Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā |
๓. ตปนียสุตฺตวณฺณนา
3. Tapanīyasuttavaṇṇanā
๓๐. ตติเย ตปนียาติ อิธ เจว สมฺปราเย จ ตปนฺติ วิพาเธนฺติ วิเหเฐนฺตีติ ตปนียาฯ ตปนํ วา ทุกฺขํ ทิเฎฺฐ เจว ธเมฺม อภิสมฺปราเย จ ตสฺส อุปฺปาทเนน เจว อนุพลปฺปทาเนน จ หิตาติ ตปนียาฯ อถ วา ตปนฺติ เตนาติ ตปนํ, ปจฺฉานุตาโป, วิปฺปฎิสาโรติ อโตฺถ, ตสฺส เหตุภาวโต หิตาติ ตปนียาฯ อกตกลฺยาโณติ อกตํ กลฺยาณํ ภทฺทกํ ปุญฺญํ เอเตนาติ อกตกลฺยาโณฯ เสสปททฺวยํ ตเสฺสว เววจนํฯ ปุญฺญญฺหิ ปวตฺติหิตตาย อายติํสุขตาย จ ภทฺทกเฎฺฐน กลฺยาณนฺติ จ กุจฺฉิตสลนาทิอเตฺถน กุสลนฺติ จ ทุกฺขภีรูนํ สํสารภีรูนญฺจ รกฺขนเฎฺฐน ภีรุตฺตาณนฺติ จ วุจฺจติฯ กตปาโปติ กตํ อุปจิตํ ปาปํ เอเตนาติ กตปาโปฯ เสสปททฺวยํ ตเสฺสว เววจนํฯ อกุสลกมฺมญฺหิ ลามกเฎฺฐน ปาปนฺติ จ อตฺตโน ปวตฺติกฺขเณ วิปากกฺขเณ จ โฆรสภาวตาย ลุทฺทนฺติ จ กิเลเสหิ ทูสิตภาเวน กิพฺพิสนฺติ จ วุจฺจติฯ อิติ ภควา ‘‘เทฺว ธมฺมา ตปนียา’’ติ ธมฺมาธิฎฺฐาเนน อุทฺทิสิตฺวา อกตํ กุสลํ ธมฺมํ กตญฺจ อกุสลํ ธมฺมํ ปุคฺคลาธิฎฺฐาเนน นิทฺทิสิฯ อิทานิ เตสํ ตปนียภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โส อกตํ เม กลฺยาณนฺติปิ ตปฺปติ, กตํ เม ปาปนฺติปิ ตปฺปตี’’ติ อาหฯ จิตฺตสนฺตาเสน ตปฺปติ อนุตปฺปติ อนุโสจตีติ อโตฺถฯ
30. Tatiye tapanīyāti idha ceva samparāye ca tapanti vibādhenti viheṭhentīti tapanīyā. Tapanaṃ vā dukkhaṃ diṭṭhe ceva dhamme abhisamparāye ca tassa uppādanena ceva anubalappadānena ca hitāti tapanīyā. Atha vā tapanti tenāti tapanaṃ, pacchānutāpo, vippaṭisāroti attho, tassa hetubhāvato hitāti tapanīyā. Akatakalyāṇoti akataṃ kalyāṇaṃ bhaddakaṃ puññaṃ etenāti akatakalyāṇo. Sesapadadvayaṃ tasseva vevacanaṃ. Puññañhi pavattihitatāya āyatiṃsukhatāya ca bhaddakaṭṭhena kalyāṇanti ca kucchitasalanādiatthena kusalanti ca dukkhabhīrūnaṃ saṃsārabhīrūnañca rakkhanaṭṭhena bhīruttāṇanti ca vuccati. Katapāpoti kataṃ upacitaṃ pāpaṃ etenāti katapāpo. Sesapadadvayaṃ tasseva vevacanaṃ. Akusalakammañhi lāmakaṭṭhena pāpanti ca attano pavattikkhaṇe vipākakkhaṇe ca ghorasabhāvatāya luddanti ca kilesehi dūsitabhāvena kibbisanti ca vuccati. Iti bhagavā ‘‘dve dhammā tapanīyā’’ti dhammādhiṭṭhānena uddisitvā akataṃ kusalaṃ dhammaṃ katañca akusalaṃ dhammaṃ puggalādhiṭṭhānena niddisi. Idāni tesaṃ tapanīyabhāvaṃ dassento ‘‘so akataṃ me kalyāṇantipi tappati, kataṃ me pāpantipi tappatī’’ti āha. Cittasantāsena tappati anutappati anusocatīti attho.
คาถาสุ ทุฎฺฐุ จริตํ, กิเลสปูติกตฺตา วา ทุฎฺฐํ จริตนฺติ ทุจฺจริตํฯ กาเยน ทุจฺจริตํ, กายโต วา ปวตฺตํ ทุจฺจริตํ กายทุจฺจริตํฯ เอวํ วจีมโนทุจฺจริตานิปิ ทฎฺฐพฺพานิฯ อิมานิ จ กายทุจฺจริตาทีนิ กมฺมปถปฺปตฺตานิ อธิเปฺปตานีติ ยํ น กมฺมปถปฺปตฺตํ อกุสลชาตํ, ตํ สนฺธายาห ‘‘ยญฺจญฺญํ โทสสญฺหิต’’นฺติฯ ตสฺสโตฺถ – ยมฺปิ จ อญฺญํ กมฺมปถภาวํ อปฺปตฺตตฺตา นิปฺปริยาเยน กายกมฺมาทิสงฺขํ น ลภติ, ราคาทิกิเลสสํสฎฺฐตฺตา โทสสหิตํ อกุสลํ ตมฺปิ กตฺวาติ อโตฺถฯ นิรยนฺติ นิรติอเตฺถน นิรสฺสาทเฎฺฐน วา นิรยนฺติ ลทฺธนามํ สพฺพมฺปิ ทุคฺคติํ, อยสงฺขาตสุขปฺปฎิเกฺขเปน วา สพฺพตฺถ สุคติทุคฺคตีสุ นิรยทุกฺขํฯ โส ตาทิโส ปุคฺคโล อุปคจฺฉตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
Gāthāsu duṭṭhu caritaṃ, kilesapūtikattā vā duṭṭhaṃ caritanti duccaritaṃ. Kāyena duccaritaṃ, kāyato vā pavattaṃ duccaritaṃ kāyaduccaritaṃ. Evaṃ vacīmanoduccaritānipi daṭṭhabbāni. Imāni ca kāyaduccaritādīni kammapathappattāni adhippetānīti yaṃ na kammapathappattaṃ akusalajātaṃ, taṃ sandhāyāha ‘‘yañcaññaṃ dosasañhita’’nti. Tassattho – yampi ca aññaṃ kammapathabhāvaṃ appattattā nippariyāyena kāyakammādisaṅkhaṃ na labhati, rāgādikilesasaṃsaṭṭhattā dosasahitaṃ akusalaṃ tampi katvāti attho. Nirayanti niratiatthena nirassādaṭṭhena vā nirayanti laddhanāmaṃ sabbampi duggatiṃ, ayasaṅkhātasukhappaṭikkhepena vā sabbattha sugatiduggatīsu nirayadukkhaṃ. So tādiso puggalo upagacchatīti evamettha attho daṭṭhabbo.
เอตฺถ จ กายทุจฺจริตสฺส ตปนียภาเว นโนฺท ยโกฺข นโนฺท มาณวโก นโนฺท โคฆาตโก เทฺว ภาติกาติ เอเตสํ วตฺถูนิ กเถตพฺพานิฯ เต กิร คาวิํ วธิตฺวา มํสํ เทฺว โกฎฺฐาเส อกํสุฯ ตโต กนิโฎฺฐ เชฎฺฐํ อาห – ‘‘มยฺหํ ทารกา พหู, อิมานิ เม อนฺตานิ เทหี’’ติฯ อถ นํ เชโฎฺฐ – ‘‘สพฺพํ มํสํ เทฺวธา วิภตฺตํ, ปุน กิมคฺคเหสี’’ติ ปหริตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปสิฯ นิวตฺติตฺวา จ นํ โอโลเกโนฺต มตํ ทิสฺวา ‘‘ภาริยํ วต มยา กตํ, สฺวาหํ อการเณเนว นํ มาเรสิ’’นฺติ จิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ อถสฺส พลววิปฺปฎิสาโร อุปฺปชฺชิฯ โส ฐิตฎฺฐาเนปิ นิสินฺนฎฺฐาเนปิ ตเทว กมฺมํ อาวเชฺชติ, จิตฺตสฺสาทํ น ลภติ, อสิตปีตขายิตมฺปิสฺส สรีเร โอชํ น ผรติ, อฎฺฐิจมฺมมตฺตเมว อโหสิฯ อถ นํ เอโก เถโร ปุจฺฉิ ‘‘อุปาสก, ตฺวํ อติวิย กิโส อฎฺฐิจมฺมมโตฺต ชาโต, กีทิโส เต โรโค, อุทาหุ อตฺถิ กิญฺจิ ตปนียํ กมฺมํ กต’’นฺติ? โส ‘‘อาม, ภเนฺต’’ติ สพฺพํ อาโรเจสิฯ อถสฺส โส ‘‘ภาริยํ เต, อุปาสก, กมฺมํ กตํ, อนปราธฎฺฐาเน อปรทฺธ’’นฺติ อาหฯ โส เตเนว กมฺมุนา กาลํ กตฺวา นิรเย นิพฺพตฺติฯ วจีทุจฺจริตสฺส ปน สุปฺปพุทฺธสกฺกโกกาลิกจิญฺจมาณวิกาทีนํ วตฺถูนิ กเถตพฺพานิ, มโนทุจฺจริตสฺส อุกฺกลชยภญฺญาทีนํฯ
Ettha ca kāyaduccaritassa tapanīyabhāve nando yakkho nando māṇavako nando goghātako dve bhātikāti etesaṃ vatthūni kathetabbāni. Te kira gāviṃ vadhitvā maṃsaṃ dve koṭṭhāse akaṃsu. Tato kaniṭṭho jeṭṭhaṃ āha – ‘‘mayhaṃ dārakā bahū, imāni me antāni dehī’’ti. Atha naṃ jeṭṭho – ‘‘sabbaṃ maṃsaṃ dvedhā vibhattaṃ, puna kimaggahesī’’ti paharitvā jīvitakkhayaṃ pāpesi. Nivattitvā ca naṃ olokento mataṃ disvā ‘‘bhāriyaṃ vata mayā kataṃ, svāhaṃ akāraṇeneva naṃ māresi’’nti cittaṃ uppādesi. Athassa balavavippaṭisāro uppajji. So ṭhitaṭṭhānepi nisinnaṭṭhānepi tadeva kammaṃ āvajjeti, cittassādaṃ na labhati, asitapītakhāyitampissa sarīre ojaṃ na pharati, aṭṭhicammamattameva ahosi. Atha naṃ eko thero pucchi ‘‘upāsaka, tvaṃ ativiya kiso aṭṭhicammamatto jāto, kīdiso te rogo, udāhu atthi kiñci tapanīyaṃ kammaṃ kata’’nti? So ‘‘āma, bhante’’ti sabbaṃ ārocesi. Athassa so ‘‘bhāriyaṃ te, upāsaka, kammaṃ kataṃ, anaparādhaṭṭhāne aparaddha’’nti āha. So teneva kammunā kālaṃ katvā niraye nibbatti. Vacīduccaritassa pana suppabuddhasakkakokālikaciñcamāṇavikādīnaṃ vatthūni kathetabbāni, manoduccaritassa ukkalajayabhaññādīnaṃ.
ตติยสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Tatiyasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๓. ตปนียสุตฺตํ • 3. Tapanīyasuttaṃ