Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๖๐] ๑๐. สุโยนนฺทีชาตกวณฺณนา
[360] 10. Suyonandījātakavaṇṇanā
วาติ คโนฺธ ติมิรานนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ ตญฺหิ สตฺถา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ ภิกฺขุ อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘กิํ ทิสฺวา’’ติ วตฺวา ‘‘อลงฺกตมาตุคาม’’นฺติ วุเตฺต ‘‘มาตุคาโม นาเมส ภิกฺขุ น สกฺกา รกฺขิตุํ, โปราณกปณฺฑิตา สุปณฺณภวเน กตฺวา รกฺขนฺตาปิ รกฺขิตุํ นาสกฺขิํสู’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Vāti gandho timirānanti idaṃ satthā jetavane viharanto ukkaṇṭhitabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Tañhi satthā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ bhikkhu ukkaṇṭhitosī’’ti pucchitvā ‘‘sacca’’nti vutte ‘‘kiṃ disvā’’ti vatvā ‘‘alaṅkatamātugāma’’nti vutte ‘‘mātugāmo nāmesa bhikkhu na sakkā rakkhituṃ, porāṇakapaṇḍitā supaṇṇabhavane katvā rakkhantāpi rakkhituṃ nāsakkhiṃsū’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ ตมฺพราชา นาม รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺส สุโยนนฺที นาม อคฺคมเหสี อโหสิ อุตฺตมรูปธราฯ ตทา โพธิสโตฺต สุปณฺณโยนิยํ นิพฺพตฺติ, ตสฺมิํ กาเล นาคทีโป เสทุมทีโป นาม อโหสิฯ โพธิสโตฺต ตสฺมิํ ทีเป สุปณฺณภวเน วสติฯ โส พาราณสิํ คนฺตฺวา ตมฺพราเชน สทฺธิํ มาณวกเวเสน ชูตํ กีฬติฯ ตสฺส รูปสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ปริจาริกา ‘‘อมฺหากํ รญฺญา สทฺธิํ เอวรูโป นาม มาณวโก ชูตํ กีฬตี’’ติ สุโยนนฺทิยา อาโรเจสุํฯ สา สุตฺวา ตํ ทฎฺฐุกามา หุตฺวา เอกทิวสํ อลงฺกริตฺวา ชูตมณฺฑลํ อาคนฺตฺวา ปริจาริกานํ อนฺตเร ฐิตา นํ โอโลเกสิฯ โสปิ เทวิํ โอโลเกสิฯ เทฺวปิ อญฺญมญฺญํ ปฎิพทฺธจิตฺตา อเหสุํฯ สุปณฺณราชา อตฺตโน อานุภาเวน นคเร วาตํ สมุฎฺฐาเปสิ, เคหปตนภเยน ราชนิเวสนา มนุสฺสา นิกฺขมิํสุฯ โส อตฺตโน อานุภาเวน อนฺธการํ กตฺวา เทวิํ คเหตฺวา อากาเสน อาคนฺตฺวา นาคทีเป อตฺตโน ภวนํ ปาวิสิ สุโยนนฺทิยา คตฎฺฐานํ ชานนฺตา นาม นาเหสุํฯ โส ตาย สทฺธิํ อภิรมมาโน คนฺตฺวา รญฺญา สทฺธิํ ชูตํ กีฬติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ tambarājā nāma rajjaṃ kāresi. Tassa suyonandī nāma aggamahesī ahosi uttamarūpadharā. Tadā bodhisatto supaṇṇayoniyaṃ nibbatti, tasmiṃ kāle nāgadīpo sedumadīpo nāma ahosi. Bodhisatto tasmiṃ dīpe supaṇṇabhavane vasati. So bārāṇasiṃ gantvā tambarājena saddhiṃ māṇavakavesena jūtaṃ kīḷati. Tassa rūpasampattiṃ disvā paricārikā ‘‘amhākaṃ raññā saddhiṃ evarūpo nāma māṇavako jūtaṃ kīḷatī’’ti suyonandiyā ārocesuṃ. Sā sutvā taṃ daṭṭhukāmā hutvā ekadivasaṃ alaṅkaritvā jūtamaṇḍalaṃ āgantvā paricārikānaṃ antare ṭhitā naṃ olokesi. Sopi deviṃ olokesi. Dvepi aññamaññaṃ paṭibaddhacittā ahesuṃ. Supaṇṇarājā attano ānubhāvena nagare vātaṃ samuṭṭhāpesi, gehapatanabhayena rājanivesanā manussā nikkhamiṃsu. So attano ānubhāvena andhakāraṃ katvā deviṃ gahetvā ākāsena āgantvā nāgadīpe attano bhavanaṃ pāvisi suyonandiyā gataṭṭhānaṃ jānantā nāma nāhesuṃ. So tāya saddhiṃ abhiramamāno gantvā raññā saddhiṃ jūtaṃ kīḷati.
รโญฺญ ปน สโคฺค นาม คนฺธโพฺพ อตฺถิ, โส เทวิยา คตฎฺฐานํ อชานโนฺต ตํ คนฺธพฺพํ อามเนฺตตฺวา ‘‘คจฺฉ, ตาต, คนฺธพฺพ สพฺพํ ถลชลปถํ อนุวิจริตฺวา เทวิยา คตฎฺฐานํ ปสฺสา’’ติ อุโยฺยเชสิฯ โส ปริพฺพยํ คเหตฺวา ทฺวารคามโต ปฎฺฐาย วิจินโนฺต กุรุกจฺฉํ ปาปุณิฯ ตทา กุรุกจฺฉวาณิชา นาวาย สุวณฺณภูมิํ คจฺฉนฺติฯ โส เต อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อหํ คนฺธโพฺพ นาวาย เวตนํ ขเณฺฑตฺวา ตุมฺหากํ คนฺธพฺพํ กริสฺสามิ, มมฺปิ เนถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘สาธู’’ติ ตมฺปิ อาโรเปตฺวา นาวํ วิสฺสเชฺชสุํฯ เต สุขปยาตาย นาวาย ตํ ปโกฺกสิตฺวา ‘‘คนฺธพฺพํ โน กโรหี’’ติ อาหํสุฯ ‘‘อหํ เจ คนฺธพฺพํ กเรยฺยํ, มยิ ปน คนฺธพฺพํ กโรเนฺต มจฺฉา จลิสฺสนฺติ, อถ โว นาโว ภิชฺชิสฺสตี’’ติฯ ‘‘มนุสฺสมเตฺต คนฺธพฺพํ กโรเนฺต มจฺฉานํ จลนํ นาม นตฺถิ, กโรหี’’ติฯ ‘‘เตน หิ มา มยฺหํ กุชฺฌิตฺถา’’ติ วีณํ มุจฺฉิตฺวา ตนฺติสฺสเรน คีตสฺสรํ, คีตสฺสเรน ตนฺติสฺสรํ อนติกฺกมิตฺวา คนฺธพฺพํ อกาสิฯ เตน สเทฺทน สมฺมตฺตา หุตฺวา มจฺฉา จลิํสุฯ
Rañño pana saggo nāma gandhabbo atthi, so deviyā gataṭṭhānaṃ ajānanto taṃ gandhabbaṃ āmantetvā ‘‘gaccha, tāta, gandhabba sabbaṃ thalajalapathaṃ anuvicaritvā deviyā gataṭṭhānaṃ passā’’ti uyyojesi. So paribbayaṃ gahetvā dvāragāmato paṭṭhāya vicinanto kurukacchaṃ pāpuṇi. Tadā kurukacchavāṇijā nāvāya suvaṇṇabhūmiṃ gacchanti. So te upasaṅkamitvā ‘‘ahaṃ gandhabbo nāvāya vetanaṃ khaṇḍetvā tumhākaṃ gandhabbaṃ karissāmi, mampi nethā’’ti āha. Te ‘‘sādhū’’ti tampi āropetvā nāvaṃ vissajjesuṃ. Te sukhapayātāya nāvāya taṃ pakkositvā ‘‘gandhabbaṃ no karohī’’ti āhaṃsu. ‘‘Ahaṃ ce gandhabbaṃ kareyyaṃ, mayi pana gandhabbaṃ karonte macchā calissanti, atha vo nāvo bhijjissatī’’ti. ‘‘Manussamatte gandhabbaṃ karonte macchānaṃ calanaṃ nāma natthi, karohī’’ti. ‘‘Tena hi mā mayhaṃ kujjhitthā’’ti vīṇaṃ mucchitvā tantissarena gītassaraṃ, gītassarena tantissaraṃ anatikkamitvā gandhabbaṃ akāsi. Tena saddena sammattā hutvā macchā caliṃsu.
อเถโก มกโร อุปฺปติตฺวา นาวาย ปตโนฺต นาวํ ภินฺทิฯ สโคฺค ผลเก นิปชฺชิตฺวา ยถาวาตํ คจฺฉโนฺต นาคทีเป สุปณฺณภวนสฺส นิโคฺรธรุกฺขสฺส สนฺติกํ ปาปุณิฯ สุโยนนฺทีปิ เทวี สุปณฺณราชสฺส ชูตํ กีฬิตุํ คตกาเล วิมานา โอตริตฺวา เวลเนฺต วิจรนฺตี สคฺคํ คนฺธพฺพํ ทิสฺวา สญฺชานิตฺวา ‘‘กถํ อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส สพฺพํ กเถสิฯ ‘‘เตน หิ มา ภายี’’ติ ตํ อสฺสาเสตฺวา พาหาหิ ปริคฺคเหตฺวา วิมานํ อาโรเปตฺวา สยนปิเฎฺฐ นิปชฺชาเปตฺวา สมสฺสตฺถกาเล ทิพฺพโภชนํ ทตฺวา ทิพฺพคโนฺธทเกน นฺหาเปตฺวา ทิพฺพวเตฺถหิ อจฺฉาเทตฺวา ทิพฺพคนฺธปุเปฺผหิ อลงฺกริตฺวา ปุน ทิพฺพสยเน นิปชฺชาเปสิฯ เอวํ ทิวสํ ปริคฺคหมานา สุปณฺณรโญฺญ อาคมนเวลาย ปฎิจฺฉาเทตฺวา คตกาเล เตน สทฺธิํ กิเลสวเสน อภิรมิฯ ตโต มาสทฺธมาสจฺจเยน พาราณสิวาสิโน วาณิชา ทารุทกคหณตฺถาย ตสฺมิํ ทีเป นิโคฺรธรุกฺขมูลํ สมฺปตฺตาฯ โส เตหิ สทฺธิํ นาวํ อภิรุยฺห พาราณสิํ คนฺตฺวา ราชานํ ทิสฺวาว ตสฺส ชูตกีฬนเวลาย วีณํ คเหตฺวา รโญฺญ คนฺธพฺพํ กโรโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Atheko makaro uppatitvā nāvāya patanto nāvaṃ bhindi. Saggo phalake nipajjitvā yathāvātaṃ gacchanto nāgadīpe supaṇṇabhavanassa nigrodharukkhassa santikaṃ pāpuṇi. Suyonandīpi devī supaṇṇarājassa jūtaṃ kīḷituṃ gatakāle vimānā otaritvā velante vicarantī saggaṃ gandhabbaṃ disvā sañjānitvā ‘‘kathaṃ āgatosī’’ti pucchi. So sabbaṃ kathesi. ‘‘Tena hi mā bhāyī’’ti taṃ assāsetvā bāhāhi pariggahetvā vimānaṃ āropetvā sayanapiṭṭhe nipajjāpetvā samassatthakāle dibbabhojanaṃ datvā dibbagandhodakena nhāpetvā dibbavatthehi acchādetvā dibbagandhapupphehi alaṅkaritvā puna dibbasayane nipajjāpesi. Evaṃ divasaṃ pariggahamānā supaṇṇarañño āgamanavelāya paṭicchādetvā gatakāle tena saddhiṃ kilesavasena abhirami. Tato māsaddhamāsaccayena bārāṇasivāsino vāṇijā dārudakagahaṇatthāya tasmiṃ dīpe nigrodharukkhamūlaṃ sampattā. So tehi saddhiṃ nāvaṃ abhiruyha bārāṇasiṃ gantvā rājānaṃ disvāva tassa jūtakīḷanavelāya vīṇaṃ gahetvā rañño gandhabbaṃ karonto paṭhamaṃ gāthamāha –
๕๕.
55.
‘‘วาติ คโนฺธ ติมิรานํ, กุสมุโทฺท จ โฆสวา;
‘‘Vāti gandho timirānaṃ, kusamuddo ca ghosavā;
ทูเร อิโต สุโยนนฺที, ตมฺพ กามา ตุทนฺติ ม’’นฺติฯ
Dūre ito suyonandī, tamba kāmā tudanti ma’’nti.
ตตฺถ ติมิรานนฺติ ติมิรรุกฺขปุปฺผานํฯ ตํ กิร นิโคฺรธํ ปริวาเรตฺวา ติมิรรุกฺขา อตฺถิ, เต สนฺธาเยวํ วทติฯ กุสมุโทฺทติ ขุทฺทกสมุโทฺทฯ โฆสวาติ มหารโวฯ ตเสฺสว นิโคฺรธสฺส สนฺติเก สมุทฺทํ สนฺธาเยวมาหฯ อิโตติ อิมมฺหา นคราฯ ตมฺพาติ ราชานํ อาลปติฯ อถ วา ตมฺพกามาติ ตเมฺพน กามิตกามา ตมฺพกามา นามฯ เต มํ หทเย วิชฺฌนฺตีติ ทีเปติฯ
Tattha timirānanti timirarukkhapupphānaṃ. Taṃ kira nigrodhaṃ parivāretvā timirarukkhā atthi, te sandhāyevaṃ vadati. Kusamuddoti khuddakasamuddo. Ghosavāti mahāravo. Tasseva nigrodhassa santike samuddaṃ sandhāyevamāha. Itoti imamhā nagarā. Tambāti rājānaṃ ālapati. Atha vā tambakāmāti tambena kāmitakāmā tambakāmā nāma. Te maṃ hadaye vijjhantīti dīpeti.
ตํ สุตฺวา สุปโณฺณ ทุติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā supaṇṇo dutiyaṃ gāthamāha –
๕๖.
56.
‘‘กถํ สมุทฺทมตริ, กถํ อทฺทกฺขิ เสทุมํ;
‘‘Kathaṃ samuddamatari, kathaṃ addakkhi sedumaṃ;
กถํ ตสฺสา จ ตุยฺหญฺจ, อหุ สคฺค สมาคโม’’ติฯ
Kathaṃ tassā ca tuyhañca, ahu sagga samāgamo’’ti.
ตตฺถ เสทุมนฺติ เสทุมทีปํฯ
Tattha sedumanti sedumadīpaṃ.
ตโต สโคฺค ติโสฺส คาถา อภาสิ –
Tato saggo tisso gāthā abhāsi –
๕๗.
57.
‘‘กุรุกจฺฉา ปยาตานํ, วาณิชานํ ธเนสินํ;
‘‘Kurukacchā payātānaṃ, vāṇijānaṃ dhanesinaṃ;
มกเรหิ อภิทา นาวา, ผลเกนาหมปฺลวิํฯ
Makarehi abhidā nāvā, phalakenāhamaplaviṃ.
๕๘.
58.
‘‘สา มํ สเณฺหน มุทุนา, นิจฺจํ จนฺทนคนฺธินี;
‘‘Sā maṃ saṇhena mudunā, niccaṃ candanagandhinī;
อเงฺคน อุทฺธรี ภทฺทา, มาตา ปุตฺตํว โอรสํฯ
Aṅgena uddharī bhaddā, mātā puttaṃva orasaṃ.
๕๙.
59.
‘‘สา มํ อเนฺนน ปาเนน, วเตฺถน สยเนน จ;
‘‘Sā maṃ annena pānena, vatthena sayanena ca;
อตฺตนาปิ จ มนฺทกฺขี, เอวํ ตมฺพ วิชานหี’’ติฯ
Attanāpi ca mandakkhī, evaṃ tamba vijānahī’’ti.
ตตฺถ สา มํ สเณฺหน มุทุนาติ เอวํ ผลเกน ตีรํ อุตฺติณฺณํ มํ สมุทฺทตีเร วิจรนฺตี สา ทิสฺวา ‘‘มา ภายี’’ติ สเณฺหน มุทุนา วจเนน สมสฺสาเสตฺวาติ อโตฺถฯ อเงฺคนาติ พาหุยุคฬํ อิธ ‘‘อเงฺคนา’’ติ วุตฺตํฯ ภทฺทาติ ทสฺสนียา ปาสาทิกาฯ สา มํ อเนฺนนาติ สา มํ เอเตน อนฺนาทินา สนฺตเปฺปสีติ อโตฺถฯ อตฺตนาปิ จาติ น เกวลํ อนฺนาทีเหว, อตฺตนาปิ มํ อภิรเมนฺตี สนฺตเปฺปสีติ ทีเปติฯ มนฺทกฺขีติ มนฺททสฺสนี, มุทุนา อากาเรน โอโลกนสีลาติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘มตฺตกฺขี’’ติปิ ปาโฐ, มทมเตฺตหิ วิย อกฺขีหิ สมนฺนาคตาติ อโตฺถฯ เอวํ ตมฺพาติ เอวํ ตมฺพราช ชานาหีติฯ
Tattha sā maṃ saṇhena mudunāti evaṃ phalakena tīraṃ uttiṇṇaṃ maṃ samuddatīre vicarantī sā disvā ‘‘mā bhāyī’’ti saṇhena mudunā vacanena samassāsetvāti attho. Aṅgenāti bāhuyugaḷaṃ idha ‘‘aṅgenā’’ti vuttaṃ. Bhaddāti dassanīyā pāsādikā. Sā maṃ annenāti sā maṃ etena annādinā santappesīti attho. Attanāpi cāti na kevalaṃ annādīheva, attanāpi maṃ abhiramentī santappesīti dīpeti. Mandakkhīti mandadassanī, mudunā ākārena olokanasīlāti vuttaṃ hoti. ‘‘Mattakkhī’’tipi pāṭho, madamattehi viya akkhīhi samannāgatāti attho. Evaṃ tambāti evaṃ tambarāja jānāhīti.
สุปโณฺณ คนฺธพฺพสฺส กเถนฺตเสฺสว วิปฺปฎิสารี หุตฺวา ‘‘อหํ สุปณฺณภวเน วสโนฺตปิ รกฺขิตุํ นาสกฺขิํ, กิํ เม ตาย ทุสฺสีลายา’’ติ ตํ อาเนตฺวา รโญฺญ ปฎิทตฺวา ปกฺกามิ, ตโต ปฎฺฐาย ปุน นาคจฺฉีติฯ
Supaṇṇo gandhabbassa kathentasseva vippaṭisārī hutvā ‘‘ahaṃ supaṇṇabhavane vasantopi rakkhituṃ nāsakkhiṃ, kiṃ me tāya dussīlāyā’’ti taṃ ānetvā rañño paṭidatvā pakkāmi, tato paṭṭhāya puna nāgacchīti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา ราชา อานโนฺท อโหสิ, สุปณฺณราชา ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā rājā ānando ahosi, supaṇṇarājā pana ahameva ahosinti.
สุโยนนฺทีชาตกวณฺณนา ทสมาฯ
Suyonandījātakavaṇṇanā dasamā.
มณิกุณฺฑลวโคฺค ปฐโมฯ
Maṇikuṇḍalavaggo paṭhamo.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๖๐. สุโยนนฺทีชาตกํ • 360. Suyonandījātakaṃ