Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๕๔๐] ๓. สุวณฺณสามชาตกวณฺณนา

    [540] 3. Suvaṇṇasāmajātakavaṇṇanā

    โก นุ มํ อุสุนา วิชฺฌีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ มาตุโปสกภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ สาวตฺถิยํ กิร อฎฺฐารสโกฎิวิภวสฺส เอกสฺส เสฎฺฐิกุลสฺส เอกปุตฺตโก อโหสิ มาตาปิตูนํ ปิโย มนาโปฯ โส เอกทิวสํ ปาสาทวรคโต สีหปญฺชรํ อุคฺฆาเฎตฺวา วีถิํ โอโลเกโนฺต คนฺธมาลาทิหตฺถํ มหาชนํ ธมฺมสฺสวนตฺถาย เชตวนํ คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘อหมฺปิ ธมฺมํ สุณิสฺสามี’’ติ มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา คนฺธมาลาทีนิ คาหาเปตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา วตฺถเภสชฺชปานกาทีนิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทาเปตฺวา คนฺธมาลาทีหิ จ ภควนฺตํ ปูเชตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ธมฺมํ สุตฺวา กาเมสุ อาทีนวํ ทิสฺวา ปพฺพชฺชาย จ อานิสํสํ สลฺลเกฺขตฺวา ปริสาย วุฎฺฐิตาย ภควนฺตํ ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา ‘‘มาตาปิตูหิ อนนุญฺญาตํ ปุตฺตํ ตถาคตา นาม น ปพฺพาเชนฺตี’’ติ สุตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปุน เคหํ คนฺตฺวา สคารเวน มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา เอวมาห – ‘‘อมฺมตาตา, อหํ ตถาคตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิสฺสามี’’ติฯ อถสฺส มาตาปิตโร ตสฺส วจนํ สุตฺวา เอกปุตฺตกภาเวน สตฺตธา ภิชฺชมานหทยา วิย ปุตฺตสิเนเหน กมฺปมานา เอวมาหํสุ ‘‘ตาต ปิยปุตฺตก, ตาต กุลงฺกุร, ตาต นยน, ตาต หทย, ตาต ปาณสทิส, ตยา วินา กถํ ชีวาม, ตยิ ปฎิพทฺธํ โน ชีวิตํฯ มยญฺหิ ตาต, ชราชิณฺณา วุฑฺฒา มหลฺลกา, อชฺช วา สุเว วา ปรสุเว วา มรณํ ปาปุณิสฺสาม, ตสฺมา มา อเมฺห โอหาย คจฺฉสิฯ ตาต, ปพฺพชฺชา นาม อติทุกฺกรา, สีเตน อเตฺถ สติ อุณฺหํ ลภติ, อุเณฺหน อเตฺถ สติ สีตํ ลภติ, ตสฺมา ตาต, มา ปพฺพชาหี’’ติฯ

    Konu maṃ usunā vijjhīti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ mātuposakabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Sāvatthiyaṃ kira aṭṭhārasakoṭivibhavassa ekassa seṭṭhikulassa ekaputtako ahosi mātāpitūnaṃ piyo manāpo. So ekadivasaṃ pāsādavaragato sīhapañjaraṃ ugghāṭetvā vīthiṃ olokento gandhamālādihatthaṃ mahājanaṃ dhammassavanatthāya jetavanaṃ gacchantaṃ disvā ‘‘ahampi dhammaṃ suṇissāmī’’ti mātāpitaro vanditvā gandhamālādīni gāhāpetvā vihāraṃ gantvāvatthabhesajjapānakādīni bhikkhusaṅghassa dāpetvā gandhamālādīhi ca bhagavantaṃ pūjetvā ekamantaṃ nisinno dhammaṃ sutvā kāmesu ādīnavaṃ disvā pabbajjāya ca ānisaṃsaṃ sallakkhetvā parisāya vuṭṭhitāya bhagavantaṃ pabbajjaṃ yācitvā ‘‘mātāpitūhi ananuññātaṃ puttaṃ tathāgatā nāma na pabbājentī’’ti sutvā bhagavantaṃ vanditvā puna gehaṃ gantvā sagāravena mātāpitaro vanditvā evamāha – ‘‘ammatātā, ahaṃ tathāgatassa santike pabbajissāmī’’ti. Athassa mātāpitaro tassa vacanaṃ sutvā ekaputtakabhāvena sattadhā bhijjamānahadayā viya puttasinehena kampamānā evamāhaṃsu ‘‘tāta piyaputtaka, tāta kulaṅkura, tāta nayana, tāta hadaya, tāta pāṇasadisa, tayā vinā kathaṃ jīvāma, tayi paṭibaddhaṃ no jīvitaṃ. Mayañhi tāta, jarājiṇṇā vuḍḍhā mahallakā, ajja vā suve vā parasuve vā maraṇaṃ pāpuṇissāma, tasmā mā amhe ohāya gacchasi. Tāta, pabbajjā nāma atidukkarā, sītena atthe sati uṇhaṃ labhati, uṇhena atthe sati sītaṃ labhati, tasmā tāta, mā pabbajāhī’’ti.

    ตํ สุตฺวา กุลปุโตฺต ทุกฺขี ทุมฺมโน โอนตสีโส ปชฺฌายโนฺตว นิสีทิ สตฺตาหํ นิราหาโรฯ อถสฺส มาตาปิตโร เอวํ จิเนฺตสุํ ‘‘สเจ โน ปุโตฺต อนนุญฺญาโต, อทฺธา มริสฺสติ, ปุน น ปสฺสิสฺสาม, ปพฺพชฺชาย ชีวมานํ ปุน นํ ปสฺสิสฺสามา’’ติฯ จิเนฺตตฺวา จ ปน ‘‘ตาต ปิยปุตฺตก, ตํ ปพฺพชฺชาย อนุชานาม, ปพฺพชาหี’’ติ อนุชานิํสุฯ ตํ สุตฺวา กุลปุโตฺต ตุฎฺฐมานโส หุตฺวา อตฺตโน สกลสรีรํ โอณาเมตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา ภควนฺตํ ปพฺพชฺชํ ยาจิฯ สตฺถา เอกํ ภิกฺขุํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อิมํ กุมารํ ปพฺพาเชหี’’ติ อาณาเปสิฯ โส ตํ ปพฺพาเชสิฯ ตสฺส ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย มหาลาภสกฺกาโร นิพฺพตฺติฯ โส อาจริยุปชฺฌาเย อาราเธตฺวา ลทฺธูปสมฺปโท ปญฺจ วสฺสานิ ธมฺมํ ปริยาปุณิตฺวา ‘‘อหํ อิธ อากิโณฺณ วิหรามิ, น เม อิทํ ปติรูป’’นฺติ วิปสฺสนาธุรํ ปูเรตุกาโม หุตฺวา อุปชฺฌายสฺส สนฺติเก กมฺมฎฺฐานํ คเหตฺวา อุปชฺฌายํ วนฺทิตฺวา เชตวนา นิกฺขมิตฺวา เอกํ ปจฺจนฺตคามํ นิสฺสาย อรเญฺญ วิหาสิฯ โส ตตฺถ วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา ทฺวาทส วสฺสานิ ฆเฎโนฺต วายมโนฺตปิ วิเสสํ นิพฺพเตฺตตุํ นาสกฺขิฯ มาตาปิตโรปิสฺส คจฺฉเนฺต คจฺฉเนฺต กาเล ทุคฺคตา อเหสุํฯ เย หิ เตสํ เขตฺตํ วา วณิชฺชํ วา ปโยเชสุํ, เต ‘‘อิมสฺมิํ กุเล ปุโตฺต วา ภาตา วา อิณํ โจเทตฺวา คณฺหโนฺต นาม นตฺถี’’ติ อตฺตโน อตฺตโน หตฺถคตํ คเหตฺวา ยถารุจิ ปลายิํสุฯ เคเห ทาสกมฺมกราทโยปิ หิรญฺญสุวณฺณาทีนิ คเหตฺวา ปลายิํสุฯ

    Taṃ sutvā kulaputto dukkhī dummano onatasīso pajjhāyantova nisīdi sattāhaṃ nirāhāro. Athassa mātāpitaro evaṃ cintesuṃ ‘‘sace no putto ananuññāto, addhā marissati, puna na passissāma, pabbajjāya jīvamānaṃ puna naṃ passissāmā’’ti. Cintetvā ca pana ‘‘tāta piyaputtaka, taṃ pabbajjāya anujānāma, pabbajāhī’’ti anujāniṃsu. Taṃ sutvā kulaputto tuṭṭhamānaso hutvā attano sakalasarīraṃ oṇāmetvā mātāpitaro vanditvā vihāraṃ gantvā bhagavantaṃ pabbajjaṃ yāci. Satthā ekaṃ bhikkhuṃ pakkosāpetvā ‘‘imaṃ kumāraṃ pabbājehī’’ti āṇāpesi. So taṃ pabbājesi. Tassa pabbajitakālato paṭṭhāya mahālābhasakkāro nibbatti. So ācariyupajjhāye ārādhetvā laddhūpasampado pañca vassāni dhammaṃ pariyāpuṇitvā ‘‘ahaṃ idha ākiṇṇo viharāmi, na me idaṃ patirūpa’’nti vipassanādhuraṃ pūretukāmo hutvā upajjhāyassa santike kammaṭṭhānaṃ gahetvā upajjhāyaṃ vanditvā jetavanā nikkhamitvā ekaṃ paccantagāmaṃ nissāya araññe vihāsi. So tattha vipassanaṃ vaḍḍhetvā dvādasa vassāni ghaṭento vāyamantopi visesaṃ nibbattetuṃ nāsakkhi. Mātāpitaropissa gacchante gacchante kāle duggatā ahesuṃ. Ye hi tesaṃ khettaṃ vā vaṇijjaṃ vā payojesuṃ, te ‘‘imasmiṃ kule putto vā bhātā vā iṇaṃ codetvā gaṇhanto nāma natthī’’ti attano attano hatthagataṃ gahetvā yathāruci palāyiṃsu. Gehe dāsakammakarādayopi hiraññasuvaṇṇādīni gahetvā palāyiṃsu.

    อปรภาเค เทฺว ชนา กปณา หุตฺวา หเตฺถ อุทกสิญฺจนมฺปิ อลภิตฺวา เคหํ วิกฺกิณิตฺวา อฆรา หุตฺวา การุญฺญภาวํ ปตฺตา ปิโลติกํ นิวาเสตฺวา กปาลหตฺถา ภิกฺขาย จริํสุฯ ตสฺมิํ กาเล เอโก ภิกฺขุ เชตวนโต นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน ตสฺส วสนฎฺฐานํ อคมาสิฯ โส ตสฺส อาคนฺตุกวตฺตํ กตฺวา สุขนิสินฺนกาเล ‘‘ภเนฺต, กุโต อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เชตวนา อาคโต อาวุโส’’ติ วุเตฺต สตฺถุโน เจว มหาสาวกาทีนญฺจ อาโรคฺยํ ปุจฺฉิตฺวา มาตาปิตูนญฺจ ปวตฺติํ ปุจฺฉิ ‘‘กิํ, ภเนฺต, สาวตฺถิยํ อสุกสฺส นาม เสฎฺฐิกุลสฺส อาโรคฺย’’นฺติ? ‘‘อาวุโส, มา ตสฺส กุลสฺส ปวตฺติํ ปุจฺฉา’’ติฯ ‘‘กิํ ภเนฺต’’ติฯ ‘‘อาวุโส, ตสฺส กิร กุลสฺส เอโก ปุโตฺต อตฺถิ, โส พุทฺธสาสเน ปพฺพชิโต, ตสฺส ปพฺพชิตกาลโต ปฎฺฐาย เอตํ กุลํ ปริกฺขีณํ, อิทานิ เทฺว ชนา ปรมการุญฺญภาวํ ปตฺตา ภิกฺขาย จรนฺตี’’ติฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา สกภาเวน สณฺฐาตุํ อสโกฺกโนฺต อสฺสุปุเณฺณหิ เนเตฺตหิ โรทิตุํ อารภิฯ ‘‘อาวุโส, กิํ โรทสี’’ติ? ‘‘ภเนฺต, เต มยฺหํ มาตาปิตโร, อหํ เตสํ ปุโตฺต’’ติฯ ‘‘อาวุโส, ตว มาตาปิตโร ตํ นิสฺสาย วินาสํ ปตฺตา, คจฺฉ, เต ปฎิชคฺคาหี’’ติฯ

    Aparabhāge dve janā kapaṇā hutvā hatthe udakasiñcanampi alabhitvā gehaṃ vikkiṇitvā agharā hutvā kāruññabhāvaṃ pattā pilotikaṃ nivāsetvā kapālahatthā bhikkhāya cariṃsu. Tasmiṃ kāle eko bhikkhu jetavanato nikkhamitvā anupubbena tassa vasanaṭṭhānaṃ agamāsi. So tassa āgantukavattaṃ katvā sukhanisinnakāle ‘‘bhante, kuto āgatatthā’’ti pucchitvā ‘‘jetavanā āgato āvuso’’ti vutte satthuno ceva mahāsāvakādīnañca ārogyaṃ pucchitvā mātāpitūnañca pavattiṃ pucchi ‘‘kiṃ, bhante, sāvatthiyaṃ asukassa nāma seṭṭhikulassa ārogya’’nti? ‘‘Āvuso, mā tassa kulassa pavattiṃ pucchā’’ti. ‘‘Kiṃ bhante’’ti. ‘‘Āvuso, tassa kira kulassa eko putto atthi, so buddhasāsane pabbajito, tassa pabbajitakālato paṭṭhāya etaṃ kulaṃ parikkhīṇaṃ, idāni dve janā paramakāruññabhāvaṃ pattā bhikkhāya carantī’’ti. So tassa vacanaṃ sutvā sakabhāvena saṇṭhātuṃ asakkonto assupuṇṇehi nettehi rodituṃ ārabhi. ‘‘Āvuso, kiṃ rodasī’’ti? ‘‘Bhante, te mayhaṃ mātāpitaro, ahaṃ tesaṃ putto’’ti. ‘‘Āvuso, tava mātāpitaro taṃ nissāya vināsaṃ pattā, gaccha, te paṭijaggāhī’’ti.

    โส ‘‘อหํ ทฺวาทส วสฺสานิ ฆเฎโนฺต วายมโนฺตปิ มคฺคํ วา ผลํ วา นิพฺพเตฺตตุํ นาสกฺขิํ , อภโพฺพ ภวิสฺสามิ, กิํ เม ปพฺพชฺชาย, คิหี หุตฺวา มาตาปิตโร โปเสตฺวา ทานํ ทตฺวา สคฺคปรายโณ ภวิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อรญฺญาวาสํ ตสฺส เถรสฺส นิยฺยาเทตฺวา ปุนทิวเส อรญฺญา นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน คจฺฉโนฺต สาวตฺถิโต อวิทูเร เชตวนปิฎฺฐิวิหารํ ปาปุณิฯ ตตฺถ เทฺว มคฺคา อเหสุํฯ เตสุ เอโก มโคฺค เชตวนํ คจฺฉติ, เอโก สาวตฺถิํฯ โส ตเตฺถว ฐตฺวา ‘‘กิํ นุ โข ปฐมํ มาตาปิตโร ปสฺสามิ, อุทาหุ ทสพล’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘มยา มาตาปิตโร จิรํ ทิฎฺฐปุพฺพา, อิโต ปฎฺฐาย ปน เม พุทฺธทสฺสนํ ทุลฺลภํ ภวิสฺสติ, ตสฺมา อชฺชเมว สมฺมาสมฺพุทฺธํ ทิสฺวา ธมฺมํ สุตฺวา เสฺว ปาโตว มาตาปิตโร ปสฺสิสฺสามี’’ติ สาวตฺถิมคฺคํ ปหาย สายนฺหสมเย เชตวนํ ปาวิสิฯ ตํ ทิวสํ ปน สตฺถา ปจฺจูสกาเล โลกํ โอโลเกโนฺต อิมสฺส กุลปุตฺตสฺส อุปนิสฺสยสมฺปตฺติํ อทฺทสฯ โส ตสฺสาคมนกาเล มาตุโปสกสุเตฺตน (สํ. นิ. ๑.๒๐๕) มาตาปิตูนํ คุณํ วเณฺณสิฯ โส ปน ภิกฺขุ ปริสปริยเนฺต ฐตฺวา สตฺถุสฺส ธมฺมกถํ สุณโนฺต จิเนฺตสิ ‘‘อหํ คิหี หุตฺวา มาตาปิตโร ปฎิชคฺคิตุํ สโกฺกมีติ จิเนฺตสิํ, สตฺถา ปน ‘ปพฺพชิโตว สมาโน ปฎิชคฺคิโต อุปการโก มาตาปิตูน’นฺติ วทติฯ สจาหํ สตฺถารํ อทิสฺวา คโต, เอวรูปาย ปพฺพชฺชาย ปริหีโน ภเวยฺยํฯ อิทานิ ปน คิหี อหุตฺวา ปพฺพชิโตว สมาโน มาตาปิตโร โปเสสฺสามี’’ติฯ

    So ‘‘ahaṃ dvādasa vassāni ghaṭento vāyamantopi maggaṃ vā phalaṃ vā nibbattetuṃ nāsakkhiṃ , abhabbo bhavissāmi, kiṃ me pabbajjāya, gihī hutvā mātāpitaro posetvā dānaṃ datvā saggaparāyaṇo bhavissāmī’’ti cintetvā araññāvāsaṃ tassa therassa niyyādetvā punadivase araññā nikkhamitvā anupubbena gacchanto sāvatthito avidūre jetavanapiṭṭhivihāraṃ pāpuṇi. Tattha dve maggā ahesuṃ. Tesu eko maggo jetavanaṃ gacchati, eko sāvatthiṃ. So tattheva ṭhatvā ‘‘kiṃ nu kho paṭhamaṃ mātāpitaro passāmi, udāhu dasabala’’nti cintetvā ‘‘mayā mātāpitaro ciraṃ diṭṭhapubbā, ito paṭṭhāya pana me buddhadassanaṃ dullabhaṃ bhavissati, tasmā ajjameva sammāsambuddhaṃ disvā dhammaṃ sutvā sve pātova mātāpitaro passissāmī’’ti sāvatthimaggaṃ pahāya sāyanhasamaye jetavanaṃ pāvisi. Taṃ divasaṃ pana satthā paccūsakāle lokaṃ olokento imassa kulaputtassa upanissayasampattiṃ addasa. So tassāgamanakāle mātuposakasuttena (saṃ. ni. 1.205) mātāpitūnaṃ guṇaṃ vaṇṇesi. So pana bhikkhu parisapariyante ṭhatvā satthussa dhammakathaṃ suṇanto cintesi ‘‘ahaṃ gihī hutvā mātāpitaro paṭijaggituṃ sakkomīti cintesiṃ, satthā pana ‘pabbajitova samāno paṭijaggito upakārako mātāpitūna’nti vadati. Sacāhaṃ satthāraṃ adisvā gato, evarūpāya pabbajjāya parihīno bhaveyyaṃ. Idāni pana gihī ahutvā pabbajitova samāno mātāpitaro posessāmī’’ti.

    โส สลากคฺคํ คนฺตฺวา สลากภตฺตเญฺจว สลากยาคุญฺจ คณฺหิตฺวา ทฺวาทส วสฺสานิ อรเญฺญ วุตฺถภิกฺขุ ปาราชิกปฺปโตฺต วิย อโหสิฯ โส ปาโตว สาวตฺถิยํ ปวิสิตฺวา ‘‘กิํ นุ โข ปฐมํ ยาคุํ คณฺหิสฺสามิ, อุทาหุ มาตาปิตโร ปสฺสิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘กปณานํ มาตาปิตูนํ สนฺติกํ ตุจฺฉหเตฺถน คนฺตุํ อยุตฺต’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ยาคุํ คเหตฺวา เอเตสํ โปราณกเคหทฺวารํ คโตฯ มาตาปิตโรปิสฺส ยาคุภิกฺขํ จริตฺวา ปรภิตฺติํ นิสฺสาย วิหรนฺติฯ โส อุปคนฺตฺวา นิสินฺนเก ทิสฺวา อุปฺปนฺนโสโก อสฺสุปุเณฺณหิ เนเตฺตหิ เตสํ อวิทูเร อฎฺฐาสิฯ เต ตํ ทิสฺวาปิ น สญฺชานิํสุฯ อถ มาตา ‘‘ภิกฺขตฺถาย ฐิโต ภวิสฺสตี’’ติ สญฺญาย ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ ทาตพฺพยุตฺตกํ นตฺถิ, อติจฺฉถา’’ติ อาหฯ โส ตสฺสา กถํ สุตฺวา หทยปูรํ โสกํ คเหตฺวา อสฺสุปุเณฺณหิ เนเตฺตหิ ตเตฺถว อฎฺฐาสิฯ ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ ‘‘อติจฺฉถา’’ติ วุจฺจมาโนปิ อฎฺฐาสิเยวฯ อถสฺส ปิตา มาตรํ อาห – ‘‘คจฺฉ, ภเทฺท, ชานาหิ, ปุโตฺต นุ โข โน เอโส’’ติฯ สา อุฎฺฐาย อุปคนฺตฺวา โอโลเกนฺตี สญฺชานิตฺวา ปาทมูเล ปติตฺวา ปริเทวิ, ปิตาปิสฺส ตเถว อกาสิ, มหนฺตํ การุญฺญํ อโหสิฯ

    So salākaggaṃ gantvā salākabhattañceva salākayāguñca gaṇhitvā dvādasa vassāni araññe vutthabhikkhu pārājikappatto viya ahosi. So pātova sāvatthiyaṃ pavisitvā ‘‘kiṃ nu kho paṭhamaṃ yāguṃ gaṇhissāmi, udāhu mātāpitaro passissāmī’’ti cintetvā ‘‘kapaṇānaṃ mātāpitūnaṃ santikaṃ tucchahatthena gantuṃ ayutta’’nti cintetvā yāguṃ gahetvā etesaṃ porāṇakagehadvāraṃ gato. Mātāpitaropissa yāgubhikkhaṃ caritvā parabhittiṃ nissāya viharanti. So upagantvā nisinnake disvā uppannasoko assupuṇṇehi nettehi tesaṃ avidūre aṭṭhāsi. Te taṃ disvāpi na sañjāniṃsu. Atha mātā ‘‘bhikkhatthāya ṭhito bhavissatī’’ti saññāya ‘‘bhante, tumhākaṃ dātabbayuttakaṃ natthi, aticchathā’’ti āha. So tassā kathaṃ sutvā hadayapūraṃ sokaṃ gahetvā assupuṇṇehi nettehi tattheva aṭṭhāsi. Dutiyampi tatiyampi ‘‘aticchathā’’ti vuccamānopi aṭṭhāsiyeva. Athassa pitā mātaraṃ āha – ‘‘gaccha, bhadde, jānāhi, putto nu kho no eso’’ti. Sā uṭṭhāya upagantvā olokentī sañjānitvā pādamūle patitvā paridevi, pitāpissa tatheva akāsi, mahantaṃ kāruññaṃ ahosi.

    โสปิ มาตาปิตโร ทิสฺวา สกภาเวน สณฺฐาตุํ อสโกฺกโนฺต อสฺสูนิ ปวเตฺตสิฯ โส โสกํ อธิวาเสตฺวา ‘‘อมฺมตาตา, มา จินฺตยิตฺถ, อหํ โว โปเสสฺสามี’’ติ มาตาปิตโร อสฺสาเสตฺวา ยาคุํ ปาเยตฺวา เอกมเนฺต นิสีทาเปตฺวา ปุน ภิกฺขํ อาหริตฺวา เต โภเชตฺวา อตฺตโน อตฺถาย ภิกฺขํ ปริเยสิตฺวา เตสํ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปุน ภเตฺตนาปุจฺฉิตฺวา ปจฺฉา สยํ ปริภุญฺชติฯ โส ตโต ปฎฺฐาย อิมินา นิยาเมน มาตาปิตโร ปฎิชคฺคติฯ อตฺตนา ลทฺธานิ ปกฺขิกภตฺตาทีนิ เตสํเยว ทตฺวา สยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ลภมาโน ภุญฺชติ, อลภมาโน น ภุญฺชติ, วสฺสาวาสิกมฺปิ อญฺญมฺปิ ยํ กิญฺจิ ลภิตฺวา เตสํเยว เทติฯ เตหิ ปริภุตฺตํ ชิณฺณปิโลติกํ คเหตฺวา อคฺคฬํ ทตฺวา รชิตฺวา สยํ ปริภุญฺชติฯ ภิกฺขลภนทิวเสหิ ปนสฺส อลภนทิวสา พหู อเหสุํฯ อถสฺส นิวาสนปารุปนํ อติลูขํ โหติฯ

    Sopi mātāpitaro disvā sakabhāvena saṇṭhātuṃ asakkonto assūni pavattesi. So sokaṃ adhivāsetvā ‘‘ammatātā, mā cintayittha, ahaṃ vo posessāmī’’ti mātāpitaro assāsetvā yāguṃ pāyetvā ekamante nisīdāpetvā puna bhikkhaṃ āharitvā te bhojetvā attano atthāya bhikkhaṃ pariyesitvā tesaṃ santikaṃ gantvā puna bhattenāpucchitvā pacchā sayaṃ paribhuñjati. So tato paṭṭhāya iminā niyāmena mātāpitaro paṭijaggati. Attanā laddhāni pakkhikabhattādīni tesaṃyeva datvā sayaṃ piṇḍāya caritvā labhamāno bhuñjati, alabhamāno na bhuñjati, vassāvāsikampi aññampi yaṃ kiñci labhitvā tesaṃyeva deti. Tehi paribhuttaṃ jiṇṇapilotikaṃ gahetvā aggaḷaṃ datvā rajitvā sayaṃ paribhuñjati. Bhikkhalabhanadivasehi panassa alabhanadivasā bahū ahesuṃ. Athassa nivāsanapārupanaṃ atilūkhaṃ hoti.

    อิติ โส มาตาปิตโร ปฎิชคฺคโนฺตเยว อปรภาเค กิโส อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต ธมนิสนฺถตคโตฺต อโหสิฯ อถ นํ สนฺทิฎฺฐสมฺภตฺตา ภิกฺขู ปุจฺฉิํสุ ‘‘อาวุโส, ปุเพฺพ ตว สรีรวโณฺณ โสภติ, อิทานิ ปน กิโส อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต ธมนิสนฺถตคโตฺต, พฺยาธิ เต นุ โข อุปฺปโนฺน’’ติฯ โส ‘‘นตฺถิ เม, อาวุโส, พฺยาธิ, อปิจ ปน ปลิโพโธ เม อตฺถี’’ติ ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ อถ นํ เต ภิกฺขู อาหํสุ ‘‘อาวุโส, ภควา สทฺธาเทยฺยํ วินิปาเตตุํ น เทติ, ตฺวํ ปน สทฺธาเทยฺยํ คเหตฺวา คิหีนํ ททมาโน อยุตฺตํ กโรสี’’ติฯ โส เตสํ กถํ สุตฺวา ลชฺชิโต โอลียิฯ เต เอตฺตเกนปิ อสนฺตุฎฺฐา ภควโต สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ภเนฺต, อสุโก นาม ภิกฺขุ สทฺธาเทยฺยํ วินิปาเตตฺวา คิหี โปเสตี’’ติ สตฺถุ อาโรเจสุํฯ สตฺถา ตํ ภิกฺขุํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ สทฺธาเทยฺยํ คเหตฺวา คิหี โปเสสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ตํ กิริยํ วเณฺณตุกาโม อตฺตโน จ ปุพฺพจริยํ ปกาเสตุกาโม ‘‘ภิกฺขุ, คิหี โปเสโนฺต เก โปเสสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มาตาปิตโร เม, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต สตฺถา ตสฺส อุสฺสาหํ ชเนตุํ ‘‘สาธุ สาธุ, ภิกฺขู’’ติ ติกฺขตฺตุํ สาธุการํ ทตฺวา ‘‘ตฺวํ มม คตมเคฺค ฐิโต, อหมฺปิ ปุพฺพจริยํ จรโนฺต มาตาปิตโร โปเสสิ’’นฺติ อาหฯ โส อสฺสาสํ ปฎิลภิฯ สตฺถา ตาย ปุพฺพจริยาย อาวิกรณตฺถํ เตหิ ภิกฺขูหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Iti so mātāpitaro paṭijaggantoyeva aparabhāge kiso uppaṇḍuppaṇḍukajāto dhamanisanthatagatto ahosi. Atha naṃ sandiṭṭhasambhattā bhikkhū pucchiṃsu ‘‘āvuso, pubbe tava sarīravaṇṇo sobhati, idāni pana kiso uppaṇḍuppaṇḍukajāto dhamanisanthatagatto, byādhi te nu kho uppanno’’ti. So ‘‘natthi me, āvuso, byādhi, apica pana palibodho me atthī’’ti taṃ pavattiṃ ārocesi. Atha naṃ te bhikkhū āhaṃsu ‘‘āvuso, bhagavā saddhādeyyaṃ vinipātetuṃ na deti, tvaṃ pana saddhādeyyaṃ gahetvā gihīnaṃ dadamāno ayuttaṃ karosī’’ti. So tesaṃ kathaṃ sutvā lajjito olīyi. Te ettakenapi asantuṭṭhā bhagavato santikaṃ gantvā ‘‘bhante, asuko nāma bhikkhu saddhādeyyaṃ vinipātetvā gihī posetī’’ti satthu ārocesuṃ. Satthā taṃ bhikkhuṃ pakkosāpetvā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu saddhādeyyaṃ gahetvā gihī posesī’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte taṃ kiriyaṃ vaṇṇetukāmo attano ca pubbacariyaṃ pakāsetukāmo ‘‘bhikkhu, gihī posento ke posesī’’ti pucchi. ‘‘Mātāpitaro me, bhante’’ti vutte satthā tassa ussāhaṃ janetuṃ ‘‘sādhu sādhu, bhikkhū’’ti tikkhattuṃ sādhukāraṃ datvā ‘‘tvaṃ mama gatamagge ṭhito, ahampi pubbacariyaṃ caranto mātāpitaro posesi’’nti āha. So assāsaṃ paṭilabhi. Satthā tāya pubbacariyāya āvikaraṇatthaṃ tehi bhikkhūhi yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสินครโต อวิทูเร นทิยา โอริมตีเร เอโก เนสาทคาโม อโหสิ, ปาริมตีเร เอโก เนสาทคาโมฯ เอเกกสฺมิํ คาเม ปญฺจ ปญฺจ กุลสตานิ วสนฺติฯ ทฺวีสุปิ คาเมสุ เทฺว เนสาทเชฎฺฐกา สหายกา อเหสุํฯ เต ทหรกาเลเยว กติกวตฺตํ กริํสุ ‘‘สเจ อเมฺหสุ เอกสฺส ธีตา โหติ, เอกสฺส ปุโตฺต โหติ, เตสํ อาวาหวิวาหํ กริสฺสามา’’ติฯ อถ โอริมตีเร คามเชฎฺฐกสฺส เคเห ปุโตฺต ชายิ, ชาตกฺขเณเยว ทุกูเลน ปฎิคฺคหิตตฺตา ‘‘ทุกูโล’’เตฺววสฺส นามํ กริํสุฯ อิตรสฺส เคเห ธีตา ชายิ, ตสฺสา ปรตีเร ชาตตฺตา ‘‘ปาริกา’’ติ นามํ กริํสุฯ เต อุโภปิ อภิรูปา ปาสาทิกา อเหสุํ สุวณฺณวณฺณาฯ เต เนสาทกุเล ชาตาปิ ปาณาติปาตํ นาม น กริํสุฯ

    Atīte bārāṇasinagarato avidūre nadiyā orimatīre eko nesādagāmo ahosi, pārimatīre eko nesādagāmo. Ekekasmiṃ gāme pañca pañca kulasatāni vasanti. Dvīsupi gāmesu dve nesādajeṭṭhakā sahāyakā ahesuṃ. Te daharakāleyeva katikavattaṃ kariṃsu ‘‘sace amhesu ekassa dhītā hoti, ekassa putto hoti, tesaṃ āvāhavivāhaṃ karissāmā’’ti. Atha orimatīre gāmajeṭṭhakassa gehe putto jāyi, jātakkhaṇeyeva dukūlena paṭiggahitattā ‘‘dukūlo’’tvevassa nāmaṃ kariṃsu. Itarassa gehe dhītā jāyi, tassā paratīre jātattā ‘‘pārikā’’ti nāmaṃ kariṃsu. Te ubhopi abhirūpā pāsādikā ahesuṃ suvaṇṇavaṇṇā. Te nesādakule jātāpi pāṇātipātaṃ nāma na kariṃsu.

    อปรภาเค โสฬสวสฺสุเทฺทสิกํ ทุกูลกุมารํ มาตาปิตโร อาหํสุ ‘‘ปุตฺต, กุมาริกํ เต อานยิสฺสามา’’ติฯ โส ปน พฺรหฺมโลกโต อาคโต สุทฺธสโตฺต อุโภ กเณฺณ ปิธาย ‘‘น เม ฆราวาเสนโตฺถ อมฺมตาตา, มา เอวรูปํ อวจุตฺถา’’ติ วตฺวา ยาวตติยํ วุจฺจมาโนปิ น อิจฺฉิเยวฯ ปาริกาปิ มาตาปิตูหิ ‘‘อมฺม, อมฺหากํ สหายกสฺส ปุโตฺต อตฺถิ, โส อภิรูโป สุวณฺณวโณฺณ, ตสฺส ตํ ทสฺสามา’’ติ วุตฺตา ตเถว วตฺวา อุโภ กเณฺณ ปิทหิฯ สาปิ พฺราหฺมโลกโต อาคตา ฆราวาสํ น อิจฺฉิฯ ทุกูลกุมาโร ปน ตสฺสา รหเสฺสน สาสนํ ปหิณิ ‘‘สเจ ปาริเก เมถุนธเมฺมน อตฺถิกา, อญฺญสฺส เคหํ คจฺฉตุ, มยฺหํ เมถุนธเมฺม ฉโนฺท นตฺถี’’ติฯ สาปิ ตสฺส ตเถว สาสนํ เปเสสิฯ

    Aparabhāge soḷasavassuddesikaṃ dukūlakumāraṃ mātāpitaro āhaṃsu ‘‘putta, kumārikaṃ te ānayissāmā’’ti. So pana brahmalokato āgato suddhasatto ubho kaṇṇe pidhāya ‘‘na me gharāvāsenattho ammatātā, mā evarūpaṃ avacutthā’’ti vatvā yāvatatiyaṃ vuccamānopi na icchiyeva. Pārikāpi mātāpitūhi ‘‘amma, amhākaṃ sahāyakassa putto atthi, so abhirūpo suvaṇṇavaṇṇo, tassa taṃ dassāmā’’ti vuttā tatheva vatvā ubho kaṇṇe pidahi. Sāpi brāhmalokato āgatā gharāvāsaṃ na icchi. Dukūlakumāro pana tassā rahassena sāsanaṃ pahiṇi ‘‘sace pārike methunadhammena atthikā, aññassa gehaṃ gacchatu, mayhaṃ methunadhamme chando natthī’’ti. Sāpi tassa tatheva sāsanaṃ pesesi.

    อถ มาตาปิตโร เตสํ อนิจฺฉมานานเญฺญว อาวาหวิวาหํ กริํสุฯ เต อุโภปิ กิเลสสมุทฺทํ อโนตริตฺวา เทฺว มหาพฺรหฺมาโน วิย เอกโตว วสิํสุฯ ทุกูลกุมาโร ปน มจฺฉํ วา มิคํ วา น มาเรติ, อนฺตมโส อาหฎมํสมฺปิ น วิกฺกิณาติฯ อถ นํ มาตาปิตโร วทิํสุ ‘‘ตาต, ตฺวํ เนสาทกุเล นิพฺพตฺติตฺวาปิ เนว ฆราวาสํ อิจฺฉสิ, น ปาณวธํ กโรสิ, กิํ นาม กมฺมํ กริสฺสสี’’ติ? ‘‘อมฺมตาตา, ตุเมฺหสุ อนุชานเนฺตสุ มยํ ปพฺพชิสฺสามา’’ติฯ ตํ สุตฺวา มาตาปิตโร ‘‘เตน หิ ปพฺพชถา’’ติ เทฺว ชเน อนุชานิํสุฯ เต ตุฎฺฐหฎฺฐา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา คามโต นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน คงฺคาตีเรน หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา ยสฺมิํ ฐาเน มิคสมฺมตา นาม นที หิมวนฺตโต โอตริตฺวา คงฺคํ ปตฺตา, ตํ ฐานํ คนฺตฺวา คงฺคํ ปหาย มิคสมฺมตาภิมุขา อภิรุหิํสุฯ

    Atha mātāpitaro tesaṃ anicchamānānaññeva āvāhavivāhaṃ kariṃsu. Te ubhopi kilesasamuddaṃ anotaritvā dve mahābrahmāno viya ekatova vasiṃsu. Dukūlakumāro pana macchaṃ vā migaṃ vā na māreti, antamaso āhaṭamaṃsampi na vikkiṇāti. Atha naṃ mātāpitaro vadiṃsu ‘‘tāta, tvaṃ nesādakule nibbattitvāpi neva gharāvāsaṃ icchasi, na pāṇavadhaṃ karosi, kiṃ nāma kammaṃ karissasī’’ti? ‘‘Ammatātā, tumhesu anujānantesu mayaṃ pabbajissāmā’’ti. Taṃ sutvā mātāpitaro ‘‘tena hi pabbajathā’’ti dve jane anujāniṃsu. Te tuṭṭhahaṭṭhā mātāpitaro vanditvā gāmato nikkhamitvā anupubbena gaṅgātīrena himavantaṃ pavisitvā yasmiṃ ṭhāne migasammatā nāma nadī himavantato otaritvā gaṅgaṃ pattā, taṃ ṭhānaṃ gantvā gaṅgaṃ pahāya migasammatābhimukhā abhiruhiṃsu.

    ตสฺมิํ ขเณ สกฺกสฺส ภวนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ สโกฺก โอโลเกโนฺต ตํ การณํ ญตฺวา วิสฺสกมฺมํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตาต วิสฺสกมฺม, เทฺว มหาปุริสา คามา นิกฺขมิตฺวา หิมวนฺตํ ปวิฎฺฐา, เตสํ นิวาสฎฺฐานํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, มิคสมฺมตานทิยา อฑฺฒโกสนฺตเร เอเตสํ ปณฺณสาลญฺจ ปพฺพชิตปริกฺขาเร จ มาเปตฺวา เอหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา มูคปกฺขชาตเก (ชา. ๒.๒๒.๑ อาทโย) วุตฺตนเยเนว สพฺพํ สํวิทหิตฺวา อมนาปสเทฺท มิคปกฺขิโน ปลาเปตฺวา เอกปทิกํ ชงฺฆมคฺคํ มาเปตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ เตปิ ตํ มคฺคํ ทิสฺวา เตน มเคฺคน คนฺตฺวา ตํ อสฺสมปทํ ปาปุณิํสุฯ ทุกูลปณฺฑิโต ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา ปพฺพชิตปริกฺขาเร ทิสฺวา ‘‘สเกฺกน มยฺหํ ทินฺนา’’ติ สกฺกทตฺติยภาวํ ญตฺวา สาฎกํ โอมุญฺจิตฺวา รตฺตวากจีรํ นิวาเสตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา อชินจมฺมํ อํเส กตฺวา ชฎามณฺฑลํ พนฺธิตฺวา อิสิเวสํ คเหตฺวา ปาริกายปิ ปพฺพชฺชํ อทาสิฯ อุโภปิ กามาวจรเมตฺตํ ภาเวตฺวา ตตฺถ วสิํสุฯ เตสํ เมตฺตานุภาเวน สเพฺพปิ มิคปกฺขิโน อญฺญมญฺญํ เมตฺตจิตฺตเมว ปฎิลภิํสุ, น โกจิ กญฺจิ วิเหเฐสิฯ ปาริกา ตโต ปฎฺฐาย ปานียํ ปริโภชนียํ อาหรติ, อสฺสมปทํ สมฺมชฺชติ, สพฺพกิจฺจานิ กโรติฯ อุโภปิ ผลาผลานิ อาหริตฺวา ปริภุญฺชิตฺวา อตฺตโน อตฺตโน ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา สมณธมฺมํ กโรนฺตา ตตฺถ วาสํ กปฺปยิํสุฯ

    Tasmiṃ khaṇe sakkassa bhavanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. Sakko olokento taṃ kāraṇaṃ ñatvā vissakammaṃ āmantetvā ‘‘tāta vissakamma, dve mahāpurisā gāmā nikkhamitvā himavantaṃ paviṭṭhā, tesaṃ nivāsaṭṭhānaṃ laddhuṃ vaṭṭati, migasammatānadiyā aḍḍhakosantare etesaṃ paṇṇasālañca pabbajitaparikkhāre ca māpetvā ehī’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā mūgapakkhajātake (jā. 2.22.1 ādayo) vuttanayeneva sabbaṃ saṃvidahitvā amanāpasadde migapakkhino palāpetvā ekapadikaṃ jaṅghamaggaṃ māpetvā sakaṭṭhānameva gato. Tepi taṃ maggaṃ disvā tena maggena gantvā taṃ assamapadaṃ pāpuṇiṃsu. Dukūlapaṇḍito paṇṇasālaṃ pavisitvā pabbajitaparikkhāre disvā ‘‘sakkena mayhaṃ dinnā’’ti sakkadattiyabhāvaṃ ñatvā sāṭakaṃ omuñcitvā rattavākacīraṃ nivāsetvā ekaṃ pārupitvā ajinacammaṃ aṃse katvā jaṭāmaṇḍalaṃ bandhitvā isivesaṃ gahetvā pārikāyapi pabbajjaṃ adāsi. Ubhopi kāmāvacaramettaṃ bhāvetvā tattha vasiṃsu. Tesaṃ mettānubhāvena sabbepi migapakkhino aññamaññaṃ mettacittameva paṭilabhiṃsu, na koci kañci viheṭhesi. Pārikā tato paṭṭhāya pānīyaṃ paribhojanīyaṃ āharati, assamapadaṃ sammajjati, sabbakiccāni karoti. Ubhopi phalāphalāni āharitvā paribhuñjitvā attano attano paṇṇasālaṃ pavisitvā samaṇadhammaṃ karontā tattha vāsaṃ kappayiṃsu.

    สโกฺก เตสํ อุปฎฺฐานํ อาคจฺฉติฯ โส เอกทิวสํ อนุโอโลเกโนฺต ‘‘อิเมสํ จกฺขูนิ ปริหายิสฺสนฺตี’’ติ อนฺตรายํ ทิสฺวา ทุกูลปณฺฑิตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา เอวมาห – ‘‘ภเนฺต, ตุมฺหากํ อนฺตราโย ปญฺญายติ, ปฎิชคฺคนกํ ปุตฺตํ ลทฺธุํ วฎฺฎติ, โลกธมฺมํ ปฎิเสวถา’’ติฯ อถ นํ ทุกูลปณฺฑิโต อาห – ‘‘สกฺก, กินฺนาเมตํ กเถสิ, มยํ อคารมเชฺฌ วสนฺตาปิ เอตํ โลกธมฺมํ ปุฬวกคูถราสิํ วิย ชิคุจฺฉิมฺหา, อิทานิ ปน อรญฺญํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา กถํ เอวรูปํ กริสฺสามา’’ติฯ อถ สโกฺก ตํ อาห – ‘‘ภเนฺต, สเจ เอวํ น กโรถ, ปาริกาย ตาปสิยา อุตุนิกาเล นาภิํ หเตฺถน ปรามเสยฺยาถา’’ติฯ ทุกูลปณฺฑิโต ‘‘อิทํ สกฺกา กาตุ’’นฺติ สมฺปฎิจฺฉิฯ สโกฺก ตํ วนฺทิตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ

    Sakko tesaṃ upaṭṭhānaṃ āgacchati. So ekadivasaṃ anuolokento ‘‘imesaṃ cakkhūni parihāyissantī’’ti antarāyaṃ disvā dukūlapaṇḍitaṃ upasaṅkamitvā vanditvā ekamantaṃ nisīditvā evamāha – ‘‘bhante, tumhākaṃ antarāyo paññāyati, paṭijagganakaṃ puttaṃ laddhuṃ vaṭṭati, lokadhammaṃ paṭisevathā’’ti. Atha naṃ dukūlapaṇḍito āha – ‘‘sakka, kinnāmetaṃ kathesi, mayaṃ agāramajjhe vasantāpi etaṃ lokadhammaṃ puḷavakagūtharāsiṃ viya jigucchimhā, idāni pana araññaṃ pavisitvā isipabbajjaṃ pabbajitvā kathaṃ evarūpaṃ karissāmā’’ti. Atha sakko taṃ āha – ‘‘bhante, sace evaṃ na karotha, pārikāya tāpasiyā utunikāle nābhiṃ hatthena parāmaseyyāthā’’ti. Dukūlapaṇḍito ‘‘idaṃ sakkā kātu’’nti sampaṭicchi. Sakko taṃ vanditvā sakaṭṭhānameva gato.

    ทุกูลปณฺฑิโตปิ ตํ การณํ ปาริกาย อาจิกฺขิตฺวา อสฺสา อุตุนิกาเล นาภิํ หเตฺถน ปรามสิฯ ตทา โพธิสโตฺต เทวโลกโต จวิตฺวา ตสฺสา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ สา ทสมาสจฺจเยน สุวณฺณวณฺณํ ปุตฺตํ วิชายิ, เตเนวสฺส ‘‘สุวณฺณสาโม’’ติ นามํ กริํสุฯ ปาริกาย ผลาผลตฺถาย วนํ คตกาเล ปพฺพตนฺตเร กินฺนริโย ธาติกิจฺจํ กริํสุฯ เต อุโภปิ โพธิสตฺตํ นฺหาเปตฺวา ปณฺณสาลายํ นิปชฺชาเปตฺวา ผลาผลตฺถาย อรญฺญํ คจฺฉนฺติฯ ตสฺมิํ ขเณ กินฺนรา กุมารํ คเหตฺวา คิริกนฺทราทีสุ นฺหาเปตฺวา ปพฺพตมตฺถกํ อารุยฺห นานาปุเปฺผหิ อลงฺกริตฺวา หริตาลมโนสิลาทีนิ สิลายํ ฆํสิตฺวา นลาเฎ ติลเก กตฺวา ปุน อาเนตฺวา ปณฺณสาลายํ นิปชฺชาเปสุํฯ ปาริกาปิ อาคนฺตฺวา ปุตฺตํ ถญฺญํ ปาเยสิฯ ตํ อปรภาเค วฑฺฒิตฺวา โสฬสวสฺสุเทฺทสิกมฺปิ อนุรกฺขนฺตา มาตาปิตโร ปณฺณสาลายํ นิสีทาเปตฺวา สยเมว วนมูลผลาผลตฺถาย วนํ คจฺฉนฺติฯ มหาสโตฺต ‘‘มม มาตาปิตูนํ กทาจิ โกจิเทว อนฺตราโย ภเวยฺยา’’ติ จิเนฺตตฺวา เตสํ คตมคฺคํ สลฺลเกฺขสิฯ

    Dukūlapaṇḍitopi taṃ kāraṇaṃ pārikāya ācikkhitvā assā utunikāle nābhiṃ hatthena parāmasi. Tadā bodhisatto devalokato cavitvā tassā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Sā dasamāsaccayena suvaṇṇavaṇṇaṃ puttaṃ vijāyi, tenevassa ‘‘suvaṇṇasāmo’’ti nāmaṃ kariṃsu. Pārikāya phalāphalatthāya vanaṃ gatakāle pabbatantare kinnariyo dhātikiccaṃ kariṃsu. Te ubhopi bodhisattaṃ nhāpetvā paṇṇasālāyaṃ nipajjāpetvā phalāphalatthāya araññaṃ gacchanti. Tasmiṃ khaṇe kinnarā kumāraṃ gahetvā girikandarādīsu nhāpetvā pabbatamatthakaṃ āruyha nānāpupphehi alaṅkaritvā haritālamanosilādīni silāyaṃ ghaṃsitvā nalāṭe tilake katvā puna ānetvā paṇṇasālāyaṃ nipajjāpesuṃ. Pārikāpi āgantvā puttaṃ thaññaṃ pāyesi. Taṃ aparabhāge vaḍḍhitvā soḷasavassuddesikampi anurakkhantā mātāpitaro paṇṇasālāyaṃ nisīdāpetvā sayameva vanamūlaphalāphalatthāya vanaṃ gacchanti. Mahāsatto ‘‘mama mātāpitūnaṃ kadāci kocideva antarāyo bhaveyyā’’ti cintetvā tesaṃ gatamaggaṃ sallakkhesi.

    อเถกทิวสํ เตสํ วนมูลผลาผลํ อาทาย สายนฺหสมเย นิวตฺตนฺตานํ อสฺสมปทโต อวิทูเร มหาเมโฆ อุฎฺฐหิฯ เต เอกํ รุกฺขมูลํ ปวิสิตฺวา วมฺมิกมตฺถเก อฎฺฐํสุฯ ตสฺส จ อพฺภนฺตเร อาสีวิโส อตฺถิฯ เตสํ สรีรโต เสทคนฺธมิสฺสกํ อุทกํ โอตริตฺวา ตสฺส นาสาปุฎํ ปาวิสิฯ โส กุชฺฌิตฺวา นาสาวาเตน ปหริฯ เทฺวปิ อนฺธา หุตฺวา อญฺญมญฺญํ น ปสฺสิํสุฯ ทุกูลปณฺฑิโต ปาริกํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ปาริเก มม จกฺขูนิ ปริหีนานิ, อหํ ตํ น ปสฺสามี’’ติ อาหฯ สาปิ ตเถว อาหฯ เต ‘‘นตฺถิ โน อิทานิ ชีวิต’’นฺติ มคฺคํ อปสฺสนฺตา ปริเทวมานา อฎฺฐํสุฯ ‘‘กิํ ปน เตสํ ปุพฺพกมฺม’’นฺติ? เต กิร ปุเพฺพ เวชฺชกุเล อเหสุํฯ อถ โส เวโชฺช เอกสฺส มหาธนสฺส ปุริสสฺส อกฺขิโรคํ ปฎิชคฺคิฯ โส ตสฺส กิญฺจิ ธนํ น อทาสิฯ อถ เวโชฺช กุชฺฌิตฺวา อตฺตโน เคหํ คนฺตฺวา ภริยาย อาโรเจตฺวา ‘‘ภเทฺท, อหํ ตสฺส อกฺขิโรคํ ปฎิชคฺคามิ, อิทานิ มยฺหํ ธนํ น เทติ, กิํ กโรมา’’ติ อาห ฯ สาปิ กุชฺฌิตฺวา ‘‘น โน ตสฺส สนฺตเกนโตฺถ, เภสชฺชํ ตสฺส เอกโยคํ ทตฺวา อกฺขีนิ กาณานิ กโรหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตถา อกาสิฯ โส นจิรเสฺสว อโนฺธ โหติฯ เตสํ อุภินฺนมฺปิ อิมินา กเมฺมน จกฺขูนิ อนฺธานิ ชายิํสุฯ

    Athekadivasaṃ tesaṃ vanamūlaphalāphalaṃ ādāya sāyanhasamaye nivattantānaṃ assamapadato avidūre mahāmegho uṭṭhahi. Te ekaṃ rukkhamūlaṃ pavisitvā vammikamatthake aṭṭhaṃsu. Tassa ca abbhantare āsīviso atthi. Tesaṃ sarīrato sedagandhamissakaṃ udakaṃ otaritvā tassa nāsāpuṭaṃ pāvisi. So kujjhitvā nāsāvātena pahari. Dvepi andhā hutvā aññamaññaṃ na passiṃsu. Dukūlapaṇḍito pārikaṃ āmantetvā ‘‘pārike mama cakkhūni parihīnāni, ahaṃ taṃ na passāmī’’ti āha. Sāpi tatheva āha. Te ‘‘natthi no idāni jīvita’’nti maggaṃ apassantā paridevamānā aṭṭhaṃsu. ‘‘Kiṃ pana tesaṃ pubbakamma’’nti? Te kira pubbe vejjakule ahesuṃ. Atha so vejjo ekassa mahādhanassa purisassa akkhirogaṃ paṭijaggi. So tassa kiñci dhanaṃ na adāsi. Atha vejjo kujjhitvā attano gehaṃ gantvā bhariyāya ārocetvā ‘‘bhadde, ahaṃ tassa akkhirogaṃ paṭijaggāmi, idāni mayhaṃ dhanaṃ na deti, kiṃ karomā’’ti āha . Sāpi kujjhitvā ‘‘na no tassa santakenattho, bhesajjaṃ tassa ekayogaṃ datvā akkhīni kāṇāni karohī’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tassa santikaṃ gantvā tathā akāsi. So nacirasseva andho hoti. Tesaṃ ubhinnampi iminā kammena cakkhūni andhāni jāyiṃsu.

    อถ มหาสโตฺต ‘‘มม มาตาปิตโร อเญฺญสุ ทิวเสสุ อิมาย เวลาย อาคจฺฉนฺติ, อิทานิ เตสํ ปวตฺติํ น ชานามิ, ปฎิมคฺคํ คมิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา มคฺคํ คนฺตฺวา สทฺทมกาสิฯ เต ตสฺส สทฺทํ สญฺชานิตฺวา ปฎิสทฺทํ กริตฺวา ปุตฺตสิเนเหน ‘‘ตาต สุวณฺณสาม, อิธ ปริปโนฺถ อตฺถิ, มา อาคมี’’ติ วทิํสุฯ อถ เนสํ ‘‘เตน หิ อิมํ ลฎฺฐิโกฎิํ คเหตฺวา มม สนฺติกํ เอถา’’ติ ทีฆลฎฺฐิํ อทาสิฯ เต ลฎฺฐิโกฎิํ คเหตฺวา ตสฺส สนฺติกํ อาคมิํสุฯ อถ เน ‘‘เกน การเณน โว จกฺขูนิ วินฎฺฐานี’’ติ ปุจฺฉิฯ อถ นํ มาตาปิตโร อาหํสุ ‘‘ตาต, มยํ เทเว วสฺสเนฺต อิธ รุกฺขมูเล วมฺมิกมตฺถเก ฐิตา, เตน การเณนา’’ติฯ โส มาตาปิตูนํ กถํ สุตฺวาว อญฺญาสิ ‘‘ตตฺถ อาสีวิเสน ภวิตพฺพํ, เตน กุเทฺธน นาสาวาโต วิสฺสโฎฺฐ ภวิสฺสตี’’ติฯ โส มาตาปิตโร ทิสฺวา โรทิ เจว หสิ จฯ อถ นํ เต ปุจฺฉิํสุ ‘‘กสฺมา, ตาต, โรทสิ เจว หสสิ จา’’ติ? อมฺมตาตา, ‘‘ตุมฺหากํ ทหรกาเลเยว เอวํ จกฺขูนิ วินฎฺฐานี’’ติ โรทิํ, ‘‘อิทานิ ปฎิชคฺคิตุํ ลภิสฺสามี’’ติ หสิํฯ อมฺมตาตา, ตุเมฺห มา จินฺตยิตฺถ, อหํ โว ปฎิชคฺคิสฺสามีติฯ

    Atha mahāsatto ‘‘mama mātāpitaro aññesu divasesu imāya velāya āgacchanti, idāni tesaṃ pavattiṃ na jānāmi, paṭimaggaṃ gamissāmī’’ti cintetvā maggaṃ gantvā saddamakāsi. Te tassa saddaṃ sañjānitvā paṭisaddaṃ karitvā puttasinehena ‘‘tāta suvaṇṇasāma, idha paripantho atthi, mā āgamī’’ti vadiṃsu. Atha nesaṃ ‘‘tena hi imaṃ laṭṭhikoṭiṃ gahetvā mama santikaṃ ethā’’ti dīghalaṭṭhiṃ adāsi. Te laṭṭhikoṭiṃ gahetvā tassa santikaṃ āgamiṃsu. Atha ne ‘‘kena kāraṇena vo cakkhūni vinaṭṭhānī’’ti pucchi. Atha naṃ mātāpitaro āhaṃsu ‘‘tāta, mayaṃ deve vassante idha rukkhamūle vammikamatthake ṭhitā, tena kāraṇenā’’ti. So mātāpitūnaṃ kathaṃ sutvāva aññāsi ‘‘tattha āsīvisena bhavitabbaṃ, tena kuddhena nāsāvāto vissaṭṭho bhavissatī’’ti. So mātāpitaro disvā rodi ceva hasi ca. Atha naṃ te pucchiṃsu ‘‘kasmā, tāta, rodasi ceva hasasi cā’’ti? Ammatātā, ‘‘tumhākaṃ daharakāleyeva evaṃ cakkhūni vinaṭṭhānī’’ti rodiṃ, ‘‘idāni paṭijaggituṃ labhissāmī’’ti hasiṃ. Ammatātā, tumhe mā cintayittha, ahaṃ vo paṭijaggissāmīti.

    โส มาตาปิตโร อสฺสาเสตฺวา อสฺสมปทํ อาเนตฺวา เตสํ รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐาเนสุ จงฺกเม ปณฺณสาลายํ วจฺจฎฺฐาเน ปสฺสาวฎฺฐาเน จาติ สพฺพฎฺฐาเนสุ รชฺชุเก พนฺธิ, ตโต ปฎฺฐาย เต อสฺสมปเท ฐเปตฺวา สยํ วนมูลผลาทีนิ อาหริตฺวา ปณฺณสาลายํ ฐเปตฺวา ปาโตว เตสํ วสนฎฺฐานํ สมฺมชฺชิตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา ฆฎํ อาทาย มิคสมฺมตานทิํ คนฺตฺวา ปานียปริโภชนียํ อาหริตฺวา อุปฎฺฐาเปติ, ทนฺตกฎฺฐมุโขทกาทีนิ ทตฺวา มธุรผลาผลํ เทติ, เตหิ ภุญฺชิตฺวา มุเข วิกฺขาลิเต สยํ ขาทิตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา มิคคณปริวุโต ผลาผลตฺถาย อรญฺญํ ปาวิสิฯ ปพฺพตปาเท กินฺนรปริวาโร ผลาผลํ คเหตฺวา สายนฺหสมเย อาคนฺตฺวา ฆเฎน อุทกํ อาหริตฺวา อุโณฺหทเกน เตสํ ยถารุจิ นฺหาปนํ ปาทโธวนํ วา กตฺวา องฺคารกปลฺลํ อุปเนตฺวา หตฺถปาเท เสเทตฺวา เตสํ นิสินฺนานํ ผลาผลํ ทตฺวา ขาทาเปตฺวา ปริโยสาเน สยํ ขาทิตฺวา เสสกํ ฐเปสิฯ อิมินา นิยาเมเนว มาตาปิตโร ปฎิชคฺคิฯ

    So mātāpitaro assāsetvā assamapadaṃ ānetvā tesaṃ rattiṭṭhānadivāṭṭhānesu caṅkame paṇṇasālāyaṃ vaccaṭṭhāne passāvaṭṭhāne cāti sabbaṭṭhānesu rajjuke bandhi, tato paṭṭhāya te assamapade ṭhapetvā sayaṃ vanamūlaphalādīni āharitvā paṇṇasālāyaṃ ṭhapetvā pātova tesaṃ vasanaṭṭhānaṃ sammajjitvā mātāpitaro vanditvā ghaṭaṃ ādāya migasammatānadiṃ gantvā pānīyaparibhojanīyaṃ āharitvā upaṭṭhāpeti, dantakaṭṭhamukhodakādīni datvā madhuraphalāphalaṃ deti, tehi bhuñjitvā mukhe vikkhālite sayaṃ khāditvā mātāpitaro vanditvā migagaṇaparivuto phalāphalatthāya araññaṃ pāvisi. Pabbatapāde kinnaraparivāro phalāphalaṃ gahetvā sāyanhasamaye āgantvā ghaṭena udakaṃ āharitvā uṇhodakena tesaṃ yathāruci nhāpanaṃ pādadhovanaṃ vā katvā aṅgārakapallaṃ upanetvā hatthapāde sedetvā tesaṃ nisinnānaṃ phalāphalaṃ datvā khādāpetvā pariyosāne sayaṃ khāditvā sesakaṃ ṭhapesi. Iminā niyāmeneva mātāpitaro paṭijaggi.

    ตสฺมิํ สมเย พาราณสิยํ ปีฬิยโกฺข นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ โส มิคมํสโลเภน มาตรํ รชฺชํ ปฎิจฺฉาเปตฺวา สนฺนทฺธปญฺจาวุโธ หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา มิเค วธิตฺวา มํสํ ขาทโนฺต มิคสมฺมตานทิํ ปตฺวา อนุปุเพฺพน สามสฺส ปานียคฺคหณติตฺถํ สมฺปโตฺต มิคปทวลญฺชํ ทิสฺวา มณิวณฺณาหิ สาขาหิ โกฎฺฐกํ กตฺวา ธนุํ อาทาย วิสปีตํ สรํ สนฺนหิตฺวา นิลีโนว อจฺฉิฯ มหาสโตฺตปิ สายนฺหสมเย ผลาผลํ อาหริตฺวา อสฺสมปเท ฐเปตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา ‘‘ปานียํ อาหริสฺสามี’’ติ ฆฎํ คเหตฺวา มิคคณปริวุโต เทฺวปิ มิเค เอกโต กตฺวา เตสํ ปิฎฺฐิยํ ปานียฆฎํ ฐเปตฺวา หเตฺถน คเหตฺวา นทีติตฺถํ อคมาสิฯ ราชา โกฎฺฐเก ฐิโตว ตํ ตถา อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘มยา เอตฺตกํ กาลํ เอวํ วิจรเนฺตนปิ มนุโสฺส นาม น ทิฎฺฐปุโพฺพ, เทโว นุ โข เอส นาโค นุ โข, สเจ ปนาหํ เอตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิสฺสามิฯ เทโว เจ ภวิสฺสติ, อากาสํ อุปฺปติสฺสติฯ นาโค เจ, ภูมิยํ ปวิสิสฺสติฯ น โข ปนาหํ สพฺพกาลํ หิมวเนฺตเยว วิจริสฺสามิ, พาราณสิํ คมิสฺสามิฯ ตตฺร มํ ปุจฺฉิสฺสนฺติ ‘อปิ นุ โข เต, มหาราช, หิมวเนฺต วสเนฺตน กิญฺจิ อฉริยํ ทิฎฺฐปุพฺพ’นฺติ? ตตฺราหํ ‘เอวรูโป เม สโตฺต ทิฎฺฐปุโพฺพ’ติ วกฺขามิฯ ‘โก นาเมโส’ติ วุเตฺต สเจ ‘น ชานามี’ติ วกฺขามิ , อถ ครหิสฺสนฺติ มํ, ตสฺมา เอตํ วิชฺฌิตฺวา ทุพฺพลํ กตฺวา ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ

    Tasmiṃ samaye bārāṇasiyaṃ pīḷiyakkho nāma rājā rajjaṃ kāresi. So migamaṃsalobhena mātaraṃ rajjaṃ paṭicchāpetvā sannaddhapañcāvudho himavantaṃ pavisitvā mige vadhitvā maṃsaṃ khādanto migasammatānadiṃ patvā anupubbena sāmassa pānīyaggahaṇatitthaṃ sampatto migapadavalañjaṃ disvā maṇivaṇṇāhi sākhāhi koṭṭhakaṃ katvā dhanuṃ ādāya visapītaṃ saraṃ sannahitvā nilīnova acchi. Mahāsattopi sāyanhasamaye phalāphalaṃ āharitvā assamapade ṭhapetvā mātāpitaro vanditvā ‘‘pānīyaṃ āharissāmī’’ti ghaṭaṃ gahetvā migagaṇaparivuto dvepi mige ekato katvā tesaṃ piṭṭhiyaṃ pānīyaghaṭaṃ ṭhapetvā hatthena gahetvā nadītitthaṃ agamāsi. Rājā koṭṭhake ṭhitova taṃ tathā āgacchantaṃ disvā ‘‘mayā ettakaṃ kālaṃ evaṃ vicarantenapi manusso nāma na diṭṭhapubbo, devo nu kho esa nāgo nu kho, sace panāhaṃ etaṃ upasaṅkamitvā pucchissāmi. Devo ce bhavissati, ākāsaṃ uppatissati. Nāgo ce, bhūmiyaṃ pavisissati. Na kho panāhaṃ sabbakālaṃ himavanteyeva vicarissāmi, bārāṇasiṃ gamissāmi. Tatra maṃ pucchissanti ‘api nu kho te, mahārāja, himavante vasantena kiñci achariyaṃ diṭṭhapubba’nti? Tatrāhaṃ ‘evarūpo me satto diṭṭhapubbo’ti vakkhāmi. ‘Ko nāmeso’ti vutte sace ‘na jānāmī’ti vakkhāmi , atha garahissanti maṃ, tasmā etaṃ vijjhitvā dubbalaṃ katvā pucchissāmī’’ti cintesi.

    อถ เตสุ มิเคสุ ปฐมเมว โอตริตฺวา ปานียํ ปิวิตฺวา อุตฺติเณฺณสุ โพธิสโตฺต อุคฺคหิตวโตฺต มหาเถโร วิย สณิกํ โอตริตฺวา ปสฺสทฺธทรโถ ปจฺจุตฺตริตฺวา รตฺตวากจีรํ นิวาเสตฺวา เอกํ ปารุปิตฺวา อชินจมฺมํ อํเส กตฺวา ปานียฆฎํ อุกฺขิปิตฺวา อุทกํ ปุญฺฉิตฺวา วามอํสกูเฎ ฐเปสิฯ ตสฺมิํ กาเล ‘‘อิทานิ วิชฺฌิตุํ สมโย’’ติ ราชา วิสปีตํ สรํ อุกฺขิปิตฺวา มหาสตฺตํ ทกฺขิณปเสฺส วิชฺฌิ, สโร วามปเสฺสน นิกฺขมิฯ ตสฺส วิทฺธภาวํ ญตฺวา มิคคณา ภีตา ปลายิํสุฯ สุวณฺณสามปณฺฑิโต ปน วิโทฺธปิ ปานียฆฎํ ยถา วา ตถา วา อนวสุมฺภิตฺวา สติํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา สณิกํ โอตาเรตฺวา วาลุกํ วิยูหิตฺวา ฐเปตฺวา ทิสํ ววตฺถเปตฺวา มาตาปิตูนํ วสนฎฺฐานทิสาภาเคน สีสํ กตฺวา รชตปฎฺฎวณฺณาย วาลุกาย สุวณฺณปฎิมา วิย นิปชฺชิตฺวา สติํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ หิมวนฺตปฺปเทเส มม เวรี นาม นตฺถิ, มยฺหํ มาตาปิตูนญฺจ เวรี นาม นตฺถี’’ติ มุเขน โลหิตํ ฉเฑฺฑตฺวา ราชานํ อทิสฺวาว ปฐมํ คาถมาห –

    Atha tesu migesu paṭhamameva otaritvā pānīyaṃ pivitvā uttiṇṇesu bodhisatto uggahitavatto mahāthero viya saṇikaṃ otaritvā passaddhadaratho paccuttaritvā rattavākacīraṃ nivāsetvā ekaṃ pārupitvā ajinacammaṃ aṃse katvā pānīyaghaṭaṃ ukkhipitvā udakaṃ puñchitvā vāmaaṃsakūṭe ṭhapesi. Tasmiṃ kāle ‘‘idāni vijjhituṃ samayo’’ti rājā visapītaṃ saraṃ ukkhipitvā mahāsattaṃ dakkhiṇapasse vijjhi, saro vāmapassena nikkhami. Tassa viddhabhāvaṃ ñatvā migagaṇā bhītā palāyiṃsu. Suvaṇṇasāmapaṇḍito pana viddhopi pānīyaghaṭaṃ yathā vā tathā vā anavasumbhitvā satiṃ paccupaṭṭhāpetvā saṇikaṃ otāretvā vālukaṃ viyūhitvā ṭhapetvā disaṃ vavatthapetvā mātāpitūnaṃ vasanaṭṭhānadisābhāgena sīsaṃ katvā rajatapaṭṭavaṇṇāya vālukāya suvaṇṇapaṭimā viya nipajjitvā satiṃ paccupaṭṭhāpetvā ‘‘imasmiṃ himavantappadese mama verī nāma natthi, mayhaṃ mātāpitūnañca verī nāma natthī’’ti mukhena lohitaṃ chaḍḍetvā rājānaṃ adisvāva paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๒๙๖.

    296.

    ‘‘โก นุ มํ อุสุนา วิชฺฌิ, ปมตฺตํ อุทหารกํ;

    ‘‘Ko nu maṃ usunā vijjhi, pamattaṃ udahārakaṃ;

    ขตฺติโย พฺราหฺมโณ เวโสฺส, โก มํ วิทฺธา นิลียสี’’ติฯ

    Khattiyo brāhmaṇo vesso, ko maṃ viddhā nilīyasī’’ti.

    ตตฺถ ปมตฺตนฺติ เมตฺตาภาวนาย อนุปฎฺฐิตสติํฯ อิทญฺหิ โส สนฺธาย ตสฺมิํ ขเณ อตฺตานํ ปมตฺตํ นาม อกาสิฯ วิทฺธาติ วิชฺฌิตฺวาฯ

    Tattha pamattanti mettābhāvanāya anupaṭṭhitasatiṃ. Idañhi so sandhāya tasmiṃ khaṇe attānaṃ pamattaṃ nāma akāsi. Viddhāti vijjhitvā.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ปุน อตฺตโน สรีรมํสสฺส อภกฺขสมฺมตภาวํ ทเสฺสตุํ ทุติยํ คาถมาห –

    Evañca pana vatvā puna attano sarīramaṃsassa abhakkhasammatabhāvaṃ dassetuṃ dutiyaṃ gāthamāha –

    ๒๙๗.

    297.

    ‘‘น เม มํสานิ ขชฺชานิ, จเมฺมนโตฺถ น วิชฺชติ;

    ‘‘Na me maṃsāni khajjāni, cammenattho na vijjati;

    อถ เกน นุ วเณฺณน, วิเทฺธยฺยํ มํ อมญฺญถา’’ติฯ

    Atha kena nu vaṇṇena, viddheyyaṃ maṃ amaññathā’’ti.

    ทุติยคาถํ วตฺวา ตเมว นามาทิวเสน ปุจฺฉโนฺต อาห –

    Dutiyagāthaṃ vatvā tameva nāmādivasena pucchanto āha –

    ๒๙๘.

    298.

    ‘‘โก วา ตฺวํ กสฺส วา ปุโตฺต, กถํ ชาเนมุ ตํ มยํ;

    ‘‘Ko vā tvaṃ kassa vā putto, kathaṃ jānemu taṃ mayaṃ;

    ปุโฎฺฐ เม สมฺม อกฺขาหิ, กิํ มํ วิทฺธา นิลียสี’’ติฯ

    Puṭṭho me samma akkhāhi, kiṃ maṃ viddhā nilīyasī’’ti.

    ตตฺถ อมญฺญถาติ อยํ ปุริโส เกน การเณน มํ วิชฺฌิตพฺพนฺติ อมญฺญิตฺถาติ อโตฺถฯ

    Tattha amaññathāti ayaṃ puriso kena kāraṇena maṃ vijjhitabbanti amaññitthāti attho.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘อยํ มยา วิสปีเตน สเลฺลน วิชฺฌิตฺวา ปาติโตปิ เนว มํ อโกฺกสติ น ปริภาสติ, มม หทยํ สมฺพาหโนฺต วิย ปิยวจเนน สมุทาจรติ, คจฺฉิสฺสามิสฺส สนฺติก’’นฺติ จิเนฺตตฺวา คนฺตฺวา ตสฺส สนฺติเก ฐิโตว เทฺว คาถา อภาสิ –

    Evañca pana vatvā tuṇhī ahosi. Taṃ sutvā rājā ‘‘ayaṃ mayā visapītena sallena vijjhitvā pātitopi neva maṃ akkosati na paribhāsati, mama hadayaṃ sambāhanto viya piyavacanena samudācarati, gacchissāmissa santika’’nti cintetvā gantvā tassa santike ṭhitova dve gāthā abhāsi –

    ๒๙๙.

    299.

    ‘‘ราชาหมสฺมิ กาสีนํ, ปีฬิยโกฺขติ มํ วิทู;

    ‘‘Rājāhamasmi kāsīnaṃ, pīḷiyakkhoti maṃ vidū;

    โลภา รฎฺฐํ ปหิตฺวาน, มิคเมสํ จรามหํฯ

    Lobhā raṭṭhaṃ pahitvāna, migamesaṃ carāmahaṃ.

    ๓๐๐.

    300.

    ‘‘อิสฺสเตฺถ จสฺมิ กุสโล, ทฬฺหธโมฺมติ วิสฺสุโต;

    ‘‘Issatthe casmi kusalo, daḷhadhammoti vissuto;

    นาโคปิ เม น มุเจฺจยฺย, อาคโต อุสุปาตน’’นฺติฯ

    Nāgopi me na mucceyya, āgato usupātana’’nti.

    ตตฺถ ราชาหมสฺมีติ เอวํ กิรสฺส วิตโกฺก อโหสิ ‘‘เทวาปิ นาคาปิ มนุสฺสภาสาย กเถนฺติเยว, อหเมตํ เทโวติ วา นาโคติ วา มนุโสฺสติ วา น ชานามิฯ สเจ กุเชฺฌยฺย, นาเสยฺย มํ, ‘ราชา’ติ วุเตฺต ปน อภายโนฺต นาม นตฺถี’’ติฯ ตสฺมา อตฺตโน ราชภาวํ ชานาเปตุํ ปฐมํ ‘‘ราชาหมสฺมี’’ติ อาหฯ โลภาติ มิคมํสโลเภนฯ มิคเมสนฺติ มิคํ เอสโนฺตฯ จรามหนฺติ จรามิ อหํฯ ทุติยํ คาถํ ปน อตฺตโน พลํ ทีเปตุกาโม เอวมาหฯ ตตฺถ อิสฺสเตฺถติ ธนุสิเปฺปฯ ทฬฺหธโมฺมติ ทฬฺหธนุํ สหสฺสตฺถามธนุํ โอโรเปตุญฺจ อาโรเปตุญฺจ สมโตฺถฯ

    Tattha rājāhamasmīti evaṃ kirassa vitakko ahosi ‘‘devāpi nāgāpi manussabhāsāya kathentiyeva, ahametaṃ devoti vā nāgoti vā manussoti vā na jānāmi. Sace kujjheyya, nāseyya maṃ, ‘rājā’ti vutte pana abhāyanto nāma natthī’’ti. Tasmā attano rājabhāvaṃ jānāpetuṃ paṭhamaṃ ‘‘rājāhamasmī’’ti āha. Lobhāti migamaṃsalobhena. Migamesanti migaṃ esanto. Carāmahanti carāmi ahaṃ. Dutiyaṃ gāthaṃ pana attano balaṃ dīpetukāmo evamāha. Tattha issattheti dhanusippe. Daḷhadhammoti daḷhadhanuṃ sahassatthāmadhanuṃ oropetuñca āropetuñca samattho.

    อิติ ราชา อตฺตโน พลํ วเณฺณตฺวา ตสฺส นามโคตฺตํ ปุจฺฉโนฺต อาห –

    Iti rājā attano balaṃ vaṇṇetvā tassa nāmagottaṃ pucchanto āha –

    ๓๐๑.

    301.

    ‘‘โก วา ตฺวํ กสฺส วา ปุโตฺต, กถํ ชาเนมุ ตํ มยํ;

    ‘‘Ko vā tvaṃ kassa vā putto, kathaṃ jānemu taṃ mayaṃ;

    ปิตุโน อตฺตโน จาปิ, นามโคตฺตํ ปเวทยา’’ติฯ

    Pituno attano cāpi, nāmagottaṃ pavedayā’’ti.

    ตตฺถ ปเวทยาติ กถยฯ

    Tattha pavedayāti kathaya.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘สจาหํ ‘เทวนาคกินฺนรขตฺติยาทีสุ อญฺญตโรหมสฺมี’ติ กเถยฺยํ, สทฺทเหเยฺยว เอส, สจฺจเมว ปนสฺส กเถตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา เอวมาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘sacāhaṃ ‘devanāgakinnarakhattiyādīsu aññatarohamasmī’ti katheyyaṃ, saddaheyyeva esa, saccameva panassa kathetuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā evamāha –

    ๓๐๒.

    302.

    ‘‘เนสาทปุโตฺต ภทฺทเนฺต, สาโม อิติ มํ ญาตโย;

    ‘‘Nesādaputto bhaddante, sāmo iti maṃ ñātayo;

    อามนฺตยิํสุ ชีวนฺตํ, สฺวเชฺชวาหํ คโต สเยฯ

    Āmantayiṃsu jīvantaṃ, svajjevāhaṃ gato saye.

    ๓๐๓.

    303.

    ‘‘วิโทฺธสฺมิ ปุถุสเลฺลน, สวิเสน ยถา มิโค;

    ‘‘Viddhosmi puthusallena, savisena yathā migo;

    สกมฺหิ โลหิเต ราช, ปสฺส เสมิ ปริปฺลุโตฯ

    Sakamhi lohite rāja, passa semi paripluto.

    ๓๐๔.

    304.

    ‘‘ปฎิวามคตํ สลฺลํ, ปสฺส ธิมฺหามิ โลหิตํ;

    ‘‘Paṭivāmagataṃ sallaṃ, passa dhimhāmi lohitaṃ;

    อาตุโร ตฺยานุปุจฺฉามิ, กิํ มํ วิทฺธา นิลียสิฯ

    Āturo tyānupucchāmi, kiṃ maṃ viddhā nilīyasi.

    ๓๐๕.

    305.

    ‘‘อชินมฺหิ หญฺญเต ทีปิ, นาโค ทเนฺตหิ หญฺญเต;

    ‘‘Ajinamhi haññate dīpi, nāgo dantehi haññate;

    อถ เกน นุ วเณฺณน, วิเทฺธยฺยํ มํ อมญฺญถา’’ติฯ

    Atha kena nu vaṇṇena, viddheyyaṃ maṃ amaññathā’’ti.

    ตตฺถ ชีวนฺตนฺติ มํ อิโต ปุเพฺพ ชีวมานํ ‘‘เอหิ สาม, ยาหิ สามา’’ติ ญาตโย อามนฺตยิํสุฯ สฺวเชฺชวาหํ คโตติ โส อหํ อชฺช เอวํ คโต มรณมุเข สมฺปโตฺต, ปวิโฎฺฐติ อโตฺถ ฯ สเยติ สยามิฯ ปริปฺลุโตติ นิมุโคฺคฯ ปฎิวามคตนฺติ ทกฺขิณปเสฺสน ปวิสิตฺวา วามปเสฺสน นิคฺคตนฺติ อโตฺถฯ ปสฺสาติ โอโลเกหิ มํฯ ธิมฺหามีติ นิฎฺฐุภามิ, อิทํ โส สติํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา อวิกมฺปมาโนว โลหิตํ มุเขน ฉเฑฺฑตฺวา อาหฯ อาตุโร ตฺยานุปุจฺฉามี’’ติ พาฬฺหคิลาโน หุตฺวา อหํ ตํ อนุปุจฺฉามิฯ นิลียสีติ เอตสฺมิํ วนคุเมฺพ นิลีโน อจฺฉสิฯ วิเทฺธยฺยนฺติ วิชฺฌิตพฺพํฯ อมญฺญถาติ อมญฺญิตฺถฯ

    Tattha jīvantanti maṃ ito pubbe jīvamānaṃ ‘‘ehi sāma, yāhi sāmā’’ti ñātayo āmantayiṃsu. Svajjevāhaṃ gatoti so ahaṃ ajja evaṃ gato maraṇamukhe sampatto, paviṭṭhoti attho . Sayeti sayāmi. Pariplutoti nimuggo. Paṭivāmagatanti dakkhiṇapassena pavisitvā vāmapassena niggatanti attho. Passāti olokehi maṃ. Dhimhāmīti niṭṭhubhāmi, idaṃ so satiṃ paccupaṭṭhāpetvā avikampamānova lohitaṃ mukhena chaḍḍetvā āha. Āturo tyānupucchāmī’’ti bāḷhagilāno hutvā ahaṃ taṃ anupucchāmi. Nilīyasīti etasmiṃ vanagumbe nilīno acchasi. Viddheyyanti vijjhitabbaṃ. Amaññathāti amaññittha.

    ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ยถาภูตํ อนาจิกฺขิตฺวา มุสาวาทํ กเถโนฺต อาห –

    Rājā tassa vacanaṃ sutvā yathābhūtaṃ anācikkhitvā musāvādaṃ kathento āha –

    ๓๐๖.

    306.

    ‘‘มิโค อุปฎฺฐิโต อาสิ, อาคโต อุสุปาตนํ;

    ‘‘Migo upaṭṭhito āsi, āgato usupātanaṃ;

    ตํ ทิสฺวา อุพฺพิชี สาม, เตน โกโธ มมาวิสี’’ติฯ

    Taṃ disvā ubbijī sāma, tena kodho mamāvisī’’ti.

    ตตฺถ อาวิสีติ อโชฺฌตฺถริฯ เตน การเณน เม โกโธ อุปฺปโนฺนติ ทีเปติฯ

    Tattha āvisīti ajjhotthari. Tena kāraṇena me kodho uppannoti dīpeti.

    อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘กิํ วเทสิ, มหาราช, อิมสฺมิํ หิมวเนฺต มํ ทิสฺวา ปลายนมิโค นาม นตฺถี’’ติ วตฺวา อาห –

    Atha naṃ mahāsatto ‘‘kiṃ vadesi, mahārāja, imasmiṃ himavante maṃ disvā palāyanamigo nāma natthī’’ti vatvā āha –

    ๓๐๗.

    307.

    ‘‘ยโต สรามิ อตฺตานํ, ยโต ปโตฺตสฺมิ วิญฺญุตํ;

    ‘‘Yato sarāmi attānaṃ, yato pattosmi viññutaṃ;

    น มํ มิคา อุตฺตสนฺติ, อรเญฺญ สาปทานิปิฯ

    Na maṃ migā uttasanti, araññe sāpadānipi.

    ๓๐๘.

    308.

    ‘‘ยโต นิธิํ ปริหริํ, ยโต ปโตฺตสฺมิ โยพฺพนํ;

    ‘‘Yato nidhiṃ parihariṃ, yato pattosmi yobbanaṃ;

    น มํ มิคา อุตฺตสนฺติ, อรเญฺญ สาปทานิปิฯ

    Na maṃ migā uttasanti, araññe sāpadānipi.

    ๓๐๙.

    309.

    ‘‘ภีรู กิมฺปุริสา ราช, ปพฺพเต คนฺธมาทเน;

    ‘‘Bhīrū kimpurisā rāja, pabbate gandhamādane;

    สโมฺมทมานา คจฺฉาม, ปพฺพตานิ วนานิ จฯ

    Sammodamānā gacchāma, pabbatāni vanāni ca.

    ๓๑๐.

    310.

    ‘‘น มํ มิคา อุตฺตสนฺติ, อรเญฺญ สาปทานิปิ;

    ‘‘Na maṃ migā uttasanti, araññe sāpadānipi;

    อถ เกน นุ วเณฺณน, อุตฺราสนฺติ มิคา มม’’นฺติฯ

    Atha kena nu vaṇṇena, utrāsanti migā mama’’nti.

    ตตฺถ น มํ มิคาติ โภ มหาราช, ยโต กาลโต ปฎฺฐาย อหํ อตฺตานํ สรามิ, ยโต กาลโต ปฎฺฐาย อหํ วิญฺญุภาวํ ปโตฺต อสฺมิ ภวามิ, ตโต กาลโต ปฎฺฐาย มํ ทิสฺวา มิคา นาม น อุตฺตสนฺติฯ สาปทานิปีติ วาฬมิคาปิฯ ยโต นิธินฺติ ยโต กาลโต ปฎฺฐาย อหํ วากจีรํ ปริหริํฯ ภีรู กิมฺปุริสาติ มหาราช, มิคา ตาว ติฎฺฐนฺตุ, กิมฺปุริสา นาม อติภีรุกา โหนฺติฯ เย อิมสฺมิํ คนฺธมาทนปพฺพเต วิหรนฺติ, เตปิ มํ ทิสฺวา น อุตฺตสนฺติ, อถ โข มยํ อญฺญมญฺญํ สโมฺมทมานา คจฺฉามฯ อุตฺราสนฺติ มิคา มมนฺติ มมํ ทิสฺวา มิคา อุตฺราเสยฺยุํ, เกน การเณน ตฺวํ มํ สทฺทหาเปสฺสสีติ ทีเปติฯ

    Tattha na maṃ migāti bho mahārāja, yato kālato paṭṭhāya ahaṃ attānaṃ sarāmi, yato kālato paṭṭhāya ahaṃ viññubhāvaṃ patto asmi bhavāmi, tato kālato paṭṭhāya maṃ disvā migā nāma na uttasanti. Sāpadānipīti vāḷamigāpi. Yato nidhinti yato kālato paṭṭhāya ahaṃ vākacīraṃ parihariṃ. Bhīrū kimpurisāti mahārāja, migā tāva tiṭṭhantu, kimpurisā nāma atibhīrukā honti. Ye imasmiṃ gandhamādanapabbate viharanti, tepi maṃ disvā na uttasanti, atha kho mayaṃ aññamaññaṃ sammodamānā gacchāma. Utrāsanti migā mamanti mamaṃ disvā migā utrāseyyuṃ, kena kāraṇena tvaṃ maṃ saddahāpessasīti dīpeti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘มยา อิมํ นิรปราธํ วิชฺฌิตฺวา มุสาวาโท กถิโต, สจฺจเมว กถยิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘mayā imaṃ niraparādhaṃ vijjhitvā musāvādo kathito, saccameva kathayissāmī’’ti cintetvā āha –

    ๓๑๑.

    311.

    ‘‘น ตํ ตส มิโค สาม, กิํ ตาหํ อลิกํ ภเณ;

    ‘‘Na taṃ tasa migo sāma, kiṃ tāhaṃ alikaṃ bhaṇe;

    โกธโลภาภิภูตาหํ, อุสุํ เต ตํ อวสฺสชิ’’นฺติฯ

    Kodhalobhābhibhūtāhaṃ, usuṃ te taṃ avassaji’’nti.

    ตตฺถ น ตํ ตสาติ น ตํ ทิสฺวา มิโค ตส, น ภีโตติ อโตฺถฯ กิํ ตาหนฺติ กิํ เต เอวํ กลฺยาณทสฺสนสฺส สนฺติเก อหํ อลิกํ ภณิสฺสามิ ฯ โกธโลภาภิภูตาหนฺติ โกเธน จ โลเภน จ อภิภูโต หุตฺวา อหํฯ โส หิ ปฐมเมว มิเคสุ อุปฺปเนฺนน โกเธน ‘‘มิเค วิชฺฌิสฺสามี’’ติ ธนุํ อาโรเปตฺวา ฐิโต ปจฺฉา โพธิสตฺตํ ทิสฺวา ตสฺส เทวตาทีสุ อญฺญตรภาวํ อชานโนฺต ‘‘ปุจฺฉิสฺสามิ น’’นฺติ โลภํ อุปฺปาเทสิ, ตสฺมา เอวมาหฯ

    Tattha na taṃ tasāti na taṃ disvā migo tasa, na bhītoti attho. Kiṃ tāhanti kiṃ te evaṃ kalyāṇadassanassa santike ahaṃ alikaṃ bhaṇissāmi . Kodhalobhābhibhūtāhanti kodhena ca lobhena ca abhibhūto hutvā ahaṃ. So hi paṭhamameva migesu uppannena kodhena ‘‘mige vijjhissāmī’’ti dhanuṃ āropetvā ṭhito pacchā bodhisattaṃ disvā tassa devatādīsu aññatarabhāvaṃ ajānanto ‘‘pucchissāmi na’’nti lobhaṃ uppādesi, tasmā evamāha.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘นายํ สุวณฺณสาโม อิมสฺมิํ อรเญฺญ เอกโกว วสิสฺสติ, ญาตเกหิปิสฺส ภวิตพฺพํ, ปุจฺฉิสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อิตรํ คาถมาห –

    Evañca pana vatvā ‘‘nāyaṃ suvaṇṇasāmo imasmiṃ araññe ekakova vasissati, ñātakehipissa bhavitabbaṃ, pucchissāmi na’’nti cintetvā itaraṃ gāthamāha –

    ๓๑๒.

    312.

    ‘‘กุโต นุ สาม อาคมฺม, กสฺส วา ปหิโต ตุวํ;

    ‘‘Kuto nu sāma āgamma, kassa vā pahito tuvaṃ;

    ‘อุทหาโร นทิํ คจฺฉ’, อาคโต มิคสมฺมต’’นฺติฯ

    ‘Udahāro nadiṃ gaccha’, āgato migasammata’’nti.

    ตตฺถ สามาติ มหาสตฺตํ อาลปติฯ อาคมฺมาติ กุโต เทสา อิมํ วนํ อาคมิตฺวา ‘‘อมฺหากํ อุทหาโร อุทกํ อาหริตุํ นทิํ คจฺฉา’’ติ กสฺส วา ปหิโตเกน ปุคฺคเลน เปสิโต หุตฺวา ตุวํ อิมํ มิคสมฺมตํ อาคโตติ อโตฺถฯ

    Tattha sāmāti mahāsattaṃ ālapati. Āgammāti kuto desā imaṃ vanaṃ āgamitvā ‘‘amhākaṃ udahāro udakaṃ āharituṃ nadiṃ gacchā’’ti kassa vā pahitokena puggalena pesito hutvā tuvaṃ imaṃ migasammataṃ āgatoti attho.

    โส ตสฺส กถํ สุตฺวา มหนฺตํ ทุกฺขเวทนํ อธิวาเสตฺวา มุเขน โลหิตํ ฉเฑฺฑตฺวา คาถมาห –

    So tassa kathaṃ sutvā mahantaṃ dukkhavedanaṃ adhivāsetvā mukhena lohitaṃ chaḍḍetvā gāthamāha –

    ๓๑๓.

    313.

    ‘‘อนฺธา มาตาปิตา มยฺหํ, เต ภรามิ พฺรหาวเน;

    ‘‘Andhā mātāpitā mayhaṃ, te bharāmi brahāvane;

    เตสาหํ อุทกาหาโร, อาคโต มิคสมฺมต’’นฺติฯ

    Tesāhaṃ udakāhāro, āgato migasammata’’nti.

    ตตฺถ ภรามีติ มูลผลาทีนิ อาหริตฺวา โปเสมิฯ

    Tattha bharāmīti mūlaphalādīni āharitvā posemi.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา มหาสโตฺต มาตาปิตโร อารพฺภ วิลปโนฺต อาห –

    Evañca pana vatvā mahāsatto mātāpitaro ārabbha vilapanto āha –

    ๓๑๔.

    314.

    ‘‘อตฺถิ เนสํ อุสามตฺตํ, อถ สาหสฺส ชีวิตํ;

    ‘‘Atthi nesaṃ usāmattaṃ, atha sāhassa jīvitaṃ;

    อุทกสฺส อลาเภน, มเญฺญ อนฺธา มริสฺสเรฯ

    Udakassa alābhena, maññe andhā marissare.

    ๓๑๕.

    315.

    ‘‘น เม อิทํ ตถา ทุกฺขํ, ลพฺภา หิ ปุมุนา อิทํ;

    ‘‘Na me idaṃ tathā dukkhaṃ, labbhā hi pumunā idaṃ;

    ยญฺจ อมฺมํ น ปสฺสามิ, ตํ เม ทุกฺขตรํ อิโตฯ

    Yañca ammaṃ na passāmi, taṃ me dukkhataraṃ ito.

    ๓๑๖.

    316.

    ‘‘น เม อิทํ ตถา ทุกฺขํ, ลพฺภา หิ ปุมุนา อิทํ;

    ‘‘Na me idaṃ tathā dukkhaṃ, labbhā hi pumunā idaṃ;

    ยญฺจ ตาตํ น ปสฺสามิ, ตํ เม ทุกฺขตรํ อิโตฯ

    Yañca tātaṃ na passāmi, taṃ me dukkhataraṃ ito.

    ๓๑๗.

    317.

    ‘‘สา นูน กปณา อมฺมา, จิรรตฺตาย รุจฺฉติ;

    ‘‘Sā nūna kapaṇā ammā, cirarattāya rucchati;

    อฑฺฒรเตฺตว รเตฺต วา, นทีว อวสุจฺฉติฯ

    Aḍḍharatteva ratte vā, nadīva avasucchati.

    ๓๑๘.

    318.

    ‘‘โส นูน กปโณ ตาโต, จิรรตฺตาย รุจฺฉติ;

    ‘‘So nūna kapaṇo tāto, cirarattāya rucchati;

    อฑฺฒรเตฺตว รเตฺต วา, นทีว อวสุจฺฉติฯ

    Aḍḍharatteva ratte vā, nadīva avasucchati.

    ๓๑๙.

    319.

    ‘‘อุฎฺฐานปาทจริยาย, ปาทสมฺพาหนสฺส จ;

    ‘‘Uṭṭhānapādacariyāya, pādasambāhanassa ca;

    สาม ตาตวิลปนฺตา, หิณฺฑิสฺสนฺติ พฺรหาวเนฯ

    Sāma tātavilapantā, hiṇḍissanti brahāvane.

    ๓๒๐.

    320.

    อิทมฺปิ ทุติยํ สลฺลํ, กเมฺปติ หทยํ มมํ;

    Idampi dutiyaṃ sallaṃ, kampeti hadayaṃ mamaṃ;

    ยญฺจ อเนฺธ น ปสฺสามิ, มเญฺญ หิสฺสามิ ชีวิต’’นฺติฯ

    Yañca andhe na passāmi, maññe hissāmi jīvita’’nti.

    ตตฺถ อุสามตฺตนฺติ โภชนมตฺตํฯ ‘‘อุสา’’ติ หิ โภชนสฺส นามํ ตสฺส จ อตฺถิตายฯ สาหสฺส ชีวิตนฺติ ฉทิวสมตฺตํ ชีวิตนฺติ อโตฺถฯ อิทํ อาหริตฺวา ฐปิตํ ผลาผลํ สนฺธายาห ฯ อถ วา อุสาติ อุสฺมาฯ เตเนตํ ทเสฺสติ – เตสํ สรีเร อุสฺมามตฺตํ อตฺถิ, อถ มยา อาภเตน ผลาผเลน สาหสฺส ชีวิตํ อตฺถีติฯ มริสฺสเรติ มริสฺสนฺตีติ มญฺญามิฯ ปุมุนาติ ปุริเสน, เอวรูปญฺหิ ทุกฺขํ ปุริเสน ลภิตพฺพเมวาติ อโตฺถฯ จิรรตฺตาย รุจฺฉตีติ จิรรตฺตํ โรทิสฺสติฯ อฑฺฒรเตฺต วาติ มชฺฌิมรเตฺต วาฯ รเตฺต วาติ ปจฺฉิมรเตฺต วาฯ อวสุจฺฉตีติ กุนฺนที วิย สุสฺสิสฺสตีติ อโตฺถฯ อุฎฺฐานปาทจริยายาติ มหาราช, อหํ รตฺติมฺปิ ทิวาปิ เทฺว ตโย วาเร อุฎฺฐาย อตฺตโน อุฎฺฐานวีริเยน เตสํ ปาทจริยํ กโรมิ, หตฺถปาเท สมฺพาหามิ, อิทานิ มํ อทิสฺวา มมตฺถาย เต ปริหีนจกฺขุกา ‘‘สามตาตา’’ติ วิลปนฺตา กณฺฎเกหิ วิชฺฌิยมานา วิย อิมสฺมิํ วนปฺปเทเส หิณฺฑิสฺสนฺติ วิจริสฺสนฺตีติ อโตฺถฯ ทุติยํ สลฺลนฺติ ปฐมวิทฺธวิสปีตสลฺลโต สตคุเณน สหสฺสคุเณน สตสหสฺสคุเณน ทุกฺขตรํ อิทํ ทุติยํ เตสํ อทสฺสนโสกสลฺลํฯ

    Tattha usāmattanti bhojanamattaṃ. ‘‘Usā’’ti hi bhojanassa nāmaṃ tassa ca atthitāya. Sāhassa jīvitanti chadivasamattaṃ jīvitanti attho. Idaṃ āharitvā ṭhapitaṃ phalāphalaṃ sandhāyāha . Atha vā usāti usmā. Tenetaṃ dasseti – tesaṃ sarīre usmāmattaṃ atthi, atha mayā ābhatena phalāphalena sāhassa jīvitaṃ atthīti. Marissareti marissantīti maññāmi. Pumunāti purisena, evarūpañhi dukkhaṃ purisena labhitabbamevāti attho. Cirarattāya rucchatīti cirarattaṃ rodissati. Aḍḍharatte vāti majjhimaratte vā. Ratte vāti pacchimaratte vā. Avasucchatīti kunnadī viya sussissatīti attho. Uṭṭhānapādacariyāyāti mahārāja, ahaṃ rattimpi divāpi dve tayo vāre uṭṭhāya attano uṭṭhānavīriyena tesaṃ pādacariyaṃ karomi, hatthapāde sambāhāmi, idāni maṃ adisvā mamatthāya te parihīnacakkhukā ‘‘sāmatātā’’ti vilapantā kaṇṭakehi vijjhiyamānā viya imasmiṃ vanappadese hiṇḍissanti vicarissantīti attho. Dutiyaṃ sallanti paṭhamaviddhavisapītasallato sataguṇena sahassaguṇena satasahassaguṇena dukkhataraṃ idaṃ dutiyaṃ tesaṃ adassanasokasallaṃ.

    ราชา ตสฺส วิลาปํ สุตฺวา ‘‘อยํ อจฺจนฺตํ พฺรหฺมจารี ธเมฺม ฐิโต มาตาปิตโร ภรติ, อิทานิ เอวํ ทุกฺขปฺปโตฺตปิ เตสํเยว วิลปติ, เอวํ คุณสมฺปเนฺน นาม มยา อปราโธ กโต, กถํ นุ โข อิมํ สมสฺสาเสยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘นิรเย ปจฺจนกาเล รชฺชํ กิํ กริสฺสติ, อิมินา ปฎิชคฺคิตนิยาเมเนวสฺส มาตาปิตโร ปฎิชคฺคิสฺสามิ, อิมสฺส มรณมฺปิ อมรณํ วิย ภวิสฺสตี’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา อาห –

    Rājā tassa vilāpaṃ sutvā ‘‘ayaṃ accantaṃ brahmacārī dhamme ṭhito mātāpitaro bharati, idāni evaṃ dukkhappattopi tesaṃyeva vilapati, evaṃ guṇasampanne nāma mayā aparādho kato, kathaṃ nu kho imaṃ samassāseyya’’nti cintetvā ‘‘niraye paccanakāle rajjaṃ kiṃ karissati, iminā paṭijaggitaniyāmenevassa mātāpitaro paṭijaggissāmi, imassa maraṇampi amaraṇaṃ viya bhavissatī’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā āha –

    ๓๒๑.

    321.

    ‘‘มา พาฬฺหํ ปริเทเวสิ, สาม กลฺยาณทสฺสน;

    ‘‘Mā bāḷhaṃ paridevesi, sāma kalyāṇadassana;

    อหํ กมฺมกโร หุตฺวา, ภริสฺสํ เต พฺรหาวเนฯ

    Ahaṃ kammakaro hutvā, bharissaṃ te brahāvane.

    ๓๒๒.

    322.

    ‘‘อิสฺสเตฺถ จสฺมิ กุสโล, ทฬฺหธโมฺมติ วิสฺสุโต;

    ‘‘Issatthe casmi kusalo, daḷhadhammoti vissuto;

    อหํ กมฺมกโร หุตฺวา, ภริสฺสํ เต พฺรหาวเนฯ

    Ahaṃ kammakaro hutvā, bharissaṃ te brahāvane.

    ๓๒๓.

    323.

    ‘‘มิคานํ วิฆาสมเนฺวสํ, วนมูลผลานิ จ;

    ‘‘Migānaṃ vighāsamanvesaṃ, vanamūlaphalāni ca;

    อหํ กมฺมกโร หุตฺวา, ภริสฺสํ เต พฺรหาวเนฯ

    Ahaṃ kammakaro hutvā, bharissaṃ te brahāvane.

    ๓๒๔.

    324.

    ‘‘กตมํ ตํ วนํ สาม, ยตฺถ มาตาปิตา ตว;

    ‘‘Katamaṃ taṃ vanaṃ sāma, yattha mātāpitā tava;

    อหํ เต ตถา ภริสฺสํ, ยถา เต อภรี ตุว’’นฺติฯ

    Ahaṃ te tathā bharissaṃ, yathā te abharī tuva’’nti.

    ตตฺถ ภริสฺสํ เตติ เต ตว มาตาปิตโร ภริสฺสามิฯ มิคานนฺติ สีหาทีนํ มิคานํ วิฆาสํ อเนฺวสโนฺตฯ อิทํ โส ‘‘อิสฺสเตฺถ จสฺมิ กุสโลติ ถูลถูเล มิเค วธิตฺวา มธุรมํเสน ตว มาตาปิตโร ภริสฺสามี’’ติ วตฺวา ‘‘มา, มหาราช, อเมฺห นิสฺสาย ปาณวธํ กรี’’ติ วุเตฺต เอวมาหฯ ยถา เตติ ยถา ตฺวํ เต อภริ, ตเถวาหมฺปิ ภริสฺสามีติฯ

    Tattha bharissaṃ teti te tava mātāpitaro bharissāmi. Migānanti sīhādīnaṃ migānaṃ vighāsaṃ anvesanto. Idaṃ so ‘‘issatthe casmi kusaloti thūlathūle mige vadhitvā madhuramaṃsena tava mātāpitaro bharissāmī’’ti vatvā ‘‘mā, mahārāja, amhe nissāya pāṇavadhaṃ karī’’ti vutte evamāha. Yathā teti yathā tvaṃ te abhari, tathevāhampi bharissāmīti.

    อถสฺส มหาสโตฺต ‘‘สาธุ, มหาราช, เตน หิ เม มาตาปิตโร ภรสฺสู’’ติ วตฺวา มคฺคํ อาจิกฺขโนฺต อาห –

    Athassa mahāsatto ‘‘sādhu, mahārāja, tena hi me mātāpitaro bharassū’’ti vatvā maggaṃ ācikkhanto āha –

    ๓๒๕.

    325.

    ‘‘อยํ เอกปที ราช, โยยํ อุสฺสีสเก มม;

    ‘‘Ayaṃ ekapadī rāja, yoyaṃ ussīsake mama;

    อิโต คนฺตฺวา อฑฺฒโกสํ, ตตฺถ เนสํ อคารกํ;

    Ito gantvā aḍḍhakosaṃ, tattha nesaṃ agārakaṃ;

    ยตฺถ มาตาปิตา มยฺหํ, เต ภรสฺสุ อิโต คโต’’ติฯ

    Yattha mātāpitā mayhaṃ, te bharassu ito gato’’ti.

    ตตฺถ เอกปทีติ เอกปทมโคฺคฯ อุสฺสีสเกติ โย เอส มม มตฺถกฎฺฐาเนฯ อฑฺฒโกสนฺติ อฑฺฒโกสนฺตเรฯ

    Tattha ekapadīti ekapadamaggo. Ussīsaketi yo esa mama matthakaṭṭhāne. Aḍḍhakosanti aḍḍhakosantare.

    เอวํ โส ตสฺส มคฺคํ อาจิกฺขิตฺวา มาตาปิตูสุ พลวสิเนเหน ตถารูปํ เวทนํ อธิวาเสตฺวา เตสํ ภรณตฺถาย อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ยาจโนฺต ปุน เอวมาห –

    Evaṃ so tassa maggaṃ ācikkhitvā mātāpitūsu balavasinehena tathārūpaṃ vedanaṃ adhivāsetvā tesaṃ bharaṇatthāya añjaliṃ paggayha yācanto puna evamāha –

    ๓๒๖.

    326.

    ‘‘นโม เต กาสิราชตฺถุ, นโม เต กาสิวฑฺฒน;

    ‘‘Namo te kāsirājatthu, namo te kāsivaḍḍhana;

    อนฺธา มาตาปิตา มยฺหํ, เต ภรสฺสุ พฺรหาวเนฯ

    Andhā mātāpitā mayhaṃ, te bharassu brahāvane.

    ๓๒๗.

    327.

    ‘‘อญฺชลิํ เต ปคฺคณฺหามิ, กาสิราช นมตฺถุ เต;

    ‘‘Añjaliṃ te paggaṇhāmi, kāsirāja namatthu te;

    มาตรํ ปิตรํ มยฺหํ, วุโตฺต วชฺชาสิ วนฺทน’’นฺติฯ

    Mātaraṃ pitaraṃ mayhaṃ, vutto vajjāsi vandana’’nti.

    ตตฺถ วุโตฺต วชฺชาสีติ ‘‘ปุโตฺต โว สุวณฺณสาโม นทีตีเรวิสปีเตน สเลฺลน วิโทฺธ รชตปฎฺฎสทิเส วาลุกาปุลิเน ทกฺขิณปเสฺสน นิปโนฺน อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ตุมฺหากํ ปาเท วนฺทตี’’ติ เอวํ มหาราช, มยา วุโตฺต หุตฺวา มาตาปิตูนํ เม วนฺทนํ วเทยฺยาสีติ อโตฺถฯ

    Tattha vutto vajjāsīti ‘‘putto vo suvaṇṇasāmo nadītīrevisapītena sallena viddho rajatapaṭṭasadise vālukāpuline dakkhiṇapassena nipanno añjaliṃ paggayha tumhākaṃ pāde vandatī’’ti evaṃ mahārāja, mayā vutto hutvā mātāpitūnaṃ me vandanaṃ vadeyyāsīti attho.

    ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ มหาสโตฺตปิ มาตาปิตูนํ วนฺทนํ เปเสตฺวา วิสญฺญิตํ ปาปุณิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Mahāsattopi mātāpitūnaṃ vandanaṃ pesetvā visaññitaṃ pāpuṇi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๓๒๘.

    328.

    ‘‘อิทํ วตฺวาน โส สาโม, ยุวา กลฺยาณทสฺสโน;

    ‘‘Idaṃ vatvāna so sāmo, yuvā kalyāṇadassano;

    มุจฺฉิโต วิสเวเคน, วิสญฺญี สมปชฺชถา’’ติฯ

    Mucchito visavegena, visaññī samapajjathā’’ti.

    ตตฺถ สมปชฺชถาติ วิสญฺญี ชาโตฯ

    Tattha samapajjathāti visaññī jāto.

    โส หิ เหฎฺฐา เอตฺตกํ กเถโนฺต นิรสฺสาโส วิย อโหสิฯ อิทานิ ปนสฺส วิสเวเคน มทฺทิตา ภวงฺคจิตฺตสนฺตติ หทยรูปํ นิสฺสาย ปวตฺติ, กถา ปจฺฉิชฺชิ, มุขํ ปิหิตํ, อกฺขีนิ นิมีลิตานิ, หตฺถปาทา ถทฺธภาวํ ปตฺตา, สกลสรีรํ โลหิเตน มกฺขิตํฯ ราชา ‘‘อยํ อิทาเนว มยา สทฺธิํ กเถสิ, กิํ นุ โข’’ติ ตสฺส อสฺสาสปสฺสาเส อุปธาเรสิฯ เต ปน นิรุทฺธา, สรีรํ ถทฺธํ ชาตํฯ โส ตํ ทิสฺวา ‘‘นิรุโทฺธ ทานิ สาโม’’ติ โสกํ สทฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺต อุโภ หเตฺถ มตฺถเก ฐเปตฺวา มหาสเทฺทน ปริเทวิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    So hi heṭṭhā ettakaṃ kathento nirassāso viya ahosi. Idāni panassa visavegena madditā bhavaṅgacittasantati hadayarūpaṃ nissāya pavatti, kathā pacchijji, mukhaṃ pihitaṃ, akkhīni nimīlitāni, hatthapādā thaddhabhāvaṃ pattā, sakalasarīraṃ lohitena makkhitaṃ. Rājā ‘‘ayaṃ idāneva mayā saddhiṃ kathesi, kiṃ nu kho’’ti tassa assāsapassāse upadhāresi. Te pana niruddhā, sarīraṃ thaddhaṃ jātaṃ. So taṃ disvā ‘‘niruddho dāni sāmo’’ti sokaṃ saddhāretuṃ asakkonto ubho hatthe matthake ṭhapetvā mahāsaddena paridevi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๓๒๙.

    329.

    ‘‘ส ราชา ปริเทเวสิ, พหุํ การุญฺญสญฺหิตํ;

    ‘‘Sa rājā paridevesi, bahuṃ kāruññasañhitaṃ;

    อชรามโรหํ อาสิํ, อเชฺชตํ ญามิ โน ปุเร;

    Ajarāmarohaṃ āsiṃ, ajjetaṃ ñāmi no pure;

    สามํ กาลงฺกตํ ทิสฺวา, นตฺถิ มจฺจุสฺส นาคโมฯ

    Sāmaṃ kālaṅkataṃ disvā, natthi maccussa nāgamo.

    ๓๓๐.

    330.

    ‘‘ยสฺสุ มํ ปฎิมเนฺตติ, สวิเสน สมปฺปิโต;

    ‘‘Yassu maṃ paṭimanteti, savisena samappito;

    สฺวชฺช เอวํ คเต กาเล, น กิญฺจิ มภิภาสติฯ

    Svajja evaṃ gate kāle, na kiñci mabhibhāsati.

    ๓๓๑.

    331.

    ‘‘นิรยํ นูน คจฺฉามิ, เอตฺถ เม นตฺถิ สํสโย;

    ‘‘Nirayaṃ nūna gacchāmi, ettha me natthi saṃsayo;

    ตทา หิ ปกตํ ปาปํ, จิรรตฺตาย กิพฺพิสํฯ

    Tadā hi pakataṃ pāpaṃ, cirarattāya kibbisaṃ.

    ๓๓๒.

    332.

    ‘‘ภวนฺติ ตสฺส วตฺตาโร, คาเม กิพฺพิสการโก;

    ‘‘Bhavanti tassa vattāro, gāme kibbisakārako;

    อรเญฺญ นิมฺมนุสฺสมฺหิ, โก มํ วตฺตุมรหติฯ

    Araññe nimmanussamhi, ko maṃ vattumarahati.

    ๓๓๓.

    333.

    ‘‘สารยนฺติ หิ กมฺมานิ, คาเม สํคจฺฉ มาณวา;

    ‘‘Sārayanti hi kammāni, gāme saṃgaccha māṇavā;

    อรเญฺญ นิมฺมนุสฺสมฺหิ, โก นุ มํ สารยิสฺสตี’’ติฯ

    Araññe nimmanussamhi, ko nu maṃ sārayissatī’’ti.

    ตตฺถ อาสินฺติ อหํ เอตฺตกํ กาลํ อชรามโรมฺหีติ สญฺญี อโหสิํฯ อเชฺชตนฺติ อชฺช อหํ อิมํ สามํ กาลกตํ ทิสฺวา มมเญฺจว อเญฺญสญฺจ นตฺถิ มจฺจุสฺส นาคโมติ ตํ มจฺจุสฺส อาคมนํ อชฺช ชานามิ, อิโต ปุเพฺพ น ชานามีติ วิลปติฯ สฺวชฺช เอวํ คเต กาเลติ โย สวิเสน สเลฺลน สมปฺปิโต อิทาเนว มํ ปฎิมเนฺตติ, โส อชฺช เอวํ คเต กาเล เอวํ มรณกาเล สมฺปเตฺต กิญฺจิ อปฺปมตฺตกมฺปิ น ภาสติฯ ตทา หีติ ตสฺมิํ ขเณ สามํ วิชฺฌเนฺตน มยา ปาปํ กตํฯ จิรรตฺตาย กิพฺพิสนฺติ ตํ ปน จิรรตฺตํ วิปจฺจนสมตฺถํ ทารุณํ ผรุสํฯ

    Tattha āsinti ahaṃ ettakaṃ kālaṃ ajarāmaromhīti saññī ahosiṃ. Ajjetanti ajja ahaṃ imaṃ sāmaṃ kālakataṃ disvā mamañceva aññesañca natthi maccussa nāgamoti taṃ maccussa āgamanaṃ ajja jānāmi, ito pubbe na jānāmīti vilapati. Svajja evaṃ gate kāleti yo savisena sallena samappito idāneva maṃ paṭimanteti, so ajja evaṃ gate kāle evaṃ maraṇakāle sampatte kiñci appamattakampi na bhāsati. Tadā hīti tasmiṃ khaṇe sāmaṃ vijjhantena mayā pāpaṃ kataṃ. Cirarattāya kibbisanti taṃ pana cirarattaṃ vipaccanasamatthaṃ dāruṇaṃ pharusaṃ.

    ตสฺสาติ ตสฺส เอวรูปํ ปาปกมฺมํ กตฺวา วิจรนฺตสฺสฯ วตฺตาโรติ นินฺทิตาโร ภวนฺติ ‘‘กุหิํ คาเม กินฺติ กิพฺพิสการโก’’ติฯ อิมสฺมิํ ปน อรเญฺญ นิมฺมนุสฺสมฺหิ โก มํ วตฺตุมรหติ, สเจ หิ ภเวยฺย, วเทยฺยาติ วิลปติฯ สารยนฺตีติ คาเม วา นิคมาทีสุ วา สํคจฺฉ มาณวา ตตฺถ ตตฺถ พหู ปุริสา สนฺนิปติตฺวา ‘‘อโมฺภ ปุริสฆาตก, ทารุณํ เต กมฺมํ กตํ, อสุกทณฺฑํ ปโตฺต นาม ตฺว’’นฺติ เอวํ กมฺมานิ สาเรนฺติ โจเทนฺติฯ อิมสฺมิํ ปน นิมฺมนุเสฺส อรเญฺญ มํ โก สารยิสฺสตีติ อตฺตานํ โจเทโนฺต วิลปติฯ

    Tassāti tassa evarūpaṃ pāpakammaṃ katvā vicarantassa. Vattāroti ninditāro bhavanti ‘‘kuhiṃ gāme kinti kibbisakārako’’ti. Imasmiṃ pana araññe nimmanussamhi ko maṃ vattumarahati, sace hi bhaveyya, vadeyyāti vilapati. Sārayantīti gāme vā nigamādīsu vā saṃgaccha māṇavā tattha tattha bahū purisā sannipatitvā ‘‘ambho purisaghātaka, dāruṇaṃ te kammaṃ kataṃ, asukadaṇḍaṃ patto nāma tva’’nti evaṃ kammāni sārenti codenti. Imasmiṃ pana nimmanusse araññe maṃ ko sārayissatīti attānaṃ codento vilapati.

    ตทา พหุสุนฺทรี นาม เทวธีตา คนฺธมาทนวาสินี มหาสตฺตสฺส สตฺตเม อตฺตภาเว มาตุภูตปุพฺพาฯ สา ปุตฺตสิเนเหน โพธิสตฺตํ นิจฺจํ อาวเชฺชติ, ตํ ทิวสํ ปน ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวมานา น ตํ อาวเชฺชติฯ ‘‘เทวสมาคมํ คตา’’ติปิ วทนฺติเยวฯ สา ตสฺส วิสญฺญิภูตกาเล ‘‘กิํ นุ โข เม ปุตฺตสฺส ปวตฺตี’’ติ อาวชฺชมานา อทฺทส ‘‘อยํ ปีฬิยโกฺข นาม ราชา มม ปุตฺตํ วิสปีเตน สเลฺลน วิชฺฌิตฺวา มิคสมฺมตานทีตีเร วาลุกาปุลิเน ฆาเตตฺวา มหเนฺตน สเทฺทน ปริเทวติฯ สจาหํ น คมิสฺสามิ, มม ปุโตฺต สุวณฺณสาโม เอเตฺถว มริสฺสติ, รโญฺญปิ หทยํ ผลิสฺสติ, สามสฺส มาตาปิตโรปิ นิราหารา ปานียมฺปิ อลภนฺตา สุสฺสิตฺวา มริสฺสนฺติฯ มยิ ปน คตาย ราชา ปานียฆฎํ อาทาย ตสฺส มาตาปิตูนํ สนฺติกํ คมิสฺสติ, คนฺตฺวา จ ปน ‘‘ปุโตฺต โว มยา หโต’ติ กเถสฺสติฯ เอวญฺจ วตฺวา เตสํ วจนํ สุตฺวา เต ปุตฺตสฺส สนฺติกํ อานยิสฺสติฯ อถ โข เต จ อหญฺจ สจฺจกิริยํ กริสฺสาม, สจฺจพเลน สามสฺส วิสํ วินสฺสิสฺสติฯ เอวํ เม ปุโตฺต ชีวิตํ ลภิสฺสติ, มาตาปิตโร จ จกฺขูนิ ลภิสฺสนฺติ, ราชา จ สามสฺส ธมฺมเทสนํ สุตฺวา นครํ คนฺตฺวา มหาทานํ ทตฺวา สคฺคปรายโณ ภวิสฺสติ, ตสฺมา คจฺฉามหํ ตตฺถา’’ติฯ สา คนฺตฺวา มิคสมฺมตานทีตีเร อทิสฺสมาเนน กาเยน อากาเส ฐตฺวา รญฺญา สทฺธิํ กเถสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Tadā bahusundarī nāma devadhītā gandhamādanavāsinī mahāsattassa sattame attabhāve mātubhūtapubbā. Sā puttasinehena bodhisattaṃ niccaṃ āvajjeti, taṃ divasaṃ pana dibbasampattiṃ anubhavamānā na taṃ āvajjeti. ‘‘Devasamāgamaṃ gatā’’tipi vadantiyeva. Sā tassa visaññibhūtakāle ‘‘kiṃ nu kho me puttassa pavattī’’ti āvajjamānā addasa ‘‘ayaṃ pīḷiyakkho nāma rājā mama puttaṃ visapītena sallena vijjhitvā migasammatānadītīre vālukāpuline ghātetvā mahantena saddena paridevati. Sacāhaṃ na gamissāmi, mama putto suvaṇṇasāmo ettheva marissati, raññopi hadayaṃ phalissati, sāmassa mātāpitaropi nirāhārā pānīyampi alabhantā sussitvā marissanti. Mayi pana gatāya rājā pānīyaghaṭaṃ ādāya tassa mātāpitūnaṃ santikaṃ gamissati, gantvā ca pana ‘‘putto vo mayā hato’ti kathessati. Evañca vatvā tesaṃ vacanaṃ sutvā te puttassa santikaṃ ānayissati. Atha kho te ca ahañca saccakiriyaṃ karissāma, saccabalena sāmassa visaṃ vinassissati. Evaṃ me putto jīvitaṃ labhissati, mātāpitaro ca cakkhūni labhissanti, rājā ca sāmassa dhammadesanaṃ sutvā nagaraṃ gantvā mahādānaṃ datvā saggaparāyaṇo bhavissati, tasmā gacchāmahaṃ tatthā’’ti. Sā gantvā migasammatānadītīre adissamānena kāyena ākāse ṭhatvā raññā saddhiṃ kathesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๓๓๔.

    334.

    ‘‘สา เทวตา อนฺตรหิตา, ปพฺพเต คนฺธมาทเน;

    ‘‘Sā devatā antarahitā, pabbate gandhamādane;

    รโญฺญว อนุกมฺปาย, อิมา คาถา อภาสถฯ

    Raññova anukampāya, imā gāthā abhāsatha.

    ๓๓๕.

    335.

    ‘‘อาคุํ กิร มหาราช, อกริ กมฺมทุกฺกฎํ;

    ‘‘Āguṃ kira mahārāja, akari kammadukkaṭaṃ;

    อทูสกา ปิตาปุตฺตา, ตโย เอกูสุนา หตาฯ

    Adūsakā pitāputtā, tayo ekūsunā hatā.

    ๓๓๖.

    336.

    ‘‘เอหิ ตํ อนุสิกฺขามิ, ยถา เต สุคตี สิยา;

    ‘‘Ehi taṃ anusikkhāmi, yathā te sugatī siyā;

    ธเมฺมนเนฺธ วเน โปส, มเญฺญหํ สุคตี ตยา’’ติฯ

    Dhammenandhe vane posa, maññehaṃ sugatī tayā’’ti.

    ตตฺถ รโญฺญวาติ รโญฺญเยวฯ อาคุํ กิราติ มหาราช, ตฺวํ มหาปราธํ มหาปาปํ อกริฯ ทุกฺกฎนฺติ ยํ กตํ ทุกฺกฎํ โหติ, ตํ ลามกกมฺมํ อกริฯ อทูสกาติ นิโทฺทสาฯ ปิตาปุตฺตาติ มาตา จ ปิตา จ ปุโตฺต จ อิเม ตโย ชนา เอกอุสุนา หตาฯ ตสฺมิญฺหิ หเต ตปฺปฎิพทฺธา ตสฺส มาตาปิตโรปิ หตาว โหนฺติฯ อนุสิกฺขามีติ สิกฺขาเปมิ อนุสาสามิฯ โปสาติ สามสฺส ฐาเน ฐตฺวา สิเนหํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา สาโม วิย เต อุโภ อเนฺธ โปเสหิฯ มเญฺญหํ สุคตี ตยาติ เอวํ ตยา สุคติเยว คนฺตพฺพา ภวิสฺสตีติ อหํ มญฺญามิฯ

    Tattha raññovāti raññoyeva. Āguṃ kirāti mahārāja, tvaṃ mahāparādhaṃ mahāpāpaṃ akari. Dukkaṭanti yaṃ kataṃ dukkaṭaṃ hoti, taṃ lāmakakammaṃ akari. Adūsakāti niddosā. Pitāputtāti mātā ca pitā ca putto ca ime tayo janā ekausunā hatā. Tasmiñhi hate tappaṭibaddhā tassa mātāpitaropi hatāva honti. Anusikkhāmīti sikkhāpemi anusāsāmi. Posāti sāmassa ṭhāne ṭhatvā sinehaṃ paccupaṭṭhāpetvā sāmo viya te ubho andhe posehi. Maññehaṃ sugatī tayāti evaṃ tayā sugatiyeva gantabbā bhavissatīti ahaṃ maññāmi.

    โส เทวตาย วจนํ สุตฺวา ‘‘อหํ กิร ตสฺส มาตาปิตโร โปเสตฺวา สคฺคํ คมิสฺสามี’’ติ สทฺทหิตฺวา ‘‘กิํ เม รเชฺชน, เตเยว โปเสสฺสามี’’ติ ทฬฺหํ อธิฎฺฐาย พลวปริเทวํ ปริเทวโนฺต โสกํ ตนุกํ กตฺวา ‘‘สุวณฺณสาโม มโต ภวิสฺสตี’’ติ นานาปุเปฺผหิ ตสฺส สรีรํ ปูเชตฺวา อุทเกน สิญฺจิตฺวา ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวา จตูสุ ฐาเนสุ วนฺทิตฺวา เตน ปูริตํ อุทกฆฎํ อาทาย โทมนสฺสปฺปโตฺต ทกฺขิณทิสาภิมุโข อคมาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    So devatāya vacanaṃ sutvā ‘‘ahaṃ kira tassa mātāpitaro posetvā saggaṃ gamissāmī’’ti saddahitvā ‘‘kiṃ me rajjena, teyeva posessāmī’’ti daḷhaṃ adhiṭṭhāya balavaparidevaṃ paridevanto sokaṃ tanukaṃ katvā ‘‘suvaṇṇasāmo mato bhavissatī’’ti nānāpupphehi tassa sarīraṃ pūjetvā udakena siñcitvā tikkhattuṃ padakkhiṇaṃ katvā catūsu ṭhānesu vanditvā tena pūritaṃ udakaghaṭaṃ ādāya domanassappatto dakkhiṇadisābhimukho agamāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๓๓๗.

    337.

    ‘‘ส ราชา ปริเทวิตฺวา, พหุํ การุญฺญสญฺหิตํ;

    ‘‘Sa rājā paridevitvā, bahuṃ kāruññasañhitaṃ;

    อุทกกุมฺภมาทาย, ปกฺกามิ ทกฺขิณามุโข’’ติฯ

    Udakakumbhamādāya, pakkāmi dakkhiṇāmukho’’ti.

    ปกติยาปิ มหาถาโม ราชา ปานียฆฎํ อาทาย คจฺฉโนฺต อสฺสมปทํ โกเฎฺฎโนฺต วิย ปวิสิตฺวา ทุกูลปณฺฑิตสฺส ปณฺณสาลาทฺวารํ สมฺปาปุณิฯ ทุกูลปณฺฑิโต อโนฺต นิสิโนฺนว ตสฺส ปทสทฺทํ สุตฺวา ‘‘นายํ สามสฺส ปทสโทฺท, กสฺส นุ โข’’ติ ปุจฺฉโนฺต คาถาทฺวยมาห –

    Pakatiyāpi mahāthāmo rājā pānīyaghaṭaṃ ādāya gacchanto assamapadaṃ koṭṭento viya pavisitvā dukūlapaṇḍitassa paṇṇasālādvāraṃ sampāpuṇi. Dukūlapaṇḍito anto nisinnova tassa padasaddaṃ sutvā ‘‘nāyaṃ sāmassa padasaddo, kassa nu kho’’ti pucchanto gāthādvayamāha –

    ๓๓๘.

    338.

    ‘‘กสฺส นุ เอโส ปทสโทฺท, มนุสฺสเสฺสว อาคโต;

    ‘‘Kassa nu eso padasaddo, manussasseva āgato;

    เนโส สามสฺส นิโคฺฆโส, โก นุ ตฺวมสิ มาริสฯ

    Neso sāmassa nigghoso, ko nu tvamasi mārisa.

    ๓๓๙.

    339.

    ‘‘สนฺตญฺหิ สาโม วชติ, สนฺตํ ปาทานิ เนยติ;

    ‘‘Santañhi sāmo vajati, santaṃ pādāni neyati;

    เนโส สามสฺส นิโคฺฆโส, โก นุ ตฺวมสิ มาริสา’’ติฯ

    Neso sāmassa nigghoso, ko nu tvamasi mārisā’’ti.

    ตตฺถ มนุสฺสเสฺสวาติ นายํ สีหพฺยคฺฆทีปิยกฺขนาคกินฺนรานํ, อาคจฺฉโต ปน มนุสฺสเสฺสวายํ ปทสโทฺท, เนโส สามสฺสาติฯ สนฺตํ หีติ อุปสมยุตฺตํ เอวฯ วชตีติ จงฺกมติฯ เนยตีติ ปติฎฺฐาเปติฯ

    Tattha manussassevāti nāyaṃ sīhabyagghadīpiyakkhanāgakinnarānaṃ, āgacchato pana manussassevāyaṃ padasaddo, neso sāmassāti. Santaṃ hīti upasamayuttaṃ eva. Vajatīti caṅkamati. Neyatīti patiṭṭhāpeti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘สจาหํ อตฺตโน ราชภาวํ อกเถตฺวา ‘มยา ตุมฺหากํ ปุโตฺต มาริโต’ติ วกฺขามิ, อิเม กุชฺฌิตฺวา มยา สทฺธิํ ผรุสํ กเถสฺสนฺติฯ เอวํ เม เตสุ โกโธ อุปฺปชฺชิสฺสติ, อถ เน วิเหเฐสฺสามิ, ตํ มม อกุสลํ ภวิสฺสติ, ‘ราชา’ติ ปน วุเตฺต อภายนฺตา นาม นตฺถิ, ตสฺมา ราชภาวํ ตาว กเถสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ปานียมาฬเก ปานียฆฎํ ฐเปตฺวา ปณฺณสาลาทฺวาเร ฐตฺวา อาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘sacāhaṃ attano rājabhāvaṃ akathetvā ‘mayā tumhākaṃ putto mārito’ti vakkhāmi, ime kujjhitvā mayā saddhiṃ pharusaṃ kathessanti. Evaṃ me tesu kodho uppajjissati, atha ne viheṭhessāmi, taṃ mama akusalaṃ bhavissati, ‘rājā’ti pana vutte abhāyantā nāma natthi, tasmā rājabhāvaṃ tāva kathessāmī’’ti cintetvā pānīyamāḷake pānīyaghaṭaṃ ṭhapetvā paṇṇasālādvāre ṭhatvā āha –

    ๓๔๐.

    340.

    ‘‘ราชาหมสฺมิ กาสีนํ, ปีฬิยโกฺขติ มํ วิทู;

    ‘‘Rājāhamasmi kāsīnaṃ, pīḷiyakkhoti maṃ vidū;

    โลภา รฎฺฐํ ปหิตฺวาน, มิคเมสํ จรามหํฯ

    Lobhā raṭṭhaṃ pahitvāna, migamesaṃ carāmahaṃ.

    ๓๔๑.

    341.

    ‘‘อิสฺสเตฺถ จสฺมิ กุสโล, ทฬฺหธโมฺมติ วิสฺสุโต;

    ‘‘Issatthe casmi kusalo, daḷhadhammoti vissuto;

    นาโคปิ เม น มุเจฺจยฺย, อาคโต อุสุปาตน’’นฺติฯ

    Nāgopi me na mucceyya, āgato usupātana’’nti.

    ทุกูลปณฺฑิโตปิ เตน สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กโรโนฺต อาห –

    Dukūlapaṇḍitopi tena saddhiṃ paṭisanthāraṃ karonto āha –

    ๓๔๒.

    342.

    ‘‘สฺวาคตํ เต มหาราช, อโถ เต อทุราคตํ;

    ‘‘Svāgataṃ te mahārāja, atho te adurāgataṃ;

    อิสฺสโรสิ อนุปฺปโตฺต, ยํ อิธตฺถิ ปเวทยฯ

    Issarosi anuppatto, yaṃ idhatthi pavedaya.

    ๓๔๓.

    343.

    ‘‘ตินฺทุกานิ ปิยาลานิ, มธุเก กาสุมาริโย;

    ‘‘Tindukāni piyālāni, madhuke kāsumāriyo;

    ผลานิ ขุทฺทกปฺปานิ, ภุญฺช ราช วรํ วรํฯ

    Phalāni khuddakappāni, bhuñja rāja varaṃ varaṃ.

    ๓๔๔.

    344.

    ‘‘อิทมฺปิ ปานียํ สีตํ, อาภตํ คิริคพฺภรา;

    ‘‘Idampi pānīyaṃ sītaṃ, ābhataṃ girigabbharā;

    ตโต ปิว มหาราช, สเจ ตฺวํ อภิกงฺขสี’’ติ;

    Tato piva mahārāja, sace tvaṃ abhikaṅkhasī’’ti;

    ตสฺสโตฺถ สตฺติคุมฺพชาตเก (ชา. ๑.๑๕.๑๕๙ อาทโย) กถิโตฯ อิธ ปน ‘‘คิริคพฺภรา’’ติ มิคสมฺมตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ สา หิ นที คิริคพฺภรา นิกฺขนฺตตฺตา ‘‘คิริคพฺภรา’’ เตฺวว ชาตาฯ

    Tassattho sattigumbajātake (jā. 1.15.159 ādayo) kathito. Idha pana ‘‘girigabbharā’’ti migasammataṃ sandhāya vuttaṃ. Sā hi nadī girigabbharā nikkhantattā ‘‘girigabbharā’’ tveva jātā.

    เอวํ เตน ปฎิสนฺถาเร กเต ราชา ‘‘ปุโตฺต โว มยา มาริโต’’ติ ปฐมเมว วตฺตุํ อยุตฺตํ, อชานโนฺต วิย กถํ สมุฎฺฐาเปตฺวา กเถสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Evaṃ tena paṭisanthāre kate rājā ‘‘putto vo mayā mārito’’ti paṭhamameva vattuṃ ayuttaṃ, ajānanto viya kathaṃ samuṭṭhāpetvā kathessāmī’’ti cintetvā āha –

    ๓๔๕.

    345.

    ‘‘นาลํ อนฺธา วเน ทฎฺฐุํ, โก นุ โว ผลมาหริ;

    ‘‘Nālaṃ andhā vane daṭṭhuṃ, ko nu vo phalamāhari;

    อนนฺธเสฺสวยํ สมฺมา, นิวาโป มยฺห ขายตี’’ติฯ

    Anandhassevayaṃ sammā, nivāpo mayha khāyatī’’ti.

    ตตฺถ นาลนฺติ ตุเมฺห อนฺธา อิมสฺมิํ วเน กิญฺจิ ทฎฺฐุํ น สมตฺถาฯ โก นุ โว ผลมาหรีติ โก นุ ตุมฺหากํ อิมานิ ผลาผลานิ อาหริฯ นิวาโปติ อยํ สมฺมา นเยน อุปาเยน การเณน กโต ขาทิตพฺพยุตฺตกานํ ปริสุทฺธานํ ผลาผลานํ นิวาโป สนฺนิจโย อนนฺธสฺส วิย มยฺหํ ขายติ ปญฺญายติ อุปฎฺฐาติฯ

    Tattha nālanti tumhe andhā imasmiṃ vane kiñci daṭṭhuṃ na samatthā. Ko nu vo phalamāharīti ko nu tumhākaṃ imāni phalāphalāni āhari. Nivāpoti ayaṃ sammā nayena upāyena kāraṇena kato khāditabbayuttakānaṃ parisuddhānaṃ phalāphalānaṃ nivāpo sannicayo anandhassa viya mayhaṃ khāyati paññāyati upaṭṭhāti.

    ตํ สุตฺวา ทุกูลปณฺฑิโต ‘‘มหาราช, น มยํ ผลาผลานิ อาหราม, ปุโตฺต ปน โน อาหรตี’’ติ ทเสฺสโนฺต คาถาทฺวยมาห –

    Taṃ sutvā dukūlapaṇḍito ‘‘mahārāja, na mayaṃ phalāphalāni āharāma, putto pana no āharatī’’ti dassento gāthādvayamāha –

    ๓๔๖.

    346.

    ‘‘ทหโร ยุวา นาติพฺรหา, สาโม กลฺยาณทสฺสโน;

    ‘‘Daharo yuvā nātibrahā, sāmo kalyāṇadassano;

    ทีฆสฺส เกสา อสิตา, อโถ สูนคฺคเวลฺลิตาฯ

    Dīghassa kesā asitā, atho sūnaggavellitā.

    ๓๔๗.

    347.

    ‘‘โส หเว ผลมาหริตฺวา, อิโต อาทาย กมณฺฑลุํ;

    ‘‘So have phalamāharitvā, ito ādāya kamaṇḍaluṃ;

    นทิํ คโต อุทหาโร, มเญฺญ น ทูรมาคโต’’ติฯ

    Nadiṃ gato udahāro, maññe na dūramāgato’’ti.

    ตตฺถ นาติพฺรหาติ นาติทีโฆ นาติรโสฺสฯ สูนคฺคเวลฺลิตาติ สูนสงฺขาตาย มํสโกฎฺฎนโปตฺถนิยา อคฺคํ วิย วินตาฯ กมณฺฑลุนฺติ ฆฎํฯ น ทูรมาคโตติ อิทานิ น ทูรํ อาคโต, อาสนฺนฎฺฐานํ อาคโต ภวิสฺสตีติ มญฺญามีติ อโตฺถฯ

    Tattha nātibrahāti nātidīgho nātirasso. Sūnaggavellitāti sūnasaṅkhātāya maṃsakoṭṭanapotthaniyā aggaṃ viya vinatā. Kamaṇḍalunti ghaṭaṃ. Na dūramāgatoti idāni na dūraṃ āgato, āsannaṭṭhānaṃ āgato bhavissatīti maññāmīti attho.

    ตํ สุตฺวา ราชา อาห –

    Taṃ sutvā rājā āha –

    ๓๔๘.

    348.

    ‘‘อหํ ตํ อวธิํ สามํ, โย ตุยฺหํ ปริจารโก;

    ‘‘Ahaṃ taṃ avadhiṃ sāmaṃ, yo tuyhaṃ paricārako;

    ยํ กุมารํ ปเวเทถ, สามํ กลฺยาณทสฺสนํฯ

    Yaṃ kumāraṃ pavedetha, sāmaṃ kalyāṇadassanaṃ.

    ๓๔๙.

    349.

    ‘‘ทีฆสฺส เกสา อสิตา, อโถ สูนคฺคเวลฺลิตา;

    ‘‘Dīghassa kesā asitā, atho sūnaggavellitā;

    เตสุ โลหิตลิเตฺตสุ, เสติ สาโม มหา หโต’’ติฯ

    Tesu lohitalittesu, seti sāmo mahā hato’’ti.

    ตตฺถ อวธินฺติ วิสปีเตน สเรน วิชฺฌิตฺวา มาเรสิํฯ ปเวเทถาติ กเถถฯ เสตีติ มิคสมฺมตานทีตีเร วาลุกาปุลิเน สยติฯ

    Tattha avadhinti visapītena sarena vijjhitvā māresiṃ. Pavedethāti kathetha. Setīti migasammatānadītīre vālukāpuline sayati.

    ทุกูลปณฺฑิตสฺส ปน อวิทูเร ปาริกาย ปณฺณสาลา โหติฯ สา ตตฺถ นิสินฺนาว รโญฺญ วจนํ สุตฺวา ตํ ปวตฺติํ โสตุกามา อตฺตโน ปณฺณสาลโต นิกฺขมิตฺวา รชฺชุกสญฺญาย ทุกูลปณฺฑิตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อาห –

    Dukūlapaṇḍitassa pana avidūre pārikāya paṇṇasālā hoti. Sā tattha nisinnāva rañño vacanaṃ sutvā taṃ pavattiṃ sotukāmā attano paṇṇasālato nikkhamitvā rajjukasaññāya dukūlapaṇḍitassa santikaṃ gantvā āha –

    ๓๕๐.

    350.

    ‘‘เกน ทุกูล มเนฺตสิ, ‘หโต สาโม’ติ วาทินา;

    ‘‘Kena dukūla mantesi, ‘hato sāmo’ti vādinā;

    ‘หโต สาโม’ติ สุตฺวาน, หทยํ เม ปเวธติฯ

    ‘Hato sāmo’ti sutvāna, hadayaṃ me pavedhati.

    ๓๕๑.

    351.

    ‘‘อสฺสตฺถเสฺสว ตรุณํ, ปวาฬํ มาลุเตริตํ;

    ‘‘Assatthasseva taruṇaṃ, pavāḷaṃ māluteritaṃ;

    ‘หโต สาโม’ติ สุตฺวาน, หทยํ เม ปเวธตี’’ติฯ

    ‘Hato sāmo’ti sutvāna, hadayaṃ me pavedhatī’’ti.

    ตตฺถ วาทินาติ ‘‘มยา สาโม หโต’’ติ วทเนฺตนฯ ปวาฬนฺติ ปลฺลวํฯ มาลุเตริตนฺติ วาเตน ปหฎํฯ

    Tattha vādināti ‘‘mayā sāmo hato’’ti vadantena. Pavāḷanti pallavaṃ. Māluteritanti vātena pahaṭaṃ.

    ทุกูลปณฺฑิโต โอวทโนฺต อาห –

    Dukūlapaṇḍito ovadanto āha –

    ๓๕๒.

    352.

    ‘‘ปาริเก กาสิราชายํ, โส สามํ มิคสมฺมเต;

    ‘‘Pārike kāsirājāyaṃ, so sāmaṃ migasammate;

    โกธสา อุสุนา วิชฺฌิ, ตสฺส มา ปาปมิจฺฉิมฺหา’’ติฯ

    Kodhasā usunā vijjhi, tassa mā pāpamicchimhā’’ti.

    ตตฺถ มิคสมฺมเตติ มิคสมฺมตานทีตีเรฯ โกธสาติ มิเคสุ อุปฺปเนฺนน โกเธนฯ มา ปาปมิจฺฉิมฺหาติ ตสฺส มยํ อุโภปิ ปาปํ มา อิจฺฉิมฺหาฯ

    Tattha migasammateti migasammatānadītīre. Kodhasāti migesu uppannena kodhena. Mā pāpamicchimhāti tassa mayaṃ ubhopi pāpaṃ mā icchimhā.

    ปุน ปาริกา อาห –

    Puna pārikā āha –

    ๓๕๓.

    353.

    ‘‘กิจฺฉา ลโทฺธ ปิโย ปุโตฺต, โย อเนฺธ อภรี วเน;

    ‘‘Kicchā laddho piyo putto, yo andhe abharī vane;

    ตํ เอกปุตฺตํ ฆาติมฺหิ, กถํ จิตฺตํ น โกปเย’’ติฯ

    Taṃ ekaputtaṃ ghātimhi, kathaṃ cittaṃ na kopaye’’ti.

    ตตฺถ ฆาติมฺหีติ ฆาตเกฯ

    Tattha ghātimhīti ghātake.

    ทุกูลปณฺฑิโต อาห –

    Dukūlapaṇḍito āha –

    ๓๕๔.

    354.

    ‘‘กิจฺฉา ลโทฺธ ปิโย ปุโตฺต, โย อเนฺธ อภรี วเน;

    ‘‘Kicchā laddho piyo putto, yo andhe abharī vane;

    ตํ เอกปุตฺตํ ฆาติมฺหิ, อโกฺกธํ อาหุ ปณฺฑิตา’’ติฯ

    Taṃ ekaputtaṃ ghātimhi, akkodhaṃ āhu paṇḍitā’’ti.

    ตตฺถ อโกฺกธนฺติ โกโธ นาม นิรยสํวตฺตนิโก, ตสฺมา ตํ โกธํ อกตฺวา ปุตฺตฆาตกมฺหิ อโกฺกโธ เอว กตฺตโพฺพติ ปณฺฑิตา อาหุ กเถนฺติฯ

    Tattha akkodhanti kodho nāma nirayasaṃvattaniko, tasmā taṃ kodhaṃ akatvā puttaghātakamhi akkodho eva kattabboti paṇḍitā āhu kathenti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา เต อุโภหิ หเตฺถหิ อุรํ ปหริตฺวา มหาสตฺตสฺส คุเณ วเณฺณตฺวา ภุสํ ปริเทวิํสุฯ อถ เน ราชา สมสฺสาเสโนฺต อาห –

    Evañca pana vatvā te ubhohi hatthehi uraṃ paharitvā mahāsattassa guṇe vaṇṇetvā bhusaṃ parideviṃsu. Atha ne rājā samassāsento āha –

    ๓๕๕.

    355.

    ‘‘มา พาฬฺหํ ปริเทเวถ, ‘หโต สาโม’ติ วาทินา;

    ‘‘Mā bāḷhaṃ paridevetha, ‘hato sāmo’ti vādinā;

    อหํ กมฺมกโร หุตฺวา, ภริสฺสามิ พฺรหาวเนฯ

    Ahaṃ kammakaro hutvā, bharissāmi brahāvane.

    ๓๕๖.

    356.

    ‘‘อิสฺสเตฺถ จสฺมิ กุสโล, ทฬฺหธโมฺมติ วิสฺสุโต;

    ‘‘Issatthe casmi kusalo, daḷhadhammoti vissuto;

    อหํ กมฺมกโร หุตฺวา, ภริสฺสามิ พฺรหาวเนฯ

    Ahaṃ kammakaro hutvā, bharissāmi brahāvane.

    ๓๕๗.

    357.

    ‘‘มิคานํ วิฆาสมเนฺวสํ, วนมูลผลานิ จ;

    ‘‘Migānaṃ vighāsamanvesaṃ, vanamūlaphalāni ca;

    อหํ กมฺมกโร หุตฺวา, ภริสฺสามิ พฺรหาวเน’’ติฯ

    Ahaṃ kammakaro hutvā, bharissāmi brahāvane’’ti.

    ตตฺถ วาทินาติ ตุเมฺห ‘‘สาโม หโต’’ติ วทเนฺตน มยา สทฺธิํ ‘‘ตยา โน เอวํ คุณสมฺปโนฺน ปุโตฺต มาริโต, อิทานิ โก อเมฺห ภริสฺสตี’’ติอาทีนิ วตฺวา มา พาฬฺหํ ปริเทเวถ, อหํ ตุมฺหากํ กมฺมกโร หุตฺวา สาโม วิย ตุเมฺห ภริสฺสามีติฯ

    Tattha vādināti tumhe ‘‘sāmo hato’’ti vadantena mayā saddhiṃ ‘‘tayā no evaṃ guṇasampanno putto mārito, idāni ko amhe bharissatī’’tiādīni vatvā mā bāḷhaṃ paridevetha, ahaṃ tumhākaṃ kammakaro hutvā sāmo viya tumhe bharissāmīti.

    เอวํ ราชา ‘‘ตุเมฺห มา จินฺตยิตฺถ, น มยฺหํ รเชฺชนโตฺถ, อหํ โว ยาวชีวํ ภริสฺสามี’’ติ เต อสฺสาเสสิฯ เต เตน สทฺธิํ สลฺลปนฺตา อาหํสุ –

    Evaṃ rājā ‘‘tumhe mā cintayittha, na mayhaṃ rajjenattho, ahaṃ vo yāvajīvaṃ bharissāmī’’ti te assāsesi. Te tena saddhiṃ sallapantā āhaṃsu –

    ๓๕๘.

    358.

    ‘‘เนส ธโมฺม มหาราช, เนตํ อเมฺหสุ กปฺปติ;

    ‘‘Nesa dhammo mahārāja, netaṃ amhesu kappati;

    ราชา ตฺวมสิ อมฺหากํ, ปาเท วนฺทาม เต มย’’นฺติฯ

    Rājā tvamasi amhākaṃ, pāde vandāma te maya’’nti.

    ตตฺถ ธโมฺมติ สภาโว การณํ วาฯ เนตํ อเมฺหสุ กปฺปตีติ เอตํ ตว กมฺมกรณํ อเมฺหสุ น กปฺปติ น โสภติฯ ‘‘ปาเท วนฺทาม เต มย’’นฺติ อิทํ ปน เต ปพฺพชิตลิเงฺค ฐิตาปิ ปุตฺตโสเกน สมพฺภาหตาย เจว นิหตมานตาย จ วทิํสุฯ ‘‘รโญฺญ วิสฺสาสํ อุปฺปาเทตุํ เอวมาหํสู’’ติปิ วทนฺติฯ

    Tattha dhammoti sabhāvo kāraṇaṃ vā. Netaṃ amhesu kappatīti etaṃ tava kammakaraṇaṃ amhesu na kappati na sobhati. ‘‘Pāde vandāma te maya’’nti idaṃ pana te pabbajitaliṅge ṭhitāpi puttasokena samabbhāhatāya ceva nihatamānatāya ca vadiṃsu. ‘‘Rañño vissāsaṃ uppādetuṃ evamāhaṃsū’’tipi vadanti.

    ตํ สุตฺวา ราชา อติวิย ตุสฺสิตฺวา ‘‘อโห อจฺฉริยํ, เอวํ โทสการเก นาม มยิ ผรุสวจนมตฺตมฺปิ นตฺถิ, ปคฺคณฺหนฺติเยว มม’’นฺติ จิเนฺตตฺวา คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā ativiya tussitvā ‘‘aho acchariyaṃ, evaṃ dosakārake nāma mayi pharusavacanamattampi natthi, paggaṇhantiyeva mama’’nti cintetvā gāthamāha –

    ๓๕๙.

    359.

    ‘‘ธมฺมํ เนสาทา ภณถ, กตา อปจิตี ตยา;

    ‘‘Dhammaṃ nesādā bhaṇatha, katā apacitī tayā;

    ปิตา ตฺวมสิ อมฺหากํ, มาตา ตฺวมสิ ปาริเก’’ติฯ

    Pitā tvamasi amhākaṃ, mātā tvamasi pārike’’ti.

    ตตฺถ ตยาติ เอเกกํ วทโนฺต เอวมาหฯ ปิตาติ ทุกูลปณฺฑิต, อชฺช ปฎฺฐาย ตฺวํ มยฺหํ ปิตุฎฺฐาเน ติฎฺฐ, อมฺม ปาริเก, ตฺวมฺปิ เม มาตุฎฺฐาเน ติฎฺฐ, อหํ ปน โว ปุตฺตสฺส สามสฺส ฐาเน ฐตฺวา ปาทโธวนาทีนิ สพฺพกิจฺจานิ กริสฺสามิ, มํ ราชาติ อสลฺลเกฺขตฺวา สาโมติ สลฺลเกฺขถาติฯ

    Tattha tayāti ekekaṃ vadanto evamāha. Pitāti dukūlapaṇḍita, ajja paṭṭhāya tvaṃ mayhaṃ pituṭṭhāne tiṭṭha, amma pārike, tvampi me mātuṭṭhāne tiṭṭha, ahaṃ pana vo puttassa sāmassa ṭhāne ṭhatvā pādadhovanādīni sabbakiccāni karissāmi, maṃ rājāti asallakkhetvā sāmoti sallakkhethāti.

    เต อญฺชลิํ ปคฺคยฺห วนฺทิตฺวา ‘‘มหาราช, ตว อมฺหากํ กมฺมกรณกิจฺจํ นตฺถิ, อปิจ โข ปน ลฎฺฐิโกฎิยา โน คเหตฺวา อาเนตฺวา สามํ ทเสฺสหี’’ติ ยาจนฺตา คาถาทฺวยมาหํสุ –

    Te añjaliṃ paggayha vanditvā ‘‘mahārāja, tava amhākaṃ kammakaraṇakiccaṃ natthi, apica kho pana laṭṭhikoṭiyā no gahetvā ānetvā sāmaṃ dassehī’’ti yācantā gāthādvayamāhaṃsu –

    ๓๖๐.

    360.

    ‘‘นโม เต กาสิราชตฺถุ, นโม เต กาสิวฑฺฒน;

    ‘‘Namo te kāsirājatthu, namo te kāsivaḍḍhana;

    อญฺชลิํ เต ปคฺคณฺหาม, ยาว สามานุปาปยฯ

    Añjaliṃ te paggaṇhāma, yāva sāmānupāpaya.

    ๓๖๑.

    361.

    ‘‘ตสฺส ปาเท สมชฺชนฺตา, มุขญฺจ ภุชทสฺสนํ;

    ‘‘Tassa pāde samajjantā, mukhañca bhujadassanaṃ;

    สํสุมฺภมานา อตฺตานํ, กาลมาคมยามเส’’ติฯ

    Saṃsumbhamānā attānaṃ, kālamāgamayāmase’’ti.

    ตตฺถ ยาว สามานุปาปยาติ ยาว สาโม ยตฺถ, ตตฺถ อเมฺห อนุปาปยฯ ภุชทสฺสนนฺติ กลฺยาณทสฺสนํ อภิรูปํฯ สํสุมฺภมานาติ โปเถนฺตาฯ กาลมาคมยามเสติ กาลกิริยํ อาคเมสฺสามฯ

    Tattha yāva sāmānupāpayāti yāva sāmo yattha, tattha amhe anupāpaya. Bhujadassananti kalyāṇadassanaṃ abhirūpaṃ. Saṃsumbhamānāti pothentā. Kālamāgamayāmaseti kālakiriyaṃ āgamessāma.

    เตสํ เอวํ กเถนฺตานเญฺญว สูริโย อตฺถงฺคโตฯ อถ ราชา ‘‘สจาหํ อิทาเนว อิเม ตตฺถ เนสฺสามิ, ตํ ทิสฺวาว เนสํ หทยํ ผลิสฺสติ, อิติ ติณฺณมฺปิ เอเตสํ มตกาเล อหํ นิรเย อุปฺปชฺชโนฺตเยว นาม, ตสฺมา เตสํ คนฺตุํ น ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา จตโสฺส คาถาโย อชฺฌภาสิ –

    Tesaṃ evaṃ kathentānaññeva sūriyo atthaṅgato. Atha rājā ‘‘sacāhaṃ idāneva ime tattha nessāmi, taṃ disvāva nesaṃ hadayaṃ phalissati, iti tiṇṇampi etesaṃ matakāle ahaṃ niraye uppajjantoyeva nāma, tasmā tesaṃ gantuṃ na dassāmī’’ti cintetvā catasso gāthāyo ajjhabhāsi –

    ๓๖๒.

    362.

    ‘‘พฺรหา วาฬมิคากิณฺณํ, อากาสนฺตํว ทิสฺสติ;

    ‘‘Brahā vāḷamigākiṇṇaṃ, ākāsantaṃva dissati;

    ยตฺถ สาโม หโต เสติ, จโนฺทว ปติโต ฉมาฯ

    Yattha sāmo hato seti, candova patito chamā.

    ๓๖๓.

    363.

    ‘‘พฺรหา วาฬมิคากิณฺณํ, อากาสนฺตํว ทิสฺสติ;

    ‘‘Brahā vāḷamigākiṇṇaṃ, ākāsantaṃva dissati;

    ยตฺถ สาโม หโต เสติ, สูริโยว ปติโต ฉมาฯ

    Yattha sāmo hato seti, sūriyova patito chamā.

    ๓๖๔.

    364.

    ‘‘พฺรหา วาฬมิคากิณฺณํ, อากาสนฺตํว ทิสฺสติ;

    ‘‘Brahā vāḷamigākiṇṇaṃ, ākāsantaṃva dissati;

    ยตฺถ สาโม หโต เสติ, ปํสุนา ปติกุนฺถิโตฯ

    Yattha sāmo hato seti, paṃsunā patikunthito.

    ๓๖๕.

    365.

    ‘‘พฺรหา วาฬมิคากิณฺณํ, อากาสนฺตํว ทิสฺสติ;

    ‘‘Brahā vāḷamigākiṇṇaṃ, ākāsantaṃva dissati;

    ยตฺถ สาโม หโต เสติ, อิเธว วสถสฺสเม’’ติฯ

    Yattha sāmo hato seti, idheva vasathassame’’ti.

    ตตฺถ พฺรหาติ อจฺจุคฺคตํฯ อากาสนฺตํวาติ เอตํ วนํ อากาสสฺส อโนฺต วิย หุตฺวา ทิสฺสติฯ อถ วา อากาสนฺตนฺติ อากาสมานํ, ปกาสมานนฺติ อโตฺถฯ ฉมาติ ฉมายํ, ปถวิยนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ฉม’’นฺติปิ ปาโฐ, ปถวิํ ปติโต วิยาติ อโตฺถฯ ปติกุนฺถิโตติ ปริกิโณฺณ, ปลิเวฐิโตติ อโตฺถฯ

    Tattha brahāti accuggataṃ. Ākāsantaṃvāti etaṃ vanaṃ ākāsassa anto viya hutvā dissati. Atha vā ākāsantanti ākāsamānaṃ, pakāsamānanti attho. Chamāti chamāyaṃ, pathaviyanti attho. ‘‘Chama’’ntipi pāṭho, pathaviṃ patito viyāti attho. Patikunthitoti parikiṇṇo, paliveṭhitoti attho.

    อถ เต อตฺตโน วาฬมิคภยาภาวํ ทเสฺสตุํ คาถมาหํสุ –

    Atha te attano vāḷamigabhayābhāvaṃ dassetuṃ gāthamāhaṃsu –

    ๓๖๖.

    366.

    ‘‘ยทิ ตตฺถ สหสฺสานิ, สตานิ นิยุตานิ จ;

    ‘‘Yadi tattha sahassāni, satāni niyutāni ca;

    เนวมฺหากํ ภยํ โกจิ, วเน วาเฬสุ วิชฺชตี’’ติฯ

    Nevamhākaṃ bhayaṃ koci, vane vāḷesu vijjatī’’ti.

    ตตฺถ โกจีติ อิมสฺมิํ วเน กตฺถจิ เอกสฺมิํ ปเทเสปิ อมฺหากํ วาเฬสุ ภยํ นาม นตฺถิฯ

    Tattha kocīti imasmiṃ vane katthaci ekasmiṃ padesepi amhākaṃ vāḷesu bhayaṃ nāma natthi.

    ราชา เต ปฎิพาหิตุํ อสโกฺกโนฺต หเตฺถสุ คเหตฺวา ตตฺถ เนสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Rājā te paṭibāhituṃ asakkonto hatthesu gahetvā tattha nesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๓๖๗.

    367.

    ‘‘ตโต อนฺธานมาทาย, กาสิราชา พฺรหาวเน;

    ‘‘Tato andhānamādāya, kāsirājā brahāvane;

    หเตฺถ คเหตฺวา ปกฺกามิ, ยตฺถ สาโม หโต อหู’’ติฯ

    Hatthe gahetvā pakkāmi, yattha sāmo hato ahū’’ti.

    ตตฺถ ตโตติ ตทาฯ อนฺธานนฺติ อเนฺธฯ อหูติ อโหสิฯ ยตฺถาติ ยสฺมิํ ฐาเน โส นิปโนฺน, ตตฺถ เนสีติ อโตฺถฯ

    Tattha tatoti tadā. Andhānanti andhe. Ahūti ahosi. Yatthāti yasmiṃ ṭhāne so nipanno, tattha nesīti attho.

    โส อาเนตฺวา จ ปน สามสฺส สนฺติเก ฐเปตฺวา ‘‘อยํ โว ปุโตฺต’’ติ อาจิกฺขิฯ อถสฺส ปิตา สีสํ อุกฺขิปิตฺวา มาตา ปาเท คเหตฺวา อูรูสุ ฐเปตฺวา นิสีทิตฺวา วิลปิํสุฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    So ānetvā ca pana sāmassa santike ṭhapetvā ‘‘ayaṃ vo putto’’ti ācikkhi. Athassa pitā sīsaṃ ukkhipitvā mātā pāde gahetvā ūrūsu ṭhapetvā nisīditvā vilapiṃsu. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๓๖๘.

    368.

    ‘‘ทิสฺวาน ปติตํ สามํ, ปุตฺตกํ ปํสุกุนฺถิตํ;

    ‘‘Disvāna patitaṃ sāmaṃ, puttakaṃ paṃsukunthitaṃ;

    อปวิทฺธํ พฺรหารเญฺญ, จนฺทํว ปติตํ ฉมาฯ

    Apaviddhaṃ brahāraññe, candaṃva patitaṃ chamā.

    ๓๖๙.

    369.

    ‘‘ทิสฺวาน ปติตํ สามํ, ปุตฺตกํ ปํสุกุนฺถิตํ;

    ‘‘Disvāna patitaṃ sāmaṃ, puttakaṃ paṃsukunthitaṃ;

    อปวิทฺธํ พฺรหารเญฺญ, สูริยํว ปติตํ ฉมาฯ

    Apaviddhaṃ brahāraññe, sūriyaṃva patitaṃ chamā.

    ๓๗๐.

    370.

    ‘‘ทิสฺวาน ปติตํ สามํ, ปุตฺตกํ ปํสุกุนฺถิตํ;

    ‘‘Disvāna patitaṃ sāmaṃ, puttakaṃ paṃsukunthitaṃ;

    อปวิทฺธํ พฺรหารเญฺญ, กลูนํ ปริเทวยุํฯ

    Apaviddhaṃ brahāraññe, kalūnaṃ paridevayuṃ.

    ๓๗๑.

    371.

    ‘‘ทิสฺวาน ปติตํ สามํ, ปุตฺตกํ ปํสุกุนฺถิตํ;

    ‘‘Disvāna patitaṃ sāmaṃ, puttakaṃ paṃsukunthitaṃ;

    พาหา ปคฺคยฺห ปกฺกนฺทุํ, ‘อธโมฺม กิร โภ’อิติฯ

    Bāhā paggayha pakkanduṃ, ‘adhammo kira bho’iti.

    ๓๗๒.

    372.

    ‘‘พาฬฺหํ โข ตฺวํ ปมโตฺตสิ, สาม กลฺยาณทสฺสน;

    ‘‘Bāḷhaṃ kho tvaṃ pamattosi, sāma kalyāṇadassana;

    โย อเชฺชวํ คเต กาเล, น กิญฺจิ มภิภาสสิฯ

    Yo ajjevaṃ gate kāle, na kiñci mabhibhāsasi.

    ๓๗๓.

    373.

    ‘‘พาฬฺหํ โข ตฺวํ ปทิโตฺตสิ, สาม กลฺยาณทสฺสน;

    ‘‘Bāḷhaṃ kho tvaṃ padittosi, sāma kalyāṇadassana;

    โย อเชฺชวํ คเต กาเล, น กิญฺจิ มภิภาสสิฯ

    Yo ajjevaṃ gate kāle, na kiñci mabhibhāsasi.

    ๓๗๔.

    374.

    ‘‘พาฬฺหํ โข ตฺวํ ปกุโทฺธสิ, สาม กลฺยาณทสฺสน;

    ‘‘Bāḷhaṃ kho tvaṃ pakuddhosi, sāma kalyāṇadassana;

    โย อเชฺชวํ คเต กาเล, น กิญฺจิ มภิภาสติฯ

    Yo ajjevaṃ gate kāle, na kiñci mabhibhāsati.

    ๓๗๕.

    375.

    ‘‘พาฬฺหํ โข ตฺวํ ปสุโตฺตสิ, สาม กลฺยาณทสฺสน;

    ‘‘Bāḷhaṃ kho tvaṃ pasuttosi, sāma kalyāṇadassana;

    โย อเชฺชวํ คเต กาเล, น กิญฺจิ มภิภาสสิฯ

    Yo ajjevaṃ gate kāle, na kiñci mabhibhāsasi.

    ๓๗๖.

    376.

    ‘‘พาฬฺหํ โข ตฺวํ วิมโนสิ, สาม กลฺยาณทสฺสน;

    ‘‘Bāḷhaṃ kho tvaṃ vimanosi, sāma kalyāṇadassana;

    โย อเชฺชวํ คเต กาเล, น กิญฺจิ มภิภาสสิฯ

    Yo ajjevaṃ gate kāle, na kiñci mabhibhāsasi.

    ๓๗๗.

    377.

    ‘‘ชฎํ วลินํ ปํสุคตํ, โกทานิ สณฺฐเปสฺสติ;

    ‘‘Jaṭaṃ valinaṃ paṃsugataṃ, kodāni saṇṭhapessati;

    สาโม อยํ กาลกโต, อนฺธานํ ปริจารโกฯ

    Sāmo ayaṃ kālakato, andhānaṃ paricārako.

    ๓๗๘.

    378.

    ‘‘โก เม สมฺมชฺชมาทาย, สมฺมชฺชิสฺสติ อสฺสมํ;

    ‘‘Ko me sammajjamādāya, sammajjissati assamaṃ;

    สาโม อยํ กาลกโต, อนฺธานํ ปริจารโกฯ

    Sāmo ayaṃ kālakato, andhānaṃ paricārako.

    ๓๗๙.

    379.

    ‘‘โกทานิ นฺหาปยิสฺสติ, สีเตนุโณฺหทเกน จ;

    ‘‘Kodāni nhāpayissati, sītenuṇhodakena ca;

    สาโม อยํ กาลกโต, อนฺธานํ ปริจารโกฯ

    Sāmo ayaṃ kālakato, andhānaṃ paricārako.

    ๓๘๐.

    380.

    ‘‘โกทานิ โภชยิสฺสติ, วนมูลผลานิ จ;

    ‘‘Kodāni bhojayissati, vanamūlaphalāni ca;

    สาโม อยํ กาลกโต, อนฺธานํ ปริจารโก’’ติฯ

    Sāmo ayaṃ kālakato, andhānaṃ paricārako’’ti.

    ตตฺถ อปวิทฺธนฺติ รญฺญา นิรตฺถกํ ฉฑฺฑิตํฯ อธโมฺม กิร โภ อิตีติ อยุตฺตํ กิร โภ, อชฺช อิมสฺมิํ โลเก วตฺตติฯ ปมโตฺตติ ติขิณสุรํ ปิวิตฺวา วิย มโตฺต ปมโตฺต ปมาทํ อาปโนฺนฯ ปทิโตฺตติ ทปฺปิโตฯ ‘‘ปกุโทฺธสิ วิมโนสี’’ติ สพฺพํ วิลาปวเสน ภณนฺติฯ ชฎนฺติ ตาต , อมฺหากํ ชฎามณฺฑลํฯ วลินํ ปํสุคตนฺติ ยทา อากุลํ มลคฺคหิตํ ภวิสฺสติฯ โกทานีติ อิทานิ โก สณฺฐเปสฺสติ, โสเธตฺวา อุชุํ กริสฺสตีติฯ

    Tattha apaviddhanti raññā niratthakaṃ chaḍḍitaṃ. Adhammo kira bho itīti ayuttaṃ kira bho, ajja imasmiṃ loke vattati. Pamattoti tikhiṇasuraṃ pivitvā viya matto pamatto pamādaṃ āpanno. Padittoti dappito. ‘‘Pakuddhosi vimanosī’’ti sabbaṃ vilāpavasena bhaṇanti. Jaṭanti tāta , amhākaṃ jaṭāmaṇḍalaṃ. Valinaṃ paṃsugatanti yadā ākulaṃ malaggahitaṃ bhavissati. Kodānīti idāni ko saṇṭhapessati, sodhetvā ujuṃ karissatīti.

    อถสฺส มาตา พหุํ วิลปิตฺวา ตสฺส อุเร หตฺถํ ฐเปตฺวา สนฺตาปํ อุปธาเรนฺตี ‘‘ปุตฺตสฺส เม สนฺตาโป ปวตฺตติเยว, วิสเวเคน วิสญฺญิตํ อาปโนฺน ภวิสฺสติ, นิพฺพิสภาวตฺถาย จสฺส สจฺจกิริยํ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา สจฺจกิริยมกาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Athassa mātā bahuṃ vilapitvā tassa ure hatthaṃ ṭhapetvā santāpaṃ upadhārentī ‘‘puttassa me santāpo pavattatiyeva, visavegena visaññitaṃ āpanno bhavissati, nibbisabhāvatthāya cassa saccakiriyaṃ karissāmī’’ti cintetvā saccakiriyamakāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๓๘๑.

    381.

    ‘‘ทิสฺวาน ปติตํ สามํ, ปุตฺตกํ ปํสุกุนฺถิตํ;

    ‘‘Disvāna patitaṃ sāmaṃ, puttakaṃ paṃsukunthitaṃ;

    อฎฺฎิตา ปุตฺตโสเกน, มาตา สจฺจํ อภาสถฯ

    Aṭṭitā puttasokena, mātā saccaṃ abhāsatha.

    ๓๘๒.

    382.

    ‘‘เยน สเจฺจนยํ สาโม, ธมฺมจารี ปุเร อหุ;

    ‘‘Yena saccenayaṃ sāmo, dhammacārī pure ahu;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, วิสํ สามสฺส หญฺญตุฯ

    Etena saccavajjena, visaṃ sāmassa haññatu.

    ๓๘๓.

    383.

    ‘‘เยน สเจฺจนยํ สาโม, พฺรหฺมจารี ปุเร อหุ;

    ‘‘Yena saccenayaṃ sāmo, brahmacārī pure ahu;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, วิสํ สามสฺส หญฺญตุฯ

    Etena saccavajjena, visaṃ sāmassa haññatu.

    ๓๘๔.

    384.

    ‘‘เยน สเจฺจนยํ สาโม, สจฺจวาที ปุเร อหุ;

    ‘‘Yena saccenayaṃ sāmo, saccavādī pure ahu;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, วิสํ สามสฺส หญฺญตุฯ

    Etena saccavajjena, visaṃ sāmassa haññatu.

    ๓๘๕.

    385.

    ‘‘เยน สเจฺจนยํ สาโม, มาตาเปตฺติภโร อหุ;

    ‘‘Yena saccenayaṃ sāmo, mātāpettibharo ahu;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, วิสํ สามสฺส หญฺญตุฯ

    Etena saccavajjena, visaṃ sāmassa haññatu.

    ๓๘๖.

    386.

    ‘‘เยน สเจฺจนยํ สาโม, กุเล เชฎฺฐาปจายิโก;

    ‘‘Yena saccenayaṃ sāmo, kule jeṭṭhāpacāyiko;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, วิสํ สามสฺส หญฺญตุฯ

    Etena saccavajjena, visaṃ sāmassa haññatu.

    ๓๘๗.

    387.

    ‘‘เยน สเจฺจนยํ สาโม, ปาณา ปิยตโร มม;

    ‘‘Yena saccenayaṃ sāmo, pāṇā piyataro mama;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, วิสํ สามสฺส หญฺญตุฯ

    Etena saccavajjena, visaṃ sāmassa haññatu.

    ๓๘๘.

    388.

    ‘‘ยํ กิญฺจิตฺถิ กตํ ปุญฺญํ, มยฺหเญฺจว ปิตุจฺจ เต;

    ‘‘Yaṃ kiñcitthi kataṃ puññaṃ, mayhañceva pitucca te;

    สเพฺพน เตน กุสเลน, วิสํ สามสฺส หญฺญตู’’ติฯ

    Sabbena tena kusalena, visaṃ sāmassa haññatū’’ti.

    ตตฺถ เยน สเจฺจนาติ เยน ภูเตน สภาเวนฯ ธมฺมจารีติ ทสกุสลกมฺมปถธมฺมจารีฯ สจฺจวาทีติ หสิตวเสนปิ มุสาวาทํ น วทติฯ มาตาเปตฺติภโรติ อนลโส หุตฺวา รตฺตินฺทิวํ มาตาปิตโร ภริฯ กุเล เชฎฺฐาปจายิโกติ เชฎฺฐานํ มาตาปิตูนํ สกฺการการโก โหติฯ

    Tattha yena saccenāti yena bhūtena sabhāvena. Dhammacārīti dasakusalakammapathadhammacārī. Saccavādīti hasitavasenapi musāvādaṃ na vadati. Mātāpettibharoti analaso hutvā rattindivaṃ mātāpitaro bhari. Kule jeṭṭhāpacāyikoti jeṭṭhānaṃ mātāpitūnaṃ sakkārakārako hoti.

    เอวํ มาตรา สตฺตหิ คาถาหิ สจฺจกิริยาย กตาย สาโม ปริวตฺติตฺวา นิปชฺชิฯ อถสฺส ปิตา ‘‘ชีวติ เม ปุโตฺต, อหมฺปิสฺส สจฺจกิริยํ กริสฺสามี’’ติ ตเถว สจฺจกิริยมกาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Evaṃ mātarā sattahi gāthāhi saccakiriyāya katāya sāmo parivattitvā nipajji. Athassa pitā ‘‘jīvati me putto, ahampissa saccakiriyaṃ karissāmī’’ti tatheva saccakiriyamakāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๓๘๙.

    389.

    ‘‘ทิสฺวาน ปติตํ สามํ, ปุตฺตกํ ปํสุกุนฺถิตํ;

    ‘‘Disvāna patitaṃ sāmaṃ, puttakaṃ paṃsukunthitaṃ;

    อฎฺฎิโต ปุตฺตโสเกน, ปิตา สจฺจํ อภาสถฯ

    Aṭṭito puttasokena, pitā saccaṃ abhāsatha.

    ๓๙๐.

    390.

    ‘‘เยน สเจฺจนยํ สาโม, ธมฺมจารี ปุเร อหุ;

    ‘‘Yena saccenayaṃ sāmo, dhammacārī pure ahu;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, วิสํ สามสฺส หญฺญตุฯ

    Etena saccavajjena, visaṃ sāmassa haññatu.

    ๓๙๑.

    391.

    ‘‘เยน สเจฺจนยํ สาโม, พฺรหฺมจารี ปุเร อหุ;

    ‘‘Yena saccenayaṃ sāmo, brahmacārī pure ahu;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, วิสํ สามสฺส หญฺญตุฯ

    Etena saccavajjena, visaṃ sāmassa haññatu.

    ๓๙๒.

    392.

    ‘‘เยน สเจฺจนยํ สาโม, สจฺจวาที ปุเร อหุ;

    ‘‘Yena saccenayaṃ sāmo, saccavādī pure ahu;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, วิสํ สามสฺส หญฺญตุฯ

    Etena saccavajjena, visaṃ sāmassa haññatu.

    ๓๙๓.

    393.

    ‘‘เยน สเจฺจนยํ สาโม, มาตาเปตฺติภโร อหุ;

    ‘‘Yena saccenayaṃ sāmo, mātāpettibharo ahu;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, วิสํ สามสฺส หญฺญตุฯ

    Etena saccavajjena, visaṃ sāmassa haññatu.

    ๓๙๔.

    394.

    ‘‘เยน สเจฺจนยํ สาโม, กุเล เชฎฺฐาปจายิโก;

    ‘‘Yena saccenayaṃ sāmo, kule jeṭṭhāpacāyiko;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, วิสํ สามสฺส หญฺญตุฯ

    Etena saccavajjena, visaṃ sāmassa haññatu.

    ๓๙๕.

    395.

    ‘‘เยน สเจฺจนยํ สาโม, ปาณา ปิยตโร มม;

    ‘‘Yena saccenayaṃ sāmo, pāṇā piyataro mama;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, วิสํ สามสฺส หญฺญตุฯ

    Etena saccavajjena, visaṃ sāmassa haññatu.

    ๓๙๖.

    396.

    ‘‘ยํ กิญฺจิตฺถิ กตํ ปุญฺญํ, มยฺหเญฺจว มาตุจฺจ เต;

    ‘‘Yaṃ kiñcitthi kataṃ puññaṃ, mayhañceva mātucca te;

    สเพฺพน เตน กุสเลน, วิสํ สามสฺส หญฺญตู’’ติฯ

    Sabbena tena kusalena, visaṃ sāmassa haññatū’’ti.

    เอวํ ปิตริ สจฺจกิริยํ กโรเนฺต มหาสโตฺต ปริวตฺติตฺวา อิตเรน ปเสฺสน นิปชฺชิฯ อถสฺส ตติยํ สจฺจกิริยํ เทวตา อกาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อห –

    Evaṃ pitari saccakiriyaṃ karonte mahāsatto parivattitvā itarena passena nipajji. Athassa tatiyaṃ saccakiriyaṃ devatā akāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā aha –

    ๓๙๗.

    397.

    ‘‘สา เทวตา อนฺตรหิตา, ปพฺพเต คนฺธมาทเน;

    ‘‘Sā devatā antarahitā, pabbate gandhamādane;

    สามสฺส อนุกมฺปาย, อิมํ สจฺจํ อภาสถฯ

    Sāmassa anukampāya, imaṃ saccaṃ abhāsatha.

    ๓๙๘.

    398.

    ‘‘ปพฺพตฺยาหํ คนฺธมาทเน, จิรรตฺตนิวาสินี;

    ‘‘Pabbatyāhaṃ gandhamādane, cirarattanivāsinī;

    น เม ปิยตโร โกจิ, อโญฺญ สาเมน วิชฺชติ;

    Na me piyataro koci, añño sāmena vijjati;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, วิสํ สามสฺส หญฺญตุฯ

    Etena saccavajjena, visaṃ sāmassa haññatu.

    ๓๙๙.

    399.

    ‘‘สเพฺพ วนา คนฺธมยา, ปพฺพเต คนฺธมาทเน;

    ‘‘Sabbe vanā gandhamayā, pabbate gandhamādane;

    เอเตน สจฺจวเชฺชน, วิสํ สามสฺส หญฺญตุฯ

    Etena saccavajjena, visaṃ sāmassa haññatu.

    ๔๐๐.

    400.

    ‘‘เตสํ ลาลปฺปมานานํ, พหุํ การุญฺญสญฺหิตํ;

    ‘‘Tesaṃ lālappamānānaṃ, bahuṃ kāruññasañhitaṃ;

    ขิปฺปํ สาโม สมุฎฺฐาสิ, ยุวา กลฺยาณทสฺสโน’’ติฯ

    Khippaṃ sāmo samuṭṭhāsi, yuvā kalyāṇadassano’’ti.

    ตตฺถ ปพฺพตฺยาหนฺติ ปพฺพเต อหํฯ สเพฺพ วนา คนฺธมยาติ สเพฺพ รุกฺขา คนฺธมยาฯ น หิ ตตฺถ อคโนฺธ นาม โกจิ รุโกฺข อตฺถิฯ เตสนฺติ ภิกฺขเว, เตสํ อุภินฺนํ ลาลปฺปมานานเญฺญว เทวตาย สจฺจกิริยาย ปริโยสาเน ขิปฺปํ สาโม อุฎฺฐาสิ, ปทุมปตฺตโต อุทกํ วิยสฺส วิสํ วินิวเตฺตตฺวา อาพาโธ วิคโต, อิธ นุ โข วิโทฺธ, เอตฺถ นุ โข วิโทฺธติ วิทฺธฎฺฐานมฺปิ น ปญฺญายิฯ

    Tattha pabbatyāhanti pabbate ahaṃ. Sabbe vanā gandhamayāti sabbe rukkhā gandhamayā. Na hi tattha agandho nāma koci rukkho atthi. Tesanti bhikkhave, tesaṃ ubhinnaṃ lālappamānānaññeva devatāya saccakiriyāya pariyosāne khippaṃ sāmo uṭṭhāsi, padumapattato udakaṃ viyassa visaṃ vinivattetvā ābādho vigato, idha nu kho viddho, ettha nu kho viddhoti viddhaṭṭhānampi na paññāyi.

    อิติ มหาสตฺตสฺส นิโรคภาโว, มาตาปิตูนญฺจ จกฺขุปฎิลาโภ, อรุณุคฺคมนญฺจ, เทวตานุภาเวน เตสํ จตุนฺนํ อสฺสเมเยว ปากฎภาโว จาติ สพฺพํ เอกกฺขเณเยว อโหสิฯ มาตาปิตโร ‘‘จกฺขูนิ โน ลทฺธานิ, สุวณฺณสาโม จ อโรโค ชาโต’’ติ อติเรกตรํ ตุสฺสิํสุฯ อถ เน สามปณฺฑิโต คาถํ อภาสิ –

    Iti mahāsattassa nirogabhāvo, mātāpitūnañca cakkhupaṭilābho, aruṇuggamanañca, devatānubhāvena tesaṃ catunnaṃ assameyeva pākaṭabhāvo cāti sabbaṃ ekakkhaṇeyeva ahosi. Mātāpitaro ‘‘cakkhūni no laddhāni, suvaṇṇasāmo ca arogo jāto’’ti atirekataraṃ tussiṃsu. Atha ne sāmapaṇḍito gāthaṃ abhāsi –

    ๔๐๑.

    401.

    ‘‘สาโมหมสฺมิ ภทฺทํ โว, โสตฺถินามฺหิ สมุฎฺฐิโต;

    ‘‘Sāmohamasmi bhaddaṃ vo, sotthināmhi samuṭṭhito;

    มา พาฬฺหํ ปริเทเวถ, มญฺจุนาภิวเทถ ม’’นฺติฯ

    Mā bāḷhaṃ paridevetha, mañcunābhivadetha ma’’nti.

    ตตฺถ โสตฺถินามฺหิ สมุฎฺฐิโตติ โสตฺถินา สุเขน อุฎฺฐิโต อมฺหิ ภวามิฯ มญฺชุนาติ มธุรสฺสเรน มํ อภิวเทถฯ

    Tattha sotthināmhi samuṭṭhitoti sotthinā sukhena uṭṭhito amhi bhavāmi. Mañjunāti madhurassarena maṃ abhivadetha.

    อถ โส ราชานํ ทิสฺวา ปฎิสนฺถารํ กโรโนฺต อาห –

    Atha so rājānaṃ disvā paṭisanthāraṃ karonto āha –

    ๔๐๒.

    402.

    ‘‘สฺวาคตํ เต มหาราช, อโถ เต อทุราคตํ;

    ‘‘Svāgataṃ te mahārāja, atho te adurāgataṃ;

    อิสฺสโรสิ อนุปฺปโตฺต, ยํ อิธตฺถิ ปเวทยฯ

    Issarosi anuppatto, yaṃ idhatthi pavedaya.

    ๔๐๓.

    403.

    ‘‘ตินฺทุกานิ ปิยาลานิ, มธุเก กาสุมาริโย;

    ‘‘Tindukāni piyālāni, madhuke kāsumāriyo;

    ผลานิ ขุทฺทกปฺปานิ, ภุญฺช ราช วรํ วรํฯ

    Phalāni khuddakappāni, bhuñja rāja varaṃ varaṃ.

    ๔๐๔.

    404.

    ‘‘อตฺถิ เม ปานียํ สีตํ, อาภตํ คิริคพฺภรา;

    ‘‘Atthi me pānīyaṃ sītaṃ, ābhataṃ girigabbharā;

    ตโต ปิว มหาราช, สเจ ตฺวํ อภิกงฺขสี’’ติฯ

    Tato piva mahārāja, sace tvaṃ abhikaṅkhasī’’ti.

    ราชาปิ ตํ อจฺฉริยํ ทิสฺวา อาห –

    Rājāpi taṃ acchariyaṃ disvā āha –

    ๔๐๕.

    405.

    ‘‘สมฺมุยฺหามิ ปมุยฺหามิ, สพฺพา มุยฺหนฺติ เม ทิสา;

    ‘‘Sammuyhāmi pamuyhāmi, sabbā muyhanti me disā;

    เปตํ ตํ สาม มทฺทกฺขิํ, โก นุ ตฺวํ สาม ชีวสี’’ติฯ

    Petaṃ taṃ sāma maddakkhiṃ, ko nu tvaṃ sāma jīvasī’’ti.

    ตตฺถ เปตนฺติ สาม อหํ ตํ มตํ อทฺทสํฯ โก นุ ตฺวนฺติ กถํ นุ ตฺวํ ชีวิตํ ปฎิลภสีติ ปุจฺฉิฯ

    Tattha petanti sāma ahaṃ taṃ mataṃ addasaṃ. Ko nu tvanti kathaṃ nu tvaṃ jīvitaṃ paṭilabhasīti pucchi.

    มหาสโตฺต ‘‘อยํ ราชา มํ ‘มโต’ติ สลฺลเกฺขสิ, อมตภาวมสฺส ปกาเสสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Mahāsatto ‘‘ayaṃ rājā maṃ ‘mato’ti sallakkhesi, amatabhāvamassa pakāsessāmī’’ti cintetvā āha –

    ๔๐๖.

    406.

    ‘‘อปิ ชีวํ มหาราช, ปุริสํ คาฬฺหเวทนํ;

    ‘‘Api jīvaṃ mahārāja, purisaṃ gāḷhavedanaṃ;

    อุปนีตมนสงฺกปฺปํ, ชีวนฺตํ มญฺญเต มตํฯ

    Upanītamanasaṅkappaṃ, jīvantaṃ maññate mataṃ.

    ๔๐๗.

    407.

    ‘‘อปิ ชีวํ มหาราช, ปุริสํ คาฬฺหเวทนํ;

    ‘‘Api jīvaṃ mahārāja, purisaṃ gāḷhavedanaṃ;

    ตํ นิโรธคตํ สนฺตํ, ชีวนฺตํ มญฺญเต มต’’นฺติฯ

    Taṃ nirodhagataṃ santaṃ, jīvantaṃ maññate mata’’nti.

    ตตฺถ อปิ ชีวนฺติ ชีวมานํ อปิฯ อุปนีตมนสงฺกปฺปนฺติ ภวงฺคโอติณฺณจิตฺตาจารํฯ ชีวนฺตนฺติ ชีวมานเมว ‘‘เอโส มโต’’ติ มญฺญติฯ นิโรธคตนฺติ อสฺสาสปสฺสาสนิโรธํ สมาปนฺนํ สนฺตํ วิชฺชมานํ มํ เอวํ โลโก มตํ วิย ชีวนฺตเมว มญฺญติฯ

    Tattha api jīvanti jīvamānaṃ api. Upanītamanasaṅkappanti bhavaṅgaotiṇṇacittācāraṃ. Jīvantanti jīvamānameva ‘‘eso mato’’ti maññati. Nirodhagatanti assāsapassāsanirodhaṃ samāpannaṃ santaṃ vijjamānaṃ maṃ evaṃ loko mataṃ viya jīvantameva maññati.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา มหาสโตฺต ราชานํ อเตฺถ โยเชตุกาโม ธมฺมํ เทเสโนฺต ปุน เทฺว คาถา อภาสิ –

    Evañca pana vatvā mahāsatto rājānaṃ atthe yojetukāmo dhammaṃ desento puna dve gāthā abhāsi –

    ๔๐๘.

    408.

    ‘‘โย มาตรํ ปิตรํ วา, มโจฺจ ธเมฺมน โปสติ;

    ‘‘Yo mātaraṃ pitaraṃ vā, macco dhammena posati;

    เทวาปิ นํ ติกิจฺฉนฺติ, มาตาเปตฺติภรํ นรํฯ

    Devāpi naṃ tikicchanti, mātāpettibharaṃ naraṃ.

    ๔๐๙.

    409.

    ‘‘โย มาตรํ ปิตรํ วา, มโจฺจ ธเมฺมน โปสติ;

    ‘‘Yo mātaraṃ pitaraṃ vā, macco dhammena posati;

    อิเธว นํ ปสํสนฺติ, เปจฺจ สเคฺค ปโมทตี’’ติฯ

    Idheva naṃ pasaṃsanti, pecca sagge pamodatī’’ti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘อจฺฉริยํ วต, โภ, มาตาเปตฺติภรสฺส ชนฺตุโน อุปฺปนฺนโรคํ เทวตาปิ ติกิจฺฉนฺติ, อติวิย อยํ สาโม โสภตี’’ติ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห ยาจโนฺต อาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘acchariyaṃ vata, bho, mātāpettibharassa jantuno uppannarogaṃ devatāpi tikicchanti, ativiya ayaṃ sāmo sobhatī’’ti añjaliṃ paggayha yācanto āha –

    ๔๑๐.

    410.

    ‘‘เอส ภิโยฺย ปมุยฺหามิ, สพฺพา มุยฺหนฺติ เม ทิสา;

    ‘‘Esa bhiyyo pamuyhāmi, sabbā muyhanti me disā;

    สรณํ ตํ สาม คจฺฉามิ, ตฺวญฺจ เม สรณํ ภวา’’ติฯ

    Saraṇaṃ taṃ sāma gacchāmi, tvañca me saraṇaṃ bhavā’’ti.

    ตตฺถ ภิโยฺยติ ยสฺมา ตาทิเส ปริสุทฺธสีลคุณสมฺปเนฺน ตยิ อปรชฺฌิํ, ตสฺมา อติเรกตรํ สมฺมุยฺหามิฯ ตฺวญฺจ เม สรณํ ภวาติ สรณํ คจฺฉนฺตสฺส เม ตฺวํ สรณํ ภว, ปติฎฺฐา โหหิ, เทวโลกคามิมคฺคํ กโรหีติฯ

    Tattha bhiyyoti yasmā tādise parisuddhasīlaguṇasampanne tayi aparajjhiṃ, tasmā atirekataraṃ sammuyhāmi. Tvañca me saraṇaṃ bhavāti saraṇaṃ gacchantassa me tvaṃ saraṇaṃ bhava, patiṭṭhā hohi, devalokagāmimaggaṃ karohīti.

    อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘สเจปิ, มหาราช, เทวโลกํ คนฺตุกาโมสิ, มหนฺตํ ทิพฺพสมฺปตฺติํ ปริภุญฺชิตุกาโมสิ, อิมาสุ ทสราชธมฺมจริยาสุ วตฺตสฺสู’’ติ ตสฺส ธมฺมํ เทเสโนฺต ทส ราชธมฺมจริยคาถา อภาสิ –

    Atha naṃ mahāsatto ‘‘sacepi, mahārāja, devalokaṃ gantukāmosi, mahantaṃ dibbasampattiṃ paribhuñjitukāmosi, imāsu dasarājadhammacariyāsu vattassū’’ti tassa dhammaṃ desento dasa rājadhammacariyagāthā abhāsi –

    ๔๑๑.

    411.

    ‘‘ธมฺมํ จร มหาราช, มาตาปิตูสุ ขตฺติย;

    ‘‘Dhammaṃ cara mahārāja, mātāpitūsu khattiya;

    อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน, ราช สคฺคํ คมิสฺสสิฯ

    Idha dhammaṃ caritvāna, rāja saggaṃ gamissasi.

    ๔๑๒.

    412.

    ‘‘ธมฺมํ จร มหาราช, ปุตฺตทาเรสุ ขตฺติย;

    ‘‘Dhammaṃ cara mahārāja, puttadāresu khattiya;

    อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน, ราช สคฺคํ คมิสฺสสิฯ

    Idha dhammaṃ caritvāna, rāja saggaṃ gamissasi.

    ๔๑๓.

    413.

    ‘‘ธมฺมํ จร มหาราช, มิตฺตามเจฺจสุ ขตฺติย;

    ‘‘Dhammaṃ cara mahārāja, mittāmaccesu khattiya;

    อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน, ราช สคฺคํ คมิสฺสสิฯ

    Idha dhammaṃ caritvāna, rāja saggaṃ gamissasi.

    ๔๑๔.

    414.

    ‘‘ธมฺมํ จร มหาราช, วาหเนสุ พเลสุ จ;

    ‘‘Dhammaṃ cara mahārāja, vāhanesu balesu ca;

    อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน, ราช สคฺคํ คมิสฺสสิฯ

    Idha dhammaṃ caritvāna, rāja saggaṃ gamissasi.

    ๔๑๕.

    415.

    ‘‘ธมฺมํ จร มหาราช, คาเมสุ นิคเมสุ จ;

    ‘‘Dhammaṃ cara mahārāja, gāmesu nigamesu ca;

    อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน, ราช สคฺคํ คมิสฺสสิฯ

    Idha dhammaṃ caritvāna, rāja saggaṃ gamissasi.

    ๔๑๖.

    416.

    ‘‘ธมฺมํ จร มหาราช, รเฎฺฐสุ ชนปเทสุ จ;

    ‘‘Dhammaṃ cara mahārāja, raṭṭhesu janapadesu ca;

    อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน, ราช สคฺคํ คมิสฺสสิฯ

    Idha dhammaṃ caritvāna, rāja saggaṃ gamissasi.

    ๔๑๗.

    417.

    ‘‘ธมฺมํ จร มหาราช, สมณพฺราหฺมเณสุ จ;

    ‘‘Dhammaṃ cara mahārāja, samaṇabrāhmaṇesu ca;

    อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน, ราช สคฺคํ คมิสฺสสิฯ

    Idha dhammaṃ caritvāna, rāja saggaṃ gamissasi.

    ๔๑๘.

    418.

    ‘‘ธมฺมํ จร มหาราช, มิคปกฺขีสุ ขตฺติย;

    ‘‘Dhammaṃ cara mahārāja, migapakkhīsu khattiya;

    อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน, ราช สคฺคํ คมิสฺสสิฯ

    Idha dhammaṃ caritvāna, rāja saggaṃ gamissasi.

    ๔๑๙.

    419.

    ‘‘ธมฺมํ จร มหาราช, ธโมฺม จิโณฺณ สุขาวโห;

    ‘‘Dhammaṃ cara mahārāja, dhammo ciṇṇo sukhāvaho;

    อิธ ธมฺมํ จริตฺวาน, ราช สคฺคํ คมิสฺสสิฯ

    Idha dhammaṃ caritvāna, rāja saggaṃ gamissasi.

    ๔๒๐.

    420.

    ‘‘ธมฺมํ จร มหาราช, สอินฺทา เทวา สพฺรหฺมกา;

    ‘‘Dhammaṃ cara mahārāja, saindā devā sabrahmakā;

    สุจิเณฺณน ทิวํ ปตฺตา, มา ธมฺมํ ราช ปามโท’’ติฯ

    Suciṇṇena divaṃ pattā, mā dhammaṃ rāja pāmado’’ti.

    ตาสํ อโตฺถ เตสกุณชาตเก (ชา. ๒.๑๗.๑ อาทโย) วิตฺถาริโตวฯ เอวํ มหาสโตฺต ตสฺส ทส ราชธเมฺม เทเสตฺวา อุตฺตริปิ โอวทิตฺวา ปญฺจ สีลานิ อทาสิฯ โส ตสฺส โอวาทํ สิรสา สมฺปฎิจฺฉิตฺวา มหาสตฺตํ วนฺทิตฺวา ขมาเปตฺวา พาราณสิํ คนฺตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา สคฺคปรายโณ อโหสิฯ โพธิสโตฺตปิ ยาวชีวํ มาตาปิตโร ปริจริตฺวา มาตาปิตูหิ สทฺธิํ ปญฺจ อภิญฺญา จ อฎฺฐ สมาปตฺติโย จ นิพฺพเตฺตตฺวา พฺรหฺมโลกูปโค อโหสิฯ

    Tāsaṃ attho tesakuṇajātake (jā. 2.17.1 ādayo) vitthāritova. Evaṃ mahāsatto tassa dasa rājadhamme desetvā uttaripi ovaditvā pañca sīlāni adāsi. So tassa ovādaṃ sirasā sampaṭicchitvā mahāsattaṃ vanditvā khamāpetvā bārāṇasiṃ gantvā dānādīni puññāni katvā saggaparāyaṇo ahosi. Bodhisattopi yāvajīvaṃ mātāpitaro paricaritvā mātāpitūhi saddhiṃ pañca abhiññā ca aṭṭha samāpattiyo ca nibbattetvā brahmalokūpago ahosi.

    สตฺถา อิทํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘ภิกฺขเว, มาตาปิตูนํ โปสนํ นาม ปณฺฑิตานํ วํโส’’ติ วตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน มาตุโปสกภิกฺขุ โสตาปตฺติผลํ ปาปุณิฯ

    Satthā idaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘bhikkhave, mātāpitūnaṃ posanaṃ nāma paṇḍitānaṃ vaṃso’’ti vatvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne mātuposakabhikkhu sotāpattiphalaṃ pāpuṇi.

    ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, เทวธีตา อุปฺปลวณฺณา, สโกฺก อนุรุโทฺธ, ทุกูลปณฺฑิโต มหากสฺสโป, ปาริกา ภทฺทกาปิลานี ภิกฺขุนี, สุวณฺณสามปณฺฑิโต ปน อหเมว สมฺมาสมฺพุโทฺธ อโหสินฺติฯ

    Tadā rājā ānando ahosi, devadhītā uppalavaṇṇā, sakko anuruddho, dukūlapaṇḍito mahākassapo, pārikā bhaddakāpilānī bhikkhunī, suvaṇṇasāmapaṇḍito pana ahameva sammāsambuddho ahosinti.

    สุวณฺณสามชาตกวณฺณนา ตติยาฯ

    Suvaṇṇasāmajātakavaṇṇanā tatiyā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๔๐. สุวณฺณสามชาตกํ • 540. Suvaṇṇasāmajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact