Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๔๔๖] ๘. ตกฺกลชาตกวณฺณนา

    [446] 8. Takkalajātakavaṇṇanā

    น ตกฺกลา สนฺติ น อาลุวานีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ ปิตุโปสกํ อุปาสกํ อารพฺภ กเถสิฯ โส กิร ทลิทฺทกุเล ปจฺจาชาโต มาตริ กาลกตาย ปาโตว อุฎฺฐาย ทนฺตกฎฺฐมุโขทกทานาทีนิ กโรโนฺต ภติํ วา กสิํ วา กตฺวา ลทฺธวิภวานุรูเปน ยาคุภตฺตาทีนิ สมฺปาเทตฺวา ปิตรํ โปเสสิฯ อถ นํ ปิตา อาห – ‘‘ตาต, ตฺวํ เอกโกว อโนฺต จ พหิ จ กตฺตพฺพํ กโรสิ, เอกํ เต กุลทาริกํ อาเนสฺสามิ, สา เต เคเห กตฺตพฺพํ กริสฺสตี’’ติฯ ‘‘ตาต, อิตฺถิโย นาม ฆรํ อาคตา เนว มยฺหํ, น ตุมฺหากํ จิตฺตสุขํ กริสฺสนฺติ, มา เอวรูปํ จินฺตยิตฺถ, อหํ ยาวชีวํ ตุเมฺห โปเสตฺวา ตุมฺหากํ อจฺจเยน ชานิสฺสามี’’ติฯ อถสฺส ปิตา อนิจฺฉมานเสฺสว เอกํ กุมาริกํ อาเนสิฯ สา สสุรสฺส จ สามิกสฺส จ อุปการิกา อโหสิ นีจวุตฺติฯ สามิโกปิสฺสา ‘‘มม ปิตุ อุปการิกา’’ติ ตุสฺสิตฺวา ลทฺธํ ลทฺธํ มนาปํ อาหริตฺวา เทติ, สาปิ ตํ สสุรเสฺสว อุปนาเมสิฯ สา อปรภาเค จิเนฺตสิ ‘‘มยฺหํ สามิโก ลทฺธํ ลทฺธํ ปิตุ อทตฺวา มยฺหเมว เทติ, อทฺธา ปิตริ นิเสฺนโห ชาโต, อิมํ มหลฺลกํ เอเกนุปาเยน มม สามิกสฺส ปฎิกฺกูลํ กตฺวา เคหา นิกฺกฑฺฒาเปสฺสามี’’ติฯ

    Na takkalā santi na āluvānīti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ pituposakaṃ upāsakaṃ ārabbha kathesi. So kira daliddakule paccājāto mātari kālakatāya pātova uṭṭhāya dantakaṭṭhamukhodakadānādīni karonto bhatiṃ vā kasiṃ vā katvā laddhavibhavānurūpena yāgubhattādīni sampādetvā pitaraṃ posesi. Atha naṃ pitā āha – ‘‘tāta, tvaṃ ekakova anto ca bahi ca kattabbaṃ karosi, ekaṃ te kuladārikaṃ ānessāmi, sā te gehe kattabbaṃ karissatī’’ti. ‘‘Tāta, itthiyo nāma gharaṃ āgatā neva mayhaṃ, na tumhākaṃ cittasukhaṃ karissanti, mā evarūpaṃ cintayittha, ahaṃ yāvajīvaṃ tumhe posetvā tumhākaṃ accayena jānissāmī’’ti. Athassa pitā anicchamānasseva ekaṃ kumārikaṃ ānesi. Sā sasurassa ca sāmikassa ca upakārikā ahosi nīcavutti. Sāmikopissā ‘‘mama pitu upakārikā’’ti tussitvā laddhaṃ laddhaṃ manāpaṃ āharitvā deti, sāpi taṃ sasurasseva upanāmesi. Sā aparabhāge cintesi ‘‘mayhaṃ sāmiko laddhaṃ laddhaṃ pitu adatvā mayhameva deti, addhā pitari nisneho jāto, imaṃ mahallakaṃ ekenupāyena mama sāmikassa paṭikkūlaṃ katvā gehā nikkaḍḍhāpessāmī’’ti.

    สา ตโต ปฎฺฐาย อุทกํ อติสีตํ วา อจฺจุณฺหํ วา, อาหารํ อติโลณํ วา อโลณํ วา , ภตฺตํ อุตฺตณฺฑุลํ วา อติกิลินฺนํ วาติ เอวมาทีนิ ตสฺส โกธุปฺปตฺติการณานิ กตฺวา ตสฺมิํ กุชฺฌเนฺต ‘‘โก อิมํ มหลฺลกํ อุปฎฺฐาตุํ สกฺขิสฺสตี’’ติ ผรุสานิ วตฺวา กลหํ วเฑฺฒสิฯ ตตฺถ ตตฺถ เขฬปิณฺฑาทีนิ ฉเฑฺฑตฺวาปิ สามิกํ อุชฺฌาเปสิ ‘‘ปสฺส ปิตุ กมฺมํ, ‘อิทญฺจิทญฺจ มา กรี’ติ วุเตฺต กุชฺฌติ, อิมสฺมิํ เคเห ปิตรํ วา วสาเปหิ มํ วา’’ติฯ อถ นํ โส ‘‘ภเทฺท, ตฺวํ ทหรา ยตฺถ กตฺถจิ ชีวิตุํ สกฺขิสฺสสิ, มยฺหํ ปิตา มหลฺลโก, ตฺวํ ตสฺส อสหนฺตี อิมมฺหา เคหา นิกฺขมา’’ติ อาหฯ สา ภีตา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย เอวํ น กริสฺสามี’’ติ สสุรสฺส ปาเทสุ ปติตฺวา ขมาเปตฺวา ปกตินิยาเมเนว ปฎิชคฺคิตุํ อารภิฯ อถ โส อุปาสโก ปุริมทิวเสสุ ตาย อุพฺพาโฬฺห สตฺถุ สนฺติกํ ธมฺมสฺสวนาย อคนฺตฺวา ตสฺสา ปกติยา ปติฎฺฐิตกาเล อคมาสิฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘กิํ, อุปาสก, สตฺตฎฺฐ ทิวสานิ ธมฺมสฺสวนาย นาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ตํ การณํ กเถสิฯ สตฺถา ‘‘อิทานิ ตาว ตสฺสา กถํ อคฺคเหตฺวา ปิตรํ น นีหราเปสิ, ปุเพฺพ ปน เอติสฺสา กถํ คเหตฺวา ปิตรํ อามกสุสานํ เนตฺวา อาวาฎํ ขณิตฺวา ตตฺถ นํ ปกฺขิปิตฺวา มารณกาเล อหํ สตฺตวสฺสิโก หุตฺวา มาตาปิตูนํ คุณํ กเถตฺวา ปิตุฆาตกกมฺมา นิวาเรสิํ, ตทา ตฺวํ มม กถํ สุตฺวา ตว ปิตรํ ยาวชีวํ ปฎิชคฺคิตฺวา สคฺคปรายโณ ชาโต, สฺวายํ มยา ทิโนฺน โอวาโท ภวนฺตรคตมฺปิ น วิชหติ, อิมินา การเณน ตสฺสา กถํ อคฺคเหตฺวา อิทานิ ตยา ปิตา น นีหโฎ’’ติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Sā tato paṭṭhāya udakaṃ atisītaṃ vā accuṇhaṃ vā, āhāraṃ atiloṇaṃ vā aloṇaṃ vā , bhattaṃ uttaṇḍulaṃ vā atikilinnaṃ vāti evamādīni tassa kodhuppattikāraṇāni katvā tasmiṃ kujjhante ‘‘ko imaṃ mahallakaṃ upaṭṭhātuṃ sakkhissatī’’ti pharusāni vatvā kalahaṃ vaḍḍhesi. Tattha tattha kheḷapiṇḍādīni chaḍḍetvāpi sāmikaṃ ujjhāpesi ‘‘passa pitu kammaṃ, ‘idañcidañca mā karī’ti vutte kujjhati, imasmiṃ gehe pitaraṃ vā vasāpehi maṃ vā’’ti. Atha naṃ so ‘‘bhadde, tvaṃ daharā yattha katthaci jīvituṃ sakkhissasi, mayhaṃ pitā mahallako, tvaṃ tassa asahantī imamhā gehā nikkhamā’’ti āha. Sā bhītā ‘‘ito paṭṭhāya evaṃ na karissāmī’’ti sasurassa pādesu patitvā khamāpetvā pakatiniyāmeneva paṭijaggituṃ ārabhi. Atha so upāsako purimadivasesu tāya ubbāḷho satthu santikaṃ dhammassavanāya agantvā tassā pakatiyā patiṭṭhitakāle agamāsi. Atha naṃ satthā ‘‘kiṃ, upāsaka, sattaṭṭha divasāni dhammassavanāya nāgatosī’’ti pucchi. So taṃ kāraṇaṃ kathesi. Satthā ‘‘idāni tāva tassā kathaṃ aggahetvā pitaraṃ na nīharāpesi, pubbe pana etissā kathaṃ gahetvā pitaraṃ āmakasusānaṃ netvā āvāṭaṃ khaṇitvā tattha naṃ pakkhipitvā māraṇakāle ahaṃ sattavassiko hutvā mātāpitūnaṃ guṇaṃ kathetvā pitughātakakammā nivāresiṃ, tadā tvaṃ mama kathaṃ sutvā tava pitaraṃ yāvajīvaṃ paṭijaggitvā saggaparāyaṇo jāto, svāyaṃ mayā dinno ovādo bhavantaragatampi na vijahati, iminā kāraṇena tassā kathaṃ aggahetvā idāni tayā pitā na nīhaṭo’’ti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต อญฺญตรสฺมิํ กาสิคาเม เอกสฺส กุลสฺส ฆเร เอกปุตฺตโก อโหสิ นาเมน สวิฎฺฐโก นามฯ โส มาตาปิตโร ปฎิชคฺคโนฺต อปรภาเค มาตริ กาลกตาย ปิตรํ โปเสสีติ สพฺพํ วตฺถุ ปจฺจุปฺปนฺนวตฺถุนิยาเมเนว กเถตพฺพํฯ อยํ ปเนตฺถ วิเสโสฯ ตทา สา อิตฺถี ‘‘ปสฺส ปิตุ กมฺมํ, ‘อิทญฺจิทญฺจ มา กรี’ติ วุเตฺต กุชฺฌตี’’ติ วตฺวา ‘‘สามิ, ปิตา เต จโณฺฑ ผรุโส นิจฺจํ กลหํ กโรติ, ชราชิโณฺณ พฺยาธิปีฬิโต น จิรเสฺสว มริสฺสติ, อหญฺจ เอเตน สทฺธิํ เอกเคเห วสิตุํ น สโกฺกมิ, สยเมฺปส กติปาเหน มริสฺสติเยว, ตฺวํ เอตํ อามกสุสานํ เนตฺวา อาวาฎํ ขณิตฺวา ตตฺถ นํ ปกฺขิปิตฺวา กุทฺทาเลน สีสํ ฉินฺทิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา อุปริ ปํสุนา ฉาเทตฺวา อาคจฺฉาหี’’ติ อาหฯ โส ตาย ปุนปฺปุนํ วุจฺจมาโน ‘‘ภเทฺท, ปุริสมารณํ นาม ภาริยํ, กถํ นํ มาเรสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘อหํ เต อุปายํ อาจิกฺขิสฺสามี’’ติฯ ‘‘อาจิกฺข ตาวา’’ติฯ ‘‘สามิ, ตฺวํ ปจฺจูสกาเล ปิตุ นิสินฺนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ยถา สเพฺพ สุณนฺติ, เอวํ มหาสทฺทํ กตฺวา ‘ตาต, อสุกคาเม ตุมฺหากํ อุทฺธารณโก อตฺถิ, มยิ คเต น เทติ, ตุมฺหากํ อจฺจเยน น ทสฺสเตว, เสฺว ยานเก นิสีทิตฺวา ปาโตว คจฺฉิสฺสามา’ติ วตฺวา เตน วุตฺตเวลายเมว อุฎฺฐาย ยานกํ โยเชตฺวา ตตฺถ นิสีทาเปตฺวา อามกสุสานํ เนตฺวา อาวาฎํ ขณิตฺวา โจเรหิ อจฺฉินฺนสทฺทํ กตฺวา มาเรตฺวา อาวาเฎ ปกฺขิปิตฺวา สีสํ ฉินฺทิตฺวา นฺหายิตฺวา อาคจฺฉา’’ติฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente aññatarasmiṃ kāsigāme ekassa kulassa ghare ekaputtako ahosi nāmena saviṭṭhako nāma. So mātāpitaro paṭijagganto aparabhāge mātari kālakatāya pitaraṃ posesīti sabbaṃ vatthu paccuppannavatthuniyāmeneva kathetabbaṃ. Ayaṃ panettha viseso. Tadā sā itthī ‘‘passa pitu kammaṃ, ‘idañcidañca mā karī’ti vutte kujjhatī’’ti vatvā ‘‘sāmi, pitā te caṇḍo pharuso niccaṃ kalahaṃ karoti, jarājiṇṇo byādhipīḷito na cirasseva marissati, ahañca etena saddhiṃ ekagehe vasituṃ na sakkomi, sayampesa katipāhena marissatiyeva, tvaṃ etaṃ āmakasusānaṃ netvā āvāṭaṃ khaṇitvā tattha naṃ pakkhipitvā kuddālena sīsaṃ chinditvā jīvitakkhayaṃ pāpetvā upari paṃsunā chādetvā āgacchāhī’’ti āha. So tāya punappunaṃ vuccamāno ‘‘bhadde, purisamāraṇaṃ nāma bhāriyaṃ, kathaṃ naṃ māressāmī’’ti āha. ‘‘Ahaṃ te upāyaṃ ācikkhissāmī’’ti. ‘‘Ācikkha tāvā’’ti. ‘‘Sāmi, tvaṃ paccūsakāle pitu nisinnaṭṭhānaṃ gantvā yathā sabbe suṇanti, evaṃ mahāsaddaṃ katvā ‘tāta, asukagāme tumhākaṃ uddhāraṇako atthi, mayi gate na deti, tumhākaṃ accayena na dassateva, sve yānake nisīditvā pātova gacchissāmā’ti vatvā tena vuttavelāyameva uṭṭhāya yānakaṃ yojetvā tattha nisīdāpetvā āmakasusānaṃ netvā āvāṭaṃ khaṇitvā corehi acchinnasaddaṃ katvā māretvā āvāṭe pakkhipitvā sīsaṃ chinditvā nhāyitvā āgacchā’’ti.

    สวิฎฺฐโก ‘‘อเตฺถส อุปาโย’’ติ ตสฺสา วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ยานกํ คมนสชฺชํ อกาสิฯ ตสฺส ปเนโก สตฺตวสฺสิโก ปุโตฺต อตฺถิ ปณฺฑิโต พฺยโตฺตฯ โส มาตุ วจนํ สุตฺวา ‘‘มยฺหํ มาตา ปาปธมฺมา ปิตรํ เม ปิตุฆาตกมฺมํ กาเรติ, อหํ อิมสฺส ปิตุฆาตกมฺมํ กาตุํ น ทสฺสามี’’ติ สณิกํ คนฺตฺวา อยฺยเกน สทฺธิํ นิปชฺชิฯ สวิฎฺฐโกปิ อิตราย วุตฺตเวลาย ยานกํ โยเชตฺวา ‘‘เอหิ, ตาต, อุทฺธารํ โสเธสฺสามา’’ติ ปิตรํ ยานเก นิสีทาเปสิฯ กุมาโรปิ ปฐมตรํ ยานกํ อภิรุหิฯ สวิฎฺฐโก ตํ นิวาเรตุํ อสโกฺกโนฺต เตเนว สทฺธิํ อามกสุสานํ คนฺตฺวา ปิตรญฺจ กุมารเกน สทฺธิํ เอกมเนฺต ฐเปตฺวา สยํ โอตริตฺวา กุทฺทาลปิฎกํ อาทาย เอกสฺมิํ ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐาเน จตุรสฺสาวาฎํ ขณิตุํ อารภิฯ กุมารโก โอตริตฺวา ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา อชานโนฺต วิย กถํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ปฐมํ คาถมาห –

    Saviṭṭhako ‘‘atthesa upāyo’’ti tassā vacanaṃ sampaṭicchitvā yānakaṃ gamanasajjaṃ akāsi. Tassa paneko sattavassiko putto atthi paṇḍito byatto. So mātu vacanaṃ sutvā ‘‘mayhaṃ mātā pāpadhammā pitaraṃ me pitughātakammaṃ kāreti, ahaṃ imassa pitughātakammaṃ kātuṃ na dassāmī’’ti saṇikaṃ gantvā ayyakena saddhiṃ nipajji. Saviṭṭhakopi itarāya vuttavelāya yānakaṃ yojetvā ‘‘ehi, tāta, uddhāraṃ sodhessāmā’’ti pitaraṃ yānake nisīdāpesi. Kumāropi paṭhamataraṃ yānakaṃ abhiruhi. Saviṭṭhako taṃ nivāretuṃ asakkonto teneva saddhiṃ āmakasusānaṃ gantvā pitarañca kumārakena saddhiṃ ekamante ṭhapetvā sayaṃ otaritvā kuddālapiṭakaṃ ādāya ekasmiṃ paṭicchannaṭṭhāne caturassāvāṭaṃ khaṇituṃ ārabhi. Kumārako otaritvā tassa santikaṃ gantvā ajānanto viya kathaṃ samuṭṭhāpetvā paṭhamaṃ gāthamāha –

    ๘๒.

    82.

    ‘‘น ตกฺกลา สนฺติ น อาลุวานิ, น พิฬาลิโย น กฬมฺพานิ ตาต;

    ‘‘Na takkalā santi na āluvāni, na biḷāliyo na kaḷambāni tāta;

    เอโก อรญฺญมฺหิ สุสานมเชฺฌ, กิมตฺถิโก ตาต ขณาสิ กาสุ’’นฺติฯ

    Eko araññamhi susānamajjhe, kimatthiko tāta khaṇāsi kāsu’’nti.

    ตตฺถ น ตกฺกลา สนฺตีติ ปิณฺฑาลุกนฺทา น สนฺติฯ อาลุวานีติ อาลุวกนฺทาฯ พิฬาลิโยติ พิฬาริวลฺลิกนฺทาฯ กฬมฺพานีติ ตาลกนฺทาฯ

    Tattha na takkalā santīti piṇḍālukandā na santi. Āluvānīti āluvakandā. Biḷāliyoti biḷārivallikandā. Kaḷambānīti tālakandā.

    อถสฺส ปิตา ทุติยํ คาถมาห –

    Athassa pitā dutiyaṃ gāthamāha –

    ๘๓.

    83.

    ‘‘ปิตามโห ตาต สุทุพฺพโล เต, อเนกพฺยาธีหิ ทุเขน ผุโฎฺฐ;

    ‘‘Pitāmaho tāta sudubbalo te, anekabyādhīhi dukhena phuṭṭho;

    ตมชฺชหํ นิขณิสฺสามิ โสเพฺภ, น หิสฺส ตํ ชีวิตํ โรจยามี’’ติฯ

    Tamajjahaṃ nikhaṇissāmi sobbhe, na hissa taṃ jīvitaṃ rocayāmī’’ti.

    ตตฺถ อเนกพฺยาธีหีติ อเนเกหิ พฺยาธีหิ อุปฺปเนฺนน ทุเกฺขน ผุโฎฺฐฯ น หิสฺส ตนฺติ อหญฺหิ ตสฺส ตว ปิตามหสฺส ตํ ทุชฺชีวิตํ น อิจฺฉามิ, ‘‘เอวรูปา ชีวิตา มรณเมวสฺส วร’’นฺติ มญฺญมาโน ตํ โสเพฺภ นิขณิสฺสามีติฯ

    Tattha anekabyādhīhīti anekehi byādhīhi uppannena dukkhena phuṭṭho. Na hissa tanti ahañhi tassa tava pitāmahassa taṃ dujjīvitaṃ na icchāmi, ‘‘evarūpā jīvitā maraṇamevassa vara’’nti maññamāno taṃ sobbhe nikhaṇissāmīti.

    ตํ สุตฺวา กุมาโร อุปฑฺฒํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā kumāro upaḍḍhaṃ gāthamāha –

    ๘๔.

    84.

    ‘‘สงฺกปฺปเมตํ ปฎิลทฺธ ปาปกํ, อจฺจาหิตํ กมฺม กโรสิ ลุทฺท’’นฺติฯ

    ‘‘Saṅkappametaṃ paṭiladdha pāpakaṃ, accāhitaṃ kamma karosi ludda’’nti.

    ตสฺสโตฺถ – ตาต, ตฺวํ ‘‘ปีตรํ ทุกฺขา ปโมเจสฺสามี’’ติ มรณทุเกฺขน โยเชโนฺต เอตํ ปาปกํ สงฺกปฺปํ ปฎิลทฺธา ตสฺส จ สงฺกปฺปวเสน หิตํ อติกฺกมฺม ฐิตตฺตา อจฺจาหิตํ กมฺมํ กโรสิ ลุทฺทนฺติฯ

    Tassattho – tāta, tvaṃ ‘‘pītaraṃ dukkhā pamocessāmī’’ti maraṇadukkhena yojento etaṃ pāpakaṃ saṅkappaṃ paṭiladdhā tassa ca saṅkappavasena hitaṃ atikkamma ṭhitattā accāhitaṃ kammaṃ karosi luddanti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา กุมาโร ปิตุ หตฺถโต กุทฺทาลํ คเหตฺวา อวิทูเร อญฺญตรํ อาวาฎํ ขณิตุํ อารภิฯ อถ นํ ปิตา อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘กสฺมา, ตาต, อาวาฎํ ขณสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ตสฺส กเถโนฺต ตติยํ คาถมาห –

    Evañca pana vatvā kumāro pitu hatthato kuddālaṃ gahetvā avidūre aññataraṃ āvāṭaṃ khaṇituṃ ārabhi. Atha naṃ pitā upasaṅkamitvā ‘‘kasmā, tāta, āvāṭaṃ khaṇasī’’ti pucchi. So tassa kathento tatiyaṃ gāthamāha –

    ‘‘มยาปิ ตาต ปฎิลจฺฉเส ตุวํ, เอตาทิสํ กมฺม ชรูปนีโต;

    ‘‘Mayāpi tāta paṭilacchase tuvaṃ, etādisaṃ kamma jarūpanīto;

    ตํ กุลฺลวตฺตํ อนุวตฺตมาโน, อหมฺปิ ตํ นิขณิสฺสามิ โสเพฺภ’’ติฯ

    Taṃ kullavattaṃ anuvattamāno, ahampi taṃ nikhaṇissāmi sobbhe’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ตาต, อหมฺปิ เอตสฺมิํ โสเพฺภ ตํ มหลฺลกกาเล นิขณิสฺสามิ, อิติ โข ตาต, มยาปิ กเต อิมสฺมิํ โสเพฺภ ตุวํ ชรูปนีโต เอตาทิสํ กมฺมํ ปฎิลจฺฉเส, ยํ เอตํ ตยา ปวตฺติตํ กุลวตฺตํ, ตํ อนุวตฺตมาโน วยปฺปโตฺต ภริยาย สทฺธิํ วสโนฺต อหมฺปิ ตํ นิขณิสฺสามิ โสเพฺภติฯ

    Tassattho – tāta, ahampi etasmiṃ sobbhe taṃ mahallakakāle nikhaṇissāmi, iti kho tāta, mayāpi kate imasmiṃ sobbhe tuvaṃ jarūpanīto etādisaṃ kammaṃ paṭilacchase, yaṃ etaṃ tayā pavattitaṃ kulavattaṃ, taṃ anuvattamāno vayappatto bhariyāya saddhiṃ vasanto ahampi taṃ nikhaṇissāmi sobbheti.

    อถสฺส ปิตา จตุตฺถํ คาถมาห –

    Athassa pitā catutthaṃ gāthamāha –

    ๘๕.

    85.

    ‘‘ผรุสาหิ วาจาหิ ปกุพฺพมาโน, อาสชฺช มํ ตฺวํ วทเส กุมาร;

    ‘‘Pharusāhi vācāhi pakubbamāno, āsajja maṃ tvaṃ vadase kumāra;

    ปุโตฺต มมํ โอรสโก สมาโน, อหีตานุกมฺปี มม ตฺวํสิ ปุตฺตา’’ติฯ

    Putto mamaṃ orasako samāno, ahītānukampī mama tvaṃsi puttā’’ti.

    ตตฺถ ปกุพฺพมาโนติ อภิภวโนฺตฯ อาสชฺชาติ ฆเฎฺฎตฺวาฯ

    Tattha pakubbamānoti abhibhavanto. Āsajjāti ghaṭṭetvā.

    เอวํ วุเตฺต ปณฺฑิตกุมารโก เอกํ ปฎิวจนคาถํ, เทฺว อุทานคาถาติ ติโสฺส คาถา อภาสิ –

    Evaṃ vutte paṇḍitakumārako ekaṃ paṭivacanagāthaṃ, dve udānagāthāti tisso gāthā abhāsi –

    ๘๖.

    86.

    ‘‘น ตาหํ ตาต อหิตานุกมฺปี, หิตานุกมฺปี เต อหมฺปิ ตาต;

    ‘‘Na tāhaṃ tāta ahitānukampī, hitānukampī te ahampi tāta;

    ปาปญฺจ ตํ กมฺม ปกุพฺพมานํ, อรหามิ โน วารยิตุํ ตโตฯ

    Pāpañca taṃ kamma pakubbamānaṃ, arahāmi no vārayituṃ tato.

    ๘๗.

    87.

    ‘‘โย มาตรํ วา ปิตรํ สวิฎฺฐ, อทูสเก หิํสติ ปาปธโมฺม;

    ‘‘Yo mātaraṃ vā pitaraṃ saviṭṭha, adūsake hiṃsati pāpadhammo;

    กายสฺส เภทา อภิสมฺปรายํ, อสํสยํ โส นิรยํ อุเปติฯ

    Kāyassa bhedā abhisamparāyaṃ, asaṃsayaṃ so nirayaṃ upeti.

    ๘๘.

    88.

    ‘‘โย มาตรํ วา ปิตรํ สวิฎฺฐ, อเนฺนน ปาเนน อุปฎฺฐหาติ;

    ‘‘Yo mātaraṃ vā pitaraṃ saviṭṭha, annena pānena upaṭṭhahāti;

    กายสฺส เภทา อภิสมฺปรายํ, อสํสยํ โส สุคติํ อุเปตี’’ติฯ –

    Kāyassa bhedā abhisamparāyaṃ, asaṃsayaṃ so sugatiṃ upetī’’ti. –

    อิมํ ปน ปุตฺตสฺส ธมฺมกถํ สุตฺวา ปิตา อฎฺฐมํ คาถมาห –

    Imaṃ pana puttassa dhammakathaṃ sutvā pitā aṭṭhamaṃ gāthamāha –

    ๘๙.

    89.

    ‘‘น เม ตฺวํ ปุตฺต อหิตานุกมฺปี, หิตานุกมฺปี เม ตฺวํสิ ปุตฺต;

    ‘‘Na me tvaṃ putta ahitānukampī, hitānukampī me tvaṃsi putta;

    อหญฺจ ตํ มาตรา วุจฺจมาโน, เอตาทิสํ กมฺม กโรมิ ลุทฺท’’นฺติฯ

    Ahañca taṃ mātarā vuccamāno, etādisaṃ kamma karomi ludda’’nti.

    ตตฺถ อหญฺจ ตํ มาตราติ อหญฺจ เต มาตรา, อยเมว วา ปาโฐฯ

    Tattha ahañca taṃ mātarāti ahañca te mātarā, ayameva vā pāṭho.

    ตํ สุตฺวา กุมาโร ‘‘ตาต, อิตฺถิโย นาม อุปฺปเนฺน โทเส อนิคฺคยฺหมานา ปุนปฺปุนํ ปาปํ กโรนฺติ, มม มาตา ยถา ปุน เอวรูปํ น กโรติ, ตถา นํ ปณาเมตุํ วฎฺฎตี’’ติ นวมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā kumāro ‘‘tāta, itthiyo nāma uppanne dose aniggayhamānā punappunaṃ pāpaṃ karonti, mama mātā yathā puna evarūpaṃ na karoti, tathā naṃ paṇāmetuṃ vaṭṭatī’’ti navamaṃ gāthamāha –

    ๙๐.

    90.

    ‘‘ยา เต สา ภริยา อนริยรูปา, มาตา มเมสา สกิยา ชเนตฺติ;

    ‘‘Yā te sā bhariyā anariyarūpā, mātā mamesā sakiyā janetti;

    นิทฺธาปเย ตญฺจ สกา อคารา, อญฺญมฺปิ เต สา ทุขมาวเหยฺยา’’ติฯ

    Niddhāpaye tañca sakā agārā, aññampi te sā dukhamāvaheyyā’’ti.

    สวิฎฺฐโก ปณฺฑิตปุตฺตสฺส กถํ สุตฺวา โสมนสฺสชาโต หุตฺวา ‘‘คจฺฉาม, ตาตา’’ติ สทฺธิํ ปุเตฺตน จ ปิตรา จ ยานเก นิสีทิตฺวา ปายาสิฯ สาปิ โข อนาจารา ‘‘นิกฺขนฺตา โน เคหา กาฬกณฺณี’’ติ หฎฺฐตุฎฺฐา อลฺลโคมเยน เคหํ อุปลิเมฺปตฺวา ปายาสํ ปจิตฺวา อาคมนมคฺคํ โอโลเกนฺตี เต อาคจฺฉเนฺต ทิสฺวา ‘‘นิกฺขนฺตํ กาฬกณฺณิํ ปุน คเหตฺวา อาคโต’’ติ กุชฺฌิตฺวา ‘‘อเร นิกติก, นิกฺขนฺตํ กาฬกณฺณิํ ปุน อาทาย อาคโตสี’’ติ ปริภาสิฯ สวิฎฺฐโก กิญฺจิ อวตฺวา ยานกํ โมเจตฺวา ‘‘อนาจาเร กิํ วเทสี’’ติ ตํ สุโกฎฺฎิตํ โกเฎฺฎตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย มา อิมํ เคหํ ปาวิสี’’ติ ปาเท คเหตฺวา นิกฺกฑฺฒิฯ ตโต ปิตรญฺจ ปุตฺตญฺจ นฺหาเปตฺวา สยมฺปิ นฺหายิตฺวา ตโยปิ ปายาสํ ปริภุญฺชิํสุฯ สาปิ ปาปธมฺมา กติปาหํ อญฺญสฺมิํ เคเห วสิฯ ตสฺมิํ กาเล ปุโตฺต ปิตรํ อาห – ‘‘ตาต, มม มาตา เอตฺตเกน น พุชฺฌติ, ตุเมฺห มม มาตุ มงฺกุภาวกรณตฺถํ ‘อสุกคามเก มม มาตุลธีตา อตฺถิ , สา มยฺหํ ปิตรญฺจ ปุตฺตญฺจ มญฺจ ปฎิชคฺคิสฺสติ, ตํ อาเนสฺสามี’ติ วตฺวา มาลาคนฺธาทีนิ อาทาย ยานเกน นิกฺขมิตฺวา เขตฺตํ อนุวิจริตฺวา สายํ อาคจฺฉถา’’ติฯ โส ตถา อกาสิฯ

    Saviṭṭhako paṇḍitaputtassa kathaṃ sutvā somanassajāto hutvā ‘‘gacchāma, tātā’’ti saddhiṃ puttena ca pitarā ca yānake nisīditvā pāyāsi. Sāpi kho anācārā ‘‘nikkhantā no gehā kāḷakaṇṇī’’ti haṭṭhatuṭṭhā allagomayena gehaṃ upalimpetvā pāyāsaṃ pacitvā āgamanamaggaṃ olokentī te āgacchante disvā ‘‘nikkhantaṃ kāḷakaṇṇiṃ puna gahetvā āgato’’ti kujjhitvā ‘‘are nikatika, nikkhantaṃ kāḷakaṇṇiṃ puna ādāya āgatosī’’ti paribhāsi. Saviṭṭhako kiñci avatvā yānakaṃ mocetvā ‘‘anācāre kiṃ vadesī’’ti taṃ sukoṭṭitaṃ koṭṭetvā ‘‘ito paṭṭhāya mā imaṃ gehaṃ pāvisī’’ti pāde gahetvā nikkaḍḍhi. Tato pitarañca puttañca nhāpetvā sayampi nhāyitvā tayopi pāyāsaṃ paribhuñjiṃsu. Sāpi pāpadhammā katipāhaṃ aññasmiṃ gehe vasi. Tasmiṃ kāle putto pitaraṃ āha – ‘‘tāta, mama mātā ettakena na bujjhati, tumhe mama mātu maṅkubhāvakaraṇatthaṃ ‘asukagāmake mama mātuladhītā atthi , sā mayhaṃ pitarañca puttañca mañca paṭijaggissati, taṃ ānessāmī’ti vatvā mālāgandhādīni ādāya yānakena nikkhamitvā khettaṃ anuvicaritvā sāyaṃ āgacchathā’’ti. So tathā akāsi.

    ปฎิวิสฺสกกุเล อิตฺถิโย ‘‘สามิโก กิร เต อญฺญํ ภริยํ อาเนตุํ อสุกคามํ นาม คโต’’ติ ตสฺสา อาจิกฺขิํสุฯ สา ‘‘ทานิมฺหิ นฎฺฐา, นตฺถิ เม ปุน โอกาโส’’ติ ภีตา ตสิตา หุตฺวา ‘‘ปุตฺตเมว ยาจิสฺสามี’’ติ ปณฺฑิตปุตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตสฺส ปาเทสุ ปติตฺวา ‘‘ตาต, ตํ ฐเปตฺวา อโญฺญ มม ปฎิสรณํ นตฺถิ, อิโต ปฎฺฐาย ตว ปิตรญฺจ ปิตามหญฺจ อลงฺกตเจติยํ วิย ปฎิชคฺคิสฺสามิ, ปุน มยฺหํ อิมสฺมิํ ฆเร ปเวสนํ กโรหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธุ, อมฺม, สเจ ปุน เอวรูปํ น กริสฺสถ, กริสฺสามิ, อปฺปมตฺตา โหถา’’ติ วตฺวา ปิตุ อาคตกาเล ทสมํ คาถมาห –

    Paṭivissakakule itthiyo ‘‘sāmiko kira te aññaṃ bhariyaṃ ānetuṃ asukagāmaṃ nāma gato’’ti tassā ācikkhiṃsu. Sā ‘‘dānimhi naṭṭhā, natthi me puna okāso’’ti bhītā tasitā hutvā ‘‘puttameva yācissāmī’’ti paṇḍitaputtassa santikaṃ gantvā tassa pādesu patitvā ‘‘tāta, taṃ ṭhapetvā añño mama paṭisaraṇaṃ natthi, ito paṭṭhāya tava pitarañca pitāmahañca alaṅkatacetiyaṃ viya paṭijaggissāmi, puna mayhaṃ imasmiṃ ghare pavesanaṃ karohī’’ti āha. So ‘‘sādhu, amma, sace puna evarūpaṃ na karissatha, karissāmi, appamattā hothā’’ti vatvā pitu āgatakāle dasamaṃ gāthamāha –

    ๙๑.

    91.

    ‘‘ยา เต สา ภริยา อนริยรูปา, มาตา มเมสา สกิยา ชเนตฺติ;

    ‘‘Yā te sā bhariyā anariyarūpā, mātā mamesā sakiyā janetti;

    ทนฺตา กเรณูว วสูปนีตา, สา ปาปธมฺมา ปุนราวชาตู’’ติฯ

    Dantā kareṇūva vasūpanītā, sā pāpadhammā punarāvajātū’’ti.

    ตตฺถ กเรณูวาติ ตาต, อิทานิ สา อาเนญฺชการณํ การิกา หตฺถินี วิย ทนฺตา วสํ อุปนีตา นิพฺพิเสวนา ชาตาฯ ปุนราคชาตูติ ปุน อิมํ เคหํ อาคจฺฉตูติฯ

    Tattha kareṇūvāti tāta, idāni sā āneñjakāraṇaṃ kārikā hatthinī viya dantā vasaṃ upanītā nibbisevanā jātā. Punarāgajātūti puna imaṃ gehaṃ āgacchatūti.

    เอวํ โส ปิตุ ธมฺมํ กเถตฺวา คนฺตฺวา มาตรํ อาเนสิฯ สา สามิกญฺจ สสุรญฺจ ขมาเปตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ทนฺตา ธเมฺมน สมนฺนาคตา หุตฺวา สามิกญฺจ สสุรญฺจ ปุตฺตญฺจ ปฎิชคฺคิฯ อุโภปิ จ ปุตฺตสฺส โอวาเท ฐตฺวา ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กริตฺวา สคฺคปรายณา อเหสุํฯ

    Evaṃ so pitu dhammaṃ kathetvā gantvā mātaraṃ ānesi. Sā sāmikañca sasurañca khamāpetvā tato paṭṭhāya dantā dhammena samannāgatā hutvā sāmikañca sasurañca puttañca paṭijaggi. Ubhopi ca puttassa ovāde ṭhatvā dānādīni puññāni karitvā saggaparāyaṇā ahesuṃ.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน ปิตุโปสโก โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา ปิตา จ ปุโตฺต จ สุณิสา จ เตเยว อเหสุํ, ปณฺฑิตกุมาโร ปน อหเมว อโหสินฺติฯ

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne pituposako sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā pitā ca putto ca suṇisā ca teyeva ahesuṃ, paṇḍitakumāro pana ahameva ahosinti.

    ตกฺกลชาตกวณฺณนา อฎฺฐมาฯ

    Takkalajātakavaṇṇanā aṭṭhamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๔๖. ตกฺกลชาตกํ • 446. Takkalajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact