Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā

    ๓. ตติยนิพฺพานปฎิสํยุตฺตสุตฺตวณฺณนา

    3. Tatiyanibbānapaṭisaṃyuttasuttavaṇṇanā

    ๗๓. ตติเย อถ โข ภควา เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ ตทา กิร ภควตา อเนกปริยาเยน สํสารสฺส อาทีนวํ ปกาเสตฺวา สนฺทสฺสนาทิวเสน นิพฺพานปฎิสํยุตฺตาย ธมฺมเทสนาย กตาย เตสํ ภิกฺขูนํ เอตทโหสิ – ‘‘อยํ สํสาโร ภควตา อวิชฺชาทีหิ การเณหิ สเหตุโก ปกาสิโต, นิพฺพานสฺส ปน ตทุปสมสฺส น กิญฺจิ การณํ วุตฺตํ, ตยิทํ อเหตุกํ, กถํ สจฺจิกฎฺฐปรมเตฺถน อุปลพฺภตี’’ติฯ อถ ภควา เตสํ ภิกฺขูนํ เอตํ ยถาวุตฺตํ ปริวิตกฺกสงฺขาตํ อตฺถํ วิทิตฺวาฯ อิมํ อุทานนฺติ เตสํ ภิกฺขูนํ วิมติวิธมนตฺถเญฺจว อิธ สมณพฺราหฺมณานํ ‘‘นิพฺพานํ นิพฺพานนฺติ วาจาวตฺถุมตฺตเมว, นตฺถิ หิ ปรมตฺถโต นิพฺพานํ นาม อนุปลพฺภมานสภาวตฺตา’’ติ โลกายติกาทโย วิย วิปฺปฎิปนฺนานํ พหิทฺธา จ ปุถุทิฎฺฐิคติกานํ มิจฺฉาวาทภญฺชนตฺถญฺจ อิมํ อมตมหานิพฺพานสฺส ปรมตฺถโต อตฺถิภาวทีปนํ อุทานํ อุทาเนสิฯ

    73. Tatiye atha kho bhagavā etamatthaṃ viditvāti tadā kira bhagavatā anekapariyāyena saṃsārassa ādīnavaṃ pakāsetvā sandassanādivasena nibbānapaṭisaṃyuttāya dhammadesanāya katāya tesaṃ bhikkhūnaṃ etadahosi – ‘‘ayaṃ saṃsāro bhagavatā avijjādīhi kāraṇehi sahetuko pakāsito, nibbānassa pana tadupasamassa na kiñci kāraṇaṃ vuttaṃ, tayidaṃ ahetukaṃ, kathaṃ saccikaṭṭhaparamatthena upalabbhatī’’ti. Atha bhagavā tesaṃ bhikkhūnaṃ etaṃ yathāvuttaṃ parivitakkasaṅkhātaṃ atthaṃ viditvā. Imaṃ udānanti tesaṃ bhikkhūnaṃ vimatividhamanatthañceva idha samaṇabrāhmaṇānaṃ ‘‘nibbānaṃ nibbānanti vācāvatthumattameva, natthi hi paramatthato nibbānaṃ nāma anupalabbhamānasabhāvattā’’ti lokāyatikādayo viya vippaṭipannānaṃ bahiddhā ca puthudiṭṭhigatikānaṃ micchāvādabhañjanatthañca imaṃ amatamahānibbānassa paramatthato atthibhāvadīpanaṃ udānaṃ udānesi.

    ตตฺถ อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขตนฺติ สพฺพานิปิ ปทานิ อญฺญมญฺญเววจนานิฯ อถ วา เวทนาทโย วิย เหตุปจฺจยสมวายสงฺขาตาย การณสามคฺคิยา น ชาตํ น นิพฺพตฺตนฺติ อชาตํ, การเณน วินา, สยเมว วา น ภูตํ น ปาตุภูตํ น อุปฺปนฺนนฺติ อภูตํ, เอวํ อชาตตฺตา อภูตตฺตา จ เยน เกนจิ การเณน น กตนฺติ อกตํ, ชาตภูตกตสภาโว จ นามรูปานํ สงฺขตธมฺมานํ โหติ, น อสงฺขตสภาวสฺส นิพฺพานสฺสาติ ทสฺสนตฺถํ อสงฺขตนฺติ วุตฺตํฯ ปฎิโลมโต วา สเมจฺจ สมฺภูย ปจฺจเยหิ กตนฺติ สงฺขตํ, ตถา น สงฺขตํ สงฺขตลกฺขณรหิตนฺติ อสงฺขตนฺติฯ เอวํ อเนเกหิ การเณหิ นิพฺพตฺติตภาเว ปฎิสิเทฺธ ‘‘สิยา นุ โข เอเกเนว การเณน กต’’นฺติ อาสงฺกาย ‘‘น เยน เกนจิ กต’’นฺติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘อกต’’นฺติ วุตฺตํฯ เอวํ อปจฺจยมฺปิ สมานํ ‘‘สยเมว นุ โข อิทํ ภูตํ ปาตุภูต’’นฺติ อาสงฺกาย ตนฺนิวตฺตนตฺถํ ‘‘อภูต’’นฺติ วุตฺตํฯ ‘‘อยเญฺจตสฺส อสงฺขตากตาภูตภาโว สเพฺพน สพฺพํ อชาติธมฺมตฺตา’’ติ ทเสฺสตุํ ‘‘อชาต’’นฺติ วุตฺตํฯ เอวเมเตสํ จตุนฺนมฺปิ ปทานํ สาตฺถกภาวํ วิทิตฺวา ‘‘ตยิทํ นิพฺพานํ อตฺถิ, ภิกฺขเว’’ติ ปรมตฺถโต นิพฺพานสฺส อตฺถิภาโว ปกาสิโตติ เวทิตโพฺพฯ เอตฺถ อุทาเนเนฺตน ภควตา, ‘‘ภิกฺขเว’’ติ อาลปเน การณํ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    Tattha ajātaṃ abhūtaṃ akataṃ asaṅkhatanti sabbānipi padāni aññamaññavevacanāni. Atha vā vedanādayo viya hetupaccayasamavāyasaṅkhātāya kāraṇasāmaggiyā na jātaṃ na nibbattanti ajātaṃ, kāraṇena vinā, sayameva vā na bhūtaṃ na pātubhūtaṃ na uppannanti abhūtaṃ, evaṃ ajātattā abhūtattā ca yena kenaci kāraṇena na katanti akataṃ, jātabhūtakatasabhāvo ca nāmarūpānaṃ saṅkhatadhammānaṃ hoti, na asaṅkhatasabhāvassa nibbānassāti dassanatthaṃ asaṅkhatanti vuttaṃ. Paṭilomato vā samecca sambhūya paccayehi katanti saṅkhataṃ, tathā na saṅkhataṃ saṅkhatalakkhaṇarahitanti asaṅkhatanti. Evaṃ anekehi kāraṇehi nibbattitabhāve paṭisiddhe ‘‘siyā nu kho ekeneva kāraṇena kata’’nti āsaṅkāya ‘‘na yena kenaci kata’’nti dassanatthaṃ ‘‘akata’’nti vuttaṃ. Evaṃ apaccayampi samānaṃ ‘‘sayameva nu kho idaṃ bhūtaṃ pātubhūta’’nti āsaṅkāya tannivattanatthaṃ ‘‘abhūta’’nti vuttaṃ. ‘‘Ayañcetassa asaṅkhatākatābhūtabhāvo sabbena sabbaṃ ajātidhammattā’’ti dassetuṃ ‘‘ajāta’’nti vuttaṃ. Evametesaṃ catunnampi padānaṃ sātthakabhāvaṃ viditvā ‘‘tayidaṃ nibbānaṃ atthi, bhikkhave’’ti paramatthato nibbānassa atthibhāvo pakāsitoti veditabbo. Ettha udānentena bhagavatā, ‘‘bhikkhave’’ti ālapane kāraṇaṃ heṭṭhā vuttanayeneva veditabbaṃ.

    อิติ สตฺถา ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขต’’นฺติ วตฺวา ตตฺถ เหตุํ ทเสฺสโนฺต ‘‘โน เจตํ, ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ ตสฺสายํ สเงฺขปโตฺถ – ภิกฺขเว, ยทิ อชาตาทิสภาวา อสงฺขตา ธาตุ น อภวิสฺส น สิยา, อิธ โลเก ชาตาทิสภาวสฺส รูปาทิกฺขนฺธปญฺจกสงฺขาตสฺส สงฺขตสฺส นิสฺสรณํ อนวเสสวูปสโม น ปญฺญาเยยฺย น อุปลเพฺภยฺย น สมฺภเวยฺยฯ นิพฺพานญฺหิ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตมานา สมฺมาทิฎฺฐิอาทโย อริยมคฺคธมฺมา อนวเสสกิเลเส สมุจฺฉินฺทนฺติฯ เตเนตฺถ สพฺพสฺสปิ วฎฺฎทุกฺขสฺส อปฺปวตฺติ อปคโม นิสฺสรณํ ปญฺญายติฯ

    Iti satthā ‘‘atthi, bhikkhave, ajātaṃ abhūtaṃ akataṃ asaṅkhata’’nti vatvā tattha hetuṃ dassento ‘‘no cetaṃ, bhikkhave’’tiādimāha. Tassāyaṃ saṅkhepattho – bhikkhave, yadi ajātādisabhāvā asaṅkhatā dhātu na abhavissa na siyā, idha loke jātādisabhāvassa rūpādikkhandhapañcakasaṅkhātassa saṅkhatassa nissaraṇaṃ anavasesavūpasamo na paññāyeyya na upalabbheyya na sambhaveyya. Nibbānañhi ārammaṇaṃ katvā pavattamānā sammādiṭṭhiādayo ariyamaggadhammā anavasesakilese samucchindanti. Tenettha sabbassapi vaṭṭadukkhassa appavatti apagamo nissaraṇaṃ paññāyati.

    เอวํ พฺยติเรกวเสน นิพฺพานสฺส อตฺถิภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อนฺวยวเสนปิ ตํ ทเสฺสตุํ, ‘‘ยสฺมา จ โข’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตํ วุตฺตตฺถเมวฯ เอตฺถ จ ยสฺมา ‘‘อปจฺจยา ธมฺมา, อสงฺขตา ธมฺมา (ธ. ส. ทุกมาติกา ๗, ๘), อตฺถิ, ภิกฺขเว, ตทายตนํ, ยตฺถ เนว ปถวี (อุทา. ๗๑), อิทมฺปิ โข ฐานํ ทุทฺทสํ, ยทิทํ สพฺพสงฺขารสมโถ สพฺพูปธิปฎินิสฺสโคฺค (มหาว. ๘; ม. นิ. ๑.๒๘๑; ๒.๓๓๗), อสงฺขตญฺจ โว, ภิกฺขเว, ธมฺมํ เทเสสฺสามิ อสงฺขตคามินิญฺจ ปฎิปท’’นฺติอาทีหิ (สํ. นิ. ๔.๓๖๖-๓๖๗) อเนเกหิ สุตฺตปเทหิ, ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อชาต’’นฺติ อิมินาปิ จ สุเตฺตน นิพฺพานธาตุยา ปรมตฺถโต สมฺภโว สพฺพโลกํ อนุกมฺปมาเนน สมฺมาสมฺพุเทฺธน เทสิโต, ตสฺมา ยทิปิ ตตฺถ อปจฺจกฺขการีนมฺปิ วิญฺญูนํ กงฺขา วา วิมติ วา นตฺถิเยวฯ เย ปน ปรเนยฺยพุทฺธิโน ปุคฺคลา, เตสํ วิมติวิโนทนตฺถํ อยเมตฺถ อธิปฺปายนิทฺธารณมุเขน ยุตฺติวิจารณา – ยถา ปริเญฺญยฺยตาย สอุตฺตรานํ กามานํ รูปาทีนญฺจ ปฎิปกฺขภูตํ ตพฺพิธุรสภาวํ นิสฺสรณํ ปญฺญายติ, เอวํ ตํสภาวานํ สเพฺพสมฺปิ สงฺขตธมฺมานํ ปฎิปกฺขภูเตน ตพฺพิธุรสภาเวน นิสฺสรเณน ภวิตพฺพํฯ ยเญฺจตํ นิสฺสรณํ, สา อสงฺขตา ธาตุฯ กิญฺจ ภิโยฺย สงฺขตธมฺมารมฺมณํ วิปสฺสนาญาณํ อปิ อนุโลมญาณํ กิเลเส สมุเจฺฉทวเสน ปชหิตุํ น สโกฺกติฯ ตถา สมฺมุติสจฺจารมฺมณํ ปฐมชฺฌานาทีสุ ญาณํ วิกฺขมฺภนวเสเนว กิเลเส ปชหติ, น สมุเจฺฉทวเสนฯ อิติ สงฺขตธมฺมารมฺมณสฺส สมฺมุติสจฺจารมฺมณสฺส จ ญาณสฺส กิเลสานํ สมุเจฺฉทปฺปหาเน อสมตฺถภาวโต เตสํ สมุเจฺฉทปฺปหานกรสฺส อริยมคฺคญาณสฺส ตทุภยวิปรีตสภาเวน อารมฺมเณน ภวิตพฺพํ , สา อสงฺขตา ธาตุฯ ตถา ‘‘อตฺถิ, ภิกฺขเว, อชาตํ อภูตํ อกตํ อสงฺขต’’นฺติ อิทํ นิพฺพานปทสฺส ปรมตฺถโต อตฺถิภาวโชตกํ วจนํ อวิปรีตตฺถํ ภควตา ภาสิตตฺตาฯ ยญฺหิ ภควตา ภาสิตํ, ตํ อวิปรีตตฺถํ ปรมตฺถํ ยถา ตํ ‘‘สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา, สเพฺพ สงฺขารา ทุกฺขา, สเพฺพ ธมฺมา อนตฺตา’’ติ (อ. นิ. ๓.๑๓๗; มหานิ. ๒๗), ตถา นิพฺพานสโทฺท กตฺถจิ วิสเย ยถาภูตปรมตฺถวิสโย อุปจารมตฺตวุตฺติสพฺภาวโต เสยฺยถาปิ สีหสโทฺทฯ อถ วา อเตฺถว ปรมตฺถโต อสงฺขตา ธาตุ, อิตรตพฺพิปรีตวินิมุตฺตสภาวตฺตา เสยฺยถาปิ ปถวีธาตุ เวทนาติฯ เอวมาทีหิ นเยหิ ยุตฺติโตปิ อสงฺขตาย ธาตุยา ปรมตฺถโต อตฺถิภาโว เวทิตโพฺพฯ

    Evaṃ byatirekavasena nibbānassa atthibhāvaṃ dassetvā idāni anvayavasenapi taṃ dassetuṃ, ‘‘yasmā ca kho’’tiādi vuttaṃ. Taṃ vuttatthameva. Ettha ca yasmā ‘‘apaccayā dhammā, asaṅkhatā dhammā (dha. sa. dukamātikā 7, 8), atthi, bhikkhave, tadāyatanaṃ, yattha neva pathavī (udā. 71), idampi kho ṭhānaṃ duddasaṃ, yadidaṃ sabbasaṅkhārasamatho sabbūpadhipaṭinissaggo (mahāva. 8; ma. ni. 1.281; 2.337), asaṅkhatañca vo, bhikkhave, dhammaṃ desessāmi asaṅkhatagāminiñca paṭipada’’ntiādīhi (saṃ. ni. 4.366-367) anekehi suttapadehi, ‘‘atthi, bhikkhave, ajāta’’nti imināpi ca suttena nibbānadhātuyā paramatthato sambhavo sabbalokaṃ anukampamānena sammāsambuddhena desito, tasmā yadipi tattha apaccakkhakārīnampi viññūnaṃ kaṅkhā vā vimati vā natthiyeva. Ye pana paraneyyabuddhino puggalā, tesaṃ vimativinodanatthaṃ ayamettha adhippāyaniddhāraṇamukhena yuttivicāraṇā – yathā pariññeyyatāya sauttarānaṃ kāmānaṃ rūpādīnañca paṭipakkhabhūtaṃ tabbidhurasabhāvaṃ nissaraṇaṃ paññāyati, evaṃ taṃsabhāvānaṃ sabbesampi saṅkhatadhammānaṃ paṭipakkhabhūtena tabbidhurasabhāvena nissaraṇena bhavitabbaṃ. Yañcetaṃ nissaraṇaṃ, sā asaṅkhatā dhātu. Kiñca bhiyyo saṅkhatadhammārammaṇaṃ vipassanāñāṇaṃ api anulomañāṇaṃ kilese samucchedavasena pajahituṃ na sakkoti. Tathā sammutisaccārammaṇaṃ paṭhamajjhānādīsu ñāṇaṃ vikkhambhanavaseneva kilese pajahati, na samucchedavasena. Iti saṅkhatadhammārammaṇassa sammutisaccārammaṇassa ca ñāṇassa kilesānaṃ samucchedappahāne asamatthabhāvato tesaṃ samucchedappahānakarassa ariyamaggañāṇassa tadubhayaviparītasabhāvena ārammaṇena bhavitabbaṃ , sā asaṅkhatā dhātu. Tathā ‘‘atthi, bhikkhave, ajātaṃ abhūtaṃ akataṃ asaṅkhata’’nti idaṃ nibbānapadassa paramatthato atthibhāvajotakaṃ vacanaṃ aviparītatthaṃ bhagavatā bhāsitattā. Yañhi bhagavatā bhāsitaṃ, taṃ aviparītatthaṃ paramatthaṃ yathā taṃ ‘‘sabbe saṅkhārā aniccā, sabbe saṅkhārā dukkhā, sabbe dhammā anattā’’ti (a. ni. 3.137; mahāni. 27), tathā nibbānasaddo katthaci visaye yathābhūtaparamatthavisayo upacāramattavuttisabbhāvato seyyathāpi sīhasaddo. Atha vā attheva paramatthato asaṅkhatā dhātu, itaratabbiparītavinimuttasabhāvattā seyyathāpi pathavīdhātu vedanāti. Evamādīhi nayehi yuttitopi asaṅkhatāya dhātuyā paramatthato atthibhāvo veditabbo.

    ตติยสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Tatiyasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๓. ตติยนิพฺพานปฎิสํยุตฺตสุตฺตํ • 3. Tatiyanibbānapaṭisaṃyuttasuttaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact