Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā

    ๑๓. สุวณฺณสามจริยาวณฺณนา

    13. Suvaṇṇasāmacariyāvaṇṇanā

    ๑๑๑. เตรสเม สาโม ยทา วเน อาสินฺติ หิมวนฺตสฺมิํ มิคสมฺมตาย นาม นทิยา ตีเร มหติ อรเญฺญ สาโม นาม ตาปสกุมาโร ยทา อโหสิฯ สเกฺกน อภินิมฺมิโตติ สกฺกสฺส เทวานมินฺทสฺส อุปเทสสมฺปตฺติยา ชาตตฺตา สเกฺกน นิพฺพตฺติโต ชนิโตฯ ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – อตีเต พาราณสิโต อวิทูเร นทิยา ตีเร เอโก เนสาทคาโม อโหสิฯ ตตฺถ เชฎฺฐเนสาทสฺส ปุโตฺต ชาโตฯ ตสฺส ‘‘ทุกูโล’’ติ นามมกํสุฯ ตสฺสา เอว นทิยา ปรตีเรปิ เอโก เนสาทคาโม อโหสิฯ ตตฺถ เชฎฺฐเนสาทสฺส ธีตา ชาตาฯ ตสฺสา ‘‘ปาริกา’’ติ นามมกํสุฯ เต อุโภปิ พฺรหฺมโลกโต อาคตา สุทฺธสตฺตาฯ เตสํ วยปฺปตฺตานํ อนิจฺฉมานานํเยว อาวาหวิวาหํ กริํสุฯ เต อุโภปิ กิเลสสมุทฺทํ อโนตริตฺวา พฺรหฺมาโน วิย เอกโต วสิํสุฯ น จ กิญฺจิ เนสาทกมฺมํ กโรนฺติฯ

    111. Terasame sāmo yadā vane āsinti himavantasmiṃ migasammatāya nāma nadiyā tīre mahati araññe sāmo nāma tāpasakumāro yadā ahosi. Sakkena abhinimmitoti sakkassa devānamindassa upadesasampattiyā jātattā sakkena nibbattito janito. Tatrāyaṃ anupubbikathā – atīte bārāṇasito avidūre nadiyā tīre eko nesādagāmo ahosi. Tattha jeṭṭhanesādassa putto jāto. Tassa ‘‘dukūlo’’ti nāmamakaṃsu. Tassā eva nadiyā paratīrepi eko nesādagāmo ahosi. Tattha jeṭṭhanesādassa dhītā jātā. Tassā ‘‘pārikā’’ti nāmamakaṃsu. Te ubhopi brahmalokato āgatā suddhasattā. Tesaṃ vayappattānaṃ anicchamānānaṃyeva āvāhavivāhaṃ kariṃsu. Te ubhopi kilesasamuddaṃ anotaritvā brahmāno viya ekato vasiṃsu. Na ca kiñci nesādakammaṃ karonti.

    อถ ทุกูลํ มาตาปิตโร ‘‘ตาต, ตฺวํ เนสาทกมฺมํ น กโรสิ, เนว ฆราวาสํ อิจฺฉสิ, กิํ นาม กริสฺสสี’’ติ อาหํสุฯ โส ‘‘ตุเมฺหสุ อนุชานเนฺตสุ ปพฺพชิสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘เตน หิ ปพฺพชาหี’’ติฯ เทฺวปิ ชนา หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา ยสฺมิํ ฐาเน มิคสมฺมตา นาม นที หิมวนฺตโต โอตริตฺวา คงฺคํ ปตฺตา, ตํ ฐานํ คนฺตฺวา คงฺคํ ปหาย มิคสมฺมตาภิมุขา อภิรุหิํสุฯ ตทา สกฺกสฺส ภวนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ สโกฺก ตํ การณํ ญตฺวา วิสฺสกมฺมุนา ตสฺมิํ ฐาเน อสฺสมํ มาเปสิฯ เต ตตฺถ คนฺตฺวา ปพฺพชิตฺวา สกฺกทตฺติเย อสฺสเม กามาวจรเมตฺตํ ภาเวตฺวา ปฎิวสิํสุฯ สโกฺกปิ เตสํ อุปฎฺฐานํ อาคจฺฉติฯ

    Atha dukūlaṃ mātāpitaro ‘‘tāta, tvaṃ nesādakammaṃ na karosi, neva gharāvāsaṃ icchasi, kiṃ nāma karissasī’’ti āhaṃsu. So ‘‘tumhesu anujānantesu pabbajissāmī’’ti āha. ‘‘Tena hi pabbajāhī’’ti. Dvepi janā himavantaṃ pavisitvā yasmiṃ ṭhāne migasammatā nāma nadī himavantato otaritvā gaṅgaṃ pattā, taṃ ṭhānaṃ gantvā gaṅgaṃ pahāya migasammatābhimukhā abhiruhiṃsu. Tadā sakkassa bhavanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. Sakko taṃ kāraṇaṃ ñatvā vissakammunā tasmiṃ ṭhāne assamaṃ māpesi. Te tattha gantvā pabbajitvā sakkadattiye assame kāmāvacaramettaṃ bhāvetvā paṭivasiṃsu. Sakkopi tesaṃ upaṭṭhānaṃ āgacchati.

    โส เอกทิวสํ ‘‘เตสํ จกฺขู ปริหายิสฺสนฺตี’’ติ ญตฺวา อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ภเนฺต, โว จกฺขูนํ อนฺตราโย ปญฺญายติ, ปฎิชคฺคนกํ ปุตฺตํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, ชานามิ ตุมฺหากํ สุทฺธจิตฺตตํ, ตสฺมา ปาริกาย อุตุนิกาเล นาภิํ หเตฺถน ปรามเสยฺยาถ , เอวํ โว ปุโตฺต ชายิสฺสติ, โส โว อุปฎฺฐหิสฺสตี’’ติ วตฺวา ปกฺกามิฯ ทุกูลปณฺฑิโต ตํ การณํ ปาริกาย อาจิกฺขิตฺวา ตสฺสา อุตุนิกาเล นาภิํ ปรามสิฯ ตทา โพธิสโตฺต เทวโลกา จวิตฺวา ตสฺสา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, สา ทสมาสจฺจเยน สุวณฺณวณฺณํ ปุตฺตํ วิชายิฯ เตเนวสฺส ‘‘สุวณฺณสาโม’’ติ นามํ กริํสุฯ ตํ อปรภาเค วฑฺฒิตฺวา โสฬสวสฺสุเทฺทสิกมฺปิ มาตาปิตโร รกฺขนฺตา อสฺสเม นิสีทาเปตฺวา สยเมว วนมูลผลาผลตฺถาย คจฺฉนฺติฯ

    So ekadivasaṃ ‘‘tesaṃ cakkhū parihāyissantī’’ti ñatvā upasaṅkamitvā ‘‘bhante, vo cakkhūnaṃ antarāyo paññāyati, paṭijagganakaṃ puttaṃ laddhuṃ vaṭṭati, jānāmi tumhākaṃ suddhacittataṃ, tasmā pārikāya utunikāle nābhiṃ hatthena parāmaseyyātha , evaṃ vo putto jāyissati, so vo upaṭṭhahissatī’’ti vatvā pakkāmi. Dukūlapaṇḍito taṃ kāraṇaṃ pārikāya ācikkhitvā tassā utunikāle nābhiṃ parāmasi. Tadā bodhisatto devalokā cavitvā tassā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi, sā dasamāsaccayena suvaṇṇavaṇṇaṃ puttaṃ vijāyi. Tenevassa ‘‘suvaṇṇasāmo’’ti nāmaṃ kariṃsu. Taṃ aparabhāge vaḍḍhitvā soḷasavassuddesikampi mātāpitaro rakkhantā assame nisīdāpetvā sayameva vanamūlaphalāphalatthāya gacchanti.

    อเถกทิวสํ วเน ผลาผลํ อาทาย นิวตฺติตฺวา อสฺสมปทโต อวิทูเร เมเฆ อุฎฺฐิเต รุกฺขมูลํ ปวิสิตฺวา วมฺมิกมตฺถเก ฐิตานํ สรีรโต เสทคนฺธมิสฺสเก อุทเก ตสฺมิํ วมฺมิกพิเล ฐิตสฺส อาสิวิสสฺส นาสาปุฎํ ปวิเฎฺฐ อาสิวิโส กุชฺฌิตฺวา นาสาวาเตน ปหริฯ เทฺว อนฺธา หุตฺวา ปริเทวมานา วิรวิํสุฯ อถ มหาสโตฺต ‘‘มม มาตาปิตโร อติจิรายนฺติ, กา นุ โข เตสํ ปวตฺตี’’ติ ปฎิมคฺคํ คนฺตฺวา สทฺทมกาสิฯ เต ตสฺส สทฺทํ สญฺชานิตฺวา ปฎิสทฺทํ กตฺวา ปุตฺตสิเนเหน ‘‘ตาต สาม, อิธ ปริปโนฺถ อตฺถิ, มา อาคมี’’ติ วตฺวา สทฺทานุสาเรน สยเมว สมาคมิํสุฯ โส ‘‘เกน โว การเณน จกฺขูนิ วินฎฺฐานี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ตาต, มยํ น ชานาม, เทเว วสฺสเนฺต รุกฺขมูเล วมฺมิกมตฺถเก ฐิตา, อถ น ปสฺสามา’’ติ วุตฺตมเตฺต เอว อญฺญาสิ ‘‘ตตฺถ อาสิวิเสน ภวิตพฺพํ, เตน กุเทฺธน นาสาวาโต วิสฺสโฎฺฐ ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Athekadivasaṃ vane phalāphalaṃ ādāya nivattitvā assamapadato avidūre meghe uṭṭhite rukkhamūlaṃ pavisitvā vammikamatthake ṭhitānaṃ sarīrato sedagandhamissake udake tasmiṃ vammikabile ṭhitassa āsivisassa nāsāpuṭaṃ paviṭṭhe āsiviso kujjhitvā nāsāvātena pahari. Dve andhā hutvā paridevamānā viraviṃsu. Atha mahāsatto ‘‘mama mātāpitaro aticirāyanti, kā nu kho tesaṃ pavattī’’ti paṭimaggaṃ gantvā saddamakāsi. Te tassa saddaṃ sañjānitvā paṭisaddaṃ katvā puttasinehena ‘‘tāta sāma, idha paripantho atthi, mā āgamī’’ti vatvā saddānusārena sayameva samāgamiṃsu. So ‘‘kena vo kāraṇena cakkhūni vinaṭṭhānī’’ti pucchitvā ‘‘tāta, mayaṃ na jānāma, deve vassante rukkhamūle vammikamatthake ṭhitā, atha na passāmā’’ti vuttamatte eva aññāsi ‘‘tattha āsivisena bhavitabbaṃ, tena kuddhena nāsāvāto vissaṭṭho bhavissatī’’ti.

    อถ ‘‘มา จินฺตยิตฺถ, อหํ โว ปฎิชคฺคิสฺสามี’’ติ มาตาปิตโร อสฺสมํ เนตฺวา เตสํ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานาทิสญฺจรณฎฺฐาเน รชฺชุเก พนฺธิฯ ตโต ปฎฺฐาย เต อสฺสเม ฐเปตฺวา วนมูลผลาผลานิ อาหรติ, ปาโตว วสนฎฺฐานํ สมฺมชฺชติ, ปานียํ อาหรติ, ปริโภชนียํ อุปฎฺฐาเปติ, ทนฺตกฎฺฐมุโขทกานิ ทตฺวา มธุรผลาผลํ เทติฯ เตหิ มุเข วิกฺขาลิเต สยํ ปริภุญฺชิตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา เตสํ อวิทูเรเยว อจฺฉติ – ‘‘กิํ นุ โข อิเม อาณาเปนฺตี’’ติฯ วิเสเสน จ เมตฺตํ พหุลมกาสิ, เตนสฺส สตฺตา อปฺปฎิกฺกูลา อเหสุํ ฯ ยถา จสฺส สตฺตา, เอวํ สตฺตานํ โส โพธิสโตฺต อปฺปฎิกฺกูโลฯ เอวํ โส ทิวเส ทิวเส ผลาผลตฺถาย อรญฺญํ คจฺฉโนฺตปิ อาคจฺฉโนฺตปิ มิคคณปริวุโต เอว อโหสิฯ สีหพฺยคฺฆาทิวิปกฺขสตฺตาปิ เตน สทฺธิํ อติวิย วิสฺสตฺถา, เมตฺตานุภาเวน ปนสฺส วสนฎฺฐาเน อญฺญมญฺญํ ติรจฺฉานคตา มุทุจิตฺตตํ ปฎิลภิํสุฯ อิติ โส สพฺพตฺถ เมตฺตานุภาเวน อภีรู อนุตฺราสี พฺรหฺมา วิย อเวโร วิหาสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ปวเน สีหพฺยเคฺฆ จ, เมตฺตายมุปนามยิ’’นฺติอาทิฯ

    Atha ‘‘mā cintayittha, ahaṃ vo paṭijaggissāmī’’ti mātāpitaro assamaṃ netvā tesaṃ rattiṭṭhānadivāṭṭhānādisañcaraṇaṭṭhāne rajjuke bandhi. Tato paṭṭhāya te assame ṭhapetvā vanamūlaphalāphalāni āharati, pātova vasanaṭṭhānaṃ sammajjati, pānīyaṃ āharati, paribhojanīyaṃ upaṭṭhāpeti, dantakaṭṭhamukhodakāni datvā madhuraphalāphalaṃ deti. Tehi mukhe vikkhālite sayaṃ paribhuñjitvā mātāpitaro vanditvā tesaṃ avidūreyeva acchati – ‘‘kiṃ nu kho ime āṇāpentī’’ti. Visesena ca mettaṃ bahulamakāsi, tenassa sattā appaṭikkūlā ahesuṃ . Yathā cassa sattā, evaṃ sattānaṃ so bodhisatto appaṭikkūlo. Evaṃ so divase divase phalāphalatthāya araññaṃ gacchantopi āgacchantopi migagaṇaparivuto eva ahosi. Sīhabyagghādivipakkhasattāpi tena saddhiṃ ativiya vissatthā, mettānubhāvena panassa vasanaṭṭhāne aññamaññaṃ tiracchānagatā muducittataṃ paṭilabhiṃsu. Iti so sabbattha mettānubhāvena abhīrū anutrāsī brahmā viya avero vihāsi. Tena vuttaṃ ‘‘pavane sīhabyagghe ca, mettāyamupanāmayi’’ntiādi.

    ตตฺถ เมตฺตายมุปนามยินฺติ -กาโร ปทสนฺธิกโร, เมตฺตาภาวนาย กุรูรกมฺมเนฺต สีหพฺยเคฺฆปิ ผริ, ปเคว เสสสเตฺตติ อธิปฺปาโยฯ อถ วา เมตฺตา อยติ ปวตฺตติ เอเตนาติ เมตฺตาโย, เมตฺตาภาวนาฯ ตํ เมตฺตายํ อุปนามยิํ สเตฺตสุ อโนธิโส อุปเนสิํฯ ‘‘สีหพฺยเคฺฆหี’’ติปิ ปาโฐฯ ตสฺสโตฺถ – น เกวลมหเมว, อถ โข ปวเน สีหพฺยเคฺฆหิ, ยสฺมิํ มหาวเน ตทา อหํ วิหรามิ, ตตฺถ สีหพฺยเคฺฆหิ สทฺธิํ อหํ สเตฺตสุ เมตฺตํ อุปนาเมสิํฯ สีหพฺยคฺฆาปิ หิ ตทา มมานุภาเวน สเตฺตสุ เมตฺตจิตฺตตํ ปฎิลภิํสุ, ปเคว อิตเร สตฺตาติ ทเสฺสติฯ

    Tattha mettāyamupanāmayinti ma-kāro padasandhikaro, mettābhāvanāya kurūrakammante sīhabyagghepi phari, pageva sesasatteti adhippāyo. Atha vā mettā ayati pavattati etenāti mettāyo, mettābhāvanā. Taṃ mettāyaṃ upanāmayiṃ sattesu anodhiso upanesiṃ. ‘‘Sīhabyagghehī’’tipi pāṭho. Tassattho – na kevalamahameva, atha kho pavane sīhabyagghehi, yasmiṃ mahāvane tadā ahaṃ viharāmi, tattha sīhabyagghehi saddhiṃ ahaṃ sattesu mettaṃ upanāmesiṃ. Sīhabyagghāpi hi tadā mamānubhāvena sattesu mettacittataṃ paṭilabhiṃsu, pageva itare sattāti dasseti.

    ๑๑๒. ปสทมิควราเหหีติ ปสทมิเคหิ เจว วนสูกเรหิ จฯ ปริวาเรตฺวาติ เอเตหิ อตฺตานํ ปริวาริตํ กตฺวา ตสฺมิํ อรเญฺญ วสิํ

    112.Pasadamigavarāhehīti pasadamigehi ceva vanasūkarehi ca. Parivāretvāti etehi attānaṃ parivāritaṃ katvā tasmiṃ araññe vasiṃ.

    ๑๑๓. อิทานิ ตทา อตฺตโน เมตฺตาภาวนาย ลทฺธํ อานิสํสํ มตฺถกปฺปตฺติญฺจสฺส ทเสฺสตุํ ‘‘น มํ โกจิ อุตฺตสตี’’ติ โอสานคาถมาหฯ ตสฺสโตฺถ – สสพิฬาราทิโก ภีรุกชาติโกปิ โกจิ สโตฺต มํ น อุตฺตสติ น อุพฺพิเชฺชติฯ อหมฺปิ กสฺสจิ สีหพฺยคฺฆาทิติรจฺฉานโต ยกฺขาทิอมนุสฺสโต ลุทฺทโลหิตปาณิมนุสฺสโตติ กุโตจิปิ น ภายามิฯ กสฺมา? ยสฺมา เมตฺตาพเลนุปตฺถโทฺธ จิรกาลํ ภาวิตาย เมตฺตาปารมิตายานุภาเวน อุปตฺถมฺภิโต ตสฺมิํ ปวเน มหาอรเญฺญ ตทา รมามิ อภิรมามีติฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ

    113. Idāni tadā attano mettābhāvanāya laddhaṃ ānisaṃsaṃ matthakappattiñcassa dassetuṃ ‘‘na maṃ koci uttasatī’’ti osānagāthamāha. Tassattho – sasabiḷārādiko bhīrukajātikopi koci satto maṃ na uttasati na ubbijjeti. Ahampi kassaci sīhabyagghāditiracchānato yakkhādiamanussato luddalohitapāṇimanussatoti kutocipi na bhāyāmi. Kasmā? Yasmā mettābalenupatthaddho cirakālaṃ bhāvitāya mettāpāramitāyānubhāvena upatthambhito tasmiṃ pavane mahāaraññe tadā ramāmi abhiramāmīti. Sesaṃ suviññeyyameva.

    เอวํ ปน มหาสโตฺต สพฺพสเตฺต เมตฺตายโนฺต มาตาปิตโร จ สาธุกํ ปฎิชคฺคโนฺต เอกทิวสํ อรญฺญโต มธุรผลาผลํ อาหริตฺวา อสฺสเม ฐเปตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา ‘‘ปานียํ อาทาย อาคมิสฺสามี’’ติ มิคคณปริวุโต เทฺว มิเค เอกโต กตฺวา เตสํ ปิฎฺฐิยํ ปานียฆฎํ ฐเปตฺวา หเตฺถน คเหตฺวา นทีติตฺถํ อคมาสิฯ ตสฺมิํ สมเย พาราณสิยํ ปีฬิยโกฺข นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ โส มิคมํสโลเภน มาตรํ รชฺชํ ปฎิจฺฉาเปตฺวา สนฺนทฺธปญฺจาวุโธ หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา มิเค วธิตฺวา มํสํ ขาทิตฺวา จรโนฺต มิคสมฺมตํ นทิํ ปตฺวา อนุปุเพฺพน สามสฺส ปานียคหณติตฺถํ ปโตฺตฯ มิคปทวลญฺชํ ทิสฺวา คจฺฉโนฺต ตํ ตถา คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มยา เอตฺตกํ กาลํ เอวํ วิจรโนฺต มนุโสฺส น ทิฎฺฐปุโพฺพ, เทโว นุ โข เอส นาโค นุ โข, สจาหํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิสฺสามิ, สหสา ปกฺกเมยฺยาติฯ ยํนูนาหํ เอตํ วิชฺฌิตฺวา ทุพฺพลํ กตฺวา ปุเจฺฉยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา มหาสตฺตํ นฺหตฺวา วากจีรํ นิวาเสตฺวา อชินจมฺมํ เอกํสํ กริตฺวา ปานียฆฎํ ปูเรตฺวา อุกฺขิปิตฺวา วามํสกูเฎ ฐปนกาเล ‘‘อิทานิ ตํ วิชฺฌิตุํ สมโย’’ติ วิสปีเตน สเรน ทกฺขิณปเสฺส วิชฺฌิฯ สโร วามปเสฺสน นิกฺขมิฯ ตสฺส วิทฺธภาวํ ญตฺวา มิคคโณ ภีโต ปลายิฯ

    Evaṃ pana mahāsatto sabbasatte mettāyanto mātāpitaro ca sādhukaṃ paṭijagganto ekadivasaṃ araññato madhuraphalāphalaṃ āharitvā assame ṭhapetvā mātāpitaro vanditvā ‘‘pānīyaṃ ādāya āgamissāmī’’ti migagaṇaparivuto dve mige ekato katvā tesaṃ piṭṭhiyaṃ pānīyaghaṭaṃ ṭhapetvā hatthena gahetvā nadītitthaṃ agamāsi. Tasmiṃ samaye bārāṇasiyaṃ pīḷiyakkho nāma rājā rajjaṃ kāresi. So migamaṃsalobhena mātaraṃ rajjaṃ paṭicchāpetvā sannaddhapañcāvudho himavantaṃ pavisitvā mige vadhitvā maṃsaṃ khāditvā caranto migasammataṃ nadiṃ patvā anupubbena sāmassa pānīyagahaṇatitthaṃ patto. Migapadavalañjaṃ disvā gacchanto taṃ tathā gacchantaṃ disvā ‘‘mayā ettakaṃ kālaṃ evaṃ vicaranto manusso na diṭṭhapubbo, devo nu kho esa nāgo nu kho, sacāhaṃ upasaṅkamitvā pucchissāmi, sahasā pakkameyyāti. Yaṃnūnāhaṃ etaṃ vijjhitvā dubbalaṃ katvā puccheyya’’nti cintetvā mahāsattaṃ nhatvā vākacīraṃ nivāsetvā ajinacammaṃ ekaṃsaṃ karitvā pānīyaghaṭaṃ pūretvā ukkhipitvā vāmaṃsakūṭe ṭhapanakāle ‘‘idāni taṃ vijjhituṃ samayo’’ti visapītena sarena dakkhiṇapasse vijjhi. Saro vāmapassena nikkhami. Tassa viddhabhāvaṃ ñatvā migagaṇo bhīto palāyi.

    สามปณฺฑิโต ปน วิโทฺธปิ ปานียฆฎํ ยถา วา ตถา วา อนวสุเมฺภตฺวา สติํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา สณิกํ โอตาเรตฺวา วาลุกํ พฺยูหิตฺวา ฐเปตฺวา ทิสํ ววตฺถเปตฺวา มาตาปิตูนํ วสนฎฺฐานทิสาภาเคน สีสํ กตฺวา นิปชฺชิตฺวา มุเขน โลหิตํ ฉเฑฺฑตฺวา ‘‘มม โกจิ เวรี นาม นตฺถิ, มมปิ กตฺถจิ เวรํ นาม นตฺถี’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Sāmapaṇḍito pana viddhopi pānīyaghaṭaṃ yathā vā tathā vā anavasumbhetvā satiṃ paccupaṭṭhāpetvā saṇikaṃ otāretvā vālukaṃ byūhitvā ṭhapetvā disaṃ vavatthapetvā mātāpitūnaṃ vasanaṭṭhānadisābhāgena sīsaṃ katvā nipajjitvā mukhena lohitaṃ chaḍḍetvā ‘‘mama koci verī nāma natthi, mamapi katthaci veraṃ nāma natthī’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘โก นุ มํ อุสุนา วิชฺฌิ, ปมตฺตํ อุทหารกํ;

    ‘‘Ko nu maṃ usunā vijjhi, pamattaṃ udahārakaṃ;

    ขตฺติโย พฺราหฺมโณ เวโสฺส, โก มํ วิทฺธา นิลียตี’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๒๙๖);

    Khattiyo brāhmaṇo vesso, ko maṃ viddhā nilīyatī’’ti. (jā. 2.22.296);

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘อยํ มยา วิชฺฌิตฺวา ปถวิยํ ปาติโตปิ เนว มํ อโกฺกสติ น ปริภาสติ, มม หทยมํสํ สมฺพาหโนฺต วิย ปิยวจเนน สมุทาจรติ, คมิสฺสามิสฺส สนฺติก’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อุปสงฺกมิตฺวา อตฺตานํ อตฺตนา จ วิทฺธภาวํ อาวิกตฺวา ‘‘โก วา ตฺวํ กสฺส วา ปุโตฺต’’ติ มหาสตฺตํ ปุจฺฉิฯ

    Taṃ sutvā rājā ‘‘ayaṃ mayā vijjhitvā pathaviyaṃ pātitopi neva maṃ akkosati na paribhāsati, mama hadayamaṃsaṃ sambāhanto viya piyavacanena samudācarati, gamissāmissa santika’’nti cintetvā upasaṅkamitvā attānaṃ attanā ca viddhabhāvaṃ āvikatvā ‘‘ko vā tvaṃ kassa vā putto’’ti mahāsattaṃ pucchi.

    โส ‘‘สาโม นามาหํ ทุกูลปณฺฑิตสฺส นาม เนสาทอิสิโน ปุโตฺต, กิสฺส ปน มํ วิชฺฌี’’ติ อาหฯ โส ปฐมํ ‘‘มิคสญฺญายา’’ติ มุสาวาทํ วตฺวา ‘‘อหํ อิมํ นิรปราธํ อการเณน วิชฺฌิ’’นฺติ อนุโสจิตฺวา ยถาภูตํ อาวิกตฺวา ตสฺส มาตาปิตูนํ วสนฎฺฐานํ ปุจฺฉิตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา เตสํ อตฺตานํ อาวิกตฺวา เตหิ กตปฎิสนฺถาโร ‘‘สาโม มยา วิโทฺธ’’ติ วตฺวา เต ปริเทวเนฺต โสกสมาปเนฺน ‘‘ยํ สาเมน กตฺตพฺพํ ปริจาริกกมฺมํ, ตํ กตฺวา อหํ โว อุปฎฺฐหิสฺสามี’’ติ สมสฺสาเสตฺวา สามสฺส สนฺติกํ อาเนสิฯ เต ตตฺถ คนฺตฺวา นานปฺปการํ ปริเทวิตฺวา ตสฺส อุเร หตฺถํ ฐเปตฺวา ‘‘ปุตฺตสฺส เม สรีเร อุสุมา วตฺตเตว, วิสเวเคน วิสญฺญิตํ อาปโนฺน ภวิสฺสตีติ นิพฺพิสภาวตฺถาย สจฺจกิริยํ กริสฺสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา –

    So ‘‘sāmo nāmāhaṃ dukūlapaṇḍitassa nāma nesādaisino putto, kissa pana maṃ vijjhī’’ti āha. So paṭhamaṃ ‘‘migasaññāyā’’ti musāvādaṃ vatvā ‘‘ahaṃ imaṃ niraparādhaṃ akāraṇena vijjhi’’nti anusocitvā yathābhūtaṃ āvikatvā tassa mātāpitūnaṃ vasanaṭṭhānaṃ pucchitvā tattha gantvā tesaṃ attānaṃ āvikatvā tehi katapaṭisanthāro ‘‘sāmo mayā viddho’’ti vatvā te paridevante sokasamāpanne ‘‘yaṃ sāmena kattabbaṃ paricārikakammaṃ, taṃ katvā ahaṃ vo upaṭṭhahissāmī’’ti samassāsetvā sāmassa santikaṃ ānesi. Te tattha gantvā nānappakāraṃ paridevitvā tassa ure hatthaṃ ṭhapetvā ‘‘puttassa me sarīre usumā vattateva, visavegena visaññitaṃ āpanno bhavissatīti nibbisabhāvatthāya saccakiriyaṃ karissāmā’’ti cintetvā –

    ‘‘ยํ กิญฺจิตฺถิ กตํ ปุญฺญํ, มยฺหเญฺจว ปิตุจฺจ เต;

    ‘‘Yaṃ kiñcitthi kataṃ puññaṃ, mayhañceva pitucca te;

    สเพฺพน เตน กุสเลน, วิสํ สามสฺส หญฺญตู’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๓๘๘) –

    Sabbena tena kusalena, visaṃ sāmassa haññatū’’ti. (jā. 2.22.388) –

    มาตรา,

    Mātarā,

    ‘‘ยํ กิญฺจิตฺถิ กตํ ปุญฺญํ, มยฺหเญฺจว มาตุจฺจ เต;

    ‘‘Yaṃ kiñcitthi kataṃ puññaṃ, mayhañceva mātucca te;

    สเพฺพน เตน กุสเลน, วิสํ สามสฺส หญฺญตู’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๓๙๖) –

    Sabbena tena kusalena, visaṃ sāmassa haññatū’’ti. (jā. 2.22.396) –

    ปิตรา,

    Pitarā,

    ‘‘ปพฺพตฺยาหํ คนฺธมาทเน, จิรรตฺตนิวาสินี;

    ‘‘Pabbatyāhaṃ gandhamādane, cirarattanivāsinī;

    น เม ปิยตโร โกจิ, อโญฺญ สาเมน วิชฺชติ;

    Na me piyataro koci, añño sāmena vijjati;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, วิสํ สามสฺส หญฺญตู’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๓๙๘) –

    Etena saccavajjena, visaṃ sāmassa haññatū’’ti. (jā. 2.22.398) –

    เทวตาย จ สจฺจกิริยาย กตาย มหาสโตฺต ขิปฺปํ วุฎฺฐาสิฯ ปทุมปตฺตปลาเส อุทกพินฺทุ วิย วินิวเฎฺฎตฺวา อาพาโธ วิคโตฯ วิทฺธฎฺฐานํ อโรคํ ปากติกเมว อโหสิฯ มาตาปิตูนํ จกฺขูนิ อุปฺปชฺชิํสุฯ อิติ มหาสตฺตสฺส อโรคตา, มาตาปิตูนญฺจ จกฺขุปฎิลาโภ, อรุณุคฺคมนํ, เตสํ จตุนฺนมฺปิ อสฺสเมเยว อวฎฺฐานนฺติ สพฺพํ เอกกฺขเณเยว อโหสิฯ

    Devatāya ca saccakiriyāya katāya mahāsatto khippaṃ vuṭṭhāsi. Padumapattapalāse udakabindu viya vinivaṭṭetvā ābādho vigato. Viddhaṭṭhānaṃ arogaṃ pākatikameva ahosi. Mātāpitūnaṃ cakkhūni uppajjiṃsu. Iti mahāsattassa arogatā, mātāpitūnañca cakkhupaṭilābho, aruṇuggamanaṃ, tesaṃ catunnampi assameyeva avaṭṭhānanti sabbaṃ ekakkhaṇeyeva ahosi.

    อถ มหาสโตฺต รญฺญา สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘ธมฺมํ จร, มหาราชา’’ติอาทินา (ชา. ๒.๒๒.๔๑๑-๔๑๒) ธมฺมํ เทเสตฺวา อุตฺตริมฺปิ โอวทิตฺวา ปญฺจ สีลานิ อทาสิ ฯ โส ตสฺส โอวาทํ สิรสา ปฎิคฺคเหตฺวา วนฺทิตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา สคฺคปรายโน อโหสิฯ โพธิสโตฺตปิ สทฺธิํ มาตาปิตูหิ อภิญฺญาสมาปตฺติโย นิพฺพเตฺตตฺวา อายุปริโยสาเน พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ

    Atha mahāsatto raññā saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā ‘‘dhammaṃ cara, mahārājā’’tiādinā (jā. 2.22.411-412) dhammaṃ desetvā uttarimpi ovaditvā pañca sīlāni adāsi . So tassa ovādaṃ sirasā paṭiggahetvā vanditvā bārāṇasiṃ gantvā dānādīni puññāni katvā saggaparāyano ahosi. Bodhisattopi saddhiṃ mātāpitūhi abhiññāsamāpattiyo nibbattetvā āyupariyosāne brahmalokūpago ahosi.

    ตทา ราชา อานนฺทเตฺถโร อโหสิ, เทวธีตา อุปฺปลวณฺณา, สโกฺก อนุรุโทฺธ, ปิตา มหากสฺสปเตฺถโร, มาตา ภทฺทกาปิลานี, สามปณฺฑิโต โลกนาโถฯ

    Tadā rājā ānandatthero ahosi, devadhītā uppalavaṇṇā, sakko anuruddho, pitā mahākassapatthero, mātā bhaddakāpilānī, sāmapaṇḍito lokanātho.

    ตสฺส เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เสสปารมิโย นิทฺธาเรตพฺพาฯ ตถา วิสปีเตน สเลฺลน ทกฺขิณปเสฺสน ปวิสิตฺวา วามปสฺสโต วินิวิชฺฌนวเสน วิโทฺธปิ กิญฺจิ กายวิการํ อกตฺวา อุทกฆฎสฺส ภูมิยํ นิกฺขิปนํ, วธเก อญฺญาเตปิ ญาเต วิย จิตฺตวิการาภาโว, ปิยวจเนน สมุทาจาโร, มาตาปิตุอุปฎฺฐานปุญฺญโต มยฺหํ ปริหานีติ อนุโสจนมตฺตํ, อโรเค ชาเต รโญฺญ การุญฺญํ เมตฺตญฺจ อุปฎฺฐาเปตฺวา ธมฺมเทสนา, โอวาททานนฺติ เอวมาทโย คุณานุภาวา วิภาเวตพฺพาติฯ

    Tassa heṭṭhā vuttanayeneva sesapāramiyo niddhāretabbā. Tathā visapītena sallena dakkhiṇapassena pavisitvā vāmapassato vinivijjhanavasena viddhopi kiñci kāyavikāraṃ akatvā udakaghaṭassa bhūmiyaṃ nikkhipanaṃ, vadhake aññātepi ñāte viya cittavikārābhāvo, piyavacanena samudācāro, mātāpituupaṭṭhānapuññato mayhaṃ parihānīti anusocanamattaṃ, aroge jāte rañño kāruññaṃ mettañca upaṭṭhāpetvā dhammadesanā, ovādadānanti evamādayo guṇānubhāvā vibhāvetabbāti.

    สุวณฺณสามจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Suvaṇṇasāmacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๑๓. สุวณฺณสามจริยา • 13. Suvaṇṇasāmacariyā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact