Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วินยวินิจฺฉย-ฎีกา • Vinayavinicchaya-ṭīkā

    ตติยปาราชิกกถาวณฺณนา

    Tatiyapārājikakathāvaṇṇanā

    ๒๔๑-๒. เอวมติสุขุมนยสมากุลํ ทุติยปาราชิกํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ตติยปาราชิกํ ทเสฺสตุมาห ‘‘มนุสฺสชาติ’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ มนุสฺสชาตินฺติ ชายตีติ ชาติ, รูปารูปปฎิสนฺธิ, มนุเสฺสสุ ชาติ ยสฺส โส มนุสฺสชาติ, มนุสฺสชาติโก มนุสฺสวิคฺคโหติ วุตฺตํ โหติ, ตํ มนุสฺสชาติํฯ

    241-2. Evamatisukhumanayasamākulaṃ dutiyapārājikaṃ dassetvā idāni tatiyapārājikaṃ dassetumāha ‘‘manussajāti’’ntiādi. Tattha manussajātinti jāyatīti jāti, rūpārūpapaṭisandhi, manussesu jāti yassa so manussajāti, manussajātiko manussaviggahoti vuttaṃ hoti, taṃ manussajātiṃ.

    เอตฺถ จ มนุเสฺสสูติ กุสลากุสลมนสฺส อุสฺสนฺนตฺตา มนุสฺสสงฺขาเตสุ นเรสุฯ ‘‘ยํ มาตุกุจฺฉิสฺมิํ ปฐมํ จิตฺตํ อุปฺปนฺน’’นฺติ (ปารา. ๑๗๒) ปทภาชเน วุตฺตนเยน มาตุกุจฺฉิมฺหิ ปฐมํ อุปฺปชฺชมานปฎิสนฺธิจิตฺตญฺจ ตํสมฺปยุตฺตเวทนาสญฺญาสงฺขารสงฺขาตขนฺธตฺตยญฺจ ตํสหชาตานิ –

    Ettha ca manussesūti kusalākusalamanassa ussannattā manussasaṅkhātesu naresu. ‘‘Yaṃ mātukucchismiṃ paṭhamaṃ cittaṃ uppanna’’nti (pārā. 172) padabhājane vuttanayena mātukucchimhi paṭhamaṃ uppajjamānapaṭisandhicittañca taṃsampayuttavedanāsaññāsaṅkhārasaṅkhātakhandhattayañca taṃsahajātāni –

    ‘‘ติลเตลสฺส ยถา พินฺทุ, สปฺปิมโณฺฑ อนาวิโล;

    ‘‘Tilatelassa yathā bindu, sappimaṇḍo anāvilo;

    เอวํ วณฺณปฺปฎิภาคํ, ‘กลล’นฺติ ปวุจฺจตี’’ติฯ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๗๒; วิภ. อฎฺฐ. ๒๖) –

    Evaṃ vaṇṇappaṭibhāgaṃ, ‘kalala’nti pavuccatī’’ti. (pārā. aṭṭha. 2.172; vibha. aṭṭha. 26) –

    วุตฺตานิ ชาติอุณฺณํสุมฺหิ ปสนฺนติลเตเล วา สปฺปิมเณฺฑ วา โอตาเรตฺวา อุกฺขิปิตฺวา วิธุนิเต อเคฺค ลมฺพมานพินฺทุปฺปมาณกลลสงฺขาตานิ สภาวกานํ กายภาววตฺถุทสกวเสน ติํส รูปานิ จ อภาวกานํ กายวตฺถุทสกวเสน วีสติ รูปานิ จาติ อยํ นามรูปปฎิสนฺธิ อิธ ‘‘ชาตี’’ติ คหิตาฯ ‘‘ยสฺสา’’ติ อิมินา อญฺญปเทน ‘‘ยาว มรณกาลา เอตฺถนฺตเร เอโส มนุสฺสวิคฺคโห นามา’’ติ (ปารา. ๑๗๒) ปทภาชเน วุตฺตนเยน ปฐมภวงฺคโต ปฎฺฐาย จุติจิตฺตาสนฺนภวงฺคปริยนฺตสนฺตานสงฺขาตสโตฺต คหิโตฯ อิมินา มนุสฺสวิคฺคหสฺส ปฎิสนฺธิโต ปฎฺฐาย ปาราชิกวตฺถุภาวํ ทเสฺสติฯ

    Vuttāni jātiuṇṇaṃsumhi pasannatilatele vā sappimaṇḍe vā otāretvā ukkhipitvā vidhunite agge lambamānabinduppamāṇakalalasaṅkhātāni sabhāvakānaṃ kāyabhāvavatthudasakavasena tiṃsa rūpāni ca abhāvakānaṃ kāyavatthudasakavasena vīsati rūpāni cāti ayaṃ nāmarūpapaṭisandhi idha ‘‘jātī’’ti gahitā. ‘‘Yassā’’ti iminā aññapadena ‘‘yāva maraṇakālā etthantare eso manussaviggaho nāmā’’ti (pārā. 172) padabhājane vuttanayena paṭhamabhavaṅgato paṭṭhāya cuticittāsannabhavaṅgapariyantasantānasaṅkhātasatto gahito. Iminā manussaviggahassa paṭisandhito paṭṭhāya pārājikavatthubhāvaṃ dasseti.

    ชานโนฺตติ ‘‘สโตฺต อย’’นฺติ ชานโนฺตฯ ชีวิตา โย วิโยชเยติ โย ภิกฺขุ ชีวิตินฺทฺริยา วิโยเชยฺย โวโรเปยฺย, ตสฺส ชีวิตินฺทฺริยํ อุปจฺฉิเนฺทยฺย อุปโรเธยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ เตนาห ปทภาชเน ‘‘ชีวิตา โวโรเปยฺยาติ ชีวิตินฺทฺริยํ อุปจฺฉินฺทติ อุปโรเธตี’’ติ (ปารา. ๑๗๒)ฯ

    Jānantoti ‘‘satto aya’’nti jānanto. Jīvitā yo viyojayeti yo bhikkhu jīvitindriyā viyojeyya voropeyya, tassa jīvitindriyaṃ upacchindeyya uparodheyyāti vuttaṃ hoti. Tenāha padabhājane ‘‘jīvitā voropeyyāti jīvitindriyaṃ upacchindati uparodhetī’’ti (pārā. 172).

    ตญฺจ ชีวิตินฺทฺริยํ รูปารูปวเสน ทุวิธํ โหติฯ ตตฺถ อรูปชีวิตินฺทฺริยํ อวิคฺคหตฺตา อุปกฺกมวิสยํ น โหติฯ รูปชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉเทน ปน ตทายตฺตวุตฺติตาย ตํสมกาลเมว โอจฺฉิชฺชมานตาย เอตฺถ สามเญฺญน อุภยมฺปิ คเหตพฺพํฯ อิทญฺจ อตีตานาคตํ น คเหตพฺพํ ตสฺส อวิชฺชมานตฺตาฯ อุปกฺกมวิสยารหํ ปน ปจฺจุปฺปนฺนเมว คเหตพฺพํฯ ตญฺจ ขณสนฺตติอทฺธาวเสน ติวิธํ โหติฯ

    Tañca jīvitindriyaṃ rūpārūpavasena duvidhaṃ hoti. Tattha arūpajīvitindriyaṃ aviggahattā upakkamavisayaṃ na hoti. Rūpajīvitindriyupacchedena pana tadāyattavuttitāya taṃsamakālameva occhijjamānatāya ettha sāmaññena ubhayampi gahetabbaṃ. Idañca atītānāgataṃ na gahetabbaṃ tassa avijjamānattā. Upakkamavisayārahaṃ pana paccuppannameva gahetabbaṃ. Tañca khaṇasantatiaddhāvasena tividhaṃ hoti.

    ตตฺถ อุปฺปาทฎฺฐิติภงฺควเสน ขณตฺตยปริยาปโนฺน ภาโว ขณปจฺจุปฺปนฺนํ นามฯ ตํ สรสภงฺคภูตตฺตา สยํ ภิชฺชมานํ อุปกฺกมสาธิยํ วินาสวนฺตํ น โหติฯ อาตเป ฐตฺวา คพฺภํ ปวิฎฺฐสฺส อนฺธการวิคมนฺตรญฺจ สีเตน โอวรกํ ปวิฎฺฐสฺส วิสภาคอุตุสมุฎฺฐาเนน สีตปนูทนฺตรญฺจ รูปสนฺตติ สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนํ นามฯ ปฎิสนฺธิจุตีนมนฺตราฬปฺปวตฺติ ขนฺธสนฺตติ อทฺธาปจฺจุปฺปนฺนํ นามฯ อิมสฺมิํ ทฺวเย อุปกฺกมสมฺภโว, ตํวเสน อุปจฺฉิชฺชมานํ ชีวิตํ สนฺตานปริหานิปจฺจยภาวโต สนฺตติอทฺธาปจฺจุปฺปนฺนทฺวยํ ยถาปริจฺฉินฺนกาลมปฺปตฺวา อุปกฺกมวเสน อนฺตราเยว นิรุชฺฌติ, ตสฺมา สนฺตติอทฺธาปจฺจุปฺปนฺนรูปชีวิตินฺทฺริยญฺจ ตํนิโรเธน นิรุชฺฌมานอรูปชีวิตินฺทฺริยญฺจาติ อุภยํ เอตฺถ ‘‘ชีวิตา’’ติ คหิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิทเมว สนฺธายาห ปทภาชเน ‘‘สนฺตติํ วิโกเปตี’’ติ (ปารา. ๑๗๒)ฯ

    Tattha uppādaṭṭhitibhaṅgavasena khaṇattayapariyāpanno bhāvo khaṇapaccuppannaṃ nāma. Taṃ sarasabhaṅgabhūtattā sayaṃ bhijjamānaṃ upakkamasādhiyaṃ vināsavantaṃ na hoti. Ātape ṭhatvā gabbhaṃ paviṭṭhassa andhakāravigamantarañca sītena ovarakaṃ paviṭṭhassa visabhāgautusamuṭṭhānena sītapanūdantarañca rūpasantati santatipaccuppannaṃ nāma. Paṭisandhicutīnamantarāḷappavatti khandhasantati addhāpaccuppannaṃ nāma. Imasmiṃ dvaye upakkamasambhavo, taṃvasena upacchijjamānaṃ jīvitaṃ santānaparihānipaccayabhāvato santatiaddhāpaccuppannadvayaṃ yathāparicchinnakālamappatvā upakkamavasena antarāyeva nirujjhati, tasmā santatiaddhāpaccuppannarūpajīvitindriyañca taṃnirodhena nirujjhamānaarūpajīvitindriyañcāti ubhayaṃ ettha ‘‘jīvitā’’ti gahitanti veditabbaṃ. Idameva sandhāyāha padabhājane ‘‘santatiṃ vikopetī’’ti (pārā. 172).

    อิมิสฺสาว ปาณาติปาตภาเว อาปตฺติภาวโต เอตฺถ ฐตฺวา อฎฺฐกถายํ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๗๒) ปาณปาณาติปาตปาณาติปาตีปาณาติปาตปฺปโยคานํ วิภาโค ทสฺสิโตฯ ตตฺถ ปาโณติ โวหารโต สโตฺต, ปรมตฺถโต อุปจฺฉิชฺชมานํ ชีวิตินฺทฺริยํ, ตํ ‘‘ชีวิตา’’ติ อิมินา วุตฺตํฯ ปาณาติปาโต นาม วธกเจตนา, โส จ ‘‘วิโยชเย’’ติ อิมินา สนฺทสฺสิโตฯ ปาณาติปาตี นาม ปุคฺคโล, โส จ ‘‘โย’’ติ อิมินา สนฺทสฺสิโตฯ ปาณาติปาตปฺปโยโค ปน –

    Imissāva pāṇātipātabhāve āpattibhāvato ettha ṭhatvā aṭṭhakathāyaṃ (pārā. aṭṭha. 2.172) pāṇapāṇātipātapāṇātipātīpāṇātipātappayogānaṃ vibhāgo dassito. Tattha pāṇoti vohārato satto, paramatthato upacchijjamānaṃ jīvitindriyaṃ, taṃ ‘‘jīvitā’’ti iminā vuttaṃ. Pāṇātipāto nāma vadhakacetanā, so ca ‘‘viyojaye’’ti iminā sandassito. Pāṇātipātī nāma puggalo, so ca ‘‘yo’’ti iminā sandassito. Pāṇātipātappayogo pana –

    ‘‘วุตฺตา ปาณาติปาตสฺส;

    ‘‘Vuttā pāṇātipātassa;

    ปโยคา ฉ มเหสินา’’ติ –

    Payogā cha mahesinā’’ti –

    อาทินา นเยน อิเธว วกฺขมานวิภาคตฺตา วกฺขมานนเยเนว ทฎฺฐโพฺพฯ

    Ādinā nayena idheva vakkhamānavibhāgattā vakkhamānanayeneva daṭṭhabbo.

    อสฺส สตฺถํ นิกฺขิเปยฺย วาติ โยชนาฯ อสฺสาติ มนุสฺสชาติกสฺสฯ ‘‘หตฺถปาเส’’ติ ปาฐเสโสฯ หตฺถปาโส นาม สมีโปติฯ อสฺสาติ สมีปสมฺพเนฺธ สามิวจนํฯ สตฺถนฺติ เอตฺถ ชีวิตวิหิํ สนุปกรณภาเวน สมฺมตา ธาราวนฺตอสิอาทิ จ ธารารหิตยฎฺฐิภินฺทิวาลลคุฬาทิ จ อุปลกฺขณวเสน คเหตพฺพาฯ สสติ หิํสตีติ สตฺถํฯ เตเนวาห ปทภาชเน ‘‘อสิํ วา สตฺติํ วา ภินฺทิวาลํ วา ลคุฬํ วา ปาสาณํ วา สตฺถํ วา วิสํ วา รชฺชุํ วา’’ติฯ อิธาวุตฺตํ กรปาลิกาฉุริกาทิ สมุขํ ‘‘สตฺถํ วา’’ติ อิมินา สงฺคหิตํฯ นิกฺขิเปยฺยาติ ยถา โภคเหตุํ ลภติ, ตถา อุปนิกฺขิเปยฺย, อตฺตวธาย อิจฺฉิตกฺขเณ ยถา คณฺหาติ, ตถา สมีเป เตเนว จิเตฺตน ฐเปยฺยาติ วุตฺตํ โหติฯ อิมินา ถาวรปฺปโยโค สนฺทสฺสิโตฯ

    Assa satthaṃ nikkhipeyya vāti yojanā. Assāti manussajātikassa. ‘‘Hatthapāse’’ti pāṭhaseso. Hatthapāso nāma samīpoti. Assāti samīpasambandhe sāmivacanaṃ. Satthanti ettha jīvitavihiṃ sanupakaraṇabhāvena sammatā dhārāvantaasiādi ca dhārārahitayaṭṭhibhindivālalaguḷādi ca upalakkhaṇavasena gahetabbā. Sasati hiṃsatīti satthaṃ. Tenevāha padabhājane ‘‘asiṃ vā sattiṃ vā bhindivālaṃ vā laguḷaṃ vā pāsāṇaṃ vā satthaṃ vā visaṃ vā rajjuṃ vā’’ti. Idhāvuttaṃ karapālikāchurikādi samukhaṃ ‘‘satthaṃ vā’’ti iminā saṅgahitaṃ. Nikkhipeyyāti yathā bhogahetuṃ labhati, tathā upanikkhipeyya, attavadhāya icchitakkhaṇe yathā gaṇhāti, tathā samīpe teneva cittena ṭhapeyyāti vuttaṃ hoti. Iminā thāvarappayogo sandassito.

    มรเณ คุณํ วา วเทยฺยาติ โยชนา, มรณตฺถาย มรเณ คุณํ วเณฺณตีติ อโตฺถฯ ‘‘ชีวิเต อาทีนวํ ทเสฺสติ, มรเณ คุณํ ภณตี’’ติ (ปารา. ๑๗๒) ปทภาชเน วุตฺตตฺตา ‘‘กิํ ตุยฺหิมินา ปาปเกน ทุชฺชีวิเตน, โย ตฺวํ น ลภสิ ปณีตโภชนานิ ภุญฺชิตุ’’มิจฺจาทินา นเยน มรณตฺถาย ชีวิเต อวณฺณํ วทโนฺต จ ‘‘ตฺวํ โขสิ อุปาสก กตกลฺยาโณ อกตปาโป, มตํ เต ชีวิตา เสโยฺย, อิโต ตฺวํ กาลกโต วิวิธวิหงฺคมวิกูชิเต ปรมสุรภิกุสุมภูสิตตรุวรนิจิเต ปรมรติกรลฬิตคติภาสิตวิลปิตสุรยุวติคณวิจริเต วรนนฺทเน อจฺฉราสงฺฆปริวาริโต วิจริสฺสสี’’ติอาทินา นเยน มรณตฺถาย มรณานิสํสํ ทเสฺสโนฺต จ ‘‘มรเณ คุณํ วเทยฺย’’อิเจฺจว วุจฺจติฯ

    Maraṇe guṇaṃ vā vadeyyāti yojanā, maraṇatthāya maraṇe guṇaṃ vaṇṇetīti attho. ‘‘Jīvite ādīnavaṃ dasseti, maraṇe guṇaṃ bhaṇatī’’ti (pārā. 172) padabhājane vuttattā ‘‘kiṃ tuyhiminā pāpakena dujjīvitena, yo tvaṃ na labhasi paṇītabhojanāni bhuñjitu’’miccādinā nayena maraṇatthāya jīvite avaṇṇaṃ vadanto ca ‘‘tvaṃ khosi upāsaka katakalyāṇo akatapāpo, mataṃ te jīvitā seyyo, ito tvaṃ kālakato vividhavihaṅgamavikūjite paramasurabhikusumabhūsitataruvaranicite paramaratikaralaḷitagatibhāsitavilapitasurayuvatigaṇavicarite varanandane accharāsaṅghaparivārito vicarissasī’’tiādinā nayena maraṇatthāya maraṇānisaṃsaṃ dassento ca ‘‘maraṇe guṇaṃ vadeyya’’icceva vuccati.

    มรณูปายํ เทเสยฺยาติ โยชนาฯ มรณาธิปฺปาเยเนว ‘‘สตฺถํ วา อาหร, วิสํ วา ขาท, รชฺชุยา วา อุพฺพนฺธิตฺวา กาลงฺกโรหี’’ติ ปทภาชเน วุตฺตสตฺถหรณานิ จ อวุตฺตมฺปิ โสพฺภนรกปปาตาทีสุ ปปตนญฺจาติ เอวมาทิกํ มรณูปายํ อาจิเกฺขยฺยฯ ‘‘โหติ อยมฺปี’’ติ ปทเจฺฉโท, อปีติ ปุเพฺพ วุตฺตทฺวยํ สมุจฺจิโนติฯ เทฺวธา ภินฺนสิลา วิย อสเนฺธโยฺยว โส เญโยฺยติ ทฺวิธา ภินฺนปาสาโณ วิย ภควโต ปฎิปตฺติปฎิเวธสาสนทฺวเยน โส ปจฺจุปฺปเนฺน อตฺตภาเว สนฺธาตุมสกฺกุเณโยฺยวาติ ญาตโพฺพติ อโตฺถฯ

    Maraṇūpāyaṃ deseyyāti yojanā. Maraṇādhippāyeneva ‘‘satthaṃ vā āhara, visaṃ vā khāda, rajjuyā vā ubbandhitvā kālaṅkarohī’’ti padabhājane vuttasatthaharaṇāni ca avuttampi sobbhanarakapapātādīsu papatanañcāti evamādikaṃ maraṇūpāyaṃ ācikkheyya. ‘‘Hoti ayampī’’ti padacchedo, apīti pubbe vuttadvayaṃ samuccinoti. Dvedhā bhinnasilā viya asandheyyovaso ñeyyoti dvidhā bhinnapāsāṇo viya bhagavato paṭipattipaṭivedhasāsanadvayena so paccuppanne attabhāve sandhātumasakkuṇeyyovāti ñātabboti attho.

    ๒๔๓. ถาวราทโยติ อาทิ-สเทฺทน วิชฺชามยอิทฺธิมยปโยคทฺวยํ สงฺคหิตํฯ

    243.Thāvarādayoti ādi-saddena vijjāmayaiddhimayapayogadvayaṃ saṅgahitaṃ.

    ๒๔๔. ตตฺถาติ เตสุ ฉสุ ปโยเคสุฯ สโก หโตฺถ สหโตฺถ, เตน นิพฺพโตฺต สาหตฺถิโก, ปโยโคฯ อิธ หตฺถคฺคหณํ อุปลกฺขณํ, ตสฺมา หตฺถาทินา อตฺตโน องฺคปจฺจเงฺคน นิปฺผาทิโต วธปฺปโยโค สาหตฺถิโกติ เวทิตโพฺพฯ

    244.Tatthāti tesu chasu payogesu. Sako hattho sahattho, tena nibbatto sāhatthiko, payogo. Idha hatthaggahaṇaṃ upalakkhaṇaṃ, tasmā hatthādinā attano aṅgapaccaṅgena nipphādito vadhappayogo sāhatthikoti veditabbo.

    ๒๔๕. ‘‘ตฺวํ ตํ เอวํ ปหริตฺวา มาเรหี’’ติ ภิกฺขุโน ปรสฺส ยํ อาณาปนํ, อยมาณตฺติโก นโยติ โยชนาฯ อาณตฺติโก นโยติ อาณตฺติเยว อาณตฺติโกฯ เนติ ปวเตฺตตีติ นโย, ปโยคเสฺสตํ นามํฯ

    245. ‘‘Tvaṃ taṃ evaṃ paharitvā mārehī’’ti bhikkhuno parassa yaṃ āṇāpanaṃ, ayamāṇattiko nayoti yojanā. Āṇattiko nayoti āṇattiyeva āṇattiko. Neti pavattetīti nayo, payogassetaṃ nāmaṃ.

    ๒๔๖. ทูรนฺติ ทูรฎฺฐํฯ กาเยน ปฎิพเทฺธนาติ เอตฺถ กาเยกเทโส หตฺถาทิ กาโย อวยเว สมุทาโยปจารโต ‘‘คาโม ทโฑฺฒ’’ติ ยถาฯ กายปฎิพทฺธํ จาปาทิกํ ปฎิพทฺธํ นาม ปุพฺพปทโลเปน ‘‘เทวทโตฺต ทโตฺต’’ติ ยถาฯ วา-สโทฺท ลุตฺตนิทฺทิโฎฺฐ, กาเยน วา กายปฎิพเทฺธน วาติ วุตฺตํ โหติ, ‘‘อุสุอาทินิปาตน’’นฺติ อิมินา สมฺพโนฺธฯ วิธานํ วิธิ, ปโยโคติ อโตฺถฯ

    246.Dūranti dūraṭṭhaṃ. Kāyena paṭibaddhenāti ettha kāyekadeso hatthādi kāyo avayave samudāyopacārato ‘‘gāmo daḍḍho’’ti yathā. Kāyapaṭibaddhaṃ cāpādikaṃ paṭibaddhaṃ nāma pubbapadalopena ‘‘devadatto datto’’ti yathā. Vā-saddo luttaniddiṭṭho, kāyena vā kāyapaṭibaddhena vāti vuttaṃ hoti, ‘‘usuādinipātana’’nti iminā sambandho. Vidhānaṃ vidhi, payogoti attho.

    ๒๔๗. อสญฺจาริมุปาเยนาติ อสญฺจาริเมน นิจฺจเลน อุปาเยนฯ โอปตนฺติ เอตฺถาติ โอปาโต, โส อาทิ เยสํ อปเสฺสนวิสเภสชฺชสํวิธานาทีนํ เต โอปาตาทโย, เตสํ วิธานํ โอปาตาทิวิธานํ, โอปาตกฺขณนาทิกิริยาฯ

    247.Asañcārimupāyenāti asañcārimena niccalena upāyena. Opatanti etthāti opāto, so ādi yesaṃ apassenavisabhesajjasaṃvidhānādīnaṃ te opātādayo, tesaṃ vidhānaṃ opātādividhānaṃ, opātakkhaṇanādikiriyā.

    ๒๔๘. วิชฺชายาติ อาถพฺพนเวทาคตมรณมนฺตสงฺขาตวิชฺชายฯ ชปฺปนนฺติ ยถา ปโร น สุณาติ, ตถา ปุนปฺปุนํ วจนํฯ

    248.Vijjāyāti āthabbanavedāgatamaraṇamantasaṅkhātavijjāya. Jappananti yathā paro na suṇāti, tathā punappunaṃ vacanaṃ.

    ๒๔๙. มารเณ สมตฺถา ยา กมฺมวิปากชา อิทฺธิ, อยํ อิทฺธิมโย ปโยโค นามาติ สมุทีริโตติ โยชนาฯ กมฺมวิปาเก ชาตา กมฺมวิปากชา, อิทฺธิ, ยา ‘‘นาคานํ นาคิทฺธิ สุปณฺณานํ สุปณฺณิทฺธิ ยกฺขานํ ยกฺขิทฺธี’’ติอาทินา (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๗๒) พหุธา อฎฺฐกถายํ วุตฺตาฯ ตตฺถ ทิฎฺฐทฎฺฐผุฎฺฐวิสานํ นาคานํ ทิสฺวา, ฑํสิตฺวา, ผุสิตฺวา จ ปรูปฆาตกรเณ นาคิทฺธิ เวทิตพฺพาฯ เอวํ เสสานมฺปิฯ อิทฺธิเยว อิทฺธิมโย, ภาวนามโย อิทฺธิปฺปโยโค ปเนตฺถ น คเหตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ อฎฺฐกถายํ

    249. Māraṇe samatthā yā kammavipākajā iddhi, ayaṃ iddhimayo payogo nāmāti samudīritoti yojanā. Kammavipāke jātā kammavipākajā, iddhi, yā ‘‘nāgānaṃ nāgiddhi supaṇṇānaṃ supaṇṇiddhi yakkhānaṃ yakkhiddhī’’tiādinā (pārā. aṭṭha. 2.172) bahudhā aṭṭhakathāyaṃ vuttā. Tattha diṭṭhadaṭṭhaphuṭṭhavisānaṃ nāgānaṃ disvā, ḍaṃsitvā, phusitvā ca parūpaghātakaraṇe nāgiddhi veditabbā. Evaṃ sesānampi. Iddhiyeva iddhimayo, bhāvanāmayo iddhippayogo panettha na gahetabbo. Vuttañhetaṃ aṭṭhakathāyaṃ

    ‘‘เกจิ ปน ภาวนามยิทฺธิยาปิ ปรูปฆาตกรณํ วทนฺติฯ สห ปรูปฆาตกรเณน จ อาทิตฺตฆรูปริ ขิตฺตสฺส อุทกฆฎสฺส เภทนํ วิย อิทฺธิวินาสญฺจ อิจฺฉนฺติ, ตํ เตสํ อิจฺฉามตฺตเมวฯ กสฺมา? ยสฺมา ตํ กุสลเวทนาวิตกฺกปริตฺตตฺติกาทีหิ น สเมติฯ กถํ? อยญฺหิ ภาวนามยิทฺธิ นาม จตุตฺถชฺฌานมยา กุสลตฺติเก กุสลา เจว อพฺยากตา จ, ปาณาติปาโต อกุสโลฯ เวทนาตฺติเก อทุกฺขมสุขสมฺปยุตฺตา, ปาณาติปาโต ทุกฺขสมฺปยุโตฺตฯ วิตกฺกตฺติเก อวิตกฺกอวิจารา, ปาณาติปาโต สวิตกฺกสวิจาโรฯ ปริตฺตตฺติเก มหคฺคตา, ปาณาติปาโต ปริโตฺตเยวา’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๗๒)ฯ

    ‘‘Keci pana bhāvanāmayiddhiyāpi parūpaghātakaraṇaṃ vadanti. Saha parūpaghātakaraṇena ca ādittagharūpari khittassa udakaghaṭassa bhedanaṃ viya iddhivināsañca icchanti, taṃ tesaṃ icchāmattameva. Kasmā? Yasmā taṃ kusalavedanāvitakkaparittattikādīhi na sameti. Kathaṃ? Ayañhi bhāvanāmayiddhi nāma catutthajjhānamayā kusalattike kusalā ceva abyākatā ca, pāṇātipāto akusalo. Vedanāttike adukkhamasukhasampayuttā, pāṇātipāto dukkhasampayutto. Vitakkattike avitakkaavicārā, pāṇātipāto savitakkasavicāro. Parittattike mahaggatā, pāṇātipāto parittoyevā’’ti (pārā. aṭṭha. 2.172).

    ๒๕๐. ตตฺถาติ เตสุ ฉพฺพิเธสุ ปโยเคสุฯ อุเทฺทโสปีติ อุทฺทิสนํ อุเทฺทโส, ตํสหิโต ปโยโคปิ อุเทฺทโสติ วุตฺตํ โหติ ‘‘กุเนฺต ปเวเสหี’’ติ ยถาฯ เอวํ วตฺตพฺพตาย จ อนุเทฺทโสติ ตพฺพิปรีตวจนเมว ญาปกนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอตฺถ เอเกโก อุเทฺทโสปิ อนุเทฺทโสปิ โหตีติ เตสมยํ เภโท ปน ทุวิโธ โหตีติ ปริทีปิโตติ โยชนาฯ อิเมสุ ฉสุ ปโยเคเสฺวว เอเกกเสฺสว อุทฺทิสฺสานุทฺทิสฺสกิริยมานตาย ทุวิธภาวโต เตสํ ทฺวาทสวิโธ เภโท ปทภาชเนอฎฺฐกถาย จ ทีปิโต, ตตฺถ วินิจฺฉยมิทานิ ทสฺสยิสฺสามีติ อธิปฺปาโยฯ

    250.Tatthāti tesu chabbidhesu payogesu. Uddesopīti uddisanaṃ uddeso, taṃsahito payogopi uddesoti vuttaṃ hoti ‘‘kunte pavesehī’’ti yathā. Evaṃ vattabbatāya ca anuddesoti tabbiparītavacanameva ñāpakanti veditabbaṃ. Ettha ekeko uddesopi anuddesopi hotīti tesamayaṃ bhedo pana duvidho hotīti paridīpitoti yojanā. Imesu chasu payogesveva ekekasseva uddissānuddissakiriyamānatāya duvidhabhāvato tesaṃ dvādasavidho bhedo padabhājane ca aṭṭhakathāya ca dīpito, tattha vinicchayamidāni dassayissāmīti adhippāyo.

    ๒๕๑. พหูสุปีติ มนุเสฺสสุ พหูสุปิฯ เตน กเมฺมนาติ ปหารทานสงฺขาเตน กเมฺมนฯ พชฺฌตีติ อปายํ เนตุํ กมฺมปาเสน กมฺมนฺตรํ นิวาเรตฺวา พชฺฌตีติ อโตฺถฯ

    251.Bahūsupīti manussesu bahūsupi. Tena kammenāti pahāradānasaṅkhātena kammena. Bajjhatīti apāyaṃ netuṃ kammapāsena kammantaraṃ nivāretvā bajjhatīti attho.

    ๒๕๒. ปหาเรปีติ ปหรเณปิฯ เทหิโนติ มนุสฺสวิคฺคหสฺสฯ ตสฺสาติ ปหฎสฺสฯ

    252.Pahārepīti paharaṇepi. Dehinoti manussaviggahassa. Tassāti pahaṭassa.

    ๒๕๓. ปหฎมเตฺต วาติ ปหฎกฺขเณ วาฯ ปจฺฉาติ ตปฺปจฺจยา กาลนฺตเร วาฯ อุภยถาปิ จ มเตติ ทฺวินฺนํ อาการานมญฺญตเรน มเตปิฯ หนฺตา วธโกฯ ปหฎมตฺตสฺมินฺติ ตสฺมิํ มรณารหปหารสฺส ลทฺธกฺขเณเยว, มรณโต ปุพฺพภาเคเยวาติ มตฺตสเทฺทน ทีเปติฯ มรณตฺถาย จ อญฺญตฺถาย จ ทิเนฺนสุ อเนเกสุ ปหาเรสุ มรณตฺถาย ทินฺนปฺปหาเรเนว ยทา กทาจิ มริสฺสติ, ปหารทานกฺขเณเยว ปาราชิกํ โหติฯ อมรณาธิปฺปาเยน ทินฺนปฺปหารพเลน เจ มเรยฺย, น โหตีติ วุตฺตํ โหตีติฯ

    253.Pahaṭamatte vāti pahaṭakkhaṇe vā. Pacchāti tappaccayā kālantare vā. Ubhayathāpi ca mateti dvinnaṃ ākārānamaññatarena matepi. Hantā vadhako. Pahaṭamattasminti tasmiṃ maraṇārahapahārassa laddhakkhaṇeyeva, maraṇato pubbabhāgeyevāti mattasaddena dīpeti. Maraṇatthāya ca aññatthāya ca dinnesu anekesu pahāresu maraṇatthāya dinnappahāreneva yadā kadāci marissati, pahāradānakkhaṇeyeva pārājikaṃ hoti. Amaraṇādhippāyena dinnappahārabalena ce mareyya, na hotīti vuttaṃ hotīti.

    ๒๕๔. เทฺว ปโยคาติ อุทฺทิสฺสานุทฺทิสฺสกิริยาเภทภินฺนา สาหตฺถิกาณตฺติกา เทฺว ปโยคาฯ

    254.Dve payogāti uddissānuddissakiriyābhedabhinnā sāhatthikāṇattikā dve payogā.

    ๒๕๕. กรณสฺสาติ กิริยายฯ วิเสโสติ นานตฺตํฯ อาณตฺตินิยามกาติ อาณตฺติํ นิยาเมนฺติ ววตฺถาเปนฺตีติ อาณตฺตินิยามกาฯ

    255.Karaṇassāti kiriyāya. Visesoti nānattaṃ. Āṇattiniyāmakāti āṇattiṃ niyāmenti vavatthāpentīti āṇattiniyāmakā.

    ๒๕๖. ตตฺถาติ เตสุ อาณตฺตินิยามเกสุ ฉสุ อากาเรสุฯ โยพฺพนาทิ จาติ อาทิ-สเทฺทน ถาวริยมนฺทขิฑฺฑวุทฺธาทิอวตฺถาวิเสโส สงฺคหิโตฯ

    256.Tatthāti tesu āṇattiniyāmakesu chasu ākāresu. Yobbanādi cāti ādi-saddena thāvariyamandakhiḍḍavuddhādiavatthāviseso saṅgahito.

    ๒๕๗. ยํ มาติกาย นิทฺทิฎฺฐํ สตฺถํ, ตํ กตมํ?ฯ สตฺตมารณนฺติ สเตฺต มาเรนฺติ เอเตนาติ สตฺตมารณํ, อสิอาทิวโธปกรณํฯ

    257. Yaṃ mātikāya niddiṭṭhaṃ satthaṃ, taṃ katamaṃ?. Sattamāraṇanti satte mārenti etenāti sattamāraṇaṃ, asiādivadhopakaraṇaṃ.

    ๒๕๘. วิชฺฌนนฺติ อุสุอาทีหิ วิชฺฌนํฯ เภทนนฺติ กกจาทีหิ ทฺวิธากรณํฯ เฉทนนฺติ ขคฺคาทีหิ ทฺวิธากรณํฯ ตาฬนนฺติ มุคฺคราทีหิ อาฆาตนํฯ เอวมาทิวิโธติ เอวมาทิปฺปกาโรฯ อเนโกติ พหุโก เภโทฯ กรณสฺส วิเสโส กิริยาวิเสโสติ อโตฺถฯ

    258.Vijjhananti usuādīhi vijjhanaṃ. Bhedananti kakacādīhi dvidhākaraṇaṃ. Chedananti khaggādīhi dvidhākaraṇaṃ. Tāḷananti muggarādīhi āghātanaṃ. Evamādividhoti evamādippakāro. Anekoti bahuko bhedo. Karaṇassa viseso kiriyāvisesoti attho.

    ๒๕๙-๖๐. ‘‘ปุรโต ปหริตฺวาน มาเรหี’’ติ โย ภาสิโต อาณาปเกน, เตน อาณเตฺตน ปจฺฉโต…เป.… มาริเตติ โยชนาฯ วตฺถาณตฺติ วิสเงฺกตาติ เอตฺถ ‘‘ยํ ‘มาเรหี’ติ…เป.… ตโต’’ติ วตฺถุวิสเงฺกโต ทสฺสิโตฯ ‘‘ปุรโต…เป.… มาริเต’’ติ อาณตฺติวิสเงฺกโต ทสฺสิโตฯ มูลโฎฺฐติ อาณาปโกฯ มูลนฺติ หิ ปุพฺพกิริยานุรูปํ อาณาปนํ, ตตฺถ ฐิโตติ มูลโฎฺฐ

    259-60. ‘‘Purato paharitvāna mārehī’’ti yo bhāsito āṇāpakena, tena āṇattena pacchato…pe… māriteti yojanā. Vatthāṇatti visaṅketāti ettha ‘‘yaṃ ‘mārehī’ti…pe… tato’’ti vatthuvisaṅketo dassito. ‘‘Purato…pe… mārite’’ti āṇattivisaṅketo dassito. Mūlaṭṭhoti āṇāpako. Mūlanti hi pubbakiriyānurūpaṃ āṇāpanaṃ, tattha ṭhitoti mūlaṭṭho.

    ๒๖๑. อิมินา วิสเงฺกเต อาณาปกสฺส อนาปตฺติํ ทเสฺสตฺวา สเงฺกเต อวิราธิเต อุภินฺนมฺปิ ปาราชิกํ ทเสฺสตุมาห ‘‘วตฺถุ’’นฺติอาทิฯ ตํ วตฺถุํ อวิรชฺฌิตฺวา มาริเต อุภเยสํ…เป.… อุทีริโต, ยถาณตฺติ จ มาริเต…เป.… อุทีริโตติ โยชนาฯ มาริเต วตฺถุสฺมินฺติ สามตฺถิยา ลพฺภติฯ อุภเยสนฺติ อาณาปกอาณตฺตานํฯ ยถากาลนฺติ อาณาปกสฺส อาณตฺติกฺขณํ, อาณตฺตสฺส มารณกฺขณญฺจ อนติกฺกมิตฺวาฯ พนฺธนํ พโนฺธ, กมฺมุนา พโนฺธ กมฺมพโนฺธฯ อถ วา พชฺฌติ เอเตนาติ พโนฺธ, กมฺมเมว พโนฺธ กมฺมพโนฺธ

    261. Iminā visaṅkete āṇāpakassa anāpattiṃ dassetvā saṅkete avirādhite ubhinnampi pārājikaṃ dassetumāha ‘‘vatthu’’ntiādi. Taṃ vatthuṃ avirajjhitvā mārite ubhayesaṃ…pe… udīrito, yathāṇatti ca mārite…pe… udīritoti yojanā. Mārite vatthusminti sāmatthiyā labbhati. Ubhayesanti āṇāpakaāṇattānaṃ. Yathākālanti āṇāpakassa āṇattikkhaṇaṃ, āṇattassa māraṇakkhaṇañca anatikkamitvā. Bandhanaṃ bandho, kammunā bandho kammabandho. Atha vā bajjhati etenāti bandho, kammameva bandho kammabandho.

    ๒๖๔. วิสเงฺกโต นาติ วิสเงฺกโต นตฺถิ, ทฺวินฺนมฺปิ ยถากาลปริเจฺฉทํ กมฺมพโนฺธเยวาติ อโตฺถฯ

    264.Visaṅketo nāti visaṅketo natthi, dvinnampi yathākālaparicchedaṃ kammabandhoyevāti attho.

    ๒๖๕. สพฺพโสติ สเพฺพสุ กาลเภเทสุ, สพฺพโส เวทิตโพฺพติ วา สมฺพโนฺธฯ สพฺพโสติ สพฺพปฺปกาเรนฯ วิภาวินาติ ปณฺฑิเตนฯ โส หิ อตฺถํ วิภาเวตีติ ตถา วุโตฺตฯ

    265.Sabbasoti sabbesu kālabhedesu, sabbaso veditabboti vā sambandho. Sabbasoti sabbappakārena. Vibhāvināti paṇḍitena. So hi atthaṃ vibhāvetīti tathā vutto.

    ๒๖๖-๗-๘. ‘‘อิมํ คาเม ฐิต’’นฺติ อิทํ ตํ สญฺชานิตุํ วุตฺตํ, น มารณกฺขณฎฺฐานนิยมตฺถายาติ ‘‘ยตฺถ กตฺถจิ ฐิต’’นฺติ วตฺวาปิ ‘‘นตฺถิ ตสฺส วิสเงฺกโต’’ติ อาหฯ ตสฺสาติ อาณาปกสฺสฯ ‘‘ตตฺถา’’ติ วา ปาโฐ, ตสฺสํ อาณตฺติยนฺติ อโตฺถฯ ‘‘คาเมเยว ฐิตํ เวริํ มาเรหี’’ติ สาวธารณํ อาณโตฺต วเน เจ ฐิตํ มาเรติ วา ‘‘วเนเยว ฐิตํ เวริํ มาเรหี’’ติ สาวธารณํ วุโตฺต คาเม ฐิตํ เจ มาเรติ วาติ โยชนาฯ ‘‘ภิกฺขุนา สาวธารณ’’นฺติ จ โปตฺถเกสุ ลิขนฺติ, ตํ อคฺคเหตฺวา ‘‘วเน วา สาวธารณ’’นฺติ ปาโฐเยว คเหตโพฺพฯ วิคโต สเงฺกโต อาณตฺตินิยาโม เอตฺถาติ วิสเงฺกโต

    266-7-8.‘‘Imaṃ gāme ṭhita’’nti idaṃ taṃ sañjānituṃ vuttaṃ, na māraṇakkhaṇaṭṭhānaniyamatthāyāti ‘‘yattha katthaci ṭhita’’nti vatvāpi ‘‘natthi tassa visaṅketo’’ti āha. Tassāti āṇāpakassa. ‘‘Tatthā’’ti vā pāṭho, tassaṃ āṇattiyanti attho. ‘‘Gāmeyeva ṭhitaṃ veriṃ mārehī’’ti sāvadhāraṇaṃ āṇatto vane ce ṭhitaṃ māreti vā ‘‘vaneyeva ṭhitaṃ veriṃ mārehī’’ti sāvadhāraṇaṃ vutto gāme ṭhitaṃ ce māreti vāti yojanā. ‘‘Bhikkhunā sāvadhāraṇa’’nti ca potthakesu likhanti, taṃ aggahetvā ‘‘vane vāsāvadhāraṇa’’nti pāṭhoyeva gahetabbo. Vigato saṅketo āṇattiniyāmo etthāti visaṅketo.

    ๒๖๙. สพฺพเทเสสูติ คามวนองฺคณเคหาทีสุ สเพฺพสุ ฐาเนสุฯ เภทโตติ นานตฺตโตฯ

    269.Sabbadesesūti gāmavanaaṅgaṇagehādīsu sabbesu ṭhānesu. Bhedatoti nānattato.

    ๒๗๐. ‘‘สเตฺถน ปน มาเรหี’’ติ เยน เกนจิ โย อาณโตฺต, เตน เยน เกนจิ สเตฺถน มาริเต วิสเงฺกโต นตฺถีติ โยชนาฯ

    270. ‘‘Satthena pana mārehī’’ti yena kenaci yo āṇatto, tena yena kenaci satthena mārite visaṅketo natthīti yojanā.

    ๒๗๑-๒. อิมินา วาสินา หีติ เอตฺถ หีติ ปทปูรเณฯ ‘‘อิมินา อสินา มาเรยฺยา’’ติ วุโตฺต อเญฺญน อสินา มาเรติ วา ‘‘ตฺวํ อิมสฺส อสิสฺส เอตาย ธาราย มารย’’ อิติ วุโตฺต ตํ เวริํ สเจ อิตราย ธาราย มาเรติ วา ถรุนา มาเรติ วา ตุเณฺฑน มาเรติ วา, ตถา มาริเต วิสเงฺกโตเยว โหตีติ โยชนาฯ ถรุนาติ ขคฺคมุฎฺฐินาฯ ตุเณฺฑนาติ ขคฺคตุเณฺฑนฯ ‘‘วิสเงฺกโตวา’’ติ สเงฺกตวิราเธเนว ปาราชิกํ น โหตีติ ทสฺสนปทเมตํฯ

    271-2.Iminā vāsinā hīti ettha ti padapūraṇe. ‘‘Iminā asinā māreyyā’’ti vutto aññena asinā māreti vā ‘‘tvaṃ imassa asissa etāya dhārāya māraya’’ iti vutto taṃ veriṃ sace itarāya dhārāya māreti vā tharunā māreti vā tuṇḍena māreti vā, tathā mārite visaṅketoyeva hotīti yojanā. Tharunāti khaggamuṭṭhinā. Tuṇḍenāti khaggatuṇḍena. ‘‘Visaṅketovā’’ti saṅketavirādheneva pārājikaṃ na hotīti dassanapadametaṃ.

    ๒๗๓. สพฺพาวุธกชาติสูติ อิธาวุตฺตกรปาลิกาฉุริกาทิสพฺพปหรณสามเญฺญสุฯ วิเสสโตติ เภทโตฯ

    273.Sabbāvudhakajātisūti idhāvuttakarapālikāchurikādisabbapaharaṇasāmaññesu. Visesatoti bhedato.

    ๒๗๔. ปเรนาติ ภิกฺขุนาฯ โสติ อาณโตฺตฯ นิสินฺนํ นํ มาเรติ, วิสเงฺกโต น วิชฺชตีติ ‘‘คจฺฉนฺตเมว มาเรหี’’ติ สาวธารณํ อวุตฺตตฺตา ‘‘นิสิโนฺนปิ โสเยวา’’ติ ตํ มาเรนฺตสฺส วิสเงฺกโต น โหติ, อวธารณํ อนฺตเรน กถนํ ตํ สญฺชานาเปตุํ วุจฺจตีติ อิริยาปถนิยามกํ น โหตีติ อธิปฺปาโยฯ

    274.Parenāti bhikkhunā. Soti āṇatto. Nisinnaṃ naṃ māreti, visaṅketo na vijjatīti ‘‘gacchantameva mārehī’’ti sāvadhāraṇaṃ avuttattā ‘‘nisinnopi soyevā’’ti taṃ mārentassa visaṅketo na hoti, avadhāraṇaṃ antarena kathanaṃ taṃ sañjānāpetuṃ vuccatīti iriyāpathaniyāmakaṃ na hotīti adhippāyo.

    ๒๗๕-๖. อสติ สาวธารเณ วิสเงฺกตาภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ สาวธารเณ อิริยาปถนฺตเรสุ วิสเงฺกตํ ทเสฺสตุมาห ‘‘นิสินฺนํเยวา’’ติอาทิฯ ‘‘นิสินฺนํเยว มาเรหี’’ติ วุโตฺต คจฺฉนฺตํ มาเรติ, วิสเงฺกตนฺติ ญาตพฺพํฯ ‘‘คจฺฉนฺตํเยว มาเรหี’’ติ วุโตฺต นิสินฺนํ มาเรติ, วิสเงฺกตนฺติ ญาตพฺพนฺติ โยชนาฯ อิมเมว โยชนากฺกมํ สนฺธายาห ‘‘ยถากฺกม’’นฺติฯ

    275-6. Asati sāvadhāraṇe visaṅketābhāvaṃ dassetvā idāni sāvadhāraṇe iriyāpathantaresu visaṅketaṃ dassetumāha ‘‘nisinnaṃyevā’’tiādi. ‘‘Nisinnaṃyeva mārehī’’ti vutto gacchantaṃ māreti, visaṅketanti ñātabbaṃ. ‘‘Gacchantaṃyeva mārehī’’ti vutto nisinnaṃ māreti, visaṅketanti ñātabbanti yojanā. Imameva yojanākkamaṃ sandhāyāha ‘‘yathākkama’’nti.

    ๒๗๗. วิชฺฌิตฺวาติ สราทีหิ วิชฺฌิตฺวาฯ

    277.Vijjhitvāti sarādīhi vijjhitvā.

    ๒๗๘. ฉินฺทิตฺวาติ อสิอาทีหิ ฉินฺทิตฺวาฯ ปุน โสติ ปโยโคฯ

    278.Chinditvāti asiādīhi chinditvā. Puna soti payogo.

    ๒๗๙. กรเณสูติ วิชฺฌนาทิกิริยาวิเสเสสุฯ

    279.Karaṇesūti vijjhanādikiriyāvisesesu.

    ๒๘๐-๑. เอตฺตาวตา อาณตฺตินิยามกนิเทฺทสํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ทีฆาทิลิงฺควเสนาปิ สมฺภวนฺตํ วิสเงฺกตํ ทเสฺสตุมาห ‘‘ทีฆ’’นฺติอาทิฯ ‘‘ทีฆํ…เป.… ถูลํ มาเรหีติ อนิยเมตฺวา อาณาเปตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๗๔) อฎฺฐกถาวจนโต เอว-การํ วินา ‘‘ทีฆํ มาเรหี’’ติ อนิยเมตฺวา เกนจิ โย อาณโตฺต โหติ, โสปิ อาณโตฺต ยํ กิญฺจิ ตาทิสํ สเจ มาเรติ, นตฺถิ ตตฺถ วิสเงฺกโต, อุภินฺนมฺปิ ปราชโยติ โยชนาฯ เอวํ ‘‘รสฺส’’นฺติอาทิสพฺพปเทหิปิ ปเจฺจกํ โยชนา กาตพฺพาฯ อนิยเมตฺวาติ วิสเงฺกตาภาวสฺส เหตุทสฺสนํฯ เอวกาโร วากฺยาลงฺกาโรฯ ตตฺถาติ อาณตฺติกปฺปโยเคฯ ‘‘อุภินฺนมฺปิ ปราชโย’’ติ วุตฺตตฺตา อาณาปกํ วินา อญฺญํ ยถาวุตฺตกฺขณํ มนุสฺสวิคฺคหํ ‘‘ยํ กิญฺจิ ตาทิส’’นฺติ อิมินา ทเสฺสติฯ

    280-1. Ettāvatā āṇattiniyāmakaniddesaṃ dassetvā idāni dīghādiliṅgavasenāpi sambhavantaṃ visaṅketaṃ dassetumāha ‘‘dīgha’’ntiādi. ‘‘Dīghaṃ…pe… thūlaṃ mārehīti aniyametvā āṇāpetī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.174) aṭṭhakathāvacanato eva-kāraṃ vinā ‘‘dīghaṃ mārehī’’ti aniyametvā kenaci yo āṇatto hoti, sopi āṇatto yaṃ kiñci tādisaṃ sace māreti, natthi tattha visaṅketo, ubhinnampi parājayoti yojanā. Evaṃ ‘‘rassa’’ntiādisabbapadehipi paccekaṃ yojanā kātabbā. Aniyametvāti visaṅketābhāvassa hetudassanaṃ. Evakāro vākyālaṅkāro. Tatthāti āṇattikappayoge. ‘‘Ubhinnampi parājayo’’ti vuttattā āṇāpakaṃ vinā aññaṃ yathāvuttakkhaṇaṃ manussaviggahaṃ ‘‘yaṃ kiñci tādisa’’nti iminā dasseti.

    สเจ อาณาปโก อาณาเปตฺวา อตฺตานเมว มาเรติ, อาณาปโก ทุกฺกฎํ อาปชฺชิตฺวา มรติ, อาณตฺตสฺส ปาราชิกํฯ อาณาปเกน อตฺตานมุทฺทิสฺส อาณตฺติยา กตาย อาณโตฺต อชานิตฺวา ตาทิสํ อญฺญํ มาเรติ, โอกาสสฺส อนิยมิตตฺตา อาณาปโก มุจฺจติ, อิตโร กมฺมุนา พชฺฌติฯ ยทิ ‘‘อมุกสฺมิํ รตฺติฎฺฐาเน วา ทิวาฎฺฐาเน วา นิสินฺนํ อีทิสํ มาเรหี’’ติ โอกาสํ นิยเมตฺวา อาณาเปติ, ตตฺถ อาณาปกโต อญฺญสฺมิํ มาริเต อุภินฺนมฺปิ ปาราชิกํฯ ตโต พหิ มาริเต วธกเสฺสว กมฺมพโนฺธฯ อาณาปโก อตฺตานเมว อุทฺทิสฺส อาณาเปติ, อิตโร จ ตเมว ตตฺถ มาเรติ, อาณาปกสฺส ทุกฺกฎํ, อาณตฺตสฺส ปาราชิกํฯ สเจ อญฺญตฺถ มาเรติ, มูลโฎฺฐ มุจฺจติฯ อชานิตฺวา อญฺญํ ตตฺถ วา อญฺญตฺถ วา มาเรติ, วธโก ปาราชิกํ อาปชฺชติ, มูลโฎฺฐ มุจฺจติฯ อานนฺตริยวตฺถุมฺหิ อานนฺตริเยน สทฺธิํ โยเชตพฺพํฯ

    Sace āṇāpako āṇāpetvā attānameva māreti, āṇāpako dukkaṭaṃ āpajjitvā marati, āṇattassa pārājikaṃ. Āṇāpakena attānamuddissa āṇattiyā katāya āṇatto ajānitvā tādisaṃ aññaṃ māreti, okāsassa aniyamitattā āṇāpako muccati, itaro kammunā bajjhati. Yadi ‘‘amukasmiṃ rattiṭṭhāne vā divāṭṭhāne vā nisinnaṃ īdisaṃ mārehī’’ti okāsaṃ niyametvā āṇāpeti, tattha āṇāpakato aññasmiṃ mārite ubhinnampi pārājikaṃ. Tato bahi mārite vadhakasseva kammabandho. Āṇāpako attānameva uddissa āṇāpeti, itaro ca tameva tattha māreti, āṇāpakassa dukkaṭaṃ, āṇattassa pārājikaṃ. Sace aññattha māreti, mūlaṭṭho muccati. Ajānitvā aññaṃ tattha vā aññattha vā māreti, vadhako pārājikaṃ āpajjati, mūlaṭṭho muccati. Ānantariyavatthumhi ānantariyena saddhiṃ yojetabbaṃ.

    ๒๘๒. โย มนุสฺสํ กญฺจิ อุทฺทิสฺส สเจ โอปาตํ ขณติ, ตถา โอปาตํ ขณนฺตสฺส ตสฺส ทุกฺกฎํ นาม อาปตฺติ โหตีติ อชฺฌาหารโยชนาฯ โยชนา จ นาเมสา ยถารุตโยชนา, อชฺฌาหารโยชนาติ ทุวิธาฯ ตตฺถ ปาฐาคตปทานเมว โยชนา ยถารุตโยชนา, อูนปูรณตฺถมชฺฌาหารปเทหิ สห ปาฐาคตปทานํ โยชนา อชฺฌาหารโยชนาติ เวทิตพฺพาฯ ‘‘ขณนฺตสฺส จ โอปาต’’นฺติ โปตฺถเกสุ ปาโฐ ทิสฺสติฯ ‘‘ขณนฺตสฺส ตโถปาต’นฺติ ปาโฐ สุนฺทโร’’ติ นิสฺสเนฺทเห วุตฺตํฯ ‘‘อาวาฎนฺติ เอตสฺส ‘โอปาต’นฺติ ปริยาโย’’ติ จ วุตฺตํฯ ตโตปิ –

    282. Yo manussaṃ kañci uddissa sace opātaṃ khaṇati, tathā opātaṃ khaṇantassa tassa dukkaṭaṃ nāma āpatti hotīti ajjhāhārayojanā. Yojanā ca nāmesā yathārutayojanā, ajjhāhārayojanāti duvidhā. Tattha pāṭhāgatapadānameva yojanā yathārutayojanā, ūnapūraṇatthamajjhāhārapadehi saha pāṭhāgatapadānaṃ yojanā ajjhāhārayojanāti veditabbā. ‘‘Khaṇantassaca opāta’’nti potthakesu pāṭho dissati. ‘‘Khaṇantassa tathopāta’nti pāṭho sundaro’’ti nissandehe vuttaṃ. ‘‘Āvāṭanti etassa ‘opāta’nti pariyāyo’’ti ca vuttaṃ. Tatopi –

    ‘‘มนุสฺสํ กญฺจิ อุทฺทิสฺส;

    ‘‘Manussaṃ kañci uddissa;

    โย เจ ขณติวาฎกํ;

    Yo ce khaṇativāṭakaṃ;

    ขณโต ตํ ตถา ตสฺส;

    Khaṇato taṃ tathā tassa;

    โหติ อาปตฺติ ทุกฺกฎ’’นฺติฯ –

    Hoti āpatti dukkaṭa’’nti. –

    ปาโฐ สุนฺทรตโรฯ ชาตปถวิํ ขณนฺตสฺส ปาราชิกปโยคตฺตา ปโยคคณนาย ทุกฺกฎํฯ

    Pāṭho sundarataro. Jātapathaviṃ khaṇantassa pārājikapayogattā payogagaṇanāya dukkaṭaṃ.

    ๒๘๓. ตตฺถาติ ตสฺมิํ อาวาเฎฯ ตสฺสาติ ปติตสฺส มนุสฺสวิคฺคหสฺสฯ ทุกฺขสฺสุปฺปตฺติยาติ ทุกฺขุปฺปตฺติเหตุฯ ตสฺสาติ เยน อาวาโฎ ขโต, ตสฺส ภิกฺขุโนฯ ปติตฺวา โส เจ มรติ, ตสฺมิํ มเต ตสฺส ภิกฺขุโน ปาราชิกํ ภเวติ โยชนาฯ

    283.Tatthāti tasmiṃ āvāṭe. Tassāti patitassa manussaviggahassa. Dukkhassuppattiyāti dukkhuppattihetu. Tassāti yena āvāṭo khato, tassa bhikkhuno. Patitvā so ce marati, tasmiṃ mate tassa bhikkhuno pārājikaṃ bhaveti yojanā.

    ๒๘๔. อญฺญสฺมินฺติ ยํ สมุทฺทิสฺส อาวาโฎ ขโต, ตโต อญฺญสฺมิํฯ อนุทฺทิสฺสกนฺติ กิริยาวิเสสนํ, อนุทฺทิสฺสกํ กตฺวาติ อโตฺถฯ โอปาตวิเสสนํ เจ, ‘‘อนุทฺทิสฺสโก โอปาโต’’ติ ปทเจฺฉโทฯ ‘‘อคฺคมกฺขายตี’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๕.๑๓๙; อ. นิ. ๔.๓๔; ๑๐.๑๕; อิติวุ. ๙๐; เนตฺติ. ๑๗๐) วิย โอ-การฎฺฐาเน อ-กาโร, ม-การาคโม จ ทฎฺฐโพฺพ, อโนทิสฺสโก โอปาโต ขโต โหตีติ อโตฺถฯ

    284.Aññasminti yaṃ samuddissa āvāṭo khato, tato aññasmiṃ. Anuddissakanti kiriyāvisesanaṃ, anuddissakaṃ katvāti attho. Opātavisesanaṃ ce, ‘‘anuddissako opāto’’ti padacchedo. ‘‘Aggamakkhāyatī’’tiādīsu (saṃ. ni. 5.139; a. ni. 4.34; 10.15; itivu. 90; netti. 170) viya o-kāraṭṭhāne a-kāro, ma-kārāgamo ca daṭṭhabbo, anodissako opāto khato hotīti attho.

    ๒๘๕. ‘‘เอตฺถ ปติตฺวา โย โกจิ มรตู’’ติ อโนทิสฺสโก โอปาโต สเจ ขโต โหติ, ยตฺตกา นิปติตฺวา มรนฺติ เจ, อสฺส ตตฺตกา โทสา โหนฺตีติ โยชนาฯ ‘‘โย โกจี’’ติ อิมินา อตฺตโน มาตาปิตโร จ สงฺคหิตาฯ โทสาติ กมฺมพนฺธโทสา, ปาราชิกํ ปน เอกเมวฯ อสฺสาติ เยน อโนทิสฺส โอปาโต ขโต, ตสฺสฯ

    285. ‘‘Ettha patitvā yo koci maratū’’ti anodissako opāto sace khato hoti, yattakā nipatitvā maranti ce, assa tattakā dosā hontīti yojanā. ‘‘Yo kocī’’ti iminā attano mātāpitaro ca saṅgahitā. Dosāti kammabandhadosā, pārājikaṃ pana ekameva. Assāti yena anodissa opāto khato, tassa.

    ๒๘๖. อานนฺตริยวตฺถุสฺมิํ มเตติ ปาฐเสโส, ‘‘ตตฺถ ปติตฺวา’’ติ อธิกาโร, อรหเนฺต, มาตริ, ปิตริ จ ตสฺมิํ ปติตฺวา มเต กาลกเตติ อโตฺถฯ อานนฺตริยกนฺติ เอตฺถ สกเตฺถ, กุจฺฉิเต , สญฺญายํ วา ก-ปจฺจโย ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘อานนฺตริยวตฺถุสฺมิ’’นฺติ อิมสฺมิํ สมาสปเท อวยวภูตมฺปิ ‘‘วตฺถุสฺมิ’’นฺติ อิทญฺจ ‘‘ตตฺถ ปติตฺวา มเต’’ติ อิทญฺจ อากฑฺฒติฯ ถุลฺลจฺจยาทีนํ วตฺถุสฺมิํ ตตฺถ ปติตฺวา มเต ถุลฺลจฺจยาทโย โหนฺตีติ โยชนาฯ ตสฺมิํ อาวาเฎ ปติตฺวา ยกฺขาทีสุ มเตสุ, ปาราชิกวตฺถุโน ทุกฺขุปฺปตฺติยญฺจ ถุลฺลจฺจยํ, มนุสฺสวิคฺคเห มเต ปาราชิกํ, ติรจฺฉาเน มเต ปาจิตฺติยนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    286.Ānantariyavatthusmiṃ mateti pāṭhaseso, ‘‘tattha patitvā’’ti adhikāro, arahante, mātari, pitari ca tasmiṃ patitvā mate kālakateti attho. Ānantariyakanti ettha sakatthe, kucchite , saññāyaṃ vā ka-paccayo daṭṭhabbo. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘ānantariyavatthusmi’’nti imasmiṃ samāsapade avayavabhūtampi ‘‘vatthusmi’’nti idañca ‘‘tattha patitvā mate’’ti idañca ākaḍḍhati. Thullaccayādīnaṃ vatthusmiṃ tattha patitvā mate thullaccayādayo hontīti yojanā. Tasmiṃ āvāṭe patitvā yakkhādīsu matesu, pārājikavatthuno dukkhuppattiyañca thullaccayaṃ, manussaviggahe mate pārājikaṃ, tiracchāne mate pācittiyanti vuttaṃ hoti.

    ๒๘๗. ปาณาติปาตา เทฺวติ ทฺวินฺนํ มตตฺตา เทฺว ปาณาติปาตา, เอเกน ปาราชิกํ, อิตเรน กมฺมพโนฺธเยวฯ เอโกเวเกกธํสเนติ มาตุ วา ทารกสฺส วา มรเณ เอโก ปาณาติปาโตวฯ

    287.Pāṇātipātā dveti dvinnaṃ matattā dve pāṇātipātā, ekena pārājikaṃ, itarena kammabandhoyeva. Ekovekekadhaṃsaneti mātu vā dārakassa vā maraṇe eko pāṇātipātova.

    ๒๘๘. โจเรหิ อนุพโทฺธ เอตฺถ อาวาเฎ ปติตฺวา มริสฺสติ เจ, โอปาตขณกเสฺสว ปาราชิกํ โหติ กิราติ โยชนาฯ กิราติ อนุสฺสวเน อรุจิสูจกํฯ

    288. Corehi anubaddho ettha āvāṭe patitvā marissati ce, opātakhaṇakasseva pārājikaṃ hoti kirāti yojanā. Kirāti anussavane arucisūcakaṃ.

    ๒๘๙-๙๐. เวริโน ภิกฺขุโต อเญฺญ เวริปุคฺคลาฯ ตตฺถ ตสฺมิํ โอปาเต สเจ มนุสฺสํ ปาเตตฺวา มาเรนฺติ, ตถา เวริโน ตตฺถ สยเมว ปติตํ มนุสฺสํ พหิ นีหริตฺวา สเจ มาเรนฺติ, ตตฺถ โอปปาติกา มนุสฺสา โอปาเต นิพฺพตฺติตฺวา ตโต นิกฺขนฺตุํ อสโกฺกนฺตา มตา เจ สิยุํ, สพฺพตฺถ จ ยถาวุตฺตสพฺพวาเรสุ โอปาตขณกเสฺสว ปราชโยติ โยชนาฯ นิพฺพตฺติตฺวา หีติ เอตฺถ หีติ ปทปูรเณฯ ยตฺถ ยตฺถ นิปาตสทฺทานํ อโตฺถ น ทสฺสิโต, ตตฺถ ตตฺถ ปทปูรณมตฺตตา เวทิตพฺพาฯ

    289-90.Verino bhikkhuto aññe veripuggalā. Tattha tasmiṃ opāte sace manussaṃ pātetvā mārenti, tathā verino tattha sayameva patitaṃ manussaṃ bahi nīharitvā sace mārenti, tattha opapātikā manussā opāte nibbattitvā tato nikkhantuṃ asakkontā matā ce siyuṃ, sabbattha ca yathāvuttasabbavāresu opātakhaṇakasseva parājayoti yojanā. Nibbattitvā hīti ettha ti padapūraṇe. Yattha yattha nipātasaddānaṃ attho na dassito, tattha tattha padapūraṇamattatā veditabbā.

    ๒๙๑. ยกฺขาทโยติ อาทิ-สเทฺทน ติรจฺฉานานํ สงฺคโหฯ วตฺถุวสาติ ถุลฺลจฺจยปาจิตฺติยานํ วตฺถุภูตยกฺขติรจฺฉานานํ วสาฯ ถุลฺลจฺจยาทโยติ อาทิ-สเทฺทน ปาจิตฺติยสงฺคโหฯ

    291.Yakkhādayoti ādi-saddena tiracchānānaṃ saṅgaho. Vatthuvasāti thullaccayapācittiyānaṃ vatthubhūtayakkhatiracchānānaṃ vasā. Thullaccayādayoti ādi-saddena pācittiyasaṅgaho.

    ๒๙๓. อยํ นโยติ ‘‘อนาปตฺตี’’ติ ยถาวุโตฺต นโยฯ

    293.Ayaṃnayoti ‘‘anāpattī’’ti yathāvutto nayo.

    ๒๙๔-๕. พชฺฌนฺตีติ สเจ อวสฺสํ พชฺฌนฺติฯ ตตฺถาติ ตสฺมิํ ปาเสฯ ‘‘หตฺถโต มุตฺตมตฺตสฺมิ’’นฺติ อิมินา ปโยคสฺส อตฺถสาธกตํ ทีเปติฯ

    294-5.Bajjhantīti sace avassaṃ bajjhanti. Tatthāti tasmiṃ pāse. ‘‘Hatthato muttamattasmi’’nti iminā payogassa atthasādhakataṃ dīpeti.

    ๒๙๖. ยํ ปน อุทฺทิสฺส ปาโส โอฑฺฑิโต, ตโต อญฺญสฺส พนฺธเน ตุ อนาปตฺติ ปกาสิตาติ โยชนาฯ

    296. Yaṃ pana uddissa pāso oḍḍito, tato aññassa bandhane tu anāpatti pakāsitāti yojanā.

    ๒๙๗. มุธา วาปีติ อมูเลน วาปิฯ มูลฎฺฐเสฺสวาติ ปาสการกเสฺสวฯ กมฺมพโนฺธติ ปาณาติปาโตฯ พชฺฌติ เอเตนาติ พโนฺธ, กมฺมเมว พโนฺธ กมฺมพโนฺธฯ ปาราชิกมเตฺต วตฺตเพฺพปิ ยาว โส วตฺตติ, ตาว ตตฺถ พชฺฌิตฺวา มตสเตฺตสุ ปฐมมตสฺส วเสน ปาราชิกํ, อวเสสานํ ปาณาติปาตสงฺขาตสฺส อกุสลราสิโน สมฺภวโต ตํ สพฺพํ สงฺคเหตฺวา สามเญฺญน ทฺวยมฺปิ ทเสฺสตุมาห ‘‘กมฺมพโนฺธ’’ติฯ

    297.Mudhā vāpīti amūlena vāpi. Mūlaṭṭhassevāti pāsakārakasseva. Kammabandhoti pāṇātipāto. Bajjhati etenāti bandho, kammameva bandho kammabandho. Pārājikamatte vattabbepi yāva so vattati, tāva tattha bajjhitvā matasattesu paṭhamamatassa vasena pārājikaṃ, avasesānaṃ pāṇātipātasaṅkhātassa akusalarāsino sambhavato taṃ sabbaṃ saṅgahetvā sāmaññena dvayampi dassetumāha ‘‘kammabandho’’ti.

    ๒๙๘. ‘‘สเจ เยน ลโทฺธ, โส อุคฺคฬิตํ วา ปาสํ สณฺฐเปติ, ตสฺส ปเสฺสน วา คจฺฉเนฺต ทิสฺวา วติํ กตฺวา สมฺมุเข ปเวเสติ, ถทฺธตรํ วา ปาสยฎฺฐิํ ฐเปติ, ทฬฺหตรํ วา ปาสรชฺชุํ พนฺธติ, ถิรตรํ วา ขาณุกํ อาโกเฎตี’’ติ (ปารา. อฎฺฐ. ๒.๑๗๖) อฎฺฐกถาคตํ วินิจฺฉยํ สงฺคหิตุมาห ‘‘ปาสมุคฺคฬิตมฺปิ วา’’ติฯ เอตฺถ อวุตฺตสมุจฺจยเตฺถน ปิ-สเทฺทน ‘‘สณฺฐเปตี’’ติอาทิกา ‘‘พนฺธตี’’ติ ทสฺสิตกิริยาวสานา ปโยคา ทสฺสิตาฯ ถิรํ วาปีติ เอตฺถ อปิ-สโทฺท อฎฺฐกถาย อวสิฎฺฐํ ‘‘ขาณุกํ อาโกเฎตี’’ติ กิริยํ สมุจฺจิโนติ อุภยตฺถปิ ปการนฺตรวิกปฺปตฺถตฺตาติ คเหตพฺพาฯ เอวนฺติ เอวํ สติฯ เยน ปาโส ลโทฺธ, เตนาปิ เอวํ ปาเส กตวิเสเส สตีติ วุตฺตํ โหติฯ อุภินฺนนฺติ ปาสการกสฺส จ อิทานิ ลภิตฺวา ปฎิชคฺคนฺตสฺส จาติ อุภเยสํฯ

    298. ‘‘Sace yena laddho, so uggaḷitaṃ vā pāsaṃ saṇṭhapeti, tassa passena vā gacchante disvā vatiṃ katvā sammukhe paveseti, thaddhataraṃ vā pāsayaṭṭhiṃ ṭhapeti, daḷhataraṃ vā pāsarajjuṃ bandhati, thirataraṃ vā khāṇukaṃ ākoṭetī’’ti (pārā. aṭṭha. 2.176) aṭṭhakathāgataṃ vinicchayaṃ saṅgahitumāha ‘‘pāsamuggaḷitampi vā’’ti. Ettha avuttasamuccayatthena pi-saddena ‘‘saṇṭhapetī’’tiādikā ‘‘bandhatī’’ti dassitakiriyāvasānā payogā dassitā. Thiraṃ vāpīti ettha api-saddo aṭṭhakathāya avasiṭṭhaṃ ‘‘khāṇukaṃ ākoṭetī’’ti kiriyaṃ samuccinoti ubhayatthapi pakārantaravikappatthattāti gahetabbā. Evanti evaṃ sati. Yena pāso laddho, tenāpi evaṃ pāse katavisese satīti vuttaṃ hoti. Ubhinnanti pāsakārakassa ca idāni labhitvā paṭijaggantassa cāti ubhayesaṃ.

    ๒๙๙-๓๐๐. โยติ ปาสการโก, ลทฺธปาสโกติ อิเมสํ โย โกจิฯ อุคฺคฬาเปตฺวาติ วิฆาเฎตฺวา, ยถา ตตฺถ ปาณิโน น พชฺฌนฺติ, เอวํ กตฺวาติ อโตฺถฯ ตตฺถ จาติ ปุน สณฺฐปิเต ปาเส จฯ โก วิมุจฺจติ? เยน ลโทฺธ, โสฯ

    299-300.Yoti pāsakārako, laddhapāsakoti imesaṃ yo koci. Uggaḷāpetvāti vighāṭetvā, yathā tattha pāṇino na bajjhanti, evaṃ katvāti attho. Tattha cāti puna saṇṭhapite pāse ca. Ko vimuccati? Yena laddho, so.

    ๓๐๑-๒. โคเปตฺวาติ โคปนเหตุ โมโกฺข น โหตีติ โยชนาฯ ‘‘สีหํ ทิสฺวา ภยํ โหตี’’ติอาทีสุ วิย เหตุมฺหิ ตฺวา-ปจฺจโย ทฎฺฐโพฺพฯ ตมโญฺญ…เป.… น จ มุจฺจตีติ เอตฺถ น จาติ เนวฯ นาเสตฺวา สพฺพโส วาติ โส ยถา ยสฺส กสฺสจิ สตฺตสฺส วินาโสปกรณํ น โหติ, ตถา ฉินฺทนาทีหิ นาเสตฺวาฯ ตํ ปาสยฎฺฐิํฯ โก วิมุจฺจติ? ปาสการโกฯ

    301-2.Gopetvāti gopanahetu mokkho na hotīti yojanā. ‘‘Sīhaṃ disvā bhayaṃ hotī’’tiādīsu viya hetumhi tvā-paccayo daṭṭhabbo. Tamañño…pe… na ca muccatīti ettha na cāti neva. Nāsetvā sabbaso vāti so yathā yassa kassaci sattassa vināsopakaraṇaṃ na hoti, tathā chindanādīhi nāsetvā. Taṃ pāsayaṭṭhiṃ. Ko vimuccati? Pāsakārako.

    ๓๐๓. สูลํ โรเปนฺตสฺสาติ สูลํ นิขณนฺตสฺสฯ สเชฺชนฺตสฺสาติ สณฺฐเปนฺตสฺสฯ

    303.Sūlaṃropentassāti sūlaṃ nikhaṇantassa. Sajjentassāti saṇṭhapentassa.

    ๓๐๔. อสญฺจิจฺจาติ เอตฺถ ‘‘กเตน ปโยเคนา’’ติ ปาฐเสโส, ‘‘มเตปิ อนาปตฺตี’’ติ เอเตหิ สมฺพโนฺธฯ ‘‘อิมินาหํ อุปกฺกเมน อิมํ มาเรสฺสามี’’ติ อเจเตตฺวา อปกเปฺปตฺวา อวธกเจตโน หุตฺวา กเตน อญฺญตฺถิเกนปิ อุปกฺกเมน ปเร มเตปิ อาปตฺติ นตฺถีติ อโตฺถ, มุสลุสฺสาปนาทิวตฺถูสุ (ปารา. ๑๘๐) วิย อยํ สโตฺตติสญฺญี หุตฺวา ‘‘อิมินา อุปกฺกเมน อิมํ มาเรสฺสามี’’ติ วีติกฺกมสมุฎฺฐาปกเจตนาสมฺปยุตฺตวิกปฺปรหิโต หุตฺวา อญฺญตฺถิเกน ปโยเคน มนุเสฺส มเตปิ ปาราชิกํ นตฺถีติ วุตฺตํ โหติฯ

    304.Asañciccāti ettha ‘‘katena payogenā’’ti pāṭhaseso, ‘‘matepi anāpattī’’ti etehi sambandho. ‘‘Imināhaṃ upakkamena imaṃ māressāmī’’ti acetetvā apakappetvā avadhakacetano hutvā katena aññatthikenapi upakkamena pare matepi āpatti natthīti attho, musalussāpanādivatthūsu (pārā. 180) viya ayaṃ sattotisaññī hutvā ‘‘iminā upakkamena imaṃ māressāmī’’ti vītikkamasamuṭṭhāpakacetanāsampayuttavikapparahito hutvā aññatthikena payogena manusse matepi pārājikaṃ natthīti vuttaṃ hoti.

    อชานนฺตสฺสาติ ‘‘อิมินา อยํ มริสฺสตี’’ติ อชานนฺตสฺส อุปกฺกเมน ปเร มเตปิ อนาปตฺติ, วิสคตปิณฺฑปาตวตฺถุมฺหิ (ปารา. ๑๘๑) วิย ‘‘อิทํ การณ’’นฺติ อชานิตฺวา กเตน มนุเสฺส มเตปิ อนาปตฺตีติ วุตฺตํ โหติฯ ‘‘ตถา’’ติ อิมินา ‘‘อนาปตฺตี’’ติ อากฑฺฒติฯ อมรณจิตฺตสฺส อมรณิจฺฉาสหิตจิตฺตสฺส อุปกฺกเมน ปเร มเตปิ อนาปตฺติ วุทฺธปพฺพชิตาทิวตฺถูสุ (ปารา. ๑๘๐) วิยาติ อโตฺถฯ อุมฺมตฺตกาทโย วุตฺตสรูปาเยวฯ

    Ajānantassāti ‘‘iminā ayaṃ marissatī’’ti ajānantassa upakkamena pare matepi anāpatti, visagatapiṇḍapātavatthumhi (pārā. 181) viya ‘‘idaṃ kāraṇa’’nti ajānitvā katena manusse matepi anāpattīti vuttaṃ hoti. ‘‘Tathā’’ti iminā ‘‘anāpattī’’ti ākaḍḍhati. Amaraṇacittassa amaraṇicchāsahitacittassa upakkamena pare matepi anāpatti vuddhapabbajitādivatthūsu (pārā. 180) viyāti attho. Ummattakādayo vuttasarūpāyeva.

    ๓๐๕. ‘‘มนุสฺสปาณิมฺหี’’ติ อิมินา มนุสฺสภาโว องฺคภาเวน ทสฺสิโตฯ ‘‘สจสฺส จิตฺตํ มรณูปสํหิต’’นฺติ อิมินา มรณูปสํหิตจิตฺตตา ทสฺสิตาฯ

    305.‘‘Manussapāṇimhī’’ti iminā manussabhāvo aṅgabhāvena dassito. ‘‘Sacassa cittaṃ maraṇūpasaṃhita’’nti iminā maraṇūpasaṃhitacittatā dassitā.

    อิติ วินยตฺถสารสนฺทีปนิยา

    Iti vinayatthasārasandīpaniyā

    วินยวินิจฺฉยวณฺณนาย

    Vinayavinicchayavaṇṇanāya

    ตติยปาราชิกกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Tatiyapārājikakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.





    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact