Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๘๑] ๘. ตกฺการิยชาตกวณฺณนา
[481] 8. Takkāriyajātakavaṇṇanā
อหเมว ทุพฺภาสิตํ ภาสิ พาโลติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต โกกาลิกํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกสฺมิญฺหิ อโนฺตวเสฺส เทฺว อคฺคสาวกา คณํ ปหาย วิวิตฺตาวาสํ วสิตุกามา สตฺถารํ อาปุจฺฉิตฺวา โกกาลิกรเฎฺฐ โกกาลิกสฺส วสนฎฺฐานํ คนฺตฺวา ตํ เอวมาหํสุ ‘‘อาวุโส โกกาลิก, ตํ นิสฺสาย อมฺหากํ, อเมฺห จ นิสฺสาย ตว ผาสุวิหาโร ภวิสฺสติ, อิมํ เตมาสํ อิธ วเสยฺยามา’’ติฯ ‘‘โก ปนาวุโส, มํ นิสฺสาย ตุมฺหากํ ผาสุวิหาโร’’ติฯ สเจ ตฺวํ อาวุโส ‘‘เทฺว อคฺคสาวกา อิธ วิหรนฺตี’’ติ กสฺสจิ นาโรเจยฺยาสิ, มยํ สุขํ วิหเรยฺยาม, อยํ ตํ นิสฺสาย อมฺหากํ ผาสุวิหาโรติฯ ‘‘อถ ตุเมฺห นิสฺสาย มยฺหํ โก ผาสุวิหาโร’’ติ? ‘‘มยํ ตุยฺหํ อโนฺตเตมาสํ ธมฺมํ วาเจสฺสาม, ธมฺมกถํ กเถสฺสาม, เอส ตุยฺหํ อเมฺห นิสฺสาย ผาสุวิหาโร’’ติฯ ‘‘วสถาวุโส, ยถาชฺฌาสเยนา’’ติฯ โส เตสํ ปติรูปํ เสนาสนํ อทาสิฯ เต ผลสมาปตฺติสุเขน สุขํ วสิํสุฯ โกจิ เนสํ ตตฺถ วสนภาวํ น ชานาติฯ
Ahameva dubbhāsitaṃ bhāsi bāloti idaṃ satthā jetavane viharanto kokālikaṃ ārabbha kathesi. Ekasmiñhi antovasse dve aggasāvakā gaṇaṃ pahāya vivittāvāsaṃ vasitukāmā satthāraṃ āpucchitvā kokālikaraṭṭhe kokālikassa vasanaṭṭhānaṃ gantvā taṃ evamāhaṃsu ‘‘āvuso kokālika, taṃ nissāya amhākaṃ, amhe ca nissāya tava phāsuvihāro bhavissati, imaṃ temāsaṃ idha vaseyyāmā’’ti. ‘‘Ko panāvuso, maṃ nissāya tumhākaṃ phāsuvihāro’’ti. Sace tvaṃ āvuso ‘‘dve aggasāvakā idha viharantī’’ti kassaci nāroceyyāsi, mayaṃ sukhaṃ vihareyyāma, ayaṃ taṃ nissāya amhākaṃ phāsuvihāroti. ‘‘Atha tumhe nissāya mayhaṃ ko phāsuvihāro’’ti? ‘‘Mayaṃ tuyhaṃ antotemāsaṃ dhammaṃ vācessāma, dhammakathaṃ kathessāma, esa tuyhaṃ amhe nissāya phāsuvihāro’’ti. ‘‘Vasathāvuso, yathājjhāsayenā’’ti. So tesaṃ patirūpaṃ senāsanaṃ adāsi. Te phalasamāpattisukhena sukhaṃ vasiṃsu. Koci nesaṃ tattha vasanabhāvaṃ na jānāti.
เต วุตฺถวสฺสา ปวาเรตฺวา ‘‘อาวุโส, ตํ นิสฺสาย สุขํ วุตฺถามฺห, สตฺถารํ วนฺทิตุํ คจฺฉามา’’ติ ตํ อาปุจฺฉิํสุฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เต อาทาย ธุรคาเม ปิณฺฑาย จริฯ เถรา กตภตฺตกิจฺจา คามโต นิกฺขมิํสุฯ โกกาลิโก เต อุโยฺยเชตฺวา นิวตฺติตฺวา มนุสฺสานํ อาโรเจสิ ‘‘อุปาสกา, ตุเมฺห ติรจฺฉานสทิสา, เทฺว อคฺคสาวเก เตมาสํ ธุรวิหาเร วสเนฺต น ชานิตฺถ, อิทานิ เต คตา’’ติฯ มนุสฺสา ‘‘กสฺมา ปน, ภเนฺต, อมฺหากํ นาโรจิตฺถา’’ติ วตฺวา พหุํ สปฺปิเตลาทิเภสชฺชเญฺจว วตฺถจฺฉาทนญฺจ คเหตฺวา เถเร อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ขมถ โน, ภเนฺต, มยํ ตุมฺหากํ อคฺคสาวกภาวํ น ชานาม, อชฺช โน โกกาลิกภทนฺตสฺส วจเนน ญาตา, อมฺหากํ อนุกมฺปาย อิมานิ เภสชฺชวตฺถจฺฉาทนานิ คณฺหถา’’ติ อาหํสุฯ
Te vutthavassā pavāretvā ‘‘āvuso, taṃ nissāya sukhaṃ vutthāmha, satthāraṃ vandituṃ gacchāmā’’ti taṃ āpucchiṃsu. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā te ādāya dhuragāme piṇḍāya cari. Therā katabhattakiccā gāmato nikkhamiṃsu. Kokāliko te uyyojetvā nivattitvā manussānaṃ ārocesi ‘‘upāsakā, tumhe tiracchānasadisā, dve aggasāvake temāsaṃ dhuravihāre vasante na jānittha, idāni te gatā’’ti. Manussā ‘‘kasmā pana, bhante, amhākaṃ nārocitthā’’ti vatvā bahuṃ sappitelādibhesajjañceva vatthacchādanañca gahetvā there upasaṅkamitvā vanditvā ‘‘khamatha no, bhante, mayaṃ tumhākaṃ aggasāvakabhāvaṃ na jānāma, ajja no kokālikabhadantassa vacanena ñātā, amhākaṃ anukampāya imāni bhesajjavatthacchādanāni gaṇhathā’’ti āhaṃsu.
โกกาลิโก ‘‘เถรา อปฺปิจฺฉา สนฺตุฎฺฐา, อิมานิ วตฺถานิ อตฺตนา อคฺคเหตฺวา มยฺหํ ทสฺสนฺตี’’ติ จิเนฺตตฺวา อุปาสเกหิ สทฺธิํเยว เถรานํ สนฺติกํ คโตฯ เถรา ภิกฺขุปริปาจิตตฺตา ตโต กิญฺจิ เนว อตฺตนา คณฺหิํสุ, น โกกาลิกสฺส ทาเปสุํฯ อุปาสกา ‘‘ภเนฺต, อิทานิ อคณฺหนฺตา ปุน อมฺหากํ อนุกมฺปาย อิธ อาคเจฺฉยฺยาถา’’ติ ยาจิํสุฯ เถรา อนธิวาเสตฺวา สตฺถุ สนฺติกํ อคมิํสุฯ โกกาลิโก ‘‘อิเม เถรา อตฺตนา อคณฺหนฺตา มยฺหํ น ทาเปสุ’’นฺติ อาฆาตํ พนฺธิฯ เถราปิ สตฺถุ สนฺติเก โถกํ วสิตฺวา อตฺตโน ปริวาเร ปญฺจภิกฺขุสเต จ อาทาย ภิกฺขุสหเสฺสน สทฺธิํ จาริกํ จรมานา โกกาลิกรฎฺฐํ ปตฺตาฯ เต อุปาสกา ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา เถเร อาทาย ตเมว วิหารํ เนตฺวา เทวสิกํ มหาสกฺการํ กริํสุฯ ปหุตํ เภสชฺชวตฺถจฺฉาทนํ อุปฺปชฺชิ, เถเรหิ สทฺธิํ อาคตภิกฺขู จีวรานิ วิจาเรนฺตา สทฺธิํ อาคตานํ ภิกฺขูนเญฺญว เทนฺติ , โกกาลิกสฺส น เทนฺติ, เถราปิ ตสฺส น ทาเปนฺติฯ โกกาลิโก จีวรํ อลภิตฺวา ‘‘ปาปิจฺฉา สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานา, ปุเพฺพ ทียมานํ ลาภํ อคฺคเหตฺวา อิทานิ คณฺหนฺติ, ปูเรตุํ น สกฺกา, อเญฺญ น โอโลเกนฺตี’’ติ เถเร อโกฺกสติ ปริภาสติฯ เถรา ‘‘อยํ อเมฺห นิสฺสาย อกุสลํ ปสวตี’’ติ สปริวารา นิกฺขมิตฺวา ‘‘อญฺญํ, ภเนฺต, กติปาหํ วสถา’’ติ มนุเสฺสหิ ยาจิยมานาปิ นิวตฺติตุํ น อิจฺฉิํสุฯ
Kokāliko ‘‘therā appicchā santuṭṭhā, imāni vatthāni attanā aggahetvā mayhaṃ dassantī’’ti cintetvā upāsakehi saddhiṃyeva therānaṃ santikaṃ gato. Therā bhikkhuparipācitattā tato kiñci neva attanā gaṇhiṃsu, na kokālikassa dāpesuṃ. Upāsakā ‘‘bhante, idāni agaṇhantā puna amhākaṃ anukampāya idha āgaccheyyāthā’’ti yāciṃsu. Therā anadhivāsetvā satthu santikaṃ agamiṃsu. Kokāliko ‘‘ime therā attanā agaṇhantā mayhaṃ na dāpesu’’nti āghātaṃ bandhi. Therāpi satthu santike thokaṃ vasitvā attano parivāre pañcabhikkhusate ca ādāya bhikkhusahassena saddhiṃ cārikaṃ caramānā kokālikaraṭṭhaṃ pattā. Te upāsakā paccuggamanaṃ katvā there ādāya tameva vihāraṃ netvā devasikaṃ mahāsakkāraṃ kariṃsu. Pahutaṃ bhesajjavatthacchādanaṃ uppajji, therehi saddhiṃ āgatabhikkhū cīvarāni vicārentā saddhiṃ āgatānaṃ bhikkhūnaññeva denti , kokālikassa na denti, therāpi tassa na dāpenti. Kokāliko cīvaraṃ alabhitvā ‘‘pāpicchā sāriputtamoggallānā, pubbe dīyamānaṃ lābhaṃ aggahetvā idāni gaṇhanti, pūretuṃ na sakkā, aññe na olokentī’’ti there akkosati paribhāsati. Therā ‘‘ayaṃ amhe nissāya akusalaṃ pasavatī’’ti saparivārā nikkhamitvā ‘‘aññaṃ, bhante, katipāhaṃ vasathā’’ti manussehi yāciyamānāpi nivattituṃ na icchiṃsu.
อเถโก ทหโร ภิกฺขุ อาห – ‘‘อุปาสกา, กถํ เถรา วสิสฺสนฺติ, ตุมฺหากํ กุลูปโก เถโร อิธ อิเมสํ วาสํ น สหตี’’ติฯ เต ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘ภเนฺต, ตุเมฺห กิร เถรานํ อิธ วาสํ น สหถ, คจฺฉถ เน ขมาเปตฺวา นิวเตฺตถ, สเจ น นิวเตฺตถ, ปลายิตฺวา อญฺญตฺถ วสถา’’ติ อาหํสุฯ โส อุปาสกานํ ภเยน คนฺตฺวา เถเร ยาจิฯ เถรา ‘‘คจฺฉาวุโส, น มยํ นิวตฺตามา’’ติ ปกฺกมิํสุฯ โส เถเร นิวเตฺตตุํ อสโกฺกโนฺต วิหารเมว ปจฺจาคโตฯ อถ นํ อุปาสกา ปุจฺฉิํสุ ‘‘นิวตฺติตา เต, ภเนฺต, เถรา’’ติฯ ‘‘นิวเตฺตตุํ นาสกฺขิํ อาวุโส’’ติฯ อถ นํ ‘‘อิมสฺมิํ ปาปธเมฺม วสเนฺต อิธ เปสลา ภิกฺขู น วสิสฺสนฺติ, นิกฺกฑฺฒาม น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ภเนฺต, มา ตฺวํ อิธ วสิ, อเมฺห นิสฺสาย ตุยฺหํ กิญฺจิ นตฺถี’’ติ อาหํสุฯ โส เตหิ นิกฺกฑฺฒิโต ปตฺตจีวรมาทาย เชตวนํ คนฺตฺวา สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ปาปิจฺฉา, ภเนฺต, สาริปุตฺตโมคฺคลฺลานา, ปาปิกานํ อิจฺฉานํ วสํ คตา’’ติ อาหฯ อถ นํ สตฺถา ‘‘มา เหวํ โกกาลิก, อวจ, มา เหวํ โกกาลิก อวจ, ปสาเทหิ โกกาลิก, สาริปุตฺตโมคฺคลฺลาเนสุ จิตฺตํ, เต เปสลา ภิกฺขู’’ติ วาเรติฯ วาริโตปิ โกกาลิโก ‘‘ตุเมฺห, ภเนฺต, ตุมฺหากํ อคฺคสาวกานํ สทฺทหถ, อหํ ปจฺจกฺขโต อทฺทสํ, ปาปิจฺฉา เอเต ปฎิจฺฉนฺนกมฺมนฺตา ทุสฺสีลา’’ติ วตฺวา ยาวตติยํ สตฺถารา วาริโตปิ ตเถว วตฺวา อุฎฺฐายาสนา ปกฺกามิฯ ตสฺส ปกฺกนฺตมตฺตเสฺสว สกลสรีเร สาสปมตฺตา ปิฬกา อุฎฺฐหิตฺวา อนุปุเพฺพน วฑฺฒิตฺวา เพฬุวปกฺกมตฺตา หุตฺวา ภิชฺชิตฺวา ปุพฺพโลหิตานิ ปคฺฆริํสุฯ โส นิตฺถุนโนฺต เวทนาปฺปโตฺต เชตวนทฺวารโกฎฺฐเก นิปชฺชิฯ ‘‘โกกาลิเกน เทฺว อคฺคสาวกา อกฺกุฎฺฐา’’ติ ยาว พฺรหฺมโลกา เอกโกลาหลํ อโหสิฯ
Atheko daharo bhikkhu āha – ‘‘upāsakā, kathaṃ therā vasissanti, tumhākaṃ kulūpako thero idha imesaṃ vāsaṃ na sahatī’’ti. Te tassa santikaṃ gantvā ‘‘bhante, tumhe kira therānaṃ idha vāsaṃ na sahatha, gacchatha ne khamāpetvā nivattetha, sace na nivattetha, palāyitvā aññattha vasathā’’ti āhaṃsu. So upāsakānaṃ bhayena gantvā there yāci. Therā ‘‘gacchāvuso, na mayaṃ nivattāmā’’ti pakkamiṃsu. So there nivattetuṃ asakkonto vihārameva paccāgato. Atha naṃ upāsakā pucchiṃsu ‘‘nivattitā te, bhante, therā’’ti. ‘‘Nivattetuṃ nāsakkhiṃ āvuso’’ti. Atha naṃ ‘‘imasmiṃ pāpadhamme vasante idha pesalā bhikkhū na vasissanti, nikkaḍḍhāma na’’nti cintetvā ‘‘bhante, mā tvaṃ idha vasi, amhe nissāya tuyhaṃ kiñci natthī’’ti āhaṃsu. So tehi nikkaḍḍhito pattacīvaramādāya jetavanaṃ gantvā satthāraṃ upasaṅkamitvā ‘‘pāpicchā, bhante, sāriputtamoggallānā, pāpikānaṃ icchānaṃ vasaṃ gatā’’ti āha. Atha naṃ satthā ‘‘mā hevaṃ kokālika, avaca, mā hevaṃ kokālika avaca, pasādehi kokālika, sāriputtamoggallānesu cittaṃ, te pesalā bhikkhū’’ti vāreti. Vāritopi kokāliko ‘‘tumhe, bhante, tumhākaṃ aggasāvakānaṃ saddahatha, ahaṃ paccakkhato addasaṃ, pāpicchā ete paṭicchannakammantā dussīlā’’ti vatvā yāvatatiyaṃ satthārā vāritopi tatheva vatvā uṭṭhāyāsanā pakkāmi. Tassa pakkantamattasseva sakalasarīre sāsapamattā piḷakā uṭṭhahitvā anupubbena vaḍḍhitvā beḷuvapakkamattā hutvā bhijjitvā pubbalohitāni pagghariṃsu. So nitthunanto vedanāppatto jetavanadvārakoṭṭhake nipajji. ‘‘Kokālikena dve aggasāvakā akkuṭṭhā’’ti yāva brahmalokā ekakolāhalaṃ ahosi.
อถสฺส อุปชฺฌาโย ตุรู นาม พฺรหฺมา ตํ การณํ ญตฺวา ‘‘เถเร ขมาเปสฺสามี’’ติ อาคนฺตฺวา อากาเส ฐตฺวา ‘‘โกกาลิก, ผรุสํ เต กมฺมํ กตํ, อคฺคสาวเก ปสาเทหี’’ติ อาหฯ ‘‘โก ปน ตฺวํ อาวุโส’’ติ? ‘‘ตุรู พฺรหฺมา นามาห’’นฺติฯ ‘‘นนุ ตฺวํ, อาวุโส, ภควตา อนาคามีติ พฺยากโต, อนาคามี จ อนาวตฺติธโมฺม อสฺมา โลกาติ วุตฺตํ, ตฺวํ สงฺการฎฺฐาเน ยโกฺข ภวิสฺสสี’’ติ มหาพฺรหฺมํ อปสาเทสิฯ โส ตํ อตฺตโน วจนํ คาหาเปตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘ตว วาจาย ตฺวเญฺญว ปญฺญายิสฺสสี’’ติ วตฺวา สุทฺธาวาสเมว คโตฯ โกกาลิโกปิ กาลํ กตฺวา ปทุมนิรเย อุปฺปชฺชิฯ ตสฺส ตตฺถ นิพฺพตฺตภาวํ ญตฺวา สหมฺปติพฺรหฺมา ตถาคตสฺส อาโรเจสิ, สตฺถา ภิกฺขูนํ อาโรเจสิฯ ภิกฺขู ตสฺส อคุณํ กเถนฺตา ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, โกกาลิโก กิร สาริปุตฺตโมคฺคลฺลาเน อโกฺกสิตฺวา อตฺตโน มุขํ นิสฺสาย ปทุมนิรเย อุปฺปโนฺน’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว โกกาลิโก วจเนน หโต อตฺตโน มุขํ นิสฺสาย ทุกฺขํ อนุโภติ, ปุเพฺพปิ เอส อตฺตโน มุขํ นิสฺสาย ทุกฺขํ อนุโภสิเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Athassa upajjhāyo turū nāma brahmā taṃ kāraṇaṃ ñatvā ‘‘there khamāpessāmī’’ti āgantvā ākāse ṭhatvā ‘‘kokālika, pharusaṃ te kammaṃ kataṃ, aggasāvake pasādehī’’ti āha. ‘‘Ko pana tvaṃ āvuso’’ti? ‘‘Turū brahmā nāmāha’’nti. ‘‘Nanu tvaṃ, āvuso, bhagavatā anāgāmīti byākato, anāgāmī ca anāvattidhammo asmā lokāti vuttaṃ, tvaṃ saṅkāraṭṭhāne yakkho bhavissasī’’ti mahābrahmaṃ apasādesi. So taṃ attano vacanaṃ gāhāpetuṃ asakkonto ‘‘tava vācāya tvaññeva paññāyissasī’’ti vatvā suddhāvāsameva gato. Kokālikopi kālaṃ katvā padumaniraye uppajji. Tassa tattha nibbattabhāvaṃ ñatvā sahampatibrahmā tathāgatassa ārocesi, satthā bhikkhūnaṃ ārocesi. Bhikkhū tassa aguṇaṃ kathentā dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, kokāliko kira sāriputtamoggallāne akkositvā attano mukhaṃ nissāya padumaniraye uppanno’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva kokāliko vacanena hato attano mukhaṃ nissāya dukkhaṃ anubhoti, pubbepi esa attano mukhaṃ nissāya dukkhaṃ anubhosiyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต ตสฺส ปุโรหิโต ปิงฺคโล นิกฺขนฺตทาโฐ อโหสิฯ ตสฺส พฺราหฺมณี อเญฺญน พฺราหฺมเณน สทฺธิํ อติจริ, โสปิ ตาทิโสวฯ ปุโรหิโต พฺราหฺมณิํ ปุนปฺปุนํ วาเรโนฺตปิ วาเรตุํ อสโกฺกโนฺต จิเนฺตสิ ‘‘อิมํ มม เวริํ สหตฺถา มาเรตุํ น สกฺกา, อุปาเยน นํ มาเรสฺสามี’’ติฯ โส ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา อาห ‘‘มหาราช, ตว นครํ สกลชมฺพุทีเป อคฺคนครํ, ตฺวํ อคฺคราชา, เอวํ อคฺครโญฺญ นาม ตว ทกฺขิณทฺวารํ ทุยุตฺตํ อวมงฺคล’’นฺติฯ ‘‘อาจริย, อิทานิ กิํ กาตพฺพ’’นฺติ? ‘‘มงฺคลํ กตฺวา โยเชตพฺพ’’นฺติฯ ‘‘กิํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘ปุราณทฺวารํ หาเรตฺวา มงฺคลยุตฺตานิ ทารูนิ คเหตฺวา นครปริคฺคาหกานํ ภูตานํ พลิํ ทตฺวา มงฺคลนกฺขเตฺตน ปติฎฺฐาเปตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘เตน หิ เอวํ กโรถา’’ติฯ ตทา โพธิสโตฺต ตกฺการิโย นาม มาณโว หุตฺวา ตสฺส สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคณฺหาติฯ ปุโรหิโต ปุราณทฺวารํ หาเรตฺวา นวํ นิฎฺฐาเปตฺวา ราชานํ อาห – ‘‘นิฎฺฐิตํ, เทว, ทฺวารํ, เสฺว ภทฺทกํ นกฺขตฺตํ, ตํ อนติกฺกมิตฺวา พลิํ กตฺวา ทฺวารํ ปติฎฺฐาเปตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘อาจริย, พลิกมฺมตฺถาย กิํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘เทว, มเหสกฺขํ ทฺวารํ มเหสกฺขาหิ เทวตาหิ ปริคฺคหิตํ, เอกํ ปิงฺคลํ นิกฺขนฺตทาฐํ อุภโตวิสุทฺธํ พฺราหฺมณํ มาเรตฺวา ตสฺส มํสโลหิเตน พลิํ กตฺวา สรีรํ เหฎฺฐา ขิปิตฺวา ทฺวารํ ปติฎฺฐาเปตพฺพํ, เอวํ ตุมฺหากญฺจ นครสฺส จ วุฑฺฒิ ภวิสฺสตี’’ติฯ ‘‘สาธุ อาจริย, เอวรูปํ พฺราหฺมณํ มาเรตฺวา ทฺวารํ ปติฎฺฐาเปหี’’ติฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente tassa purohito piṅgalo nikkhantadāṭho ahosi. Tassa brāhmaṇī aññena brāhmaṇena saddhiṃ aticari, sopi tādisova. Purohito brāhmaṇiṃ punappunaṃ vārentopi vāretuṃ asakkonto cintesi ‘‘imaṃ mama veriṃ sahatthā māretuṃ na sakkā, upāyena naṃ māressāmī’’ti. So rājānaṃ upasaṅkamitvā āha ‘‘mahārāja, tava nagaraṃ sakalajambudīpe agganagaraṃ, tvaṃ aggarājā, evaṃ aggarañño nāma tava dakkhiṇadvāraṃ duyuttaṃ avamaṅgala’’nti. ‘‘Ācariya, idāni kiṃ kātabba’’nti? ‘‘Maṅgalaṃ katvā yojetabba’’nti. ‘‘Kiṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Purāṇadvāraṃ hāretvā maṅgalayuttāni dārūni gahetvā nagarapariggāhakānaṃ bhūtānaṃ baliṃ datvā maṅgalanakkhattena patiṭṭhāpetuṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Tena hi evaṃ karothā’’ti. Tadā bodhisatto takkāriyo nāma māṇavo hutvā tassa santike sippaṃ uggaṇhāti. Purohito purāṇadvāraṃ hāretvā navaṃ niṭṭhāpetvā rājānaṃ āha – ‘‘niṭṭhitaṃ, deva, dvāraṃ, sve bhaddakaṃ nakkhattaṃ, taṃ anatikkamitvā baliṃ katvā dvāraṃ patiṭṭhāpetuṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Ācariya, balikammatthāya kiṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti? ‘‘Deva, mahesakkhaṃ dvāraṃ mahesakkhāhi devatāhi pariggahitaṃ, ekaṃ piṅgalaṃ nikkhantadāṭhaṃ ubhatovisuddhaṃ brāhmaṇaṃ māretvā tassa maṃsalohitena baliṃ katvā sarīraṃ heṭṭhā khipitvā dvāraṃ patiṭṭhāpetabbaṃ, evaṃ tumhākañca nagarassa ca vuḍḍhi bhavissatī’’ti. ‘‘Sādhu ācariya, evarūpaṃ brāhmaṇaṃ māretvā dvāraṃ patiṭṭhāpehī’’ti.
โส ตุฎฺฐมานโส ‘‘เสฺว ปจฺจามิตฺตสฺส ปิฎฺฐิํ ปสฺสิสฺสามี’’ติ อุสฺสาหชาโต อตฺตโน เคหํ คนฺตฺวา มุขํ รกฺขิตุํ อสโกฺกโนฺต ตุริตตุริโต ภริยํ อาห – ‘‘ปาเป จณฺฑาลิ อิโต ปฎฺฐาย เกน สทฺธิํ อภิรมิสฺสสิ, เสฺว เต ชารํ มาเรตฺวา พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติฯ ‘‘นิรปราธํ กิํการณา มาเรสฺสสี’’ติ? ราชา ‘‘กฬารปิงฺคลสฺส พฺราหฺมณสฺส มํสโลหิเตน พลิกมฺมํ กตฺวา นครทฺวารํ ปติฎฺฐาเปหี’’ติ อาห, ‘‘ชาโร จ เต กฬารปิงฺคโล, ตํ มาเรตฺวา พลิกมฺมํ กริสฺสามี’’ติฯ สา ชารสฺส สนฺติกํ สาสนํ ปาเหสิ ‘‘ราชา กิร กฬารปิงฺคลํ พฺราหฺมณํ มาเรตฺวา พลิํ กาตุกาโม, สเจ ชีวิตุกาโม, อเญฺญปิ ตยา สทิเส พฺราหฺมเณ คเหตฺวา กาลเสฺสว ปลายสฺสู’’ติฯ โส ตถา อกาสิฯ ตํ นคเร ปากฎํ อโหสิ, สกลนครโต สเพฺพ กฬารปิงฺคลา ปลายิํสุฯ
So tuṭṭhamānaso ‘‘sve paccāmittassa piṭṭhiṃ passissāmī’’ti ussāhajāto attano gehaṃ gantvā mukhaṃ rakkhituṃ asakkonto turitaturito bhariyaṃ āha – ‘‘pāpe caṇḍāli ito paṭṭhāya kena saddhiṃ abhiramissasi, sve te jāraṃ māretvā balikammaṃ karissāmī’’ti. ‘‘Niraparādhaṃ kiṃkāraṇā māressasī’’ti? Rājā ‘‘kaḷārapiṅgalassa brāhmaṇassa maṃsalohitena balikammaṃ katvā nagaradvāraṃ patiṭṭhāpehī’’ti āha, ‘‘jāro ca te kaḷārapiṅgalo, taṃ māretvā balikammaṃ karissāmī’’ti. Sā jārassa santikaṃ sāsanaṃ pāhesi ‘‘rājā kira kaḷārapiṅgalaṃ brāhmaṇaṃ māretvā baliṃ kātukāmo, sace jīvitukāmo, aññepi tayā sadise brāhmaṇe gahetvā kālasseva palāyassū’’ti. So tathā akāsi. Taṃ nagare pākaṭaṃ ahosi, sakalanagarato sabbe kaḷārapiṅgalā palāyiṃsu.
ปุโรหิโต ปจฺจามิตฺตสฺส ปลาตภาวํ อชานิตฺวา ปาโตว ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เทว, อสุกฎฺฐาเน กฬารปิงฺคโล พฺราหฺมโณ อตฺถิ, ตํ คณฺหาเปถา’’ติ อาหฯ ราชา อมเจฺจ เปเสสิฯ เต ตํ อปสฺสนฺตา อาคนฺตฺวา ‘‘ปลาโต กิรา’’ติ อาโรเจสุํฯ ‘‘อญฺญตฺถ อุปธาเรถา’’ติ สกลนครํ อุปธาเรนฺตาปิ น ปสฺสิํสุฯ ตโต ‘‘อญฺญํ อุปธาเรถา’’ติ วุเตฺต ‘‘เทว, ฐเปตฺวา ปุโรหิตํ อโญฺญ เอวรูโป นตฺถี’’ติ วทิํสุฯ ปุโรหิตํ น สกฺกา มาเรตุนฺติฯ ‘‘เทว, กิํ กเถถ, ปุโรหิตสฺส การณา อชฺช ทฺวาเร อปฺปติฎฺฐาปิเต นครํ อคุตฺตํ ภวิสฺสติ, อาจริโย กเถโนฺต ‘‘อชฺช นกฺขตฺตํ อติกฺกมิตฺวา อิโต สํวจฺฉรจฺจเยน นกฺขตฺตํ ลภิสฺสตี’’ติ กเถสิ, สํวจฺฉรํ นคเร อทฺวารเก ปจฺจตฺถิกานํ โอกาโส ภวิสฺสติ, อิมํ มาเรตฺวา อเญฺญน พฺยเตฺตน พฺราหฺมเณน พลิกมฺมํ กาเรตฺวา ทฺวารํ ปติฎฺฐาเปสฺสามา’’ติฯ ‘‘อตฺถิ ปน อโญฺญ อาจริยสทิโส ปณฺฑิโต พฺราหฺมโณ’’ติ? ‘‘อตฺถิ เทว, ตสฺส อเนฺตวาสี ตกฺการิยมาณโว นาม, ตสฺส ปุโรหิตฎฺฐานํ ทตฺวา มงฺคลํ กโรถา’’ติฯ
Purohito paccāmittassa palātabhāvaṃ ajānitvā pātova rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘deva, asukaṭṭhāne kaḷārapiṅgalo brāhmaṇo atthi, taṃ gaṇhāpethā’’ti āha. Rājā amacce pesesi. Te taṃ apassantā āgantvā ‘‘palāto kirā’’ti ārocesuṃ. ‘‘Aññattha upadhārethā’’ti sakalanagaraṃ upadhārentāpi na passiṃsu. Tato ‘‘aññaṃ upadhārethā’’ti vutte ‘‘deva, ṭhapetvā purohitaṃ añño evarūpo natthī’’ti vadiṃsu. Purohitaṃ na sakkā māretunti. ‘‘Deva, kiṃ kathetha, purohitassa kāraṇā ajja dvāre appatiṭṭhāpite nagaraṃ aguttaṃ bhavissati, ācariyo kathento ‘‘ajja nakkhattaṃ atikkamitvā ito saṃvaccharaccayena nakkhattaṃ labhissatī’’ti kathesi, saṃvaccharaṃ nagare advārake paccatthikānaṃ okāso bhavissati, imaṃ māretvā aññena byattena brāhmaṇena balikammaṃ kāretvā dvāraṃ patiṭṭhāpessāmā’’ti. ‘‘Atthi pana añño ācariyasadiso paṇḍito brāhmaṇo’’ti? ‘‘Atthi deva, tassa antevāsī takkāriyamāṇavo nāma, tassa purohitaṭṭhānaṃ datvā maṅgalaṃ karothā’’ti.
ราชา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา สมฺมานํ กาเรตฺวา ปุโรหิตฎฺฐานํ ทตฺวา ตถา กาตุํ อาณาเปสิฯ โส มหเนฺตน ปริวาเรน นครทฺวารํ อคมาสิฯ ปุโรหิตํ ราชานุภาเวน พนฺธิตฺวา อานยิํสุฯ มหาสโตฺต ทฺวารฎฺฐปนฎฺฐาเน อาวาฎํ ขณาเปตฺวา สาณิํ ปริกฺขิปาเปตฺวา อาจริเยน สทฺธิํ อโนฺตสาณิยํ อฎฺฐาสิฯ อาจริโย อาวาฎํ โอโลเกตฺวา อตฺตโน ปติฎฺฐํ อลภโนฺต ‘‘อโตฺถ ตาว เม นิปฺผาทิโต อโหสิ, พาลตฺตา ปน มุขํ รกฺขิตุํ อสโกฺกโนฺต เวเคน ปาปิตฺถิยา กเถสิํ, อตฺตนาว อตฺตโน วโธ อาภโต’’ติ มหาสตฺตํ อาลปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Rājā taṃ pakkosāpetvā sammānaṃ kāretvā purohitaṭṭhānaṃ datvā tathā kātuṃ āṇāpesi. So mahantena parivārena nagaradvāraṃ agamāsi. Purohitaṃ rājānubhāvena bandhitvā ānayiṃsu. Mahāsatto dvāraṭṭhapanaṭṭhāne āvāṭaṃ khaṇāpetvā sāṇiṃ parikkhipāpetvā ācariyena saddhiṃ antosāṇiyaṃ aṭṭhāsi. Ācariyo āvāṭaṃ oloketvā attano patiṭṭhaṃ alabhanto ‘‘attho tāva me nipphādito ahosi, bālattā pana mukhaṃ rakkhituṃ asakkonto vegena pāpitthiyā kathesiṃ, attanāva attano vadho ābhato’’ti mahāsattaṃ ālapanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๑๐๔.
104.
‘‘อหเมว ทุพฺภาสิตํ ภาสิ พาโล, เภโกวรเญฺญ อหิมวฺหายมาโน;
‘‘Ahameva dubbhāsitaṃ bhāsi bālo, bhekovaraññe ahimavhāyamāno;
ตกฺการิเย โสพฺภมิมํ ปตามิ, น กิเรว สาธุ อติเวลภาณี’’ติฯ
Takkāriye sobbhamimaṃ patāmi, na kireva sādhu ativelabhāṇī’’ti.
ตตฺถ ทุพฺภาสิตํ ภาสีติ ทุพฺภาสิตํ ภาสิํฯ เภโกวาติ ยถา อรเญฺญ มณฺฑูโก วสฺสโนฺต อตฺตโน ขาทกํ อหิํ อวฺหายมาโน ทุพฺภาสิตํ ภาสติ นาม, เอวํ อหเมว ทุพฺภาสิตํ ภาสิํฯ ตกฺการิเยติ ตสฺส นามํ, ตกฺการิยาติ อิตฺถิลิงฺคํ นามํ, เตเนว ตํ อาลปโนฺต เอวมาหฯ
Tattha dubbhāsitaṃ bhāsīti dubbhāsitaṃ bhāsiṃ. Bhekovāti yathā araññe maṇḍūko vassanto attano khādakaṃ ahiṃ avhāyamāno dubbhāsitaṃ bhāsati nāma, evaṃ ahameva dubbhāsitaṃ bhāsiṃ. Takkāriyeti tassa nāmaṃ, takkāriyāti itthiliṅgaṃ nāmaṃ, teneva taṃ ālapanto evamāha.
ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ทุติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā mahāsatto dutiyaṃ gāthamāha –
๑๐๕.
105.
‘‘ปโปฺปติ มโจฺจ อติเวลภาณี, พนฺธํ วธํ โสกปริทฺทวญฺจ;
‘‘Pappoti macco ativelabhāṇī, bandhaṃ vadhaṃ sokapariddavañca;
อตฺตานเมว ครหาสิ เอตฺถ, อาเจร ยํ ตํ นิขณนฺติ โสเพฺภ’’ติฯ
Attānameva garahāsi ettha, ācera yaṃ taṃ nikhaṇanti sobbhe’’ti.
ตตฺถ อติเวลภาณีติ เวลาติกฺกนฺตํ ปมาณาติกฺกนฺตํ กตฺวา กถนํ นาม น สาธุ, อติเวลภาณี ปุริโส น สาธูติ อโตฺถฯ โสกปริทฺทวญฺจาติ อาจริย, เอวเมว อติเวลภาณี ปุริโส วธํ พนฺธญฺจ โสกญฺจ มหเนฺตน สเทฺทน ปริเทวญฺจ ปโปฺปติฯ ครหาสีติ ปรํ อครหิตฺวา อตฺตานํเยว ครเหยฺยาสิฯ เอตฺถาติ เอตสฺมิํ การเณฯ อาเจร ยํ ตนฺติ อาจริย, เยน การเณน ตํ นิขณนฺติ โสเพฺภ, ตํ ตยาว กตํ, ตสฺมา อตฺตานเมว ครเหยฺยาสีติ วทติฯ
Tattha ativelabhāṇīti velātikkantaṃ pamāṇātikkantaṃ katvā kathanaṃ nāma na sādhu, ativelabhāṇī puriso na sādhūti attho. Sokapariddavañcāti ācariya, evameva ativelabhāṇī puriso vadhaṃ bandhañca sokañca mahantena saddena paridevañca pappoti. Garahāsīti paraṃ agarahitvā attānaṃyeva garaheyyāsi. Etthāti etasmiṃ kāraṇe. Ācera yaṃ tanti ācariya, yena kāraṇena taṃ nikhaṇanti sobbhe, taṃ tayāva kataṃ, tasmā attānameva garaheyyāsīti vadati.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘อาจริย, วาจํ อรกฺขิตฺวา น เกวลํ ตฺวเมว ทุกฺขปฺปโตฺต, อโญฺญปิ ทุกฺขปฺปโตฺตเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริตฺวา ทเสฺสสิฯ
Evañca pana vatvā ‘‘ācariya, vācaṃ arakkhitvā na kevalaṃ tvameva dukkhappatto, aññopi dukkhappattoyevā’’ti vatvā atītaṃ āharitvā dassesi.
ปุเพฺพ กิร พาราณสิยํ กาฬี นาม คณิกา อโหสิ, ตสฺสา ตุณฺฑิโล นาม ภาตาฯ กาฬี เอกทิวสํ สหสฺสํ คณฺหาติฯ ตุณฺฑิโล ปน อิตฺถิธุโตฺต สุราธุโตฺต อกฺขธุโตฺต อโหสิฯ สา ตสฺส ธนํ เทติ, โส ลทฺธํ ลทฺธํ วินาเสติฯ สา ตํ วาเรนฺตีปิ วาเรตุํ นาสกฺขิฯ โส เอกทิวสํ ชูตปราชิโต นิวตฺถวตฺถานิ ทตฺวา กฎสารกขณฺฑํ นิวาเสตฺวา ตสฺสา เคหํ อาคมิ ฯ ตาย จ ทาสิโย อาณตฺตา โหนฺติ ‘‘ตุณฺฑิลสฺส อาคตกาเล กิญฺจิ อทตฺวา คีวายํ นํ คเหตฺวา นีหเรยฺยาถา’’ติฯ ตา ตถา กริํสุฯ โส ทฺวารมูเล โรทโนฺต อฎฺฐาสิฯ
Pubbe kira bārāṇasiyaṃ kāḷī nāma gaṇikā ahosi, tassā tuṇḍilo nāma bhātā. Kāḷī ekadivasaṃ sahassaṃ gaṇhāti. Tuṇḍilo pana itthidhutto surādhutto akkhadhutto ahosi. Sā tassa dhanaṃ deti, so laddhaṃ laddhaṃ vināseti. Sā taṃ vārentīpi vāretuṃ nāsakkhi. So ekadivasaṃ jūtaparājito nivatthavatthāni datvā kaṭasārakakhaṇḍaṃ nivāsetvā tassā gehaṃ āgami . Tāya ca dāsiyo āṇattā honti ‘‘tuṇḍilassa āgatakāle kiñci adatvā gīvāyaṃ naṃ gahetvā nīhareyyāthā’’ti. Tā tathā kariṃsu. So dvāramūle rodanto aṭṭhāsi.
อเถโก เสฎฺฐิปุโตฺต นิจฺจกาลํ กาฬิยา สหสฺสํ อาหราเปโนฺต ทิสฺวา ‘‘กสฺมา ตุณฺฑิล โรทสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สามิ, ชูตปราชิโต มม ภคินิยา สนฺติกํ อาคโตมฺหิ, ตํ มํ ทาสิโย คีวายํ คเหตฺวา นีหริํสู’’ติฯ ‘‘เตน หิ ติฎฺฐ, ภคินิยา เต กเถสฺสามี’’ติ โส คนฺตฺวา ‘‘ภาตา เต กฎสารกขณฺฑํ นิวาเสตฺวา ทฺวารมูเล ฐิโต, วตฺถานิสฺส กิมตฺถํ น เทสี’’ติ อาหฯ ‘‘อหํ ตาว น เทมิ, สเจ ปน เต สิเนโห อตฺถิ, ตฺวํ เทหี’’ติฯ ตสฺมิํ ปน คณิกาย ฆเร อิทํจาริตฺตํ – อาภตสหสฺสโต ปญฺจสตานิ คณิกาย โหนฺติ, ปญฺจสตานิ วตฺถคนฺธมาลมูลานิ โหนฺติฯ อาคตปุริสา ตสฺมิํ ฆเร ลทฺธวตฺถานิ นิวาเสตฺวา รตฺติํ วสิตฺวา ปุนทิวเส คจฺฉนฺตา อาภตวตฺถาเนว นิวาเสตฺวา คจฺฉนฺติฯ ตสฺมา โส เสฎฺฐิปุโตฺต ตาย ทินฺนวตฺถานิ นิวาเสตฺวา อตฺตโน สาฎเก ตุณฺฑิลสฺส ทาเปสิฯ โส นิวาเสตฺวา นทโนฺต คชฺชโนฺต คนฺตฺวา สุราเคหํ ปาวิสิฯ กาฬีปิ ทาสิโย อาณาเปสิ ‘‘เสฺว เอตสฺส คมนกาเล วตฺถานิ อจฺฉิเนฺทยฺยาถา’’ติฯ ตา ตสฺส นิกฺขมนกาเล อิโต จิโต จ อุปธาวิตฺวา วิลุมฺปมานา สาฎเก คเหตฺวา ‘‘อิทานิ ยาหิ กุมารา’’ติ นคฺคํ กตฺวา วิสฺสเชฺชสุํฯ โส นโคฺคว นิกฺขมิฯ ชโน ปริหาสํ กโรติฯ โส ลชฺชิตฺวา ‘‘มยาเวตํ กตํ, อหเมว อตฺตโน มุขํ รกฺขิตุํ นาสกฺขิ’’นฺติ ปริเทวิฯ อิทํ ตาว ทเสฺสตุํ ตติยํ คาถมาห –
Atheko seṭṭhiputto niccakālaṃ kāḷiyā sahassaṃ āharāpento disvā ‘‘kasmā tuṇḍila rodasī’’ti pucchi. ‘‘Sāmi, jūtaparājito mama bhaginiyā santikaṃ āgatomhi, taṃ maṃ dāsiyo gīvāyaṃ gahetvā nīhariṃsū’’ti. ‘‘Tena hi tiṭṭha, bhaginiyā te kathessāmī’’ti so gantvā ‘‘bhātā te kaṭasārakakhaṇḍaṃ nivāsetvā dvāramūle ṭhito, vatthānissa kimatthaṃ na desī’’ti āha. ‘‘Ahaṃ tāva na demi, sace pana te sineho atthi, tvaṃ dehī’’ti. Tasmiṃ pana gaṇikāya ghare idaṃcārittaṃ – ābhatasahassato pañcasatāni gaṇikāya honti, pañcasatāni vatthagandhamālamūlāni honti. Āgatapurisā tasmiṃ ghare laddhavatthāni nivāsetvā rattiṃ vasitvā punadivase gacchantā ābhatavatthāneva nivāsetvā gacchanti. Tasmā so seṭṭhiputto tāya dinnavatthāni nivāsetvā attano sāṭake tuṇḍilassa dāpesi. So nivāsetvā nadanto gajjanto gantvā surāgehaṃ pāvisi. Kāḷīpi dāsiyo āṇāpesi ‘‘sve etassa gamanakāle vatthāni acchindeyyāthā’’ti. Tā tassa nikkhamanakāle ito cito ca upadhāvitvā vilumpamānā sāṭake gahetvā ‘‘idāni yāhi kumārā’’ti naggaṃ katvā vissajjesuṃ. So naggova nikkhami. Jano parihāsaṃ karoti. So lajjitvā ‘‘mayāvetaṃ kataṃ, ahameva attano mukhaṃ rakkhituṃ nāsakkhi’’nti paridevi. Idaṃ tāva dassetuṃ tatiyaṃ gāthamāha –
๑๐๖.
106.
‘‘กิเมวหํ ตุณฺฑิลมนุปุจฺฉิํ, กเรยฺย สํ ภาตรํ กาฬิกายํ;
‘‘Kimevahaṃ tuṇḍilamanupucchiṃ, kareyya saṃ bhātaraṃ kāḷikāyaṃ;
นโคฺควหํ วตฺถยุคญฺจ ชีโน, อยมฺปิ อโตฺถ พหุตาทิโสวา’’ติฯ
Naggovahaṃ vatthayugañca jīno, ayampi attho bahutādisovā’’ti.
ตตฺถ พหุตาทิโสวาติ เสฎฺฐิปุโตฺต หิ อตฺตนา กเตน ทุกฺขํ ปโตฺต, ตฺวมฺปิ ตสฺมา อยมฺปิ ตุยฺหํ ทุกฺขปฺปตฺติ อโตฺถฯ พหูหิ การเณหิ ตาทิโสวฯ
Tattha bahutādisovāti seṭṭhiputto hi attanā katena dukkhaṃ patto, tvampi tasmā ayampi tuyhaṃ dukkhappatti attho. Bahūhi kāraṇehi tādisova.
อปโรปิ พาราณสิยํ อชปาลานํ ปมาเทน โคจรภูมิยํ ทฺวีสุ เมเณฺฑสุ ยุชฺฌเนฺตสุ เอโก กุลิงฺคสกุโณ ‘‘อิเม ทานิ ภิเนฺนหิ สีเสหิ มริสฺสนฺติ, วาเรสฺสามิ เตติ มาตุลา มา ยุชฺฌถา’’ติ วาเรตฺวา เตสํ กถํ อคฺคเหตฺวา ยุชฺฌนฺตานเญฺญว ปิฎฺฐิยมฺปิ สีเสปิ นิสีทิตฺวา ยาจิตฺวา วาเรตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘เตน หิ มํ มาเรตฺวา ยุชฺฌถา’’ติ อุภินฺนมฺปิ สีสนฺตรํ ปาวิสิฯ เต อญฺญมญฺญํ ยุชฺฌิํสุเยวฯ โส สณฺหกรณิยํ ปิสิโต วิย อตฺตนา กเตเนว วินาสํ ปโตฺตฯ อิทมฺปิ อปรํ การณํ ทเสฺสตุํ จตุตฺถํ คาถมาห –
Aparopi bārāṇasiyaṃ ajapālānaṃ pamādena gocarabhūmiyaṃ dvīsu meṇḍesu yujjhantesu eko kuliṅgasakuṇo ‘‘ime dāni bhinnehi sīsehi marissanti, vāressāmi teti mātulā mā yujjhathā’’ti vāretvā tesaṃ kathaṃ aggahetvā yujjhantānaññeva piṭṭhiyampi sīsepi nisīditvā yācitvā vāretuṃ asakkonto ‘‘tena hi maṃ māretvā yujjhathā’’ti ubhinnampi sīsantaraṃ pāvisi. Te aññamaññaṃ yujjhiṃsuyeva. So saṇhakaraṇiyaṃ pisito viya attanā kateneva vināsaṃ patto. Idampi aparaṃ kāraṇaṃ dassetuṃ catutthaṃ gāthamāha –
๑๐๗.
107.
‘‘โย ยุชฺฌมานานมยุชฺฌมาโน, เมณฺฑนฺตรํ อจฺจุปตี กุลิโงฺค;
‘‘Yo yujjhamānānamayujjhamāno, meṇḍantaraṃ accupatī kuliṅgo;
โส ปิํสิโต เมณฺฑสิเรหิ ตตฺถ, อยมฺปิ อโตฺถ พหุตาทิโสวา’’ติฯ
So piṃsito meṇḍasirehi tattha, ayampi attho bahutādisovā’’ti.
ตตฺถ เมณฺฑนฺตรนฺติ เมณฺฑานํ อนฺตรํฯ อจฺจุปตีติ อติคนฺตฺวา อุปฺปติ, อากาเส สีสานํ เวมเชฺฌ อฎฺฐาสีติ อโตฺถฯ ปิํสิโตติ ปีฬิโตฯ
Tattha meṇḍantaranti meṇḍānaṃ antaraṃ. Accupatīti atigantvā uppati, ākāse sīsānaṃ vemajjhe aṭṭhāsīti attho. Piṃsitoti pīḷito.
อปเรปิ พาราณสิวาสิโน โคปาลกา ผลิตํ ตาลรุกฺขํ ทิสฺวา เอกํ ตาลผลตฺถาย รุกฺขํ อาโรเปสุํฯ ตสฺมิํ ผลานิ ปาเตเนฺต เอโก กณฺหสโปฺป วมฺมิกา นิกฺขมิตฺวา ตาลรุกฺขํ อารุหิฯ เหฎฺฐา ปติฎฺฐิตา ทเณฺฑหิ ปหรนฺตา นิวาเรตุํ นาสกฺขิํสุฯ เต ‘‘สโปฺป ตาลํ อภิรุหตี’’ติ อิตรสฺส อาจิกฺขิํสุฯ โส ภีโต มหาวิรวํ วิรวิฯ เหฎฺฐา ฐิตา เอกํ ถิรสาฎกํ จตูสุ กเณฺณสุ คเหตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ สาฎเก ปตา’’ติ อาหํสุฯ โส ปตโนฺต จตุนฺนมฺปิ อนฺตเร สาฎกมเชฺฌ ปติฯ ตสฺส ปน ปาตนเวเคน เต สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺตา อญฺญมญฺญํ สีเสหิ ปหริตฺวา ภิเนฺนหิ สีเสหิ ชีวิตกฺขยํ ปตฺตาฯ อิทมฺปิ การณํ ทเสฺสโนฺต ปญฺจมํ คาถมาห –
Aparepi bārāṇasivāsino gopālakā phalitaṃ tālarukkhaṃ disvā ekaṃ tālaphalatthāya rukkhaṃ āropesuṃ. Tasmiṃ phalāni pātente eko kaṇhasappo vammikā nikkhamitvā tālarukkhaṃ āruhi. Heṭṭhā patiṭṭhitā daṇḍehi paharantā nivāretuṃ nāsakkhiṃsu. Te ‘‘sappo tālaṃ abhiruhatī’’ti itarassa ācikkhiṃsu. So bhīto mahāviravaṃ viravi. Heṭṭhā ṭhitā ekaṃ thirasāṭakaṃ catūsu kaṇṇesu gahetvā ‘‘imasmiṃ sāṭake patā’’ti āhaṃsu. So patanto catunnampi antare sāṭakamajjhe pati. Tassa pana pātanavegena te sandhāretuṃ asakkontā aññamaññaṃ sīsehi paharitvā bhinnehi sīsehi jīvitakkhayaṃ pattā. Idampi kāraṇaṃ dassento pañcamaṃ gāthamāha –
๑๐๘.
108.
‘‘จตุโร ชนา โปตฺถกมคฺคเหสุํ, เอกญฺจ โปสํ อนุรกฺขมานา;
‘‘Caturo janā potthakamaggahesuṃ, ekañca posaṃ anurakkhamānā;
สเพฺพว เต ภินฺนสิรา สยิํสุ, อยมฺปิ อโตฺถ พหุตาทิโสวา’’ติฯ
Sabbeva te bhinnasirā sayiṃsu, ayampi attho bahutādisovā’’ti.
ตตฺถ โปตฺถกนฺติ สาณสาฎกํฯ สเพฺพว เตติ เตปิ จตฺตาโร ชนา อตฺตนา กเตเนว ภินฺนสีสา สยิํสุฯ
Tattha potthakanti sāṇasāṭakaṃ. Sabbeva teti tepi cattāro janā attanā kateneva bhinnasīsā sayiṃsu.
อปเรปิ พาราณสิวาสิโน เอฬกโจรา รตฺติํ เอกํ อชํ เถเนตฺวา ‘‘ทิวา อรเญฺญ ขาทิสฺสามา’’ติ ตสฺสา อวสฺสนตฺถาย มุขํ พนฺธิตฺวา เวฬุคุเมฺพ ฐเปสุํฯ ปุนทิวเส ตํ ขาทิตุํ คจฺฉนฺตา อาวุธํ ปมุสฺสิตฺวา อคมํสุฯ เต ‘‘อชํ มาเรตฺวา มํสํ ปจิตฺวา ขาทิสฺสาม, อาหรถาวุธ’’นฺติ เอกสฺสปิ หเตฺถ อาวุธํ อทิสฺวา ‘‘วินา อาวุเธน เอตํ มาเรตฺวาปิ มํสํ คเหตุํ น สกฺกา, วิสฺสเชฺชถ นํ, ปุญฺญมสฺส อตฺถี’’ติ วิสฺสเชฺชสุํฯ ตทา เอโก นฬกาโร เวฬุํ คเหตฺวา ‘‘ปุนปิ อาคนฺตฺวา คเหสฺสามี’’ติ นฬการสตฺถํ เวฬุคุมฺพนฺตเร ฐเปตฺวา ปกฺกามิฯ อชา ‘‘มุตฺตามฺหี’’ติ ตุสฺสิตฺวา เวฬุมูเล กีฬมานา ปจฺฉิมปาเทหิ ปหริตฺวา ตํ สตฺถํ ปาเตสิฯ โจรา สตฺถสทฺทํ สุตฺวา อุปธาเรนฺตา ตํ ทิสฺวา ตุฎฺฐมานสา อชํ มาเรตฺวา มํสํ ขาทิํสุฯ อิติ ‘‘สาปิ อชา อตฺตนา กเตเนว มตา’’ติ ทเสฺสตุํ ฉฎฺฐํ คาถมาห –
Aparepi bārāṇasivāsino eḷakacorā rattiṃ ekaṃ ajaṃ thenetvā ‘‘divā araññe khādissāmā’’ti tassā avassanatthāya mukhaṃ bandhitvā veḷugumbe ṭhapesuṃ. Punadivase taṃ khādituṃ gacchantā āvudhaṃ pamussitvā agamaṃsu. Te ‘‘ajaṃ māretvā maṃsaṃ pacitvā khādissāma, āharathāvudha’’nti ekassapi hatthe āvudhaṃ adisvā ‘‘vinā āvudhena etaṃ māretvāpi maṃsaṃ gahetuṃ na sakkā, vissajjetha naṃ, puññamassa atthī’’ti vissajjesuṃ. Tadā eko naḷakāro veḷuṃ gahetvā ‘‘punapi āgantvā gahessāmī’’ti naḷakārasatthaṃ veḷugumbantare ṭhapetvā pakkāmi. Ajā ‘‘muttāmhī’’ti tussitvā veḷumūle kīḷamānā pacchimapādehi paharitvā taṃ satthaṃ pātesi. Corā satthasaddaṃ sutvā upadhārentā taṃ disvā tuṭṭhamānasā ajaṃ māretvā maṃsaṃ khādiṃsu. Iti ‘‘sāpi ajā attanā kateneva matā’’ti dassetuṃ chaṭṭhaṃ gāthamāha –
๑๐๙.
109.
‘‘อชา ยถา เวฬุคุมฺพสฺมิํ พทฺธา, อวกฺขิปนฺตี อสิมชฺฌคจฺฉิ;
‘‘Ajā yathā veḷugumbasmiṃ baddhā, avakkhipantī asimajjhagacchi;
เตเนว ตสฺสา คลกาวกนฺตํ, อยมฺปิ อโตฺถ พหุตาทิโสวา’’ติฯ
Teneva tassā galakāvakantaṃ, ayampi attho bahutādisovā’’ti.
ตตฺถ อวกฺขิปนฺตีติ กีฬมานา ปจฺฉิมปาเท ขิปนฺตีฯ
Tattha avakkhipantīti kīḷamānā pacchimapāde khipantī.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘อตฺตโน วจนํ รกฺขิตฺวา มิตภาณิโน นาม มรณทุกฺขา มุจฺจนฺตี’’ติ ทเสฺสตฺวา กินฺนรวตฺถุํ อาหริฯ
Evañca pana vatvā ‘‘attano vacanaṃ rakkhitvā mitabhāṇino nāma maraṇadukkhā muccantī’’ti dassetvā kinnaravatthuṃ āhari.
พาราณสิวาสี กิเรโก ลุทฺทโก หิมวนฺตํ คนฺตฺวา เอเกนุปาเยน ชยมฺปติเก เทฺว กินฺนเร คเหตฺวา อาเนตฺวา รโญฺญ อทาสิฯ ราชา อทิฎฺฐปุเพฺพ กินฺนเร ทิสฺวา ตุสฺสิตฺวา ‘‘ลุทฺท, อิเมสํ โก คุโณ’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทว, เอเต มธุเรน สเทฺทน คายนฺติ, มนุญฺญํ นจฺจนฺติ, มนุสฺสา เอวํ คายิตุญฺจ นจฺจิตุญฺจ น ชานนฺตี’’ติฯ ราชา ลุทฺทสฺส พหุํ ธนํ ทตฺวา กินฺนเร ‘‘คายถ นจฺจถา’’ติ อาหฯ กินฺนรา ‘‘สเจ มยํ คายนฺตา พฺยญฺชนํ ปริปุณฺณํ กาตุํ น สกฺขิสฺสาม, ทุคฺคีตํ โหติ, อเมฺห ครหิสฺสนฺติ วธิสฺสนฺติ, พหุํ กเถนฺตานญฺจ ปน มุสาวาโทปิ โหตี’’ติ มุสาวาทภเยน รญฺญา ปุนปฺปุนํ วุตฺตาปิ น คายิํสุ น นจฺจิํสุฯ ราชา กุชฺฌิตฺวา ‘‘อิเม มาเรตฺวา มํสํ ปจิตฺวา อาหรถา’’ติ อาณาเปโนฺต สตฺตมํ คาถมาห –
Bārāṇasivāsī kireko luddako himavantaṃ gantvā ekenupāyena jayampatike dve kinnare gahetvā ānetvā rañño adāsi. Rājā adiṭṭhapubbe kinnare disvā tussitvā ‘‘ludda, imesaṃ ko guṇo’’ti pucchi. ‘‘Deva, ete madhurena saddena gāyanti, manuññaṃ naccanti, manussā evaṃ gāyituñca naccituñca na jānantī’’ti. Rājā luddassa bahuṃ dhanaṃ datvā kinnare ‘‘gāyatha naccathā’’ti āha. Kinnarā ‘‘sace mayaṃ gāyantā byañjanaṃ paripuṇṇaṃ kātuṃ na sakkhissāma, duggītaṃ hoti, amhe garahissanti vadhissanti, bahuṃ kathentānañca pana musāvādopi hotī’’ti musāvādabhayena raññā punappunaṃ vuttāpi na gāyiṃsu na nacciṃsu. Rājā kujjhitvā ‘‘ime māretvā maṃsaṃ pacitvā āharathā’’ti āṇāpento sattamaṃ gāthamāha –
๑๑๐.
110.
‘‘อิเม น เทวา น คนฺธพฺพปุตฺตา, มิคา อิเม อตฺถวสํ คตา เม;
‘‘Ime na devā na gandhabbaputtā, migā ime atthavasaṃ gatā me;
เอกญฺจ นํ สายมาเส ปจนฺตุ, เอกํ ปุนปฺปาตราเส ปจนฺตู’’ติฯ
Ekañca naṃ sāyamāse pacantu, ekaṃ punappātarāse pacantū’’ti.
ตตฺถ มิคา อิเมติ อิเม สเจ เทวา คนฺธพฺพา วา ภเวยฺยุํ, นเจฺจยฺยุเญฺจว คาเยยฺยุญฺจ, อิเม ปน มิคา ติรจฺฉานคตาฯ อตฺถวสํ คตา เมติ อตฺถํ ปจฺจาสีสเนฺตน ลุเทฺทน อานีตตฺตา อตฺถวเสน มม หตฺถํ คตาฯ เอเตสุ เอกํ สายมาเส, เอกํ ปาตราเส ปจนฺตูติฯ
Tattha migā imeti ime sace devā gandhabbā vā bhaveyyuṃ, nacceyyuñceva gāyeyyuñca, ime pana migā tiracchānagatā. Atthavasaṃ gatā meti atthaṃ paccāsīsantena luddena ānītattā atthavasena mama hatthaṃ gatā. Etesu ekaṃ sāyamāse, ekaṃ pātarāse pacantūti.
กินฺนรี จิเนฺตสิ ‘‘ราชา กุโทฺธ นิสฺสํสยํ มาเรสฺสติ, อิทานิ กเถตุํ กาโล’’ติ อฎฺฐมํ คาถมาห –
Kinnarī cintesi ‘‘rājā kuddho nissaṃsayaṃ māressati, idāni kathetuṃ kālo’’ti aṭṭhamaṃ gāthamāha –
๑๑๑.
111.
‘‘สตํ สหสฺสานิ ทุภาสิตานิ, กลมฺปิ นาคฺฆนฺติ สุภาสิตสฺส;
‘‘Sataṃ sahassāni dubhāsitāni, kalampi nāgghanti subhāsitassa;
ทุพฺภาสิตํ สงฺกมาโน กิเลโส, ตสฺมา ตุณฺหี กิมฺปุริสา น พาลฺยา’’ติฯ
Dubbhāsitaṃ saṅkamāno kileso, tasmā tuṇhī kimpurisā na bālyā’’ti.
ตตฺถ สงฺกมาโน กิเลโสติ กทาจิ อหํ ภาสมาโน ทุพฺภาสิตํ ภาเสยฺยํ, เอวํ ทุพฺภาสิตํ สงฺกมาโน กิลิสฺสติ กิลมติฯ ตสฺมาติ เตน การเณน ตุมฺหากํ น คายิํ, น พาลภาเวนาติฯ
Tattha saṅkamāno kilesoti kadāci ahaṃ bhāsamāno dubbhāsitaṃ bhāseyyaṃ, evaṃ dubbhāsitaṃ saṅkamāno kilissati kilamati. Tasmāti tena kāraṇena tumhākaṃ na gāyiṃ, na bālabhāvenāti.
ราชา กินฺนริยา ตุสฺสิตฺวา อนนฺตรํ คาถมาห –
Rājā kinnariyā tussitvā anantaraṃ gāthamāha –
๑๑๒.
112.
‘‘ยา เมสา พฺยาหาสิ ปมุญฺจเถตํ, คิริญฺจ นํ หิมวนฺตํ นยนฺตุ;
‘‘Yā mesā byāhāsi pamuñcathetaṃ, giriñca naṃ himavantaṃ nayantu;
อิมญฺจ โข เทนฺตุ มหานสาย, ปาโตว นํ ปาตราเส ปจนฺตู’’ติฯ
Imañca kho dentu mahānasāya, pātova naṃ pātarāse pacantū’’ti.
ตตฺถ ยา เมสาติ ยา เม เอสาฯ เทนฺตูติ มหานสตฺถาย เทนฺตุฯ
Tattha yā mesāti yā me esā. Dentūti mahānasatthāya dentu.
กินฺนโร รโญฺญ วจนํ สุตฺวา ‘‘อยํ มํ อกเถนฺตํ อวสฺสํ มาเรสฺสติ, อิทานิ กเถตุํ วฎฺฎตี’’ติ อิตรํ คาถมาห –
Kinnaro rañño vacanaṃ sutvā ‘‘ayaṃ maṃ akathentaṃ avassaṃ māressati, idāni kathetuṃ vaṭṭatī’’ti itaraṃ gāthamāha –
๑๑๓.
113.
‘‘ปชฺชุนฺนนาถา ปสโว, ปสุนาถา อยํ ปชา;
‘‘Pajjunnanāthā pasavo, pasunāthā ayaṃ pajā;
ตฺวํ นาโถสิ มหาราช, นาโถหํ ภริยาย เม;
Tvaṃ nāthosi mahārāja, nāthohaṃ bhariyāya me;
ทฺวินฺนมญฺญตรํ ญตฺวา, มุโตฺต คเจฺฉยฺย ปพฺพต’’นฺติฯ
Dvinnamaññataraṃ ñatvā, mutto gaccheyya pabbata’’nti.
ตตฺถ ปชฺชุนฺนนาถา ปสโวติ ติณภกฺขา ปสโว เมฆนาถา นามฯ ปสุนาถา อยํ ปชาติ อยํ ปน มนุสฺสปชา ปญฺจโครเสน อุปชีวนฺตี ปสุนาถา ปสุปติฎฺฐาฯ ตฺวํ นาโถสีติ ตฺวํ มม ปติฎฺฐา อสิฯ นาโถหนฺติ มม ภริยาย อหํ นาโถ, อหมสฺสา ปติฎฺฐาฯ ทฺวินฺนมญฺญตรํ ญตฺวา, มุโตฺต คเจฺฉยฺย ปพฺพตนฺติ อมฺหากํ ทฺวินฺนํ อนฺตเร เอโก เอกํ มตํ ญตฺวา สยํ มรณโต มุโตฺต หิมวนฺตํ คเจฺฉยฺย, ชีวมานา ปน มยํ อญฺญมญฺญํ น ชหาม, ตสฺมา สเจปิ อิมํ หิมวนฺตํ เปเสตุกาโม, มํ ปฐมํ มาเรตฺวา ปจฺฉา เปเสหีติฯ
Tattha pajjunnanāthā pasavoti tiṇabhakkhā pasavo meghanāthā nāma. Pasunāthā ayaṃ pajāti ayaṃ pana manussapajā pañcagorasena upajīvantī pasunāthā pasupatiṭṭhā. Tvaṃ nāthosīti tvaṃ mama patiṭṭhā asi. Nāthohanti mama bhariyāya ahaṃ nātho, ahamassā patiṭṭhā. Dvinnamaññataraṃ ñatvā, mutto gaccheyya pabbatanti amhākaṃ dvinnaṃ antare eko ekaṃ mataṃ ñatvā sayaṃ maraṇato mutto himavantaṃ gaccheyya, jīvamānā pana mayaṃ aññamaññaṃ na jahāma, tasmā sacepi imaṃ himavantaṃ pesetukāmo, maṃ paṭhamaṃ māretvā pacchā pesehīti.
เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘มหาราช, น มยํ ตว วจนํ อกาตุกามตาย ตุณฺหี อหุมฺห, มยํ กถาย ปน โทสํ ทิสฺวา น กถยิมฺหา’’ติ ทีเปโนฺต อิมํ คาถาทฺวยมาห –
Evañca pana vatvā ‘‘mahārāja, na mayaṃ tava vacanaṃ akātukāmatāya tuṇhī ahumha, mayaṃ kathāya pana dosaṃ disvā na kathayimhā’’ti dīpento imaṃ gāthādvayamāha –
๑๑๔.
114.
‘‘น เว นินฺทา สุปริวชฺชเยถ, นานา ชนา เสวิตพฺพา ชนินฺท;
‘‘Na ve nindā suparivajjayetha, nānā janā sevitabbā janinda;
เยเนว เอโก ลภเต ปสํสํ, เตเนว อโญฺญ ลภเต นินฺทิตารํฯ
Yeneva eko labhate pasaṃsaṃ, teneva añño labhate ninditāraṃ.
๑๑๕.
115.
‘‘สโพฺพ โลโก ปริจิโตฺต อติจิโตฺต, สโพฺพ โลโก จิตฺตวา สมฺหิ จิเตฺต;
‘‘Sabbo loko paricitto aticitto, sabbo loko cittavā samhi citte;
ปเจฺจกจิตฺตา ปุถุ สพฺพสตฺตา, กสฺสีธ จิตฺตสฺส วเสน วเตฺต’’ติฯ
Paccekacittā puthu sabbasattā, kassīdha cittassa vasena vatte’’ti.
ตตฺถ สุปริวชฺชเยถาติ มหาราช, นินฺทา นาม สุเขน ปริวเชฺชตุํ น สกฺกาฯ นานา ชนาติ นานาฉนฺทา ชนาฯ เยเนวาติ เยน สีลาทิคุเณน เอโก ปสํสํ ลภติ, เตเนว อโญฺญ นินฺทิตารํ ลภติฯ อมฺหากญฺหิ กินฺนรานํ อนฺตเร กถเนน ปสํสํ ลภติ, มนุสฺสานํ อนฺตเร นินฺทํ, อิติ นินฺทา นาม ทุปฺปริวชฺชิยา, สฺวาหํ กถํ ตว สนฺติกา ปสํสํ ลภิสฺสามีติฯ
Tattha suparivajjayethāti mahārāja, nindā nāma sukhena parivajjetuṃ na sakkā. Nānā janāti nānāchandā janā. Yenevāti yena sīlādiguṇena eko pasaṃsaṃ labhati, teneva añño ninditāraṃ labhati. Amhākañhi kinnarānaṃ antare kathanena pasaṃsaṃ labhati, manussānaṃ antare nindaṃ, iti nindā nāma dupparivajjiyā, svāhaṃ kathaṃ tava santikā pasaṃsaṃ labhissāmīti.
สโพฺพ โลโก ปริจิโตฺตติ มหาราช, อสปฺปุริโส นาม ปาณาติปาตาทิจิเตฺตน, สปฺปุริโส ปาณาติปาตา เวรมณิ อาทิจิเตฺตน อติจิโตฺตติ, เอวํ สโพฺพ โลโก ปริจิโตฺต อติจิโตฺตติ อโตฺถฯ จิตฺตวา สมฺหิ จิเตฺตติ สโพฺพ ปน โลโก อตฺตโน หีเนน วา ปณีเตน วา จิเตฺตน จิตฺตวา นามฯ ปเจฺจกจิตฺตาติ ปาฎิเยกฺกจิตฺตา ปุถุปฺปเภทา สเพฺพ สตฺตาฯ เตสุ กเสฺสกสฺส ตว วา อญฺญสฺส วา จิเตฺตน กินฺนรี วา มาทิโส วา อโญฺญ วา วเตฺตยฺย, ตสฺมา ‘‘อยํ มม จิตฺตวเสน น วตฺตตี’’ติ, มา มยฺหํ กุชฺฌิฯ สพฺพสตฺตา หิ อตฺตโน จิตฺตวเสน คจฺฉนฺติ, เทวาติฯ กิมฺปุริโส รโญฺญ ธมฺมํ เทเสสิฯ
Sabbo loko paricittoti mahārāja, asappuriso nāma pāṇātipātādicittena, sappuriso pāṇātipātā veramaṇi ādicittena aticittoti, evaṃ sabbo loko paricitto aticittoti attho. Cittavā samhi citteti sabbo pana loko attano hīnena vā paṇītena vā cittena cittavā nāma. Paccekacittāti pāṭiyekkacittā puthuppabhedā sabbe sattā. Tesu kassekassa tava vā aññassa vā cittena kinnarī vā mādiso vā añño vā vatteyya, tasmā ‘‘ayaṃ mama cittavasena na vattatī’’ti, mā mayhaṃ kujjhi. Sabbasattā hi attano cittavasena gacchanti, devāti. Kimpuriso rañño dhammaṃ desesi.
ราชา ‘‘สภาวเมว กเถติ ปณฺฑิโต กินฺนโร’’ติ โสมนสฺสปฺปโตฺต หุตฺวา โอสานคาถมาห –
Rājā ‘‘sabhāvameva katheti paṇḍito kinnaro’’ti somanassappatto hutvā osānagāthamāha –
๑๑๖.
116.
‘‘ตุณฺหี อหู กิมฺปุริโส สภริโย, โย ทานิ พฺยาหาสิ ภยสฺส ภีโต;
‘‘Tuṇhī ahū kimpuriso sabhariyo, yo dāni byāhāsi bhayassa bhīto;
โส ทานิ มุโตฺต สุขิโต อโรโค, วาจากิเรวตฺถวตี นราน’’นฺติฯ
So dāni mutto sukhito arogo, vācākirevatthavatī narāna’’nti.
ตตฺถ วาจากิเรวตฺถวตี นรานนฺติ วาจาคิรา เอว อิเมสํ สตฺตานํ อตฺถวตี หิตาวหา โหตีติ อโตฺถฯ
Tattha vācākirevatthavatī narānanti vācāgirā eva imesaṃ sattānaṃ atthavatī hitāvahā hotīti attho.
ราชา กินฺนเร สุวณฺณปญฺชเร นิสีทาเปตฺวา ตเมว ลุทฺทํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘คจฺฉ ภเณ, คหิตฎฺฐาเนเยว วิสฺสเชฺชหี’’ติ วิสฺสชฺชาเปสิฯ มหาสโตฺตปิ ‘‘อาจริย, เอวํ กินฺนรา วาจํ รกฺขิตฺวา ปตฺตกาเล กถิเตน สุภาสิเตเนว มุตฺตา, ตฺวํ ปน ทุกฺกถิเตน มหาทุกฺขํ ปโตฺต’’ติ อิทํ อุทาหรณํ ทเสฺสตฺวา ‘‘อาจริย, มา ภายิ, ชีวิตํ เต อหํ ทสฺสามี’’ติ อสฺสาเสสิ, ‘‘อปิจ โข ปน ตุเมฺห มํ รเกฺขยฺยาถา’’ติวุเตฺต ‘‘น ตาว นกฺขตฺตโยโค ลพฺภตี’’ติ ทิวสํ วีตินาเมตฺวา มชฺฌิมยามสมนนฺตเร มตํ เอฬกํ อาหราเปตฺวา ‘‘พฺราหฺมณ, ยตฺถ กตฺถจิ คนฺตฺวา ชีวาหี’’ติ กญฺจิ อชานาเปตฺวา อุโยฺยเชตฺวา เอฬกมํเสน พลิํ กตฺวา ทฺวารํ ปติฎฺฐาเปสิฯ
Rājā kinnare suvaṇṇapañjare nisīdāpetvā tameva luddaṃ pakkosāpetvā ‘‘gaccha bhaṇe, gahitaṭṭhāneyeva vissajjehī’’ti vissajjāpesi. Mahāsattopi ‘‘ācariya, evaṃ kinnarā vācaṃ rakkhitvā pattakāle kathitena subhāsiteneva muttā, tvaṃ pana dukkathitena mahādukkhaṃ patto’’ti idaṃ udāharaṇaṃ dassetvā ‘‘ācariya, mā bhāyi, jīvitaṃ te ahaṃ dassāmī’’ti assāsesi, ‘‘apica kho pana tumhe maṃ rakkheyyāthā’’tivutte ‘‘na tāva nakkhattayogo labbhatī’’ti divasaṃ vītināmetvā majjhimayāmasamanantare mataṃ eḷakaṃ āharāpetvā ‘‘brāhmaṇa, yattha katthaci gantvā jīvāhī’’ti kañci ajānāpetvā uyyojetvā eḷakamaṃsena baliṃ katvā dvāraṃ patiṭṭhāpesi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ โกกาลิโก วาจาย หโตเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา กฬารปิงฺคโล โกกาลิโก อโหสิ, ตกฺการิยปณฺฑิโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi kokāliko vācāya hatoyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā kaḷārapiṅgalo kokāliko ahosi, takkāriyapaṇḍito pana ahameva ahosi’’nti.
ตกฺการิยชาตกวณฺณนา อฎฺฐมาฯ
Takkāriyajātakavaṇṇanā aṭṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๘๑. ตกฺการิยชาตกํ • 481. Takkāriyajātakaṃ