Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๙๒] ๙. ตจฺฉสูกรชาตกวณฺณนา
[492] 9. Tacchasūkarajātakavaṇṇanā
ยเทสมานา วิจริมฺหาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เทฺว มหลฺลกเตฺถเร อารพฺภ กเถสิฯ มหาโกสโล กิร รโญฺญ พิมฺพิสารสฺส ธีตรํ เทโนฺต ธีตุ นฺหานียมูลตฺถาย กาสิคามํ อทาสิฯ ปเสนทิ ราชา อชาตสตฺตุนา ปิตริ มาริเต ตํ คามํ อจฺฉินฺทิฯ เตสุ ตสฺสตฺถาย ยุชฺฌเนฺตสุ ปฐมํ อชาตสตฺตุสฺส ชโย อโหสิฯ โกสลราชา ปราชยปฺปโตฺต อมเจฺจ ปุจฺฉิ ‘‘เกน นุ โข อุปาเยน อชาตสตฺตุํ คเณฺหยฺยามา’’ติฯ มหาราช, ภิกฺขู นาม มนฺตกุสลา โหนฺติ, จรปุริเส เปเสตฺวา วิหาเร ภิกฺขูนํ กถํ ปริคฺคณฺหิตุํ วฎฺฎตีติฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ‘‘เอถ, ตุเมฺห วิหารํ คนฺตฺวา ปฎิจฺฉนฺนา หุตฺวา ภทนฺตานํ กถํ ปริคฺคณฺหถา’’ติ จรปุริเส ปโยเชสิฯ เชตวเนปิ พหู ราชปุริสา ปพฺพชิตา โหนฺติฯ เตสุ เทฺว มหลฺลกเตฺถรา วิหารปจฺจเนฺต ปณฺณสาลายํ วสนฺติ, เอโก ธนุคฺคหติสฺสเตฺถโร นาม, เอโก มนฺติทตฺตเตฺถโร นามฯ เต สพฺพรตฺติํ สุปิตฺวา ปจฺจูสกาเล ปพุชฺฌิํสุฯ
Yadesamānā vicarimhāti idaṃ satthā jetavane viharanto dve mahallakatthere ārabbha kathesi. Mahākosalo kira rañño bimbisārassa dhītaraṃ dento dhītu nhānīyamūlatthāya kāsigāmaṃ adāsi. Pasenadi rājā ajātasattunā pitari mārite taṃ gāmaṃ acchindi. Tesu tassatthāya yujjhantesu paṭhamaṃ ajātasattussa jayo ahosi. Kosalarājā parājayappatto amacce pucchi ‘‘kena nu kho upāyena ajātasattuṃ gaṇheyyāmā’’ti. Mahārāja, bhikkhū nāma mantakusalā honti, carapurise pesetvā vihāre bhikkhūnaṃ kathaṃ pariggaṇhituṃ vaṭṭatīti. Rājā ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā ‘‘etha, tumhe vihāraṃ gantvā paṭicchannā hutvā bhadantānaṃ kathaṃ pariggaṇhathā’’ti carapurise payojesi. Jetavanepi bahū rājapurisā pabbajitā honti. Tesu dve mahallakattherā vihārapaccante paṇṇasālāyaṃ vasanti, eko dhanuggahatissatthero nāma, eko mantidattatthero nāma. Te sabbarattiṃ supitvā paccūsakāle pabujjhiṃsu.
เตสุ ธนุคฺคหติสฺสเตฺถโร อคฺคิํ ชาเลตฺวา อาห ‘‘ภเนฺต, มนฺติทตฺตเตฺถรา’’ติฯ ‘‘กิํ ภเนฺต’’ติฯ ‘‘นิทฺทายถ ตุเมฺห’’ติฯ ‘‘น นิทฺทายามิ, กิํ กาตพฺพ’’นฺติ? ‘‘ภเนฺต, ลาลโก วตายํ โกสลราชา จาฎิมตฺตโภชนเมว ภุญฺชิตุํ ชานาตี’’ติฯ ‘‘อถ กิํ ภเนฺต’’ติฯ ‘‘อตฺตโน กุจฺฉิมฺหิ ปาณกมเตฺตน อชาตสตฺตุนา ปราชิโต ราชา’’ติฯ ‘‘กินฺติ ปน ภเนฺต กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘ภเนฺต, มนฺติทตฺตเตฺถร ยุทฺธํ นาม สกฎพฺยูหจกฺกพฺยูหปทุมพฺยูหวเสน ติวิธํฯ เตสุ ภาคิเนยฺยํ อชาตสตฺตุํ คณฺหเนฺตน สกฎพฺยูหํ กตฺวา คณฺหิตุํ วฎฺฎติ, อสุกสฺมิํ นาม ปพฺพตกเณฺณ ทฺวีสุ ปเสฺสสุ สูรปุริเส ฐเปตฺวา ปุรโต พลํ ทเสฺสตฺวา อโนฺต ปวิฎฺฐภาวํ ญตฺวา นทิตฺวา วคฺคิตฺวา กุมิเน ปวิฎฺฐมจฺฉํ วิย อโนฺตมุฎฺฐิยํ กตฺวาว นํ คเหตุํ สกฺกา’’ติฯ
Tesu dhanuggahatissatthero aggiṃ jāletvā āha ‘‘bhante, mantidattattherā’’ti. ‘‘Kiṃ bhante’’ti. ‘‘Niddāyatha tumhe’’ti. ‘‘Na niddāyāmi, kiṃ kātabba’’nti? ‘‘Bhante, lālako vatāyaṃ kosalarājā cāṭimattabhojanameva bhuñjituṃ jānātī’’ti. ‘‘Atha kiṃ bhante’’ti. ‘‘Attano kucchimhi pāṇakamattena ajātasattunā parājito rājā’’ti. ‘‘Kinti pana bhante kātuṃ vaṭṭatī’’ti? ‘‘Bhante, mantidattatthera yuddhaṃ nāma sakaṭabyūhacakkabyūhapadumabyūhavasena tividhaṃ. Tesu bhāgineyyaṃ ajātasattuṃ gaṇhantena sakaṭabyūhaṃ katvā gaṇhituṃ vaṭṭati, asukasmiṃ nāma pabbatakaṇṇe dvīsu passesu sūrapurise ṭhapetvā purato balaṃ dassetvā anto paviṭṭhabhāvaṃ ñatvā naditvā vaggitvā kumine paviṭṭhamacchaṃ viya antomuṭṭhiyaṃ katvāva naṃ gahetuṃ sakkā’’ti.
ปโยชิตปุริสา ตํ กถํ สุตฺวา รโญฺญ อาโรเจสุํฯ ราชา มหติยา เสนาย คนฺตฺวา ตถา กตฺวา อชาตสตฺตุํ คเหตฺวา สงฺขลิกพนฺธเนน พนฺธิตฺวา กติปาหํ นิมฺมทํ กตฺวา ‘‘ปุน เอวรูปํ มา กรี’’ติ อสฺสาเสตฺวา โมเจตฺวา ธีตรํ วชิรกุมาริํ นาม ตสฺส ทตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน วิสฺสเชฺชสิฯ ‘‘โกสลรญฺญา ธนุคฺคหติสฺสเตฺถรสฺส สํวิธาเนน อชาตสตฺตุ คหิโต’’ติ ภิกฺขูนํ อนฺตเร กถา สมุฎฺฐหิ, ธมฺมสภายมฺปิ ตเมว กถํ สมุฎฺฐาเปสุํฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ธนุคฺคหติโสฺส ยุทฺธสํวิธาเน เฉโกเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Payojitapurisā taṃ kathaṃ sutvā rañño ārocesuṃ. Rājā mahatiyā senāya gantvā tathā katvā ajātasattuṃ gahetvā saṅkhalikabandhanena bandhitvā katipāhaṃ nimmadaṃ katvā ‘‘puna evarūpaṃ mā karī’’ti assāsetvā mocetvā dhītaraṃ vajirakumāriṃ nāma tassa datvā mahantena parivārena vissajjesi. ‘‘Kosalaraññā dhanuggahatissattherassa saṃvidhānena ajātasattu gahito’’ti bhikkhūnaṃ antare kathā samuṭṭhahi, dhammasabhāyampi tameva kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi dhanuggahatisso yuddhasaṃvidhāne chekoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสินครสฺส ทฺวารคามวาสี เอโก วฑฺฒกี ทารุอตฺถาย อรญฺญํ คนฺตฺวา อาวาเฎ ปติตํ เอกํ สูกรโปตกํ ทิสฺวา อาเนตฺวา ‘‘ตจฺฉสูกโร’’ติสฺส นามํ กตฺวา โปเสสิฯ โส ตสฺส อุปการโก อโหสิฯ ตุเณฺฑน รุเกฺข ปริวเตฺตตฺวา เทติ, ทาฐาย เวเฐตฺวา กาฬสุตฺตํ กฑฺฒติ, มุเขน ฑํสิตฺวา วาสินิขาทนมุคฺคเร อาหรติฯ โส วุฑฺฒิปฺปโตฺต มหาพโล มหาสรีโร อโหสิฯ อถ วฑฺฒกี ตสฺมิํ ปุตฺตเปมํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา ‘‘อิมํ อิธ วสนฺตํ โกจิเทว หิํเสยฺยา’’ติ อรเญฺญ วิสฺสเชฺชสิฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘อหํ อิมสฺมิํ อรเญฺญ เอกโกว วสิตุํ น สกฺขิสฺสามิ, ญาตเก ปริเยสิตฺวา เตหิ ปริวุโต วสิสฺสามี’’ติฯ โส วนฆฎาย สูกเร ปริเยสโนฺต พหู สูกเร ทิสฺวา ตุสฺสิตฺวา ติโสฺส คาถา อภาสิ –
Atīte bārāṇasinagarassa dvāragāmavāsī eko vaḍḍhakī dāruatthāya araññaṃ gantvā āvāṭe patitaṃ ekaṃ sūkarapotakaṃ disvā ānetvā ‘‘tacchasūkaro’’tissa nāmaṃ katvā posesi. So tassa upakārako ahosi. Tuṇḍena rukkhe parivattetvā deti, dāṭhāya veṭhetvā kāḷasuttaṃ kaḍḍhati, mukhena ḍaṃsitvā vāsinikhādanamuggare āharati. So vuḍḍhippatto mahābalo mahāsarīro ahosi. Atha vaḍḍhakī tasmiṃ puttapemaṃ paccupaṭṭhāpetvā ‘‘imaṃ idha vasantaṃ kocideva hiṃseyyā’’ti araññe vissajjesi. So cintesi ‘‘ahaṃ imasmiṃ araññe ekakova vasituṃ na sakkhissāmi, ñātake pariyesitvā tehi parivuto vasissāmī’’ti. So vanaghaṭāya sūkare pariyesanto bahū sūkare disvā tussitvā tisso gāthā abhāsi –
๑๖๐.
160.
‘‘ยเทสมานา วิจริมฺห, ปพฺพตานิ วนานิ จ;
‘‘Yadesamānā vicarimha, pabbatāni vanāni ca;
อเนฺวสํ วิจริํ ญาตี, เตเม อธิคตา มยาฯ
Anvesaṃ vicariṃ ñātī, teme adhigatā mayā.
๑๖๑.
161.
‘‘พหุญฺจิทํ มูลผลํ, ภโกฺข จายํ อนปฺปโก;
‘‘Bahuñcidaṃ mūlaphalaṃ, bhakkho cāyaṃ anappako;
รมฺมา จิมา คิรีนโชฺช, ผาสุวาโส ภวิสฺสติฯ
Rammā cimā girīnajjo, phāsuvāso bhavissati.
๑๖๒.
162.
‘‘อิเธวาหํ วสิสฺสามิ, สห สเพฺพหิ ญาติภิ;
‘‘Idhevāhaṃ vasissāmi, saha sabbehi ñātibhi;
อโปฺปสฺสุโกฺก นิราสงฺกี, อโสโก อกุโตภโย’’ติฯ
Appossukko nirāsaṅkī, asoko akutobhayo’’ti.
ตตฺถ ยเทสมานาติ ยํ ญาติคณํ ปริเยสนฺตา มยํ วิจริมฺหฯ อเนฺวสนฺติ จิรํ วต อเนฺวสโนฺต วิจริํฯ เตเมติ เต อิเมฯ ภโกฺขติ เสฺวว วนมูลผลสงฺขาโต ภโกฺขฯ อโปฺปสฺสุโกฺกติ อนุสฺสุโกฺก หุตฺวาฯ
Tattha yadesamānāti yaṃ ñātigaṇaṃ pariyesantā mayaṃ vicarimha. Anvesanti ciraṃ vata anvesanto vicariṃ. Temeti te ime. Bhakkhoti sveva vanamūlaphalasaṅkhāto bhakkho. Appossukkoti anussukko hutvā.
สูกรา ตสฺส วจนํ สุตฺวา จตุตฺถํ คาถมาหํสุ –
Sūkarā tassa vacanaṃ sutvā catutthaṃ gāthamāhaṃsu –
๑๖๓.
163.
‘‘อญฺญมฺปิ เลณํ ปริเยส, สตฺตุ โน อิธ วิชฺชติ;
‘‘Aññampi leṇaṃ pariyesa, sattu no idha vijjati;
โส ตจฺฉ สูกเร หนฺติ, อิธาคนฺตฺวา วรํ วร’’นฺติฯ
So taccha sūkare hanti, idhāgantvā varaṃ vara’’nti.
ตตฺถ ตจฺฉาติ ตํ นาเมนาลปนฺติฯ วรํ วรนฺติ สูกเร หนโนฺต ถูลมํสํ วรํ วรเญฺญว หนติฯ
Tattha tacchāti taṃ nāmenālapanti. Varaṃ varanti sūkare hananto thūlamaṃsaṃ varaṃ varaññeva hanati.
อิโต ปรํ อุตฺตานสมฺพนฺธคาถา ปาฬินเยน เวทิตพฺพา –
Ito paraṃ uttānasambandhagāthā pāḷinayena veditabbā –
๑๖๔.
164.
‘‘โก นุมฺหากํ อิธ สตฺตุ, โก ญาตี สุสมาคเต;
‘‘Ko numhākaṃ idha sattu, ko ñātī susamāgate;
ทุปฺปธํเส ปธํเสติ, ตํ เม อกฺขาถ ปุจฺฉิตาฯ
Duppadhaṃse padhaṃseti, taṃ me akkhātha pucchitā.
๑๖๕.
165.
‘‘อุทฺธคฺคราชี มิคราชา, พลี ทาฐาวุโธ มิโค;
‘‘Uddhaggarājī migarājā, balī dāṭhāvudho migo;
โส ตจฺฉ สูกเร หนฺติ, อิธาคนฺตฺวา วรํ วรํฯ
So taccha sūkare hanti, idhāgantvā varaṃ varaṃ.
๑๖๖.
166.
‘‘น โน ทาฐา น วิชฺชนฺติ, พลํ กาเย สโมหิตํ;
‘‘Na no dāṭhā na vijjanti, balaṃ kāye samohitaṃ;
สเพฺพ สมคฺคา หุตฺวาน, วสํ กาหาม เอกกํฯ
Sabbe samaggā hutvāna, vasaṃ kāhāma ekakaṃ.
๑๖๗.
167.
‘‘หทยงฺคมํ กณฺณสุขํ, วาจํ ภาสสิ ตจฺฉก;
‘‘Hadayaṅgamaṃ kaṇṇasukhaṃ, vācaṃ bhāsasi tacchaka;
โยปิ ยุเทฺธ ปลาเยยฺย, ตมฺปิ ปจฺฉา หนามเส’’ติฯ
Yopi yuddhe palāyeyya, tampi pacchā hanāmase’’ti.
ตตฺถ โก นุมฺหากนฺติ อหํ ตุเมฺห ทิสฺวาว ‘‘อิเม สูกรา อปฺปมํสโลหิตา, ภเยน เนสํ ภวิตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตสิํ, ตสฺมา เม อาจิกฺขถ, โก นุ อมฺหากํ อิธ สตฺตุฯ อุทฺธคฺคราชีติ อุทฺธคฺคาหิ สรีรราชีหิ สมนฺนาคโตฯ พฺยคฺฆํ สนฺธาเยวมาหํสุฯ โยปีติ โย อมฺหากํ อนฺตเร เอโกปิ ปลายิสฺสติ, ตมฺปิ มยํ ปจฺฉา หนิสฺสามาติฯ
Tattha ko numhākanti ahaṃ tumhe disvāva ‘‘ime sūkarā appamaṃsalohitā, bhayena nesaṃ bhavitabba’’nti cintesiṃ, tasmā me ācikkhatha, ko nu amhākaṃ idha sattu. Uddhaggarājīti uddhaggāhi sarīrarājīhi samannāgato. Byagghaṃ sandhāyevamāhaṃsu. Yopīti yo amhākaṃ antare ekopi palāyissati, tampi mayaṃ pacchā hanissāmāti.
ตจฺฉสูกโร สเพฺพ สูกเร เอกจิเตฺต กตฺวา ปุจฺฉิ ‘‘กาย เวลาย พฺยโคฺฆ อาคมิสฺสตี’’ติฯ อชฺช ปาโตว เอกํ คเหตฺวา คโต, เสฺว ปาโตว อาคมิสฺสตีติฯ โส ยุทฺธกุสโล ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน ฐิเตน สกฺกา เชตุ’’นฺติ ภูมิสีสํ ปชานาติ, ตสฺมา เอกํ ปเทสํ สลฺลเกฺขตฺวา รตฺติเมว สูกเร โคจรํ คาหาเปตฺวา พลวปจฺจูสโต ปฎฺฐาย ‘‘ยุทฺธํ นาม สกฎพฺยูหาทิวเสน ติวิธํ โหตี’’ติ วตฺวา ปทุมพฺยูหํ สํวิทหติฯ มเชฺฌ ฐาเน ขีรปิวเก สูกรโปตเก ฐเปสิฯ เต ปริวาเรตฺวา เตสํ มาตโร, ตา ปริวาเรตฺวา วญฺฌา สูกริโย, ตาสํ อนนฺตรา สูกรโปตเก, เตสํ อนนฺตรา มกุลทาเฐ ตรุณสูกเร, เตสํ อนนฺตรา มหาทาเฐ, เตสํ อนนฺตรา ชิณฺณสูกเร, ตโต ตตฺถ ตตฺถ ทสวคฺคํ วีสติวคฺคํ ติํสวคฺคญฺจ กตฺวา พลคุมฺพํ ฐเปสิฯ อตฺตโน อตฺถาย เอกํ อาวาฎํ, พฺยคฺฆสฺส ปตนตฺถาย เอกํ สุปฺปสณฺฐานํ ปพฺภารํ กตฺวา ขณาเปสิฯ ทฺวินฺนํ อาวาฎานํ อนฺตเร อตฺตโน วสนตฺถาย ปีฐกํ กาเรสิฯ โส ถามสมฺปเนฺน โยธสูกเร คเหตฺวา ตสฺมิํ ตสฺมิํ ฐาเน สูกเร อสฺสาเสโนฺต วิจริฯ ตเสฺสวํ กโรนฺตเสฺสว สูริโย อุคฺคจฺฉติฯ
Tacchasūkaro sabbe sūkare ekacitte katvā pucchi ‘‘kāya velāya byaggho āgamissatī’’ti. Ajja pātova ekaṃ gahetvā gato, sve pātova āgamissatīti. So yuddhakusalo ‘‘imasmiṃ ṭhāne ṭhitena sakkā jetu’’nti bhūmisīsaṃ pajānāti, tasmā ekaṃ padesaṃ sallakkhetvā rattimeva sūkare gocaraṃ gāhāpetvā balavapaccūsato paṭṭhāya ‘‘yuddhaṃ nāma sakaṭabyūhādivasena tividhaṃ hotī’’ti vatvā padumabyūhaṃ saṃvidahati. Majjhe ṭhāne khīrapivake sūkarapotake ṭhapesi. Te parivāretvā tesaṃ mātaro, tā parivāretvā vañjhā sūkariyo, tāsaṃ anantarā sūkarapotake, tesaṃ anantarā makuladāṭhe taruṇasūkare, tesaṃ anantarā mahādāṭhe, tesaṃ anantarā jiṇṇasūkare, tato tattha tattha dasavaggaṃ vīsativaggaṃ tiṃsavaggañca katvā balagumbaṃ ṭhapesi. Attano atthāya ekaṃ āvāṭaṃ, byagghassa patanatthāya ekaṃ suppasaṇṭhānaṃ pabbhāraṃ katvā khaṇāpesi. Dvinnaṃ āvāṭānaṃ antare attano vasanatthāya pīṭhakaṃ kāresi. So thāmasampanne yodhasūkare gahetvā tasmiṃ tasmiṃ ṭhāne sūkare assāsento vicari. Tassevaṃ karontasseva sūriyo uggacchati.
อถ พฺยคฺฆราชา กูฎชฎิลสฺส อสฺสมปทา นิกฺขมิตฺวา ปพฺพตตเล อฎฺฐาสิฯ ตํ ทิสฺวา สูกรา ‘‘อาคโต โน ภเนฺต เวรี’’ติ วทิํสุฯ มา ภายถ, ยํ ยํ เอส กโรติ, ตํ สพฺพํ สริกฺขา หุตฺวา กโรถาติฯ พฺยโคฺฆ สรีรํ วิธุนิตฺวา โอสกฺกโนฺต วิย ปสฺสาวมกาสิ, สูกราปิ ตเถว กริํสุฯ พฺยโคฺฆ สูกเร โอโลเกตฺวา มหานทํ นทิ, เตปิ ตเถว กริํสุฯ โส เตสํ กิริยํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘น อิเม ปุพฺพสทิสา, อชฺช มยฺหํ ปฎิสตฺตุโน หุตฺวา วคฺควคฺคา ฐิตา, สํวิทหโก เนสํ เสนานายโกปิ อตฺถิ, อชฺช มยา เอเตสํ สนฺติกํ คนฺตุํ น วฎฺฎตี’’ติ มรณภยตชฺชิโต นิวตฺติตฺวา กูฎชฎิลสฺส สนฺติกํ คโตฯ อถ นํ โส ตุจฺฉหตฺถํ ทิสฺวา นวมํ คาถมาห –
Atha byaggharājā kūṭajaṭilassa assamapadā nikkhamitvā pabbatatale aṭṭhāsi. Taṃ disvā sūkarā ‘‘āgato no bhante verī’’ti vadiṃsu. Mā bhāyatha, yaṃ yaṃ esa karoti, taṃ sabbaṃ sarikkhā hutvā karothāti. Byaggho sarīraṃ vidhunitvā osakkanto viya passāvamakāsi, sūkarāpi tatheva kariṃsu. Byaggho sūkare oloketvā mahānadaṃ nadi, tepi tatheva kariṃsu. So tesaṃ kiriyaṃ disvā cintesi ‘‘na ime pubbasadisā, ajja mayhaṃ paṭisattuno hutvā vaggavaggā ṭhitā, saṃvidahako nesaṃ senānāyakopi atthi, ajja mayā etesaṃ santikaṃ gantuṃ na vaṭṭatī’’ti maraṇabhayatajjito nivattitvā kūṭajaṭilassa santikaṃ gato. Atha naṃ so tucchahatthaṃ disvā navamaṃ gāthamāha –
๑๖๘.
168.
‘‘ปาณาติปาตา วิรโต นุ อชฺช, อภยํ นุ เต สพฺพภูเตสุ ทินฺนํ;
‘‘Pāṇātipātā virato nu ajja, abhayaṃ nu te sabbabhūtesu dinnaṃ;
ทาฐา นุ เต มิควธาย น สนฺติ, โย สงฺฆปโตฺต กปโณว ฌายสี’’ติฯ
Dāṭhā nu te migavadhāya na santi, yo saṅghapatto kapaṇova jhāyasī’’ti.
ตตฺถ สงฺฆปโตฺตติ โย ตฺวํ สูกรสงฺฆปโตฺต หุตฺวา กิญฺจิ โคจรํ อลภิตฺวา กปโณ วิย ฌายสีติฯ
Tattha saṅghapattoti yo tvaṃ sūkarasaṅghapatto hutvā kiñci gocaraṃ alabhitvā kapaṇo viya jhāyasīti.
อถ พฺยโคฺฆ ติโสฺส คาถา อภาสิ –
Atha byaggho tisso gāthā abhāsi –
๑๖๙.
169.
‘‘น เม ทาฐา น วิชฺชนฺติ, พลํ กาเย สโมหิตํ;
‘‘Na me dāṭhā na vijjanti, balaṃ kāye samohitaṃ;
ญาตี จ ทิสฺวาน สามคฺคี เอกโต, ตสฺมา จ ฌายามิ วนมฺหิ เอกโกฯ
Ñātī ca disvāna sāmaggī ekato, tasmā ca jhāyāmi vanamhi ekako.
๑๗๐.
170.
‘‘อิมสฺสุทํ ยนฺติ ทิโสทิสํ ปุเร, ภยฎฺฎิตา เลณคเวสิโน ปุถุ;
‘‘Imassudaṃ yanti disodisaṃ pure, bhayaṭṭitā leṇagavesino puthu;
เต ทานิ สงฺคมฺม วสนฺติ เอกโต, ยตฺถฎฺฐิตา ทุปฺปสหชฺช เต มยาฯ
Te dāni saṅgamma vasanti ekato, yatthaṭṭhitā duppasahajja te mayā.
๑๗๑.
171.
‘‘ปริณายกสมฺปนฺนา , สหิตา เอกวาทิโน;
‘‘Pariṇāyakasampannā , sahitā ekavādino;
เต มํ สมคฺคา หิํเสยฺยุํ, ตสฺมา เนสํ น ปตฺถเย’’ติฯ
Te maṃ samaggā hiṃseyyuṃ, tasmā nesaṃ na patthaye’’ti.
ตตฺถ สามคฺคี เอกโตติ สหิตา หุตฺวา เอกโต ฐิเตฯ อิมสฺสุทนฺติ อิเม สุทํ มยา อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา โอโลกิตมตฺตาว ปุเพฺพ ทิโสทิสํ คจฺฉนฺติฯ ปุถูติ วิสุํ วิสุํฯ ยตฺถฎฺฐิตาติ ยสฺมิํ ภูมิภาเค ฐิตาฯ ปริณายกสมฺปนฺนาติ เสนานายเกน สมฺปนฺนาฯ ตสฺมา เนสํ น ปตฺถเยติ เตน การเณน เอเตสํ น ปเตฺถมิฯ
Tattha sāmaggī ekatoti sahitā hutvā ekato ṭhite. Imassudanti ime sudaṃ mayā akkhīni ummīletvā olokitamattāva pubbe disodisaṃ gacchanti. Puthūti visuṃ visuṃ. Yatthaṭṭhitāti yasmiṃ bhūmibhāge ṭhitā. Pariṇāyakasampannāti senānāyakena sampannā. Tasmā nesaṃ na patthayeti tena kāraṇena etesaṃ na patthemi.
ตํ สุตฺวา กูฎชฎิโล ตสฺส อุสฺสาหํ ชนยโนฺต คาถมาห –
Taṃ sutvā kūṭajaṭilo tassa ussāhaṃ janayanto gāthamāha –
๑๗๒.
172.
‘‘เอโกว อิโนฺท อสุเร ชินาติ, เอโกว เสโน หนฺติ ทิเช ปสยฺห;
‘‘Ekova indo asure jināti, ekova seno hanti dije pasayha;
เอโกว พฺยโคฺฆ มิคสงฺฆปโตฺต, วรํ วรํ หนฺติ พลญฺหิ ตาทิส’’นฺติฯ
Ekova byaggho migasaṅghapatto, varaṃ varaṃ hanti balañhi tādisa’’nti.
ตตฺถ มิคสงฺฆปโตฺตติ มิคคณปโตฺต หุตฺวา วรํ วรํ มิคํ หนฺติฯ พลญฺหิ ตาทิสนฺติ ตาทิสญฺหิ ตสฺส พลํฯ
Tattha migasaṅghapattoti migagaṇapatto hutvā varaṃ varaṃ migaṃ hanti. Balañhi tādisanti tādisañhi tassa balaṃ.
อถ พฺยโคฺฆ คาถมาห –
Atha byaggho gāthamāha –
๑๗๓.
173.
‘‘น เหว อิโนฺท น เสโน, นปิ พฺยโคฺฆ มิคาธิโป;
‘‘Na heva indo na seno, napi byaggho migādhipo;
สมเคฺค สหิเต ญาตี, น พฺยเคฺฆ กุรุเต วเส’’ติฯ
Samagge sahite ñātī, na byagghe kurute vase’’ti.
ตตฺถ พฺยเคฺฆติ พฺยคฺฆสทิเส หุตฺวา สรีรวิธูนนาทีนิ กตฺวา ฐิเต วเส น กุรุเต, อตฺตโน วเส วตฺตาเปตุํ น สโกฺกตีติ อโตฺถฯ
Tattha byaggheti byagghasadise hutvā sarīravidhūnanādīni katvā ṭhite vase na kurute, attano vase vattāpetuṃ na sakkotīti attho.
ปุน ชฎิโล ตํ อุสฺสาเหโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –
Puna jaṭilo taṃ ussāhento dve gāthā abhāsi –
๑๗๔.
174.
‘‘กุมฺภีลกา สกุณกา, สงฺฆิโน คณจาริโน;
‘‘Kumbhīlakā sakuṇakā, saṅghino gaṇacārino;
สโมฺมทมานา เอกชฺฌํ, อุปฺปตนฺติ ฑยนฺติ จฯ
Sammodamānā ekajjhaṃ, uppatanti ḍayanti ca.
๑๗๕.
175.
‘‘เตสญฺจ ฑยมานานํ, เอเกตฺถ อปสกฺกติ;
‘‘Tesañca ḍayamānānaṃ, ekettha apasakkati;
ตญฺจ เสโน นิตาเฬติ, เวยฺยคฺฆิเยว สา คตี’’ติฯ
Tañca seno nitāḷeti, veyyagghiyeva sā gatī’’ti.
ตตฺถ กุมฺภีลกาติ เอวํนามกา ขุทฺทกสกุณาฯ อุปฺปตนฺตีติ โคจรํ จรนฺตา อุปฺปตนฺติฯ ฑยนฺติ จาติ โคจรํ คเหตฺวา อากาเสน คจฺฉนฺติฯ เอเกตฺถ อปสกฺกตีติ เอโก เอเตสุ โอสกฺกิตฺวา วา เอกปเสฺสน วา วิสุํ คจฺฉติฯ นิตาเฬตีติ ปหริตฺวา คณฺหาติฯ เวยฺยคฺฆิเยว สา คตีติ พฺยคฺฆานํ เอสาติ เวยฺยคฺฆิ, สมคฺคานํ คจฺฉนฺตานมฺปิ เอสา เอวรูปา คติ พฺยคฺฆานํ คติเยว นาม โหติฯ น หิ สกฺกา สเพฺพหิ เอกโตว คนฺตุํ, ตสฺมา โย เอวํ ตตฺถ เอโก คจฺฉติ, ตํ คณฺหาติฯ
Tattha kumbhīlakāti evaṃnāmakā khuddakasakuṇā. Uppatantīti gocaraṃ carantā uppatanti. Ḍayanti cāti gocaraṃ gahetvā ākāsena gacchanti. Ekettha apasakkatīti eko etesu osakkitvā vā ekapassena vā visuṃ gacchati. Nitāḷetīti paharitvā gaṇhāti. Veyyagghiyeva sā gatīti byagghānaṃ esāti veyyagghi, samaggānaṃ gacchantānampi esā evarūpā gati byagghānaṃ gatiyeva nāma hoti. Na hi sakkā sabbehi ekatova gantuṃ, tasmā yo evaṃ tattha eko gacchati, taṃ gaṇhāti.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘พฺยคฺฆราช ตฺวํ อตฺตโน พลํ น ชานาสิ, มา ภายิ, เกวลํ ตฺวํ นทิตฺวา ปกฺขนฺท, เทฺว เอกโต คจฺฉนฺตา นาม น ภวิสฺสนฺตี’’ติ อุสฺสาเหสิ ฯ โส ตถา อกาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –
Evañca pana vatvā ‘‘byaggharāja tvaṃ attano balaṃ na jānāsi, mā bhāyi, kevalaṃ tvaṃ naditvā pakkhanda, dve ekato gacchantā nāma na bhavissantī’’ti ussāhesi . So tathā akāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –
๑๗๖.
176.
‘‘อุสฺสาหิโต ชฎิเลน, ลุเทฺทนามิสจกฺขุนา;
‘‘Ussāhito jaṭilena, luddenāmisacakkhunā;
ทาฐี ทาฐีสุ ปกฺขนฺติ, มญฺญมาโน ยถา ปุเร’’ติฯ
Dāṭhī dāṭhīsu pakkhanti, maññamāno yathā pure’’ti.
ตตฺถ ทาฐีติ สยํ ทาฐาวุโธ อิตเรสุ ทาฐาวุเธสุ ปกฺขนฺทิฯ ยถา ปุเรติ ยถา ปุเพฺพ มญฺญติ, ตเถว มญฺญมาโนฯ
Tattha dāṭhīti sayaṃ dāṭhāvudho itaresu dāṭhāvudhesu pakkhandi. Yathā pureti yathā pubbe maññati, tatheva maññamāno.
โส กิร คนฺตฺวา ปพฺพตตเล ตาว อฎฺฐาสิฯ สูกรา ‘‘ปุนาคโต สามิ, โจโร’’ติ ตจฺฉสฺส อาโรเจสุํฯ โส ‘‘มา ภายถา’’ติ เต อสฺสาเสตฺวา อุฎฺฐาย ทฺวินฺนํ อาวาฎานํ อนฺตเร ปีฐกาย อฎฺฐาสิฯ พฺยโคฺฆ เวคํ ชเนตฺวา ตจฺฉสูกรํ สนฺธาย ปกฺขนฺทิฯ ตจฺฉสูกโร ปริวตฺติตฺวา ปจฺฉามุโข ปุริมอาวาเฎ ปติฯ พฺยโคฺฆ จ เวคํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกโนฺต คนฺตฺวา สุปฺปปพฺภาเร อาวาเฎ ปติตฺวา ปุญฺชกิโตว อฎฺฐาสิฯ ตจฺฉสูกโร เวเคน อุฎฺฐาย ตสฺส อนฺตรสตฺถิมฺหิ ทาฐํ โอตาเรตฺวา ยาว หทยา ผาเลตฺวา มํสํ ขาทิตฺวา มุเขน ฑํสิตฺวา พหิอาวาเฎ ปาเตตฺวา ‘‘คณฺหถิมํ ทาส’’นฺติ อาหฯ ปฐมาคตา เอกวารเมว ตุโณฺฑตารณมตฺตํ ลภิํสุ, ปจฺฉา อาคตา อลภิตฺวา ‘‘พฺยคฺฆมํสํ นาม กีทิส’’นฺติ วทิํสุฯ ตจฺฉสูกโร อาวาฎา อุตฺตริตฺวา สูกเร โอโลเกตฺวา ‘‘กิํ นุ โข น ตุสฺสถา’’ติ อาหฯ ‘‘สามิ, เอโก ตาว พฺยโคฺฆ คหิโต, อโญฺญ ปเนโก ทสพฺยคฺฆคฺฆนโก อตฺถี’’ติ? ‘‘โก นาเมโส’’ติ? ‘‘พฺยเคฺฆน อาภตาภตมํสํ ขาทโก กูฎชฎิโล’’ติฯ ‘‘เตน หิ เอถ, คณฺหิสฺสาม น’’นฺติ เตหิ สทฺธิํ เวเคน ปกฺขนฺทิฯ
So kira gantvā pabbatatale tāva aṭṭhāsi. Sūkarā ‘‘punāgato sāmi, coro’’ti tacchassa ārocesuṃ. So ‘‘mā bhāyathā’’ti te assāsetvā uṭṭhāya dvinnaṃ āvāṭānaṃ antare pīṭhakāya aṭṭhāsi. Byaggho vegaṃ janetvā tacchasūkaraṃ sandhāya pakkhandi. Tacchasūkaro parivattitvā pacchāmukho purimaāvāṭe pati. Byaggho ca vegaṃ sandhāretuṃ asakkonto gantvā suppapabbhāre āvāṭe patitvā puñjakitova aṭṭhāsi. Tacchasūkaro vegena uṭṭhāya tassa antarasatthimhi dāṭhaṃ otāretvā yāva hadayā phāletvā maṃsaṃ khāditvā mukhena ḍaṃsitvā bahiāvāṭe pātetvā ‘‘gaṇhathimaṃ dāsa’’nti āha. Paṭhamāgatā ekavārameva tuṇḍotāraṇamattaṃ labhiṃsu, pacchā āgatā alabhitvā ‘‘byagghamaṃsaṃ nāma kīdisa’’nti vadiṃsu. Tacchasūkaro āvāṭā uttaritvā sūkare oloketvā ‘‘kiṃ nu kho na tussathā’’ti āha. ‘‘Sāmi, eko tāva byaggho gahito, añño paneko dasabyagghagghanako atthī’’ti? ‘‘Ko nāmeso’’ti? ‘‘Byagghena ābhatābhatamaṃsaṃ khādako kūṭajaṭilo’’ti. ‘‘Tena hi etha, gaṇhissāma na’’nti tehi saddhiṃ vegena pakkhandi.
ชฎิโล ‘‘พฺยโคฺฆ จิรายตี’’ติ ตสฺส อาคมนมคฺคํ โอโลเกโนฺต พหู สูกเร อาคจฺฉเนฺต ทิสฺวา ‘‘อิเม พฺยคฺฆํ มาเรตฺวา มม มารณตฺถาย อาคจฺฉนฺติ มเญฺญ’’ติ ปลายิตฺวา เอกํ อุทุมฺพรรุกฺขํ อภิรุหิฯ สูกรา ‘‘เอส รุกฺขํ อารุโฬฺห’’ติ วทิํสุฯ ‘‘กิํ รุกฺข’’นฺติฯ ‘‘อุทุมฺพรรุกฺข’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ มา จินฺตยิตฺถ, อิทานิ นํ คณฺหิสฺสามา’’ติ ตรุณสูกเร ปโกฺกสิตฺวา รุกฺขมูลตา ปํสุํ อปพฺยูหาเปสิ, สูกรีหิ มุขปูรํ อุทกํ อาหราเปสิ, มหาทาฐสูกเรหิ สมนฺตา มูลานิ ฉินฺทาเปสิฯ เอกํ อุชุกํ โอติณฺณมูลเมว อฎฺฐาสิฯ ตโต เสสสูกเร ‘‘ตุเมฺห อเปถา’’ติ อุสฺสาเรตฺวา ชณฺณุเกหิ ปติฎฺฐหิตฺวา ทาฐาย มูลํ ปหริ, ผรสุนา ปหฎํ วิย ฉิชฺชิตฺวา คตํฯ รุโกฺข ปริวตฺติตฺวา ปติฯ ตํ กูฎชฎิลํ ปตนฺตเมว สมฺปฎิจฺฉิตฺวา มํสํ ภเกฺขสุํฯ ตํ อจฺฉริยํ ทิสฺวา รุกฺขเทวตา คาถมาห –
Jaṭilo ‘‘byaggho cirāyatī’’ti tassa āgamanamaggaṃ olokento bahū sūkare āgacchante disvā ‘‘ime byagghaṃ māretvā mama māraṇatthāya āgacchanti maññe’’ti palāyitvā ekaṃ udumbararukkhaṃ abhiruhi. Sūkarā ‘‘esa rukkhaṃ āruḷho’’ti vadiṃsu. ‘‘Kiṃ rukkha’’nti. ‘‘Udumbararukkha’’nti. ‘‘Tena hi mā cintayittha, idāni naṃ gaṇhissāmā’’ti taruṇasūkare pakkositvā rukkhamūlatā paṃsuṃ apabyūhāpesi, sūkarīhi mukhapūraṃ udakaṃ āharāpesi, mahādāṭhasūkarehi samantā mūlāni chindāpesi. Ekaṃ ujukaṃ otiṇṇamūlameva aṭṭhāsi. Tato sesasūkare ‘‘tumhe apethā’’ti ussāretvā jaṇṇukehi patiṭṭhahitvā dāṭhāya mūlaṃ pahari, pharasunā pahaṭaṃ viya chijjitvā gataṃ. Rukkho parivattitvā pati. Taṃ kūṭajaṭilaṃ patantameva sampaṭicchitvā maṃsaṃ bhakkhesuṃ. Taṃ acchariyaṃ disvā rukkhadevatā gāthamāha –
๑๗๗.
177.
‘‘สาธุ สมฺพหุลา ญาตี, อปิ รุกฺขา อรญฺญชา;
‘‘Sādhu sambahulā ñātī, api rukkhā araññajā;
สูกเรหิ สมเคฺคหิ, พฺยโคฺฆ เอกายเน หโต’’ติฯ
Sūkarehi samaggehi, byaggho ekāyane hato’’ti.
ตตฺถ เอกายเน หโตติ เอกคมนสฺมิํเยว หโตฯ
Tattha ekāyane hatoti ekagamanasmiṃyeva hato.
อุภินฺนํ ปน เนสํ หตภาวํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อิตรํ คาถมาห –
Ubhinnaṃ pana nesaṃ hatabhāvaṃ pakāsento satthā itaraṃ gāthamāha –
๑๗๘.
178.
‘‘พฺราหฺมณเญฺจว พฺยคฺฆญฺจ, อุโภ หนฺตฺวาน สูกรา;
‘‘Brāhmaṇañceva byagghañca, ubho hantvāna sūkarā;
อานนฺทิโน ปมุทิตา, มหานาทํ ปนาทิสุ’’นฺติฯ
Ānandino pamuditā, mahānādaṃ panādisu’’nti.
ปุน ตจฺฉสูกโร เต ปุจฺฉิ ‘‘อเญฺญปิ โว อมิตฺตา อตฺถี’’ติ? สูกรา ‘‘นตฺถิ, สามี’’ติ วตฺวา ‘‘ตํ อภิสิญฺจิตฺวา ราชานํ กริสฺสามา’’ติ อุทกํ ปริเยสนฺตา ชฎิลสฺส ปานียสงฺขํ ทิสฺวา ตํ ทกฺขิณาวฎฺฎํ สงฺขรตนํ ปูเรตฺวา อุทกํ อภิหริตฺวา ตจฺฉสูกรํ อุทุมฺพรรุกฺขมูเลเยว อภิสิญฺจิํสุฯ อภิเสกอุทกํ อาสิตฺตํ, สูกริเมวสฺส อคฺคมเหสิํ กริํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย อุทุมฺพรภทฺทปีเฐ นิสีทาเปตฺวา ทกฺขิณาวฎฺฎสเงฺขน อภิเสกกรณํ ปวตฺตํฯ ตมฺปิ อตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา โอสานคาถมาห –
Puna tacchasūkaro te pucchi ‘‘aññepi vo amittā atthī’’ti? Sūkarā ‘‘natthi, sāmī’’ti vatvā ‘‘taṃ abhisiñcitvā rājānaṃ karissāmā’’ti udakaṃ pariyesantā jaṭilassa pānīyasaṅkhaṃ disvā taṃ dakkhiṇāvaṭṭaṃ saṅkharatanaṃ pūretvā udakaṃ abhiharitvā tacchasūkaraṃ udumbararukkhamūleyeva abhisiñciṃsu. Abhisekaudakaṃ āsittaṃ, sūkarimevassa aggamahesiṃ kariṃsu. Tato paṭṭhāya udumbarabhaddapīṭhe nisīdāpetvā dakkhiṇāvaṭṭasaṅkhena abhisekakaraṇaṃ pavattaṃ. Tampi atthaṃ pakāsento satthā osānagāthamāha –
๑๗๙.
179.
‘‘เต สุ อุทุมฺพรมูลสฺมิํ, สูกรา สุสมาคตา;
‘‘Te su udumbaramūlasmiṃ, sūkarā susamāgatā;
ตจฺฉกํ อภิสิญฺจิํสุ, ตฺวํ โน ราชาสิ อิสฺสโร’’ติฯ
Tacchakaṃ abhisiñciṃsu, tvaṃ no rājāsi issaro’’ti.
ตตฺถ เต สูติ เต สูกรา, สุ-กาโร นิปาตมตฺตํฯ อุทุมฺพรมูลสฺมินฺติ อุทุมฺพรสฺส มูเลฯ
Tattha te sūti te sūkarā, su-kāro nipātamattaṃ. Udumbaramūlasminti udumbarassa mūle.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ ธนุคฺคหติสฺสเตฺถโร ยุทฺธสํวิทหเน เฉโกเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา กูฎชฎิโล เทวทโตฺต อโหสิ, ตจฺฉสูกโร ธนุคฺคหติโสฺส, รุกฺขเทวตา ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi dhanuggahatissatthero yuddhasaṃvidahane chekoyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā kūṭajaṭilo devadatto ahosi, tacchasūkaro dhanuggahatisso, rukkhadevatā pana ahameva ahosi’’nti.
ตจฺฉสูกรชาตกวณฺณนา นวมาฯ
Tacchasūkarajātakavaṇṇanā navamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๙๒. ตจฺฉสูกรชาตกํ • 492. Tacchasūkarajātakaṃ