dve tayo bhaṇḍike dehī’’ti. Tato paṭṭhāya bhikkhuniyo tassa gehampi khettampi lasuṇatthāya gacchanti. Athekasmiṃ ussavadivase tassa gehe lasuṇaṃ parikkhayaṃ agamāsi. Thullanandā bhikkhunī saparivārā gehaṃ gantvā ‘‘lasuṇenāvuso attho’’ti vatvā ‘‘natthayye, yathābhataṃ lasuṇaṃ parikkhīṇaṃ, khettaṃ gacchathā’’ti vuttā khettaṃ gantvā na mattaṃ jānitvā lasuṇaṃ āharāpesi. Khettapālo ujjhāyi ‘‘kathañhi nāma bhikkhuniyo na mattaṃ jānitvā lasuṇaṃ harāpessantī’’ti? Tassa kathaṃ sutvā yā tā bhikkhuniyo appicchā, tāpi, tāsaṃ sutvā bhikkhūpi, ujjhāyiṃsu. Ujjhāyitvā ca pana bhagavato etamatthaṃ ārocesuṃ. Bhagavā thullanandaṃ bhikkhaniṃ garahitvā ‘‘bhikkhave, mahiccho puggalo nāma vijātamātuyāpi appiyo hoti amanāpo, appasanne pasādetuṃ, pasannānaṃ vā bhiyyosomattāya pasādaṃ janetuṃ, anuppannaṃ vā lābhaṃ uppādetuṃ, uppannaṃ vā pana lābhaṃ thiraṃ kātuṃ na sakkoti. Appiccho pana puggalo appasanne pasādetuṃ, pasannānaṃ vā bhiyyosomattāya pasādaṃ janetuṃ, anuppannaṃ vā lābhaṃ uppādetuṃ, uppannaṃ vā pana lābhaṃ thiraṃ kātuṃ sakkotī’’tiādinā nayena bhikkhūnaṃ tadanucchavikaṃ dhammaṃ kathetvā ‘‘na, bhikkhave, thullanandā idāneva mahicchā, pubbepi mahicchāyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต อญฺญตรสฺมิํ พฺราหฺมณกุเล นิพฺพตฺติฯ ตสฺส วยปฺปตฺตสฺส สมานชาติกา กุลา ปชาปติํ อาหริํสุฯ ตสฺสา นนฺทา นนฺทาวตี สุนฺทรีนนฺทาติ ติโสฺส ธีตโร อเหสุํฯ ตาสุ ปติกุลํ อคตาสุเยว โพธิสโตฺต กาลํ กตฺวา สุวณฺณหํสโยนิยํ นิพฺพตฺติ, ชาติสฺสรญาณญฺจสฺส อุปฺปชฺชิฯ โส วยปฺปโตฺต สุวณฺณสญฺฉนฺนํ โสภคฺคปฺปตฺตํ มหนฺตํ อตฺตภาวํ ทิสฺวา ‘‘กุโต นุ โข จวิตฺวา อหํ อิธูปปโนฺน’’ติ อาวเชฺชโนฺต ‘‘มนุสฺสโลกโต’’ติ ญตฺวา ปุน ‘‘กถํ นุ โข เม พฺราหฺมณี จ ธีตโร จ ชีวนฺตี’’ติ อุปธาเรโนฺต ‘‘ปเรสํ ภติํ กตฺวา กิเจฺฉน ชีวนฺตี’’ติ ญตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘มยฺหํ สรีเร โสวณฺณมยานิ ปตฺตานิ โกฎฺฎนฆฎฺฎนขมานิ, อิโต ตาสํ เอเกกํ ปตฺตํ ทสฺสามิ, เตน เม ปชาปติ จ ธีตโร จ สุขํ ชีวิสฺสนฺตี’’ติฯ โส ตตฺถ คนฺตฺวา ปิฎฺฐิวํสโกฎิยํ นิลียิ, พฺราหฺมณี จ ธีตโร จ โพธิสตฺตํ ทิสฺวา ‘‘กุโต อาคโตสิ, สามี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘อหํ ตุมฺหากํ ปิตา กาลํ กตฺวา สุวณฺณหํสโยนิยํ นิพฺพโตฺต ตุเมฺห ทฎฺฐุํ อาคโตฯ อิโต ปฎฺฐาย ตุมฺหากํ ปเรสํ ภติํ กตฺวา ทุกฺขชีวิกาย ชีวนกิจฺจํ นตฺถิ, อหํ โว เอเกกํ ปตฺตํ ทสฺสามิ, ตํ วิกฺกิณิตฺวา สุเขน ชีวถา’’ติ เอกํ ปตฺตํ ทตฺวา อคมาสิฯ โส เอเตเนว นิยาเมน อนฺตรนฺตรา อาคนฺตฺวา เอเกกํ ปตฺตํ เทติ, พฺราหฺมณี จ ธีตโร จ อฑฺฒา สุขิตา อเหสุํฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto aññatarasmiṃ brāhmaṇakule nibbatti. Tassa vayappattassa samānajātikā kulā pajāpatiṃ āhariṃsu. Tassā nandā nandāvatī sundarīnandāti tisso dhītaro ahesuṃ. Tāsu patikulaṃ agatāsuyeva bodhisatto kālaṃ katvā suvaṇṇahaṃsayoniyaṃ nibbatti, jātissarañāṇañcassa uppajji. So vayappatto suvaṇṇasañchannaṃ sobhaggappattaṃ mahantaṃ attabhāvaṃ disvā ‘‘kuto nu kho cavitvā ahaṃ idhūpapanno’’ti āvajjento ‘‘manussalokato’’ti ñatvā puna ‘‘kathaṃ nu kho me brāhmaṇī ca dhītaro ca jīvantī’’ti upadhārento ‘‘paresaṃ bhatiṃ katvā kicchena jīvantī’’ti ñatvā cintesi ‘‘mayhaṃ sarīre sovaṇṇamayāni pattāni koṭṭanaghaṭṭanakhamāni, ito tāsaṃ ekekaṃ pattaṃ dassāmi, tena me pajāpati ca dhītaro ca sukhaṃ jīvissantī’’ti. So tattha gantvā piṭṭhivaṃsakoṭiyaṃ nilīyi, brāhmaṇī ca dhītaro ca bodhisattaṃ disvā ‘‘kuto āgatosi, sāmī’’ti pucchiṃsu. ‘‘Ahaṃ tumhākaṃ pitā kālaṃ katvā suvaṇṇahaṃsayoniyaṃ nibbatto tumhe daṭṭhuṃ āgato. Ito paṭṭhāya tumhākaṃ paresaṃ bhatiṃ katvā dukkhajīvikāya jīvanakiccaṃ natthi, ahaṃ vo ekekaṃ pattaṃ dassāmi, taṃ vikkiṇitvā sukhena jīvathā’’ti ekaṃ pattaṃ datvā agamāsi. So eteneva niyāmena antarantarā āgantvā ekekaṃ pattaṃ deti, brāhmaṇī ca dhītaro ca aḍḍhā sukhitā ahesuṃ.

    อเถกทิวสํ สา พฺราหฺมณี ธีตโร อามเนฺตสิ ‘‘อมฺมา, ติรจฺฉานานํ นาม จิตฺตํ ทุชฺชานํฯ กทาจิ โว ปิตา อิธ นาคเจฺฉยฺย, อิทานิสฺส อาคตกาเล สพฺพานิ ปตฺตานิปิ ลุญฺจิตฺวา คณฺหามา’’ติฯ ตา ‘‘เอวํ โน ปิตา กิลมิสฺสตี’’ติ น สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ พฺราหฺมณี ปน มหิจฺฉตาย ปุน เอกทิวสํ สุวณฺณหํสราชสฺส อาคตกาเล ‘‘เอหิ ตาว, สามี’’ติ วตฺวา ตํ อตฺตโน สนฺติกํ อุปคตํ อุโภหิ หเตฺถหิ คเหตฺวา สพฺพปตฺตานิ ลุญฺจิฯ ตานิ ปน โพธิสตฺตสฺส รุจิํ วินา พลกฺกาเรน คหิตตฺตา สพฺพานิ พกปตฺตสทิสานิ อเหสุํฯ โพธิสโตฺต ปเกฺข ปสาเรตฺวา คนฺตุํ นาสกฺขิฯ อถ นํ สา มหาจาฎิยํ ปกฺขิปิตฺวา โปเสสิฯ ตสฺส ปุน อุฎฺฐหนฺตานิ ปตฺตานิ เสตานิ สมฺปชฺชิํสุฯ โส สญฺชาตปโตฺต อุปฺปติตฺวา อตฺตโน วสนฎฺฐานเมว คนฺตฺวา น ปุน อาคมาสิฯ

    Athekadivasaṃ sā brāhmaṇī dhītaro āmantesi ‘‘ammā, tiracchānānaṃ nāma cittaṃ dujjānaṃ. Kadāci vo pitā idha nāgaccheyya, idānissa āgatakāle sabbāni pattānipi luñcitvā gaṇhāmā’’ti. Tā ‘‘evaṃ no pitā kilamissatī’’ti na sampaṭicchiṃsu. Brāhmaṇī pana mahicchatāya puna ekadivasaṃ suvaṇṇahaṃsarājassa āgatakāle ‘‘ehi tāva, sāmī’’ti vatvā taṃ attano santikaṃ upagataṃ ubhohi hatthehi gahetvā sabbapattāni luñci. Tāni pana bodhisattassa ruciṃ vinā balakkārena gahitattā sabbāni bakapattasadisāni ahesuṃ. Bodhisatto pakkhe pasāretvā gantuṃ nāsakkhi. Atha naṃ sā mahācāṭiyaṃ pakkhipitvā posesi. Tassa puna uṭṭhahantāni pattāni setāni sampajjiṃsu. So sañjātapatto uppatitvā attano vasanaṭṭhānameva gantvā na puna āgamāsi.

    สตฺถา อิมํ อตีตํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, ถุลฺลนนฺทา อิทาเนว มหิจฺฉา, ปุเพฺพปิ มหิจฺฉาเยว , มหิจฺฉตาย จ ปน สุวณฺณมฺหา ปริหีนาฯ อิทานิ ปน อตฺตโน มหิจฺฉตาย เอว ลสุณมฺหาปิ ปริหายิสฺสติ, ตสฺมา อิโต ปฎฺฐาย ลสุณํ ขาทิตุํ น ลภิสฺสติฯ ยถา จ ถุลฺลนนฺทา, เอวํ ตํ นิสฺสาย เสสภิกฺขุนิโยปิฯ ตสฺมา พหุํ ลภิตฺวาปิ ปมาณเมว ชานิตพฺพํ, อปฺปํ ลภิตฺวา ปน ยถาลเทฺธเนว สโนฺตโส กาตโพฺพ, อุตฺตริ น ปเตฺถตพฺพ’’นฺติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Satthā imaṃ atītaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, thullanandā idāneva mahicchā, pubbepi mahicchāyeva , mahicchatāya ca pana suvaṇṇamhā parihīnā. Idāni pana attano mahicchatāya eva lasuṇamhāpi parihāyissati, tasmā ito paṭṭhāya lasuṇaṃ khādituṃ na labhissati. Yathā ca thullanandā, evaṃ taṃ nissāya sesabhikkhuniyopi. Tasmā bahuṃ labhitvāpi pamāṇameva jānitabbaṃ, appaṃ labhitvā pana yathāladdheneva santoso kātabbo, uttari na patthetabba’’nti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ๑๓๖.

    136.

    ‘‘ยํ ลทฺธํ เตน ตุฎฺฐพฺพํ, อติโลโภ หิ ปาปโก;

    ‘‘Yaṃ laddhaṃ tena tuṭṭhabbaṃ, atilobho hi pāpako;

    หํสราชํ คเหตฺวาน, สุวณฺณา ปริหายถา’’ติฯ

    Haṃsarājaṃ gahetvāna, suvaṇṇā parihāyathā’’ti.

    ตตฺถ ตุฎฺฐพฺพนฺติ ตุสฺสิตพฺพํฯ

    Tattha tuṭṭhabbanti tussitabbaṃ.

    อิทํ ปน วตฺวา สตฺถา อเนกปริยาเยน ครหิตฺวา ‘‘ยา ปน ภิกฺขุนี ลสุณํ ขาเทยฺย, ปาจิตฺติย’’นฺติ (ปาจิ. ๗๙๔) สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา พฺราหฺมณี อยํ ถุลฺลนนฺทา อโหสิ, ติโสฺส ธีตโร อิทานิ ติโสฺสเยว ภคินิโย, สุวณฺณหํสราชา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Idaṃ pana vatvā satthā anekapariyāyena garahitvā ‘‘yā pana bhikkhunī lasuṇaṃ khādeyya, pācittiya’’nti (pāci. 794) sikkhāpadaṃ paññāpetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā brāhmaṇī ayaṃ thullanandā ahosi, tisso dhītaro idāni tissoyeva bhaginiyo, suvaṇṇahaṃsarājā pana ahameva ahosi’’nti.

    สุวณฺณหํสชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ

    Suvaṇṇahaṃsajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๑๓๖. สุวณฺณหํสชาตกํ • 136. Suvaṇṇahaṃsajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact