Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya

    ๑๐. ตปุสฺสสุตฺตํ

    10. Tapussasuttaṃ

    ๔๑. เอกํ สมยํ ภควา มเลฺลสุ วิหรติ อุรุเวลกปฺปํ นาม มลฺลานํ นิคโมฯ อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย อุรุเวลกปฺปํ ปิณฺฑาย ปาวิสิฯ อุรุเวลกเปฺป ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฎิกฺกโนฺต อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามเนฺตสิ – ‘‘อิเธว ตาว ตฺวํ, อานนฺท, โหหิ, ยาวาหํ มหาวนํ อโชฺฌคาหามิ ทิวาวิหารายา’’ติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข อายสฺมา อานโนฺท ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข ภควา มหาวนํ อโชฺฌคาเหตฺวา อญฺญตรสฺมิํ รุกฺขมูเล ทิวาวิหารํ นิสีทิฯ

    41. Ekaṃ samayaṃ bhagavā mallesu viharati uruvelakappaṃ nāma mallānaṃ nigamo. Atha kho bhagavā pubbaṇhasamayaṃ nivāsetvā pattacīvaramādāya uruvelakappaṃ piṇḍāya pāvisi. Uruvelakappe piṇḍāya caritvā pacchābhattaṃ piṇḍapātapaṭikkanto āyasmantaṃ ānandaṃ āmantesi – ‘‘idheva tāva tvaṃ, ānanda, hohi, yāvāhaṃ mahāvanaṃ ajjhogāhāmi divāvihārāyā’’ti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho āyasmā ānando bhagavato paccassosi. Atha kho bhagavā mahāvanaṃ ajjhogāhetvā aññatarasmiṃ rukkhamūle divāvihāraṃ nisīdi.

    อถ โข ตปุโสฺส คหปติ เยนายสฺมา อานโนฺท เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข ตปุโสฺส คหปติ อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ เอตทโวจ –

    Atha kho tapusso gahapati yenāyasmā ānando tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā āyasmantaṃ ānandaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho tapusso gahapati āyasmantaṃ ānandaṃ etadavoca –

    ‘‘มยํ, ภเนฺต อานนฺท, คิหี กามโภคิโน กามารามา กามรตา กามสมฺมุทิตาฯ เตสํ โน, ภเนฺต, อมฺหากํ คิหีนํ กามโภคีนํ กามารามานํ กามรตานํ กามสมฺมุทิตานํ ปปาโต วิย ขายติ, ยทิทํ เนกฺขมฺมํฯ สุตํ เมตํ, ภเนฺต, ‘อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย ทหรานํ ทหรานํ ภิกฺขูนํ เนกฺขเมฺม จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฎฺฐติ วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ 1ฯ ตยิทํ, ภเนฺต, อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย ภิกฺขูนํ พหุนา ชเนน วิสภาโค, ยทิทํ เนกฺขมฺม’’นฺติฯ

    ‘‘Mayaṃ, bhante ānanda, gihī kāmabhogino kāmārāmā kāmaratā kāmasammuditā. Tesaṃ no, bhante, amhākaṃ gihīnaṃ kāmabhogīnaṃ kāmārāmānaṃ kāmaratānaṃ kāmasammuditānaṃ papāto viya khāyati, yadidaṃ nekkhammaṃ. Sutaṃ metaṃ, bhante, ‘imasmiṃ dhammavinaye daharānaṃ daharānaṃ bhikkhūnaṃ nekkhamme cittaṃ pakkhandati pasīdati santiṭṭhati vimuccati etaṃ santanti passato’ 2. Tayidaṃ, bhante, imasmiṃ dhammavinaye bhikkhūnaṃ bahunā janena visabhāgo, yadidaṃ nekkhamma’’nti.

    ‘‘อตฺถิ โข เอตํ, คหปติ, กถาปาภตํ ภควนฺตํ ทสฺสนายฯ อายาม, คหปติ, เยน ภควา เตนุปสงฺกมิสฺสาม; อุปสงฺกมิตฺวา ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสฺสามฯ ยถา โน ภควา พฺยากริสฺสติ ตถา นํ ธาเรสฺสามา’’ติฯ

    ‘‘Atthi kho etaṃ, gahapati, kathāpābhataṃ bhagavantaṃ dassanāya. Āyāma, gahapati, yena bhagavā tenupasaṅkamissāma; upasaṅkamitvā bhagavato etamatthaṃ ārocessāma. Yathā no bhagavā byākarissati tathā naṃ dhāressāmā’’ti.

    ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข ตปุโสฺส คหปติ อายสฺมโต อานนฺทสฺส ปจฺจโสฺสสิฯ อถ โข อายสฺมา อานโนฺท ตปุเสฺสน คหปตินา สทฺธิํ เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา อานโนฺท ภควนฺตํ เอตทโวจ –

    ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho tapusso gahapati āyasmato ānandassa paccassosi. Atha kho āyasmā ānando tapussena gahapatinā saddhiṃ yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho āyasmā ānando bhagavantaṃ etadavoca –

    ‘‘อยํ , ภเนฺต, ตปุโสฺส คหปติ เอวมาห – ‘มยํ, ภเนฺต อานนฺท, คิหี กามโภคิโน กามารามา กามรตา กามสมฺมุทิตา, เตสํ โน ภเนฺต, อมฺหากํ คิหีนํ กามโภคีนํ กามารามานํ กามรตานํ กามสมฺมุทิตานํ ปปาโต วิย ขายติ, ยทิทํ เนกฺขมฺมํ’ฯ สุตํ เมตํ, ภเนฺต, ‘อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย ทหรานํ ทหรานํ ภิกฺขูนํ เนกฺขเมฺม จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฎฺฐติ วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ ตยิทํ, ภเนฺต, อิมสฺมิํ ธมฺมวินเย ภิกฺขูนํ พหุนา ชเนน วิสภาโค ยทิทํ เนกฺขมฺม’’’นฺติฯ

    ‘‘Ayaṃ , bhante, tapusso gahapati evamāha – ‘mayaṃ, bhante ānanda, gihī kāmabhogino kāmārāmā kāmaratā kāmasammuditā, tesaṃ no bhante, amhākaṃ gihīnaṃ kāmabhogīnaṃ kāmārāmānaṃ kāmaratānaṃ kāmasammuditānaṃ papāto viya khāyati, yadidaṃ nekkhammaṃ’. Sutaṃ metaṃ, bhante, ‘imasmiṃ dhammavinaye daharānaṃ daharānaṃ bhikkhūnaṃ nekkhamme cittaṃ pakkhandati pasīdati santiṭṭhati vimuccati etaṃ santanti passato. Tayidaṃ, bhante, imasmiṃ dhammavinaye bhikkhūnaṃ bahunā janena visabhāgo yadidaṃ nekkhamma’’’nti.

    ‘‘เอวเมตํ, อานนฺท, เอวเมตํ, อานนฺท! มยฺหมฺปิ โข, อานนฺท, ปุเพฺพว สโมฺพธา อนภิสมฺพุทฺธสฺส โพธิสตฺตเสฺสว สโต เอตทโหสิ – ‘สาธุ เนกฺขมฺมํ , สาธุ ปวิเวโก’ติฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เนกฺขเมฺม จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย, เยน เม เนกฺขเมฺม จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’? ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘กาเมสุ โข เม อาทีนโว อทิโฎฺฐ, โส จ เม อพหุลีกโต, เนกฺขเมฺม จ อานิสํโส อนธิคโต, โส จ เม อนาเสวิโต ฯ ตสฺมา เม เนกฺขเมฺม จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘สเจ โข อหํ กาเมสุ อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลํ กเรยฺยํ 3, เนกฺขเมฺม อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสเวยฺยํ, ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ ยํ เม เนกฺขเมฺม จิตฺตํ ปกฺขเนฺทยฺย ปสีเทยฺย สนฺติเฎฺฐยฺย วิมุเจฺจยฺย เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ โส โข อหํ, อานนฺท, อปเรน สมเยน กาเมสุ อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลมกาสิํ, เนกฺขเมฺม อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสวิํฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เนกฺขเมฺม จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฎฺฐติ วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ โส โข อหํ, อานนฺท, วิวิเจฺจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธเมฺมหิ สวิตกฺกํ สวิจารํ วิเวกชํ ปีติสุขํ ปฐมํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรามิฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อิมินา วิหาเรน วิหรโต กามสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธ ฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, สุขิโน ทุกฺขํ อุปฺปเชฺชยฺย ยาวเทว อาพาธาย; เอวเมวสฺส เม กามสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธฯ

    ‘‘Evametaṃ, ānanda, evametaṃ, ānanda! Mayhampi kho, ānanda, pubbeva sambodhā anabhisambuddhassa bodhisattasseva sato etadahosi – ‘sādhu nekkhammaṃ , sādhu paviveko’ti. Tassa mayhaṃ, ānanda, nekkhamme cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘ko nu kho hetu ko paccayo, yena me nekkhamme cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’? Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘kāmesu kho me ādīnavo adiṭṭho, so ca me abahulīkato, nekkhamme ca ānisaṃso anadhigato, so ca me anāsevito . Tasmā me nekkhamme cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘sace kho ahaṃ kāmesu ādīnavaṃ disvā taṃ bahulaṃ kareyyaṃ 4, nekkhamme ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseveyyaṃ, ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati yaṃ me nekkhamme cittaṃ pakkhandeyya pasīdeyya santiṭṭheyya vimucceyya etaṃ santanti passato’. So kho ahaṃ, ānanda, aparena samayena kāmesu ādīnavaṃ disvā taṃ bahulamakāsiṃ, nekkhamme ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseviṃ. Tassa mayhaṃ, ānanda, nekkhamme cittaṃ pakkhandati pasīdati santiṭṭhati vimuccati etaṃ santanti passato. So kho ahaṃ, ānanda, vivicceva kāmehi vivicca akusalehi dhammehi savitakkaṃ savicāraṃ vivekajaṃ pītisukhaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ upasampajja viharāmi. Tassa mayhaṃ, ānanda, iminā vihārena viharato kāmasahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho . Seyyathāpi, ānanda, sukhino dukkhaṃ uppajjeyya yāvadeva ābādhāya; evamevassa me kāmasahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา…เป.… ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อวิตเกฺก จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย, เยน เม อวิตเกฺก จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’? ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘วิตเกฺกสุ โข เม อาทีนโว อทิโฎฺฐ, โส จ เม อพหุลีกโต, อวิตเกฺก จ อานิสํโส อนธิคโต, โส จ เม อนาเสวิโตฯ ตสฺมา เม อวิตเกฺก จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘สเจ โข อหํ วิตเกฺกสุ อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลํ กเรยฺยํ, อวิตเกฺก อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสเวยฺยํ, ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ ยํ เม อวิตเกฺก จิตฺตํ ปกฺขเนฺทยฺย ปสีเทยฺย สนฺติเฎฺฐยฺย วิมุเจฺจยฺย เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ โส โข อหํ, อานนฺท, อปเรน สมเยน วิตเกฺกสุ อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลมกาสิํ, อวิตเกฺก อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสวิํฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อวิตเกฺก จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฎฺฐติ วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ โส โข อหํ, อานนฺท, วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา…เป.… ทุติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรามิฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อิมินา วิหาเรน วิหรโต วิตกฺกสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, สุขิโน ทุกฺขํ อุปฺปเชฺชยฺย ยาวเทว อาพาธาย; เอวเมวสฺส เม วิตกฺกสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ vitakkavicārānaṃ vūpasamā…pe… dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja vihareyya’nti. Tassa mayhaṃ, ānanda, avitakke cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘ko nu kho hetu ko paccayo, yena me avitakke cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’? Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘vitakkesu kho me ādīnavo adiṭṭho, so ca me abahulīkato, avitakke ca ānisaṃso anadhigato, so ca me anāsevito. Tasmā me avitakke cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘sace kho ahaṃ vitakkesu ādīnavaṃ disvā taṃ bahulaṃ kareyyaṃ, avitakke ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseveyyaṃ, ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati yaṃ me avitakke cittaṃ pakkhandeyya pasīdeyya santiṭṭheyya vimucceyya etaṃ santanti passato’. So kho ahaṃ, ānanda, aparena samayena vitakkesu ādīnavaṃ disvā taṃ bahulamakāsiṃ, avitakke ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseviṃ. Tassa mayhaṃ, ānanda, avitakke cittaṃ pakkhandati pasīdati santiṭṭhati vimuccati etaṃ santanti passato. So kho ahaṃ, ānanda, vitakkavicārānaṃ vūpasamā…pe… dutiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharāmi. Tassa mayhaṃ, ānanda, iminā vihārena viharato vitakkasahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho. Seyyathāpi, ānanda, sukhino dukkhaṃ uppajjeyya yāvadeva ābādhāya; evamevassa me vitakkasahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ ปีติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหเรยฺยํ สโต จ สมฺปชาโน สุขญฺจ กาเยน ปฎิสํเวเทยฺยํ ยํ ตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ – อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารีติ ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, นิปฺปีติเก จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย , เยน เม นิปฺปีติเก จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’? ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘ปีติยา โข เม อาทีนโว อทิโฎฺฐ, โส จ เม อพหุลีกโต, นิปฺปีติเก จ อานิสํโส อนธิคโต, โส จ เม อนาเสวิโตฯ ตสฺมา เม นิปฺปีติเก จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘สเจ โข อหํ ปีติยา อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลํ กเรยฺยํ, นิปฺปีติเก อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสเวยฺยํ, ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ ยํ เม นิปฺปีติเก จิตฺตํ ปกฺขเนฺทยฺย ปสีเทยฺย สนฺติเฎฺฐยฺย วิมุเจฺจยฺย เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ โส โข อหํ, อานนฺท, อปเรน สมเยน ปีติยา อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลมกาสิํ, นิปฺปีติเก อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสวิํฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, นิปฺปีติเก จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฎฺฐติ วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ โส โข อหํ, อานนฺท, ปีติยา จ วิราคา…เป.… ตติยํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรามิฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อิมินา วิหาเรน วิหรโต ปีติสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, สุขิโน ทุกฺขํ อุปฺปเชฺชยฺย ยาวเทว อาพาธาย; เอวเมวสฺส เม ปีติสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ pītiyā ca virāgā upekkhako ca vihareyyaṃ sato ca sampajāno sukhañca kāyena paṭisaṃvedeyyaṃ yaṃ taṃ ariyā ācikkhanti – upekkhako satimā sukhavihārīti tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja vihareyya’nti. Tassa mayhaṃ, ānanda, nippītike cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘ko nu kho hetu ko paccayo , yena me nippītike cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’? Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘pītiyā kho me ādīnavo adiṭṭho, so ca me abahulīkato, nippītike ca ānisaṃso anadhigato, so ca me anāsevito. Tasmā me nippītike cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘sace kho ahaṃ pītiyā ādīnavaṃ disvā taṃ bahulaṃ kareyyaṃ, nippītike ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseveyyaṃ, ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati yaṃ me nippītike cittaṃ pakkhandeyya pasīdeyya santiṭṭheyya vimucceyya etaṃ santanti passato’. So kho ahaṃ, ānanda, aparena samayena pītiyā ādīnavaṃ disvā taṃ bahulamakāsiṃ, nippītike ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseviṃ. Tassa mayhaṃ, ānanda, nippītike cittaṃ pakkhandati pasīdati santiṭṭhati vimuccati etaṃ santanti passato. So kho ahaṃ, ānanda, pītiyā ca virāgā…pe… tatiyaṃ jhānaṃ upasampajja viharāmi. Tassa mayhaṃ, ānanda, iminā vihārena viharato pītisahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho. Seyyathāpi, ānanda, sukhino dukkhaṃ uppajjeyya yāvadeva ābādhāya; evamevassa me pītisahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา ปุเพฺพว โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธิํ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อทุกฺขมสุเข จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย, เยน เม อทุกฺขมสุเข จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’? ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘อุเปกฺขาสุเข โข เม อาทีนโว อทิโฎฺฐ, โส จ เม อพหุลีกโต, อทุกฺขมสุเข จ อานิสํโส อนธิคโต, โส จ เม อนาเสวิโตฯ ตสฺมา เม อทุกฺขมสุเข จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘สเจ โข อหํ อุเปกฺขาสุเข อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลํ กเรยฺยํ, อทุกฺขมสุเข อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสเวยฺยํ, ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ ยํ เม อทุกฺขมสุเข จิตฺตํ ปกฺขเนฺทยฺย ปสีเทยฺย สนฺติเฎฺฐยฺย วิมุเจฺจยฺย เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ โส โข อหํ, อานนฺท, อปเรน สมเยน อุเปกฺขาสุเข อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลมกาสิํ อทุกฺขมสุเข อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสวิํฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อทุกฺขมสุเข จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฎฺฐติ วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ โส โข อหํ, อานนฺท, สุขสฺส จ ปหานา…เป.… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรามิฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อิมินา วิหาเรน วิหรโต อุเปกฺขาสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, สุขิโน ทุกฺขํ อุปฺปเชฺชยฺย ยาวเทว อาพาธาย; เอวเมวสฺส เม อุเปกฺขาสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ sukhassa ca pahānā dukkhassa ca pahānā pubbeva somanassadomanassānaṃ atthaṅgamā adukkhamasukhaṃ upekkhāsatipārisuddhiṃ catutthaṃ jhānaṃ upasampajja vihareyya’nti. Tassa mayhaṃ, ānanda, adukkhamasukhe cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘ko nu kho hetu ko paccayo, yena me adukkhamasukhe cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’? Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘upekkhāsukhe kho me ādīnavo adiṭṭho, so ca me abahulīkato, adukkhamasukhe ca ānisaṃso anadhigato, so ca me anāsevito. Tasmā me adukkhamasukhe cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘sace kho ahaṃ upekkhāsukhe ādīnavaṃ disvā taṃ bahulaṃ kareyyaṃ, adukkhamasukhe ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseveyyaṃ, ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati yaṃ me adukkhamasukhe cittaṃ pakkhandeyya pasīdeyya santiṭṭheyya vimucceyya etaṃ santanti passato’. So kho ahaṃ, ānanda, aparena samayena upekkhāsukhe ādīnavaṃ disvā taṃ bahulamakāsiṃ adukkhamasukhe ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseviṃ. Tassa mayhaṃ, ānanda, adukkhamasukhe cittaṃ pakkhandati pasīdati santiṭṭhati vimuccati etaṃ santanti passato. So kho ahaṃ, ānanda, sukhassa ca pahānā…pe… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharāmi. Tassa mayhaṃ, ānanda, iminā vihārena viharato upekkhāsahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho. Seyyathāpi, ānanda, sukhino dukkhaṃ uppajjeyya yāvadeva ābādhāya; evamevassa me upekkhāsahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฎิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ‘‘อนโนฺต อากาโส’’ติ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อากาสานญฺจายตเน จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย, เยน เม อากาสานญฺจายตเน จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’? ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘รูเปสุ โข เม อาทีนโว อทิโฎฺฐ, โส จ อพหุลีกโต, อากาสานญฺจายตเน จ อานิสํโส อนธิคโต, โส จ เม อนาเสวิโตฯ ตสฺมา เม อากาสานญฺจายตเน จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘สเจ โข อหํ รูเปสุ อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลํ กเรยฺยํ, อากาสานญฺจายตเน อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสเวยฺยํ, ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ ยํ เม อากาสานญฺจายตเน จิตฺตํ ปกฺขเนฺทยฺย ปสีเทยฺย สนฺติเฎฺฐยฺย วิมุเจฺจยฺย เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ โส โข อหํ, อานนฺท, อปเรน สมเยน รูเปสุ อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลมกาสิํ, อากาสานญฺจายตเน อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสวิํฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อากาสานญฺจายตเน จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฎฺฐติ วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ โส โข อหํ, อานนฺท, สพฺพโส รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา ปฎิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา ‘อนโนฺต อากาโส’ติ อากาสานญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรามิฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อิมินา วิหาเรน วิหรโต รูปสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, สุขิโน ทุกฺขํ อุปฺปเชฺชยฺย ยาวเทว อาพาธาย; เอวเมวสฺส เม รูปสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ sabbaso rūpasaññānaṃ samatikkamā paṭighasaññānaṃ atthaṅgamā nānattasaññānaṃ amanasikārā ‘‘ananto ākāso’’ti ākāsānañcāyatanaṃ upasampajja vihareyya’nti. Tassa mayhaṃ, ānanda, ākāsānañcāyatane cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘ko nu kho hetu ko paccayo, yena me ākāsānañcāyatane cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’? Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘rūpesu kho me ādīnavo adiṭṭho, so ca abahulīkato, ākāsānañcāyatane ca ānisaṃso anadhigato, so ca me anāsevito. Tasmā me ākāsānañcāyatane cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘sace kho ahaṃ rūpesu ādīnavaṃ disvā taṃ bahulaṃ kareyyaṃ, ākāsānañcāyatane ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseveyyaṃ, ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati yaṃ me ākāsānañcāyatane cittaṃ pakkhandeyya pasīdeyya santiṭṭheyya vimucceyya etaṃ santanti passato’. So kho ahaṃ, ānanda, aparena samayena rūpesu ādīnavaṃ disvā taṃ bahulamakāsiṃ, ākāsānañcāyatane ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseviṃ. Tassa mayhaṃ, ānanda, ākāsānañcāyatane cittaṃ pakkhandati pasīdati santiṭṭhati vimuccati etaṃ santanti passato. So kho ahaṃ, ānanda, sabbaso rūpasaññānaṃ samatikkamā paṭighasaññānaṃ atthaṅgamā nānattasaññānaṃ amanasikārā ‘ananto ākāso’ti ākāsānañcāyatanaṃ upasampajja viharāmi. Tassa mayhaṃ, ānanda, iminā vihārena viharato rūpasahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho. Seyyathāpi, ānanda, sukhino dukkhaṃ uppajjeyya yāvadeva ābādhāya; evamevassa me rūpasahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘‘อนนฺตํ วิญฺญาณ’’นฺติ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, วิญฺญาณญฺจายตเน จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย, เยน เม วิญฺญาณญฺจายตเน จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’? ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘อากาสานญฺจายตเน โข เม อาทีนโว อทิโฎฺฐ, โส จ อพหุลีกโต, วิญฺญาณญฺจายตเน จ อานิสํโส อนธิคโต, โส จ เม อนาเสวิโตฯ ตสฺมา เม วิญฺญาณญฺจายตเน จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘สเจ โข อหํ อากาสานญฺจายตเน อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลํ กเรยฺยํ, วิญฺญาณญฺจายตเน อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสเวยฺยํ, ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ ยํ เม วิญฺญาณญฺจายตเน จิตฺตํ ปกฺขเนฺทยฺย ปสีเทยฺย สนฺติเฎฺฐยฺย วิมุเจฺจยฺย เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ โส โข อหํ, อานนฺท, อปเรน สมเยน อากาสานญฺจายตเน อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลมกาสิํ, วิญฺญาณญฺจายตเน อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสวิํฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, วิญฺญาณญฺจายตเน จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฎฺฐติ วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ โส โข อหํ, อานนฺท, สพฺพโส อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘อนนฺตํ วิญฺญาณ’นฺติ วิญฺญาณญฺจายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรามิฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อิมินา วิหาเรน วิหรโต อากาสานญฺจายตนสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, สุขิโน ทุกฺขํ อุปฺปเชฺชยฺย ยาวเทว อาพาธาย ; เอวเมวสฺส เม อากาสานญฺจายตนสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ sabbaso ākāsānañcāyatanaṃ samatikkamma ‘‘anantaṃ viññāṇa’’nti viññāṇañcāyatanaṃ upasampajja vihareyya’nti. Tassa mayhaṃ, ānanda, viññāṇañcāyatane cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘ko nu kho hetu ko paccayo, yena me viññāṇañcāyatane cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’? Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘ākāsānañcāyatane kho me ādīnavo adiṭṭho, so ca abahulīkato, viññāṇañcāyatane ca ānisaṃso anadhigato, so ca me anāsevito. Tasmā me viññāṇañcāyatane cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘sace kho ahaṃ ākāsānañcāyatane ādīnavaṃ disvā taṃ bahulaṃ kareyyaṃ, viññāṇañcāyatane ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseveyyaṃ, ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati yaṃ me viññāṇañcāyatane cittaṃ pakkhandeyya pasīdeyya santiṭṭheyya vimucceyya etaṃ santanti passato’. So kho ahaṃ, ānanda, aparena samayena ākāsānañcāyatane ādīnavaṃ disvā taṃ bahulamakāsiṃ, viññāṇañcāyatane ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseviṃ. Tassa mayhaṃ, ānanda, viññāṇañcāyatane cittaṃ pakkhandati pasīdati santiṭṭhati vimuccati etaṃ santanti passato. So kho ahaṃ, ānanda, sabbaso ākāsānañcāyatanaṃ samatikkamma ‘anantaṃ viññāṇa’nti viññāṇañcāyatanaṃ upasampajja viharāmi. Tassa mayhaṃ, ānanda, iminā vihārena viharato ākāsānañcāyatanasahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho. Seyyathāpi, ānanda, sukhino dukkhaṃ uppajjeyya yāvadeva ābādhāya ; evamevassa me ākāsānañcāyatanasahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม นตฺถิ กิญฺจีติ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อากิญฺจญฺญายตเน จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย, เยน เม อากิญฺจญฺญายตเน จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’? ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘วิญฺญาณญฺจายตเน โข เม อาทีนโว อทิโฎฺฐ, โส จ เม อพหุลีกโต, อากิญฺจญฺญายตเน จ อานิสํโส อนธิคโต, โส จ เม อนาเสวิโตฯ ตสฺมา เม อากิญฺจญฺญายตเน จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘สเจ โข อหํ วิญฺญาณญฺจายตเน อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลํ กเรยฺยํ, อากิญฺจญฺญายตเน อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสเวยฺยํ, ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ ยํ เม อากิญฺจญฺญายตเน จิตฺตํ ปกฺขเนฺทยฺย ปสีเทยฺย สนฺติเฎฺฐยฺย วิมุเจฺจยฺย เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ โส โข อหํ, อานนฺท, อปเรน สมเยน วิญฺญาณญฺจายตเน อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลมกาสิํ, อากิญฺจญฺญายตเน อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสวิํฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อากิญฺจญฺญายตเน จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฎฺฐติ วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ โส โข อหํ, อานนฺท, สพฺพโส วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม ‘นตฺถิ กิญฺจี’ติ อากิญฺจญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรามิฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อิมินา วิหาเรน วิหรโต วิญฺญาณญฺจายตนสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, สุขิโน ทุกฺขํ อุปฺปเชฺชยฺย ยาวเทว อาพาธาย; เอวเมวสฺส เม วิญฺญาณญฺจายตนสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ sabbaso viññāṇañcāyatanaṃ samatikkamma natthi kiñcīti ākiñcaññāyatanaṃ upasampajja vihareyya’nti. Tassa mayhaṃ, ānanda, ākiñcaññāyatane cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘ko nu kho hetu ko paccayo, yena me ākiñcaññāyatane cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’? Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘viññāṇañcāyatane kho me ādīnavo adiṭṭho, so ca me abahulīkato, ākiñcaññāyatane ca ānisaṃso anadhigato, so ca me anāsevito. Tasmā me ākiñcaññāyatane cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘sace kho ahaṃ viññāṇañcāyatane ādīnavaṃ disvā taṃ bahulaṃ kareyyaṃ, ākiñcaññāyatane ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseveyyaṃ, ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati yaṃ me ākiñcaññāyatane cittaṃ pakkhandeyya pasīdeyya santiṭṭheyya vimucceyya etaṃ santanti passato’. So kho ahaṃ, ānanda, aparena samayena viññāṇañcāyatane ādīnavaṃ disvā taṃ bahulamakāsiṃ, ākiñcaññāyatane ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseviṃ. Tassa mayhaṃ, ānanda, ākiñcaññāyatane cittaṃ pakkhandati pasīdati santiṭṭhati vimuccati etaṃ santanti passato. So kho ahaṃ, ānanda, sabbaso viññāṇañcāyatanaṃ samatikkamma ‘natthi kiñcī’ti ākiñcaññāyatanaṃ upasampajja viharāmi. Tassa mayhaṃ, ānanda, iminā vihārena viharato viññāṇañcāyatanasahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho. Seyyathāpi, ānanda, sukhino dukkhaṃ uppajjeyya yāvadeva ābādhāya; evamevassa me viññāṇañcāyatanasahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ สพฺพโส อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เนวสญฺญานาสญฺญายตเน จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘โก นุ โข เหตุ โก ปจฺจโย, เยน เม เนวสญฺญานาสญฺญายตเน จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’? ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘อากิญฺจญฺญายตเน โข เม อาทีนโว อทิโฎฺฐ, โส จ เม อพหุลีกโต, เนวสญฺญานาสญฺญายตเน จ อานิสํโส อนธิคโต, โส จ เม อนาเสวิโตฯ ตสฺมา เม เนวสญฺญานาสญฺญายตเน จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘สเจ โข อหํ อากิญฺจญฺญายตเน อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลํ กเรยฺยํ, เนวสญฺญานาสญฺญายตเน อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสเวยฺยํ, ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ ยํ เม เนวสญฺญานาสญฺญายตเน จิตฺตํ ปกฺขเนฺทยฺย ปสีเทยฺย สนฺติเฎฺฐยฺย วิมุเจฺจยฺย เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ โส โข อหํ, อานนฺท, อปเรน สมเยน อากิญฺจญฺญายตเน อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลมกาสิํ, เนวสญฺญานาสญฺญายตเน อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสวิํฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เนวสญฺญานาสญฺญายตเน จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฎฺฐติ วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ โส โข อหํ, อานนฺท, สพฺพโส อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ อุปสมฺปชฺช วิหรามิฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, อิมินา วิหาเรน วิหรโต อากิญฺจญฺญายตนสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธฯ เสยฺยถาปิ, อานนฺท, สุขิโน ทุกฺขํ อุปฺปเชฺชยฺย ยาวเทว อาพาธาย; เอวเมวสฺส เม อากิญฺจญฺญายตนสหคตา สญฺญามนสิการา สมุทาจรนฺติฯ สฺวสฺส เม โหติ อาพาโธฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ sabbaso ākiñcaññāyatanaṃ samatikkamma nevasaññānāsaññāyatanaṃ upasampajja vihareyya’nti. Tassa mayhaṃ, ānanda, nevasaññānāsaññāyatane cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘ko nu kho hetu ko paccayo, yena me nevasaññānāsaññāyatane cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’? Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘ākiñcaññāyatane kho me ādīnavo adiṭṭho, so ca me abahulīkato, nevasaññānāsaññāyatane ca ānisaṃso anadhigato, so ca me anāsevito. Tasmā me nevasaññānāsaññāyatane cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘sace kho ahaṃ ākiñcaññāyatane ādīnavaṃ disvā taṃ bahulaṃ kareyyaṃ, nevasaññānāsaññāyatane ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseveyyaṃ, ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati yaṃ me nevasaññānāsaññāyatane cittaṃ pakkhandeyya pasīdeyya santiṭṭheyya vimucceyya etaṃ santanti passato’. So kho ahaṃ, ānanda, aparena samayena ākiñcaññāyatane ādīnavaṃ disvā taṃ bahulamakāsiṃ, nevasaññānāsaññāyatane ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseviṃ. Tassa mayhaṃ, ānanda, nevasaññānāsaññāyatane cittaṃ pakkhandati pasīdati santiṭṭhati vimuccati etaṃ santanti passato. So kho ahaṃ, ānanda, sabbaso ākiñcaññāyatanaṃ samatikkamma nevasaññānāsaññāyatanaṃ upasampajja viharāmi. Tassa mayhaṃ, ānanda, iminā vihārena viharato ākiñcaññāyatanasahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho. Seyyathāpi, ānanda, sukhino dukkhaṃ uppajjeyya yāvadeva ābādhāya; evamevassa me ākiñcaññāyatanasahagatā saññāmanasikārā samudācaranti. Svassa me hoti ābādho.

    ‘‘ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘ยํนูนาหํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม สญฺญาเวทยิตนิโรธํ อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺย’นฺติฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, สญฺญาเวทยิตนิโรเธ จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘โก นุ โข เหตุ, โก ปจฺจโย, เยน เม สญฺญาเวทยิตนิโรเธ จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’? ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘เนวสญฺญานาสญฺญายตเน โข เม อาทีนโว อทิโฎฺฐ, โส จ เม อพหุลีกโต, สญฺญาเวทยิตนิโรเธ จ อานิสํโส อนธิคโต, โส จ เม อนาเสวิโตฯ ตสฺมา เม สญฺญาเวทยิตนิโรเธ จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ นปฺปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ น วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, เอตทโหสิ – ‘สเจ โข อหํ เนวสญฺญานาสญฺญายตเน อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลํ กเรยฺยํ, สญฺญาเวทยิตนิโรเธ อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสเวยฺยํ, ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ ยํ เม สญฺญาเวทยิตนิโรเธ จิตฺตํ ปกฺขเนฺทยฺย ปสีเทยฺย สนฺติเฎฺฐยฺย วิมุเจฺจยฺย เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโต’ฯ โส โข อหํ, อานนฺท, อปเรน สมเยน เนวสญฺญานาสญฺญายตเน อาทีนวํ ทิสฺวา ตํ พหุลมกาสิํ , สญฺญาเวทยิตนิโรเธ อานิสํสํ อธิคมฺม ตมาเสวิํฯ ตสฺส มยฺหํ, อานนฺท, สญฺญาเวทยิตนิโรเธ จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ ปสีทติ สนฺติฎฺฐติ วิมุจฺจติ เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสโตฯ โส โข อหํ, อานนฺท, สพฺพโส เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม สญฺญาเวทยิตนิโรธํ อุปสมฺปชฺช วิหรามิ, ปญฺญาย จ เม ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขยํ อคมํสุฯ

    ‘‘Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘yaṃnūnāhaṃ nevasaññānāsaññāyatanaṃ samatikkamma saññāvedayitanirodhaṃ upasampajja vihareyya’nti. Tassa mayhaṃ, ānanda, saññāvedayitanirodhe cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘ko nu kho hetu, ko paccayo, yena me saññāvedayitanirodhe cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’? Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘nevasaññānāsaññāyatane kho me ādīnavo adiṭṭho, so ca me abahulīkato, saññāvedayitanirodhe ca ānisaṃso anadhigato, so ca me anāsevito. Tasmā me saññāvedayitanirodhe cittaṃ na pakkhandati nappasīdati na santiṭṭhati na vimuccati etaṃ santanti passato’. Tassa mayhaṃ, ānanda, etadahosi – ‘sace kho ahaṃ nevasaññānāsaññāyatane ādīnavaṃ disvā taṃ bahulaṃ kareyyaṃ, saññāvedayitanirodhe ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseveyyaṃ, ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati yaṃ me saññāvedayitanirodhe cittaṃ pakkhandeyya pasīdeyya santiṭṭheyya vimucceyya etaṃ santanti passato’. So kho ahaṃ, ānanda, aparena samayena nevasaññānāsaññāyatane ādīnavaṃ disvā taṃ bahulamakāsiṃ , saññāvedayitanirodhe ānisaṃsaṃ adhigamma tamāseviṃ. Tassa mayhaṃ, ānanda, saññāvedayitanirodhe cittaṃ pakkhandati pasīdati santiṭṭhati vimuccati etaṃ santanti passato. So kho ahaṃ, ānanda, sabbaso nevasaññānāsaññāyatanaṃ samatikkamma saññāvedayitanirodhaṃ upasampajja viharāmi, paññāya ca me disvā āsavā parikkhayaṃ agamaṃsu.

    ‘‘ยาวกีวญฺจาหํ , อานนฺท, อิมา นว อนุปุพฺพวิหารสมาปตฺติโย น เอวํ อนุโลมปฎิโลมํ สมาปชฺชิมฺปิ วุฎฺฐหิมฺปิ, เนว ตาวาหํ, อานนฺท, สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย ‘อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ’ติ ปจฺจญฺญาสิํฯ ยโต จ โข อหํ, อานนฺท, อิมา นว อนุปุพฺพวิหารสมาปตฺติโย เอวํ อนุโลมปฎิโลมํ สมาปชฺชิมฺปิ วุฎฺฐหิมฺปิ, อถาหํ, อานนฺท, สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย ‘อนุตฺตรํ สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุโทฺธ’ติ ปจฺจญฺญาสิํฯ ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ – ‘อกุปฺปา เม เจโตวิมุตฺติ 5, อยมนฺติมา ชาติ, นตฺถิ ทานิ ปุนพฺภโว’’’ติฯ ทสมํฯ

    ‘‘Yāvakīvañcāhaṃ , ānanda, imā nava anupubbavihārasamāpattiyo na evaṃ anulomapaṭilomaṃ samāpajjimpi vuṭṭhahimpi, neva tāvāhaṃ, ānanda, sadevake loke samārake sabrahmake sassamaṇabrāhmaṇiyā pajāya sadevamanussāya ‘anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho’ti paccaññāsiṃ. Yato ca kho ahaṃ, ānanda, imā nava anupubbavihārasamāpattiyo evaṃ anulomapaṭilomaṃ samāpajjimpi vuṭṭhahimpi, athāhaṃ, ānanda, sadevake loke samārake sabrahmake sassamaṇabrāhmaṇiyā pajāya sadevamanussāya ‘anuttaraṃ sammāsambodhiṃ abhisambuddho’ti paccaññāsiṃ. Ñāṇañca pana me dassanaṃ udapādi – ‘akuppā me cetovimutti 6, ayamantimā jāti, natthi dāni punabbhavo’’’ti. Dasamaṃ.

    มหาวโคฺค จตุโตฺถฯ

    Mahāvaggo catuttho.

    ตสฺสุทฺทานํ –

    Tassuddānaṃ –

    เทฺว วิหารา จ นิพฺพานํ, คาวี ฌาเนน ปญฺจมํ;

    Dve vihārā ca nibbānaṃ, gāvī jhānena pañcamaṃ;

    อานโนฺท พฺราหฺมณา เทโว, นาเคน ตปุเสฺสน จาติฯ

    Ānando brāhmaṇā devo, nāgena tapussena cāti.







    Footnotes:
    1. ปสฺสตํ (?)
    2. passataṃ (?)
    3. พหุลีกเรยฺยํ (สี. สฺยา. ปี.)
    4. bahulīkareyyaṃ (sī. syā. pī.)
    5. วิมุตฺติ (ก. สี. ก.)
    6. vimutti (ka. sī. ka.)



    Related texts:



    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๑๐. ตปุสฺสสุตฺตวณฺณนา • 10. Tapussasuttavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑๐. ตปุสฺสสุตฺตวณฺณนา • 10. Tapussasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact