Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā

    ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

    Namo tassa bhagavato arahato sammāsambuddhassa

    วินยปิฎเก

    Vinayapiṭake

    ปาราชิกกณฺฑ-อฎฺฐกถา (ทุติโย ภาโค)

    Pārājikakaṇḍa-aṭṭhakathā (dutiyo bhāgo)

    ๓. ตติยปาราชิกํ

    3. Tatiyapārājikaṃ

    ตติยํ ตีหิ สุเทฺธน, ยํ พุเทฺธน วิภาวิตํ;

    Tatiyaṃ tīhi suddhena, yaṃ buddhena vibhāvitaṃ;

    ปาราชิกํ ตสฺส ทานิ, ปโตฺต สํวณฺณนากฺกโมฯ

    Pārājikaṃ tassa dāni, patto saṃvaṇṇanākkamo.

    ยสฺมา ตสฺมา สุวิเญฺญยฺยํ, ยํ ปุเพฺพ จ ปกาสิตํ;

    Yasmā tasmā suviññeyyaṃ, yaṃ pubbe ca pakāsitaṃ;

    ตํ วชฺชยิตฺวา อสฺสาปิ, โหติ สํวณฺณนา อยํฯ

    Taṃ vajjayitvā assāpi, hoti saṃvaṇṇanā ayaṃ.

    ปฐมปญฺญตฺตินิทานวณฺณนา

    Paṭhamapaññattinidānavaṇṇanā

    ๑๖๒. เตน สมเยน พุโทฺธ ภควา เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฎาคารสาลายนฺติ เอตฺถ เวสาลิยนฺติ เอวํนามเก อิตฺถิลิงฺควเสน ปวตฺตโวหาเร นคเรฯ ตญฺหิ นครํ ติกฺขตฺตุํ ปาการปริเกฺขปวฑฺฒเนน วิสาลีภูตตฺตา ‘‘เวสาลี’’ติ วุจฺจติฯ อิทมฺปิ จ นครํ สพฺพญฺญุตปฺปเตฺตเยว สมฺมาสมฺพุเทฺธ สพฺพากาเรน เวปุลฺลํ ปตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอวํ โคจรคามํ ทเสฺสตฺวา นิวาสฎฺฐาน มาห – ‘‘มหาวเน กูฎาคารสาลาย’’นฺติฯ ตตฺถ มหาวนํ นาม สยํชาตํ อโรปิมํ สปริเจฺฉทํ มหนฺตํ วนํฯ กปิลวตฺถุสามนฺตา ปน มหาวนํ หิมวเนฺตน สห เอกาพทฺธํ อปริเจฺฉทํ หุตฺวา มหาสมุทฺทํ อาหจฺจ ฐิตํฯ อิทํ ตาทิสํ น โหติ, สปริเจฺฉทํ มหนฺตํ วนนฺติ มหาวนํฯ กูฎาคารสาลา ปน มหาวนํ นิสฺสาย กเต อาราเม กูฎาคารํ อโนฺต กตฺวา หํสวฎฺฎกจฺฉทเนน กตา สพฺพาการสมฺปนฺนา พุทฺธสฺส ภควโต คนฺธกุฎิ เวทิตพฺพาฯ

    162.Tenasamayena buddho bhagavā vesāliyaṃ viharati mahāvane kūṭāgārasālāyanti ettha vesāliyanti evaṃnāmake itthiliṅgavasena pavattavohāre nagare. Tañhi nagaraṃ tikkhattuṃ pākāraparikkhepavaḍḍhanena visālībhūtattā ‘‘vesālī’’ti vuccati. Idampi ca nagaraṃ sabbaññutappatteyeva sammāsambuddhe sabbākārena vepullaṃ pattanti veditabbaṃ. Evaṃ gocaragāmaṃ dassetvā nivāsaṭṭhāna māha – ‘‘mahāvane kūṭāgārasālāya’’nti. Tattha mahāvanaṃ nāma sayaṃjātaṃ aropimaṃ saparicchedaṃ mahantaṃ vanaṃ. Kapilavatthusāmantā pana mahāvanaṃ himavantena saha ekābaddhaṃ aparicchedaṃ hutvā mahāsamuddaṃ āhacca ṭhitaṃ. Idaṃ tādisaṃ na hoti, saparicchedaṃ mahantaṃ vananti mahāvanaṃ. Kūṭāgārasālā pana mahāvanaṃ nissāya kate ārāme kūṭāgāraṃ anto katvā haṃsavaṭṭakacchadanena katā sabbākārasampannā buddhassa bhagavato gandhakuṭi veditabbā.

    อเนกปริยาเยน อสุภกถํ กเถตีติ อเนเกหิ การเณหิ อสุภาการสนฺทสฺสนปฺปวตฺตํ กายวิจฺฉนฺทนิยกถํ กเถติฯ เสยฺยถิทํ – ‘‘อตฺถิ อิมสฺมิํ กาเย เกสา โลมา…เป. … มุตฺต’’นฺติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? ภิกฺขเว, อิมสฺมิํ พฺยามมเตฺต กเฬวเร สพฺพากาเรนปิ วิจินโนฺต น โกจิ กิญฺจิ มุตฺตํ วา มณิํ วา เวฬุริยํ วา อครุํ วา จนฺทนํ วา กุงฺกุมํ วา กปฺปูรํ วา วาสจุณฺณาทีนิ วา อณุมตฺตมฺปิ สุจิภาวํ ปสฺสติฯ อถ โข ปรมทุคฺคนฺธํ เชคุจฺฉํ อสฺสิรีกทสฺสนํ เกสโลมาทินานปฺปการํ อสุจิํเยว ปสฺสติฯ ตสฺมา น เอตฺถ ฉโนฺท วา ราโค วา กรณีโยฯ เยปิ หิ อุตฺตมเงฺค สิรสฺมิํ ชาตา เกสา นาม, เตปิ อสุภา เจว อสุจิโน จ ปฎิกฺกูลา จฯ โส จ เนสํ อสุภาสุจิปฎิกฺกูลภาโว วณฺณโตปิ สณฺฐานโตปิ คนฺธโตปิ อาสยโตปิ โอกาสโตปีติ ปญฺจหิ การเณหิ เวทิตโพฺพฯ เอวํ โลมาทีนนฺติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถาโร ปน วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๑.๑๘๒) วุตฺตนเยน เวทิตโพฺพฯ อิติ ภควา เอกเมกสฺมิํ โกฎฺฐาเส ปญฺจปญฺจปฺปเภเทน อเนกปริยาเยน อสุภกถํ กเถติฯ

    Anekapariyāyena asubhakathaṃ kathetīti anekehi kāraṇehi asubhākārasandassanappavattaṃ kāyavicchandaniyakathaṃ katheti. Seyyathidaṃ – ‘‘atthi imasmiṃ kāye kesā lomā…pe. … mutta’’nti. Kiṃ vuttaṃ hoti? Bhikkhave, imasmiṃ byāmamatte kaḷevare sabbākārenapi vicinanto na koci kiñci muttaṃ vā maṇiṃ vā veḷuriyaṃ vā agaruṃ vā candanaṃ vā kuṅkumaṃ vā kappūraṃ vā vāsacuṇṇādīni vā aṇumattampi sucibhāvaṃ passati. Atha kho paramaduggandhaṃ jegucchaṃ assirīkadassanaṃ kesalomādinānappakāraṃ asuciṃyeva passati. Tasmā na ettha chando vā rāgo vā karaṇīyo. Yepi hi uttamaṅge sirasmiṃ jātā kesā nāma, tepi asubhā ceva asucino ca paṭikkūlā ca. So ca nesaṃ asubhāsucipaṭikkūlabhāvo vaṇṇatopi saṇṭhānatopi gandhatopi āsayatopi okāsatopīti pañcahi kāraṇehi veditabbo. Evaṃ lomādīnanti. Ayamettha saṅkhepo, vitthāro pana visuddhimagge (visuddhi. 1.182) vuttanayena veditabbo. Iti bhagavā ekamekasmiṃ koṭṭhāse pañcapañcappabhedena anekapariyāyena asubhakathaṃ katheti.

    อสุภาย วณฺณํ ภาสตีติ อุทฺธุมาตกาทิวเสน อสุภมาติกํ นิกฺขิปิตฺวา ปทภาชนีเยน ตํ วิภชโนฺต วเณฺณโนฺต สํวเณฺณโนฺต อสุภาย วณฺณํ ภาสติฯ อสุภภาวนาย วณฺณํ ภาสตีติ ยา อยํ เกสาทีสุ วา อุทฺธุมาตกาทีสุ วา อชฺฌตฺตพหิทฺธาวตฺถูสุ อสุภาการํ คเหตฺวา ปวตฺตสฺส จิตฺตสฺส ภาวนา วฑฺฒนา ผาติกมฺมํ, ตสฺสา อสุภภาวนาย อานิสํสํ ทเสฺสโนฺต วณฺณํ ภาสติ, คุณํ ปริกิเตฺตติฯ เสยฺยถิทํ – ‘‘อสุภภาวนาภิยุโตฺต, ภิกฺขเว , ภิกฺขุ เกสาทีสุ วา วตฺถูสุ อุทฺธุมาตกาทีสุ วา ปญฺจงฺควิปฺปหีนํ ปญฺจงฺคสมนฺนาคตํ ติวิธกลฺยาณํ ทสลกฺขณสมฺปนฺนํ ปฐมํ ฌานํ ปฎิลภติฯ โส ตํ ปฐมชฺฌานสงฺขาตํ จิตฺตมญฺชูสํ นิสฺสาย วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อุตฺตมตฺถํ อรหตฺตํ ปาปุณาตี’’ติฯ

    Asubhāya vaṇṇaṃ bhāsatīti uddhumātakādivasena asubhamātikaṃ nikkhipitvā padabhājanīyena taṃ vibhajanto vaṇṇento saṃvaṇṇento asubhāya vaṇṇaṃ bhāsati. Asubhabhāvanāya vaṇṇaṃ bhāsatīti yā ayaṃ kesādīsu vā uddhumātakādīsu vā ajjhattabahiddhāvatthūsu asubhākāraṃ gahetvā pavattassa cittassa bhāvanā vaḍḍhanā phātikammaṃ, tassā asubhabhāvanāya ānisaṃsaṃ dassento vaṇṇaṃ bhāsati, guṇaṃ parikitteti. Seyyathidaṃ – ‘‘asubhabhāvanābhiyutto, bhikkhave , bhikkhu kesādīsu vā vatthūsu uddhumātakādīsu vā pañcaṅgavippahīnaṃ pañcaṅgasamannāgataṃ tividhakalyāṇaṃ dasalakkhaṇasampannaṃ paṭhamaṃ jhānaṃ paṭilabhati. So taṃ paṭhamajjhānasaṅkhātaṃ cittamañjūsaṃ nissāya vipassanaṃ vaḍḍhetvā uttamatthaṃ arahattaṃ pāpuṇātī’’ti.

    ตตฺริมานิ ปฐมสฺส ฌานสฺส ทส ลกฺขณานิ – ปาริปนฺถิกโต จิตฺตวิสุทฺธิ, มชฺฌิมสฺส สมาธินิมิตฺตสฺส ปฎิปตฺติ, ตตฺถ จิตฺตปกฺขนฺทนํ, วิสุทฺธสฺส จิตฺตสฺส อชฺฌุเปกฺขนํ, สมถปฺปฎิปนฺนสฺส อชฺฌุเปกฺขนํ, เอกตฺตุปฎฺฐานสฺส อชฺฌุเปกฺขนํ, ตตฺถ ชาตานํ ธมฺมานํ อนติวตฺตนเฎฺฐน สมฺปหํสนา, อินฺทฺริยานํ เอกรสเฎฺฐน ตทุปควีริยวาหนเฎฺฐน อาเสวนเฎฺฐน สมฺปหํสนาติฯ

    Tatrimāni paṭhamassa jhānassa dasa lakkhaṇāni – pāripanthikato cittavisuddhi, majjhimassa samādhinimittassa paṭipatti, tattha cittapakkhandanaṃ, visuddhassa cittassa ajjhupekkhanaṃ, samathappaṭipannassa ajjhupekkhanaṃ, ekattupaṭṭhānassa ajjhupekkhanaṃ, tattha jātānaṃ dhammānaṃ anativattanaṭṭhena sampahaṃsanā, indriyānaṃ ekarasaṭṭhena tadupagavīriyavāhanaṭṭhena āsevanaṭṭhena sampahaṃsanāti.

    ตตฺรายํ ปาฬิ – ‘‘ปฐมสฺส ฌานสฺส โก อาทิ, กิํ มเชฺฌ, กิํ ปริโยสานํ? ปฐมสฺส ฌานสฺส ปฎิปทาวิสุทฺธิ อาทิ, อุเปกฺขานุพฺรูหนา มเชฺฌ, สมฺปหํสนา ปริโยสานํฯ ปฐมสฺส ฌานสฺส ปฎิปทาวิสุทฺธิ อาทิ, อาทิสฺส กติ ลกฺขณานิ? อาทิสฺส ตีณิ ลกฺขณานิ – โย ตสฺส ปริปโนฺถ ตโต จิตฺตํ วิสุชฺฌติ, วิสุทฺธตฺตา จิตฺตํ มชฺฌิมํ สมถนิมิตฺตํ ปฎิปชฺชติ, ปฎิปนฺนตฺตา ตตฺถ จิตฺตํ ปกฺขนฺทติฯ ยญฺจ ปริปนฺถโต จิตฺตํ วิสุชฺฌติ, ยญฺจ วิสุทฺธตฺตา จิตฺตํ มชฺฌิมํ สมถนิมิตฺตํ ปฎิปชฺชติ, ยญฺจ ปฎิปนฺนตฺตา ตตฺถ จิตฺตํ ปกฺขนฺทติฯ ปฐมสฺส ฌานสฺส ปฎิปทาวิสุทฺธิ อาทิ, อาทิสฺส อิมานิ ตีณิ ลกฺขณานิฯ เตน วุจฺจติ – ‘ปฐมํ ฌานํ อาทิกลฺยาณเญฺจว โหติ ติลกฺขณสมฺปนฺนญฺจ’ฯ

    Tatrāyaṃ pāḷi – ‘‘paṭhamassa jhānassa ko ādi, kiṃ majjhe, kiṃ pariyosānaṃ? Paṭhamassa jhānassa paṭipadāvisuddhi ādi, upekkhānubrūhanā majjhe, sampahaṃsanā pariyosānaṃ. Paṭhamassa jhānassa paṭipadāvisuddhi ādi, ādissa kati lakkhaṇāni? Ādissa tīṇi lakkhaṇāni – yo tassa paripantho tato cittaṃ visujjhati, visuddhattā cittaṃ majjhimaṃ samathanimittaṃ paṭipajjati, paṭipannattā tattha cittaṃ pakkhandati. Yañca paripanthato cittaṃ visujjhati, yañca visuddhattā cittaṃ majjhimaṃ samathanimittaṃ paṭipajjati, yañca paṭipannattā tattha cittaṃ pakkhandati. Paṭhamassa jhānassa paṭipadāvisuddhi ādi, ādissa imāni tīṇi lakkhaṇāni. Tena vuccati – ‘paṭhamaṃ jhānaṃ ādikalyāṇañceva hoti tilakkhaṇasampannañca’.

    ‘‘ปฐมสฺส ฌานสฺส อุเปกฺขานุพฺรูหนา มเชฺฌ, มชฺฌสฺส กติ ลกฺขณานิ? มชฺฌสฺส ตีณิ ลกฺขณานิ – วิสุทฺธํ จิตฺตํ อชฺฌุเปกฺขติ, สมถปฺปฎิปนฺนํ อชฺฌุเปกฺขติ, เอกตฺตุปฎฺฐานํ อชฺฌุเปกฺขติฯ ยญฺจ วิสุทฺธํ จิตฺตํ อชฺฌุเปกฺขติ, ยญฺจ สมถปฺปฎิปนฺนํ อชฺฌุเปกฺขติ , ยญฺจ เอกตฺตุปฎฺฐานํ อชฺฌุเปกฺขติฯ ปฐมสฺส ฌานสฺส อุเปกฺขานุพฺรูหนา มเชฺฌ, มชฺฌสฺส อิมานิ ตีณิ ลกฺขณานิฯ เตน วุจฺจติ – ‘ปฐมํ ฌานํ มเชฺฌกลฺยาณเญฺจว โหติ ติลกฺขณสมฺปนฺนญฺจ’ฯ

    ‘‘Paṭhamassa jhānassa upekkhānubrūhanā majjhe, majjhassa kati lakkhaṇāni? Majjhassa tīṇi lakkhaṇāni – visuddhaṃ cittaṃ ajjhupekkhati, samathappaṭipannaṃ ajjhupekkhati, ekattupaṭṭhānaṃ ajjhupekkhati. Yañca visuddhaṃ cittaṃ ajjhupekkhati, yañca samathappaṭipannaṃ ajjhupekkhati , yañca ekattupaṭṭhānaṃ ajjhupekkhati. Paṭhamassa jhānassa upekkhānubrūhanā majjhe, majjhassa imāni tīṇi lakkhaṇāni. Tena vuccati – ‘paṭhamaṃ jhānaṃ majjhekalyāṇañceva hoti tilakkhaṇasampannañca’.

    ‘‘ปฐมสฺส ฌานสฺส สมฺปหํสนา ปริโยสานํ, ปริโยสานสฺส กติ ลกฺขณานิ? ปริโยสานสฺส จตฺตาริ ลกฺขณานิ – ตตฺถ ชาตานํ ธมฺมานํ อนติวตฺตนเฎฺฐน สมฺปหํสนา, อินฺทฺริยานํ เอกรสเฎฺฐน สมฺปหํสนา, ตทุปควีริยวาหนเฎฺฐน สมฺปหํสนา, อาเสวนเฎฺฐน สมฺปหํสนาฯ ปฐมสฺส ฌานสฺส สมฺปหํสนา ปริโยสานํ, ปริโยสานสฺส อิมานิ จตฺตาริ ลกฺขณานิ ฯ เตน วุจฺจติ – ‘ปฐมํ ฌานํ ปริโยสานกลฺยาณเญฺจว โหติ จตุลกฺขณสมฺปนฺนญฺจฯ ‘‘เอวํ ติวิธตฺตคตํ จิตฺตํ ติวิธกลฺยาณกํ ทสลกฺขณสมฺปนฺนํ วิตกฺกสมฺปนฺนเญฺจว โหติ วิจารสมฺปนฺนญฺจ ปีติสมฺปนฺนญฺจ สุขสมฺปนฺนญฺจ จิตฺตสฺส อธิฎฺฐานสมฺปนฺนญฺจ สทฺธาสมฺปนฺนญฺจ วีริยสมฺปนฺนญฺจ สติสมฺปนฺนญฺจ สมาธิสมฺปนฺนญฺจ ปญฺญาสมฺปนฺนญฺจา’’ติ (ปฎิ. โร. ๑.๑๕๘)ฯ

    ‘‘Paṭhamassa jhānassa sampahaṃsanā pariyosānaṃ, pariyosānassa kati lakkhaṇāni? Pariyosānassa cattāri lakkhaṇāni – tattha jātānaṃ dhammānaṃ anativattanaṭṭhena sampahaṃsanā, indriyānaṃ ekarasaṭṭhena sampahaṃsanā, tadupagavīriyavāhanaṭṭhena sampahaṃsanā, āsevanaṭṭhena sampahaṃsanā. Paṭhamassa jhānassa sampahaṃsanā pariyosānaṃ, pariyosānassa imāni cattāri lakkhaṇāni . Tena vuccati – ‘paṭhamaṃ jhānaṃ pariyosānakalyāṇañceva hoti catulakkhaṇasampannañca. ‘‘Evaṃ tividhattagataṃ cittaṃ tividhakalyāṇakaṃ dasalakkhaṇasampannaṃ vitakkasampannañceva hoti vicārasampannañca pītisampannañca sukhasampannañca cittassa adhiṭṭhānasampannañca saddhāsampannañca vīriyasampannañca satisampannañca samādhisampannañca paññāsampannañcā’’ti (paṭi. ro. 1.158).

    อาทิสฺส อาทิสฺส อสุภสมาปตฺติยา วณฺณํ ภาสตีติ ‘‘เอวมฺปิ อิตฺถมฺปี’’ติ ปุนปฺปุนํ ววตฺถานํ กตฺวา อาทิสโนฺต อสุภสมาปตฺติยา วณฺณํ ภาสติ, อานิสํสํ กเถติ, คุณํ ปริกิเตฺตติฯ เสยฺยถิทํ – ‘‘อสุภสญฺญาปริจิเตน, ภิกฺขเว, ภิกฺขุโน เจตสา พหุลํ วิหรโต เมถุนธมฺมสมาปตฺติยา จิตฺตํ ปฎิลียติ ปฎิกุฎติ ปฎิวฎฺฎติ, น สมฺปสารียติ, อุเปกฺขา วา ปาฎิกุลฺยตา วา สณฺฐาติฯ เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, กุกฺกุฎปตฺตํ วา นฺหารุททฺทุลํ วา อคฺคิมฺหิ ปกฺขิตฺตํ ปฎิลียติ ปฎิกุฎติ ปฎิวฎฺฎติ, น สมฺปสารียติ; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, อสุภสญฺญาปริจิเตน ภิกฺขุโน เจตสา พหุลํ วิหรโต เมถุนธมฺมสมาปตฺติยา จิตฺตํ ปฎิลียติ ปฎิกุฎติ ปฎิวฎฺฎติ, น สมฺปสารียตี’’ติ (อ. นิ. ๗.๔๙)ฯ

    Ādissa ādissa asubhasamāpattiyā vaṇṇaṃ bhāsatīti ‘‘evampi itthampī’’ti punappunaṃ vavatthānaṃ katvā ādisanto asubhasamāpattiyā vaṇṇaṃ bhāsati, ānisaṃsaṃ katheti, guṇaṃ parikitteti. Seyyathidaṃ – ‘‘asubhasaññāparicitena, bhikkhave, bhikkhuno cetasā bahulaṃ viharato methunadhammasamāpattiyā cittaṃ paṭilīyati paṭikuṭati paṭivaṭṭati, na sampasārīyati, upekkhā vā pāṭikulyatā vā saṇṭhāti. Seyyathāpi, bhikkhave, kukkuṭapattaṃ vā nhārudaddulaṃ vā aggimhi pakkhittaṃ paṭilīyati paṭikuṭati paṭivaṭṭati, na sampasārīyati; evameva kho, bhikkhave, asubhasaññāparicitena bhikkhuno cetasā bahulaṃ viharato methunadhammasamāpattiyā cittaṃ paṭilīyati paṭikuṭati paṭivaṭṭati, na sampasārīyatī’’ti (a. ni. 7.49).

    อิจฺฉามหํ, ภิกฺขเว, อทฺธมาสํ ปฎิสลฺลียิตุนฺติ อหํ ภิกฺขเว เอกํ อทฺธมาสํ ปฎิสลฺลียิตุํ นิลียิตุํ เอโกว หุตฺวา วิหริตุํ อิจฺฉามีติ อโตฺถฯ นมฺหิ เกนจิ อุปสงฺกมิตโพฺพ อญฺญตฺร เอเกน ปิณฺฑปาตนีหารเกนาติ โย อตฺตนา ปยุตฺตวาจํ อกตฺวา มมตฺถาย สเทฺธสุ กุเลสุ ปฎิยตฺตํ ปิณฺฑปาตํ นีหริตฺวา มยฺหํ อุปนาเมติ, ตํ ปิณฺฑปาตนีหารกํ เอกํ ภิกฺขุํ ฐเปตฺวา นมฺหิ อเญฺญน เกนจิ ภิกฺขุนา วา คหเฎฺฐน วา อุปสงฺกมิตโพฺพติฯ

    Icchāmahaṃ, bhikkhave, addhamāsaṃ paṭisallīyitunti ahaṃ bhikkhave ekaṃ addhamāsaṃ paṭisallīyituṃ nilīyituṃ ekova hutvā viharituṃ icchāmīti attho. Namhi kenaci upasaṅkamitabbo aññatra ekena piṇḍapātanīhārakenāti yo attanā payuttavācaṃ akatvā mamatthāya saddhesu kulesu paṭiyattaṃ piṇḍapātaṃ nīharitvā mayhaṃ upanāmeti, taṃ piṇḍapātanīhārakaṃ ekaṃ bhikkhuṃ ṭhapetvā namhi aññena kenaci bhikkhunā vā gahaṭṭhena vā upasaṅkamitabboti.

    กสฺมา ปน เอวมาหาติ? อตีเต กิร ปญฺจสตา มิคลุทฺทกา มหตีหิ ทณฺฑวาคุราหิ อรญฺญํ ปริกฺขิปิตฺวา หฎฺฐตุฎฺฐา เอกโตเยว ยาวชีวํ มิคปกฺขิฆาตกเมฺมน ชีวิกํ กเปฺปตฺวา นิรเย อุปปนฺนา; เต ตตฺถ ปจฺจิตฺวา ปุเพฺพ กเตน เกนจิเทว กุสลกเมฺมน มนุเสฺสสุ อุปปนฺนา กลฺยาณูปนิสฺสยวเสน สเพฺพปิ ภควโต สนฺติเก ปพฺพชฺชญฺจ อุปสมฺปทญฺจ ลภิํสุ; เตสํ ตโต มูลากุสลกมฺมโต อวิปกฺกวิปากา อปราปรเจตนา ตสฺมิํ อทฺธมาสพฺภนฺตเร อตฺตูปกฺกเมน จ ปรูปกฺกเมน จ ชีวตุปเจฺฉทาย โอกาสมกาสิ, ตํ ภควา อทฺทสฯ กมฺมวิปาโก นาม น สกฺกา เกนจิ ปฎิพาหิตุํฯ เตสุ จ ภิกฺขูสุ ปุถุชฺชนาปิ อตฺถิ โสตาปนฺนสกทาคามีอนาคามีขีณาสวาปิฯ ตตฺถ ขีณาสวา อปฺปฎิสนฺธิกา, อิตเร อริยสาวกา นิยตคติกา สุคติปรายณา, ปุถุชฺชนานํ ปน คติ อนิยตาฯ อถ ภควา จิเนฺตสิ – ‘‘อิเม อตฺตภาเว ฉนฺทราเคน มรณภยภีตา น สกฺขิสฺสนฺติ คติํ วิโสเธตุํ, หนฺท เนสํ ฉนฺทราคปฺปหานาย อสุภกถํ กเถมิฯ ตํ สุตฺวา อตฺตภาเว วิคตจฺฉนฺทราคตาย คติวิโสธนํ กตฺวา สเคฺค ปฎิสนฺธิํ คณฺหิสฺสนฺติฯ เอวํ เนสํ มม สนฺติเก ปพฺพชฺชา สาตฺถิกา ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Kasmā pana evamāhāti? Atīte kira pañcasatā migaluddakā mahatīhi daṇḍavāgurāhi araññaṃ parikkhipitvā haṭṭhatuṭṭhā ekatoyeva yāvajīvaṃ migapakkhighātakammena jīvikaṃ kappetvā niraye upapannā; te tattha paccitvā pubbe katena kenacideva kusalakammena manussesu upapannā kalyāṇūpanissayavasena sabbepi bhagavato santike pabbajjañca upasampadañca labhiṃsu; tesaṃ tato mūlākusalakammato avipakkavipākā aparāparacetanā tasmiṃ addhamāsabbhantare attūpakkamena ca parūpakkamena ca jīvatupacchedāya okāsamakāsi, taṃ bhagavā addasa. Kammavipāko nāma na sakkā kenaci paṭibāhituṃ. Tesu ca bhikkhūsu puthujjanāpi atthi sotāpannasakadāgāmīanāgāmīkhīṇāsavāpi. Tattha khīṇāsavā appaṭisandhikā, itare ariyasāvakā niyatagatikā sugatiparāyaṇā, puthujjanānaṃ pana gati aniyatā. Atha bhagavā cintesi – ‘‘ime attabhāve chandarāgena maraṇabhayabhītā na sakkhissanti gatiṃ visodhetuṃ, handa nesaṃ chandarāgappahānāya asubhakathaṃ kathemi. Taṃ sutvā attabhāve vigatacchandarāgatāya gativisodhanaṃ katvā sagge paṭisandhiṃ gaṇhissanti. Evaṃ nesaṃ mama santike pabbajjā sātthikā bhavissatī’’ti.

    ตโต เตสํ อนุคฺคหาย อสุภกถํ กเถสิ กมฺมฎฺฐานสีเสน, โน มรณวณฺณสํวณฺณนาธิปฺปาเยนฯ กเถตฺวา จ ปนสฺส เอตทโหสิ – ‘‘สเจ มํ อิมํ อทฺธมาสํ ภิกฺขู ปสฺสิสฺสนฺติ, ‘อชฺช เอโก ภิกฺขุ มโต, อชฺช เทฺว…เป.… อชฺช ทสา’ติ อาคนฺตฺวา อาคนฺตฺวา อาโรเจสฺสนฺติฯ อยญฺจ กมฺมวิปาโก น สกฺกา มยา วา อเญฺญน วา ปฎิพาหิตุํฯ สฺวาหํ ตํ สุตฺวาปิ กิํ กริสฺสามิ? กิํ เม อนตฺถเกน อนยพฺยสเนน สุเตน? หนฺทาหํ ภิกฺขูนํ อทสฺสนํ อุปคจฺฉามี’’ติฯ ตสฺมา เอวมาห – ‘‘อิจฺฉามหํ, ภิกฺขเว, อทฺธมาสํ ปติสลฺลียิตุํ; นมฺหิ เกนจิ อุปสงฺกมิตโพฺพ อญฺญตฺร เอเกน ปิณฺฑปาตนีหารเกนา’’ติฯ

    Tato tesaṃ anuggahāya asubhakathaṃ kathesi kammaṭṭhānasīsena, no maraṇavaṇṇasaṃvaṇṇanādhippāyena. Kathetvā ca panassa etadahosi – ‘‘sace maṃ imaṃ addhamāsaṃ bhikkhū passissanti, ‘ajja eko bhikkhu mato, ajja dve…pe… ajja dasā’ti āgantvā āgantvā ārocessanti. Ayañca kammavipāko na sakkā mayā vā aññena vā paṭibāhituṃ. Svāhaṃ taṃ sutvāpi kiṃ karissāmi? Kiṃ me anatthakena anayabyasanena sutena? Handāhaṃ bhikkhūnaṃ adassanaṃ upagacchāmī’’ti. Tasmā evamāha – ‘‘icchāmahaṃ, bhikkhave, addhamāsaṃ patisallīyituṃ; namhi kenaci upasaṅkamitabbo aññatra ekena piṇḍapātanīhārakenā’’ti.

    อปเร ปนาหุ – ‘‘ปรูปวาทวิวชฺชนตฺถํ เอวํ วตฺวา ปฎิสลฺลีโน’’ติฯ ปเร กิร ภควนฺตํ อุปวทิสฺสนฺติ – ‘‘อยํ ‘สพฺพญฺญู, อหํ สทฺธมฺมวรจกฺกวตฺตี’ติ ปฎิชานมาโน อตฺตโนปิ สาวเก อญฺญมญฺญํ ฆาเตเนฺต นิวาเรตุํ น สโกฺกติฯ กิมญฺญํ สกฺขิสฺสตี’’ติ? ตตฺถ ปณฺฑิตา วกฺขนฺติ – ‘‘ภควา ปฎิสลฺลานมนุยุโตฺต นยิมํ ปวตฺติํ ชานาติ, โกจิสฺส อาโรจยิตาปิ นตฺถิ, สเจ ชาเนยฺย อทฺธา นิวาเรยฺยา’’ติฯ อิทํ ปน อิจฺฉามตฺตํ, ปฐมเมเวตฺถ การณํฯ นาสฺสุธาติ เอตฺถ ‘‘อสฺสุธา’’ติ ปทปูรณมเตฺต อวธารณเตฺถ วา นิปาโต; เนว โกจิ ภควนฺตํ อุปสงฺกมตีติ อโตฺถฯ

    Apare panāhu – ‘‘parūpavādavivajjanatthaṃ evaṃ vatvā paṭisallīno’’ti. Pare kira bhagavantaṃ upavadissanti – ‘‘ayaṃ ‘sabbaññū, ahaṃ saddhammavaracakkavattī’ti paṭijānamāno attanopi sāvake aññamaññaṃ ghātente nivāretuṃ na sakkoti. Kimaññaṃ sakkhissatī’’ti? Tattha paṇḍitā vakkhanti – ‘‘bhagavā paṭisallānamanuyutto nayimaṃ pavattiṃ jānāti, kocissa ārocayitāpi natthi, sace jāneyya addhā nivāreyyā’’ti. Idaṃ pana icchāmattaṃ, paṭhamamevettha kāraṇaṃ. Nāssudhāti ettha ‘‘assudhā’’ti padapūraṇamatte avadhāraṇatthe vā nipāto; neva koci bhagavantaṃ upasaṅkamatīti attho.

    อเนเกหิ วณฺณสณฺฐานาทีหิ การเณหิ โวกาโร อสฺสาติ อเนกาการโวกาโร; อเนกาการโวกิโณฺณ อเนกการณสมฺมิโสฺสติ วุตฺตํ โหติฯ โก โส? อสุภภาวนานุโยโค, ตํ อเนกาการโวการํ อสุภภาวนานุโยคํ อนุยุตฺตา วิหรนฺตีติ ยุตฺตปยุตฺตา วิหรนฺติฯ อฎฺฎียนฺตีติ สเกน กาเยน อฎฺฎา ทุกฺขิตา โหนฺติ ฯ หรายนฺตีติ ลชฺชนฺติฯ ชิคุจฺฉนฺตีติ สญฺชาตชิคุจฺฉา โหนฺติฯ ทหโรติ ตรุโณฯ ยุวาติ โยพฺพเนน สมนฺนาคโตฯ มณฺฑนกชาติโกติ มณฺฑนกปกติโกฯ สีสํนฺหาโตติ สีเสน สทฺธิํ นฺหาโตฯ ทหโร ยุวาติ เจตฺถ ทหรวจเนน ปฐมโยพฺพนภาวํ ทเสฺสติฯ ปฐมโยพฺพเน หิ สตฺตา วิเสเสน มณฺฑนกชาติกา โหนฺติฯ สีสํนฺหาโตติ อิมินา มณฺฑนานุโยคกาลํฯ ยุวาปิ หิ กิญฺจิ กมฺมํ กตฺวา สํกิลิฎฺฐสรีโร น มณฺฑนานุยุโตฺต โหติ; สีสํนฺหาโต ปน โส มณฺฑนเมวานุยุญฺชติฯ อหิกุณปาทีนิ ทฎฺฐุมฺปิ น อิจฺฉติฯ โส ตสฺมิํ ขเณ อหิกุณเปน วา กุกฺกุรกุณเปน วา มนุสฺสกุณเปน วา กเณฺฐ อาสเตฺตน เกนจิเทว ปจฺจตฺถิเกน อาเนตฺวา กเณฺฐ พเทฺธน ปฎิมุเกฺกน ยถา อฎฺฎีเยยฺย หราเยยฺย ชิคุเจฺฉยฺย; เอวเมว เต ภิกฺขู สเกน กาเยน อฎฺฎียนฺตา หรายนฺตา ชิคุจฺฉนฺตา โส วิย ปุริโส ตํ กุณปํ วิคตจฺฉนฺทราคตาย อตฺตโน กายํ ปริจฺจชิตุกามา หุตฺวา สตฺถํ อาทาย อตฺตนาปิ อตฺตานํ ชีวิตา โวโรเปนฺติฯ ‘‘ตฺวํ มํ ชีวิตา โวโรเปหิ; อหํ ต’’นฺติ เอวํ อญฺญมญฺญมฺปิ ชีวิตา โวโรเปนฺติฯ

    Anekehi vaṇṇasaṇṭhānādīhi kāraṇehi vokāro assāti anekākāravokāro; anekākāravokiṇṇo anekakāraṇasammissoti vuttaṃ hoti. Ko so? Asubhabhāvanānuyogo, taṃ anekākāravokāraṃ asubhabhāvanānuyogaṃ anuyuttā viharantīti yuttapayuttā viharanti. Aṭṭīyantīti sakena kāyena aṭṭā dukkhitā honti . Harāyantīti lajjanti. Jigucchantīti sañjātajigucchā honti. Daharoti taruṇo. Yuvāti yobbanena samannāgato. Maṇḍanakajātikoti maṇḍanakapakatiko. Sīsaṃnhātoti sīsena saddhiṃ nhāto. Daharo yuvāti cettha daharavacanena paṭhamayobbanabhāvaṃ dasseti. Paṭhamayobbane hi sattā visesena maṇḍanakajātikā honti. Sīsaṃnhātoti iminā maṇḍanānuyogakālaṃ. Yuvāpi hi kiñci kammaṃ katvā saṃkiliṭṭhasarīro na maṇḍanānuyutto hoti; sīsaṃnhāto pana so maṇḍanamevānuyuñjati. Ahikuṇapādīni daṭṭhumpi na icchati. So tasmiṃ khaṇe ahikuṇapena vā kukkurakuṇapena vā manussakuṇapena vā kaṇṭhe āsattena kenacideva paccatthikena ānetvā kaṇṭhe baddhena paṭimukkena yathā aṭṭīyeyya harāyeyya jiguccheyya; evameva te bhikkhū sakena kāyena aṭṭīyantā harāyantā jigucchantā so viya puriso taṃ kuṇapaṃ vigatacchandarāgatāya attano kāyaṃ pariccajitukāmā hutvā satthaṃ ādāya attanāpi attānaṃ jīvitā voropenti. ‘‘Tvaṃ maṃ jīvitā voropehi; ahaṃ ta’’nti evaṃ aññamaññampi jīvitā voropenti.

    มิคลณฺฑิกมฺปิ สมณกุตฺตกนฺติ มิคลณฺฑิโกติ ตสฺส นามํ; สมณกุตฺตโกติ สมณเวสธารโกฯ โส กิร สิขามตฺตํ ฐเปตฺวา สีสํ มุเณฺฑตฺวา เอกํ กาสาวํ นิวาเสตฺวา เอกํ อํเส กตฺวา วิหารํเยว อุปนิสฺสาย วิฆาสาทภาเวน ชีวติฯ ตมฺปิ มิคลณฺฑิกํ สมณกุตฺตกํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วทนฺติฯ สาธูติ อายาจนเตฺถ นิปาโตฯ โนติ อุปโยคพหุวจนํ, สาธุ อาวุโส อเมฺห ชีวิตา โวโรเปหีติ วุตฺตํ โหติฯ เอตฺถ จ อริยา เนว ปาณาติปาตํ กริํสุ น สมาทเปสุํ, น สมนุญฺญา อเหสุํฯ ปุถุชฺชนา ปน สพฺพมกํสุฯ โลหิตกนฺติ โลหิตมกฺขิตํฯ เยน วคฺคุมุทานทีติ วคฺคุมตา โลกสฺส ปุญฺญสมฺมตา นทีฯ โสปิ กิร ‘‘ตํ ปาปํ ตตฺถ ปวาเหสฺสามี’’ติ สญฺญาย คโต, นทิยา อานุภาเวน อปฺปมตฺตกมฺปิ ปาปํ ปหีนํ นาม นตฺถิฯ

    Migalaṇḍikampi samaṇakuttakanti migalaṇḍikoti tassa nāmaṃ; samaṇakuttakoti samaṇavesadhārako. So kira sikhāmattaṃ ṭhapetvā sīsaṃ muṇḍetvā ekaṃ kāsāvaṃ nivāsetvā ekaṃ aṃse katvā vihāraṃyeva upanissāya vighāsādabhāvena jīvati. Tampi migalaṇḍikaṃ samaṇakuttakaṃ upasaṅkamitvā evaṃ vadanti. Sādhūti āyācanatthe nipāto. Noti upayogabahuvacanaṃ, sādhu āvuso amhe jīvitā voropehīti vuttaṃ hoti. Ettha ca ariyā neva pāṇātipātaṃ kariṃsu na samādapesuṃ, na samanuññā ahesuṃ. Puthujjanā pana sabbamakaṃsu. Lohitakanti lohitamakkhitaṃ. Yena vaggumudānadīti vaggumatā lokassa puññasammatā nadī. Sopi kira ‘‘taṃ pāpaṃ tattha pavāhessāmī’’ti saññāya gato, nadiyā ānubhāvena appamattakampi pāpaṃ pahīnaṃ nāma natthi.

    ๑๖๓. อหุเทว กุกฺกุจฺจนฺติ เตสุ กิร ภิกฺขูสุ เกนจิปิ กายวิกาโร วา วจีวิกาโร วา น กโต, สเพฺพ สตา สมฺปชานา ทกฺขิเณน ปเสฺสน นิปชฺชิํสุฯ ตํ อนุสฺสรโต ตสฺส กุกฺกุจฺจํ อโหสิเยวฯ อหุ วิปฺปฎิสาโรติ ตเสฺสว กุกฺกุจฺจสฺส สภาวนิยมนตฺถเมตํ วุตฺตํ ฯ วิปฺปฎิสารกุกฺกุจฺจํ อโหสิ, น วินยกุกฺกุจฺจนฺติฯ อลาภา วต เมติอาทิ กุกฺกุจฺจสฺส ปวตฺติอาการทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ ตตฺถ อลาภา วต เมติ อายติํ ทานิ มม หิตสุขลาภา นาม นตฺถีติ อนุตฺถุนาติฯ ‘‘น วต เม ลาภา’’ติอิมินา ปน ตเมวตฺถํ ทฬฺหํ กโรติฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – สเจปิ โกจิ ‘‘ลาภา เต’’ติ วเทยฺย, ตํ มิจฺฉา, น วต เม ลาภาติฯ ทุลฺลทฺธํ วต เมติ กุสลานุภาเวน ลทฺธมฺปิ อิทํ มนุสฺสตฺตํ ทุลฺลทฺธํ วต เมฯ น วต เม สุลทฺธนฺติอิมินา ปน ตเมวตฺถํ ทฬฺหํ กโรติฯ อยเญฺหตฺถ อธิปฺปาโย – สเจปิ โกจิ ‘‘สุลทฺธํ เต’’ติ วเทยฺย, ตํ มิจฺฉา; น วต เม สุลทฺธนฺติฯ อปุญฺญํ ปสุตนฺติ อปุญฺญํ อุปจิตํ ชนิตํ วาฯ กสฺมาติ เจ? โยหํ ภิกฺขู…เป.… โวโรเปสินฺติ ฯ ตสฺสโตฺถ – โย อหํ สีลวเนฺต ตาย เอว สีลวนฺตตาย กลฺยาณธเมฺม อุตฺตมธเมฺม เสฎฺฐธเมฺม ภิกฺขู ชีวิตา โวโรเปสินฺติฯ

    163.Ahudeva kukkuccanti tesu kira bhikkhūsu kenacipi kāyavikāro vā vacīvikāro vā na kato, sabbe satā sampajānā dakkhiṇena passena nipajjiṃsu. Taṃ anussarato tassa kukkuccaṃ ahosiyeva. Ahu vippaṭisāroti tasseva kukkuccassa sabhāvaniyamanatthametaṃ vuttaṃ . Vippaṭisārakukkuccaṃ ahosi, na vinayakukkuccanti. Alābhā vata metiādi kukkuccassa pavattiākāradassanatthaṃ vuttaṃ. Tattha alābhā vata meti āyatiṃ dāni mama hitasukhalābhā nāma natthīti anutthunāti. ‘‘Na vata me lābhā’’tiiminā pana tamevatthaṃ daḷhaṃ karoti. Ayañhettha adhippāyo – sacepi koci ‘‘lābhā te’’ti vadeyya, taṃ micchā, na vata me lābhāti. Dulladdhaṃ vata meti kusalānubhāvena laddhampi idaṃ manussattaṃ dulladdhaṃ vata me. Na vata me suladdhantiiminā pana tamevatthaṃ daḷhaṃ karoti. Ayañhettha adhippāyo – sacepi koci ‘‘suladdhaṃ te’’ti vadeyya, taṃ micchā; na vata me suladdhanti. Apuññaṃ pasutanti apuññaṃ upacitaṃ janitaṃ vā. Kasmāti ce? Yohaṃ bhikkhū…pe… voropesinti . Tassattho – yo ahaṃ sīlavante tāya eva sīlavantatāya kalyāṇadhamme uttamadhamme seṭṭhadhamme bhikkhū jīvitā voropesinti.

    อญฺญตรา มารกายิกาติ นามวเสน อปากฎา เอกา ภุมฺมเทวตา มิจฺฉาทิฎฺฐิกา มารปกฺขิกา มารสฺสนุวตฺติกา ‘‘เอวมยํ มารเธยฺยํ มารวิสยํ นาติกฺกมิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา สพฺพาภรณวิภูสิตา หุตฺวา อตฺตโน อานุภาวํ ทสฺสยมานา อภิชฺชมาเน อุทเก ปถวีตเล จงฺกมมานา วิย อาคนฺตฺวา มิคลณฺฑิกํ สมณกุตฺตกํ เอตทโวจฯ สาธุ สาธูติ สมฺปหํสนเตฺถ นิปาโต; ตสฺมา เอว ทฺวิวจนํ กตํฯ อติเณฺณ ตาเรสีติ สํสารโต อติเณฺณ อิมินา ชีวิตาโวโรปเนน ตาเรสิ ปริโมเจสีติฯ อยํ กิร เอติสฺสา เทวตาย พาลาย ทุเมฺมธาย ลทฺธิ ‘‘เย น มตา, เต สํสารโต น มุตฺตาฯ เย มตา, เต มุตฺตา’’ติฯ ตสฺมา สํสารโมจกมิลกฺขา วิย เอวํลทฺธิกา หุตฺวา ตมฺปิ ตตฺถ นิโยเชนฺตี เอวมาหฯ อถ โข มิคลณฺฑิโก สมณกุตฺตโก ตาว ภุสํ อุปฺปนฺนวิปฺปฎิสาโรปิ ตํ เทวตาย อานุภาวํ ทิสฺวา ‘‘อยํ เทวตา เอวมาห – อทฺธา อิมินา อเตฺถน เอวเมว ภวิตพฺพ’’นฺติ นิฎฺฐํ คนฺตฺวา ‘‘ลาภา กิร เม’’ติอาทีนิ ปริกิตฺตยโนฺตฯ วิหาเรน วิหารํ ปริเวเณน ปริเวณํ อุปสงฺกมิตฺวา เอวํ วเทตีติ ตํ ตํ วิหารญฺจ ปริเวณญฺจ อุปสงฺกมิตฺวา ทฺวารํ วิวริตฺวา อโนฺต ปวิสิตฺวา ภิกฺขู เอวํ วทติ – ‘‘โก อติโณฺณ, กํ ตาเรมี’’ติ?

    Aññatarā mārakāyikāti nāmavasena apākaṭā ekā bhummadevatā micchādiṭṭhikā mārapakkhikā mārassanuvattikā ‘‘evamayaṃ māradheyyaṃ māravisayaṃ nātikkamissatī’’ti cintetvā sabbābharaṇavibhūsitā hutvā attano ānubhāvaṃ dassayamānā abhijjamāne udake pathavītale caṅkamamānā viya āgantvā migalaṇḍikaṃ samaṇakuttakaṃ etadavoca. Sādhu sādhūti sampahaṃsanatthe nipāto; tasmā eva dvivacanaṃ kataṃ. Atiṇṇe tāresīti saṃsārato atiṇṇe iminā jīvitāvoropanena tāresi parimocesīti. Ayaṃ kira etissā devatāya bālāya dummedhāya laddhi ‘‘ye na matā, te saṃsārato na muttā. Ye matā, te muttā’’ti. Tasmā saṃsāramocakamilakkhā viya evaṃladdhikā hutvā tampi tattha niyojentī evamāha. Atha kho migalaṇḍiko samaṇakuttako tāva bhusaṃ uppannavippaṭisāropi taṃ devatāya ānubhāvaṃ disvā ‘‘ayaṃ devatā evamāha – addhā iminā atthena evameva bhavitabba’’nti niṭṭhaṃ gantvā ‘‘lābhā kira me’’tiādīni parikittayanto. Vihārena vihāraṃ pariveṇena pariveṇaṃ upasaṅkamitvā evaṃ vadetīti taṃ taṃ vihārañca pariveṇañca upasaṅkamitvā dvāraṃ vivaritvā anto pavisitvā bhikkhū evaṃ vadati – ‘‘ko atiṇṇo, kaṃ tāremī’’ti?

    โหติเยว ภยนฺติ มรณํ ปฎิจฺจ จิตฺตุตฺราโส โหติฯ โหติ ฉมฺภิตตฺตนฺติ หทยมํสํ อาทิํ กตฺวา ตสฺมา สรีรจลนํ โหติ; อติภเยน ถทฺธสรีรตฺตนฺติปิ เอเก, ถมฺภิตตฺตญฺหิ ฉมฺภิตตฺตนฺติ วุจฺจติฯ โลมหํโสติ อุทฺธํฐิตโลมตา, ขีณาสวา ปน สตฺตสุญฺญตาย สุทิฎฺฐตฺตา มรณกสตฺตเมว น ปสฺสนฺติ, ตสฺมา เตสํ สพฺพเมฺปตํ นาโหสีติ เวทิตพฺพํฯ เอกมฺปิ ภิกฺขุํ เทฺวปิ…เป.… สฎฺฐิมฺปิ ภิกฺขู เอกาเหน ชีวิตา โวโรเปสีติ เอวํ คณนวเสน สพฺพานิปิ ตานิ ปญฺจ ภิกฺขุสตานิ ชีวิตา โวโรเปสิฯ

    Hotiyevabhayanti maraṇaṃ paṭicca cittutrāso hoti. Hoti chambhitattanti hadayamaṃsaṃ ādiṃ katvā tasmā sarīracalanaṃ hoti; atibhayena thaddhasarīrattantipi eke, thambhitattañhi chambhitattanti vuccati. Lomahaṃsoti uddhaṃṭhitalomatā, khīṇāsavā pana sattasuññatāya sudiṭṭhattā maraṇakasattameva na passanti, tasmā tesaṃ sabbampetaṃ nāhosīti veditabbaṃ. Ekampi bhikkhuṃ dvepi…pe… saṭṭhimpi bhikkhū ekāhena jīvitā voropesīti evaṃ gaṇanavasena sabbānipi tāni pañca bhikkhusatāni jīvitā voropesi.

    ๑๖๔. ปฎิสลฺลานา วุฎฺฐิโตติ เตสํ ปญฺจนฺนํ ภิกฺขุสตานํ ชีวิตกฺขยปตฺตภาวํ ญตฺวา ตโต เอกีภาวโต วุฎฺฐิโต ชานโนฺตปิ อชานโนฺต วิย กถาสมุฎฺฐาปนตฺถํ อายสฺมนฺตํ อานนฺทํ อามเนฺตสิฯ กิํ นุ โข อานนฺท ตนุภูโต วิย ภิกฺขุสโงฺฆติ อานนฺท อิโต ปุเพฺพ พหู ภิกฺขู เอกโต อุปฎฺฐานํ อาคจฺฉนฺติ, อุเทฺทสํ ปริปุจฺฉํ คณฺหนฺติ สชฺฌายนฺติ, เอกปโชฺชโต วิย อาราโม ทิสฺสติ, อิทานิ ปน อทฺธมาสมตฺตสฺส อจฺจเยน ตนุภูโต วิย ตนุโก มโนฺท อปฺปโก วิรฬวิรโฬ วิย ชาโต ภิกฺขุสโงฺฆฯ กินฺนุ โข การณํ, กิํ ทิสาสุ ปกฺกนฺตา ภิกฺขูติ?

    164.Paṭisallānā vuṭṭhitoti tesaṃ pañcannaṃ bhikkhusatānaṃ jīvitakkhayapattabhāvaṃ ñatvā tato ekībhāvato vuṭṭhito jānantopi ajānanto viya kathāsamuṭṭhāpanatthaṃ āyasmantaṃ ānandaṃ āmantesi. Kiṃ nu kho ānanda tanubhūto viya bhikkhusaṅghoti ānanda ito pubbe bahū bhikkhū ekato upaṭṭhānaṃ āgacchanti, uddesaṃ paripucchaṃ gaṇhanti sajjhāyanti, ekapajjoto viya ārāmo dissati, idāni pana addhamāsamattassa accayena tanubhūto viya tanuko mando appako viraḷaviraḷo viya jāto bhikkhusaṅgho. Kinnu kho kāraṇaṃ, kiṃ disāsu pakkantā bhikkhūti?

    อถายสฺมา อานโนฺท กมฺมวิปาเกน เตสํ ชีวิตกฺขยปฺปตฺติํ อสลฺลเกฺขโนฺต อสุภกมฺมฎฺฐานานุโยคปจฺจยา ปน สลฺลเกฺขโนฺต ‘‘ตถา หิ ปน ภเนฺต ภควา’’ติอาทิํ วตฺวา ภิกฺขูนํ อรหตฺตปฺปตฺติยา อญฺญํ กมฺมฎฺฐานํ ยาจโนฺต ‘‘สาธุ ภเนฺต ภควา’’ติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ – สาธุ ภเนฺต ภควา อญฺญํ การณํ อาจิกฺขตุ, เยน ภิกฺขุสโงฺฆ อรหเตฺต ปติฎฺฐเหยฺย; มหาสมุทฺทํ โอโรหณติตฺถานิ วิย หิ อญฺญานิปิ ทสานุสฺสติทสกสิณจตุธาตุววตฺถานพฺรหฺมวิหารานาปานสติปฺปเภทานิ พหูนิ นิพฺพาโนโรหณกมฺมฎฺฐานานิ สนฺติฯ เตสุ ภควา ภิกฺขู สมสฺสาเสตฺวา อญฺญตรํ กมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขตูติ อธิปฺปาโยฯ

    Athāyasmā ānando kammavipākena tesaṃ jīvitakkhayappattiṃ asallakkhento asubhakammaṭṭhānānuyogapaccayā pana sallakkhento ‘‘tathā hi pana bhante bhagavā’’tiādiṃ vatvā bhikkhūnaṃ arahattappattiyā aññaṃ kammaṭṭhānaṃ yācanto ‘‘sādhu bhante bhagavā’’tiādimāha. Tassattho – sādhu bhante bhagavā aññaṃ kāraṇaṃ ācikkhatu, yena bhikkhusaṅgho arahatte patiṭṭhaheyya; mahāsamuddaṃ orohaṇatitthāni viya hi aññānipi dasānussatidasakasiṇacatudhātuvavatthānabrahmavihārānāpānasatippabhedāni bahūni nibbānorohaṇakammaṭṭhānāni santi. Tesu bhagavā bhikkhū samassāsetvā aññataraṃ kammaṭṭhānaṃ ācikkhatūti adhippāyo.

    อถ ภควา ตถา กาตุกาโม เถรํ อุโยฺยเชโนฺต ‘‘เตนหานนฺทา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ เวสาลิํ อุปนิสฺสายาติ เวสาลิํ อุปนิสฺสาย สมนฺตา คาวุเตปิ อทฺธโยชเนปิ ยาวติกา ภิกฺขู วิหรนฺติ , เต สเพฺพ สนฺนิปาเตหีติ อโตฺถฯ เต สเพฺพ อุปฎฺฐานสาลายํ สนฺนิปาเตตฺวาติ อตฺตนา คนฺตุํ ยุตฺตฎฺฐานํ สยํ คนฺตฺวา อญฺญตฺถ ทหรภิกฺขู ปหิณิตฺวา มุหุเตฺตเนว อนวเสเส ภิกฺขู อุปฎฺฐานสาลายํ สมูหํ กตฺวาฯ ยสฺส ทานิ ภเนฺต ภควา กาลํ มญฺญตีติ เอตฺถ อยมธิปฺปาโย – ภควา ภิกฺขุสโงฺฆ สนฺนิปติโต เอส กาโล ภิกฺขูนํ ธมฺมกถํ กาตุํ, อนุสาสนิํ ทาตุํ, อิทานิ ยสฺส ตุเมฺห กาลํ ชานาถ, ตํ กตฺตพฺพนฺติฯ

    Atha bhagavā tathā kātukāmo theraṃ uyyojento ‘‘tenahānandā’’tiādimāha. Tattha vesāliṃ upanissāyāti vesāliṃ upanissāya samantā gāvutepi addhayojanepi yāvatikā bhikkhū viharanti , te sabbe sannipātehīti attho. Te sabbe upaṭṭhānasālāyaṃ sannipātetvāti attanā gantuṃ yuttaṭṭhānaṃ sayaṃ gantvā aññattha daharabhikkhū pahiṇitvā muhutteneva anavasese bhikkhū upaṭṭhānasālāyaṃ samūhaṃ katvā. Yassa dāni bhante bhagavā kālaṃ maññatīti ettha ayamadhippāyo – bhagavā bhikkhusaṅgho sannipatito esa kālo bhikkhūnaṃ dhammakathaṃ kātuṃ, anusāsaniṃ dātuṃ, idāni yassa tumhe kālaṃ jānātha, taṃ kattabbanti.

    อานาปานสฺสติสมาธิกถา

    Ānāpānassatisamādhikathā

    ๑๖๕. อถ โข ภควา…เป.… ภิกฺขู อามเนฺตสิ – อยมฺปิ โข ภิกฺขเวติ อามเนฺตตฺวา จ ปน ภิกฺขูนํ อรหตฺตปฺปตฺติยา ปุเพฺพ อาจิกฺขิตอสุภกมฺมฎฺฐานโต อญฺญํ ปริยายํ อาจิกฺขโนฺต ‘‘อานาปานสฺสติสมาธี’’ติ อาหฯ

    165. Atha kho bhagavā…pe… bhikkhū āmantesi – ayampi kho bhikkhaveti āmantetvā ca pana bhikkhūnaṃ arahattappattiyā pubbe ācikkhitaasubhakammaṭṭhānato aññaṃ pariyāyaṃ ācikkhanto ‘‘ānāpānassatisamādhī’’ti āha.

    อิทานิ ยสฺมา ภควตา ภิกฺขูนํ สนฺตปณีตกมฺมฎฺฐานทสฺสนตฺถเมว อยํ ปาฬิ วุตฺตา, ตสฺมา อปริหาเปตฺวา อตฺถโยชนากฺกมํ เอตฺถ วณฺณนํ กริสฺสามิฯ ตตฺร ‘‘อยมฺปิ โข ภิกฺขเว’’ติ อิมสฺส ตาว ปทสฺส อยํ โยชนา – ภิกฺขเว น เกวลํ อสุภภาวนาเยว กิเลสปฺปหานาย สํวตฺตติ, อปิจ อยมฺปิ โข อานาปานสฺสติสมาธิ…เป.… วูปสเมตีติฯ

    Idāni yasmā bhagavatā bhikkhūnaṃ santapaṇītakammaṭṭhānadassanatthameva ayaṃ pāḷi vuttā, tasmā aparihāpetvā atthayojanākkamaṃ ettha vaṇṇanaṃ karissāmi. Tatra ‘‘ayampi kho bhikkhave’’ti imassa tāva padassa ayaṃ yojanā – bhikkhave na kevalaṃ asubhabhāvanāyeva kilesappahānāya saṃvattati, apica ayampi kho ānāpānassatisamādhi…pe… vūpasametīti.

    อยํ ปเนตฺถ อตฺถวณฺณนา – อานาปานสฺสตีติ อสฺสาสปสฺสาสปริคฺคาหิกา สติฯ วุตฺตเญฺหตํ ปฎิสมฺภิทายํ

    Ayaṃ panettha atthavaṇṇanā – ānāpānassatīti assāsapassāsapariggāhikā sati. Vuttañhetaṃ paṭisambhidāyaṃ

    ‘‘อานนฺติ อสฺสาโส, โน ปสฺสาโสฯ อปานนฺติ ปสฺสาโส, โน อสฺสาโสฯ อสฺสาสวเสน อุปฎฺฐานํ สติ, ปสฺสาสวเสน อุปฎฺฐานํ สติฯ โย อสฺสสติ ตสฺสุปฎฺฐาติ, โย ปสฺสสติ ตสฺสุปฎฺฐาตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๖๐)ฯ

    ‘‘Ānanti assāso, no passāso. Apānanti passāso, no assāso. Assāsavasena upaṭṭhānaṃ sati, passāsavasena upaṭṭhānaṃ sati. Yo assasati tassupaṭṭhāti, yo passasati tassupaṭṭhātī’’ti (paṭi. ma. 1.160).

    สมาธีติ ตาย อานาปานปริคฺคาหิกาย สติยา สทฺธิํ อุปฺปนฺนา จิเตฺตกคฺคตา; สมาธิสีเสน จายํ เทสนา, น สติสีเสนฯ ตสฺมา อานาปานสฺสติยา ยุโตฺต สมาธิ อานาปานสฺสติสมาธิ, อานาปานสฺสติยํ วา สมาธิ อานาปานสฺสติสมาธีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ภาวิโตติ อุปฺปาทิโต วฑฺฒิโต จฯ พหุลีกโตติ ปุนปฺปุนํ กโตฯ สโนฺต เจว ปณีโต จาติ สโนฺต เจว ปณีโต เจว, อุภยตฺถ เอวสเทฺทน นิยโม เวทิตโพฺพฯ กิํ วุตฺตํ โหติ? อยญฺหิ ยถา อสุภกมฺมฎฺฐานํ เกวลํ ปฎิเวธวเสน สนฺตญฺจ ปณีตญฺจ โอฬาริการมฺมณตฺตา ปน ปฎิกูลารมฺมณตฺตา จ อารมฺมณวเสน เนว สนฺตํ น ปณีตํ, น เอวํ เกนจิ ปริยาเยน อสโนฺต วา อปฺปณีโต วา, อปิจ โข อารมฺมณสนฺตตายปิ สโนฺต วูปสโนฺต นิพฺพุโต ปฎิเวธสงฺขาตองฺคสนฺตตายปิ อารมฺมณปฺปณีตตายปิ ปณีโต อติตฺติกโร องฺคปฺปณีตตายปีติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘สโนฺต เจว ปณีโต จา’’ติฯ

    Samādhīti tāya ānāpānapariggāhikāya satiyā saddhiṃ uppannā cittekaggatā; samādhisīsena cāyaṃ desanā, na satisīsena. Tasmā ānāpānassatiyā yutto samādhi ānāpānassatisamādhi, ānāpānassatiyaṃ vā samādhi ānāpānassatisamādhīti evamettha attho veditabbo. Bhāvitoti uppādito vaḍḍhito ca. Bahulīkatoti punappunaṃ kato. Santo ceva paṇīto cāti santo ceva paṇīto ceva, ubhayattha evasaddena niyamo veditabbo. Kiṃ vuttaṃ hoti? Ayañhi yathā asubhakammaṭṭhānaṃ kevalaṃ paṭivedhavasena santañca paṇītañca oḷārikārammaṇattā pana paṭikūlārammaṇattā ca ārammaṇavasena neva santaṃ na paṇītaṃ, na evaṃ kenaci pariyāyena asanto vā appaṇīto vā, apica kho ārammaṇasantatāyapi santo vūpasanto nibbuto paṭivedhasaṅkhātaaṅgasantatāyapi ārammaṇappaṇītatāyapi paṇīto atittikaro aṅgappaṇītatāyapīti. Tena vuttaṃ – ‘‘santo ceva paṇīto cā’’ti.

    อเสจนโก จ สุโข จ วิหาโรติ เอตฺถ ปน นาสฺส เสจนนฺติ อเสจนโก อนาสิตฺตโก อโพฺพกิโณฺณ ปาเฎโกฺก อาเวณิโก, นเตฺถตฺถ ปริกเมฺมน วา อุปจาเรน วา สนฺตตา อาทิมนสิการโต ปภุติ อตฺตโน สภาเวเนว สโนฺต จ ปณีโต จาติ อโตฺถฯ เกจิ ปน อเสจนโกติ อนาสิตฺตโก โอชวโนฺต สภาเวเนว มธุโรติ วทนฺติฯ เอวมยํ อเสจนโก จ อปฺปิตปฺปิตกฺขเณ กายิกเจตสิกสุขปฺปฎิลาภาย สํวตฺตนโต สุโข จ วิหาโรติ เวทิตโพฺพฯ

    Asecanako ca sukho ca vihāroti ettha pana nāssa secananti asecanako anāsittako abbokiṇṇo pāṭekko āveṇiko, natthettha parikammena vā upacārena vā santatā ādimanasikārato pabhuti attano sabhāveneva santo ca paṇīto cāti attho. Keci pana asecanakoti anāsittako ojavanto sabhāveneva madhuroti vadanti. Evamayaṃ asecanako ca appitappitakkhaṇe kāyikacetasikasukhappaṭilābhāya saṃvattanato sukho ca vihāroti veditabbo.

    อุปฺปนฺนุปฺปเนฺนติ อวิกฺขมฺภิเต อวิกฺขมฺภิเตฯ ปาปเกติ ลามเกฯ อกุสเล ธเมฺมติ อโกสลฺลสมฺภูเต ธเมฺมฯ ฐานโส อนฺตรธาเปตีติ ขเณเนว อนฺตรธาเปติ วิกฺขเมฺภติฯ วูปสเมตีติ สุฎฺฐุ อุปสเมติ, นิเพฺพธภาคิยตฺตา วา อนุปุเพฺพน อริยมคฺควุฑฺฒิปฺปโต สมุจฺฉินฺทติ ปฎิปฺปสฺสเมฺภตีติปิ อโตฺถฯ

    Uppannuppanneti avikkhambhite avikkhambhite. Pāpaketi lāmake. Akusale dhammeti akosallasambhūte dhamme. Ṭhānaso antaradhāpetīti khaṇeneva antaradhāpeti vikkhambheti. Vūpasametīti suṭṭhu upasameti, nibbedhabhāgiyattā vā anupubbena ariyamaggavuḍḍhippato samucchindati paṭippassambhetītipi attho.

    เสยฺยถาปีติ โอปมฺมนิทสฺสนเมตํฯ คิมฺหานํ ปจฺฉิเม มาเสติ อาสาฬฺหมาเสฯ อูหตํ รโชชลฺลนฺติ อทฺธมาเส วาตาตปสุกฺขาย โคมหิํสาทิปาทปฺปหารสมฺภินฺนาย ปถวิยา อุทฺธํ หตํ อูหตํ อากาเส สมุฎฺฐิตํ รชญฺจ เรณุญฺจฯ มหา อกาลเมโฆติ สพฺพํ นภํ อโชฺฌตฺถริตฺวา อุฎฺฐิโต อาสาฬฺหชุณฺหปเกฺข สกลํ อทฺธมาสํ วสฺสนกเมโฆฯ โส หิ อสมฺปเตฺต วสฺสกาเล อุปฺปนฺนตฺตา อกาลเมโฆติ อิธาธิเปฺปโตฯ ฐานโส อนฺตรธาเปติ วูปสเมตีติ ขเณเนว อทสฺสนํ เนติ, ปถวิยํ สนฺนิสีทาเปติฯ เอวเมว โขติ โอปมฺมสมฺปฎิปาทนเมตํฯ ตโต ปรํ วุตฺตนยเมวฯ

    Seyyathāpīti opammanidassanametaṃ. Gimhānaṃ pacchime māseti āsāḷhamāse. Ūhataṃ rajojallanti addhamāse vātātapasukkhāya gomahiṃsādipādappahārasambhinnāya pathaviyā uddhaṃ hataṃ ūhataṃ ākāse samuṭṭhitaṃ rajañca reṇuñca. Mahā akālameghoti sabbaṃ nabhaṃ ajjhottharitvā uṭṭhito āsāḷhajuṇhapakkhe sakalaṃ addhamāsaṃ vassanakamegho. So hi asampatte vassakāle uppannattā akālameghoti idhādhippeto. Ṭhānaso antaradhāpeti vūpasametīti khaṇeneva adassanaṃ neti, pathaviyaṃ sannisīdāpeti. Evameva khoti opammasampaṭipādanametaṃ. Tato paraṃ vuttanayameva.

    อิทานิ กถํ ภาวิโต จ ภิกฺขเว อานาปานสฺสติสมาธีติ เอตฺถ กถนฺติ อานาปานสฺสติสมาธิภาวนํ นานปฺปการโต วิตฺถาเรตุกมฺยตาปุจฺฉาฯ ภาวิโต จ ภิกฺขเว อานาปานสฺสติสมาธีติ นานปฺปการโต วิตฺถาเรตุกมฺยตาย ปุฎฺฐธมฺมนิทสฺสนํ ฯ เอส นโย ทุติยปเทปิฯ อยํ ปเนตฺถ สเงฺขปโตฺถ – ภิกฺขเว เกนปกาเรน เกนากาเรน เกน วิธินา ภาวิโต อานาปานสฺสติสมาธิ เกนปกาเรน พหุลีกโต สโนฺต เจว…เป.… วูปสเมตีติฯ

    Idāni kathaṃ bhāvito ca bhikkhave ānāpānassatisamādhīti ettha kathanti ānāpānassatisamādhibhāvanaṃ nānappakārato vitthāretukamyatāpucchā. Bhāvito ca bhikkhave ānāpānassatisamādhīti nānappakārato vitthāretukamyatāya puṭṭhadhammanidassanaṃ . Esa nayo dutiyapadepi. Ayaṃ panettha saṅkhepattho – bhikkhave kenapakārena kenākārena kena vidhinā bhāvito ānāpānassatisamādhi kenapakārena bahulīkato santo ceva…pe… vūpasametīti.

    อิทานิ ตมตฺถํ วิตฺถาเรโนฺต ‘‘อิธ ภิกฺขเว’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขูติ ภิกฺขเว อิมสฺมิํ สาสเน ภิกฺขุฯ อยเญฺหตฺถ อิธสโทฺท สพฺพปฺปการอานาปานสฺสติสมาธินิพฺพตฺตกสฺส ปุคฺคลสฺส สนฺนิสฺสยภูตสาสนปริทีปโน อญฺญสาสนสฺส ตถาภาวปฎิเสธโน จฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘อิเธว, ภิกฺขเว, สมโณ…เป.… สุญฺญา ปรปฺปวาทา สมเณภิ อเญฺญหี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๓๙)ฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อิมสฺมิํ สาสเน ภิกฺขู’’ติฯ

    Idāni tamatthaṃ vitthārento ‘‘idha bhikkhave’’tiādimāha. Tattha idha bhikkhave bhikkhūti bhikkhave imasmiṃ sāsane bhikkhu. Ayañhettha idhasaddo sabbappakāraānāpānassatisamādhinibbattakassa puggalassa sannissayabhūtasāsanaparidīpano aññasāsanassa tathābhāvapaṭisedhano ca. Vuttañhetaṃ – ‘‘idheva, bhikkhave, samaṇo…pe… suññā parappavādā samaṇebhi aññehī’’ti (ma. ni. 1.139). Tena vuttaṃ – ‘‘imasmiṃ sāsane bhikkhū’’ti.

    อรญฺญคโต วา…เป.… สุญฺญาคารคโต วาติ อิทมสฺส อานาปานสฺสติสมาธิภาวนานุรูปเสนาสนปริคฺคหปริทีปนํฯ อิมสฺส หิ ภิกฺขุโน ทีฆรตฺตํ รูปาทีสุ อารมฺมเณสุ อนุวิสฎํ จิตฺตํ อานาปานสฺสติสมาธิอารมฺมณํ อภิรุหิตุํ น อิจฺฉติฯ กูฎโคณยุตฺตรโถ วิย อุปฺปถเมว ธาวติฯ ตสฺมา เสยฺยถาปิ นาม โคโป กูฎเธนุยา สพฺพํ ขีรํ ปิวิตฺวา วฑฺฒิตํ กูฎวจฺฉํ ทเมตุกาโม เธนุโต อปเนตฺวา เอกมเนฺต มหนฺตํ ถมฺภํ นิขณิตฺวา ตตฺถ โยเตฺตน พเนฺธยฺยฯ อถสฺส โส วโจฺฉ อิโต จิโต จ วิปฺผนฺทิตฺวา ปลายิตุํ อสโกฺกโนฺต ตเมว ถมฺภํ อุปนิสีเทยฺย วา อุปนิปเชฺชยฺย วา; เอวเมว อิมินาปิ ภิกฺขุนา ทีฆรตฺตํ รูปารมฺมณาทิรสปานวฑฺฒิตํ ทุฎฺฐจิตฺตํ ทเมตุกาเมน รูปาทิอารมฺมณโต อปเนตฺวา อรญฺญํ วา…เป.… สุญฺญาคารํ วา ปเวเสตฺวา ตตฺถ อสฺสาสปสฺสาสถเมฺภ สติโยเตฺตน พนฺธิตพฺพํฯ เอวมสฺส ตํ จิตฺตํ อิโต จิโต จ วิปฺผนฺทิตฺวาปิ ปุเพฺพ อาจิณฺณารมฺมณํ อลภมานํ สติโยตฺตํ ฉินฺทิตฺวา ปลายิตุํ อสโกฺกนฺตํ ตเมวารมฺมณํ อุปจารปฺปนาวเสน อุปนิสีทติ เจว อุปนิปชฺชติ จฯ เตนาหุ โปราณา –

    Araññagato vā…pe… suññāgāragato vāti idamassa ānāpānassatisamādhibhāvanānurūpasenāsanapariggahaparidīpanaṃ. Imassa hi bhikkhuno dīgharattaṃ rūpādīsu ārammaṇesu anuvisaṭaṃ cittaṃ ānāpānassatisamādhiārammaṇaṃ abhiruhituṃ na icchati. Kūṭagoṇayuttaratho viya uppathameva dhāvati. Tasmā seyyathāpi nāma gopo kūṭadhenuyā sabbaṃ khīraṃ pivitvā vaḍḍhitaṃ kūṭavacchaṃ dametukāmo dhenuto apanetvā ekamante mahantaṃ thambhaṃ nikhaṇitvā tattha yottena bandheyya. Athassa so vaccho ito cito ca vipphanditvā palāyituṃ asakkonto tameva thambhaṃ upanisīdeyya vā upanipajjeyya vā; evameva imināpi bhikkhunā dīgharattaṃ rūpārammaṇādirasapānavaḍḍhitaṃ duṭṭhacittaṃ dametukāmena rūpādiārammaṇato apanetvā araññaṃ vā…pe… suññāgāraṃ vā pavesetvā tattha assāsapassāsathambhe satiyottena bandhitabbaṃ. Evamassa taṃ cittaṃ ito cito ca vipphanditvāpi pubbe āciṇṇārammaṇaṃ alabhamānaṃ satiyottaṃ chinditvā palāyituṃ asakkontaṃ tamevārammaṇaṃ upacārappanāvasena upanisīdati ceva upanipajjati ca. Tenāhu porāṇā –

    ‘‘ยถา ถเมฺภ นิพเนฺธยฺย, วจฺฉํ ทมฺมํ นโร อิธ;

    ‘‘Yathā thambhe nibandheyya, vacchaṃ dammaṃ naro idha;

    พเนฺธเยฺยวํ สกํ จิตฺตํ, สติยารมฺมเณ ทฬฺห’’นฺติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๑๗; ที. นิ. อฎฺฐ. ๒.๓๗๔; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑๐๗; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๒.๑.๑๖๓);

    Bandheyyevaṃ sakaṃ cittaṃ, satiyārammaṇe daḷha’’nti. (visuddhi. 1.217; dī. ni. aṭṭha. 2.374; ma. ni. aṭṭha. 1.107; paṭi. ma. aṭṭha. 2.1.163);

    เอวมเสฺสตํ เสนาสนํ ภาวนานุรูปํ โหติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อิทมสฺส อานาปานสฺสติสมอาธิภาวนานุรูปเสนาสนปริคฺคหปริทีปน’’นฺติฯ

    Evamassetaṃ senāsanaṃ bhāvanānurūpaṃ hoti. Tena vuttaṃ – ‘‘idamassa ānāpānassatisamaādhibhāvanānurūpasenāsanapariggahaparidīpana’’nti.

    อถ วา ยสฺมา อิทํ กมฺมฎฺฐานปฺปเภเท มุทฺธภูตํ สพฺพญฺญุพุทฺธปเจฺจกพุทฺธพุทฺธสาวกานํ วิเสสาธิคมทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารปทฎฺฐานํ อานาปานสฺสติกมฺมฎฺฐานํ อิตฺถิปุริสหตฺถิอสฺสาทิสทฺทสมากุลํ คามนฺตํ อปริจฺจชิตฺวา น สุกรํ สมฺปาเทตุํ, สทฺทกณฺฎกตฺตา ฌานสฺสฯ อคามเก ปน อรเญฺญ สุกรํ โยคาวจเรน อิทํ กมฺมฎฺฐานํ ปริคฺคเหตฺวา อานาปานจตุตฺถชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา ตเทว จ ปาทกํ กตฺวา สงฺขาเร สมฺมสิตฺวา อคฺคผลํ อรหตฺตํ สมฺปาปุณิตุํ, ตสฺมาสฺส อนุรูปํเสนาสนํ ทเสฺสโนฺต ภควา ‘‘อรญฺญคโต วา’’ติอาทิมาหฯ

    Atha vā yasmā idaṃ kammaṭṭhānappabhede muddhabhūtaṃ sabbaññubuddhapaccekabuddhabuddhasāvakānaṃ visesādhigamadiṭṭhadhammasukhavihārapadaṭṭhānaṃ ānāpānassatikammaṭṭhānaṃ itthipurisahatthiassādisaddasamākulaṃ gāmantaṃ apariccajitvā na sukaraṃ sampādetuṃ, saddakaṇṭakattā jhānassa. Agāmake pana araññe sukaraṃ yogāvacarena idaṃ kammaṭṭhānaṃ pariggahetvā ānāpānacatutthajjhānaṃ nibbattetvā tadeva ca pādakaṃ katvā saṅkhāre sammasitvā aggaphalaṃ arahattaṃ sampāpuṇituṃ, tasmāssa anurūpaṃsenāsanaṃ dassento bhagavā ‘‘araññagato vā’’tiādimāha.

    วตฺถุวิชฺชาจริโย วิย หิ ภควา, โส ยถา วตฺถุวิชฺชาจริโย นครภูมิํ ปสฺสิตฺวา สุฎฺฐุ อุปปริกฺขิตฺวา ‘‘เอตฺถ นครํ มาเปถา’’ติ อุปทิสติ, โสตฺถินา จ นคเร นิฎฺฐิเต ราชกุลโต มหาสกฺการํ ลภติ; เอวเมว โยคาวจรสฺส อนุรูปเสนาสนํ อุปปริกฺขิตฺวา เอตฺถ กมฺมฎฺฐานํ อนุยุญฺชิตพฺพนฺติ อุปทิสติฯ ตโต ตตฺถ กมฺมฎฺฐานํ อนุยุเตฺตน โยคินา กเมน อรหเตฺต ปเตฺต ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ วต โส ภควา’’ติ มหนฺตํ สกฺการํ ลภติฯ อยํ ปน ภิกฺขุ ‘‘ทีปิสทิโส’’ติ วุจฺจติฯ ยถา หิ มหาทีปิราชา อรเญฺญ ติณคหนํ วา วนคหนํ วา ปพฺพตคหนํ วา นิสฺสาย นิลียิตฺวา วนมหิํสโคกณฺณสูกราทโย มิเค คณฺหาติ; เอวเมวายํ อรญฺญาทีสุ กมฺมฎฺฐานํ อนุยุญฺชโนฺต ภิกฺขุ ยถากฺกเมน โสตาปตฺติสกทาคามิอนาคามิอรหตฺตมเคฺค เจว อริยผลญฺจ คณฺหาตีติ เวทิตโพฺพฯ เตนาหุ โปราณา –

    Vatthuvijjācariyo viya hi bhagavā, so yathā vatthuvijjācariyo nagarabhūmiṃ passitvā suṭṭhu upaparikkhitvā ‘‘ettha nagaraṃ māpethā’’ti upadisati, sotthinā ca nagare niṭṭhite rājakulato mahāsakkāraṃ labhati; evameva yogāvacarassa anurūpasenāsanaṃ upaparikkhitvā ettha kammaṭṭhānaṃ anuyuñjitabbanti upadisati. Tato tattha kammaṭṭhānaṃ anuyuttena yoginā kamena arahatte patte ‘‘sammāsambuddho vata so bhagavā’’ti mahantaṃ sakkāraṃ labhati. Ayaṃ pana bhikkhu ‘‘dīpisadiso’’ti vuccati. Yathā hi mahādīpirājā araññe tiṇagahanaṃ vā vanagahanaṃ vā pabbatagahanaṃ vā nissāya nilīyitvā vanamahiṃsagokaṇṇasūkarādayo mige gaṇhāti; evamevāyaṃ araññādīsu kammaṭṭhānaṃ anuyuñjanto bhikkhu yathākkamena sotāpattisakadāgāmianāgāmiarahattamagge ceva ariyaphalañca gaṇhātīti veditabbo. Tenāhu porāṇā –

    ‘‘ยถาปิ ทีปิโก นาม, นิลียิตฺวา คณฺหตี มิเค;

    ‘‘Yathāpi dīpiko nāma, nilīyitvā gaṇhatī mige;

    ตเถวายํ พุทฺธปุโตฺต, ยุตฺตโยโค วิปสฺสโก;

    Tathevāyaṃ buddhaputto, yuttayogo vipassako;

    อรญฺญํ ปวิสิตฺวาน, คณฺหาติ ผลมุตฺตม’’นฺติฯ (มิ. ป. ๖.๑.๕);

    Araññaṃ pavisitvāna, gaṇhāti phalamuttama’’nti. (mi. pa. 6.1.5);

    เตนสฺส ปรกฺกมชวโยคฺคภูมิํ อรญฺญเสนาสนํ ทเสฺสโนฺต ภควา ‘‘อรญฺญคโต วา’’ติอาทิมาหฯ

    Tenassa parakkamajavayoggabhūmiṃ araññasenāsanaṃ dassento bhagavā ‘‘araññagato vā’’tiādimāha.

    ตตฺถ อรญฺญคโต วาติ อรญฺญนฺติ ‘‘นิกฺขมิตฺวา พหิ อินฺทขีลา สพฺพเมตํ อรญฺญ’’นฺติ (วิภ. ๕๒๙) จ ‘‘อารญฺญกํ นาม เสนาสนํ ปญฺจธนุสติกํ ปจฺฉิม’’นฺติ (ปารา. ๖๕๓) จ เอวํ วุตฺตลกฺขเณสุ อรเญฺญสุ อนุรูปํ ยํกิญฺจิ ปวิเวกสุขํ อรญฺญํ คโตฯ รุกฺขมูลคโต วาติ รุกฺขสมีปํ คโตฯ สุญฺญาคารคโต วาติ สุญฺญํ วิวิโตฺตกาสํ คโตฯ เอตฺถ จ ฐเปตฺวา อรญฺญญฺจ รุกฺขมูลญฺจ อวเสสสตฺตวิธเสนาสนคโตปิ สุญฺญาคารคโตติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ เอวมสฺส อุตุตฺตยานุกูลํ ธาตุจริยานุกูลญฺจ อานาปานสฺสติภาวนานุรูปํ เสนาสนํ อุปทิสิตฺวา อลีนานุทฺธจฺจปกฺขิกํ สนฺตมิริยาปถํ อุปทิสโนฺต ‘‘นิสีทตี’’ติ อาหฯ อถสฺส นิสชฺชาย ทฬฺหภาวํ อสฺสาสปสฺสาสานํ ปวตฺตนสุขตํ อารมฺมณปริคฺคหูปายญฺจ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา’’ติอาทิมาหฯ

    Tattha araññagato vāti araññanti ‘‘nikkhamitvā bahi indakhīlā sabbametaṃ arañña’’nti (vibha. 529) ca ‘‘āraññakaṃ nāma senāsanaṃ pañcadhanusatikaṃ pacchima’’nti (pārā. 653) ca evaṃ vuttalakkhaṇesu araññesu anurūpaṃ yaṃkiñci pavivekasukhaṃ araññaṃ gato. Rukkhamūlagato vāti rukkhasamīpaṃ gato. Suññāgāragato vāti suññaṃ vivittokāsaṃ gato. Ettha ca ṭhapetvā araññañca rukkhamūlañca avasesasattavidhasenāsanagatopi suññāgāragatoti vattuṃ vaṭṭati. Evamassa ututtayānukūlaṃ dhātucariyānukūlañca ānāpānassatibhāvanānurūpaṃ senāsanaṃ upadisitvā alīnānuddhaccapakkhikaṃ santamiriyāpathaṃ upadisanto ‘‘nisīdatī’’ti āha. Athassa nisajjāya daḷhabhāvaṃ assāsapassāsānaṃ pavattanasukhataṃ ārammaṇapariggahūpāyañca dassento ‘‘pallaṅkaṃ ābhujitvā’’tiādimāha.

    ตตฺถ ปลฺลงฺกนฺติ สมนฺตโต อูรุพทฺธาสนํฯ อาภุชิตฺวาติ อาพนฺธิตฺวาฯ อุชุํ กายํ ปณิธายาติ อุปริมํ สรีรํ อุชุกํ ฐเปตฺวา, อฎฺฐารส ปิฎฺฐิกณฺฎเก โกฎิยา โกฎิํ ปฎิปาเทตฺวาฯ เอวญฺหิ นิสินฺนสฺส จมฺมมํสนฺหารูนิ น ปณมนฺติฯ อถสฺส ยา เตสํ ปณมนปฺปจฺจยา ขเณ ขเณ เวทนา อุปฺปเชฺชยฺยุํ, ตา น อุปฺปชฺชนฺติฯ ตาสุ อนุปฺปชฺชมานาสุ จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติฯ กมฺมฎฺฐานํ น ปริปตติฯ วุฑฺฒิํ ผาติํ อุปคจฺฉติฯ

    Tattha pallaṅkanti samantato ūrubaddhāsanaṃ. Ābhujitvāti ābandhitvā. Ujuṃ kāyaṃ paṇidhāyāti uparimaṃ sarīraṃ ujukaṃ ṭhapetvā, aṭṭhārasa piṭṭhikaṇṭake koṭiyā koṭiṃ paṭipādetvā. Evañhi nisinnassa cammamaṃsanhārūni na paṇamanti. Athassa yā tesaṃ paṇamanappaccayā khaṇe khaṇe vedanā uppajjeyyuṃ, tā na uppajjanti. Tāsu anuppajjamānāsu cittaṃ ekaggaṃ hoti. Kammaṭṭhānaṃ na paripatati. Vuḍḍhiṃ phātiṃ upagacchati.

    ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวาติ กมฺมฎฺฐานาภิมุขํ สติํ ฐปยิตฺวาฯ อถ วา ‘‘ปรี’’ติ ปริคฺคหโฎฺฐ; ‘‘มุข’’นฺติ นิยฺยานโฎฺฐ; ‘‘สตี’’ติ อุปฎฺฐานโฎฺฐ; เตน วุจฺจติ – ‘‘ปริมุขํ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา’’ติฯ เอวํ ปฎิสมฺภิทายํ (ปฎิ. ม. ๑.๑๖๔-๑๖๕) วุตฺตนเยนเปตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ตตฺรายํ สเงฺขโป – ‘‘ปริคฺคหิตนิยฺยานํ สติํ กตฺวา’’ติฯ โส สโตว อสฺสสตีติ โส ภิกฺขุ เอวํ นิสีทิตฺวา เอวญฺจ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา ตํ สติํ อวิชหโนฺต สโตเอว อสฺสสติ, สโต ปสฺสสติ, สโตการี โหตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvāti kammaṭṭhānābhimukhaṃ satiṃ ṭhapayitvā. Atha vā ‘‘parī’’ti pariggahaṭṭho; ‘‘mukha’’nti niyyānaṭṭho; ‘‘satī’’ti upaṭṭhānaṭṭho; tena vuccati – ‘‘parimukhaṃ satiṃ upaṭṭhapetvā’’ti. Evaṃ paṭisambhidāyaṃ (paṭi. ma. 1.164-165) vuttanayenapettha attho daṭṭhabbo. Tatrāyaṃ saṅkhepo – ‘‘pariggahitaniyyānaṃ satiṃ katvā’’ti. So satova assasatīti so bhikkhu evaṃ nisīditvā evañca satiṃ upaṭṭhapetvā taṃ satiṃ avijahanto satoeva assasati, sato passasati, satokārī hotīti vuttaṃ hoti.

    อิทานิ เยหากาเรหิ สโตการี โหติ, เต ทเสฺสโนฺต ‘‘ทีฆํ วา อสฺสสโนฺต’’ติอาทิมาหฯ วุตฺตเญฺหตํ ปฎิสมฺภิทายํ – ‘‘โส สโตว อสฺสสติ, สโต ปสฺสสตี’’ติ เอตเสฺสว วิภเงฺค –

    Idāni yehākārehi satokārī hoti, te dassento ‘‘dīghaṃ vā assasanto’’tiādimāha. Vuttañhetaṃ paṭisambhidāyaṃ – ‘‘so satova assasati, sato passasatī’’ti etasseva vibhaṅge –

    ‘‘พาตฺติํสาย อากาเรหิ สโตการี โหติฯ ทีฆํ อสฺสาสวเสน จิตฺตสฺส เอกคฺคตํ อวิเกฺขปํ ปชานโต สติ อุปฎฺฐิตา โหติฯ ตาย สติยา เตน ญาเณน สโตการี โหติฯ ทีฆํ ปสฺสาสวเสน…เป.… ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสี อสฺสาสวเสน ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสี ปสฺสาสวเสน จิตฺตสฺส เอกคฺคตํ อวิเกฺขปํ ปชานโต สติ อุปฎฺฐิตา โหติฯ ตาย สติยา เตน ญาเณน สโตการี โหตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๖๕)ฯ

    ‘‘Bāttiṃsāya ākārehi satokārī hoti. Dīghaṃ assāsavasena cittassa ekaggataṃ avikkhepaṃ pajānato sati upaṭṭhitā hoti. Tāya satiyā tena ñāṇena satokārī hoti. Dīghaṃ passāsavasena…pe… paṭinissaggānupassī assāsavasena paṭinissaggānupassī passāsavasena cittassa ekaggataṃ avikkhepaṃ pajānato sati upaṭṭhitā hoti. Tāya satiyā tena ñāṇena satokārī hotī’’ti (paṭi. ma. 1.165).

    ตตฺถ ทีฆํ วา อสฺสสโนฺตติ ทีฆํ วา อสฺสาสํ ปวเตฺตโนฺตฯ ‘‘อสฺสาโส’’ติ พหิ นิกฺขมนวาโตฯ ‘‘ปสฺสาโส’’ติ อโนฺต ปวิสนวาโตฯ สุตฺตนฺตฎฺฐกถาสุ ปน อุปฺปฎิปาฎิยา อาคตํฯ

    Tattha dīghaṃ vā assasantoti dīghaṃ vā assāsaṃ pavattento. ‘‘Assāso’’ti bahi nikkhamanavāto. ‘‘Passāso’’ti anto pavisanavāto. Suttantaṭṭhakathāsu pana uppaṭipāṭiyā āgataṃ.

    ตตฺถ สเพฺพสมฺปิ คพฺภเสยฺยกานํ มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมนกาเล ปฐมํ อพฺภนฺตรวาโต พหิ นิกฺขมติฯ ปจฺฉา พาหิรวาโต สุขุมํ รชํ คเหตฺวา อพฺภนฺตรํ ปวิสโนฺต ตาลุํ อาหจฺจ นิพฺพายติฯ เอวํ ตาว อสฺสาสปสฺสาสา เวทิตพฺพาฯ ยา ปน เตสํ ทีฆรสฺสตา, สา อทฺธานวเสน เวทิตพฺพาฯ ยถา หิ โอกาสทฺธานํ ผริตฺวา ฐิตํ อุทกํ วา วาลิกา วา ‘‘ทีฆมุทกํ ทีฆา วาลิกา, รสฺสมุทกํ รสฺสา วาลิกา’’ติ วุจฺจติฯ เอวํ จุณฺณวิจุณฺณาปิ อสฺสาสปสฺสาสา หตฺถิสรีเร อหิสรีเร จ เตสํ อตฺตภาวสงฺขาตํ ทีฆํ อทฺธานํ สณิกํ ปูเรตฺวา สณิกเมว นิกฺขมนฺติ, ตสฺมา ‘‘ทีฆา’’ติ วุจฺจนฺติฯ สุนขสสาทีนํ อตฺตภาวสงฺขาตํ รสฺสํ อทฺธานํ สีฆํ ปูเรตฺวา สีฆเมว นิกฺขมนฺติ, ตสฺมา ‘‘รสฺสา’’ติ วุจฺจนฺติฯ มนุเสฺสสุ ปน เกจิ หตฺถิอหิอาทโย วิย กาลทฺธานวเสน ทีฆํ อสฺสสนฺติ จ ปสฺสสนฺติ จฯ เกจิ สุนขสสาทโย วิย รสฺสํฯ ตสฺมา เตสํ กาลวเสน ทีฆมทฺธานํ นิกฺขมนฺตา จ ปวิสนฺตา จ เต ทีฆาฯ อิตฺตรมทฺธานํ นิกฺขมนฺตา จ ปวิสนฺตา จ ‘‘รสฺสา’’ติ เวทิตพฺพาฯ ตตฺรายํ ภิกฺขุ นวหากาเรหิ ทีฆํ อสฺสสโนฺต จ ปสฺสสโนฺต จ ‘‘ทีฆํ อสฺสสามิ ปสฺสสามี’’ติ ปชานาติฯ เอวํ ปชานโต จสฺส เอเกนากาเรน กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานภาวนา สมฺปชฺชตีติ เวทิตพฺพาฯ ยถาห ปฎิสมฺภิทายํ

    Tattha sabbesampi gabbhaseyyakānaṃ mātukucchito nikkhamanakāle paṭhamaṃ abbhantaravāto bahi nikkhamati. Pacchā bāhiravāto sukhumaṃ rajaṃ gahetvā abbhantaraṃ pavisanto tāluṃ āhacca nibbāyati. Evaṃ tāva assāsapassāsā veditabbā. Yā pana tesaṃ dīgharassatā, sā addhānavasena veditabbā. Yathā hi okāsaddhānaṃ pharitvā ṭhitaṃ udakaṃ vā vālikā vā ‘‘dīghamudakaṃ dīghā vālikā, rassamudakaṃ rassā vālikā’’ti vuccati. Evaṃ cuṇṇavicuṇṇāpi assāsapassāsā hatthisarīre ahisarīre ca tesaṃ attabhāvasaṅkhātaṃ dīghaṃ addhānaṃ saṇikaṃ pūretvā saṇikameva nikkhamanti, tasmā ‘‘dīghā’’ti vuccanti. Sunakhasasādīnaṃ attabhāvasaṅkhātaṃ rassaṃ addhānaṃ sīghaṃ pūretvā sīghameva nikkhamanti, tasmā ‘‘rassā’’ti vuccanti. Manussesu pana keci hatthiahiādayo viya kāladdhānavasena dīghaṃ assasanti ca passasanti ca. Keci sunakhasasādayo viya rassaṃ. Tasmā tesaṃ kālavasena dīghamaddhānaṃ nikkhamantā ca pavisantā ca te dīghā. Ittaramaddhānaṃ nikkhamantā ca pavisantā ca ‘‘rassā’’ti veditabbā. Tatrāyaṃ bhikkhu navahākārehi dīghaṃ assasanto ca passasanto ca ‘‘dīghaṃ assasāmi passasāmī’’ti pajānāti. Evaṃ pajānato cassa ekenākārena kāyānupassanāsatipaṭṭhānabhāvanā sampajjatīti veditabbā. Yathāha paṭisambhidāyaṃ

    ‘‘กถํ ทีฆํ อสฺสสโนฺต ‘ทีฆํ อสฺสสามี’ติ ปชานาติ, ทีฆํ ปสฺสสโนฺต ‘ทีฆํ ปสฺสสามี’ติ ปชานาติ? ทีฆํ อสฺสาสํ อทฺธานสงฺขาเต อสฺสสติ, ทีฆํ ปสฺสาสํ อทฺธานสงฺขาเต ปสฺสสติ, ทีฆํ อสฺสาสปสฺสาสํ อทฺธานสงฺขาเต อสฺสสติปิ ปสฺสสติปิฯ ทีฆํ อสฺสาสปสฺสาสํ อทฺธานสงฺขาเต อสฺสสโตปิ ปสฺสสโตปิ ฉโนฺท อุปฺปชฺชติ; ฉนฺทวเสน ตโต สุขุมตรํ ทีฆํ อสฺสาสํ อทฺธานสงฺขาเต อสฺสสติ, ฉนฺทวเสน ตโต สุขุมตรํ ทีฆํ ปสฺสาสํ อทฺธานสงฺขาเต ปสฺสสติ, ฉนฺทวเสน ตโต สุขุมตรํ ทีฆํ อสฺสาสปสฺสาสํ อทฺธานสงฺขาเต อสฺสสติปิ ปสฺสสติปิฯ ฉนฺทวเสน ตโต สุขุมตรํ ทีฆํ อสฺสาสปสฺสาสํ อทฺธานสงฺขาเต อสฺสสโตปิ ปสฺสสโตปิ ปาโมชฺชํ อุปฺปชฺชติ; ปาโมชฺชวเสน ตโต สุขุมตรํ ทีฆํ อสฺสาสํ อทฺธานสงฺขาเต อสฺสสติ, ปาโมชฺชวเสน ตโต สุขุมตรํ ทีฆํ ปสฺสาสํ…เป.… ทีฆํ อสฺสาสปสฺสาสํ อทฺธานสงฺขาเต อสฺสสติปิ ปสฺสสติปิฯ ปาโมชฺชวเสน ตโต สุขุมตรํ ทีฆํ อสฺสาสปสฺสาสํ อทฺธานสงฺขาเต อสฺสสโตปิ ปสฺสสโตปิ ทีฆํ อสฺสาสปสฺสาสา จิตฺตํ วิวตฺตติ, อุเปกฺขา สณฺฐาติฯ อิเมหิ นวหิ อากาเรหิ ทีฆํ อสฺสาสปสฺสาสา กาโย; อุปฎฺฐานํ สติ; อนุปสฺสนา ญาณํ; กาโย อุปฎฺฐานํ, โน สติ; สติ อุปฎฺฐานเญฺจว สติ จฯ ตาย สติยา เตน ญาเณน ตํ กายํ อนุปสฺสติฯ เตน วุจฺจติ – ‘‘กาเย กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานภาวนา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๖๖)ฯ

    ‘‘Kathaṃ dīghaṃ assasanto ‘dīghaṃ assasāmī’ti pajānāti, dīghaṃ passasanto ‘dīghaṃ passasāmī’ti pajānāti? Dīghaṃ assāsaṃ addhānasaṅkhāte assasati, dīghaṃ passāsaṃ addhānasaṅkhāte passasati, dīghaṃ assāsapassāsaṃ addhānasaṅkhāte assasatipi passasatipi. Dīghaṃ assāsapassāsaṃ addhānasaṅkhāte assasatopi passasatopi chando uppajjati; chandavasena tato sukhumataraṃ dīghaṃ assāsaṃ addhānasaṅkhāte assasati, chandavasena tato sukhumataraṃ dīghaṃ passāsaṃ addhānasaṅkhāte passasati, chandavasena tato sukhumataraṃ dīghaṃ assāsapassāsaṃ addhānasaṅkhāte assasatipi passasatipi. Chandavasena tato sukhumataraṃ dīghaṃ assāsapassāsaṃ addhānasaṅkhāte assasatopi passasatopi pāmojjaṃ uppajjati; pāmojjavasena tato sukhumataraṃ dīghaṃ assāsaṃ addhānasaṅkhāte assasati, pāmojjavasena tato sukhumataraṃ dīghaṃ passāsaṃ…pe… dīghaṃ assāsapassāsaṃ addhānasaṅkhāte assasatipi passasatipi. Pāmojjavasena tato sukhumataraṃ dīghaṃ assāsapassāsaṃ addhānasaṅkhāte assasatopi passasatopi dīghaṃ assāsapassāsā cittaṃ vivattati, upekkhā saṇṭhāti. Imehi navahi ākārehi dīghaṃ assāsapassāsā kāyo; upaṭṭhānaṃ sati; anupassanā ñāṇaṃ; kāyo upaṭṭhānaṃ, no sati; sati upaṭṭhānañceva sati ca. Tāya satiyā tena ñāṇena taṃ kāyaṃ anupassati. Tena vuccati – ‘‘kāye kāyānupassanāsatipaṭṭhānabhāvanā’’ti (paṭi. ma. 1.166).

    เอเสว นโย รสฺสปเทปิฯ อยํ ปน วิเสโส – ‘‘ยถา เอตฺถ ‘ทีฆํ อสฺสาสํ อทฺธานสงฺขาเต’ติ วุตฺตํ; เอวมิธ ‘รสฺสํ อสฺสาสํ อิตฺตรสงฺขาเต อสฺสสตี’’ติ อาคตํฯ ตสฺมา ตสฺส วเสน ยาว ‘‘เตน วุจฺจติ กาเย กายานุปสฺสนาสติปฎฺฐานภาวนา’’ติ ตาว โยเชตพฺพํฯ เอวมยํ อทฺธานวเสน อิตฺตรวเสน จ อิเมหากาเรหิ อสฺสาสปสฺสาเส ปชานโนฺต ทีฆํ วา อสฺสสโนฺต ‘‘ทีฆํ อสฺสสามี’’ติ ปชานาติ…เป.… รสฺสํ วา ปสฺสสโนฺต ‘‘รสฺสํ ปสฺสสามี’’ติ ปชานาตีติ เวทิตโพฺพฯ

    Eseva nayo rassapadepi. Ayaṃ pana viseso – ‘‘yathā ettha ‘dīghaṃ assāsaṃ addhānasaṅkhāte’ti vuttaṃ; evamidha ‘rassaṃ assāsaṃ ittarasaṅkhāte assasatī’’ti āgataṃ. Tasmā tassa vasena yāva ‘‘tena vuccati kāye kāyānupassanāsatipaṭṭhānabhāvanā’’ti tāva yojetabbaṃ. Evamayaṃ addhānavasena ittaravasena ca imehākārehi assāsapassāse pajānanto dīghaṃ vā assasanto ‘‘dīghaṃ assasāmī’’ti pajānāti…pe… rassaṃ vā passasanto ‘‘rassaṃ passasāmī’’ti pajānātīti veditabbo.

    เอวํ ปชานโต จสฺส –

    Evaṃ pajānato cassa –

    ‘‘ทีโฆ รโสฺส จ อสฺสาโส;

    ‘‘Dīgho rasso ca assāso;

    ปสฺสาโสปิ จ ตาทิโส;

    Passāsopi ca tādiso;

    จตฺตาโร วณฺณา วตฺตนฺติ;

    Cattāro vaṇṇā vattanti;

    นาสิกเคฺคว ภิกฺขุโน’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๑๙; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๒.๑.๑๖๓);

    Nāsikaggeva bhikkhuno’’ti. (visuddhi. 1.219; paṭi. ma. aṭṭha. 2.1.163);

    สพฺพกายปฺปฎิสํเวที อสฺสสิสฺสามิ…เป.… ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตีติ สกลสฺส อสฺสาสกายสฺส อาทิมชฺฌปริโยสานํ วิทิตํ กโรโนฺต ปากฎํ กโรโนฺต ‘‘อสฺสสิสฺสามี’’ติ สิกฺขติฯ สกลสฺส ปสฺสาสกายสฺส อาทิมชฺฌปริโยสานํ วิทิตํ กโรโนฺต ปากฎํ กโรโนฺต ‘‘ปสฺสสิสฺสามี’’ติ สิกฺขติฯ เอวํ วิทิตํ กโรโนฺต ปากฎํ กโรโนฺต ญาณสมฺปยุตฺตจิเตฺตน อสฺสสติ เจว ปสฺสสติ จ; ตสฺมา ‘‘อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามี’’ติ สิกฺขตีติ วุจฺจติฯ เอกสฺส หิ ภิกฺขุโน จุณฺณวิจุณฺณวิสเฎ อสฺสาสกาเย ปสฺสาสกาเย วา อาทิ ปากโฎ โหติ, น มชฺฌปริโยสานํฯ โส อาทิเมว ปริคฺคเหตุํ สโกฺกติ, มชฺฌปริโยสาเน กิลมติฯ เอกสฺส มชฺฌํ ปากฎํ โหติ, น อาทิปริโยสานํฯ โส มชฺฌเมว ปริคฺคเหตุํ สโกฺกติ, อาทิปริโยสาเน กิลมติฯ เอกสฺส ปริโยสานํ ปากฎํ โหติ, น อาทิมชฺฌํฯ โส ปริโยสานํเยว ปริคฺคเหตุํ สโกฺกติ, อาทิมเชฺฌ กิลมติฯ เอกสฺส สพฺพมฺปิ ปากฎํ โหติ, โส สพฺพมฺปิ ปริคฺคเหตุํ สโกฺกติ, น กตฺถจิ กิลมติฯ ตาทิเสน ภวิตพฺพนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห – ‘‘สพฺพกายปฺปฎิสํเวที อสฺสสิสฺสามิ…เป.… ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตี’’ติฯ

    Sabbakāyappaṭisaṃvedīassasissāmi…pe… passasissāmīti sikkhatīti sakalassa assāsakāyassa ādimajjhapariyosānaṃ viditaṃ karonto pākaṭaṃ karonto ‘‘assasissāmī’’ti sikkhati. Sakalassa passāsakāyassa ādimajjhapariyosānaṃ viditaṃ karonto pākaṭaṃ karonto ‘‘passasissāmī’’ti sikkhati. Evaṃ viditaṃ karonto pākaṭaṃ karonto ñāṇasampayuttacittena assasati ceva passasati ca; tasmā ‘‘assasissāmi passasissāmī’’ti sikkhatīti vuccati. Ekassa hi bhikkhuno cuṇṇavicuṇṇavisaṭe assāsakāye passāsakāye vā ādi pākaṭo hoti, na majjhapariyosānaṃ. So ādimeva pariggahetuṃ sakkoti, majjhapariyosāne kilamati. Ekassa majjhaṃ pākaṭaṃ hoti, na ādipariyosānaṃ. So majjhameva pariggahetuṃ sakkoti, ādipariyosāne kilamati. Ekassa pariyosānaṃ pākaṭaṃ hoti, na ādimajjhaṃ. So pariyosānaṃyeva pariggahetuṃ sakkoti, ādimajjhe kilamati. Ekassa sabbampi pākaṭaṃ hoti, so sabbampi pariggahetuṃ sakkoti, na katthaci kilamati. Tādisena bhavitabbanti dassento āha – ‘‘sabbakāyappaṭisaṃvedī assasissāmi…pe… passasissāmīti sikkhatī’’ti.

    ตตฺถ สิกฺขตีติ เอวํ ฆฎติ วายมติฯ โย วา ตถาภูตสฺส สํวโร; อยเมตฺถ อธิสีลสิกฺขาฯ โย ตถาภูตสฺส สมาธิ; อยํ อธิจิตฺตสิกฺขาฯ ยา ตถาภูตสฺส ปญฺญา; อยํ อธิปญฺญาสิกฺขาติฯ อิมา ติโสฺส สิกฺขาโย ตสฺมิํ อารมฺมเณ ตาย สติยา เตน มนสิกาเรน สิกฺขติ อาเสวติ ภาเวติ พหุลีกโรตีติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ตตฺถ ยสฺมา ปุริมนเย เกวลํ อสฺสสิตพฺพํ ปสฺสสิตพฺพเมว จ, น อญฺญํ กิญฺจิ กาตพฺพํ; อิโต ปฎฺฐาย ปน ญาณุปฺปาทนาทีสุ โยโค กรณีโยฯ ตสฺมา ตตฺถ ‘‘อสฺสสามีติ ปชานาติ ปสฺสสามีติ ปชานาติ’’เจฺจว วตฺตมานกาลวเสน ปาฬิํ วตฺวา อิโต ปฎฺฐาย กตฺตพฺพสฺส ญาณุปฺปาทนาทิโน อาการสฺส ทสฺสนตฺถํ ‘‘สพฺพกายปฺปฎิสํเวที อสฺสสิสฺสามี’’ติอาทินา นเยน อนาคตวจนวเสน ปาฬิ อาโรปิตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Tattha sikkhatīti evaṃ ghaṭati vāyamati. Yo vā tathābhūtassa saṃvaro; ayamettha adhisīlasikkhā. Yo tathābhūtassa samādhi; ayaṃ adhicittasikkhā. Yā tathābhūtassa paññā; ayaṃ adhipaññāsikkhāti. Imā tisso sikkhāyo tasmiṃ ārammaṇe tāya satiyā tena manasikārena sikkhati āsevati bhāveti bahulīkarotīti evamettha attho daṭṭhabbo. Tattha yasmā purimanaye kevalaṃ assasitabbaṃ passasitabbameva ca, na aññaṃ kiñci kātabbaṃ; ito paṭṭhāya pana ñāṇuppādanādīsu yogo karaṇīyo. Tasmā tattha ‘‘assasāmīti pajānāti passasāmīti pajānāti’’cceva vattamānakālavasena pāḷiṃ vatvā ito paṭṭhāya kattabbassa ñāṇuppādanādino ākārassa dassanatthaṃ ‘‘sabbakāyappaṭisaṃvedī assasissāmī’’tiādinā nayena anāgatavacanavasena pāḷi āropitāti veditabbā.

    ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ อสฺสสิสฺสามิ…เป.… ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตีติ โอฬาริกํ กายสงฺขารํ ปสฺสเมฺภโนฺต ปฎิปฺปสฺสเมฺภโนฺต นิโรเธโนฺต วูปสเมโนฺต อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติฯ

    Passambhayaṃ kāyasaṅkhāraṃ assasissāmi…pe… passasissāmīti sikkhatīti oḷārikaṃ kāyasaṅkhāraṃ passambhento paṭippassambhento nirodhento vūpasamento assasissāmi passasissāmīti sikkhati.

    ตเตฺรวํ โอฬาริกสุขุมตา จ ปสฺสทฺธิ จ เวทิตพฺพาฯ อิมสฺส หิ ภิกฺขุโน ปุเพฺพ อปริคฺคหิตกาเล กาโย จ จิตฺตญฺจ สทรถา โหนฺติฯ โอฬาริกานํ กายจิตฺตานํ โอฬาริกเตฺต อวูปสเนฺต อสฺสาสปสฺสาสาปิ โอฬาริกา โหนฺติ, พลวตรา หุตฺวา ปวตฺตนฺติ, นาสิกา นปฺปโหติ, มุเขน อสฺสสโนฺตปิ ปสฺสสโนฺตปิ ติฎฺฐติฯ ยทา ปนสฺส กาโยปิ จิตฺตมฺปิ ปริคฺคหิตา โหนฺติ, ตทา เต สนฺตา โหนฺติ วูปสนฺตาฯ เตสุ วูปสเนฺตสุ อสฺสาสปสฺสาสา สุขุมา หุตฺวา ปวตฺตนฺติ, ‘‘อตฺถิ นุ โข นตฺถี’’ติ วิเจตพฺพาการปฺปตฺตา โหนฺติฯ เสยฺยถาปิ ปุริสสฺส ธาวิตฺวา ปพฺพตา วา โอโรหิตฺวา มหาภารํ วา สีสโต โอโรเปตฺวา ฐิตสฺส โอฬาริกา อสฺสาสปสฺสาสา โหนฺติ, นาสิกา นปฺปโหติ, มุเขน อสฺสสโนฺตปิ ปสฺสสโนฺตปิ ติฎฺฐติฯ ยทา ปเนส ตํ ปริสฺสมํ วิโนเทตฺวา นฺหตฺวา จ ปิวิตฺวา จ อลฺลสาฎกํ หทเย กตฺวา สีตาย ฉายาย นิปโนฺน โหติ, อถสฺส เต อสฺสาสปสฺสาสา สุขุมา โหนฺติ, ‘‘อตฺถิ นุ โข นตฺถี’’ติ วิเจตพฺพาการปฺปตฺตาฯ เอวเมว อิมสฺส ภิกฺขุโน ปุเพฺพ อปริคฺคหิตกาเล กาโย จ…เป.… วิเจตพฺพาการปฺปตฺตา โหนฺติฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิสฺส ปุเพฺพ อปริคฺคหิตกาเล ‘‘โอฬาริโกฬาริเก กายสงฺขาเร ปสฺสเมฺภมี’’ติ อาโภคสมนฺนาหารมนสิการปจฺจเวกฺขณา นตฺถิ, ปริคฺคหิตกาเล ปน อตฺถิฯ เตนสฺส อปริคฺคหิตกาลโต ปริคฺคหิตกาเล กายสงฺขาโร สุขุโม โหติฯ เตนาหุ โปราณา –

    Tatrevaṃ oḷārikasukhumatā ca passaddhi ca veditabbā. Imassa hi bhikkhuno pubbe apariggahitakāle kāyo ca cittañca sadarathā honti. Oḷārikānaṃ kāyacittānaṃ oḷārikatte avūpasante assāsapassāsāpi oḷārikā honti, balavatarā hutvā pavattanti, nāsikā nappahoti, mukhena assasantopi passasantopi tiṭṭhati. Yadā panassa kāyopi cittampi pariggahitā honti, tadā te santā honti vūpasantā. Tesu vūpasantesu assāsapassāsā sukhumā hutvā pavattanti, ‘‘atthi nu kho natthī’’ti vicetabbākārappattā honti. Seyyathāpi purisassa dhāvitvā pabbatā vā orohitvā mahābhāraṃ vā sīsato oropetvā ṭhitassa oḷārikā assāsapassāsā honti, nāsikā nappahoti, mukhena assasantopi passasantopi tiṭṭhati. Yadā panesa taṃ parissamaṃ vinodetvā nhatvā ca pivitvā ca allasāṭakaṃ hadaye katvā sītāya chāyāya nipanno hoti, athassa te assāsapassāsā sukhumā honti, ‘‘atthi nu kho natthī’’ti vicetabbākārappattā. Evameva imassa bhikkhuno pubbe apariggahitakāle kāyo ca…pe… vicetabbākārappattā honti. Taṃ kissa hetu? Tathā hissa pubbe apariggahitakāle ‘‘oḷārikoḷārike kāyasaṅkhāre passambhemī’’ti ābhogasamannāhāramanasikārapaccavekkhaṇā natthi, pariggahitakāle pana atthi. Tenassa apariggahitakālato pariggahitakāle kāyasaṅkhāro sukhumo hoti. Tenāhu porāṇā –

    ‘‘สารเทฺธ กาเย จิเตฺต จ, อธิมตฺตํ ปวตฺตติ;

    ‘‘Sāraddhe kāye citte ca, adhimattaṃ pavattati;

    อสารทฺธมฺหิ กายมฺหิ, สุขุมํ สมฺปวตฺตตี’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๒๐; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๒.๑.๑๖๓);

    Asāraddhamhi kāyamhi, sukhumaṃ sampavattatī’’ti. (visuddhi. 1.220; paṭi. ma. aṭṭha. 2.1.163);

    ปริคฺคเหปิ โอฬาริโก, ปฐมชฺฌานูปจาเร สุขุโม; ตสฺมิมฺปิ โอฬาริโก ปฐมชฺฌาเน สุขุโมฯ ปฐมชฺฌาเน จ ทุติยชฺฌานูปจาเร จ โอฬาริโก, ทุติยชฺฌาเน สุขุโมฯ ทุติยชฺฌาเน จ ตติยชฺฌานูปจาเร จ โอฬาริโก, ตติยชฺฌาเน สุขุโมฯ ตติยชฺฌาเน จ จตุตฺถชฺฌานูปจาเร จ โอฬาริโก, จตุตฺถชฺฌาเน อติสุขุโม อปฺปวตฺติเมว ปาปุณาติฯ อิทํ ตาว ทีฆภาณกสํยุตฺตภาณกานํ มตํฯ

    Pariggahepi oḷāriko, paṭhamajjhānūpacāre sukhumo; tasmimpi oḷāriko paṭhamajjhāne sukhumo. Paṭhamajjhāne ca dutiyajjhānūpacāre ca oḷāriko, dutiyajjhāne sukhumo. Dutiyajjhāne ca tatiyajjhānūpacāre ca oḷāriko, tatiyajjhāne sukhumo. Tatiyajjhāne ca catutthajjhānūpacāre ca oḷāriko, catutthajjhāne atisukhumo appavattimeva pāpuṇāti. Idaṃ tāva dīghabhāṇakasaṃyuttabhāṇakānaṃ mataṃ.

    มชฺฌิมภาณกา ปน ‘‘ปฐมชฺฌาเน โอฬาริโก, ทุติยชฺฌานูปจาเร สุขุโม’’ติ เอวํ เหฎฺฐิมเหฎฺฐิมชฺฌานโต อุปรูปริชฺฌานูปจาเรปิ สุขุมตรํ อิจฺฉนฺติฯ สเพฺพสํเยว ปน มเตน อปริคฺคหิตกาเล ปวตฺตกายสงฺขาโร ปริคฺคหิตกาเล ปฎิปฺปสฺสมฺภติ, ปริคฺคหิตกาเล ปวตฺตกายสงฺขาโร ปฐมชฺฌานูปจาเร…เป.… จตุตฺถชฺฌานูปจาเร ปวตฺตกายสงฺขาโร จตุตฺถชฺฌาเน ปฎิปฺปสฺสมฺภติฯ อยํ ตาว สมเถ นโยฯ

    Majjhimabhāṇakā pana ‘‘paṭhamajjhāne oḷāriko, dutiyajjhānūpacāre sukhumo’’ti evaṃ heṭṭhimaheṭṭhimajjhānato uparūparijjhānūpacārepi sukhumataraṃ icchanti. Sabbesaṃyeva pana matena apariggahitakāle pavattakāyasaṅkhāro pariggahitakāle paṭippassambhati, pariggahitakāle pavattakāyasaṅkhāro paṭhamajjhānūpacāre…pe… catutthajjhānūpacāre pavattakāyasaṅkhāro catutthajjhāne paṭippassambhati. Ayaṃ tāva samathe nayo.

    วิปสฺสนายํ ปน อปริคฺคเห ปวโตฺต กายสงฺขาโร โอฬาริโก, มหาภูตปริคฺคเห สุขุโมฯ โสปิ โอฬาริโก, อุปาทารูปปริคฺคเห สุขุโมฯ โสปิ โอฬาริโก, สกลรูปปริคฺคเห สุขุโมฯ โสปิ โอฬาริโก, อรูปปริคฺคเห สุขุโมฯ โสปิ โอฬาริโก, รูปารูปปริคฺคเห สุขุโมฯ โสปิ โอฬาริโก, ปจฺจยปริคฺคเห สุขุโมฯ โสปิ โอฬาริโก, สปฺปจฺจยนามรูปปริคฺคเห สุขุโมฯ โสปิ โอฬาริโก, ลกฺขณารมฺมณิกวิปสฺสนาย สุขุโมฯ โสปิ ทุพฺพลวิปสฺสนาย โอฬาริโก, พลววิปสฺสนาย สุขุโมฯ ตตฺถ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว ปุริมสฺส ปุริมสฺส ปจฺฉิเมน ปจฺฉิเมน ปสฺสทฺธิ เวทิตพฺพาฯ เอวเมตฺถ โอฬาริกสุขุมตา จ ปสฺสทฺธิ จ เวทิตพฺพาฯ

    Vipassanāyaṃ pana apariggahe pavatto kāyasaṅkhāro oḷāriko, mahābhūtapariggahe sukhumo. Sopi oḷāriko, upādārūpapariggahe sukhumo. Sopi oḷāriko, sakalarūpapariggahe sukhumo. Sopi oḷāriko, arūpapariggahe sukhumo. Sopi oḷāriko, rūpārūpapariggahe sukhumo. Sopi oḷāriko, paccayapariggahe sukhumo. Sopi oḷāriko, sappaccayanāmarūpapariggahe sukhumo. Sopi oḷāriko, lakkhaṇārammaṇikavipassanāya sukhumo. Sopi dubbalavipassanāya oḷāriko, balavavipassanāya sukhumo. Tattha pubbe vuttanayeneva purimassa purimassa pacchimena pacchimena passaddhi veditabbā. Evamettha oḷārikasukhumatā ca passaddhi ca veditabbā.

    ปฎิสมฺภิทายํ ปนสฺส สทฺธิํ โจทนาโสธนาหิ เอวมโตฺถ วุโตฺต – ‘‘กถํ ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ อสฺสสิสฺสามิ…เป.… ปสฺสสิสฺสามี’’ติ สิกฺขติ? กตเม กายสงฺขารา? ทีฆํ อสฺสาสา กายิกา เอเต ธมฺมา กายปฺปฎิพทฺธา กายสงฺขารา, เต กายสงฺขาเร ปสฺสเมฺภโนฺต นิโรเธโนฺต วูปสเมโนฺต สิกฺขติฯ ทีฆํ ปสฺสาสา กายิกา เอเต ธมฺมา…เป.… รสฺสํ อสฺสาสา…เป.… รสฺสํ ปสฺสาสา… สพฺพกายปฺปฎิสํเวที อสฺสาสา… สพฺพกายปฺปฎิสํเวที ปสฺสาสา กายิกา เอเต ธมฺมา กายปฺปฎิพทฺธา กายสงฺขารา, เต กายสงฺขาเร ปสฺสเมฺภโนฺต นิโรเธโนฺต วูปสเมโนฺต สิกฺขติฯ

    Paṭisambhidāyaṃ panassa saddhiṃ codanāsodhanāhi evamattho vutto – ‘‘kathaṃ passambhayaṃ kāyasaṅkhāraṃ assasissāmi…pe… passasissāmī’’ti sikkhati? Katame kāyasaṅkhārā? Dīghaṃ assāsā kāyikā ete dhammā kāyappaṭibaddhā kāyasaṅkhārā, te kāyasaṅkhāre passambhento nirodhento vūpasamento sikkhati. Dīghaṃ passāsā kāyikā ete dhammā…pe… rassaṃ assāsā…pe… rassaṃ passāsā… sabbakāyappaṭisaṃvedī assāsā… sabbakāyappaṭisaṃvedī passāsā kāyikā ete dhammā kāyappaṭibaddhā kāyasaṅkhārā, te kāyasaṅkhāre passambhento nirodhento vūpasamento sikkhati.

    ยถารูเปหิ กายสงฺขาเรหิ ยา กายสฺส อานมนา วินมนา สนฺนมนา ปณมนา อิญฺชนา ผนฺทนา จลนา กมฺปนา ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ, ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติฯ

    Yathārūpehi kāyasaṅkhārehi yā kāyassa ānamanā vinamanā sannamanā paṇamanā iñjanā phandanā calanā kampanā passambhayaṃ kāyasaṅkhāraṃ assasissāmīti sikkhati, passambhayaṃ kāyasaṅkhāraṃ passasissāmīti sikkhati.

    ยถารูเปหิ กายสงฺขาเรหิ ยา กายสฺส น อานมนา น วินมนา น สนฺนมนา น ปณมนา อนิญฺชนา อผนฺทนา อจลนา อกมฺปนา, สนฺตํ สุขุมํ ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ, ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติฯ

    Yathārūpehi kāyasaṅkhārehi yā kāyassa na ānamanā na vinamanā na sannamanā na paṇamanā aniñjanā aphandanā acalanā akampanā, santaṃ sukhumaṃ passambhayaṃ kāyasaṅkhāraṃ assasissāmīti sikkhati, passambhayaṃ kāyasaṅkhāraṃ passasissāmīti sikkhati.

    อิติ กิร ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ, ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติฯ เอวํ สเนฺต วาตูปลทฺธิยา จ ปภาวนา น โหติ, อสฺสาสปสฺสาสานญฺจ ปภาวนา น โหติ, อานาปานสฺสติยา จ ปภาวนา น โหติ, อานาปานสฺสติสมาธิสฺส จ ปภาวนา น น โหติ, น จ นํ ตํ สมาปตฺติํ ปณฺฑิตา สมาปชฺชนฺติปิ วุฎฺฐหนฺติปิฯ

    Iti kira passambhayaṃ kāyasaṅkhāraṃ assasissāmīti sikkhati, passambhayaṃ kāyasaṅkhāraṃ passasissāmīti sikkhati. Evaṃ sante vātūpaladdhiyā ca pabhāvanā na hoti, assāsapassāsānañca pabhāvanā na hoti, ānāpānassatiyā ca pabhāvanā na hoti, ānāpānassatisamādhissa ca pabhāvanā na na hoti, na ca naṃ taṃ samāpattiṃ paṇḍitā samāpajjantipi vuṭṭhahantipi.

    อิติ กิร ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ อสฺสสิสฺสามิ…เป.… ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติฯ เอวํ สเนฺต วาตูปลทฺธิยา จ ปภาวนา โหติ, อสฺสาสปสฺสาสานญฺจ ปภาวนา โหติ, อานาปานสฺสติยา จ ปภาวนา โหติ, อานาปานสฺสติสมาธิสฺส จ ปภาวนา โหติ, ตญฺจ นํ สมาปตฺติํ ปณฺฑิตา สมาปชฺชนฺติปิ วุฎฺฐหนฺติปิฯ

    Iti kira passambhayaṃ kāyasaṅkhāraṃ assasissāmi…pe… passasissāmīti sikkhati. Evaṃ sante vātūpaladdhiyā ca pabhāvanā hoti, assāsapassāsānañca pabhāvanā hoti, ānāpānassatiyā ca pabhāvanā hoti, ānāpānassatisamādhissa ca pabhāvanā hoti, tañca naṃ samāpattiṃ paṇḍitā samāpajjantipi vuṭṭhahantipi.

    ยถา กถํ วิย? เสยฺยถาปิ กํเส อาโกฎิเต ปฐมํ โอฬาริกา สทฺทา ปวตฺตนฺติ, โอฬาริกานํ สทฺทานํ นิมิตฺตํ สุคฺคหิตตฺตา สุมนสิกตตฺตา สูปธาริตตฺตา นิรุเทฺธปิ โอฬาริเก สเทฺท อถ ปจฺฉา สุขุมกา สทฺทา ปวตฺตนฺติ, สุขุมกานํ สทฺทานํ นิมิตฺตํ สุคฺคหิตตฺตา สุมนสิกตตฺตา สูปธาริตตฺตา นิรุเทฺธปิ สุขุมเก สเทฺท อถ ปจฺฉา สุขุมสทฺทนิมิตฺตารมฺมณตาปิ จิตฺตํ ปวตฺตติ; เอวเมว ปฐมํ โอฬาริกา อสฺสาสปสฺสาสา ปวตฺตนฺติ, โอฬาริกานํ อสฺสาสปสฺสาสานํ นิมิตฺตํ สุคฺคหิตตฺตา สุมนสิกตตฺตา สูปธาริตตฺตา นิรุเทฺธปิ โอฬาริเก อสฺสาสปสฺสาเส อถ ปจฺฉา สุขุมกา อสฺสาสปสฺสาสา ปวตฺตนฺติ, สุขุมกานํ อสฺสาสปสฺสาสานํ นิมิตฺตํ สุคฺคหิตตฺตา สุมนสิกตตฺตา สูปธาริตตฺตา นิรุเทฺธปิ สุขุมเก อสฺสาสปสฺสาเส อถ ปจฺฉา สุขุมอสฺสาสปสฺสาสนิมิตฺตารมฺมณตาปิ จิตฺตํ น วิเกฺขปํ คจฺฉติฯ

    Yathā kathaṃ viya? Seyyathāpi kaṃse ākoṭite paṭhamaṃ oḷārikā saddā pavattanti, oḷārikānaṃ saddānaṃ nimittaṃ suggahitattā sumanasikatattā sūpadhāritattā niruddhepi oḷārike sadde atha pacchā sukhumakā saddā pavattanti, sukhumakānaṃ saddānaṃ nimittaṃ suggahitattā sumanasikatattā sūpadhāritattā niruddhepi sukhumake sadde atha pacchā sukhumasaddanimittārammaṇatāpi cittaṃ pavattati; evameva paṭhamaṃ oḷārikā assāsapassāsā pavattanti, oḷārikānaṃ assāsapassāsānaṃ nimittaṃ suggahitattā sumanasikatattā sūpadhāritattā niruddhepi oḷārike assāsapassāse atha pacchā sukhumakā assāsapassāsā pavattanti, sukhumakānaṃ assāsapassāsānaṃ nimittaṃ suggahitattā sumanasikatattā sūpadhāritattā niruddhepi sukhumake assāsapassāse atha pacchā sukhumaassāsapassāsanimittārammaṇatāpi cittaṃ na vikkhepaṃ gacchati.

    เอวํ สเนฺต วาตูปลทฺธิยา จ ปภาวนา โหติ, อสฺสาสปสฺสาสานญฺจ ปภาวนา โหติ, อานาปานสฺสติยา จ ปภาวนา โหติ, อานาปานสฺสติสมาธิสฺส จ ปภาวนา โหติ, ตญฺจ นํ สมาปตฺติํ ปณฺฑิตา สมาปชฺชนฺติปิ วุฎฺฐหนฺติปิฯ

    Evaṃ sante vātūpaladdhiyā ca pabhāvanā hoti, assāsapassāsānañca pabhāvanā hoti, ānāpānassatiyā ca pabhāvanā hoti, ānāpānassatisamādhissa ca pabhāvanā hoti, tañca naṃ samāpattiṃ paṇḍitā samāpajjantipi vuṭṭhahantipi.

    ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารนฺติ อสฺสาสปสฺสาสา กาโย, อุปฎฺฐานํ สติ, อนุปสฺสนา ญาณํฯ กาโย อุปฎฺฐานํ โน สติ, สติ อุปฎฺฐานเญฺจว สติ จ, ตาย สติยา เตน ญาเณน ตํ กายํ อนุปสฺสติฯ เตน วุจฺจติ – ‘‘กาเย กายานุปสฺสนา สติปฎฺฐานภาวนาติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๗๑)ฯ

    Passambhayaṃ kāyasaṅkhāranti assāsapassāsā kāyo, upaṭṭhānaṃ sati, anupassanā ñāṇaṃ. Kāyo upaṭṭhānaṃ no sati, sati upaṭṭhānañceva sati ca, tāya satiyā tena ñāṇena taṃ kāyaṃ anupassati. Tena vuccati – ‘‘kāye kāyānupassanā satipaṭṭhānabhāvanāti (paṭi. ma. 1.171).

    อยํ ตาเวตฺถ กายานุปสฺสนาวเสน วุตฺตสฺส ปฐมจตุกฺกสฺส อนุปุพฺพปทวณฺณนาฯ

    Ayaṃ tāvettha kāyānupassanāvasena vuttassa paṭhamacatukkassa anupubbapadavaṇṇanā.

    ยสฺมา ปเนตฺถ อิทเมว จตุกฺกํ อาทิกมฺมิกสฺส กมฺมฎฺฐานวเสน วุตฺตํ, อิตรานิ ปน ตีณิ จตุกฺกานิ เอตฺถ ปตฺตชฺฌานสฺส เวทนาจิตฺตธมฺมานุปสฺสนาวเสน วุตฺตานิ, ตสฺมา อิทํ กมฺมฎฺฐานํ ภาเวตฺวา อานาปานสฺสติจตุตฺถชฺฌานปทฎฺฐานาย วิปสฺสนาย สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ ปาปุณิตุกาเมน พุทฺธปุเตฺตน ยํ กาตพฺพํ ตํ สพฺพํ อิเธว ตาว อาทิกมฺมิกสฺส กุลปุตฺตสฺส วเสน อาทิโต ปภุติ เอวํ เวทิตพฺพํฯ จตุพฺพิธํ ตาว สีลํ วิโสเธตพฺพํฯ ตตฺถ ติวิธา วิโสธนา – อนาปชฺชนํ, อาปนฺนวุฎฺฐานํ, กิเลเสหิ จ อปฺปติปีฬนํฯ เอวํ วิสุทฺธสีลสฺส หิ ภาวนา สมฺปชฺชติฯ ยมฺปิทํ เจติยงฺคณวตฺตํ โพธิยงฺคณวตฺตํ อุปชฺฌายวตฺตํ อาจริยวตฺตํ ชนฺตาฆรวตฺตํ อุโปสถาคารวตฺตํ เทฺวอสีติ ขนฺธกวตฺตานิ จุทฺทสวิธํ มหาวตฺตนฺติ อิเมสํ วเสน อาภิสมาจาริกสีลํ วุจฺจติ, ตมฺปิ สาธุกํ ปริปูเรตพฺพํฯ โย หิ ‘‘อหํ สีลํ รกฺขามิ, กิํ อาภิสมาจาริเกน กมฺม’’นฺติ วเทยฺย, ตสฺส สีลํ ปริปูเรสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชติฯ อาภิสมาจาริกวเตฺต ปน ปริปูเร สีลํ ปริปูรติ, สีเล ปริปูเร สมาธิ คพฺภํ คณฺหาติฯ วุตฺตเญฺหตํ ภควตา – ‘‘โส วต, ภิกฺขเว, ภิกฺขุ อาภิสมาจาริกํ ธมฺมํ อปริปูเรตฺวา ‘สีลานิ ปริปูเรสฺสตี’ติ เนตํ ฐานํ วิชฺชตี’’ติ (อ. นิ. ๕.๒๑) วิตฺถาเรตพฺพํฯ ตสฺมา เตน ยมฺปิทํ เจติยงฺคณวตฺตาทิ อาภิสมาจาริกสีลํ วุจฺจติ, ตมฺปิ สาธุกํ ปริปูเรตพฺพํฯ ตโต –

    Yasmā panettha idameva catukkaṃ ādikammikassa kammaṭṭhānavasena vuttaṃ, itarāni pana tīṇi catukkāni ettha pattajjhānassa vedanācittadhammānupassanāvasena vuttāni, tasmā idaṃ kammaṭṭhānaṃ bhāvetvā ānāpānassaticatutthajjhānapadaṭṭhānāya vipassanāya saha paṭisambhidāhi arahattaṃ pāpuṇitukāmena buddhaputtena yaṃ kātabbaṃ taṃ sabbaṃ idheva tāva ādikammikassa kulaputtassa vasena ādito pabhuti evaṃ veditabbaṃ. Catubbidhaṃ tāva sīlaṃ visodhetabbaṃ. Tattha tividhā visodhanā – anāpajjanaṃ, āpannavuṭṭhānaṃ, kilesehi ca appatipīḷanaṃ. Evaṃ visuddhasīlassa hi bhāvanā sampajjati. Yampidaṃ cetiyaṅgaṇavattaṃ bodhiyaṅgaṇavattaṃ upajjhāyavattaṃ ācariyavattaṃ jantāgharavattaṃ uposathāgāravattaṃ dveasīti khandhakavattāni cuddasavidhaṃ mahāvattanti imesaṃ vasena ābhisamācārikasīlaṃ vuccati, tampi sādhukaṃ paripūretabbaṃ. Yo hi ‘‘ahaṃ sīlaṃ rakkhāmi, kiṃ ābhisamācārikena kamma’’nti vadeyya, tassa sīlaṃ paripūressatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjati. Ābhisamācārikavatte pana paripūre sīlaṃ paripūrati, sīle paripūre samādhi gabbhaṃ gaṇhāti. Vuttañhetaṃ bhagavatā – ‘‘so vata, bhikkhave, bhikkhu ābhisamācārikaṃ dhammaṃ aparipūretvā ‘sīlāni paripūressatī’ti netaṃ ṭhānaṃ vijjatī’’ti (a. ni. 5.21) vitthāretabbaṃ. Tasmā tena yampidaṃ cetiyaṅgaṇavattādi ābhisamācārikasīlaṃ vuccati, tampi sādhukaṃ paripūretabbaṃ. Tato –

    ‘‘อาวาโส จ กุลํ ลาโภ, คโณ กมฺมญฺจ ปญฺจมํ;

    ‘‘Āvāso ca kulaṃ lābho, gaṇo kammañca pañcamaṃ;

    อทฺธานํ ญาติ อาพาโธ, คโนฺถ อิทฺธีติ เต ทสา’’ติฯ

    Addhānaṃ ñāti ābādho, gantho iddhīti te dasā’’ti.

    เอวํ วุเตฺตสุ ทสสุ ปลิโพเธสุ โย ปลิโพโธ อตฺถิ, โส อุปจฺฉินฺทิตโพฺพฯ

    Evaṃ vuttesu dasasu palibodhesu yo palibodho atthi, so upacchinditabbo.

    เอวํ อุปจฺฉินฺนปลิโพเธน กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคเหตพฺพํฯ ตมฺปิ ทุวิธํ โหติ – สพฺพตฺถกกมฺมฎฺฐานญฺจ ปาริหาริยกมฺมฎฺฐานญฺจฯ ตตฺถ สพฺพตฺถกกมฺมฎฺฐานํ นาม ภิกฺขุสงฺฆาทีสุ เมตฺตา มรณสฺสติ จ อสุภสญฺญาติปิ เอเกฯ กมฺมฎฺฐานิเกน หิ ภิกฺขุนา ปฐมํ ตาว ปริจฺฉินฺทิตฺวา สีมฎฺฐกภิกฺขุสเงฺฆ เมตฺตา ภาเวตพฺพา; ตโต สีมฎฺฐกเทวตาสุ, ตโต โคจรคาเม อิสฺสรชเน, ตโต ตตฺถ มนุเสฺส อุปาทาย สพฺพสเตฺตสุฯ โส หิ ภิกฺขุสเงฺฆ เมตฺตาย สหวาสีนํ มุทุจิตฺตตํ ชเนติ, อถสฺส สุขสํวาสตา โหติฯ สีมฎฺฐกเทวตาสุ เมตฺตาย มุทุกตจิตฺตาหิ เทวตาหิ ธมฺมิกาย รกฺขาย สุสํวิหิตารโกฺข โหติฯ โคจรคาเม อิสฺสรชเน เมตฺตาย มุทุกตจิตฺตสนฺตาเนหิ อิสฺสเรหิ ธมฺมิกาย รกฺขาย สุรกฺขิตปริกฺขาโร โหติฯ ตตฺถ มนุเสฺสสุ เมตฺตาย ปสาทิตจิเตฺตหิ เตหิ อปริภูโต หุตฺวา วิจรติฯ สพฺพสเตฺตสุ เมตฺตาย สพฺพตฺถ อปฺปฎิหตจาโร โหติฯ

    Evaṃ upacchinnapalibodhena kammaṭṭhānaṃ uggahetabbaṃ. Tampi duvidhaṃ hoti – sabbatthakakammaṭṭhānañca pārihāriyakammaṭṭhānañca. Tattha sabbatthakakammaṭṭhānaṃ nāma bhikkhusaṅghādīsu mettā maraṇassati ca asubhasaññātipi eke. Kammaṭṭhānikena hi bhikkhunā paṭhamaṃ tāva paricchinditvā sīmaṭṭhakabhikkhusaṅghe mettā bhāvetabbā; tato sīmaṭṭhakadevatāsu, tato gocaragāme issarajane, tato tattha manusse upādāya sabbasattesu. So hi bhikkhusaṅghe mettāya sahavāsīnaṃ muducittataṃ janeti, athassa sukhasaṃvāsatā hoti. Sīmaṭṭhakadevatāsu mettāya mudukatacittāhi devatāhi dhammikāya rakkhāya susaṃvihitārakkho hoti. Gocaragāme issarajane mettāya mudukatacittasantānehi issarehi dhammikāya rakkhāya surakkhitaparikkhāro hoti. Tattha manussesu mettāya pasāditacittehi tehi aparibhūto hutvā vicarati. Sabbasattesu mettāya sabbattha appaṭihatacāro hoti.

    มรณสฺสติยา ปน ‘‘อวสฺสํ มริตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตโนฺต อเนสนํ ปหาย อุปรูปริวฑฺฒมานสํเวโค อโนลีนวุตฺติโก โหติฯ อสุภสญฺญาย ทิเพฺพสุปิ อารมฺมเณสุ ตณฺหา นุปฺปชฺชติฯ เตนเสฺสตํ ตยํ เอวํ พหูปการตฺตา ‘‘สพฺพตฺถ อตฺถยิตพฺพํ อิจฺฉิตพฺพ’’นฺติ กตฺวา อธิเปฺปตสฺส จ โยคานุโยคกมฺมสฺส ปทฎฺฐานตฺตา ‘‘สพฺพตฺถกกมฺมฎฺฐาน’’นฺติ วุจฺจติฯ

    Maraṇassatiyā pana ‘‘avassaṃ maritabba’’nti cintento anesanaṃ pahāya uparūparivaḍḍhamānasaṃvego anolīnavuttiko hoti. Asubhasaññāya dibbesupi ārammaṇesu taṇhā nuppajjati. Tenassetaṃ tayaṃ evaṃ bahūpakārattā ‘‘sabbattha atthayitabbaṃ icchitabba’’nti katvā adhippetassa ca yogānuyogakammassa padaṭṭhānattā ‘‘sabbatthakakammaṭṭhāna’’nti vuccati.

    อฎฺฐติํสารมฺมเณสุ ปน ยํ ยสฺส จริตานุกูลํ, ตํ ตสฺส นิจฺจํ ปริหริตพฺพตฺตา ยถาวุเตฺตเนว นเยน ‘‘ปาริหาริยกมฺมฎฺฐาน’’นฺติปิ วุจฺจติฯ อิธ ปน อิทเมว อานาปานสฺสฺสาติกมฺมฎฺฐานํ ‘‘ปาริหาริยกมฺมฎฺฐาน’’นฺติ วุจฺจติฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถาโร ปน สีลวิโสธนกถํ ปลิโพธุปเจฺฉทกถญฺจ อิจฺฉเนฺตน วิสุทฺธิมคฺคโต คเหตโพฺพฯ

    Aṭṭhatiṃsārammaṇesu pana yaṃ yassa caritānukūlaṃ, taṃ tassa niccaṃ pariharitabbattā yathāvutteneva nayena ‘‘pārihāriyakammaṭṭhāna’’ntipi vuccati. Idha pana idameva ānāpānasssātikammaṭṭhānaṃ ‘‘pārihāriyakammaṭṭhāna’’nti vuccati. Ayamettha saṅkhepo. Vitthāro pana sīlavisodhanakathaṃ palibodhupacchedakathañca icchantena visuddhimaggato gahetabbo.

    เอวํ วิสุทฺธสีเลน ปน อุปจฺฉินฺนปลิโพเธน จ อิทํ กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคณฺหเนฺตน อิมินาว กมฺมฎฺฐาเนน จตุตฺถชฺฌานํ นิพฺพเตฺตตฺวา วิปสฺสนํ วเฑฺฒตฺวา อรหตฺตํ ปตฺตสฺส พุทฺธปุตฺตสฺส สนฺติเก อุคฺคเหตพฺพํฯ ตํ อลภเนฺตน อนาคามิสฺส, ตมฺปิ อลภเนฺตน สกทาคามิสฺส, ตมฺปิ อลภเนฺตน โสตาปนฺนสฺส, ตมฺปิ อลภเนฺตน อานาปานจตุตฺถชฺฌานลาภิสฺส, ตมฺปิ อลภเนฺตน ปาฬิยา อฎฺฐกถาย จ อสมฺมูฬฺหสฺส วินิจฺฉยาจริยสฺส สนฺติเก อุคฺคเหตพฺพํฯ อรหนฺตาทโย หิ อตฺตนา อธิคตมคฺคเมว อาจิกฺขนฺติฯ อยํ ปน คหนปเทเส มหาหตฺถิปถํ นีหรโนฺต วิย สพฺพตฺถ อสมฺมูโฬฺห สปฺปายาสปฺปายํ ปริจฺฉินฺทิตฺวา กเถติฯ

    Evaṃ visuddhasīlena pana upacchinnapalibodhena ca idaṃ kammaṭṭhānaṃ uggaṇhantena imināva kammaṭṭhānena catutthajjhānaṃ nibbattetvā vipassanaṃ vaḍḍhetvā arahattaṃ pattassa buddhaputtassa santike uggahetabbaṃ. Taṃ alabhantena anāgāmissa, tampi alabhantena sakadāgāmissa, tampi alabhantena sotāpannassa, tampi alabhantena ānāpānacatutthajjhānalābhissa, tampi alabhantena pāḷiyā aṭṭhakathāya ca asammūḷhassa vinicchayācariyassa santike uggahetabbaṃ. Arahantādayo hi attanā adhigatamaggameva ācikkhanti. Ayaṃ pana gahanapadese mahāhatthipathaṃ nīharanto viya sabbattha asammūḷho sappāyāsappāyaṃ paricchinditvā katheti.

    ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – เตน ภิกฺขุนา สลฺลหุกวุตฺตินา วินยาจารสมฺปเนฺนน วุตฺตปฺปการมาจริยํ อุปสงฺกมิตฺวา วตฺตปฎิปตฺติยา อาราธิตจิตฺตสฺส ตสฺส สนฺติเก ปญฺจสนฺธิกํ กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคเหตพฺพํฯ ตตฺริเม ปญฺจ สนฺธโย – อุคฺคโห, ปริปุจฺฉา, อุปฎฺฐานํ, อปฺปนา, ลกฺขณนฺติฯ ตตฺถ ‘‘อุคฺคโห’’ นาม กมฺมฎฺฐานสฺส อุคฺคณฺหนํ, ‘‘ปริปุจฺฉา’’ นาม กมฺมฎฺฐานสฺส ปริปุจฺฉนา, ‘‘อุปฎฺฐานํ’’ นาม กมฺมฎฺฐานสฺส อุปฎฺฐานํ, ‘‘อปฺปนา’’ นาม กมฺมฎฺฐานปฺปนา, ‘‘ลกฺขณํ’’ นาม กมฺมฎฺฐานสฺส ลกฺขณํฯ ‘‘เอวํลกฺขณมิทํ กมฺมฎฺฐาน’’นฺติ กมฺมฎฺฐานสภาวูปธารณนฺติ วุตฺตํ โหติฯ

    Tatrāyaṃ anupubbikathā – tena bhikkhunā sallahukavuttinā vinayācārasampannena vuttappakāramācariyaṃ upasaṅkamitvā vattapaṭipattiyā ārādhitacittassa tassa santike pañcasandhikaṃ kammaṭṭhānaṃ uggahetabbaṃ. Tatrime pañca sandhayo – uggaho, paripucchā, upaṭṭhānaṃ, appanā, lakkhaṇanti. Tattha ‘‘uggaho’’ nāma kammaṭṭhānassa uggaṇhanaṃ, ‘‘paripucchā’’ nāma kammaṭṭhānassa paripucchanā, ‘‘upaṭṭhānaṃ’’ nāma kammaṭṭhānassa upaṭṭhānaṃ, ‘‘appanā’’ nāma kammaṭṭhānappanā, ‘‘lakkhaṇaṃ’’ nāma kammaṭṭhānassa lakkhaṇaṃ. ‘‘Evaṃlakkhaṇamidaṃ kammaṭṭhāna’’nti kammaṭṭhānasabhāvūpadhāraṇanti vuttaṃ hoti.

    เอวํ ปญฺจสนฺธิกํ กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคณฺหโนฺต อตฺตนาปิ น กิลมติ, อาจริยมฺปิ น วิเหเฐติ; ตสฺมา โถกํ อุทฺทิสาเปตฺวา พหุกาลํ สชฺฌายิตฺวา เอวํ ปญฺจสนฺธิกํ กมฺมฎฺฐานํ อุคฺคเหตฺวา สเจ ตตฺถ สปฺปายํ โหติ, ตเตฺถว วสิตพฺพํฯ โน เจ ตตฺถ สปฺปายํ โหติ, อาจริยํ อาปุจฺฉิตฺวา สเจ มนฺทปโญฺญ โยชนปรมํ คนฺตฺวา, สเจ ติกฺขปโญฺญ ทูรมฺปิ คนฺตฺวา อฎฺฐารสเสนาสนโทสวิวชฺชิตํ, ปญฺจเสนาสนงฺคสมนฺนาคตํ เสนาสนํ อุปคมฺม ตตฺถ วสเนฺตน อุปจฺฉินฺนขุทฺทกปลิโพเธน กตภตฺตกิเจฺจน ภตฺตสมฺมทํ ปฎิวิโนเทตฺวา รตนตฺตยคุณานุสฺสรเณน จิตฺตํ สมฺปหํเสตฺวา อาจริยุคฺคหโต เอกปทมฺปิ อสมฺมุสฺสเนฺตน อิทํ อานาปานสฺสติกมฺมฎฺฐานํ มนสิกาตพฺพํฯ อยเมตฺถ สเงฺขโปฯ วิตฺถาโร ปน อิมํ กถามคฺคํ อิจฺฉเนฺตน วิสุทฺธิมคฺคโต (วิสุทฺธิ. ๑.๕๕) คเหตโพฺพฯ

    Evaṃ pañcasandhikaṃ kammaṭṭhānaṃ uggaṇhanto attanāpi na kilamati, ācariyampi na viheṭheti; tasmā thokaṃ uddisāpetvā bahukālaṃ sajjhāyitvā evaṃ pañcasandhikaṃ kammaṭṭhānaṃ uggahetvā sace tattha sappāyaṃ hoti, tattheva vasitabbaṃ. No ce tattha sappāyaṃ hoti, ācariyaṃ āpucchitvā sace mandapañño yojanaparamaṃ gantvā, sace tikkhapañño dūrampi gantvā aṭṭhārasasenāsanadosavivajjitaṃ, pañcasenāsanaṅgasamannāgataṃ senāsanaṃ upagamma tattha vasantena upacchinnakhuddakapalibodhena katabhattakiccena bhattasammadaṃ paṭivinodetvā ratanattayaguṇānussaraṇena cittaṃ sampahaṃsetvā ācariyuggahato ekapadampi asammussantena idaṃ ānāpānassatikammaṭṭhānaṃ manasikātabbaṃ. Ayamettha saṅkhepo. Vitthāro pana imaṃ kathāmaggaṃ icchantena visuddhimaggato (visuddhi. 1.55) gahetabbo.

    ยํ ปน วุตฺตํ ‘‘อิทํ อานาปานสฺสติกมฺมฎฺฐานํ มนสิกาตพฺพ’’นฺติ ตตฺรายํ มนสิการวิธิ

    Yaṃ pana vuttaṃ ‘‘idaṃ ānāpānassatikammaṭṭhānaṃ manasikātabba’’nti tatrāyaṃ manasikāravidhi

    ‘‘คณนา อนุพนฺธนา, ผุสนา ฐปนา สลฺลกฺขณา;

    ‘‘Gaṇanā anubandhanā, phusanā ṭhapanā sallakkhaṇā;

    วิวฎฺฎนา ปาริสุทฺธิ, เตสญฺจ ปฎิปสฺสนา’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๒๓; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๒.๑.๑๖๓);

    Vivaṭṭanā pārisuddhi, tesañca paṭipassanā’’ti. (visuddhi. 1.223; paṭi. ma. aṭṭha. 2.1.163);

    ‘‘คณนา’’ติ คณนาเยวฯ ‘‘อนุพนฺธนา’’ติ อนุวหนาฯ ‘‘ผุสนา’’ติ ผุฎฺฐฎฺฐานํฯ ‘‘ฐปนา’’ติ อปฺปนาฯ ‘‘สลฺลกฺขณา’’ติ วิปสฺสนาฯ ‘‘วิวฎฺฎนา’’ติ มโคฺคฯ ‘‘ปาริสุทฺธี’’ติ ผลํฯ ‘‘เตสญฺจ ปฎิปสฺสนา’’ติ ปจฺจเวกฺขณาฯ ตตฺถ อิมินา อาทิกมฺมิกกุลปุเตฺตน ปฐมํ คณนาย อิทํ กมฎฺฐานํ มนสิกาตพฺพํฯ คเณเนฺตน จ ปญฺจนฺนํ เหฎฺฐา น ฐเปตพฺพํ, ทสนฺนํ อุปริ น เนตพฺพํ, อนฺตเร ขณฺฑํ น ทเสฺสตพฺพํฯ ปญฺจนฺนํ เหฎฺฐา ฐเปนฺตสฺส หิ สมฺพาเธ โอกาเส จิตฺตุปฺปาโท วิปฺผนฺทติ, สมฺพาเธ วเช สนฺนิรุทฺธโคคโณ วิยฯ ทสนฺนํ อุปริ เนนฺตสฺส คณนานิสฺสิโตว จิตฺตุปฺปาโท โหติฯ อนฺตรา ขณฺฑํ ทเสฺสนฺตสฺส ‘‘สิขาปฺปตฺตํ นุ โข เม กมฺมฎฺฐานํ, โน’’ติ จิตฺตํ วิกมฺปติฯ ตสฺมา เอเต โทเส วเชฺชตฺวา คเณตพฺพํฯ

    ‘‘Gaṇanā’’ti gaṇanāyeva. ‘‘Anubandhanā’’ti anuvahanā. ‘‘Phusanā’’ti phuṭṭhaṭṭhānaṃ. ‘‘Ṭhapanā’’ti appanā. ‘‘Sallakkhaṇā’’ti vipassanā. ‘‘Vivaṭṭanā’’ti maggo. ‘‘Pārisuddhī’’ti phalaṃ. ‘‘Tesañca paṭipassanā’’ti paccavekkhaṇā. Tattha iminā ādikammikakulaputtena paṭhamaṃ gaṇanāya idaṃ kamaṭṭhānaṃ manasikātabbaṃ. Gaṇentena ca pañcannaṃ heṭṭhā na ṭhapetabbaṃ, dasannaṃ upari na netabbaṃ, antare khaṇḍaṃ na dassetabbaṃ. Pañcannaṃ heṭṭhā ṭhapentassa hi sambādhe okāse cittuppādo vipphandati, sambādhe vaje sanniruddhagogaṇo viya. Dasannaṃ upari nentassa gaṇanānissitova cittuppādo hoti. Antarā khaṇḍaṃ dassentassa ‘‘sikhāppattaṃ nu kho me kammaṭṭhānaṃ, no’’ti cittaṃ vikampati. Tasmā ete dose vajjetvā gaṇetabbaṃ.

    คเณเนฺตน จ ปฐมํ ทนฺธคณนาย ธญฺญมาปกคณนาย คเณตพฺพํฯ ธญฺญมาปโก หิ นาฬิํ ปูเรตฺวา ‘‘เอก’’นฺติ วตฺวา โอกิรติฯ ปุน ปูเรโนฺต กิญฺจิ กจวรํ ทิสฺวา ตํ ฉเฑฺฑโนฺต ‘‘เอกํ เอก’’นฺติ วทติฯ เอส นโย ‘‘เทฺว เทฺว’’ติอาทีสุฯ เอวเมว อิมินาปิ อสฺสาสปสฺสาเสสุ โย อุปฎฺฐาติ ตํ คเหตฺวา ‘‘เอกํ เอก’’นฺติ อาทิํกตฺวา ยาว ‘‘ทส ทสา’’ติ ปวตฺตมานํ ปวตฺตมานํ อุปลเกฺขตฺวาว คเณตพฺพํฯ ตเสฺสวํ คณยโต นิกฺขมนฺตา จ ปวิสนฺตา จ อสฺสาสปสฺสาสา ปากฎา โหนฺติฯ

    Gaṇentena ca paṭhamaṃ dandhagaṇanāya dhaññamāpakagaṇanāya gaṇetabbaṃ. Dhaññamāpako hi nāḷiṃ pūretvā ‘‘eka’’nti vatvā okirati. Puna pūrento kiñci kacavaraṃ disvā taṃ chaḍḍento ‘‘ekaṃ eka’’nti vadati. Esa nayo ‘‘dve dve’’tiādīsu. Evameva imināpi assāsapassāsesu yo upaṭṭhāti taṃ gahetvā ‘‘ekaṃ eka’’nti ādiṃkatvā yāva ‘‘dasa dasā’’ti pavattamānaṃ pavattamānaṃ upalakkhetvāva gaṇetabbaṃ. Tassevaṃ gaṇayato nikkhamantā ca pavisantā ca assāsapassāsā pākaṭā honti.

    อถาเนน ตํ ทนฺธคณนํ ธญฺญมาปกคณนํ ปหาย สีฆคณนาย โคปาลกคณนาย คเณตพฺพํ ฯ เฉโก หิ โคปาลโก สกฺขราโย อุจฺฉเงฺคน คเหตฺวา รชฺชุทณฺฑหโตฺถ ปาโตว วชํ คนฺตฺวา คาโว ปิฎฺฐิยํ ปหริตฺวา ปลิฆตฺถมฺภมตฺถเก นิสิโนฺน ทฺวารํ ปตฺตํ ปตฺตํเยว คาวํ ‘‘เอโก เทฺว’’ติ สกฺขรํ ขิปิตฺวา ขิปิตฺวา คเณติฯ ติยามรตฺติํ สมฺพาเธ โอกาเส ทุกฺขํ วุตฺถโคคโณ นิกฺขมโนฺต อญฺญมญฺญํ อุปนิฆํสโนฺต เวเคน เวเคน ปุโญฺช ปุโญฺช หุตฺวา นิกฺขมติฯ โส เวเคน เวเคน ‘‘ตีณิ จตฺตาริ ปญฺจ ทสา’’ติ คเณติเยวฯ เอวมิมสฺสาปิ ปุริมนเยน คณยโต อสฺสาสปสฺสาสา ปากฎา หุตฺวา สีฆํ สีฆํ ปุนปฺปุนํ สญฺจรนฺติฯ ตโต เตน ‘‘ปุนปฺปุนํ สญฺจรนฺตี’’ติ ญตฺวา อโนฺต จ พหิ จ อคฺคเหตฺวา ทฺวารปฺปตฺตํ ทฺวารปฺปตฺตํเยว คเหตฺวา ‘‘เอโก เทฺว ตีณิ จตฺตาริ ปญฺจ , เอโก เทฺว ตีณิ จตฺตาริ ปญฺจ ฉ, เอโก เทฺว ตีณิ จตฺตาริ ปญฺจ ฉ สตฺต…เป.… อฎฺฐ… นว… ทสา’’ติ สีฆํ สีฆํ คเณตพฺพเมวฯ คณนาปฎิพเทฺธ หิ กมฺมฎฺฐาเน คณนาพเลเนว จิตฺตํ เอกคฺคํ โหติ อริตฺตูปตฺถมฺภนวเสน จณฺฑโสเต นาวาฐปนมิวฯ

    Athānena taṃ dandhagaṇanaṃ dhaññamāpakagaṇanaṃ pahāya sīghagaṇanāya gopālakagaṇanāya gaṇetabbaṃ . Cheko hi gopālako sakkharāyo ucchaṅgena gahetvā rajjudaṇḍahattho pātova vajaṃ gantvā gāvo piṭṭhiyaṃ paharitvā palighatthambhamatthake nisinno dvāraṃ pattaṃ pattaṃyeva gāvaṃ ‘‘eko dve’’ti sakkharaṃ khipitvā khipitvā gaṇeti. Tiyāmarattiṃ sambādhe okāse dukkhaṃ vutthagogaṇo nikkhamanto aññamaññaṃ upanighaṃsanto vegena vegena puñjo puñjo hutvā nikkhamati. So vegena vegena ‘‘tīṇi cattāri pañca dasā’’ti gaṇetiyeva. Evamimassāpi purimanayena gaṇayato assāsapassāsā pākaṭā hutvā sīghaṃ sīghaṃ punappunaṃ sañcaranti. Tato tena ‘‘punappunaṃ sañcarantī’’ti ñatvā anto ca bahi ca aggahetvā dvārappattaṃ dvārappattaṃyeva gahetvā ‘‘eko dve tīṇi cattāri pañca , eko dve tīṇi cattāri pañca cha, eko dve tīṇi cattāri pañca cha satta…pe… aṭṭha… nava… dasā’’ti sīghaṃ sīghaṃ gaṇetabbameva. Gaṇanāpaṭibaddhe hi kammaṭṭhāne gaṇanābaleneva cittaṃ ekaggaṃ hoti arittūpatthambhanavasena caṇḍasote nāvāṭhapanamiva.

    ตเสฺสวํ สีฆํ สีฆํ คณยโต กมฺมฎฺฐานํ นิรนฺตรปฺปวตฺตํ วิย หุตฺวา อุปฎฺฐาติฯ อถ ‘‘นิรนฺตรํ ปวตฺตตี’’ติ ญตฺวา อโนฺต จ พหิ จ วาตํ อปริคฺคเหตฺวา ปุริมนเยเนว เวเคน เวเคน คเณตพฺพํฯ อโนฺตปวิสนวาเตน หิ สทฺธิํ จิตฺตํ ปเวสยโต อพฺภนฺตรํ วาตพฺภาหตํ เมทปูริตํ วิย โหติ, พหินิกฺขมนวาเตน สทฺธิํ จิตฺตํ นีหรโต พหิทฺธา ปุถุตฺตารมฺมเณ จิตฺตํ วิกฺขิปติฯ ผุโฎฺฐกาเส ปน สติํ ฐเปตฺวา ภาเวนฺตเสฺสว ภาวนา สมฺปชฺชติฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อโนฺต จ พหิ จ วาตํ อปริคฺคเหตฺวา ปุริมนเยเนว เวเคน เวเคน คเณตพฺพ’’นฺติฯ

    Tassevaṃ sīghaṃ sīghaṃ gaṇayato kammaṭṭhānaṃ nirantarappavattaṃ viya hutvā upaṭṭhāti. Atha ‘‘nirantaraṃ pavattatī’’ti ñatvā anto ca bahi ca vātaṃ apariggahetvā purimanayeneva vegena vegena gaṇetabbaṃ. Antopavisanavātena hi saddhiṃ cittaṃ pavesayato abbhantaraṃ vātabbhāhataṃ medapūritaṃ viya hoti, bahinikkhamanavātena saddhiṃ cittaṃ nīharato bahiddhā puthuttārammaṇe cittaṃ vikkhipati. Phuṭṭhokāse pana satiṃ ṭhapetvā bhāventasseva bhāvanā sampajjati. Tena vuttaṃ – ‘‘anto ca bahi ca vātaṃ apariggahetvā purimanayeneva vegena vegena gaṇetabba’’nti.

    กีว จิรํ ปเนตํ คเณตพฺพนฺติ? ยาว วินา คณนาย อสฺสาสปสฺสาสารมฺมเณ สติ สนฺติฎฺฐติฯ พหิ วิสฎวิตกฺกวิเจฺฉทํ กตฺวา อสฺสาสปสฺสาสารมฺมเณ สติ สณฺฐปนตฺถํเยว หิ คณนาติฯ

    Kīva ciraṃ panetaṃ gaṇetabbanti? Yāva vinā gaṇanāya assāsapassāsārammaṇe sati santiṭṭhati. Bahi visaṭavitakkavicchedaṃ katvā assāsapassāsārammaṇe sati saṇṭhapanatthaṃyeva hi gaṇanāti.

    เอวํ คณนาย มนสิกตฺวา อนุพนฺธนาย มนสิกาตพฺพํฯ อนุพนฺธนา นาม คณนํ ปฎิสํหริตฺวา สติยา นิรนฺตรํ อสฺสาสปสฺสาสานํ อนุคมนํ; ตญฺจ โข น อาทิมชฺฌปริโยสานานุคมนวเสนฯ พหินิกฺขมนวาตสฺส หิ นาภิ อาทิ, หทยํ มชฺฌํ, นาสิกคฺคํ ปริโยสานํฯ อพฺภนฺตรปวิสนวาตสฺส นาสิกคฺคํ อาทิ, หทยํ มชฺฌํ, นาภิ ปริโยสานํฯ ตญฺจสฺส อนุคจฺฉโต วิเกฺขปคตํ จิตฺตํ สารทฺธาย เจว โหติ อิญฺชนาย จฯ ยถาห –

    Evaṃ gaṇanāya manasikatvā anubandhanāya manasikātabbaṃ. Anubandhanā nāma gaṇanaṃ paṭisaṃharitvā satiyā nirantaraṃ assāsapassāsānaṃ anugamanaṃ; tañca kho na ādimajjhapariyosānānugamanavasena. Bahinikkhamanavātassa hi nābhi ādi, hadayaṃ majjhaṃ, nāsikaggaṃ pariyosānaṃ. Abbhantarapavisanavātassa nāsikaggaṃ ādi, hadayaṃ majjhaṃ, nābhi pariyosānaṃ. Tañcassa anugacchato vikkhepagataṃ cittaṃ sāraddhāya ceva hoti iñjanāya ca. Yathāha –

    ‘‘อสฺสาสาทิมชฺฌปริโยสานํ สติยา อนุคจฺฉโต อชฺฌตฺตํ วิเกฺขปคเตน จิเตฺตน กาโยปิ จิตฺตมฺปิ สารทฺธา จ โหนฺติ อิญฺชิตา จ ผนฺทิตา จฯ ปสฺสาสาทิมชฺฌปริโยสานํ สติยา อนุคจฺฉโต พหิทฺธา วิเกฺขปคเตน จิเตฺตน กาโยปิ จิตฺตมฺปิ สารทฺธา จ โหนฺติ อิญฺชิตา จ ผนฺทิตา จา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๕๗)ฯ

    ‘‘Assāsādimajjhapariyosānaṃ satiyā anugacchato ajjhattaṃ vikkhepagatena cittena kāyopi cittampi sāraddhā ca honti iñjitā ca phanditā ca. Passāsādimajjhapariyosānaṃ satiyā anugacchato bahiddhā vikkhepagatena cittena kāyopi cittampi sāraddhā ca honti iñjitā ca phanditā cā’’ti (paṭi. ma. 1.157).

    ตสฺมา อนุพนฺธนาย มนสิกโรเนฺตน น อาทิมชฺฌปริโยสานวเสน มนสิกาตพฺพํฯ อปิจ โข ผุสนาวเสน จ ฐปนาวเสน จ มนสิกาตพฺพํฯ คณนานุพนฺธนาวเสน วิย หิ ผุสนาฐปนาวเสน วิสุํ มนสิกาโร นตฺถิฯ ผุฎฺฐผุฎฺฐฎฺฐาเนเยว ปน คเณโนฺต คณนาย จ ผุสนาย จ มนสิ กโรติฯ ตเตฺถว คณนํ ปฎิสํหริตฺวา เต สติยา อนุพนฺธโนฺต อปฺปนาวเสน จ จิตฺตํ ฐเปโนฺต ‘‘อนุพนฺธนาย จ ผุสนาย จ ฐปนาย จ มนสิ กโรตี’’ติ วุจฺจติฯ สฺวายมโตฺถ อฎฺฐกถายํ วุตฺตปงฺคุฬโทวาริโกปมาหิ ปฎิสมฺภิทายํ วุตฺตกกโจปมาย จ เวทิตโพฺพฯ

    Tasmā anubandhanāya manasikarontena na ādimajjhapariyosānavasena manasikātabbaṃ. Apica kho phusanāvasena ca ṭhapanāvasena ca manasikātabbaṃ. Gaṇanānubandhanāvasena viya hi phusanāṭhapanāvasena visuṃ manasikāro natthi. Phuṭṭhaphuṭṭhaṭṭhāneyeva pana gaṇento gaṇanāya ca phusanāya ca manasi karoti. Tattheva gaṇanaṃ paṭisaṃharitvā te satiyā anubandhanto appanāvasena ca cittaṃ ṭhapento ‘‘anubandhanāya ca phusanāya ca ṭhapanāya ca manasi karotī’’ti vuccati. Svāyamattho aṭṭhakathāyaṃ vuttapaṅguḷadovārikopamāhi paṭisambhidāyaṃ vuttakakacopamāya ca veditabbo.

    ตตฺรายํ ปงฺคุโฬปมา – ‘‘เสยฺยถาปิ ปงฺคุโฬ โทลาย กีฬตํ มาตาปุตฺตานํ โทลํ ขิปิตฺวา ตเตฺถว โทลตฺถมฺภมูเล นิสิโนฺน กเมน อาคจฺฉนฺตสฺส จ คจฺฉนฺตสฺส จ โทลาผลกสฺส อุโภ โกฎิโย มชฺฌญฺจ ปสฺสติ, น จ อุโภโกฎิมชฺฌานํ ทสฺสนตฺถํ พฺยาวโฎ โหติฯ เอวเมวายํ ภิกฺขุ สติวเสน อุปนิพนฺธนตฺถมฺภมูเล ฐตฺวา อสฺสาสปสฺสาสโทลํ ขิปิตฺวา ตเตฺถว นิมิเตฺต สติยา นิสิโนฺน กเมน อาคจฺฉนฺตานญฺจ คจฺฉนฺตานญฺจ ผุฎฺฐฎฺฐาเน อสฺสาสปสฺสาสานํ อาทิมชฺฌปริโยสานํ สติยา อนุคจฺฉโนฺต ตตฺถ จ จิตฺตํ ฐเปโนฺต ปสฺสติ, น จ เตสํ ทสฺสนตฺถํ พฺยาวโฎ โหติฯ อยํ ปงฺคุโฬปมาฯ

    Tatrāyaṃ paṅguḷopamā – ‘‘seyyathāpi paṅguḷo dolāya kīḷataṃ mātāputtānaṃ dolaṃ khipitvā tattheva dolatthambhamūle nisinno kamena āgacchantassa ca gacchantassa ca dolāphalakassa ubho koṭiyo majjhañca passati, na ca ubhokoṭimajjhānaṃ dassanatthaṃ byāvaṭo hoti. Evamevāyaṃ bhikkhu sativasena upanibandhanatthambhamūle ṭhatvā assāsapassāsadolaṃ khipitvā tattheva nimitte satiyā nisinno kamena āgacchantānañca gacchantānañca phuṭṭhaṭṭhāne assāsapassāsānaṃ ādimajjhapariyosānaṃ satiyā anugacchanto tattha ca cittaṃ ṭhapento passati, na ca tesaṃ dassanatthaṃ byāvaṭo hoti. Ayaṃ paṅguḷopamā.

    อยํ ปน โทวาริโกปมา – ‘‘เสยฺยถาปิ โทวาริโก นครสฺส อโนฺต จ พหิ จ ปุริเส ‘โก ตฺวํ, กุโต วา อาคโต, กุหิํ วา คจฺฉสิ, กิํ วา เต หเตฺถ’ติ น วีมํสติ, น หิ ตสฺส เต ภาราฯ ทฺวารปฺปตฺตํ ทฺวารปฺปตฺตํเยว ปน วีมํสติ; เอวเมว อิมสฺส ภิกฺขุโน อโนฺต ปวิฎฺฐวาตา จ พหิ นิกฺขนฺตวาตา จ น ภารา โหนฺติ, ทฺวารปฺปตฺตา ทฺวารปฺปตฺตาเยว ภาราติฯ อยํ โทวาริโกปมาฯ

    Ayaṃ pana dovārikopamā – ‘‘seyyathāpi dovāriko nagarassa anto ca bahi ca purise ‘ko tvaṃ, kuto vā āgato, kuhiṃ vā gacchasi, kiṃ vā te hatthe’ti na vīmaṃsati, na hi tassa te bhārā. Dvārappattaṃ dvārappattaṃyeva pana vīmaṃsati; evameva imassa bhikkhuno anto paviṭṭhavātā ca bahi nikkhantavātā ca na bhārā honti, dvārappattā dvārappattāyeva bhārāti. Ayaṃ dovārikopamā.

    กกโจปมา ปน อาทิโตปภุติ เอวํ เวทิตพฺพาฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Kakacopamā pana āditopabhuti evaṃ veditabbā. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘นิมิตฺตํ อสฺสาสปสฺสาสา, อนารมฺมณเมกจิตฺตสฺส;

    ‘‘Nimittaṃ assāsapassāsā, anārammaṇamekacittassa;

    อชานโต จ ตโย ธเมฺม, ภาวนานุปลพฺภติฯ

    Ajānato ca tayo dhamme, bhāvanānupalabbhati.

    ‘‘นิมิตฺตํ อสฺสาสปสฺสาสา, อนารมฺมณเมกจิตฺตสฺส;

    ‘‘Nimittaṃ assāsapassāsā, anārammaṇamekacittassa;

    ชานโต จ ตโย ธเมฺม, ภาวนา อุปลพฺภตี’’ติฯ (ปฎิ. ม. ๑.๑๕๙);

    Jānato ca tayo dhamme, bhāvanā upalabbhatī’’ti. (paṭi. ma. 1.159);

    กถํ อิเม ตโย ธมฺมา เอกจิตฺตสฺส อารมฺมณํ น โหนฺติ, น จิเม ตโย ธมฺมา อวิทิตา โหนฺติ, น จ จิตฺตํ วิเกฺขปํ คจฺฉติ, ปธานญฺจ ปญฺญายติ, ปโยคญฺจ สาเธติ, วิเสสมธิคจฺฉติ ? เสยฺยถาปิ รุโกฺข สเม ภูมิภาเค นิกฺขิโตฺต, ตเมนํ ปุริโส กกเจน ฉิเนฺทยฺย, รุเกฺข ผุฎฺฐกกจทนฺตานํ วเสน ปุริสสฺส สติ อุปฎฺฐิตา โหติ, น อาคเต วา คเต วา กกจทเนฺต มนสิ กโรติ, น อาคตา วา คตา วา กกจทนฺตา อวิทิตา โหนฺติ, ปธานญฺจ ปญฺญายติ, ปโยคญฺจ สาเธติฯ

    Kathaṃ ime tayo dhammā ekacittassa ārammaṇaṃ na honti, na cime tayo dhammā aviditā honti, na ca cittaṃ vikkhepaṃ gacchati, padhānañca paññāyati, payogañca sādheti, visesamadhigacchati ? Seyyathāpi rukkho same bhūmibhāge nikkhitto, tamenaṃ puriso kakacena chindeyya, rukkhe phuṭṭhakakacadantānaṃ vasena purisassa sati upaṭṭhitā hoti, na āgate vā gate vā kakacadante manasi karoti, na āgatā vā gatā vā kakacadantā aviditā honti, padhānañca paññāyati, payogañca sādheti.

    ยถา รุโกฺข สเม ภูมิภาเค นิกฺขิโตฺต; เอวํ อุปนิพนฺธนนิมิตฺตํฯ ยถา กกจทนฺตา; เอวํ อสฺสาสปสฺสาสาฯ ยถา รุเกฺข ผุฎฺฐกกจทนฺตานํ วเสน ปุริสสฺส สติ อุปฎฺฐิตา โหติ, น อาคเต วา คเต วา กกจทเนฺต มนสิ กโรติ, น อาคตา วา คตา วา กกจทนฺตา อวิทิตา โหนฺติ, ปธานญฺจ ปญฺญายติ, ปโยคญฺจ สาเธติ, เอวเมว ภิกฺขุ นาสิกเคฺค วา มุขนิมิเตฺต วา สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา นิสิโนฺน โหติ, น อาคเต วา คเต วา อสฺสาสปสฺสาเส มนสิ กโรติ, น อาคตา วา คตา วา อสฺสาสปสฺสาสา อวิทิตา โหนฺติ, ปธานญฺจ ปญฺญายติ, ปโยคญฺจ สาเธติ, วิเสสมธิคจฺฉติฯ

    Yathā rukkho same bhūmibhāge nikkhitto; evaṃ upanibandhananimittaṃ. Yathā kakacadantā; evaṃ assāsapassāsā. Yathā rukkhe phuṭṭhakakacadantānaṃ vasena purisassa sati upaṭṭhitā hoti, na āgate vā gate vā kakacadante manasi karoti, na āgatā vā gatā vā kakacadantā aviditā honti, padhānañca paññāyati, payogañca sādheti, evameva bhikkhu nāsikagge vā mukhanimitte vā satiṃ upaṭṭhapetvā nisinno hoti, na āgate vā gate vā assāsapassāse manasi karoti, na āgatā vā gatā vā assāsapassāsā aviditā honti, padhānañca paññāyati, payogañca sādheti, visesamadhigacchati.

    ปธานนฺติ กตมํ ปธานํ? อารทฺธวีริยสฺส กาโยปิ จิตฺตมฺปิ กมฺมนิยํ โหติ – อิทํ ปธานํฯ กตโม ปโยโค? อารทฺธวีริยสฺส อุปกฺกิเลสา ปหียนฺติ, วิตกฺกา วูปสมฺมนฺติ – อยํ ปโยโคฯ กตโม วิเสโส? อารทฺธวีริยสฺส สํโยชนา ปหียนฺติ, อนุสยา พฺยนฺตี โหนฺติ – อยํ วิเสโสฯ เอวํ อิเม ตโย ธมฺมา เอกจิตฺตสฺส อารมฺมณา น โหนฺติ, น จิเม ตโย ธมฺมา อวิทิตา โหนฺติ, น จ จิตฺตํ วิเกฺขปํ คจฺฉติ, ปธานญฺจ ปญฺญายติ, ปโยคญฺจ สาเธติ, วิเสสมธิคจฺฉติฯ

    Padhānanti katamaṃ padhānaṃ? Āraddhavīriyassa kāyopi cittampi kammaniyaṃ hoti – idaṃ padhānaṃ. Katamo payogo? Āraddhavīriyassa upakkilesā pahīyanti, vitakkā vūpasammanti – ayaṃ payogo. Katamo viseso? Āraddhavīriyassa saṃyojanā pahīyanti, anusayā byantī honti – ayaṃ viseso. Evaṃ ime tayo dhammā ekacittassa ārammaṇā na honti, na cime tayo dhammā aviditā honti, na ca cittaṃ vikkhepaṃ gacchati, padhānañca paññāyati, payogañca sādheti, visesamadhigacchati.

    ‘‘อานาปานสฺสตี ยสฺส, ปริปุณฺณา สุภาวิตา;

    ‘‘Ānāpānassatī yassa, paripuṇṇā subhāvitā;

    อนุปุพฺพํ ปริจิตา, ยถา พุเทฺธน เทสิตา;

    Anupubbaṃ paricitā, yathā buddhena desitā;

    โส อิมํ โลกํ ปภาเสติ, อพฺภา มุโตฺตว จนฺทิมา’’ติฯ (ปฎิ. ม. ๑.๑๖๐);

    So imaṃ lokaṃ pabhāseti, abbhā muttova candimā’’ti. (paṭi. ma. 1.160);

    อยํ กกโจปมาฯ อิธ ปนสฺส อาคตาคตวเสน อมนสิการมตฺตเมว ปโยชนนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิทํ กมฺมฎฺฐานํ มนสิกโรโต กสฺสจิ นจิเรเนว นิมิตฺตญฺจ อุปฺปชฺชติ, อวเสสชฺฌานงฺคปฎิมณฺฑิตา อปฺปนาสงฺขาตา ฐปนา จ สมฺปชฺชติฯ กสฺสจิ ปน คณนาวเสเนว มนสิการกาลโตปภุติ อนุกฺกมโต โอฬาริกอสฺสาสปสฺสาสนิโรธวเสน กายทรเถ วูปสเนฺต กาโยปิ จิตฺตมฺปิ ลหุกํ โหติ, สรีรํ อากาเส ลงฺฆนาการปฺปตฺตํ วิย โหติฯ ยถา สารทฺธกายสฺส มเญฺจ วา ปีเฐ วา นิสีทโต มญฺจปีฐํ โอนมติ, วิกูชติ, ปจฺจตฺถรณํ วลิํ คณฺหาติฯ อสารทฺธกายสฺส ปน นิสีทโต เนว มญฺจปีฐํ โอนมติ, น วิกูชติ, น ปจฺจตฺถรณํ วลิํ คณฺหาติ, ตูลปิจุปูริตํ วิย มญฺจปีฐํ โหติฯ กสฺมา? ยสฺมา อสารโทฺธ กาโย ลหุโก โหติ; เอวเมว คณนาวเสน มนสิการกาลโตปภุติ อนุกฺกมโต โอฬาริกอสฺสาสปสฺสาสนิโรธวเสน กายทรเถ วูปสเนฺต กาโยปิ จิตฺตมฺปิ ลหุกํ โหติ, สรีรํ อากาเส ลงฺฆนาการปฺปตฺตํ วิย โหติฯ

    Ayaṃ kakacopamā. Idha panassa āgatāgatavasena amanasikāramattameva payojananti veditabbaṃ. Idaṃ kammaṭṭhānaṃ manasikaroto kassaci nacireneva nimittañca uppajjati, avasesajjhānaṅgapaṭimaṇḍitā appanāsaṅkhātā ṭhapanā ca sampajjati. Kassaci pana gaṇanāvaseneva manasikārakālatopabhuti anukkamato oḷārikaassāsapassāsanirodhavasena kāyadarathe vūpasante kāyopi cittampi lahukaṃ hoti, sarīraṃ ākāse laṅghanākārappattaṃ viya hoti. Yathā sāraddhakāyassa mañce vā pīṭhe vā nisīdato mañcapīṭhaṃ onamati, vikūjati, paccattharaṇaṃ valiṃ gaṇhāti. Asāraddhakāyassa pana nisīdato neva mañcapīṭhaṃ onamati, na vikūjati, na paccattharaṇaṃ valiṃ gaṇhāti, tūlapicupūritaṃ viya mañcapīṭhaṃ hoti. Kasmā? Yasmā asāraddho kāyo lahuko hoti; evameva gaṇanāvasena manasikārakālatopabhuti anukkamato oḷārikaassāsapassāsanirodhavasena kāyadarathe vūpasante kāyopi cittampi lahukaṃ hoti, sarīraṃ ākāse laṅghanākārappattaṃ viya hoti.

    ตสฺส โอฬาริเก อสฺสาสปสฺสาเส นิรุเทฺธ สุขุมอสฺสาสปสฺสาสนิมิตฺตารมฺมณํ จิตฺตํ ปวตฺตติ, ตสฺมิมฺปิ นิรุเทฺธ อปราปรํ ตโต สุขุมตรสุขุมตมนิมิตฺตารมฺมณํ ปวตฺตติเยวฯ กถํ? ยถา ปุริโส มหติยา โลหสลากาย กํสตาฬํ อาโกเฎยฺย, เอกปฺปหาเรน มหาสโทฺท อุปฺปเชฺชยฺย, ตสฺส โอฬาริกสทฺทารมฺมณํ จิตฺตํ ปวเตฺตยฺย, นิรุเทฺธ โอฬาริเก สเทฺท อถ ปจฺฉา สุขุมสทฺทนิมิตฺตารมฺมณํ, ตสฺมิมฺปิ นิรุเทฺธ อปราปรํ ตโต สุขุมตรสุขุมตมสทฺทนิมิตฺตารมฺมณํ จิตฺตํ ปวตฺตเตว; เอวนฺติ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ – ‘‘เสยฺยถาปิ กํเส อาโกฎิเต’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๗๑) วิตฺถาโรฯ

    Tassa oḷārike assāsapassāse niruddhe sukhumaassāsapassāsanimittārammaṇaṃ cittaṃ pavattati, tasmimpi niruddhe aparāparaṃ tato sukhumatarasukhumatamanimittārammaṇaṃ pavattatiyeva. Kathaṃ? Yathā puriso mahatiyā lohasalākāya kaṃsatāḷaṃ ākoṭeyya, ekappahārena mahāsaddo uppajjeyya, tassa oḷārikasaddārammaṇaṃ cittaṃ pavatteyya, niruddhe oḷārike sadde atha pacchā sukhumasaddanimittārammaṇaṃ, tasmimpi niruddhe aparāparaṃ tato sukhumatarasukhumatamasaddanimittārammaṇaṃ cittaṃ pavattateva; evanti veditabbaṃ. Vuttampi cetaṃ – ‘‘seyyathāpi kaṃse ākoṭite’’ti (paṭi. ma. 1.171) vitthāro.

    ยถา หิ อญฺญานิ กมฺมฎฺฐานานิ อุปรูปริ วิภูตานิ โหนฺติ, น ตถา อิทํฯ อิทํ ปน อุปรูปริ ภาเวนฺตสฺส ภาเวนฺตสฺส สุขุมตฺตํ คจฺฉติ, อุปฎฺฐานมฺปิ น อุปคจฺฉติฯ เอวํ อนุปฎฺฐหเนฺต ปน ตสฺมิํ น เตน ภิกฺขุนา อุฎฺฐายาสนา จมฺมขณฺฑํ ปโปฺผเฎตฺวา คนฺตพฺพํฯ กิํ กาตพฺพํ? ‘‘อาจริยํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ วา ‘‘นฎฺฐํ ทานิ เม กมฺมฎฺฐาน’’นฺติ วา น วุฎฺฐาตพฺพํ, อิริยาปถํ วิโกเปตฺวา คจฺฉโต หิ กมฺมฎฺฐานํ นวนวเมว โหติฯ ตสฺมา ยถานิสิเนฺนเนว เทสโต อาหริตพฺพํฯ

    Yathā hi aññāni kammaṭṭhānāni uparūpari vibhūtāni honti, na tathā idaṃ. Idaṃ pana uparūpari bhāventassa bhāventassa sukhumattaṃ gacchati, upaṭṭhānampi na upagacchati. Evaṃ anupaṭṭhahante pana tasmiṃ na tena bhikkhunā uṭṭhāyāsanā cammakhaṇḍaṃ papphoṭetvā gantabbaṃ. Kiṃ kātabbaṃ? ‘‘Ācariyaṃ pucchissāmī’’ti vā ‘‘naṭṭhaṃ dāni me kammaṭṭhāna’’nti vā na vuṭṭhātabbaṃ, iriyāpathaṃ vikopetvā gacchato hi kammaṭṭhānaṃ navanavameva hoti. Tasmā yathānisinneneva desato āharitabbaṃ.

    ตตฺรายํ อาหรณูปาโยฯ เตน หิ ภิกฺขุนา กมฺมฎฺฐานสฺส อนุปฎฺฐหนภาวํ ญตฺวา อิติ ปฎิสญฺจิกฺขิตพฺพํ – ‘‘อิเม อสฺสาสปสฺสาสา นาม กตฺถ อตฺถิ, กตฺถ นตฺถิ, กสฺส วา อตฺถิ, กสฺส วา นตฺถี’’ติฯ อเถวํ ปฎิสญฺจิกฺขตา ‘‘อิเม อโนฺตมาตุกุจฺฉิยํ นตฺถิ, อุทเก นิมุคฺคานํ นตฺถิ, ตถา อสญฺญีภูตานํ มตานํ จตุตฺถชฺฌานสมาปนฺนานํ รูปารูปภวสมงฺคีนํ นิโรธสมาปนฺนาน’’นฺติ ญตฺวา เอวํ อตฺตนาว อตฺตา ปฎิโจเทตโพฺพ – ‘‘นนุ ตฺวํ, ปณฺฑิต, เนว มาตุกุจฺฉิคโต, น อุทเก นิมุโคฺค, น อสญฺญีภูโต, น มโต, น จตุตฺถชฺฌานสมอาปโนฺน, น รูปารูปภวสมงฺคี, น นิโรธสมาปโนฺน, อตฺถิเยว เต อสฺสาสปสฺสาสา, มนฺทปญฺญตาย ปน ปริคฺคเหตุํ น สโกฺกสี’’ติฯ อถาเนน ปกติผุฎฺฐวเสเนว จิตฺตํ ฐเปตฺวา มนสิกาโร ปวเตฺตตโพฺพฯ อิเม หิ ทีฆนาสิกสฺส นาสา ปุฎํ ฆเฎฺฎนฺตา ปวตฺตนฺติ, รสฺสนาสิกสฺส อุตฺตโรฎฺฐํฯ ตสฺมาเนน อิมํ นาม ฐานํ ฆเฎฺฎนฺตีติ นิมิตฺตํ ปฎฺฐเปตพฺพํฯ อิมเมว หิ อตฺถวสํ ปฎิจฺจ วุตฺตํ ภควตา – ‘‘นาหํ, ภิกฺขเว, มุฎฺฐสฺสติสฺส อสมฺปชานสฺส อานาปานสฺสติภาวนํ วทามี’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๔๙; สํ. นิ. ๕.๙๙๒)ฯ กิญฺจาปิ หิ ยํกิญฺจิ กมฺมฎฺฐานํ สตสฺส สมฺปชานเสฺสว สมฺปชฺชติ, อิโต อญฺญํ ปน มนสิกโรนฺตสฺส ปากฎํ โหติฯ อิทํ ปน อานาปานสฺสติกมฺมฎฺฐานํ ครุกํ ครุกภาวนํ พุทฺธปเจฺจกพุทฺธพุทฺธปุตฺตานํ มหาปุริสานเมว มนสิการภูมิภูตํ, น เจว อิตฺตรํ, น จ อิตฺตรสตฺตสมาเสวิตํฯ ยถา ยถา มนสิ กรียติ, ตถา ตถา สนฺตเญฺจว โหติ สุขุมญฺจฯ ตสฺมา เอตฺถ พลวตี สติ จ ปญฺญา จ อิจฺฉิตพฺพาฯ

    Tatrāyaṃ āharaṇūpāyo. Tena hi bhikkhunā kammaṭṭhānassa anupaṭṭhahanabhāvaṃ ñatvā iti paṭisañcikkhitabbaṃ – ‘‘ime assāsapassāsā nāma kattha atthi, kattha natthi, kassa vā atthi, kassa vā natthī’’ti. Athevaṃ paṭisañcikkhatā ‘‘ime antomātukucchiyaṃ natthi, udake nimuggānaṃ natthi, tathā asaññībhūtānaṃ matānaṃ catutthajjhānasamāpannānaṃ rūpārūpabhavasamaṅgīnaṃ nirodhasamāpannāna’’nti ñatvā evaṃ attanāva attā paṭicodetabbo – ‘‘nanu tvaṃ, paṇḍita, neva mātukucchigato, na udake nimuggo, na asaññībhūto, na mato, na catutthajjhānasamaāpanno, na rūpārūpabhavasamaṅgī, na nirodhasamāpanno, atthiyeva te assāsapassāsā, mandapaññatāya pana pariggahetuṃ na sakkosī’’ti. Athānena pakatiphuṭṭhavaseneva cittaṃ ṭhapetvā manasikāro pavattetabbo. Ime hi dīghanāsikassa nāsā puṭaṃ ghaṭṭentā pavattanti, rassanāsikassa uttaroṭṭhaṃ. Tasmānena imaṃ nāma ṭhānaṃ ghaṭṭentīti nimittaṃ paṭṭhapetabbaṃ. Imameva hi atthavasaṃ paṭicca vuttaṃ bhagavatā – ‘‘nāhaṃ, bhikkhave, muṭṭhassatissa asampajānassa ānāpānassatibhāvanaṃ vadāmī’’ti (ma. ni. 3.149; saṃ. ni. 5.992). Kiñcāpi hi yaṃkiñci kammaṭṭhānaṃ satassa sampajānasseva sampajjati, ito aññaṃ pana manasikarontassa pākaṭaṃ hoti. Idaṃ pana ānāpānassatikammaṭṭhānaṃ garukaṃ garukabhāvanaṃ buddhapaccekabuddhabuddhaputtānaṃ mahāpurisānameva manasikārabhūmibhūtaṃ, na ceva ittaraṃ, na ca ittarasattasamāsevitaṃ. Yathā yathā manasi karīyati, tathā tathā santañceva hoti sukhumañca. Tasmā ettha balavatī sati ca paññā ca icchitabbā.

    ยถา หิ มฎฺฐสาฎกสฺส ตุนฺนกรณกาเล สูจิปิ สุขุมา อิจฺฉิตพฺพา, สูจิปาสเวธนมฺปิ ตโต สุขุมตรํ; เอวเมว มฎฺฐสาฎกสทิสสฺส อิมสฺส กมฺมฎฺฐานสฺส ภาวนากาเล สูจิปฎิภาคา สติปิ สูจิปาสเวธนปฎิภาคา ตํสมฺปยุตฺตา ปญฺญาปิ พลวตี อิจฺฉิตพฺพาฯ ตาหิ จ ปน สติปญฺญาหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา น เต อสฺสาสปสฺสาสา อญฺญตฺร ปกติผุโฎฺฐกาสา ปริเยสิตพฺพาฯ

    Yathā hi maṭṭhasāṭakassa tunnakaraṇakāle sūcipi sukhumā icchitabbā, sūcipāsavedhanampi tato sukhumataraṃ; evameva maṭṭhasāṭakasadisassa imassa kammaṭṭhānassa bhāvanākāle sūcipaṭibhāgā satipi sūcipāsavedhanapaṭibhāgā taṃsampayuttā paññāpi balavatī icchitabbā. Tāhi ca pana satipaññāhi samannāgatena bhikkhunā na te assāsapassāsā aññatra pakatiphuṭṭhokāsā pariyesitabbā.

    ยถา ปน กสฺสโก กสิํ กสิตฺวา พลิพเทฺท มุญฺจิตฺวา โคจราภิมุเข กตฺวา ฉายาย นิสิโนฺน วิสฺสเมยฺย, อถสฺส เต พลิพทฺทา เวเคน อฎวิํ ปวิเสยฺยุํฯ โย โหติ เฉโก กสฺสโก โส ปุน เต คเหตฺวา โยเชตุกาโม น เตสํ อนุปทํ คนฺตฺวา อฎวิํ อาหิณฺฑติฯ อถ โข รสฺมิญฺจ ปโตทญฺจ คเหตฺวา อุชุกเมว เตสํ นิปาตติตฺถํ คนฺตฺวา นิสีทติ วา นิปชฺชติ วาฯ อถ เต โคเณ ทิวสภาคํ จริตฺวา นิปาตติตฺถํ โอตริตฺวา นฺหตฺวา จ ปิวิตฺวา จ ปจฺจุตฺตริตฺวา ฐิเต ทิสฺวา รสฺมิยา พนฺธิตฺวา ปโตเทน วิชฺฌโนฺต อาเนตฺวา โยเชตฺวา ปุน กมฺมํ กโรติ; เอวเมว เตน ภิกฺขุนา น เต อสฺสาสปสฺสาสา อญฺญตฺร ปกติผุโฎฺฐกาสา ปริเยสิตพฺพาฯ สติรสฺมิํ ปน ปญฺญาปโตทญฺจ คเหตฺวา ปกติผุโฎฺฐกาเส จิตฺตํ ฐเปตฺวา มนสิกาโร ปวเตฺตตโพฺพฯ เอวญฺหิสฺส มนสิกโรโต นจิรเสฺสว เต อุปฎฺฐหนฺติ, นิปาตติเตฺถ วิย โคณาฯ ตโต เตน สติรสฺมิยา พนฺธิตฺวา ตสฺมิํเยว ฐาเน โยเชตฺวา ปญฺญาปโตเทน วิชฺฌเนฺตน ปุน กมฺมฎฺฐานํ อนุยุญฺชิตพฺพํ; ตเสฺสวมนุยุญฺชโต นจิรเสฺสว นิมิตฺตํ อุปฎฺฐาติฯ ตํ ปเนตํ น สเพฺพสํ เอกสทิสํ โหติ ; อปิจ โข กสฺสจิ สุขสมฺผสฺสํ อุปฺปาทยมาโน ตูลปิจุ วิย, กปฺปาสปิจุ วิย, วาตธารา วิย จ อุปฎฺฐาตีติ เอกเจฺจ อาหุฯ

    Yathā pana kassako kasiṃ kasitvā balibadde muñcitvā gocarābhimukhe katvā chāyāya nisinno vissameyya, athassa te balibaddā vegena aṭaviṃ paviseyyuṃ. Yo hoti cheko kassako so puna te gahetvā yojetukāmo na tesaṃ anupadaṃ gantvā aṭaviṃ āhiṇḍati. Atha kho rasmiñca patodañca gahetvā ujukameva tesaṃ nipātatitthaṃ gantvā nisīdati vā nipajjati vā. Atha te goṇe divasabhāgaṃ caritvā nipātatitthaṃ otaritvā nhatvā ca pivitvā ca paccuttaritvā ṭhite disvā rasmiyā bandhitvā patodena vijjhanto ānetvā yojetvā puna kammaṃ karoti; evameva tena bhikkhunā na te assāsapassāsā aññatra pakatiphuṭṭhokāsā pariyesitabbā. Satirasmiṃ pana paññāpatodañca gahetvā pakatiphuṭṭhokāse cittaṃ ṭhapetvā manasikāro pavattetabbo. Evañhissa manasikaroto nacirasseva te upaṭṭhahanti, nipātatitthe viya goṇā. Tato tena satirasmiyā bandhitvā tasmiṃyeva ṭhāne yojetvā paññāpatodena vijjhantena puna kammaṭṭhānaṃ anuyuñjitabbaṃ; tassevamanuyuñjato nacirasseva nimittaṃ upaṭṭhāti. Taṃ panetaṃ na sabbesaṃ ekasadisaṃ hoti ; apica kho kassaci sukhasamphassaṃ uppādayamāno tūlapicu viya, kappāsapicu viya, vātadhārā viya ca upaṭṭhātīti ekacce āhu.

    อยํ ปน อฎฺฐกถาวินิจฺฉโย – อิทญฺหิ กสฺสจิ ตารกรูปํ วิย, มณิคุฬิกา วิย, มุตฺตาคุฬิกา วิย จ กสฺสจิ ขรสมฺผสฺสํ หุตฺวา กปฺปาสฎฺฐิ วิย, สารทารุสูจิ วิย จ กสฺสจิ ทีฆปามงฺคสุตฺตํ วิย, กุสุมทามํ วิย, ธูมสิขา วิย จ กสฺสจิ วิตฺถต มกฺกฎกสุตฺตํ วิย, วลาหกปฎลํ วิย, ปทุมปุปฺผํ วิย, รถจกฺกํ วิย, จนฺทมณฺฑลํ วิย, สูริยมณฺฑลํ วิย จ อุปฎฺฐาติฯ ตญฺจ ปเนตํ ยถา สมฺพหุเลสุ ภิกฺขูสุ สุตฺตนฺตํ สชฺฌายิตฺวา นิสิเนฺนสุ เอเกน ภิกฺขุนา ‘‘ตุมฺหากํ กีทิสํ หุตฺวา อิทํ สุตฺตํ อุปฎฺฐาตี’’ติ วุเตฺต เอโก ‘‘มยฺหํ มหตี ปพฺพเตยฺยา นที วิย หุตฺวา อุปฎฺฐาตี’’ติ อาหฯ อปโร ‘‘มยฺหํ เอกา วนราชิ วิย’’ฯ อโญฺญ ‘‘มยฺหํ สีตจฺฉาโย สาขาสมฺปโนฺน ผลภารภริตรุโกฺข วิยา’’ติฯ เตสญฺหิ ตํ เอกเมว สุตฺตํ สญฺญานานตาย นานโต อุปฎฺฐาติฯ เอวํ เอกเมว กมฺมฎฺฐานํ สญฺญานานตาย นานโต อุปฎฺฐาติฯ สญฺญชญฺหิ เอตํ สญฺญานิทานํ สญฺญาปฺปภวํ ตสฺมา สญฺญานานตาย นานโต อุปฎฺฐาตีติ เวทิตพฺพํฯ

    Ayaṃ pana aṭṭhakathāvinicchayo – idañhi kassaci tārakarūpaṃ viya, maṇiguḷikā viya, muttāguḷikā viya ca kassaci kharasamphassaṃ hutvā kappāsaṭṭhi viya, sāradārusūci viya ca kassaci dīghapāmaṅgasuttaṃ viya, kusumadāmaṃ viya, dhūmasikhā viya ca kassaci vitthata makkaṭakasuttaṃ viya, valāhakapaṭalaṃ viya, padumapupphaṃ viya, rathacakkaṃ viya, candamaṇḍalaṃ viya, sūriyamaṇḍalaṃ viya ca upaṭṭhāti. Tañca panetaṃ yathā sambahulesu bhikkhūsu suttantaṃ sajjhāyitvā nisinnesu ekena bhikkhunā ‘‘tumhākaṃ kīdisaṃ hutvā idaṃ suttaṃ upaṭṭhātī’’ti vutte eko ‘‘mayhaṃ mahatī pabbateyyā nadī viya hutvā upaṭṭhātī’’ti āha. Aparo ‘‘mayhaṃ ekā vanarāji viya’’. Añño ‘‘mayhaṃ sītacchāyo sākhāsampanno phalabhārabharitarukkho viyā’’ti. Tesañhi taṃ ekameva suttaṃ saññānānatāya nānato upaṭṭhāti. Evaṃ ekameva kammaṭṭhānaṃ saññānānatāya nānato upaṭṭhāti. Saññajañhi etaṃ saññānidānaṃ saññāppabhavaṃ tasmā saññānānatāya nānato upaṭṭhātīti veditabbaṃ.

    เอตฺถ จ อญฺญเมว อสฺสาสารมฺมณํ จิตฺตํ, อญฺญํ ปสฺสาสารมฺมณํ, อญฺญํ นิมิตฺตารมฺมณํ ยสฺส หิ อิเม ตโย ธมฺมา นตฺถิ, ตสฺส กมฺมฎฺฐานํ เนว อปฺปนํ น อุปจารํ ปาปุณาติฯ ยสฺส ปนิเม ตโย ธมฺมา อตฺถิ, ตเสฺสว กมฺมฎฺฐานํ อปฺปนญฺจ อุปจารญฺจ ปาปุณาติฯ วุตฺตเญฺหตํ –

    Ettha ca aññameva assāsārammaṇaṃ cittaṃ, aññaṃ passāsārammaṇaṃ, aññaṃ nimittārammaṇaṃ yassa hi ime tayo dhammā natthi, tassa kammaṭṭhānaṃ neva appanaṃ na upacāraṃ pāpuṇāti. Yassa panime tayo dhammā atthi, tasseva kammaṭṭhānaṃ appanañca upacārañca pāpuṇāti. Vuttañhetaṃ –

    ‘‘นิมิตฺตํ อสฺสาสปสฺสาสา, อนารมฺมณเมกจิตฺตสฺส;

    ‘‘Nimittaṃ assāsapassāsā, anārammaṇamekacittassa;

    อชานโต จ ตโย ธเมฺม, ภาวนานุปลพฺภติฯ

    Ajānato ca tayo dhamme, bhāvanānupalabbhati.

    ‘‘นิมิตฺตํ อสฺสาสปสฺสาสา, อนารมฺมณเมกจิตฺตสฺส;

    ‘‘Nimittaṃ assāsapassāsā, anārammaṇamekacittassa;

    ชานโต จ ตโย ธเมฺม, ภาวนา อุปลพฺภตี’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๓๑);

    Jānato ca tayo dhamme, bhāvanā upalabbhatī’’ti. (visuddhi. 1.231);

    เอวํ อุปฎฺฐิเต ปน นิมิเตฺต เตน ภิกฺขุนา อาจริยสนฺติกํ คนฺตฺวา อาโรเจตพฺพํ – ‘‘มยฺหํ, ภเนฺต, เอวรูปํ นาม อุปฎฺฐาตี’’ติฯ อาจริเยน ปน ‘‘เอตํ นิมิตฺต’’นฺติ วา ‘‘น นิมิตฺต’’นฺติ วา น วตฺตพฺพํฯ ‘‘เอวํ โหติ, อาวุโส’’ติ วตฺวา ปน ‘‘ปุนปฺปุนํ มนสิ กโรหี’’ติ วตฺตโพฺพฯ ‘‘นิมิตฺต’’นฺติ หิ วุเตฺต โวสานํ อาปเชฺชยฺย; ‘‘น นิมิตฺต’’นฺติ วุเตฺต นิราโส วิสีเทยฺยฯ ตสฺมา ตทุภยมฺปิ อวตฺวา มนสิกาเรเยว นิโยเชตโพฺพติฯ เอวํ ตาว ทีฆภาณกาฯ มชฺฌิมภาณกา ปนาหุ – ‘‘นิมิตฺตมิทํ, อาวุโส, กมฺมฎฺฐานํ ปุนปฺปุนํ มนสิ กโรหิ สปฺปุริสาติ วตฺตโพฺพ’’ติฯ อถาเนน นิมิเตฺตเยว จิตฺตํ ฐเปตพฺพํฯ เอวมสฺสายํ อิโต ปภุติ ฐปนาวเสน ภาวนา โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ โปราเณหิ –

    Evaṃ upaṭṭhite pana nimitte tena bhikkhunā ācariyasantikaṃ gantvā ārocetabbaṃ – ‘‘mayhaṃ, bhante, evarūpaṃ nāma upaṭṭhātī’’ti. Ācariyena pana ‘‘etaṃ nimitta’’nti vā ‘‘na nimitta’’nti vā na vattabbaṃ. ‘‘Evaṃ hoti, āvuso’’ti vatvā pana ‘‘punappunaṃ manasi karohī’’ti vattabbo. ‘‘Nimitta’’nti hi vutte vosānaṃ āpajjeyya; ‘‘na nimitta’’nti vutte nirāso visīdeyya. Tasmā tadubhayampi avatvā manasikāreyeva niyojetabboti. Evaṃ tāva dīghabhāṇakā. Majjhimabhāṇakā panāhu – ‘‘nimittamidaṃ, āvuso, kammaṭṭhānaṃ punappunaṃ manasi karohi sappurisāti vattabbo’’ti. Athānena nimitteyeva cittaṃ ṭhapetabbaṃ. Evamassāyaṃ ito pabhuti ṭhapanāvasena bhāvanā hoti. Vuttañhetaṃ porāṇehi –

    ‘‘นิมิเตฺต ฐปยํ จิตฺตํ, นานาการํ วิภาวยํ;

    ‘‘Nimitte ṭhapayaṃ cittaṃ, nānākāraṃ vibhāvayaṃ;

    ธีโร อสฺสาสปสฺสาเส, สกํ จิตฺตํ นิพนฺธตี’’ติฯ (วิสุทฺธิ. ๑.๒๓๒; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๒.๑.๑๖๓);

    Dhīro assāsapassāse, sakaṃ cittaṃ nibandhatī’’ti. (visuddhi. 1.232; paṭi. ma. aṭṭha. 2.1.163);

    ตเสฺสวํ นิมิตฺตุปฎฺฐานโต ปภุติ นีวรณานิ วิกฺขมฺภิตาเนว โหนฺติ กิเลสา สนฺนิสินฺนาว สติ อุปฎฺฐิตาเยว, จิตฺตํ สมาหิตเมวฯ อิทญฺหิ ทฺวีหากาเรหิ จิตฺตํ สมาหิตํ นาม โหหิ – อุปจารภูมิยํ วา นีวรณปฺปหาเนน, ปฎิลาภภูมิยํ วา องฺคปาตุภาเวนฯ ตตฺถ ‘‘อุปจารภูมี’’ติ อุปจารสมาธิ; ‘‘ปฎิลาภภูมี’’ติ อปฺปนาสมาธิฯ เตสํ กิํ นานากรณํ? อุปจารสมาธิ กุสลวีถิยํ ชวิตฺวา ภวงฺคํ โอตรติ, อปฺปนาสมาธิ ทิวสภาเค อเปฺปตฺวา นิสินฺนสฺส ทิวสภาคมฺปิ กุสลวีถิยํ ชวติ, น ภวงฺคํ โอตรติฯ อิเมสุ ทฺวีสุ สมาธีสุ นิมิตฺตปาตุภาเวน อุปจารสมาธินา สมาหิตํ จิตฺตํ โหติ ฯ อถาเนน ตํ นิมิตฺตํ เนว วณฺณโต มนสิกาตพฺพํ, น ลกฺขณโต ปจฺจเวกฺขิตพฺพํฯ อปิจ โข ขตฺติยมเหสิยา จกฺกวตฺติคโพฺภ วิย กสฺสเกน สาลิยวคโพฺภ วิย จ อปฺปมเตฺตน รกฺขิตพฺพํ; รกฺขิตํ หิสฺส ผลทํ โหติฯ

    Tassevaṃ nimittupaṭṭhānato pabhuti nīvaraṇāni vikkhambhitāneva honti kilesā sannisinnāva sati upaṭṭhitāyeva, cittaṃ samāhitameva. Idañhi dvīhākārehi cittaṃ samāhitaṃ nāma hohi – upacārabhūmiyaṃ vā nīvaraṇappahānena, paṭilābhabhūmiyaṃ vā aṅgapātubhāvena. Tattha ‘‘upacārabhūmī’’ti upacārasamādhi; ‘‘paṭilābhabhūmī’’ti appanāsamādhi. Tesaṃ kiṃ nānākaraṇaṃ? Upacārasamādhi kusalavīthiyaṃ javitvā bhavaṅgaṃ otarati, appanāsamādhi divasabhāge appetvā nisinnassa divasabhāgampi kusalavīthiyaṃ javati, na bhavaṅgaṃ otarati. Imesu dvīsu samādhīsu nimittapātubhāvena upacārasamādhinā samāhitaṃ cittaṃ hoti . Athānena taṃ nimittaṃ neva vaṇṇato manasikātabbaṃ, na lakkhaṇato paccavekkhitabbaṃ. Apica kho khattiyamahesiyā cakkavattigabbho viya kassakena sāliyavagabbho viya ca appamattena rakkhitabbaṃ; rakkhitaṃ hissa phaladaṃ hoti.

    ‘‘นิมิตฺตํ รกฺขโต ลทฺธ, ปริหานิ น วิชฺชติ;

    ‘‘Nimittaṃ rakkhato laddha, parihāni na vijjati;

    อารกฺขมฺหิ อสนฺตมฺหิ, ลทฺธํ ลทฺธํ วินสฺสตี’’ติฯ

    Ārakkhamhi asantamhi, laddhaṃ laddhaṃ vinassatī’’ti.

    ตตฺรายํ รกฺขณูปาโย – เตน ภิกฺขุนา อาวาโส, โคจโร, ภสฺสํ, ปุคฺคโล, โภชนํ, อุตุ, อิริยาปโถติ อิมานิ สตฺต อสปฺปายานิ วเชฺชตฺวา ตาเนว สตฺต สปฺปายานิ เสวเนฺตน ปุนปฺปุนํ ตํ นิมิตฺตํ มนสิกาตพฺพํฯ

    Tatrāyaṃ rakkhaṇūpāyo – tena bhikkhunā āvāso, gocaro, bhassaṃ, puggalo, bhojanaṃ, utu, iriyāpathoti imāni satta asappāyāni vajjetvā tāneva satta sappāyāni sevantena punappunaṃ taṃ nimittaṃ manasikātabbaṃ.

    เอวํ สปฺปายเสวเนน นิมิตฺตํ ถิรํ กตฺวา วุฑฺฒิํ วิรูฬฺหิํ คมยิตฺวา วตฺถุวิสทกิริยา, อินฺทฺริยสมตฺตปฎิปาทนตา, นิมิตฺตกุสลตา, ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ สปคฺคเหตพฺพ ตสฺมิํ สมเย จิตฺตปคฺคณฺหนา, ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ นิคฺคเหตพฺพํ ตสฺมิํ สมเย จิตฺตนิคฺคณฺหนา, ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ สมฺปหํเสตพฺพํ ตสฺมิํ สมเย สมฺปหํเสตพฺพํ ตสฺมิํ สมเย จิตฺตสมฺปหํสนา, ยสฺมิํ สมเย จิตฺตํ อชฺฌุเปกฺขิตพฺพํ ตสฺมิํ สมเย จิตฺตอชฺฌุเปกฺขนา, อสมาหิตปุคฺคลปริวชฺชนา, สมาหิตปุคฺคลเสวนา, ตทธิมุตฺตตาติ อิมานิ ทส อปฺปนาโกสลฺลานิ อวิชหเนฺตน โยโค กรณีโยฯ

    Evaṃ sappāyasevanena nimittaṃ thiraṃ katvā vuḍḍhiṃ virūḷhiṃ gamayitvā vatthuvisadakiriyā, indriyasamattapaṭipādanatā, nimittakusalatā, yasmiṃ samaye cittaṃ sapaggahetabba tasmiṃ samaye cittapaggaṇhanā, yasmiṃ samaye cittaṃ niggahetabbaṃ tasmiṃ samaye cittaniggaṇhanā, yasmiṃ samaye cittaṃ sampahaṃsetabbaṃ tasmiṃ samaye sampahaṃsetabbaṃ tasmiṃ samaye cittasampahaṃsanā, yasmiṃ samaye cittaṃ ajjhupekkhitabbaṃ tasmiṃ samaye cittaajjhupekkhanā, asamāhitapuggalaparivajjanā, samāhitapuggalasevanā, tadadhimuttatāti imāni dasa appanākosallāni avijahantena yogo karaṇīyo.

    ตเสฺสวํ อนุยุตฺตสฺส วิหรโต อิทานิ อปฺปนา อุปฺปชฺชิสฺสตีติ ภวงฺคํ วิจฺฉินฺทิตฺวา นิมิตฺตารมฺมณํ มโนทฺวาราวชฺชนํ อุปฺปชฺชติฯ ตสฺมิญฺจ นิรุเทฺธ ตเทวารมฺมณํ คเหตฺวา จตฺตาริ ปญฺจ วา ชวนานิ, เยสํ ปฐมํ ปริกมฺมํ, ทุติยํ อุปจารํ, ตติยํ อนุโลมํ, จตุตฺถํ โคตฺรภุ , ปญฺจมํ อปฺปนาจิตฺตํฯ ปฐมํ วา ปริกมฺมเญฺจว อุปจารญฺจ, ทุติยํ อนุโลมํ, ตติยํ โคตฺรภุ, จตุตฺถํ อปฺปนาจิตฺตนฺติ วุจฺจติฯ จตุตฺถเมว หิ ปญฺจมํ วา อเปฺปติ, น ฉฎฺฐํ สตฺตมํ วา อาสนฺนภวงฺคปาตตฺตาฯ

    Tassevaṃ anuyuttassa viharato idāni appanā uppajjissatīti bhavaṅgaṃ vicchinditvā nimittārammaṇaṃ manodvārāvajjanaṃ uppajjati. Tasmiñca niruddhe tadevārammaṇaṃ gahetvā cattāri pañca vā javanāni, yesaṃ paṭhamaṃ parikammaṃ, dutiyaṃ upacāraṃ, tatiyaṃ anulomaṃ, catutthaṃ gotrabhu , pañcamaṃ appanācittaṃ. Paṭhamaṃ vā parikammañceva upacārañca, dutiyaṃ anulomaṃ, tatiyaṃ gotrabhu, catutthaṃ appanācittanti vuccati. Catutthameva hi pañcamaṃ vā appeti, na chaṭṭhaṃ sattamaṃ vā āsannabhavaṅgapātattā.

    อาภิธมฺมิกโคทตฺตเตฺถโร ปนาห – ‘‘อาเสวนปจฺจเยน กุสลา ธมฺมา พลวโนฺต โหนฺติ; ตสฺมา ฉฎฺฐํ สตฺตมํ วา อเปฺปตี’’ติฯ ตํ อฎฺฐกถาสุ ปฎิกฺขิตฺตํฯ ตตฺถ ปุพฺพภาคจิตฺตานิ กามาวจรานิ โหนฺติ, อปฺปนาจิตฺตํ ปน รูปาวจรํฯ เอวมเนน ปญฺจงฺควิปฺปหีนํ, ปญฺจงฺคสมนฺนาคตํ, ทสลกฺขณสมฺปนฺนํ, ติวิธกลฺยาณํ, ปฐมชฺฌานํ อธิคตํ โหติฯ โส ตสฺมิํเยวารมฺมเณ วิตกฺกาทโย วูปสเมตฺวา ทุติยตติยจตุตฺถชฺฌานานิ ปาปุณาติฯ เอตฺตาวตา จ ฐปนาวเสน ภาวนาย ปริโยสานปฺปโตฺต โหติฯ อยเมตฺถ สเงฺขปกถาฯ วิตฺถาโร ปน อิจฺฉเนฺตน วิสุทฺธิมคฺคโต คเหตโพฺพฯ

    Ābhidhammikagodattatthero panāha – ‘‘āsevanapaccayena kusalā dhammā balavanto honti; tasmā chaṭṭhaṃ sattamaṃ vā appetī’’ti. Taṃ aṭṭhakathāsu paṭikkhittaṃ. Tattha pubbabhāgacittāni kāmāvacarāni honti, appanācittaṃ pana rūpāvacaraṃ. Evamanena pañcaṅgavippahīnaṃ, pañcaṅgasamannāgataṃ, dasalakkhaṇasampannaṃ, tividhakalyāṇaṃ, paṭhamajjhānaṃ adhigataṃ hoti. So tasmiṃyevārammaṇe vitakkādayo vūpasametvā dutiyatatiyacatutthajjhānāni pāpuṇāti. Ettāvatā ca ṭhapanāvasena bhāvanāya pariyosānappatto hoti. Ayamettha saṅkhepakathā. Vitthāro pana icchantena visuddhimaggato gahetabbo.

    เอวํ ปตฺตจตุตฺถชฺฌาโน ปเนตฺถ ภิกฺขุ สลฺลกฺขณาวิวฎฺฎนาวเสน กมฺมฎฺฐานํ วเฑฺฒตฺวา ปาริสุทฺธิํ ปตฺตุกาโม ตเทว ฌานํ อาวชฺชนสมาปชฺชนอธิฎฺฐานวุฎฺฐานปจฺจเวกฺขณสงฺขาเตหิ ปญฺจหากาเรหิ วสิปฺปตฺตํ ปคุณํ กตฺวา อรูปปุพฺพงฺคมํ วา รูปํ, รูปปุพฺพงฺคมํ วา อรูปนฺติ รูปารูปํ ปริคฺคเหตฺวา วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปติฯ กถํ? โส หิ ฌานา วุฎฺฐหิตฺวา ฌานงฺคานิ ปริคฺคเหตฺวา เตสํ นิสฺสยํ หทยวตฺถุํ ตํ นิสฺสยานิ จ ภูตานิ เตสญฺจ นิสฺสยํ สกลมฺปิ กรชกายํ ปสฺสติฯ ตโต ‘‘ฌานงฺคานิ อรูปํ, วตฺถาทีนิ รูป’’นฺติ รูปารูปํ ววตฺถเปติฯ

    Evaṃ pattacatutthajjhāno panettha bhikkhu sallakkhaṇāvivaṭṭanāvasena kammaṭṭhānaṃ vaḍḍhetvā pārisuddhiṃ pattukāmo tadeva jhānaṃ āvajjanasamāpajjanaadhiṭṭhānavuṭṭhānapaccavekkhaṇasaṅkhātehi pañcahākārehi vasippattaṃ paguṇaṃ katvā arūpapubbaṅgamaṃ vā rūpaṃ, rūpapubbaṅgamaṃ vā arūpanti rūpārūpaṃ pariggahetvā vipassanaṃ paṭṭhapeti. Kathaṃ? So hi jhānā vuṭṭhahitvā jhānaṅgāni pariggahetvā tesaṃ nissayaṃ hadayavatthuṃ taṃ nissayāni ca bhūtāni tesañca nissayaṃ sakalampi karajakāyaṃ passati. Tato ‘‘jhānaṅgāni arūpaṃ, vatthādīni rūpa’’nti rūpārūpaṃ vavatthapeti.

    อถ วา สมาปตฺติโต วุฎฺฐหิตฺวา เกสาทีสุ โกฎฺฐาเสสุ ปถวีธาตุอาทิวเสน จตฺตาริ ภูตานิ ตํนิสฺสิตรูปานิ จ ปริคฺคเหตฺวา ยถาปริคฺคหิตรูปารมฺมณํ ยถาปริคฺคหิตรูปวตฺถุทฺวารารมฺมณํ วา สสมฺปยุตฺตธมฺมํ วิญฺญาณญฺจ ปสฺสติฯ ตโต ‘‘ภูตาทีนิ รูปํ สสมฺปยุตฺตธมฺมํ วิญฺญาณํ อรูป’’นฺติ ววตฺถเปติฯ

    Atha vā samāpattito vuṭṭhahitvā kesādīsu koṭṭhāsesu pathavīdhātuādivasena cattāri bhūtāni taṃnissitarūpāni ca pariggahetvā yathāpariggahitarūpārammaṇaṃ yathāpariggahitarūpavatthudvārārammaṇaṃ vā sasampayuttadhammaṃ viññāṇañca passati. Tato ‘‘bhūtādīni rūpaṃ sasampayuttadhammaṃ viññāṇaṃ arūpa’’nti vavatthapeti.

    อถ วา สมาปตฺติโต วุฎฺฐหิตฺวา อสฺสาสปสฺสาสานํ สมุทโย กรชกาโย จ จิตฺตญฺจาติ ปสฺสติฯ ยถา หิ กมฺมารคคฺคริยา ธมมานาย ภสฺตญฺจ ปุริสสฺส จ ตชฺชํ วายามํ ปฎิจฺจ วาโต สญฺจรติ; เอวเมว กายญฺจ จิตฺตญฺจ ปฎิจฺจ อสฺสาสปสฺสาสาติฯ ตโต อสฺสาสปสฺสาเส จ กายญฺจ รูปํ, จิตฺตญฺจ ตํสมฺปยุตฺตธเมฺม จ อรูปนฺติ ววตฺถเปติฯ

    Atha vā samāpattito vuṭṭhahitvā assāsapassāsānaṃ samudayo karajakāyo ca cittañcāti passati. Yathā hi kammāragaggariyā dhamamānāya bhastañca purisassa ca tajjaṃ vāyāmaṃ paṭicca vāto sañcarati; evameva kāyañca cittañca paṭicca assāsapassāsāti. Tato assāsapassāse ca kāyañca rūpaṃ, cittañca taṃsampayuttadhamme ca arūpanti vavatthapeti.

    เอวํ นามรูปํ ววตฺถเปตฺวา ตสฺส ปจฺจยํ ปริเยสติ, ปริเยสโนฺต จ ตํ ทิสฺวา ตีสุปิ อทฺธาสุ นามรูปสฺส ปวตฺติํ อารพฺภ กงฺขํ วิตรติฯ วิติณฺณกโงฺข กลาปสมฺมสนวเสน ติลกฺขณํ อาโรเปตฺวา อุทยพฺพยานุปสฺสนาย ปุพฺพภาเค อุปฺปเนฺน โอภาสาทโย ทส วิปสฺสนุปกฺกิเลเส ปหาย อุปกฺกิเลสวิมุตฺตํ ปฎิปทาญาณํ ‘‘มโคฺค’’ติ ววตฺถเปตฺวา อุทยํ ปหาย ภงฺคานุปสฺสนํ ปตฺวา นิรนฺตรํ ภงฺคานุปสฺสเนน ภยโต อุปฎฺฐิเตสุ สพฺพสงฺขาเรสุ นิพฺพินฺทโนฺต วิรชฺชโนฺต วิมุจฺจโนฺต ยถากฺกมํ จตฺตาโร อริยมเคฺค ปาปุณิตฺวา อรหตฺตผเล ปติฎฺฐาย เอกูนวีสติเภทสฺส ปจฺจเวกฺขณญาณสฺส ปริยนฺตปฺปโตฺต สเทวกสฺส โลกสฺส อคฺคทกฺขิเณโยฺย โหติฯ เอตฺตาวตา จสฺส คณนํ อาทิํ กตฺวา วิปสฺสนาปริโยสานา อานาปานสฺสติสมาธิภาวนา จ สมตฺตา โหตีติฯ

    Evaṃ nāmarūpaṃ vavatthapetvā tassa paccayaṃ pariyesati, pariyesanto ca taṃ disvā tīsupi addhāsu nāmarūpassa pavattiṃ ārabbha kaṅkhaṃ vitarati. Vitiṇṇakaṅkho kalāpasammasanavasena tilakkhaṇaṃ āropetvā udayabbayānupassanāya pubbabhāge uppanne obhāsādayo dasa vipassanupakkilese pahāya upakkilesavimuttaṃ paṭipadāñāṇaṃ ‘‘maggo’’ti vavatthapetvā udayaṃ pahāya bhaṅgānupassanaṃ patvā nirantaraṃ bhaṅgānupassanena bhayato upaṭṭhitesu sabbasaṅkhāresu nibbindanto virajjanto vimuccanto yathākkamaṃ cattāro ariyamagge pāpuṇitvā arahattaphale patiṭṭhāya ekūnavīsatibhedassa paccavekkhaṇañāṇassa pariyantappatto sadevakassa lokassa aggadakkhiṇeyyo hoti. Ettāvatā cassa gaṇanaṃ ādiṃ katvā vipassanāpariyosānā ānāpānassatisamādhibhāvanā ca samattā hotīti.

    อยํ สพฺพาการโต ปฐมจตุกฺกวณฺณนาฯ

    Ayaṃ sabbākārato paṭhamacatukkavaṇṇanā.

    อิตเรสุ ปน ตีสุ จตุเกฺกสุ ยสฺมา วิสุํ กมฺมฎฺฐานภาวนานโย นาม นตฺถิ; ตสฺมา อนุปทวณฺณนานเยเนว เนสํ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปีติปฺปฎิสํเวทีติ ปีติํ ปฎิสํวิทิตํ กโรโนฺต ปากฎํ กโรโนฺต อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติฯ ตตฺถ ทฺวีหากาเรหิ ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติ – อารมฺมณโต จ อสโมฺมหโต จฯ

    Itaresu pana tīsu catukkesu yasmā visuṃ kammaṭṭhānabhāvanānayo nāma natthi; tasmā anupadavaṇṇanānayeneva nesaṃ attho veditabbo. Pītippaṭisaṃvedīti pītiṃ paṭisaṃviditaṃ karonto pākaṭaṃ karonto assasissāmi passasissāmīti sikkhati. Tattha dvīhākārehi pīti paṭisaṃviditā hoti – ārammaṇato ca asammohato ca.

    กถํ อารมฺมณโต ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติ? สปฺปีติเก เทฺว ฌาเน สมาปชฺชติ, ตสฺส สมาปตฺติกฺขเณ ฌานปฎิลาเภน อารมฺมณโต ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติ อารมฺมณสฺส ปฎิสํวิทิตตฺตาฯ

    Kathaṃ ārammaṇato pīti paṭisaṃviditā hoti? Sappītike dve jhāne samāpajjati, tassa samāpattikkhaṇe jhānapaṭilābhena ārammaṇato pīti paṭisaṃviditā hoti ārammaṇassa paṭisaṃviditattā.

    กถํ อสโมฺมหโต? สปฺปีติเก เทฺว ฌาเน สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ฌานสมฺปยุตฺตกปีติํ ขยโต วยโต สมฺมสติ, ตสฺส วิปสฺสนากฺขเณ ลกฺขณปฎิเวเธน อสโมฺมหโต ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติฯ วุตฺตเญฺหตํ ปฎิสมฺภิทายํ

    Kathaṃ asammohato? Sappītike dve jhāne samāpajjitvā vuṭṭhāya jhānasampayuttakapītiṃ khayato vayato sammasati, tassa vipassanākkhaṇe lakkhaṇapaṭivedhena asammohato pīti paṭisaṃviditā hoti. Vuttañhetaṃ paṭisambhidāyaṃ

    ‘‘ทีฆํ อสฺสาสวเสน จิตฺตสฺส เอกคฺคตํ อวิเกฺขปํ ปชานโต สติ อุปฎฺฐิตา โหติฯ ตาย สติยา เตน ญาเณน สา ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติฯ ทีฆํ ปสฺสาสวเสน…เป.… รสฺสํ อสฺสาสวเสน… รสฺสํ ปสฺสาสวเสน… สพฺพกายปฺปฎิสํเวที อสฺสาสวเสน… สพฺพกายปฺปฎิสํเวที ปสฺสาสวเสน… ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ อสฺสาสวเสน… ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ ปสฺสาสวเสน จิตฺตสฺส เอกคฺคตํ อวิเกฺขปํ ปชานโต สติ อุปฎฺฐิตา โหติ, ตาย สติยา เตน ญาเณน สา ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติฯ อาวชฺชโต สา ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติ ชานโต… ปสฺสโต… ปจฺจเวกฺขโต… จิตฺตํ อธิฎฺฐหโต… สทฺธาย อธิมุจฺจโต… วีริยํ ปคฺคณฺหโต… สติํ อุปฎฺฐาปยโต… จิตฺตํ สมาทหโต… ปญฺญาย ปชานโต… อภิเญฺญยฺยํ อภิชานโต… ปริเญฺญยฺยํ ปริชานโต… ปหาตพฺพํ ปชหโต… ภาเวตพฺพํ ภาวยโต… สจฺฉิกาตพฺพํ สจฺฉิกโรโต สา ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหติฯ เอวํ สา ปีติ ปฎิสํวิทิตา โหตี’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๗๒)ฯ

    ‘‘Dīghaṃ assāsavasena cittassa ekaggataṃ avikkhepaṃ pajānato sati upaṭṭhitā hoti. Tāya satiyā tena ñāṇena sā pīti paṭisaṃviditā hoti. Dīghaṃ passāsavasena…pe… rassaṃ assāsavasena… rassaṃ passāsavasena… sabbakāyappaṭisaṃvedī assāsavasena… sabbakāyappaṭisaṃvedī passāsavasena… passambhayaṃ kāyasaṅkhāraṃ assāsavasena… passambhayaṃ kāyasaṅkhāraṃ passāsavasena cittassa ekaggataṃ avikkhepaṃ pajānato sati upaṭṭhitā hoti, tāya satiyā tena ñāṇena sā pīti paṭisaṃviditā hoti. Āvajjato sā pīti paṭisaṃviditā hoti jānato… passato… paccavekkhato… cittaṃ adhiṭṭhahato… saddhāya adhimuccato… vīriyaṃ paggaṇhato… satiṃ upaṭṭhāpayato… cittaṃ samādahato… paññāya pajānato… abhiññeyyaṃ abhijānato… pariññeyyaṃ parijānato… pahātabbaṃ pajahato… bhāvetabbaṃ bhāvayato… sacchikātabbaṃ sacchikaroto sā pīti paṭisaṃviditā hoti. Evaṃ sā pīti paṭisaṃviditā hotī’’ti (paṭi. ma. 1.172).

    เอเตเนว นเยน อวเสสปทานิปิ อตฺถโต เวทิตพฺพานิฯ อิทํ ปเนตฺถ วิเสสมตฺตํฯ ติณฺณํ ฌานานํ วเสน สุขปฎิสํเวทิตา จตุนฺนมฺปิ วเสน จิตฺตสงฺขารปฎิสํเวทิตา เวทิตพฺพาฯ ‘‘จิตฺตสงฺขาโร’’ติ เวทนาทโย เทฺว ขนฺธาฯ สุขปฺปฎิสํเวทิปเท เจตฺถ วิปสฺสนาภูมิทสฺสนตฺถํ ‘‘สุขนฺติ เทฺว สุขานิ – กายิกญฺจ สุขํ เจตสิกญฺจา’’ติ ปฎิสมฺภิทายํ วุตฺตํฯ ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารนฺติ โอฬาริกํ โอฬาริกํ จิตฺตสงฺขารํ ปสฺสเมฺภโนฺต, นิโรเธโนฺตติ อโตฺถฯ โส วิตฺถารโต กายสงฺขาเร วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ อปิเจตฺถ ปีติปเท ปีติสีเสน เวทนา วุตฺตาฯ สุขปเท สรูเปเนว เวทนา ฯ ทฺวีสุ จิตฺตสงฺขารปเทสุ ‘‘สญฺญา จ เวทนา จ เจตสิกา เอเต ธมฺมา จิตฺตปฎิพทฺธา จิตฺตสงฺขารา’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๑๗๔; ม. นิ. ๑.๔๖๓) วจนโต สญฺญาสมฺปยุตฺตา เวทนาติฯ เอวํ เวทนานุปสฺสนานเยน อิทํ จตุกฺกํ ภาสิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Eteneva nayena avasesapadānipi atthato veditabbāni. Idaṃ panettha visesamattaṃ. Tiṇṇaṃ jhānānaṃ vasena sukhapaṭisaṃveditā catunnampi vasena cittasaṅkhārapaṭisaṃveditā veditabbā. ‘‘Cittasaṅkhāro’’ti vedanādayo dve khandhā. Sukhappaṭisaṃvedipade cettha vipassanābhūmidassanatthaṃ ‘‘sukhanti dve sukhāni – kāyikañca sukhaṃ cetasikañcā’’ti paṭisambhidāyaṃ vuttaṃ. Passambhayaṃ cittasaṅkhāranti oḷārikaṃ oḷārikaṃ cittasaṅkhāraṃ passambhento, nirodhentoti attho. So vitthārato kāyasaṅkhāre vuttanayeneva veditabbo. Apicettha pītipade pītisīsena vedanā vuttā. Sukhapade sarūpeneva vedanā . Dvīsu cittasaṅkhārapadesu ‘‘saññā ca vedanā ca cetasikā ete dhammā cittapaṭibaddhā cittasaṅkhārā’’ti (paṭi. ma. 1.174; ma. ni. 1.463) vacanato saññāsampayuttā vedanāti. Evaṃ vedanānupassanānayena idaṃ catukkaṃ bhāsitanti veditabbaṃ.

    ตติยจตุเกฺกปิ จตุนฺนํ ฌานานํ วเสน จิตฺตปฎิสํเวทิตา เวทิตพฺพาฯ อภิปฺปโมทยํ จิตฺตนฺติ จิตฺตํ โมเทโนฺต ปโมเทโนฺต หาเสโนฺต ปหาเสโนฺต อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติฯ ตตฺถ ทฺวีหากาเรหิ อภิปฺปโมโท โหติ – สมาธิวเสน จ วิปสฺสนาวเสน จฯ

    Tatiyacatukkepi catunnaṃ jhānānaṃ vasena cittapaṭisaṃveditā veditabbā. Abhippamodayaṃ cittanti cittaṃ modento pamodento hāsento pahāsento assasissāmi passasissāmīti sikkhati. Tattha dvīhākārehi abhippamodo hoti – samādhivasena ca vipassanāvasena ca.

    กถํ สมาธิวเสน? สปฺปีติเก เทฺว ฌาเน สมาปชฺชติ, โส สมาปตฺติกฺขเณ สมฺปยุตฺตาย ปีติยา จิตฺตํ อาโมเทติ ปโมเทติฯ กถํ วิปสฺสนาวเสน? สปฺปีติเก เทฺว ฌาเน สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ฌานสมฺปยุตฺตกปีติํ ขยโต วยโต สมฺมสติ; เอวํ วิปสฺสนากฺขเณ ฌานสมฺปยุตฺตกปีติํ อารมฺมณํ กตฺวา จิตฺตํ อาโมเทติ ปโมเทติฯ เอวํ ปฎิปโนฺน ‘‘อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตี’’ติ วุจฺจติฯ

    Kathaṃ samādhivasena? Sappītike dve jhāne samāpajjati, so samāpattikkhaṇe sampayuttāya pītiyā cittaṃ āmodeti pamodeti. Kathaṃ vipassanāvasena? Sappītike dve jhāne samāpajjitvā vuṭṭhāya jhānasampayuttakapītiṃ khayato vayato sammasati; evaṃ vipassanākkhaṇe jhānasampayuttakapītiṃ ārammaṇaṃ katvā cittaṃ āmodeti pamodeti. Evaṃ paṭipanno ‘‘abhippamodayaṃ cittaṃ assasissāmi passasissāmīti sikkhatī’’ti vuccati.

    สมาทหํ จิตฺตนฺติ ปฐมชฺฌานาทิวเสน อารมฺมเณ จิตฺตํ สมํ อาทหโนฺต สมํ ฐเปโนฺต ตานิ วา ปน ฌานานิ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ฌานสมฺปยุตฺตกจิตฺตํ ขยโต วยโต สมฺมสโต วิปสฺสนากฺขเณ ลกฺขณปฎิเวเธน อุปฺปชฺชติ ขณิกจิเตฺตกคฺคตา; เอวํ อุปฺปนฺนาย ขณิกจิเตฺตกคฺคตาย วเสนปิ อารมฺมเณ จิตฺตํ สมํ อาทหโนฺต สมํ ฐเปโนฺต ‘‘สมาทหํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตี’’ติ วุจฺจติฯ

    Samādahaṃ cittanti paṭhamajjhānādivasena ārammaṇe cittaṃ samaṃ ādahanto samaṃ ṭhapento tāni vā pana jhānāni samāpajjitvā vuṭṭhāya jhānasampayuttakacittaṃ khayato vayato sammasato vipassanākkhaṇe lakkhaṇapaṭivedhena uppajjati khaṇikacittekaggatā; evaṃ uppannāya khaṇikacittekaggatāya vasenapi ārammaṇe cittaṃ samaṃ ādahanto samaṃ ṭhapento ‘‘samādahaṃ cittaṃ assasissāmi passasissāmīti sikkhatī’’ti vuccati.

    วิโมจยํ จิตฺตนฺติ ปฐมชฺฌาเนน นีวรเณหิ จิตฺตํ โมเจโนฺต วิโมเจโนฺต, ทุติเยน วิตกฺกวิจาเรหิ, ตติเยน ปีติยา, จตุเตฺถน สุขทุเกฺขหิ จิตฺตํ โมเจโนฺต วิโมเจโนฺตฯ ตานิ วา ปน ฌานานิ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย ฌานสมฺปยุตฺตกจิตฺตํ ขยโต วยโต สมฺมสติฯ โส วิปสฺสนากฺขเณ อนิจฺจานุปสฺสนาย นิจฺจสญฺญาโต จิตฺตํ โมเจโนฺต วิโมเจโนฺต, ทุกฺขานุปสฺสนาย สุขสญฺญาโต, อนตฺตานุปสฺสนาย อตฺตสญฺญาโต, นิพฺพิทานุปสฺสนาย นนฺทิโต, วิราคานุปสฺสนาย ราคโต, นิโรธานุปสฺสนาย สมุทยโต, ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนาย อาทานโต จิตฺตํ โมเจโนฺต วิโมเจโนฺต อสฺสสติ เจว ปสฺสสติ จฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘วิโมจยํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตี’’ติฯ เอวํ จิตฺตานุปสฺสนาวเสน อิทํ จตุกฺกํ ภาสิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Vimocayaṃ cittanti paṭhamajjhānena nīvaraṇehi cittaṃ mocento vimocento, dutiyena vitakkavicārehi, tatiyena pītiyā, catutthena sukhadukkhehi cittaṃ mocento vimocento. Tāni vā pana jhānāni samāpajjitvā vuṭṭhāya jhānasampayuttakacittaṃ khayato vayato sammasati. So vipassanākkhaṇe aniccānupassanāya niccasaññāto cittaṃ mocento vimocento, dukkhānupassanāya sukhasaññāto, anattānupassanāya attasaññāto, nibbidānupassanāya nandito, virāgānupassanāya rāgato, nirodhānupassanāya samudayato, paṭinissaggānupassanāya ādānato cittaṃ mocento vimocento assasati ceva passasati ca. Tena vuttaṃ – ‘‘vimocayaṃ cittaṃ assasissāmi passasissāmīti sikkhatī’’ti. Evaṃ cittānupassanāvasena idaṃ catukkaṃ bhāsitanti veditabbaṃ.

    จตุตฺถจตุเกฺก ปน อนิจฺจานุปสฺสีติ เอตฺถ ตาว อนิจฺจํ เวทิตพฺพํ, อนิจฺจตา เวทิตพฺพา, อนิจฺจานุปสฺสนา เวทิตพฺพา , อนิจฺจานุปสฺสี เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ ‘‘อนิจฺจ’’นฺติ ปญฺจกฺขนฺธาฯ กสฺมา? อุปฺปาทวยญฺญถตฺตภาวาฯ ‘‘อนิจฺจตา’’ติ เตสเญฺญว อุปฺปาทวยญฺญถตฺตํ หุตฺวา อภาโว วา นิพฺพตฺตานํ เตเนวากาเรน อฐตฺวา ขณภเงฺคน เภโทติ อโตฺถฯ ‘‘อนิจฺจานุปสฺสนา’’ติ ตสฺสา อนิจฺจตาย วเสน รูปาทีสุ ‘‘อนิจฺจ’’นฺติ อนุปสฺสนา; ‘‘อนิจฺจานุปสฺสี’’ติ ตาย อนุปสฺสนาย สมนฺนาคโต; ตสฺมา เอวํ ภูโต อสฺสสโนฺต จ ปสฺสสโนฺต จ อิธ ‘‘อนิจฺจานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามิ, ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตี’’ติ เวทิตโพฺพฯ

    Catutthacatukke pana aniccānupassīti ettha tāva aniccaṃ veditabbaṃ, aniccatā veditabbā, aniccānupassanā veditabbā , aniccānupassī veditabbo. Tattha ‘‘anicca’’nti pañcakkhandhā. Kasmā? Uppādavayaññathattabhāvā. ‘‘Aniccatā’’ti tesaññeva uppādavayaññathattaṃ hutvā abhāvo vā nibbattānaṃ tenevākārena aṭhatvā khaṇabhaṅgena bhedoti attho. ‘‘Aniccānupassanā’’ti tassā aniccatāya vasena rūpādīsu ‘‘anicca’’nti anupassanā; ‘‘aniccānupassī’’ti tāya anupassanāya samannāgato; tasmā evaṃ bhūto assasanto ca passasanto ca idha ‘‘aniccānupassī assasissāmi, passasissāmīti sikkhatī’’ti veditabbo.

    วิราคานุปสฺสีติ เอตฺถ ปน เทฺว วิราคา – ขยวิราโค จ อจฺจนฺตวิราโค จฯ ตตฺถ ‘‘ขยวิราโค’’ติ สงฺขารานํ ขณภโงฺค; ‘‘อจฺจนฺตวิราโค’’ติ นิพฺพานํ; ‘‘วิราคานุปสฺสนา’’ติ ตทุภยทสฺสนวเสน ปวตฺตา วิปสฺสนา จ มโคฺค จฯ ตาย ทุวิธายปิ อนุปสฺสนาย สมนฺนาคโต หุตฺวา อสฺสสโนฺต จ ปสฺสสโนฺต จ ‘‘วิราคานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตี’’ติ เวทิตโพฺพฯ นิโรธานุปสฺสีปเทปิ เอเสว นโยฯ

    Virāgānupassīti ettha pana dve virāgā – khayavirāgo ca accantavirāgo ca. Tattha ‘‘khayavirāgo’’ti saṅkhārānaṃ khaṇabhaṅgo; ‘‘accantavirāgo’’ti nibbānaṃ; ‘‘virāgānupassanā’’ti tadubhayadassanavasena pavattā vipassanā ca maggo ca. Tāya duvidhāyapi anupassanāya samannāgato hutvā assasanto ca passasanto ca ‘‘virāgānupassī assasissāmi passasissāmīti sikkhatī’’ti veditabbo. Nirodhānupassīpadepi eseva nayo.

    ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสีติ เอตฺถาปิ เทฺว ปฎินิสฺสคฺคา – ปริจฺจาคปฎินิสฺสโคฺค จ ปกฺขนฺทนปฎินิสฺสโคฺค จฯ ปฎินิสฺสโคฺคเยว อนุปสฺสนา ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนา; วิปสฺสนามคฺคานเมตํ อธิวจนํฯ วิปสฺสนา หิ ตทงฺควเสน สทฺธิํ ขนฺธาภิสงฺขาเรหิ กิเลเส ปริจฺจชติ, สงฺขตโทสทสฺสเนน จ ตพฺพิปรีเต นิพฺพาเน ตนฺนินฺนตาย ปกฺขนฺทตีติ ปริจฺจาคปฎินิสฺสโคฺค เจว ปกฺขนฺทนปฎินิสฺสโคฺค จาติ วุจฺจติฯ มโคฺค สมุเจฺฉทวเสน สทฺธิํ ขนฺธาภิสงฺขาเรหิ กิเลเส ปริจฺจชติ, อารมฺมณกรเณน จ นิพฺพาเน ปกฺขนฺทตีติ ปริจฺจาคปฎินิสฺสโคฺค เจว ปกฺขนฺทนปฎินิสฺสโค จาติ วุจฺจติฯ อุภยมฺปิ ปน ปุริมปุริมญาณานํ อนุอนุ ปสฺสนโต อนุปสฺสนาติ วุจฺจติฯ ตาย ทุวิธาย ปฎินิสฺสคฺคานุปสฺสนาย สมนฺนาคโต หุตฺวา อสฺสสโนฺต จ ปสฺสสโนฺต จ ปฎินิสคฺคานุปสฺสี อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขตีติ เวทิตโพฺพฯ เอวํ ภาวิโตติ เอวํ โสฬสหิ อากาเรหิ ภาวิโตฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ

    Paṭinissaggānupassīti etthāpi dve paṭinissaggā – pariccāgapaṭinissaggo ca pakkhandanapaṭinissaggo ca. Paṭinissaggoyeva anupassanā paṭinissaggānupassanā; vipassanāmaggānametaṃ adhivacanaṃ. Vipassanā hi tadaṅgavasena saddhiṃ khandhābhisaṅkhārehi kilese pariccajati, saṅkhatadosadassanena ca tabbiparīte nibbāne tanninnatāya pakkhandatīti pariccāgapaṭinissaggo ceva pakkhandanapaṭinissaggo cāti vuccati. Maggo samucchedavasena saddhiṃ khandhābhisaṅkhārehi kilese pariccajati, ārammaṇakaraṇena ca nibbāne pakkhandatīti pariccāgapaṭinissaggo ceva pakkhandanapaṭinissago cāti vuccati. Ubhayampi pana purimapurimañāṇānaṃ anuanu passanato anupassanāti vuccati. Tāya duvidhāya paṭinissaggānupassanāya samannāgato hutvā assasanto ca passasanto ca paṭinisaggānupassī assasissāmi passasissāmīti sikkhatīti veditabbo. Evaṃ bhāvitoti evaṃ soḷasahi ākārehi bhāvito. Sesaṃ vuttanayameva.

    อานาปานสฺสติสมาธิกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Ānāpānassatisamādhikathā niṭṭhitā.

    ๑๖๗. อถ โข ภควาติอาทิมฺหิ ปน อยํ สเงฺขปโตฺถฯ เอวํ ภควา อานาปานสฺสติสมาธิกถาย ภิกฺขู สมสฺสาเสตฺวา อถ ยํ ตํ ตติยปาราชิกปญฺญตฺติยา นิทานเญฺจว ปกรณญฺจ อุปฺปนฺนํ ภิกฺขูนํ อญฺญมญฺญํ ชีวิตา โวโรปนํ, เอตสฺมิํ นิทาเน เอตสฺมิํ ปกรเณ ภิกฺขุสงฺฆํ สนฺนิปาเตตฺวา ปฎิปุจฺฉิตฺวา วิครหิตฺวา จ ยสฺมา ตตฺถ อตฺตนา อตฺตานํ ชีวิตา โวโรปนํ มิคลณฺฑิเกน จ โวโรปาปนํ ปาราชิกวตฺถุ น โหติ; ตสฺมา ตํ ฐเปตฺวา ปาราชิกสฺส วตฺถุภูตํ อญฺญมญฺญํ ชีวิตา โวโรปนเมว คเหตฺวา ปาราชิกํ ปญฺญเปโนฺต ‘‘โย ปน ภิกฺขุ สญฺจิจฺจ มนุสฺสวิคฺคห’’นฺติอาทิมาหฯ อริยปุคฺคลมิสฺสกตฺตา ปเนตฺถ ‘‘โมฆปุริสา’’ติ อวตฺวา ‘‘เต ภิกฺขู’’ติ วุตฺตํฯ

    167.Athakho bhagavātiādimhi pana ayaṃ saṅkhepattho. Evaṃ bhagavā ānāpānassatisamādhikathāya bhikkhū samassāsetvā atha yaṃ taṃ tatiyapārājikapaññattiyā nidānañceva pakaraṇañca uppannaṃ bhikkhūnaṃ aññamaññaṃ jīvitā voropanaṃ, etasmiṃ nidāne etasmiṃ pakaraṇe bhikkhusaṅghaṃ sannipātetvā paṭipucchitvā vigarahitvā ca yasmā tattha attanā attānaṃ jīvitā voropanaṃ migalaṇḍikena ca voropāpanaṃ pārājikavatthu na hoti; tasmā taṃ ṭhapetvā pārājikassa vatthubhūtaṃ aññamaññaṃ jīvitā voropanameva gahetvā pārājikaṃ paññapento ‘‘yo pana bhikkhu sañcicca manussaviggaha’’ntiādimāha. Ariyapuggalamissakattā panettha ‘‘moghapurisā’’ti avatvā ‘‘te bhikkhū’’ti vuttaṃ.

    เอวํ มูลเจฺฉชฺชวเสน ทฬฺหํ กตฺวา ตติยปาราชิเก ปญฺญเตฺต อปรมฺปิ อนุปญฺญตฺตตฺถาย มรณวณฺณสํวณฺณนวตฺถุ อุทปาทิ, ตสฺสุปฺปตฺติทีปนตฺถํ ‘‘เอวญฺจิทํ ภควตา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    Evaṃ mūlacchejjavasena daḷhaṃ katvā tatiyapārājike paññatte aparampi anupaññattatthāya maraṇavaṇṇasaṃvaṇṇanavatthu udapādi, tassuppattidīpanatthaṃ ‘‘evañcidaṃ bhagavatā’’tiādi vuttaṃ.

    ๑๖๘. ตตฺถ ปฎิพทฺธจิตฺตาติ ฉนฺทราเคน ปฎิพทฺธจิตฺตา; สารตฺตา อเปกฺขวโนฺตติ อโตฺถฯ มรณวณฺณํ สํวเณฺณมาติ ชีวิเต อาทีนวํ ทเสฺสตฺวา มรณสฺส คุณํ วเณฺณม; อานิสํสํ ทเสฺสมาติฯ กตกลฺยาโณติอาทีสุ อยํ ปทโตฺถ – กลฺยาณํ สุจิกมฺมํ กตํ ตยาติ ตฺวํ โข อสิ กตกลฺยาโณฯ ตถา กุสลํ อนวชฺชกมฺมํ กตํ ตยาติ กตกุสโลฯ มรณกาเล สมฺปเตฺต ยา สตฺตานํ อุปฺปชฺชติ ภยสงฺขาตา ภีรุตา, ตโต ตายนํ รกฺขณกมฺมํ กตํ ตยาติ กตภีรุตฺตาโณ ปาปํฯ ลามกกมฺมํ อกตํ ตยาติ อกตปาโปฯ ลุทฺทํ ทารุณํ ทุสฺสีลฺยกมฺมํ อกตํ ตยาติ อกตลุโทฺทฯ กิพฺพิสํ สาหสิกกมฺมํ โลภาทิกิเลสุสฺสทํ อกตํ ตยาติ อกตกิพฺพิโสฯ กสฺมา อิทํ วุจฺจติ? ยสฺมา สพฺพปฺปการมฺปิ กตํ ตยา กลฺยาณํ, อกตํ ตยา ปาปํ; เตน ตํ วทาม – ‘‘กิํ ตุยฺหํ อิมินา โรคาภิภูตตฺตา ลามเกน ปาปเกน ทุกฺขพหุลตฺตา ทุชฺชีวิเตน’’ฯ มตํ เต ชีวิตา เสโยฺยติ ตว มรณํ ชีวิตา สุนฺทรตรํฯ กสฺมา? ยสฺมา อิโต ตฺวํ กาลงฺกโต กตกาโล หุตฺวา กาลํ กตฺวา มริตฺวาติ อโตฺถฯ กายสฺส เภทา…เป.… อุปปชฺชิสฺสสิฯ เอวํ อุปปโนฺน จ ตตฺถ ทิเพฺพหิ เทวโลเก อุปฺปเนฺนหิ ปญฺจหิ กามคุเณหิ มนาปิยรูปาทิเกหิ ปญฺจหิ วตฺถุกามโกฎฺฐาเสหิ สมปฺปิโต สมงฺคีภูโต ปริจริสฺสสิ สมฺปยุโตฺต สโมธานคโต หุตฺวา อิโต จิโต จ จริสฺสสิ, วิจริสฺสสิ อภิรมิสฺสสิ วาติ อโตฺถฯ

    168. Tattha paṭibaddhacittāti chandarāgena paṭibaddhacittā; sārattā apekkhavantoti attho. Maraṇavaṇṇaṃ saṃvaṇṇemāti jīvite ādīnavaṃ dassetvā maraṇassa guṇaṃ vaṇṇema; ānisaṃsaṃ dassemāti. Katakalyāṇotiādīsu ayaṃ padattho – kalyāṇaṃ sucikammaṃ kataṃ tayāti tvaṃ kho asi katakalyāṇo. Tathā kusalaṃ anavajjakammaṃ kataṃ tayāti katakusalo. Maraṇakāle sampatte yā sattānaṃ uppajjati bhayasaṅkhātā bhīrutā, tato tāyanaṃ rakkhaṇakammaṃ kataṃ tayāti katabhīruttāṇo pāpaṃ. Lāmakakammaṃ akataṃ tayāti akatapāpo. Luddaṃ dāruṇaṃ dussīlyakammaṃ akataṃ tayāti akataluddo. Kibbisaṃ sāhasikakammaṃ lobhādikilesussadaṃ akataṃ tayāti akatakibbiso. Kasmā idaṃ vuccati? Yasmā sabbappakārampi kataṃ tayā kalyāṇaṃ, akataṃ tayā pāpaṃ; tena taṃ vadāma – ‘‘kiṃ tuyhaṃ iminā rogābhibhūtattā lāmakena pāpakena dukkhabahulattā dujjīvitena’’. Mataṃ te jīvitā seyyoti tava maraṇaṃ jīvitā sundarataraṃ. Kasmā? Yasmā ito tvaṃ kālaṅkato katakālo hutvā kālaṃ katvā maritvāti attho. Kāyassa bhedā…pe… upapajjissasi. Evaṃ upapanno ca tattha dibbehi devaloke uppannehi pañcahi kāmaguṇehi manāpiyarūpādikehi pañcahi vatthukāmakoṭṭhāsehi samappito samaṅgībhūto paricarissasi sampayutto samodhānagato hutvā ito cito ca carissasi, vicarissasi abhiramissasi vāti attho.

    ๑๖๙. อสปฺปายานีติ อหิตานิ อวุฑฺฒิกรานิ ยานิ ขิปฺปเมว ชีวิตกฺขยํ ปาเปนฺติฯ

    169.Asappāyānīti ahitāni avuḍḍhikarāni yāni khippameva jīvitakkhayaṃ pāpenti.

    ปทภาชนียวณฺณนา

    Padabhājanīyavaṇṇanā

    ๑๗๒. สญฺจิจฺจาติ อยํ ‘‘สญฺจิจฺจ มนุสฺสวิคฺคห’’นฺติ มาติกาย วุตฺตสฺส สญฺจิจฺจปทสฺส อุทฺธาโรฯ ตตฺถ นฺติ อุปสโคฺค, เตน สทฺธิํ อุสฺสุกฺกวจนเมตํ สญฺจิจฺจาติ ; ตสฺส สเญฺจเตตฺวา สุฎฺฐุ เจเตตฺวาติ อโตฺถฯ ยสฺมา ปน โย สญฺจิจฺจ โวโรเปติ, โส ชานโนฺต สญฺชานโนฺต โหติ, ตญฺจสฺส โวโรปนํ เจจฺจ อภิวิตริตฺวา วีติกฺกโม โหติฯ ตสฺมา พฺยญฺชเน อาทรํ อกตฺวา อตฺถเมว ทเสฺสตุํ ‘‘ชานโนฺต สญฺชานโนฺต เจจฺจ อภิวิตริตฺวา วีติกฺกโม’’ติ เอวมสฺส ปทภาชนํ วุตฺตํฯ ตตฺถ ชานโนฺตติ ‘‘ปาโณ’’ติ ชานโนฺตฯ สญฺชานโนฺตติ ‘‘ชีวิตา โวโรเปมี’’ติ สญฺชานโนฺต; เตเนว ปาณชานนากาเรน สทฺธิํ ชานโนฺตติ อโตฺถฯ เจจฺจาติ วธกเจตนาวเสน เจเตตฺวา ปกเปฺปตฺวาฯ อภิวิตริตฺวาติ อุปกฺกมวเสน มทฺทโนฺต นิราสงฺกจิตฺตํ เปเสตฺวาฯ วีติกฺกโมติ เอวํ ปวตฺตสฺส โย วีติกฺกโม อยํ สญฺจิจฺจสทฺทสฺส สิขาปฺปโตฺต อโตฺถติ วุตฺตํ โหติฯ

    172.Sañciccāti ayaṃ ‘‘sañcicca manussaviggaha’’nti mātikāya vuttassa sañciccapadassa uddhāro. Tattha santi upasaggo, tena saddhiṃ ussukkavacanametaṃ sañciccāti ; tassa sañcetetvā suṭṭhu cetetvāti attho. Yasmā pana yo sañcicca voropeti, so jānanto sañjānanto hoti, tañcassa voropanaṃ cecca abhivitaritvā vītikkamo hoti. Tasmā byañjane ādaraṃ akatvā atthameva dassetuṃ ‘‘jānanto sañjānanto cecca abhivitaritvā vītikkamo’’ti evamassa padabhājanaṃ vuttaṃ. Tattha jānantoti ‘‘pāṇo’’ti jānanto. Sañjānantoti ‘‘jīvitā voropemī’’ti sañjānanto; teneva pāṇajānanākārena saddhiṃ jānantoti attho. Ceccāti vadhakacetanāvasena cetetvā pakappetvā. Abhivitaritvāti upakkamavasena maddanto nirāsaṅkacittaṃ pesetvā. Vītikkamoti evaṃ pavattassa yo vītikkamo ayaṃ sañciccasaddassa sikhāppatto atthoti vuttaṃ hoti.

    อิทานิ ‘‘มนุสฺสวิคฺคหํ ชีวิตา โวโรเปยฺยา’’ติ เอตฺถ วุตฺตํ มนุสฺสตฺตภาวํ อาทิโต ปฎฺฐาย ทเสฺสตุํ ‘‘มนุสฺสวิคฺคโห นามา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ คพฺภเสยฺยกานํ วเสน สพฺพสุขุมอตฺตภาวทสฺสนตฺถํ ‘‘ยํ มาตุกุจฺฉิสฺมิ’’นฺติ วุตฺตํฯ ปฐมํ จิตฺตนฺติ ปฎิสนฺธิจิตฺตํฯ อุปฺปนฺนนฺติ ชาตํฯ ปฐมํ วิญฺญาณํ ปาตุภูตนฺติ อิทํ ตเสฺสว เววจนํฯ ‘‘มาตุกุจฺฉิสฺมิํ ปฐมํ จิตฺต’’นฺติ วจเนน เจตฺถ สกลาปิ ปญฺจโวการปฎิสนฺธิ ทสฺสิตา โหติฯ ตสฺมา ตญฺจ ปฐมํ จิตฺตํ ตํสมฺปยุตฺตา จ ตโย อรูปกฺขนฺธา เตน สห นิพฺพตฺตญฺจ กลลรูปนฺติ อยํ สพฺพปฐโม มนุสฺสวิคฺคโหฯ ตตฺถ ‘‘กลลรูป’’นฺติ อิตฺถิปุริสานํ กายวตฺถุภาวทสกวเสน สมติํส รูปานิ, นปุํสกานํ กายวตฺถุทสกวเสน วีสติฯ ตตฺถ อิตฺถิปุริสานํ กลลรูปํ ชาติอุณฺณาย เอเกน อํสุนา อุทฺธฎเตลพินฺทุมตฺตํ โหติ อจฺฉํ วิปฺปสนฺนํฯ วุตฺตเญฺจตํ อฎฺฐกถายํ

    Idāni ‘‘manussaviggahaṃ jīvitā voropeyyā’’ti ettha vuttaṃ manussattabhāvaṃ ādito paṭṭhāya dassetuṃ ‘‘manussaviggaho nāmā’’tiādimāha. Tattha gabbhaseyyakānaṃ vasena sabbasukhumaattabhāvadassanatthaṃ ‘‘yaṃ mātukucchismi’’nti vuttaṃ. Paṭhamaṃ cittanti paṭisandhicittaṃ. Uppannanti jātaṃ. Paṭhamaṃ viññāṇaṃ pātubhūtanti idaṃ tasseva vevacanaṃ. ‘‘Mātukucchismiṃ paṭhamaṃ citta’’nti vacanena cettha sakalāpi pañcavokārapaṭisandhi dassitā hoti. Tasmā tañca paṭhamaṃ cittaṃ taṃsampayuttā ca tayo arūpakkhandhā tena saha nibbattañca kalalarūpanti ayaṃ sabbapaṭhamo manussaviggaho. Tattha ‘‘kalalarūpa’’nti itthipurisānaṃ kāyavatthubhāvadasakavasena samatiṃsa rūpāni, napuṃsakānaṃ kāyavatthudasakavasena vīsati. Tattha itthipurisānaṃ kalalarūpaṃ jātiuṇṇāya ekena aṃsunā uddhaṭatelabindumattaṃ hoti acchaṃ vippasannaṃ. Vuttañcetaṃ aṭṭhakathāyaṃ

    ‘‘ติลเตลสฺส ยถา พินฺทุ, สปฺปิมโณฺฑ อนาวิโล;

    ‘‘Tilatelassa yathā bindu, sappimaṇḍo anāvilo;

    เอวํวณฺณปฺปฎิภาคํ กลลนฺติ ปวุจฺจตี’’ติฯ (วิภ. อฎฺฐ. ๒๖ ปกิณฺณกกถา; สํ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๒๓๕);

    Evaṃvaṇṇappaṭibhāgaṃ kalalanti pavuccatī’’ti. (vibha. aṭṭha. 26 pakiṇṇakakathā; saṃ. ni. aṭṭha. 1.1.235);

    เอวํ ปริตฺตกํ วตฺถุํ อาทิํ กตฺวา ปกติยา วีสวสฺสสตายุกสฺส สตฺตสฺส ยาว มรณกาลา เอตฺถนฺตเร อนุปุเพฺพน วุฑฺฒิปฺปโตฺต อตฺตภาโว เอโส มนุสฺสวิคฺคโห นามฯ

    Evaṃ parittakaṃ vatthuṃ ādiṃ katvā pakatiyā vīsavassasatāyukassa sattassa yāva maraṇakālā etthantare anupubbena vuḍḍhippatto attabhāvo eso manussaviggaho nāma.

    ชีวิตา โวโรเปยฺยาติ กลลกาเลปิ ตาปนมทฺทเนหิ วา เภสชฺชสมฺปทาเนน วา ตโต วา อุทฺธมฺปิ ตทนุรูเปน อุปกฺกเมน ชีวิตา วิโยเชยฺยาติ อโตฺถฯ ยสฺมา ปน ชีวิตา โวโรปนํ นาม อตฺถโต ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทนเมว โหติ, ตสฺมา เอตสฺส ปทภาชเน ‘‘ชีวิตินฺทฺริยํ อุปจฺฉินฺทติ อุปโรเธติ สนฺตติํ วิโกเปตี’’ติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ชีวิตินฺทฺริยสฺส ปเวณิฆฎนํ อุปจฺฉินฺทโนฺต อุปโรเธโนฺต จ ‘‘ชีวิตินฺทฺริยํ อุปจฺฉินฺทติ อุปโรเธตี’’ติ วุจฺจติฯ สฺวายมโตฺถ ‘‘สนฺตติํ วิโกเปตี’’ติปเทน ทสฺสิโตฯ วิโกเปตีติ วิโยเชติฯ

    Jīvitāvoropeyyāti kalalakālepi tāpanamaddanehi vā bhesajjasampadānena vā tato vā uddhampi tadanurūpena upakkamena jīvitā viyojeyyāti attho. Yasmā pana jīvitā voropanaṃ nāma atthato jīvitindriyupacchedanameva hoti, tasmā etassa padabhājane ‘‘jīvitindriyaṃ upacchindati uparodheti santatiṃ vikopetī’’ti vuttaṃ. Tattha jīvitindriyassa paveṇighaṭanaṃ upacchindanto uparodhento ca ‘‘jīvitindriyaṃ upacchindati uparodhetī’’ti vuccati. Svāyamattho ‘‘santatiṃ vikopetī’’tipadena dassito. Vikopetīti viyojeti.

    ตตฺถ ทุวิธํ ชีวิตินฺทฺริยํ – รูปชีวิตินฺทฺริยํ, อรูปชีวิตินฺทฺริยญฺจฯ เตสุ อรูปชีวิตินฺทฺริเย อุปกฺกโม นตฺถิ, ตํ โวโรเปตุํ น สกฺกาฯ รูปชีวิตินฺทฺริเย ปน อตฺถิ, ตํ โวโรเปตุํ สกฺกาฯ ตํ ปน โวโรเปโนฺต อรูปชีวิตินฺทฺริยมฺปิ โวโรเปติฯ เตเนว หิ สทฺธิํ ตํ นิรุชฺฌติ ตทายตฺตวุตฺติโตฯ ตํ ปน โวโรเปโนฺต กิํ อตีตํ โวโรเปติ, อนาคตํ, ปจฺจุปฺปนฺนนฺติ? เนว อตีตํ, น อนาคตํ, เตสุ หิ เอกํ นิรุทฺธํ เอกํ อนุปฺปนฺนนฺติ อุภปมฺปิ อสนฺตํ, อสนฺตตฺตา อุปกฺกโม นตฺถิ, อุปกฺกมสฺส นตฺถิตาย เอกมฺปิ โวโรเปตุํ น สกฺกาฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –

    Tattha duvidhaṃ jīvitindriyaṃ – rūpajīvitindriyaṃ, arūpajīvitindriyañca. Tesu arūpajīvitindriye upakkamo natthi, taṃ voropetuṃ na sakkā. Rūpajīvitindriye pana atthi, taṃ voropetuṃ sakkā. Taṃ pana voropento arūpajīvitindriyampi voropeti. Teneva hi saddhiṃ taṃ nirujjhati tadāyattavuttito. Taṃ pana voropento kiṃ atītaṃ voropeti, anāgataṃ, paccuppannanti? Neva atītaṃ, na anāgataṃ, tesu hi ekaṃ niruddhaṃ ekaṃ anuppannanti ubhapampi asantaṃ, asantattā upakkamo natthi, upakkamassa natthitāya ekampi voropetuṃ na sakkā. Vuttampi cetaṃ –

    ‘‘อตีเต จิตฺตกฺขเณ ชีวิตฺถ, น ชีวติ; น ชีวิสฺสติฯ อนาคเต จิตฺตกฺขเณ ชีวิสฺสติ, น ชีวิตฺถ; น ชีวติฯ ปจฺจุปฺปเนฺน จิตฺตกฺขเณ ชีวติ, น ชีวิตฺถ; น ชีวิสฺสตี’’ติ (มหานิ. ๑๐)ฯ

    ‘‘Atīte cittakkhaṇe jīvittha, na jīvati; na jīvissati. Anāgate cittakkhaṇe jīvissati, na jīvittha; na jīvati. Paccuppanne cittakkhaṇe jīvati, na jīvittha; na jīvissatī’’ti (mahāni. 10).

    ตสฺมา ยตฺถ ชีวติ ตตฺถ อุปกฺกโม ยุโตฺตติ ปจฺจุปฺปนฺนํ โวโรเปติฯ

    Tasmā yattha jīvati tattha upakkamo yuttoti paccuppannaṃ voropeti.

    ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ นาเมตํ ขณปจฺจุปฺปนฺนํ, สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนํ, อทฺธาปจฺจุปฺปนฺนนฺติ ติวิธํฯ ตตฺถ ‘‘ขณปจฺจุปฺปนฺนํ’’ นาม อุปฺปาทชราภงฺคสมงฺคิ, ตํ โวโรเปตุํ น สกฺกาฯ กสฺมา? สยเมว นิรุชฺฌนโตฯ ‘‘สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนํ’’ นาม สตฺตฎฺฐชวนวารมตฺตํ สภาคสนฺตติวเสน ปวตฺติตฺวา นิรุชฺฌนกํ, ยาว วา อุณฺหโต อาคนฺตฺวา โอวรกํ ปวิสิตฺวา นิสินฺนสฺส อนฺธการํ โหติ, สีตโต วา อาคนฺตฺวา โอวรเก นิสินฺนสฺส ยาว วิสภาคอุตุปาตุภาเวน ปุริมโก อุตุ นปฺปฎิปฺปสฺสมฺภติ, เอตฺถนฺตเร ‘‘สนฺตติปจฺจุปฺปนฺน’’นฺติ วุจฺจติ ฯ ปฎิสนฺธิโต ปน ยาว จุติ, เอตํ ‘‘อทฺธาปจฺจุปฺปนฺนํ’’ นามฯ ตทุภยมฺปิ โวโรเปตุํ สกฺกาฯ กถํ? ตสฺมิญฺหิ อุปกฺกเม กเต ลทฺธุปกฺกมํ ชีวิตนวกํ นิรุชฺฌมานํ ทุพฺพลสฺส ปริหีนเวคสฺส สนฺตานสฺส ปจฺจโย โหติฯ ตโต สนฺตติปจฺจุปฺปนฺนํ วา อทฺธาปจฺจุปฺปนฺนํ วา ยถาปริจฺฉินฺนํ กาลํ อปตฺวา อนฺตราว นิรุชฺฌติ ฯ เอวํ ตทุภยมฺปิ โวโรเปตุํ สกฺกา, ตสฺมา ตเทว สนฺธาย ‘‘สนฺตติํ วิโกเปตี’’ติ อิทํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Paccuppannañca nāmetaṃ khaṇapaccuppannaṃ, santatipaccuppannaṃ, addhāpaccuppannanti tividhaṃ. Tattha ‘‘khaṇapaccuppannaṃ’’ nāma uppādajarābhaṅgasamaṅgi, taṃ voropetuṃ na sakkā. Kasmā? Sayameva nirujjhanato. ‘‘Santatipaccuppannaṃ’’ nāma sattaṭṭhajavanavāramattaṃ sabhāgasantativasena pavattitvā nirujjhanakaṃ, yāva vā uṇhato āgantvā ovarakaṃ pavisitvā nisinnassa andhakāraṃ hoti, sītato vā āgantvā ovarake nisinnassa yāva visabhāgautupātubhāvena purimako utu nappaṭippassambhati, etthantare ‘‘santatipaccuppanna’’nti vuccati . Paṭisandhito pana yāva cuti, etaṃ ‘‘addhāpaccuppannaṃ’’ nāma. Tadubhayampi voropetuṃ sakkā. Kathaṃ? Tasmiñhi upakkame kate laddhupakkamaṃ jīvitanavakaṃ nirujjhamānaṃ dubbalassa parihīnavegassa santānassa paccayo hoti. Tato santatipaccuppannaṃ vā addhāpaccuppannaṃ vā yathāparicchinnaṃ kālaṃ apatvā antarāva nirujjhati . Evaṃ tadubhayampi voropetuṃ sakkā, tasmā tadeva sandhāya ‘‘santatiṃ vikopetī’’ti idaṃ vuttanti veditabbaṃ.

    อิมสฺส ปนตฺถสฺส อาวิภาวตฺถํ ปาโณ เวทิตโพฺพ, ปาณาติปาโต เวทิตโพฺพ, ปาณาติปาติ เวทิตโพฺพ, ปาณาติปาตสฺส ปโยโค เวทิตโพฺพฯ ตตฺถ ‘‘ปาโณ’’ติ โวหารโต สโตฺต, ปรมตฺถโต ชีวิตินฺทฺริยํฯ ชีวิตินฺทฺริยญฺหิ อติปาเตโนฺต ‘‘ปาณํ อติปาเตตี’’ติ วุจฺจติ ตํ วุตฺตปฺปการเมวฯ ‘‘ปาณาติปาโต’’ติ ยาย เจตนาย ชีวิตินฺทฺริยุปเจฺฉทกํ ปโยคํ สมุฎฺฐาเปติ, สา วธกเจตนา ‘‘ปาณาติปาโต’’ติ วุจฺจติฯ ‘‘ปาณาติปาตี’’ติ วุตฺตเจตนาสมงฺคิ ปุคฺคโล ทฎฺฐโพฺพฯ ‘‘ปาณาติปาตสฺส ปโยโค’’ติ ปาณาติปาตสฺส ฉปโยคา – สาหตฺถิโก, อาณตฺติโก, นิสฺสคฺคิโย, ถาวโร, วิชฺชามโย, อิทฺธิมโยติฯ

    Imassa panatthassa āvibhāvatthaṃ pāṇo veditabbo, pāṇātipāto veditabbo, pāṇātipāti veditabbo, pāṇātipātassa payogo veditabbo. Tattha ‘‘pāṇo’’ti vohārato satto, paramatthato jīvitindriyaṃ. Jīvitindriyañhi atipātento ‘‘pāṇaṃ atipātetī’’ti vuccati taṃ vuttappakārameva. ‘‘Pāṇātipāto’’ti yāya cetanāya jīvitindriyupacchedakaṃ payogaṃ samuṭṭhāpeti, sā vadhakacetanā ‘‘pāṇātipāto’’ti vuccati. ‘‘Pāṇātipātī’’ti vuttacetanāsamaṅgi puggalo daṭṭhabbo. ‘‘Pāṇātipātassa payogo’’ti pāṇātipātassa chapayogā – sāhatthiko, āṇattiko, nissaggiyo, thāvaro, vijjāmayo, iddhimayoti.

    ตตฺถ ‘‘สาหตฺถิโก’’ติ สยํ มาเรนฺตสฺส กาเยน วา กายปฺปฎิพเทฺธน วา ปหรณํฯ ‘‘อาณตฺติโก’’ติ อญฺญํ อาณาเปนฺตสฺส ‘‘เอวํ วิชฺฌิตฺวา วา ปหริตฺวา วา มาเรหี’’ติ อาณาปนํฯ ‘‘นิสฺสคฺคิโย’’ติ ทูเร ฐิตํ มาเรตุกามสฺส กาเยน วา กายปฺปฎิพเทฺธน วา อุสุสตฺติยนฺตปาสาณาทีนํ นิสฺสชฺชนํฯ ‘‘ถาวโร’’ติ อสญฺจาริเมน อุปกรเณน มาเรตุกามสฺส โอปาตอปเสฺสนอุปนิกฺขิปนํ เภสชฺชสํวิธานํฯ เต จตฺตาโรปิ ปรโต ปาฬิวณฺณนายเมว วิตฺถารโต อาวิภวิสฺสนฺติฯ

    Tattha ‘‘sāhatthiko’’ti sayaṃ mārentassa kāyena vā kāyappaṭibaddhena vā paharaṇaṃ. ‘‘Āṇattiko’’ti aññaṃ āṇāpentassa ‘‘evaṃ vijjhitvā vā paharitvā vā mārehī’’ti āṇāpanaṃ. ‘‘Nissaggiyo’’ti dūre ṭhitaṃ māretukāmassa kāyena vā kāyappaṭibaddhena vā ususattiyantapāsāṇādīnaṃ nissajjanaṃ. ‘‘Thāvaro’’ti asañcārimena upakaraṇena māretukāmassa opātaapassenaupanikkhipanaṃ bhesajjasaṃvidhānaṃ. Te cattāropi parato pāḷivaṇṇanāyameva vitthārato āvibhavissanti.

    วิชฺชามยอิทฺธิมยา ปน ปาฬิยํ อนาคตาฯ เต เอวํ เวทิตพฺพาฯ สเงฺขปโต หิ มารณตฺถํ วิชฺชาปริชปฺปนํ วิชฺชามโย ปโยโคฯ อฎฺฐกถาสุ ปน ‘‘กตโม วิชฺชามโย ปโยโค? อาถพฺพณิกา อาถพฺพณํ ปโยเชนฺติ; นคเร วา รุเทฺธ สงฺคาเม วา ปจฺจุปฎฺฐิเต ปฎิเสนาย ปจฺจตฺถิเกสุ ปจฺจามิเตฺตสุ อีติํ อุปฺปาเทนฺติ, อุปทฺทวํ อุปฺปาเทนฺติ, โรคํ อุปฺปาเทนฺติ, ปชฺชรกํ อุปฺปาเทนฺติ, สูจิกํ กโรนฺติ, วิสูจิกํ กโรนฺติ, ปกฺขนฺทิยํ กโรนฺติฯ เอวํ อาถพฺพณิกา อาถพฺพณํ ปโยเชนฺติฯ วิชฺชาธารา วิชฺชํ ปริวเตฺตตฺวา นคเร วา รุเทฺธ…เป.… ปกฺขนฺทิยํ กโรนฺตี’’ติ เอวํ วิชฺชามยํ ปโยคํ ทเสฺสตฺวา อาถพฺพณิเกหิ จ วิชฺชาธเรหิ จ มาริตานํ พหูนิ วตฺถูนิ วุตฺตานิ, กิํ เตหิ! อิทเญฺหตฺถ ลกฺขณํ มารณาย วิชฺชาปริชปฺปนํ วิชฺชามโย ปโยโคติฯ

    Vijjāmayaiddhimayā pana pāḷiyaṃ anāgatā. Te evaṃ veditabbā. Saṅkhepato hi māraṇatthaṃ vijjāparijappanaṃ vijjāmayo payogo. Aṭṭhakathāsu pana ‘‘katamo vijjāmayo payogo? Āthabbaṇikā āthabbaṇaṃ payojenti; nagare vā ruddhe saṅgāme vā paccupaṭṭhite paṭisenāya paccatthikesu paccāmittesu ītiṃ uppādenti, upaddavaṃ uppādenti, rogaṃ uppādenti, pajjarakaṃ uppādenti, sūcikaṃ karonti, visūcikaṃ karonti, pakkhandiyaṃ karonti. Evaṃ āthabbaṇikā āthabbaṇaṃ payojenti. Vijjādhārā vijjaṃ parivattetvā nagare vā ruddhe…pe… pakkhandiyaṃ karontī’’ti evaṃ vijjāmayaṃ payogaṃ dassetvā āthabbaṇikehi ca vijjādharehi ca māritānaṃ bahūni vatthūni vuttāni, kiṃ tehi! Idañhettha lakkhaṇaṃ māraṇāya vijjāparijappanaṃ vijjāmayo payogoti.

    กมฺมวิปากชาย อิทฺธิยา ปโยชนํ อิทฺธิมโย ปโยโคฯ กมฺมวิปากชิทฺธิ จ นาเมสา นาคานํ นาคิทฺธิ, สุปณฺณานํ สุปณฺณิทฺธิ, ยกฺขานํ ยกฺขิทฺธิ, เทวานํ เทวิทฺธิ, ราชูนํ ราชิทฺธีติ พหุวิธาฯ ตตฺถ ทิฎฺฐทฎฺฐผุฎฺฐวิสานํ นาคานํ ทิสฺวา ฑํสิตฺวา ผุสิตฺวา จ ปรูปฆาตกรเณ ‘‘นาคิทฺธิ’’ เวทิตพฺพาฯ สุปณฺณานํ มหาสมุทฺทโต ทฺวตฺติพฺยามสตปฺปมาณนาคุทฺธรเณ ‘‘สุปณฺณิทฺธิ’’ เวทิตพฺพาฯ ยกฺขา ปน เนว อาคจฺฉนฺตา น ปหรนฺตา ทิสฺสนฺติ, เตหิ ปหฎสตฺตา ปน ตสฺมิํเยว ฐาเน มรนฺติ, ตตฺร เตสํ ‘‘ยกฺขิทฺธิ’’ ทฎฺฐพฺพาฯ เวสฺสวณสฺส โสตาปนฺนกาลโต ปุเพฺพ นยนาวุเธน โอโลกิตกุมฺภณฺฑานํ มรเณ อเญฺญสญฺจ เทวานํ ยถาสกํ อิทฺธานุภาเว ‘‘เทวิทฺธิ’’ เวทิตพฺพาฯ รโญฺญ จกฺกวตฺติสฺส สปริสสฺส อากาสคมนาทีสุ, อโสกสฺส เหฎฺฐา อุปริ จ โยชเน อาณาปวตฺตนาทีสุ, ปิตุรโญฺญ จ สีหฬนรินฺทสฺส ทาฐาโกฎเนน จูฬสุมนกุฎุมฺพิยสฺสมรเณ ‘‘ราชิทฺธิ’’ ทฎฺฐพฺพาติฯ

    Kammavipākajāya iddhiyā payojanaṃ iddhimayo payogo. Kammavipākajiddhi ca nāmesā nāgānaṃ nāgiddhi, supaṇṇānaṃ supaṇṇiddhi, yakkhānaṃ yakkhiddhi, devānaṃ deviddhi, rājūnaṃ rājiddhīti bahuvidhā. Tattha diṭṭhadaṭṭhaphuṭṭhavisānaṃ nāgānaṃ disvā ḍaṃsitvā phusitvā ca parūpaghātakaraṇe ‘‘nāgiddhi’’ veditabbā. Supaṇṇānaṃ mahāsamuddato dvattibyāmasatappamāṇanāguddharaṇe ‘‘supaṇṇiddhi’’ veditabbā. Yakkhā pana neva āgacchantā na paharantā dissanti, tehi pahaṭasattā pana tasmiṃyeva ṭhāne maranti, tatra tesaṃ ‘‘yakkhiddhi’’ daṭṭhabbā. Vessavaṇassa sotāpannakālato pubbe nayanāvudhena olokitakumbhaṇḍānaṃ maraṇe aññesañca devānaṃ yathāsakaṃ iddhānubhāve ‘‘deviddhi’’ veditabbā. Rañño cakkavattissa saparisassa ākāsagamanādīsu, asokassa heṭṭhā upari ca yojane āṇāpavattanādīsu, piturañño ca sīhaḷanarindassa dāṭhākoṭanena cūḷasumanakuṭumbiyassamaraṇe ‘‘rājiddhi’’ daṭṭhabbāti.

    เกจิ ปน ‘‘ปุน จปรํ, ภิกฺขเว, สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อิทฺธิมา เจโตวสิปฺปโตฺต อญฺญิสฺสา กุจฺฉิคตํ คพฺภํ ปาปเกน มนสาอนุเปกฺขิตา โหติ ‘อโห วตายํ กุจฺฉิคโต คโพฺภ น โสตฺถินา อภินิกฺขเมยฺยา’ติฯ เอวมฺปิ ภิกฺขเว กุลุมฺพสฺส อุปฆาโต โหตี’’ติ อาทิกานิ สุตฺตานิ ทเสฺสตฺวา ภาวนามยิทฺธิยาปิ ปรูปฆาตกมฺมํ วทนฺติ; สห ปรูปฆาตกรเณน จ อาทิตฺตฆรูปริขิตฺตสฺส อุทกฆฎสฺส เภทนมิว อิทฺธิวินาสญฺจ อิจฺฉนฺติ; ตํ เตสํ อิจฺฉามตฺตเมวฯ กสฺมา? ยสฺมา กุสลเวทนาวิตกฺกปริตฺตตฺติเกหิ น สเมติฯ กถํ? อยญฺหิ ภาวนามยิทฺธิ นาม กุสลตฺติเก กุสลา เจว อพฺยากตา จ, ปาณาติปาโต อกุสโลฯ เวทนาตฺติเก อทุกฺขมสุขสมฺปยุตฺตา ปาณาติปาโต ทุกฺขสมฺปยุโตฺตฯ วิตกฺกตฺติเก อวิตกฺกาวิจารา, ปาณาติปาโต สวิตกฺกสวิจาโรฯ ปริตฺตตฺติเก มหคฺคตา, ปาณาติปาโต ปริโตฺตติฯ

    Keci pana ‘‘puna caparaṃ, bhikkhave, samaṇo vā brāhmaṇo vā iddhimā cetovasippatto aññissā kucchigataṃ gabbhaṃ pāpakena manasāanupekkhitā hoti ‘aho vatāyaṃ kucchigato gabbho na sotthinā abhinikkhameyyā’ti. Evampi bhikkhave kulumbassa upaghāto hotī’’ti ādikāni suttāni dassetvā bhāvanāmayiddhiyāpi parūpaghātakammaṃ vadanti; saha parūpaghātakaraṇena ca ādittagharūparikhittassa udakaghaṭassa bhedanamiva iddhivināsañca icchanti; taṃ tesaṃ icchāmattameva. Kasmā? Yasmā kusalavedanāvitakkaparittattikehi na sameti. Kathaṃ? Ayañhi bhāvanāmayiddhi nāma kusalattike kusalā ceva abyākatā ca, pāṇātipāto akusalo. Vedanāttike adukkhamasukhasampayuttā pāṇātipāto dukkhasampayutto. Vitakkattike avitakkāvicārā, pāṇātipāto savitakkasavicāro. Parittattike mahaggatā, pāṇātipāto parittoti.

    สตฺถหารกํ วาสฺส ปริเยเสยฺยาติ เอตฺถ หรตีติ หารกํฯ กิํ หรติ? ชีวิตํฯ อถ วา หริตพฺพนฺติ หารกํ; อุปนิกฺขิปิตพฺพนฺติ อโตฺถฯ สตฺถญฺจ ตํ หารกญฺจาติ สตฺถหารกํฯ อสฺสาติ มนุสฺสวิคฺคหสฺสฯ ปริเยเสยฺยาติ ยถา ลภติ ตถา กเรยฺย; อุปนิกฺขิเปยฺยาติ อโตฺถฯ เอเตน ถาวรปฺปโยคํ ทเสฺสติฯ อิตรถา หิ ปริยิฎฺฐมเตฺตเนว ปาราชิโก ภเวยฺย; น เจตํ ยุตฺตํฯ ปาฬิยํ ปน สพฺพํ พฺยญฺชนํ อนาทิยิตฺวา ยํ เอตฺถ ถาวรปฺปโยคสงฺคหิตํ สตฺถํ, ตเทว ทเสฺสตุํ ‘‘อสิํ วา…เป.… รชฺชุํ วา’’ติ ปทภาชนํ วุตฺตํฯ

    Satthahārakaṃ vāssa pariyeseyyāti ettha haratīti hārakaṃ. Kiṃ harati? Jīvitaṃ. Atha vā haritabbanti hārakaṃ; upanikkhipitabbanti attho. Satthañca taṃ hārakañcāti satthahārakaṃ. Assāti manussaviggahassa. Pariyeseyyāti yathā labhati tathā kareyya; upanikkhipeyyāti attho. Etena thāvarappayogaṃ dasseti. Itarathā hi pariyiṭṭhamatteneva pārājiko bhaveyya; na cetaṃ yuttaṃ. Pāḷiyaṃ pana sabbaṃ byañjanaṃ anādiyitvā yaṃ ettha thāvarappayogasaṅgahitaṃ satthaṃ, tadeva dassetuṃ ‘‘asiṃ vā…pe… rajjuṃ vā’’ti padabhājanaṃ vuttaṃ.

    ตตฺถ สตฺถนฺติ วุตฺตาวเสสํ ยํกิญฺจิ สมุขํ เวทิตพฺพํฯ ลคุฬปาสาณวิสรชฺชูนญฺจ ชีวิตวินาสนภาวโต สตฺถสงฺคโห เวทิตโพฺพฯ มรณวณฺณํ วาติ เอตฺถ ยสฺมา ‘‘กิํ ตุยฺหิมินา ปาปเกน ทุชฺชีวิเตน, โย ตฺวํ น ลภสิ ปณีตานิ โภชนานิ ภุญฺชิตุ’’นฺติอาทินา นเยน ชีวิเต อาทีนวํ ทเสฺสโนฺตปิ ‘‘ตฺวํ โขสิ อุปาสก กตกลฺยาโณ…เป.… อกตํ ตยา ปาปํ, มตํ เต ชีวิตา เสโยฺย, อิโต ตฺวํ กาลงฺกโต ปริจริสฺสสิ อจฺฉราปริวุโต นนฺทนวเน สุขปฺปโตฺต วิหริสฺสสี’’ติอาทินา นเยน มรเณ วณฺณํ ภณโนฺตปิ มรณวณฺณเมว สํวเณฺณติฯ ตสฺมา ทฺวิธา ภินฺทิตฺวา ปทภาชนํ วุตฺตํ – ‘‘ชีวิเต อาทีนวํ ทเสฺสติ, มรเณ วณฺณํ ภณตี’’ติฯ

    Tattha satthanti vuttāvasesaṃ yaṃkiñci samukhaṃ veditabbaṃ. Laguḷapāsāṇavisarajjūnañca jīvitavināsanabhāvato satthasaṅgaho veditabbo. Maraṇavaṇṇaṃti ettha yasmā ‘‘kiṃ tuyhiminā pāpakena dujjīvitena, yo tvaṃ na labhasi paṇītāni bhojanāni bhuñjitu’’ntiādinā nayena jīvite ādīnavaṃ dassentopi ‘‘tvaṃ khosi upāsaka katakalyāṇo…pe… akataṃ tayā pāpaṃ, mataṃ te jīvitā seyyo, ito tvaṃ kālaṅkato paricarissasi accharāparivuto nandanavane sukhappatto viharissasī’’tiādinā nayena maraṇe vaṇṇaṃ bhaṇantopi maraṇavaṇṇameva saṃvaṇṇeti. Tasmā dvidhā bhinditvā padabhājanaṃ vuttaṃ – ‘‘jīvite ādīnavaṃ dasseti, maraṇe vaṇṇaṃ bhaṇatī’’ti.

    มรณาย วา สมาทเปยฺยาติ มรณตฺถาย อุปายํ คาหาเปยฺยฯ สตฺถํ วา อาหราติ อาทีสุ จ ยมฺปิ น วุตฺตํ ‘‘โสเพฺภ วา นรเก วา ปปาเต วา ปปตา’’ติอาทิ, ตํ สพฺพํ ปรโต วุตฺตนยตฺตา อตฺถโต วุตฺตเมวาติ เวทิตพฺพํฯ น หิ สกฺกา สพฺพํ สรูเปเนว วตฺตุํฯ

    Maraṇāya vā samādapeyyāti maraṇatthāya upāyaṃ gāhāpeyya. Satthaṃ vā āharāti ādīsu ca yampi na vuttaṃ ‘‘sobbhe vā narake vā papāte vā papatā’’tiādi, taṃ sabbaṃ parato vuttanayattā atthato vuttamevāti veditabbaṃ. Na hi sakkā sabbaṃ sarūpeneva vattuṃ.

    อิติ จิตฺตมโนติ อิติจิโตฺต อิติมโน; ‘‘มตํ เต ชีวิตา เสโยฺย’’ติ เอตฺถ วุตฺตมรณจิโตฺต มรณมโนติ อโตฺถฯ ยสฺมา ปเนตฺถ มโน จิตฺตสทฺทสฺส อตฺถทีปนตฺถํ วุโตฺต, อตฺถโต ปเนตํ อุภยมฺปิ เอกเมว, ตสฺมา ตสฺส อตฺถโต อเภทํ ทเสฺสตุํ ‘‘ยํ จิตฺตํ ตํ มโน, ยํ มโน ตํ จิตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ อิติสทฺทํ ปน อุทฺธริตฺวาปิ น ตาว อโตฺถ วุโตฺตฯ จิตฺตสงฺกโปฺปติ อิมสฺมิํ ปเท อธิการวเสน อิติสโทฺท อาหริตโพฺพฯ อิทญฺหิ ‘‘อิติจิตฺตสงฺกโปฺป’’ติ เอวํ อวุตฺตมฺปิ อธิการโต วุตฺตเมว โหตีติ เวทิตพฺพํฯ ตถา หิสฺส ตเมวอตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘มรณสญฺญี’’ติอาทิมาหฯ ยสฺมา เจตฺถ ‘‘สงฺกโปฺป’’ติ นยิทํ วิตกฺกสฺส นามํฯ อถ โข สํวิทหนมตฺตเสฺสตํ อธิวจนํฯ ตญฺจ สํวิทหนํ อิมสฺมิํ อเตฺถ สญฺญาเจตนาธิปฺปาเยหิ สงฺคหํ คจฺฉติฯ ตสฺมา จิโตฺต นานปฺปการโก สงฺกโปฺป อสฺสาติ จิตฺตสงฺกโปฺปติ เอวมโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ ตถา หิสฺส ปทภาชนมฺปิ สญฺญาเจตนาธิปฺปายวเสน วุตฺตํฯ เอตฺถ จ ‘‘อธิปฺปาโย’’ติ วิตโกฺก เวทิตโพฺพฯ

    Iticittamanoti iticitto itimano; ‘‘mataṃ te jīvitā seyyo’’ti ettha vuttamaraṇacitto maraṇamanoti attho. Yasmā panettha mano cittasaddassa atthadīpanatthaṃ vutto, atthato panetaṃ ubhayampi ekameva, tasmā tassa atthato abhedaṃ dassetuṃ ‘‘yaṃ cittaṃ taṃ mano, yaṃ mano taṃ citta’’nti vuttaṃ. Itisaddaṃ pana uddharitvāpi na tāva attho vutto. Cittasaṅkappoti imasmiṃ pade adhikāravasena itisaddo āharitabbo. Idañhi ‘‘iticittasaṅkappo’’ti evaṃ avuttampi adhikārato vuttameva hotīti veditabbaṃ. Tathā hissa tamevaatthaṃ dassento ‘‘maraṇasaññī’’tiādimāha. Yasmā cettha ‘‘saṅkappo’’ti nayidaṃ vitakkassa nāmaṃ. Atha kho saṃvidahanamattassetaṃ adhivacanaṃ. Tañca saṃvidahanaṃ imasmiṃ atthe saññācetanādhippāyehi saṅgahaṃ gacchati. Tasmā citto nānappakārako saṅkappo assāti cittasaṅkappoti evamattho daṭṭhabbo. Tathā hissa padabhājanampi saññācetanādhippāyavasena vuttaṃ. Ettha ca ‘‘adhippāyo’’ti vitakko veditabbo.

    อุจฺจาวเจหิ อากาเรหีติ มหนฺตามหเนฺตหิ อุปาเยหิฯ ตตฺถ มรณวณฺณสํวณฺณเน ตาว ชีวิเต อาทีนวทสฺสนวเสน อวจาการตา มรเณ วณฺณภณนวเสน อุจฺจาการตา เวทิตพฺพาฯ สมาทปเน ปน มุฎฺฐิชาณุนิโปฺผฎนาทีหิ มรณสมาทปนวเสน อุจฺจาการตา, เอกโต ภุญฺชนฺตสฺส นเข วิสํ ปกฺขิปิตฺวา มรณาทิสมาทปนวเสน อวจาการตา เวทิตพฺพาฯ

    Uccāvacehi ākārehīti mahantāmahantehi upāyehi. Tattha maraṇavaṇṇasaṃvaṇṇane tāva jīvite ādīnavadassanavasena avacākāratā maraṇe vaṇṇabhaṇanavasena uccākāratā veditabbā. Samādapane pana muṭṭhijāṇunipphoṭanādīhi maraṇasamādapanavasena uccākāratā, ekato bhuñjantassa nakhe visaṃ pakkhipitvā maraṇādisamādapanavasena avacākāratā veditabbā.

    โสเพฺภ วา นรเก วา ปปาเต วาติ เอตฺถ โสโพฺภ นาม สมนฺตโต ฉินฺนตโฎ คมฺภีโร อาวาโฎฯ นรโก นาม ตตฺถ ตตฺถ ผลนฺติยา ภูมิยา สยเมว นิพฺพตฺตา มหาทรี, ยตฺถ หตฺถีปิ ปตนฺติ, โจราปิ นิลีนา ติฎฺฐนฺติฯ ปปาโตติ ปพฺพตนฺตเร วา ถลนฺตเร วา เอกโต ฉิโนฺน โหติฯ ปุริเม อุปาทายาติ เมถุนํ ธมฺมํ ปฎิเสวิตฺวา อทินฺนญฺจ อาทิยิตฺวา ปาราชิกํ อาปตฺติํ อาปเนฺน ปุคฺคเล อุปาทายฯ เสสํ ปุเพฺพ วุตฺตนยตฺตา อุตฺตานตฺถตฺตา จ ปากฎเมวาติฯ

    Sobbhe vā narake vā papāte vāti ettha sobbho nāma samantato chinnataṭo gambhīro āvāṭo. Narako nāma tattha tattha phalantiyā bhūmiyā sayameva nibbattā mahādarī, yattha hatthīpi patanti, corāpi nilīnā tiṭṭhanti. Papātoti pabbatantare vā thalantare vā ekato chinno hoti. Purime upādāyāti methunaṃ dhammaṃ paṭisevitvā adinnañca ādiyitvā pārājikaṃ āpattiṃ āpanne puggale upādāya. Sesaṃ pubbe vuttanayattā uttānatthattā ca pākaṭamevāti.

    ๑๗๔. เอวํ อุทฺทิฎฺฐสิกฺขาปทํ ปทานุกฺกเมน วิภชิตฺวา อิทานิ ยสฺมา เหฎฺฐา ปทภาชนียมฺหิ สเงฺขเปเนว มนุสฺสวิคฺคหปาราชิกํ ทสฺสิตํ, น วิตฺถาเรน อาปตฺติํ อาโรเปตฺวา ตนฺติ ฐปิตาฯ สเงฺขปทสฺสิเต จ อเตฺถ น สพฺพากาเรเนว ภิกฺขู นยํ คเหตุํ สโกฺกนฺติ, อนาคเต จ ปาปปุคฺคลานมฺปิ โอกาโส โหติ, ตสฺมา ภิกฺขูนญฺจ สพฺพากาเรน นยคฺคหณตฺถํ อนาคเต จ ปาปปุคฺคลานํ โอกาสปฎิพาหนตฺถํ ปุน ‘‘สามํ อธิฎฺฐายา’’ติอาทินา นเยน มาติกํ ฐเปตฺวา วิตฺถารโต มนุสฺสวิคฺคหปาราชิกํ ทเสฺสโนฺต ‘‘สามนฺติ สยํ หนตี’’ติอาทิมาหฯ

    174. Evaṃ uddiṭṭhasikkhāpadaṃ padānukkamena vibhajitvā idāni yasmā heṭṭhā padabhājanīyamhi saṅkhepeneva manussaviggahapārājikaṃ dassitaṃ, na vitthārena āpattiṃ āropetvā tanti ṭhapitā. Saṅkhepadassite ca atthe na sabbākāreneva bhikkhū nayaṃ gahetuṃ sakkonti, anāgate ca pāpapuggalānampi okāso hoti, tasmā bhikkhūnañca sabbākārena nayaggahaṇatthaṃ anāgate ca pāpapuggalānaṃ okāsapaṭibāhanatthaṃ puna ‘‘sāmaṃ adhiṭṭhāyā’’tiādinā nayena mātikaṃ ṭhapetvā vitthārato manussaviggahapārājikaṃ dassento ‘‘sāmanti sayaṃ hanatī’’tiādimāha.

    ตตฺรายํ อนุตฺตานปทวณฺณนาย สทฺธิํ วินิจฺฉยกถา – กาเยนาติ หเตฺถน วา ปาเทน วา มุฎฺฐินา วา ชาณุนา วา เยน เกนจิ องฺคปจฺจเงฺคนฯ กายปฎิพเทฺธนาติ กายโต อโมจิเตน อสิอาทินา ปหรเณนฯ นิสฺสคฺคิเยนาติ กายโต จ กายปฎิพทฺธโต จ โมจิเตน อุสุสตฺติอาทินาฯ เอตฺตาวตา สาหตฺถิโก จ นิสฺสคฺคิโย จาติ เทฺว ปโยคา วุตฺตา โหนฺติฯ

    Tatrāyaṃ anuttānapadavaṇṇanāya saddhiṃ vinicchayakathā – kāyenāti hatthena vā pādena vā muṭṭhinā vā jāṇunā vā yena kenaci aṅgapaccaṅgena. Kāyapaṭibaddhenāti kāyato amocitena asiādinā paharaṇena. Nissaggiyenāti kāyato ca kāyapaṭibaddhato ca mocitena ususattiādinā. Ettāvatā sāhatthiko ca nissaggiyo cāti dve payogā vuttā honti.

    ตตฺถ เอกเมโก อุทฺทิสฺสานุทฺทิสฺสเภทโต ทุวิโธฯ ตตฺถ อุเทฺทสิเก ยํ อุทฺทิสฺส ปหรติ, ตเสฺสว มรเณน กมฺมุนา พชฺฌติฯ ‘‘โย โกจิ มรตู’’ติ เอวํ อนุเทฺทสิเก ปหารปฺปจฺจยา ยสฺส กสฺสจิ มรเณน กมฺมุนา พชฺฌติฯ อุภยถาปิ จ ปหริตมเตฺต วา มรตุ ปจฺฉา วา เตเนว โรเคน, ปหริตมเตฺตเยว กมฺมุนา พชฺฌติฯ มรณาธิปฺปาเยน จ ปหารํ ทตฺวา เตน อมตสฺส ปุน อญฺญจิเตฺตน ปหาเร ทิเนฺน ปจฺฉาปิ ยทิ ปฐมปฺปหาเรเนว มรติ, ตทา เอว กมฺมุนา พโทฺธฯ อถ ทุติยปฺปหาเรน มรติ, นตฺถิ ปาณาติปาโตฯ อุภเยหิ มเตปิ ปฐมปฺปหาเรเนว กมฺมุนา พโทฺธฯ อุภเยหิ อมเต เนวตฺถิ ปาณาติปาโตฯ เอส นโย พหูหิปิ เอกสฺส ปหาเร ทิเนฺนฯ ตตฺราปิ หิ ยสฺส ปหาเรน มรติ, ตเสฺสว กมฺมุนา พโทฺธ โหตีติฯ

    Tattha ekameko uddissānuddissabhedato duvidho. Tattha uddesike yaṃ uddissa paharati, tasseva maraṇena kammunā bajjhati. ‘‘Yo koci maratū’’ti evaṃ anuddesike pahārappaccayā yassa kassaci maraṇena kammunā bajjhati. Ubhayathāpi ca paharitamatte vā maratu pacchā vā teneva rogena, paharitamatteyeva kammunā bajjhati. Maraṇādhippāyena ca pahāraṃ datvā tena amatassa puna aññacittena pahāre dinne pacchāpi yadi paṭhamappahāreneva marati, tadā eva kammunā baddho. Atha dutiyappahārena marati, natthi pāṇātipāto. Ubhayehi matepi paṭhamappahāreneva kammunā baddho. Ubhayehi amate nevatthi pāṇātipāto. Esa nayo bahūhipi ekassa pahāre dinne. Tatrāpi hi yassa pahārena marati, tasseva kammunā baddho hotīti.

    กมฺมาปตฺติพฺยตฺติภาวตฺถเญฺจตฺถ เอฬกจตุกฺกมฺปิ เวทิตพฺพํฯ โย หิ เอฬกํ เอกสฺมิํ ฐาเน นิปนฺนํ อุปธาเรติ ‘‘รตฺติํ อาคนฺตฺวา วธิสฺสามี’’ติฯ เอฬกสฺส จ นิปโนฺนกาเส ตสฺส มาตา วา ปิตา วา อรหา วา ปณฺฑุกาสาวํ ปารุปิตฺวา นิปโนฺน โหติฯ โส รตฺติภาเค อาคนฺตฺวา ‘‘เอฬกํ มาเรมี’’ติ มาตรํ วา ปิตรํ วา อรหนฺตํ วา มาเรติฯ ‘‘อิมํ วตฺถุํ มาเรมี’’ติ เจตนาย อตฺถิภาวโต ฆาตโก จ โหติ, อนนฺตริยกมฺมญฺจ ผุสติ, ปาราชิกญฺจ อาปชฺชติ ฯ อโญฺญ โกจิ อาคนฺตุโก นิปโนฺน โหติ , ‘‘เอฬกํ มาเรมี’’ติ ตํ มาเรติ, ฆาตโก จ โหติ ปาราชิกญฺจ อาปชฺชติ, อานนฺตริยํ น ผุสติฯ ยโกฺข วา เปโต วา นิปโนฺน โหติ, ‘‘เอฬกํ มาเรมี’’ติ ตํ มาเรติ ฆาตโกว โหติ, น จานนฺตริยํ ผุสติ, น จ ปาราชิกํ อาปชฺชติ, ถุลฺลจฺจยํ ปน โหติฯ อโญฺญ โกจิ นิปโนฺน นตฺถิ, เอฬโกว โหติ ตํ มาเรติ, ฆาตโก จ โหติ, ปาจิตฺติยญฺจ อาปชฺชติฯ ‘‘มาตาปิตุอรหนฺตานํ อญฺญตรํ มาเรมี’’ติ เตสํเยว อญฺญตรํ มาเรติ, ฆาตโก จ โหติ, อานนฺตริยญฺจ ผุสติ, ปาราชิกญฺจ อาปชฺชติฯ ‘‘เตสํ อญฺญตรํ มาเรสฺสามี’’ติ อญฺญํ อาคนฺตุกํ มาเรติ, ยกฺขํ วา เปตํ วา มาเรติ, เอฬกํ วา มาเรติ, ปุเพฺพ วุตฺตนเยน เวทิตพฺพํฯ อิธ ปน เจตนา ทารุณา โหตีติฯ

    Kammāpattibyattibhāvatthañcettha eḷakacatukkampi veditabbaṃ. Yo hi eḷakaṃ ekasmiṃ ṭhāne nipannaṃ upadhāreti ‘‘rattiṃ āgantvā vadhissāmī’’ti. Eḷakassa ca nipannokāse tassa mātā vā pitā vā arahā vā paṇḍukāsāvaṃ pārupitvā nipanno hoti. So rattibhāge āgantvā ‘‘eḷakaṃ māremī’’ti mātaraṃ vā pitaraṃ vā arahantaṃ vā māreti. ‘‘Imaṃ vatthuṃ māremī’’ti cetanāya atthibhāvato ghātako ca hoti, anantariyakammañca phusati, pārājikañca āpajjati . Añño koci āgantuko nipanno hoti , ‘‘eḷakaṃ māremī’’ti taṃ māreti, ghātako ca hoti pārājikañca āpajjati, ānantariyaṃ na phusati. Yakkho vā peto vā nipanno hoti, ‘‘eḷakaṃ māremī’’ti taṃ māreti ghātakova hoti, na cānantariyaṃ phusati, na ca pārājikaṃ āpajjati, thullaccayaṃ pana hoti. Añño koci nipanno natthi, eḷakova hoti taṃ māreti, ghātako ca hoti, pācittiyañca āpajjati. ‘‘Mātāpituarahantānaṃ aññataraṃ māremī’’ti tesaṃyeva aññataraṃ māreti, ghātako ca hoti, ānantariyañca phusati, pārājikañca āpajjati. ‘‘Tesaṃ aññataraṃ māressāmī’’ti aññaṃ āgantukaṃ māreti, yakkhaṃ vā petaṃ vā māreti, eḷakaṃ vā māreti, pubbe vuttanayena veditabbaṃ. Idha pana cetanā dāruṇā hotīti.

    อญฺญานิปิ เอตฺถ ปลาลปุญฺชาทิวตฺถูนิ เวทิตพฺพานิฯ โย หิ ‘‘โลหิตกํ อสิํ วา สตฺติํ วา ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ ปลาลปุเญฺช ปเวเสโนฺต ตตฺถ นิปนฺนํ มาตรํ วา ปิตรํ วา อรหนฺตํ วา อาคนฺตุกปุริสํ วา ยกฺขํ วา เปตํ วา ติรจฺฉานคตํ วา มาเรติ, โวหารวเสน ‘‘ฆาตโก’’ติ วุจฺจติ, วธกเจตนาย ปน อภาวโต เนว กมฺมํ ผุสติ, น อาปตฺติํ อาปชฺชติฯ โย ปน เอวํ ปเวเสโนฺต สรีรสมฺผสฺสํ สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘สโตฺต มเญฺญ อพฺภนฺตรคโต มรตู’’ติ ปเวเสตฺวา มาเรติ, ตสฺส เตสํ วตฺถูนํ อนุรูเปน กมฺมพโทฺธ จ อาปตฺติ จ เวทิตพฺพาฯ เอส นโย ตตฺถ นิทหนตฺถํ ปเวเสนฺตสฺสาปิ วนปฺปคุมฺพาทีสุ ขิปนฺตสฺสาปิฯ

    Aññānipi ettha palālapuñjādivatthūni veditabbāni. Yo hi ‘‘lohitakaṃ asiṃ vā sattiṃ vā pucchissāmī’’ti palālapuñje pavesento tattha nipannaṃ mātaraṃ vā pitaraṃ vā arahantaṃ vā āgantukapurisaṃ vā yakkhaṃ vā petaṃ vā tiracchānagataṃ vā māreti, vohāravasena ‘‘ghātako’’ti vuccati, vadhakacetanāya pana abhāvato neva kammaṃ phusati, na āpattiṃ āpajjati. Yo pana evaṃ pavesento sarīrasamphassaṃ sallakkhetvā ‘‘satto maññe abbhantaragato maratū’’ti pavesetvā māreti, tassa tesaṃ vatthūnaṃ anurūpena kammabaddho ca āpatti ca veditabbā. Esa nayo tattha nidahanatthaṃ pavesentassāpi vanappagumbādīsu khipantassāpi.

    โยปิ ‘‘โจรํ มาเรมี’’ติ โจรเวเสน คจฺฉนฺตํ ปิตรํ มาเรติ, อานนฺตริยญฺจ ผุสติ, ปาราชิโก จ โหติฯ โย ปน ปรเสนาย อญฺญญฺจ โยธํ ปิตรญฺจ กมฺมํ กโรเนฺต ทิสฺวา โยธสฺส อุสุํ ขิปติ, ‘‘เอตํ วิชฺฌิตฺวา มม ปิตรํ วิชฺฌิสฺสตี’’ติ ยถาธิปฺปายํ คเต ปิตุฆาตโก โหติฯ ‘‘โยเธ วิเทฺธ มม ปิตา ปลายิสฺสตี’’ติ ขิปติ, อุสุ อยถาธิปฺปายํ คนฺตฺวา ปิตรํ มาเรติ, โวหารวเสน ‘‘ปิตุฆาตโก’’ติ วุจฺจติ; อานนฺตริยํ ปน นตฺถีติฯ

    Yopi ‘‘coraṃ māremī’’ti coravesena gacchantaṃ pitaraṃ māreti, ānantariyañca phusati, pārājiko ca hoti. Yo pana parasenāya aññañca yodhaṃ pitarañca kammaṃ karonte disvā yodhassa usuṃ khipati, ‘‘etaṃ vijjhitvā mama pitaraṃ vijjhissatī’’ti yathādhippāyaṃ gate pitughātako hoti. ‘‘Yodhe viddhe mama pitā palāyissatī’’ti khipati, usu ayathādhippāyaṃ gantvā pitaraṃ māreti, vohāravasena ‘‘pitughātako’’ti vuccati; ānantariyaṃ pana natthīti.

    อธิฎฺฐหิตฺวาติ สมีเป ฐตฺวาฯ อาณาเปตีติ อุทฺทิสฺส วา อนุทฺทิสฺส วา อาณาเปติฯ ตตฺถ ปรเสนาย ปจฺจุปฎฺฐิตาย อนุทฺทิเสฺสว ‘‘เอวํ วิชฺฌ , เอวํ ปหร, เอวํ ฆาเตหี’’ติ อาณเตฺต ยตฺตเก อาณโตฺต ฆาเตติ, ตตฺตกา อุภินฺนํ ปาณาติปาตาฯ สเจ ตตฺถ อาณาปกสฺส มาตาปิตโร โหนฺติ, อานนฺตริยมฺปิ ผุสติฯ สเจ อาณตฺตเสฺสว มาตาปิตโร, โสว อานนฺตริยํ ผุสติฯ สเจ อรหา โหติ, อุโภปิ อานนฺตริยํ ผุสนฺติฯ อุทฺทิสิตฺวา ปน ‘‘เอตํ ทีฆํ รสฺสํ รตฺตกญฺจุกํ นีลกญฺจุกํ หตฺถิกฺขเนฺธ นิสินฺนํ มเชฺฌ นิสินฺนํ วิชฺฌ ปหร ฆาเตหี’’ติ อาณเตฺต สเจ โส ตเมว ฆาเตติ, อุภินฺนมฺปิ ปาณาติปาโต; อานนฺตริยวตฺถุมฺหิ จ อานนฺตริยํฯ สเจ อญฺญํ มาเรติ, อาณาปกสฺส นตฺถิ ปาณาติปาโตฯ เอเตน อาณตฺติโก ปโยโค วุโตฺต โหติฯ ตตฺถ –

    Adhiṭṭhahitvāti samīpe ṭhatvā. Āṇāpetīti uddissa vā anuddissa vā āṇāpeti. Tattha parasenāya paccupaṭṭhitāya anuddisseva ‘‘evaṃ vijjha , evaṃ pahara, evaṃ ghātehī’’ti āṇatte yattake āṇatto ghāteti, tattakā ubhinnaṃ pāṇātipātā. Sace tattha āṇāpakassa mātāpitaro honti, ānantariyampi phusati. Sace āṇattasseva mātāpitaro, sova ānantariyaṃ phusati. Sace arahā hoti, ubhopi ānantariyaṃ phusanti. Uddisitvā pana ‘‘etaṃ dīghaṃ rassaṃ rattakañcukaṃ nīlakañcukaṃ hatthikkhandhe nisinnaṃ majjhe nisinnaṃ vijjha pahara ghātehī’’ti āṇatte sace so tameva ghāteti, ubhinnampi pāṇātipāto; ānantariyavatthumhi ca ānantariyaṃ. Sace aññaṃ māreti, āṇāpakassa natthi pāṇātipāto. Etena āṇattiko payogo vutto hoti. Tattha –

    วตฺถุํ กาลญฺจ โอกาสํ, อาวุธํ อิริยาปถํ;

    Vatthuṃ kālañca okāsaṃ, āvudhaṃ iriyāpathaṃ;

    ตุลยิตฺวา ปญฺจ ฐานานิ, ธาเรยฺยตฺถํ วิจกฺขโณฯ

    Tulayitvā pañca ṭhānāni, dhāreyyatthaṃ vicakkhaṇo.

    อปโร นโย –

    Aparo nayo –

    วตฺถุ กาโล จ โอกาโส, อาวุธํ อิริยาปโถ;

    Vatthu kālo ca okāso, āvudhaṃ iriyāpatho;

    กิริยาวิเสโสติ อิเม, ฉ อาณตฺตินิยามกาฯ

    Kiriyāvisesoti ime, cha āṇattiniyāmakā.

    ตตฺถ ‘‘วตฺถู’’ติ มาเรตโพฺพ สโตฺตฯ ‘‘กาโล’’ติ ปุพฺพณฺหสายนฺหาทิกาโล จ โยพฺพนถาวริยาทิกาโล จฯ ‘‘โอกาโส’’ติ คาโม วา วนํ วา เคหทฺวารํ วา เคหมชฺฌํ วา รถิกา วา สิงฺฆาฎกํ วาติ เอวมาทิฯ ‘‘อาวุธ’’นฺติ อสิ วา อุสุ วา สตฺติ วาติ เอวมาทิฯ ‘‘อิริยาปโถ’’ติ มาเรตพฺพสฺส คมนํ วา นิสชฺชา วาติ เอวมาทิฯ ‘‘กิริยาวิเสโส’’ติ วิชฺฌนํ วา เฉทนํ วา เภทนํ วา สงฺขมุณฺฑกํ วาติ เอวมาทิฯ

    Tattha ‘‘vatthū’’ti māretabbo satto. ‘‘Kālo’’ti pubbaṇhasāyanhādikālo ca yobbanathāvariyādikālo ca. ‘‘Okāso’’ti gāmo vā vanaṃ vā gehadvāraṃ vā gehamajjhaṃ vā rathikā vā siṅghāṭakaṃ vāti evamādi. ‘‘Āvudha’’nti asi vā usu vā satti vāti evamādi. ‘‘Iriyāpatho’’ti māretabbassa gamanaṃ vā nisajjā vāti evamādi. ‘‘Kiriyāviseso’’ti vijjhanaṃ vā chedanaṃ vā bhedanaṃ vā saṅkhamuṇḍakaṃ vāti evamādi.

    ยทิ หิ วตฺถุํ วิสํวาเทตฺวา ‘‘ยํ มาเรหี’’ติ อาณโตฺต ตโต อญฺญํ มาเรติ, ‘‘ปุรโต ปหริตฺวา มาเรหี’’ติ วา อาณโตฺต ปจฺฉโต วา ปสฺสโต วา อญฺญสฺมิํ วา ปเทเส ปหริตฺวา มาเรติฯ อาณาปกสฺส นตฺถิ กมฺมพโนฺธ; อาณตฺตเสฺสว กมฺมพโนฺธฯ อถ วตฺถุํ อวิสํวาเทตฺวา ยถาณตฺติยา มาเรติ, อาณาปกสฺส อาณตฺติกฺขเณ อาณตฺตสฺส จ มารณกฺขเณติ อุภเยสมฺปิ กมฺมพโนฺธฯ วตฺถุวิเสเสน ปเนตฺถ กมฺมวิเสโส จ อาปตฺติวิเสโส จ โหตีติฯ เอวํ ตาว วตฺถุมฺหิ สเงฺกตวิสเงฺกตตา เวทิตพฺพาฯ

    Yadi hi vatthuṃ visaṃvādetvā ‘‘yaṃ mārehī’’ti āṇatto tato aññaṃ māreti, ‘‘purato paharitvā mārehī’’ti vā āṇatto pacchato vā passato vā aññasmiṃ vā padese paharitvā māreti. Āṇāpakassa natthi kammabandho; āṇattasseva kammabandho. Atha vatthuṃ avisaṃvādetvā yathāṇattiyā māreti, āṇāpakassa āṇattikkhaṇe āṇattassa ca māraṇakkhaṇeti ubhayesampi kammabandho. Vatthuvisesena panettha kammaviseso ca āpattiviseso ca hotīti. Evaṃ tāva vatthumhi saṅketavisaṅketatā veditabbā.

    กาเล ปน โย ‘‘อชฺช เสฺว’’ติ อนิยเมตฺวา ‘‘ปุพฺพเณฺห มาเรหี’’ติ อาณโตฺต ยทา กทาจิ ปุพฺพเณฺห มาเรติ, นตฺถิ วิสเงฺกโตฯ โย ปน ‘‘อชฺช ปุพฺพเณฺห’’ติ วุโตฺต มชฺฌเนฺห วา สายเนฺห วา เสฺว วา ปุพฺพเณฺห มาเรติฯ วิสเงฺกโต โหติ, อาณาปกสฺส นตฺถิ กมฺมพโนฺธฯ ปุพฺพเณฺห มาเรตุํ วายมนฺตสฺส มชฺฌเนฺห ชาเตปิ เอเสว นโยฯ เอเตน นเยน สพฺพกาลปฺปเภเทสุ สเงฺกตวิสเงฺกตตา เวทิตพฺพาฯ

    Kāle pana yo ‘‘ajja sve’’ti aniyametvā ‘‘pubbaṇhe mārehī’’ti āṇatto yadā kadāci pubbaṇhe māreti, natthi visaṅketo. Yo pana ‘‘ajja pubbaṇhe’’ti vutto majjhanhe vā sāyanhe vā sve vā pubbaṇhe māreti. Visaṅketo hoti, āṇāpakassa natthi kammabandho. Pubbaṇhe māretuṃ vāyamantassa majjhanhe jātepi eseva nayo. Etena nayena sabbakālappabhedesu saṅketavisaṅketatā veditabbā.

    โอกาเสปิ โย ‘‘เอตํ คาเม ฐิตํ มาเรหี’’ติ อนิยเมตฺวา อาณโตฺต ตํ ยตฺถ กตฺถจิ มาเรติ, นตฺถิ วิสเงฺกโตฯ โย ปน ‘‘คาเมเยวา’’ติ นิยเมตฺวา อาณโตฺต วเน มาเรติ, ตถา ‘‘วเน’’ติ อาณโตฺต คาเม มาเรติฯ ‘‘อโนฺตเคหทฺวาเร’’ติ อาณโตฺต เคหมเชฺฌ มาเรติ, วิสเงฺกโตฯ เอเตน นเยน สโพฺพกาสเภเทสุ สเงฺกตวิสเงฺกตตา เวทิตพฺพาฯ

    Okāsepi yo ‘‘etaṃ gāme ṭhitaṃ mārehī’’ti aniyametvā āṇatto taṃ yattha katthaci māreti, natthi visaṅketo. Yo pana ‘‘gāmeyevā’’ti niyametvā āṇatto vane māreti, tathā ‘‘vane’’ti āṇatto gāme māreti. ‘‘Antogehadvāre’’ti āṇatto gehamajjhe māreti, visaṅketo. Etena nayena sabbokāsabhedesu saṅketavisaṅketatā veditabbā.

    อาวุเธปิ โย ‘‘อสินา วา อุสุนา วา’’ติ อนิยเมตฺวา ‘‘อาวุเธน มาเรหี’’ติ อาณโตฺต เยน เกนจิ อาวุเธน มาเรติ, นตฺถิ วิสเงฺกโตฯ โย ปน ‘‘อสินา’’ติ วุโตฺต อุสุนา, ‘‘อิมินา วา อสินา’’ติ วุโตฺต อเญฺญน อสินา มาเรติฯ เอตเสฺสว วา อสิสฺส ‘‘อิมาย ธาราย มาเรหี’’ติ วุโตฺต อิตราย วา ธาราย ตเลน วา ตุเณฺฑน วา ถรุนา วา มาเรติ, วิสเงฺกโตฯ เอเตน นเยน สพฺพอาวุธเภเทสุ สเงฺกตวิสเงฺกตตา เวทิตพฺพาฯ

    Āvudhepi yo ‘‘asinā vā usunā vā’’ti aniyametvā ‘‘āvudhena mārehī’’ti āṇatto yena kenaci āvudhena māreti, natthi visaṅketo. Yo pana ‘‘asinā’’ti vutto usunā, ‘‘iminā vā asinā’’ti vutto aññena asinā māreti. Etasseva vā asissa ‘‘imāya dhārāya mārehī’’ti vutto itarāya vā dhārāya talena vā tuṇḍena vā tharunā vā māreti, visaṅketo. Etena nayena sabbaāvudhabhedesu saṅketavisaṅketatā veditabbā.

    อิริยาปเถ ปน โย ‘‘เอตํ คจฺฉนฺตํ มาเรหี’’ติ วทติ, อาณโตฺต จ นํ สเจ คจฺฉนฺตํ มาเรติ, นตฺถิ วิสเงฺกโตฯ ‘‘คจฺฉนฺตเมว มาเรหี’’ติ วุโตฺต ปน สเจ นิสินฺนํ มาเรติฯ ‘‘นิสินฺนเมว วา มาเรหี’’ติ วุโตฺต คจฺฉนฺตํ มาเรติ, วิสเงฺกโต โหติฯ เอเตน นเยน สพฺพอิริยาปถเภเทสุ สเงฺกตวิสเงฺกตตา เวทิตพฺพาฯ

    Iriyāpathe pana yo ‘‘etaṃ gacchantaṃ mārehī’’ti vadati, āṇatto ca naṃ sace gacchantaṃ māreti, natthi visaṅketo. ‘‘Gacchantameva mārehī’’ti vutto pana sace nisinnaṃ māreti. ‘‘Nisinnameva vā mārehī’’ti vutto gacchantaṃ māreti, visaṅketo hoti. Etena nayena sabbairiyāpathabhedesu saṅketavisaṅketatā veditabbā.

    กิริยาวิเสเสปิ โย ‘‘วิชฺฌิตฺวา มาเรหี’’ติ วุโตฺต วิชฺฌิตฺวาว มาเรติ, นตฺถิ วิสเงฺกโตฯ โย ปน ‘‘วิชฺฌิตฺวา มาเรหี’’ติ วุโตฺต ฉินฺทิตฺวา มาเรติ, วิสเงฺกโตฯ เอเตน นเยน สพฺพกิริยาวิเสสเภเทสุ สเงฺกตวิสเงฺกตตา เวทิตพฺพาฯ

    Kiriyāvisesepi yo ‘‘vijjhitvā mārehī’’ti vutto vijjhitvāva māreti, natthi visaṅketo. Yo pana ‘‘vijjhitvā mārehī’’ti vutto chinditvā māreti, visaṅketo. Etena nayena sabbakiriyāvisesabhedesu saṅketavisaṅketatā veditabbā.

    โย ปน ลิงฺควเสน ‘‘ทีฆํ รสฺสํ กาฬํ โอทาตํ กิสํ ถูลํ มาเรหี’’ติ อนิยเมตฺวา อาณาเปติ, อาณโตฺต จ ยํกิญฺจิ ตาทิสํ มาเรติ, นตฺถิ วิสเงฺกโต อุภินฺนํ ปาราชิกํฯ อถ ปน โส อตฺตานํ สนฺธาย อาณาเปติ, อาณโตฺต จ ‘‘อยเมว อีทิโส’’ติ อาณาปกเมว มาเรติ, อาณาปกสฺส ทุกฺกฎํ, วธกสฺส ปาราชิกํฯ อาณาปโก อตฺตานํ สนฺธาย อาณาเปติ, อิตโร อญฺญํ ตาทิสํ มาเรติ, อาณาปโก มุจฺจติ, วธกเสฺสว ปาราชิกํฯ กสฺมา? โอกาสสฺส อนิยมิตตฺตาฯ สเจ ปน อตฺตานํ สนฺธาย อาณาเปโนฺตปิ โอกาสํ นิยเมติ, ‘‘อสุกสฺมิํ นาม รตฺติฎฺฐาเน วา ทิวาฎฺฐาเน วา เถราสเน วา นวาสเน วา มชฺฌิมาสเน วา นิสินฺนํ เอวรูปํ นาม มาเรหี’’ติฯ ตตฺถ จ อโญฺญ นิสิโนฺน โหติ, สเจ อาณโตฺต ตํ มาเรติ, เนว วธโก มุจฺจติ น อาณาปโกฯ กสฺมา? โอกาสสฺส นิยมิตตฺตาฯ สเจ ปน นิยมิโตกาสโต อญฺญตฺร มาเรติ, อาณาปโก มุจฺจตีติ อยํ นโย มหาอฎฺฐกถายํ สุฎฺฐุ ทฬฺหํ กตฺวา วุโตฺตฯ ตสฺมา เอตฺถ น อนาทริยํ กาตพฺพนฺติฯ

    Yo pana liṅgavasena ‘‘dīghaṃ rassaṃ kāḷaṃ odātaṃ kisaṃ thūlaṃ mārehī’’ti aniyametvā āṇāpeti, āṇatto ca yaṃkiñci tādisaṃ māreti, natthi visaṅketo ubhinnaṃ pārājikaṃ. Atha pana so attānaṃ sandhāya āṇāpeti, āṇatto ca ‘‘ayameva īdiso’’ti āṇāpakameva māreti, āṇāpakassa dukkaṭaṃ, vadhakassa pārājikaṃ. Āṇāpako attānaṃ sandhāya āṇāpeti, itaro aññaṃ tādisaṃ māreti, āṇāpako muccati, vadhakasseva pārājikaṃ. Kasmā? Okāsassa aniyamitattā. Sace pana attānaṃ sandhāya āṇāpentopi okāsaṃ niyameti, ‘‘asukasmiṃ nāma rattiṭṭhāne vā divāṭṭhāne vā therāsane vā navāsane vā majjhimāsane vā nisinnaṃ evarūpaṃ nāma mārehī’’ti. Tattha ca añño nisinno hoti, sace āṇatto taṃ māreti, neva vadhako muccati na āṇāpako. Kasmā? Okāsassa niyamitattā. Sace pana niyamitokāsato aññatra māreti, āṇāpako muccatīti ayaṃ nayo mahāaṭṭhakathāyaṃ suṭṭhu daḷhaṃ katvā vutto. Tasmā ettha na anādariyaṃ kātabbanti.

    อธิฎฺฐายาติ มาติกาวเสน อาณตฺติกปโยคกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Adhiṭṭhāyāti mātikāvasena āṇattikapayogakathā niṭṭhitā.

    อิทานิ เย ทูเตนาติ อิมสฺส มาติกาปทสฺส นิเทฺทสทสฺสนตฺถํ ‘‘ภิกฺขุ ภิกฺขุํ อาณาเปตี’’ติอาทโย จตฺตาโร วารา วุตฺตาฯ เตสุ โส ตํ มญฺญมาโนติ โส อาณโตฺต โย อาณาปเกน ‘‘อิตฺถนฺนาโม’’ติ อกฺขาโต, ตํ มญฺญมาโน ตเมว ชีวิตา โวโรเปติ, อุภินฺนํ ปาราชิกํฯ ตํ มญฺญมาโน อญฺญนฺติ ‘‘ยํ ชีวิตา โวโรเปหี’’ติ วุโตฺต ตํ มญฺญมาโน อญฺญํ ตาทิสํ ชีวิตา โวโรเปติ, มูลฎฺฐสฺส อนาปตฺติฯ อญฺญํ มญฺญมาโน ตนฺติ โย อาณาปเกน วุโตฺต, ตสฺส พลวสหายํ สมีเป ฐิตํ ทิสฺวา ‘‘อิมสฺส พเลนายํ คชฺชติ, อิมํ ตาว ชีวิตา โวโรเปมี’’ติ ปหรโนฺต อิตรเมว ปริวตฺติตฺวา ตสฺมิํ ฐาเน ฐิตํ ‘‘สหาโย’’ติ มญฺญมาโน ชีวิตา โวโรเปติ, อุภินฺนํ ปาราชิกํฯ อญฺญํ มญฺญมาโน อญฺญนฺติ ปุริมนเยเนว ‘‘อิมํ ตาวสฺส สหายํ ชีวิตา โวโรเปมี’’ติ สหายเมว โวโรเปติ, ตเสฺสว ปาราชิกํฯ

    Idāni ye dūtenāti imassa mātikāpadassa niddesadassanatthaṃ ‘‘bhikkhu bhikkhuṃ āṇāpetī’’tiādayo cattāro vārā vuttā. Tesu so taṃ maññamānoti so āṇatto yo āṇāpakena ‘‘itthannāmo’’ti akkhāto, taṃ maññamāno tameva jīvitā voropeti, ubhinnaṃ pārājikaṃ. Taṃ maññamāno aññanti ‘‘yaṃ jīvitā voropehī’’ti vutto taṃ maññamāno aññaṃ tādisaṃ jīvitā voropeti, mūlaṭṭhassa anāpatti. Aññaṃ maññamāno tanti yo āṇāpakena vutto, tassa balavasahāyaṃ samīpe ṭhitaṃ disvā ‘‘imassa balenāyaṃ gajjati, imaṃ tāva jīvitā voropemī’’ti paharanto itarameva parivattitvā tasmiṃ ṭhāne ṭhitaṃ ‘‘sahāyo’’ti maññamāno jīvitā voropeti, ubhinnaṃ pārājikaṃ. Aññaṃ maññamāno aññanti purimanayeneva ‘‘imaṃ tāvassa sahāyaṃ jīvitā voropemī’’ti sahāyameva voropeti, tasseva pārājikaṃ.

    ทูตปรมฺปราปทสฺส นิเทฺทสวาเร อิตฺถนฺนามสฺส ปาวทาติอาทีสุ เอโก อาจริโย ตโย พุทฺธรกฺขิตธมฺมรกฺขิตสงฺฆรกฺขิตนามกา อเนฺตวาสิกา ทฎฺฐพฺพาฯ ตตฺถ ภิกฺขุ ภิกฺขุํ อาณาเปตีติ อาจริโย กญฺจิ ปุคฺคลํ มาราเปตุกาโม ตมตฺถํ อาจิกฺขิตฺวา พุทฺธรกฺขิตํ อาณาเปติฯ อิตฺถนฺนามสฺส ปาวทาติ คจฺฉ ตฺวํ, พุทฺธรกฺขิต, เอตมตฺถํ ธมฺมรกฺขิตสฺส ปาวทฯ อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามสฺส ปาวทตูติ ธมฺมรกฺขิโตปิ สงฺฆรกฺขิตสฺส ปาวทตุฯ อิตฺถนฺนาโม อิตฺถนฺนามํ ชีวิตา โวโรเปตูติ เอวํ ตยา อาณเตฺตน ธมฺมรกฺขิเตน อาณโตฺต สงฺฆรกฺขิโต อิตฺถนฺนามํ ปุคฺคลํ ชีวิตา โวโรเปตุ; โส หิ อเมฺหสุ วีรชาติโก ปฎิพโล อิมสฺมิํ กเมฺมติฯ อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ เอวํ อาณาเปนฺตสฺส อาจริยสฺส ตาว ทุกฺกฎํฯ โส อิตรสฺส อาโรเจตีติ พุทฺธรกฺขิโต ธมฺมรกฺขิตสฺส, ธมฺมรกฺขิโต จ สงฺฆรกฺขิตสฺส ‘‘อมฺหากํ อาจริโย เอวํ วทติ – ‘อิตฺถนฺนามํ กิร ชีวิตา โวโรเปหี’ติฯ ตฺวํ กิร อเมฺหสุ วีรปุริโส’’ติ อาโรเจติ; เอวํ เตสมฺปิ ทุกฺกฎํฯ วธโก ปฎิคฺคณฺหาตีติ ‘‘สาธุ โวโรเปสฺสามี’’ติ สงฺฆรกฺขิโต สมฺปฎิจฺฉติฯ มูลฎฺฐสฺส อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺสาติ สงฺฆรกฺขิเตน ปฎิคฺคหิตมเตฺต อาจริยสฺส ถุลฺลจฺจยํฯ มหาชโน หิ เตน ปาเป นิโยชิโตติฯ โส ตนฺติ โส เจ สงฺฆรกฺขิโต ตํ ปุคฺคลํ ชีวิตา โวโรเปติ, สเพฺพสํ จตุนฺนมฺปิ ชนานํ ปาราชิกํฯ น เกวลญฺจ จตุนฺนํ, เอเตนูปาเยน วิสเงฺกตํ อกตฺวา ปรมฺปราย อาณาเปนฺตํ สมณสตํ สมณสหสฺสํ วา โหตุ สเพฺพสํ ปาราชิกเมวฯ

    Dūtaparamparāpadassa niddesavāre itthannāmassa pāvadātiādīsu eko ācariyo tayo buddharakkhitadhammarakkhitasaṅgharakkhitanāmakā antevāsikā daṭṭhabbā. Tattha bhikkhu bhikkhuṃ āṇāpetīti ācariyo kañci puggalaṃ mārāpetukāmo tamatthaṃ ācikkhitvā buddharakkhitaṃ āṇāpeti. Itthannāmassa pāvadāti gaccha tvaṃ, buddharakkhita, etamatthaṃ dhammarakkhitassa pāvada. Itthannāmo itthannāmassa pāvadatūti dhammarakkhitopi saṅgharakkhitassa pāvadatu. Itthannāmo itthannāmaṃ jīvitā voropetūti evaṃ tayā āṇattena dhammarakkhitena āṇatto saṅgharakkhito itthannāmaṃ puggalaṃ jīvitā voropetu; so hi amhesu vīrajātiko paṭibalo imasmiṃ kammeti. Āpatti dukkaṭassāti evaṃ āṇāpentassa ācariyassa tāva dukkaṭaṃ. So itarassa ārocetīti buddharakkhito dhammarakkhitassa, dhammarakkhito ca saṅgharakkhitassa ‘‘amhākaṃ ācariyo evaṃ vadati – ‘itthannāmaṃ kira jīvitā voropehī’ti. Tvaṃ kira amhesu vīrapuriso’’ti āroceti; evaṃ tesampi dukkaṭaṃ. Vadhako paṭiggaṇhātīti ‘‘sādhu voropessāmī’’ti saṅgharakkhito sampaṭicchati. Mūlaṭṭhassa āpatti thullaccayassāti saṅgharakkhitena paṭiggahitamatte ācariyassa thullaccayaṃ. Mahājano hi tena pāpe niyojitoti. So tanti so ce saṅgharakkhito taṃ puggalaṃ jīvitā voropeti, sabbesaṃ catunnampi janānaṃ pārājikaṃ. Na kevalañca catunnaṃ, etenūpāyena visaṅketaṃ akatvā paramparāya āṇāpentaṃ samaṇasataṃ samaṇasahassaṃ vā hotu sabbesaṃ pārājikameva.

    วิสกฺกิยทูตปทนิเทฺทเส โส อญฺญํ อาณาเปตีติ โส อาจริเยน อาณโตฺต พุทฺธรกฺขิโต ธมฺมรกฺขิตํ อทิสฺวา วา อวตฺตุกาโม วา หุตฺวา สงฺฆรกฺขิตเมว อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘อมฺหากํ อาจริโย เอวมาห – ‘อิตฺถนฺนามํ กิร ชีวิตา โวโรเปหี’’ติ วิสเงฺกตํ กโรโนฺต อาณาเปติฯ วิสเงฺกตกรเณเนว หิ เอส ‘‘วิสกฺกิยทูโต’’ติ วุจฺจติฯ อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ อาณตฺติยา ตาว พุทฺธรกฺขิตสฺส ทุกฺกฎํฯ ปฎิคฺคณฺหาติ อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ สงฺฆรกฺขิเตน สมฺปฎิจฺฉิเต มูลฎฺฐเสฺสว ทุกฺกฎนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอวํ สเนฺต ปฎิคฺคหเณ อาปตฺติเยว น สิยา, สญฺจริตฺต ปฎิคฺคหณมรณาภินนฺทเนสุปิ จ อาปตฺติ โหติ, มรณปฎิคฺคหเณ กถํ น สิยา ตสฺมา ปฎิคฺคณฺหนฺตเสฺสเวตํ ทุกฺกฎํฯ เตเนเวตฺถ ‘‘มูลฎฺฐสฺสา’’ติ น วุตฺตํฯ ปุริมนเยปิ เจตํ ปฎิคฺคณฺหนฺตสฺส เวทิตพฺพเมว; โอกาสาภาเวน ปน น วุตฺตํฯ ตสฺมา โย โย ปฎิคฺคณฺหาติ, ตสฺส ตสฺส ตปฺปจฺจยา อาปตฺติเยวาติ อยเมตฺถ อมฺหากํ ขนฺติฯ ยถา เจตฺถ เอวํ อทินฺนาทาเนปีติฯ

    Visakkiyadūtapadaniddese so aññaṃ āṇāpetīti so ācariyena āṇatto buddharakkhito dhammarakkhitaṃ adisvā vā avattukāmo vā hutvā saṅgharakkhitameva upasaṅkamitvā ‘‘amhākaṃ ācariyo evamāha – ‘itthannāmaṃ kira jīvitā voropehī’’ti visaṅketaṃ karonto āṇāpeti. Visaṅketakaraṇeneva hi esa ‘‘visakkiyadūto’’ti vuccati. Āpatti dukkaṭassāti āṇattiyā tāva buddharakkhitassa dukkaṭaṃ. Paṭiggaṇhāti āpatti dukkaṭassāti saṅgharakkhitena sampaṭicchite mūlaṭṭhasseva dukkaṭanti veditabbaṃ. Evaṃ sante paṭiggahaṇe āpattiyeva na siyā, sañcaritta paṭiggahaṇamaraṇābhinandanesupi ca āpatti hoti, maraṇapaṭiggahaṇe kathaṃ na siyā tasmā paṭiggaṇhantassevetaṃ dukkaṭaṃ. Tenevettha ‘‘mūlaṭṭhassā’’ti na vuttaṃ. Purimanayepi cetaṃ paṭiggaṇhantassa veditabbameva; okāsābhāvena pana na vuttaṃ. Tasmā yo yo paṭiggaṇhāti, tassa tassa tappaccayā āpattiyevāti ayamettha amhākaṃ khanti. Yathā cettha evaṃ adinnādānepīti.

    สเจ ปน โส ตํ ชีวิตา โวโรเปติ, อาณาปกสฺส จ พุทฺธรกฺขิตสฺส โวโรปกสฺส จ สงฺฆรกฺขิตสฺสาติ อุภินฺนมฺปิ ปาราชิกํฯ มูลฎฺฐสฺส ปน อาจริยสฺส วิสเงฺกตตฺตา ปาราชิเกน อนาปตฺติฯ ธมฺมรกฺขิตสฺส อชานนตาย สเพฺพน สพฺพํ อนาปตฺติฯ พุทฺธรกฺขิโต ปน ทฺวินฺนํ โสตฺถิภาวํ กตฺวา อตฺตนา นโฎฺฐติฯ

    Sace pana so taṃ jīvitā voropeti, āṇāpakassa ca buddharakkhitassa voropakassa ca saṅgharakkhitassāti ubhinnampi pārājikaṃ. Mūlaṭṭhassa pana ācariyassa visaṅketattā pārājikena anāpatti. Dhammarakkhitassa ajānanatāya sabbena sabbaṃ anāpatti. Buddharakkhito pana dvinnaṃ sotthibhāvaṃ katvā attanā naṭṭhoti.

    คตปจฺจาคตทูตนิเทฺทเส – โส คนฺตฺวา ปุน ปจฺจาคจฺฉตีติ ตสฺส ชีวิตา โวโรเปตพฺพสฺส สมีปํ คนฺตฺวา สุสํวิหิตารกฺขตฺตา ตํ ชีวิตา โวโรเปตุํ อสโกฺกโนฺต อาคจฺฉติฯ ยทา สโกฺกสิ ตทาติ กิํ อเชฺชว มาริโต มาริโต โหติ, คจฺฉ ยทา สโกฺกสิ, ตทา นํ ชีวิตา โวโรเปหีติฯ อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสาติ เอวํ ปุน อาณตฺติยาปิ ทุกฺกฎเมว โหติฯ สเจ ปน โส อวสฺสํ ชีวิตา โวโรเปตโพฺพ โหติ, อตฺถสาธกเจตนา มคฺคานนฺตรผลสทิสา, ตสฺมา อยํ อาณตฺติกฺขเณเยว ปาราชิโกฯ สเจปิ วธโก สฎฺฐิวสฺสาติกฺกเมน ตํ วธติ, อาณาปโก จ อนฺตราว กาลงฺกโรติ, หีนาย วา อาวตฺตติ, อสฺสมโณว หุตฺวา กาลญฺจ กริสฺสติ, หีนาย วา อาวตฺติสฺสติฯ สเจ อาณาปโก คิหิกาเล มาตรํ วา ปิตรํ วา อรหนฺตํ วา สนฺธาย เอวํ อาณาเปตฺวา ปพฺพชติ, ตสฺมิํ ปพฺพชิเต อาณโตฺต ตํ มาเรติ, อาณาปโก คิหิกาเลเยว มาตุฆาตโก ปิตุฆาตโก อรหนฺตฆาตโก วา โหติ, ตสฺมา เนวสฺส ปพฺพชฺชา , น อุปสมฺปทา รุหติฯ สเจปิ มาเรตพฺพปุคฺคโล อาณตฺติกฺขเณ ปุถุชฺชโน, ยทา ปน นํ อาณโตฺต มาเรติ ตทา อรหา โหติ, อาณตฺตโต วา ปหารํ ลภิตฺวา ทุกฺขมูลิกํ สทฺธํ นิสฺสาย วิปสฺสโนฺต อรหตฺตํ ปตฺวา เตเนวาพาเธน กาลํกโรติ, อาณาปโก อาณตฺติกฺขเณเยว อรหนฺตฆาตโกฯ วธโก ปน สพฺพตฺถ อุปกฺกมกรณกฺขเณเยว ปาราชิโกติฯ

    Gatapaccāgatadūtaniddese – so gantvā puna paccāgacchatīti tassa jīvitā voropetabbassa samīpaṃ gantvā susaṃvihitārakkhattā taṃ jīvitā voropetuṃ asakkonto āgacchati. Yadā sakkosi tadāti kiṃ ajjeva mārito mārito hoti, gaccha yadā sakkosi, tadā naṃ jīvitā voropehīti. Āpatti dukkaṭassāti evaṃ puna āṇattiyāpi dukkaṭameva hoti. Sace pana so avassaṃ jīvitā voropetabbo hoti, atthasādhakacetanā maggānantaraphalasadisā, tasmā ayaṃ āṇattikkhaṇeyeva pārājiko. Sacepi vadhako saṭṭhivassātikkamena taṃ vadhati, āṇāpako ca antarāva kālaṅkaroti, hīnāya vā āvattati, assamaṇova hutvā kālañca karissati, hīnāya vā āvattissati. Sace āṇāpako gihikāle mātaraṃ vā pitaraṃ vā arahantaṃ vā sandhāya evaṃ āṇāpetvā pabbajati, tasmiṃ pabbajite āṇatto taṃ māreti, āṇāpako gihikāleyeva mātughātako pitughātako arahantaghātako vā hoti, tasmā nevassa pabbajjā , na upasampadā ruhati. Sacepi māretabbapuggalo āṇattikkhaṇe puthujjano, yadā pana naṃ āṇatto māreti tadā arahā hoti, āṇattato vā pahāraṃ labhitvā dukkhamūlikaṃ saddhaṃ nissāya vipassanto arahattaṃ patvā tenevābādhena kālaṃkaroti, āṇāpako āṇattikkhaṇeyeva arahantaghātako. Vadhako pana sabbattha upakkamakaraṇakkhaṇeyeva pārājikoti.

    อิทานิ เย สเพฺพสุเยว อิเมสุ ทูตวเสน วุตฺตมาติกาปเทสุ สเงฺกตวิสเงฺกตทสฺสนตฺถํ

    Idāni ye sabbesuyeva imesu dūtavasena vuttamātikāpadesu saṅketavisaṅketadassanatthaṃ

    วุตฺตา ตโย วารา, เตสุ ปฐมวาเร ตาว – ยสฺมา ตํ สณิกํ วา ภณโนฺต ตสฺส วา พธิรตาย ‘‘มา ฆาเตหี’’ติ เอตํ วจนํ น สาเวติ, ตสฺมา มูลโฎฺฐ น มุโตฺตฯ ทุติยวาเร – สาวิตตฺตา มุโตฺตฯ ตติยวาเร ปน เตน จ สาวิตตฺตา อิตเรน จ ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา โอรตตฺตา อุโภปิ มุตฺตาติฯ

    Vuttā tayo vārā, tesu paṭhamavāre tāva – yasmā taṃ saṇikaṃ vā bhaṇanto tassa vā badhiratāya ‘‘mā ghātehī’’ti etaṃ vacanaṃ na sāveti, tasmā mūlaṭṭho na mutto. Dutiyavāre – sāvitattā mutto. Tatiyavāre pana tena ca sāvitattā itarena ca ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā oratattā ubhopi muttāti.

    ทูตกถา นิฎฺฐิตาฯ

    Dūtakathā niṭṭhitā.

    ๑๗๕. อรโห รโหสญฺญีนิเทฺทสาทีสุ อรโหติ สมฺมุเขฯ รโหติ ปรมฺมุเขฯ ตตฺถ โย อุปฎฺฐานกาเล เวริภิกฺขุมฺหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ อาคนฺตฺวา ปุรโต นิสิเนฺนเยว อนฺธการโทเสน ตสฺส อาคตภาวํ อชานโนฺต ‘‘อโห วต อิตฺถนฺนาโม หโต อสฺส, โจราปิ นาม ตํ น หนนฺติ, สโปฺป วา น ฑํสติ, น สตฺถํ วา วิสํ วา อาหรตี’’ติ ตสฺส มรณํ อภินนฺทโนฺต อีทิสานิ วจนานิ อุลฺลปติ, อยํ อรโห รโหสญฺญี อุลฺลปติ นามฯ สมฺมุเขว ตสฺมิํ ปรมฺมุขสญฺญีติ อโตฺถฯ โย ปน ตํ ปุรโต นิสินฺนํ ทิสฺวา ปุน อุปฎฺฐานํ กตฺวา คเตหิ ภิกฺขูหิ สทฺธิํ คเตปิ ตสฺมิํ ‘‘อิเธว โส นิสิโนฺน’’ติ สญฺญี หุตฺวา ปุริมนเยเนว อุลฺลปติ, อยํ รโห อรโหสญฺญี อุลฺลปติ นามฯ เอเตเนวุปาเยน อรโห อรโหสญฺญี จ รโห รโหสญฺญี จ เวทิตโพฺพฯ จตุนฺนมฺปิ จ เอเตสํ วาจาย วาจาย ทุกฺกฎนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    175. Araho rahosaññīniddesādīsu arahoti sammukhe. Rahoti parammukhe. Tattha yo upaṭṭhānakāle veribhikkhumhi bhikkhūhi saddhiṃ āgantvā purato nisinneyeva andhakāradosena tassa āgatabhāvaṃ ajānanto ‘‘aho vata itthannāmo hato assa, corāpi nāma taṃ na hananti, sappo vā na ḍaṃsati, na satthaṃ vā visaṃ vā āharatī’’ti tassa maraṇaṃ abhinandanto īdisāni vacanāni ullapati, ayaṃ araho rahosaññī ullapati nāma. Sammukheva tasmiṃ parammukhasaññīti attho. Yo pana taṃ purato nisinnaṃ disvā puna upaṭṭhānaṃ katvā gatehi bhikkhūhi saddhiṃ gatepi tasmiṃ ‘‘idheva so nisinno’’ti saññī hutvā purimanayeneva ullapati, ayaṃ raho arahosaññī ullapati nāma. Etenevupāyena araho arahosaññī ca raho rahosaññī ca veditabbo. Catunnampi ca etesaṃ vācāya vācāya dukkaṭanti veditabbaṃ.

    อิทานิ มรณวณฺณสํวณฺณนาย วิภาคทสฺสนตฺถํ วุเตฺตสุ ปญฺจสุ กาเยน สํวณฺณนาทิมาติกานิเทฺทเสสุ – กาเยน วิการํ กโรตีติ ยถา โส ชานาติ ‘‘สตฺถํ วา อาหริตฺวา วิสํ วา ขาทิตฺวา รชฺชุยา วา อุพฺพนฺธิตฺวา โสพฺภาทีสุ วา ปปติตฺวา โย มรติ โส กิร ธนํ วา ลภติ, ยสํ วา ลภติ, สคฺคํ วา คจฺฉตีติ อยมโตฺถ เอเตน วุโตฺต’’ติ ตถา หตฺถมุทฺทาทีหิ ทเสฺสติฯ วาจาย ภณตีติ ตเมวตฺถํ วากฺยเภทํ กตฺวา ภณติฯ ตติยวาโร อุภยวเสน วุโตฺตฯ สพฺพตฺถ สํวณฺณนาย ปโยเค ปโยเค ทุกฺกฎํฯ ตสฺส ทุกฺขุปฺปตฺติยํ สํวณฺณกสฺส ถุลฺลจฺจยํฯ ยํ อุทฺทิสฺส สํวณฺณนา กตา, ตสฺมิํ มเต สํวณฺณนกฺขเณเยว สํวณฺณกสฺส ปาราชิกํฯ โส ตํ น ชานาติ อโญฺญ ญตฺวา ‘‘ลโทฺธ วต เม สุขุปฺปตฺติอุปาโย’’ติ ตาย สํวณฺณนาย มรติ, อนาปตฺติฯ ทฺวินฺนํ อุทฺทิสฺส สํวณฺณนาย กตาย เอโก ญตฺวา มรติ, ปาราชิกํฯ เทฺวปิ มรนฺติ, ปาราชิกญฺจ อกุสลราสิ จฯ เอส นโย สมฺพหุเลสุฯ อนุทฺทิสฺส มรณํ สํวเณฺณโนฺต อาหิณฺฑติ, โย โย ตํ สํวณฺณนํ ญตฺวา มรติ, สโพฺพ เตน มาริโต โหติฯ

    Idāni maraṇavaṇṇasaṃvaṇṇanāya vibhāgadassanatthaṃ vuttesu pañcasu kāyena saṃvaṇṇanādimātikāniddesesu – kāyena vikāraṃ karotīti yathā so jānāti ‘‘satthaṃ vā āharitvā visaṃ vā khāditvā rajjuyā vā ubbandhitvā sobbhādīsu vā papatitvā yo marati so kira dhanaṃ vā labhati, yasaṃ vā labhati, saggaṃ vā gacchatīti ayamattho etena vutto’’ti tathā hatthamuddādīhi dasseti. Vācāya bhaṇatīti tamevatthaṃ vākyabhedaṃ katvā bhaṇati. Tatiyavāro ubhayavasena vutto. Sabbattha saṃvaṇṇanāya payoge payoge dukkaṭaṃ. Tassa dukkhuppattiyaṃ saṃvaṇṇakassa thullaccayaṃ. Yaṃ uddissa saṃvaṇṇanā katā, tasmiṃ mate saṃvaṇṇanakkhaṇeyeva saṃvaṇṇakassa pārājikaṃ. So taṃ na jānāti añño ñatvā ‘‘laddho vata me sukhuppattiupāyo’’ti tāya saṃvaṇṇanāya marati, anāpatti. Dvinnaṃ uddissa saṃvaṇṇanāya katāya eko ñatvā marati, pārājikaṃ. Dvepi maranti, pārājikañca akusalarāsi ca. Esa nayo sambahulesu. Anuddissa maraṇaṃ saṃvaṇṇento āhiṇḍati, yo yo taṃ saṃvaṇṇanaṃ ñatvā marati, sabbo tena mārito hoti.

    ทูเตน สํวณฺณนายํ ‘‘อสุกํ นาม เคหํ วา คามํ วา คนฺตฺวา อิตฺถนฺนามสฺส เอวํ มรณวณฺณํ สํวเณฺณหี’’ติ สาสเน อาโรจิตมเตฺต ทุกฺกฎํฯ ยสฺสตฺถาย ปหิโต ตสฺส ทุกฺขุปฺปตฺติยา มูลฎฺฐสฺส ถุลฺลจฺจยํ, มรเณน ปาราชิกํฯ ทูโต ‘‘ญาโต ทานิ อยํ สคฺคมโคฺค’’ติ ตสฺส อนาโรเจตฺวา อตฺตโน ญาติสฺส วา สาโลหิตสฺส วา อาโรเจติ, ตสฺมิํ มเต วิสเงฺกโต โหติ, มูลโฎฺฐ มุจฺจติฯ ทูโต ตเถว จิเนฺตตฺวา สยํ สํวณฺณนาย วุตฺตํ กตฺวา มรติ, วิสเงฺกโตวฯ อนุทฺทิสฺส ปน สาสเน อาโรจิเต ยตฺตกา ทูตสฺส สํวณฺณนาย มรนฺติ, ตตฺตกา ปาณาติปาตาฯ สเจ มาตาปิตโร มรนฺติ, อานนฺตริยมฺปิ โหติฯ

    Dūtena saṃvaṇṇanāyaṃ ‘‘asukaṃ nāma gehaṃ vā gāmaṃ vā gantvā itthannāmassa evaṃ maraṇavaṇṇaṃ saṃvaṇṇehī’’ti sāsane ārocitamatte dukkaṭaṃ. Yassatthāya pahito tassa dukkhuppattiyā mūlaṭṭhassa thullaccayaṃ, maraṇena pārājikaṃ. Dūto ‘‘ñāto dāni ayaṃ saggamaggo’’ti tassa anārocetvā attano ñātissa vā sālohitassa vā āroceti, tasmiṃ mate visaṅketo hoti, mūlaṭṭho muccati. Dūto tatheva cintetvā sayaṃ saṃvaṇṇanāya vuttaṃ katvā marati, visaṅketova. Anuddissa pana sāsane ārocite yattakā dūtassa saṃvaṇṇanāya maranti, tattakā pāṇātipātā. Sace mātāpitaro maranti, ānantariyampi hoti.

    ๑๗๖. เลขาสํวณฺณนาย – เลขํ ฉินฺทตีติ ปเณฺณ วา โปตฺถเก วา อกฺขรานิ ลิขติ – ‘‘โย สตฺถํ วา อาหริตฺวา ปปาเต วา ปปติตฺวา อเญฺญหิ วา อคฺคิปฺปเวสนอุทกปฺปเวสนาทีหิ อุปาเยหิ มรติ, โส อิทญฺจิทญฺจ ลภตี’’ติ วา ‘‘ตสฺส ธโมฺม โหตี’’ติ วาติฯ เอตฺถาปิ ทุกฺกฎถุลฺลจฺจยา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพาฯ อุทฺทิสฺส ลิขิเต ปน ยํ อุทฺทิสฺส ลิขิตํ ตเสฺสว มรเณน ปาราชิกํฯ พหู อุทฺทิสฺส ลิขิเต ยตฺตกา มรนฺติ, ตตฺตกา ปาณาติปาตาฯ มาตาปิตูนํ มรเณน อานนฺตริยํฯ อนุทฺทิสฺส ลิขิเตปิ เอเสว นโยฯ ‘‘พหู มรนฺตี’’ติ วิปฺปฎิสาเร อุปฺปเนฺน ตํ โปตฺถกํ ฌาเปตฺวา วา ยถา วา อกฺขรานิ น ปญฺญายนฺติ ตถา กตฺวา มุจฺจติฯ สเจ โส ปรสฺส โปตฺถโก โหติ, อุทฺทิสฺส ลิขิโต วา โหติ อนุทฺทิสฺส ลิขิโต วา, คหิตฎฺฐาเน ฐเปตฺวา มุจฺจติฯ สเจ มูเลน กีโต โหติ, โปตฺถกสฺสามิกานํ โปตฺถกํ, เยสํ หตฺถโต มูลํ คหิตํ, เตสํ มูลํ ทตฺวา มุจฺจติฯ สเจ สมฺพหุลา ‘‘มรณวณฺณํ ลิขิสฺสามา’’ติ เอกชฺฌาสยา หุตฺวา เอโก ตาลรุกฺขํ อาโรหิตฺวา ปณฺณํ ฉินฺทติ, เอโก อาหรติ, เอโก โปตฺถกํ กโรติ, เอโก ลิขติ, เอโก สเจ กณฺฎกเลขา โหติ, มสิํ มเกฺขติ, มสิํ มเกฺขตฺวา ตํ โปตฺถกํ สเชฺชตฺวา สเพฺพว สภายํ วา อาปเณ วา ยตฺถ วา ปน เลขาทสฺสนโกตูหลกา พหู สนฺนิปตนฺติ, ตตฺถ ฐเปนฺติฯ ตํ วาเจตฺวา สเจปิ เอโก มรติ, สเพฺพสํ ปาราชิกํฯ สเจ พหุกา มรนฺติ, วุตฺตสทิโสว นโยฯ วิปฺปฎิสาเร ปน อุปฺปเนฺน ตํ โปตฺถกํ สเจปิ มญฺชูสายํ โคเปนฺติ, อโญฺญ จ ตํ ทิสฺวา นีหริตฺวา ปุน พหูนํ ทเสฺสติ, เนว มุจฺจนฺติฯ ติฎฺฐตุ มญฺชูสา, สเจปิ ตํ โปตฺถกํ นทิยํ วา สมุเทฺท วา ขิปนฺติ วา โธวนฺติ วา ขณฺฑาขณฺฑํ วา ฉินฺทนฺติ, อคฺคิมฺหิ วา ฌาเปนฺติ, ยาว สงฺฆฎฺฎิเตปิ ทุโทฺธเต วา ทุชฺฌาปิเต วา ปเตฺต อกฺขรานิ ปญฺญายนฺติ, ตาว น มุจฺจนฺติฯ ยถา ปน อกฺขรานิ น ปญฺญายนฺติ ตเถว กเต มุจฺจนฺตีติฯ

    176. Lekhāsaṃvaṇṇanāya – lekhaṃ chindatīti paṇṇe vā potthake vā akkharāni likhati – ‘‘yo satthaṃ vā āharitvā papāte vā papatitvā aññehi vā aggippavesanaudakappavesanādīhi upāyehi marati, so idañcidañca labhatī’’ti vā ‘‘tassa dhammo hotī’’ti vāti. Etthāpi dukkaṭathullaccayā vuttanayeneva veditabbā. Uddissa likhite pana yaṃ uddissa likhitaṃ tasseva maraṇena pārājikaṃ. Bahū uddissa likhite yattakā maranti, tattakā pāṇātipātā. Mātāpitūnaṃ maraṇena ānantariyaṃ. Anuddissa likhitepi eseva nayo. ‘‘Bahū marantī’’ti vippaṭisāre uppanne taṃ potthakaṃ jhāpetvā vā yathā vā akkharāni na paññāyanti tathā katvā muccati. Sace so parassa potthako hoti, uddissa likhito vā hoti anuddissa likhito vā, gahitaṭṭhāne ṭhapetvā muccati. Sace mūlena kīto hoti, potthakassāmikānaṃ potthakaṃ, yesaṃ hatthato mūlaṃ gahitaṃ, tesaṃ mūlaṃ datvā muccati. Sace sambahulā ‘‘maraṇavaṇṇaṃ likhissāmā’’ti ekajjhāsayā hutvā eko tālarukkhaṃ ārohitvā paṇṇaṃ chindati, eko āharati, eko potthakaṃ karoti, eko likhati, eko sace kaṇṭakalekhā hoti, masiṃ makkheti, masiṃ makkhetvā taṃ potthakaṃ sajjetvā sabbeva sabhāyaṃ vā āpaṇe vā yattha vā pana lekhādassanakotūhalakā bahū sannipatanti, tattha ṭhapenti. Taṃ vācetvā sacepi eko marati, sabbesaṃ pārājikaṃ. Sace bahukā maranti, vuttasadisova nayo. Vippaṭisāre pana uppanne taṃ potthakaṃ sacepi mañjūsāyaṃ gopenti, añño ca taṃ disvā nīharitvā puna bahūnaṃ dasseti, neva muccanti. Tiṭṭhatu mañjūsā, sacepi taṃ potthakaṃ nadiyaṃ vā samudde vā khipanti vā dhovanti vā khaṇḍākhaṇḍaṃ vā chindanti, aggimhi vā jhāpenti, yāva saṅghaṭṭitepi duddhote vā dujjhāpite vā patte akkharāni paññāyanti, tāva na muccanti. Yathā pana akkharāni na paññāyanti tatheva kate muccantīti.

    อิทานิ ถาวรปโยคสฺส วิภาคทสฺสนตฺถํ วุเตฺตสุ โอปาตาทิมาติกานิเทฺทเสสุ มนุสฺสํ อุทฺทิสฺส โอปาตํ ขนตีติ ‘‘อิตฺถนฺนาโม ปติตฺวา มริสฺสตี’’ติ กญฺจิ มนุสฺสํ อุทฺทิสิตฺวา ยตฺถ โส เอกโต วิจรติ, ตตฺถ อาวาฎํ ขนติ, ขนนฺตสฺส ตาว สเจปิ ชาตปถวิยา ขนติ, ปาณาติปาตสฺส ปโยคตฺตา ปโยเค ปโยเค ทุกฺกฎํฯ ยํ อุทฺทิสฺส ขนติ, ตสฺส ทุกฺขุปฺปตฺติยา ถุลฺลจฺจยํ, มรเณน ปาราชิกํฯ อญฺญสฺมิํ ปติตฺวา มเต อนาปตฺติฯ สเจ อนุทฺทิสฺส ‘‘โย โกจิ มริสฺสตี’’ติ ขโต โหติ, ยตฺตกา ปติตฺวา มรนฺติ, ตตฺตกา ปาณาติปาตาฯ อานนฺตริยวตฺถูสุ จ อานนฺตริยํ ถุลฺลจฺจยปาจิตฺติยวตฺถูสุ ถุลฺลจฺจยปาจิตฺติยานิฯ

    Idāni thāvarapayogassa vibhāgadassanatthaṃ vuttesu opātādimātikāniddesesu manussaṃ uddissa opātaṃ khanatīti ‘‘itthannāmo patitvā marissatī’’ti kañci manussaṃ uddisitvā yattha so ekato vicarati, tattha āvāṭaṃ khanati, khanantassa tāva sacepi jātapathaviyā khanati, pāṇātipātassa payogattā payoge payoge dukkaṭaṃ. Yaṃ uddissa khanati, tassa dukkhuppattiyā thullaccayaṃ, maraṇena pārājikaṃ. Aññasmiṃ patitvā mate anāpatti. Sace anuddissa ‘‘yo koci marissatī’’ti khato hoti, yattakā patitvā maranti, tattakā pāṇātipātā. Ānantariyavatthūsu ca ānantariyaṃ thullaccayapācittiyavatthūsu thullaccayapācittiyāni.

    พหู ตตฺถ เจตนา; กตมาย ปาราชิกํ โหตีติ? มหาอฎฺฐกถายํ ตาว วุตฺตํ – ‘‘อาวาฎํ คมฺภีรโต จ อายามวิตฺถารโต จ ขนิตฺวา ปมาเณ ฐเปตฺวา ตเจฺฉตฺวา ปุญฺฉิตฺวา ปํสุปจฺฉิํ อุทฺธรนฺตสฺส สนฺนิฎฺฐาปิกา อตฺถสาธกเจตนา มคฺคานนฺตรผลสทิสาฯ สเจปิ วสฺสสตสฺส อจฺจเยน ปติตฺวา อวสฺสํ มรณกสโตฺต โหติ, สนฺนิฎฺฐาปกเจตนายเมว ปาราชิก’’นฺติฯ มหาปจฺจริยํ ปน สเงฺขปฎฺฐกถายญฺจ – ‘‘อิมสฺมิํ อาวาเฎ ปติตฺวา มริสฺสตีติ เอกสฺมิมฺปิ กุทฺทาลปฺปหาเร ทิเนฺน สเจ โกจิ ตตฺถ ปกฺขลิโต ปติตฺวา มรติ, ปาราชิกเมวฯ สุตฺตนฺติกเตฺถรา ปน สนฺนิฎฺฐาปกเจตนํ คณฺหนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ

    Bahū tattha cetanā; katamāya pārājikaṃ hotīti? Mahāaṭṭhakathāyaṃ tāva vuttaṃ – ‘‘āvāṭaṃ gambhīrato ca āyāmavitthārato ca khanitvā pamāṇe ṭhapetvā tacchetvā puñchitvā paṃsupacchiṃ uddharantassa sanniṭṭhāpikā atthasādhakacetanā maggānantaraphalasadisā. Sacepi vassasatassa accayena patitvā avassaṃ maraṇakasatto hoti, sanniṭṭhāpakacetanāyameva pārājika’’nti. Mahāpaccariyaṃ pana saṅkhepaṭṭhakathāyañca – ‘‘imasmiṃ āvāṭe patitvā marissatīti ekasmimpi kuddālappahāre dinne sace koci tattha pakkhalito patitvā marati, pārājikameva. Suttantikattherā pana sanniṭṭhāpakacetanaṃ gaṇhantī’’ti vuttaṃ.

    เอโก ‘‘โอปาตํ ขนิตฺวา อสุกํ นาม อาเนตฺวา อิธ ปาเตตฺวา มาเรหี’’ติ อญฺญํ อาณาเปติ, โส ตํ ปาเตตฺวา มาเรติ, อุภินฺนํ ปาราชิกํฯ อญฺญํ ปาเตตฺวา มาเรติ, สยํ ปติตฺวา มรติ, อโญฺญ อตฺตโน ธมฺมตาย ปติตฺวา มรติ, สพฺพตฺถ วิสเงฺกโต โหติ, มูลโฎฺฐ มุจฺจติฯ ‘‘อสุโก อสุกํ อาเนตฺวา อิธ มาเรสฺสตี’’ติ ขเตปิ เอเสว นโยฯ มริตุกามา อิธ มริสฺสนฺตีติ ขนติ, เอกสฺส มรเณ ปาราชิกํฯ พหุนฺนํ มรเณ อกุสลราสิ , มาตาปิตูนํ มรเณ อานนฺตริยํ, ถุลฺลจฺจยปาจิตฺติยวตฺถูสุ ถุลฺลจฺจยปาจิตฺติยานิฯ

    Eko ‘‘opātaṃ khanitvā asukaṃ nāma ānetvā idha pātetvā mārehī’’ti aññaṃ āṇāpeti, so taṃ pātetvā māreti, ubhinnaṃ pārājikaṃ. Aññaṃ pātetvā māreti, sayaṃ patitvā marati, añño attano dhammatāya patitvā marati, sabbattha visaṅketo hoti, mūlaṭṭho muccati. ‘‘Asuko asukaṃ ānetvā idha māressatī’’ti khatepi eseva nayo. Maritukāmā idha marissantīti khanati, ekassa maraṇe pārājikaṃ. Bahunnaṃ maraṇe akusalarāsi , mātāpitūnaṃ maraṇe ānantariyaṃ, thullaccayapācittiyavatthūsu thullaccayapācittiyāni.

    ‘‘เย เกจิ มาเรตุกามา, เต อิธ ปาเตตฺวา มาเรสฺสนฺตี’’ติ ขนติ, ตตฺถ ปาเตตฺวา มาเรนฺติ , เอกสฺมิํ มเต ปาราชิกํ, พหูสุ อกุสลราสิ, อานนฺตริยาทิวตฺถูสุ อานนฺตริยาทีนิฯ อิเธว อรหนฺตาปิ สงฺคหํ คจฺฉนฺติฯ ปุริมนเย ปน ‘‘เตสํ มริตุกามตาย ปตนํ นตฺถี’’ติ เต น สงฺคยฺหนฺติฯ ทฺวีสุปิ นเยสุ อตฺตโน ธมฺมตาย ปติตฺวา มเต วิสเงฺกโตฯ ‘‘เย เกจิ อตฺตโน เวริเก เอตฺถ ปาเตตฺวา มาเรสฺสนฺตี’’ติ ขนติ, ตตฺถ จ เวริกา เวริเก ปาเตตฺวา มาเรนฺติ, เอกสฺมิํ มาริเต ปาราชิกํ, พหูสุ อกุสลราสิ, มาตริ วา ปิตริ วา อรหเนฺต วา เวริเกหิ อาเนตฺวา ตตฺถ มาริเต อานนฺตริยํฯ อตฺตโน ธมฺมตาย ปติตฺวา มเตสุ วิสเงฺกโตฯ

    ‘‘Ye keci māretukāmā, te idha pātetvā māressantī’’ti khanati, tattha pātetvā mārenti , ekasmiṃ mate pārājikaṃ, bahūsu akusalarāsi, ānantariyādivatthūsu ānantariyādīni. Idheva arahantāpi saṅgahaṃ gacchanti. Purimanaye pana ‘‘tesaṃ maritukāmatāya patanaṃ natthī’’ti te na saṅgayhanti. Dvīsupi nayesu attano dhammatāya patitvā mate visaṅketo. ‘‘Ye keci attano verike ettha pātetvā māressantī’’ti khanati, tattha ca verikā verike pātetvā mārenti, ekasmiṃ mārite pārājikaṃ, bahūsu akusalarāsi, mātari vā pitari vā arahante vā verikehi ānetvā tattha mārite ānantariyaṃ. Attano dhammatāya patitvā matesu visaṅketo.

    โย ปน ‘‘มริตุกามา วา อมริตุกามา วา มาเรตุกามา วา อมาเรตุกามา วา เย เกจิ เอตฺถ ปติตา วา ปาติตา วา มริสฺสนฺตี’’ติ สพฺพถาปิ อนุทฺทิเสฺสว ขนติฯ โย โย มรติ ตสฺส ตสฺส มรเณน ยถานุรูปํ กมฺมญฺจ ผุสติ, อาปตฺติญฺจ อาปชฺชติฯ สเจ คพฺภินี ปติตฺวา สคพฺภา มรติ, เทฺว ปาณาติปาตาฯ คโพฺภเยว วินสฺสติ, เอโกฯ คโพฺภ น วินสฺสติ, มาตา มรติ, เอโกเยวฯ โจเรหิ อนุพโทฺธ ปติตฺวา มรติ, โอปาตขนกเสฺสว ปาราชิกํฯ โจรา ตตฺถ ปาเตตฺวา มาเรนฺติ, ปาราชิกเมวฯ ตตฺถ ปติตํ พหิ นีหริตฺวา มาเรนฺติ, ปาราชิกเมวฯ กสฺมา? โอปาเต ปติตปฺปโยเคน คหิตตฺตาฯ โอปาตโต นิกฺขมิตฺวา เตเนว อาพาเธน มรติ, ปาราชิกเมวฯ พหูนิ วสฺสานิ อติกฺกมิตฺวา ปุน กุปิเตน เตเนวาพาเธน มรติ, ปาราชิกเมวฯ โอปาเต ปตนปฺปจฺจยา อุปฺปนฺนโรเคน คิลานเสฺสว อโญฺญ โรโค อุปฺปชฺชติ, โอปาตโรโค พลวตโร โหติ, เตน มเตปิ โอปาตขณโก น มุจฺจติฯ สเจ ปจฺฉา อุปฺปนฺนโรโค พลวา โหติ, เตน มเต มุจฺจติฯ อุโภหิ มเต น มุจฺจติฯ โอปาเต โอปปาติกมนุโสฺส นิพฺพตฺติตฺวา อุตฺตริตุํ อสโกฺกโนฺต มรติ, ปาราชิกเมวฯ มนุสฺสํ อุทฺทิสฺส ขเต ยกฺขาทีสุ ปติตฺวา มเตสุ อนาปตฺติฯ ยกฺขาทโย อุทฺทิสฺส ขเต มนุสฺสาทีสุ มรเนฺตสุปิ เอเสว นโยฯ ยกฺขาทโย อุทฺทิสฺส ขนนฺตสฺส ปน ขนเนปิ เตสํ ทุกฺขุปฺปตฺติยมฺปิ ทุกฺกฎเมวฯ มรเณ วตฺถุวเสน ถุลฺลจฺจยํ วา ปาจิตฺติยํ วาฯ อนุทฺทิสฺส ขเต โอปาเต ยกฺขรูเปน วา เปตรูเปน วา ปตติ, ติรจฺฉานรูเปน มรติ, ปตนรูปํ ปมาณํ, ตสฺมา ถุลฺลจฺจยนฺติ อุปติสฺสเตฺถโรฯ มรณรูปํ ปมาณํ, ตสฺมา ปาจิตฺติยนฺติ ผุสฺสเทวเตฺถโรฯ ติรจฺฉานรูเปน ปติตฺวา ยกฺขเปตรูเปน มเตปิ เอเสว นโยฯ

    Yo pana ‘‘maritukāmā vā amaritukāmā vā māretukāmā vā amāretukāmā vā ye keci ettha patitā vā pātitā vā marissantī’’ti sabbathāpi anuddisseva khanati. Yo yo marati tassa tassa maraṇena yathānurūpaṃ kammañca phusati, āpattiñca āpajjati. Sace gabbhinī patitvā sagabbhā marati, dve pāṇātipātā. Gabbhoyeva vinassati, eko. Gabbho na vinassati, mātā marati, ekoyeva. Corehi anubaddho patitvā marati, opātakhanakasseva pārājikaṃ. Corā tattha pātetvā mārenti, pārājikameva. Tattha patitaṃ bahi nīharitvā mārenti, pārājikameva. Kasmā? Opāte patitappayogena gahitattā. Opātato nikkhamitvā teneva ābādhena marati, pārājikameva. Bahūni vassāni atikkamitvā puna kupitena tenevābādhena marati, pārājikameva. Opāte patanappaccayā uppannarogena gilānasseva añño rogo uppajjati, opātarogo balavataro hoti, tena matepi opātakhaṇako na muccati. Sace pacchā uppannarogo balavā hoti, tena mate muccati. Ubhohi mate na muccati. Opāte opapātikamanusso nibbattitvā uttarituṃ asakkonto marati, pārājikameva. Manussaṃ uddissa khate yakkhādīsu patitvā matesu anāpatti. Yakkhādayo uddissa khate manussādīsu marantesupi eseva nayo. Yakkhādayo uddissa khanantassa pana khananepi tesaṃ dukkhuppattiyampi dukkaṭameva. Maraṇe vatthuvasena thullaccayaṃ vā pācittiyaṃ vā. Anuddissa khate opāte yakkharūpena vā petarūpena vā patati, tiracchānarūpena marati, patanarūpaṃ pamāṇaṃ, tasmā thullaccayanti upatissatthero. Maraṇarūpaṃ pamāṇaṃ, tasmā pācittiyanti phussadevatthero. Tiracchānarūpena patitvā yakkhapetarūpena matepi eseva nayo.

    โอปาตขนโก โอปาตํ อญฺญสฺส วิกฺกิณาติ วา มุธา วา เทติ, โย โย ปติตฺวา มรติ, ตปฺปจฺจยา ตเสฺสว อาปตฺติ จ กมฺมพโนฺธ จฯ เยน ลโทฺธ โส นิโทฺทโสฯ อถ โสปิ ‘‘เอวํ ปติตา อุตฺตริตุํ อสโกฺกนฺตา นสฺสิสฺสนฺติ, สุอุทฺธรา วา น ภวิสฺสนฺตี’’ติ ตํ โอปาตํ คมฺภีรตรํ วา อุตฺตานตรํ วา ทีฆตรํ วา รสฺสตรํ วา วิตฺถตตรํ วา สมฺพาธตรํ วา กโรติ, อุภินฺนมฺปิ อาปตฺติ จ กมฺมพโนฺธ จฯ พหู มรนฺตีติ วิปฺปฎิสาเร อุปฺปเนฺน โอปาตํ ปํสุนา ปูเรติ, สเจ โกจิ ปํสุมฺหิ ปติตฺวา มรติ, ปูเรตฺวาปิ มูลโฎฺฐ น มุจฺจติฯ เทเว วสฺสเนฺต กทฺทโม โหติ, ตตฺถ ลคฺคิตฺวา มเตปิฯ รุโกฺข วา ปตโนฺต วาโต วา วโสฺสทกํ วา ปํสุํ หรติ, กนฺทมูลตฺถํ วา ปถวิํ ขนนฺตา ตตฺถ อาวาฎํ กโรนฺติฯ ตตฺถ สเจ โกจิ ลคฺคิตฺวา วา ปติตฺวา วา มรติ, มูลโฎฺฐ น มุจฺจติฯ ตสฺมิํ ปน โอกาเส มหนฺตํ ตฬากํ วา โปกฺขรณิํ วา กาเรตฺวา เจติยํ วา ปติฎฺฐาเปตฺวา โพธิํ วา โรเปตฺวา อาวาสํ วา สกฎมคฺคํ วา กาเรตฺวา มุจฺจติฯ ยทาปิ ถิรํ กตฺวา ปูริเต โอปาเต รุกฺขาทีนํ มูลานิ มูเลหิ สํสิพฺพิตานิ โหนฺติ , ชาตปถวี ชาตา, ตทาปิ มุจฺจติฯ สเจปิ นที อาคนฺตฺวา โอปาตํ หรติ, เอวมฺปิ มุจฺจตีติฯ อยํ ตาว โอปาตกถาฯ

    Opātakhanako opātaṃ aññassa vikkiṇāti vā mudhā vā deti, yo yo patitvā marati, tappaccayā tasseva āpatti ca kammabandho ca. Yena laddho so niddoso. Atha sopi ‘‘evaṃ patitā uttarituṃ asakkontā nassissanti, suuddharā vā na bhavissantī’’ti taṃ opātaṃ gambhīrataraṃ vā uttānataraṃ vā dīghataraṃ vā rassataraṃ vā vitthatataraṃ vā sambādhataraṃ vā karoti, ubhinnampi āpatti ca kammabandho ca. Bahū marantīti vippaṭisāre uppanne opātaṃ paṃsunā pūreti, sace koci paṃsumhi patitvā marati, pūretvāpi mūlaṭṭho na muccati. Deve vassante kaddamo hoti, tattha laggitvā matepi. Rukkho vā patanto vāto vā vassodakaṃ vā paṃsuṃ harati, kandamūlatthaṃ vā pathaviṃ khanantā tattha āvāṭaṃ karonti. Tattha sace koci laggitvā vā patitvā vā marati, mūlaṭṭho na muccati. Tasmiṃ pana okāse mahantaṃ taḷākaṃ vā pokkharaṇiṃ vā kāretvā cetiyaṃ vā patiṭṭhāpetvā bodhiṃ vā ropetvā āvāsaṃ vā sakaṭamaggaṃ vā kāretvā muccati. Yadāpi thiraṃ katvā pūrite opāte rukkhādīnaṃ mūlāni mūlehi saṃsibbitāni honti , jātapathavī jātā, tadāpi muccati. Sacepi nadī āgantvā opātaṃ harati, evampi muccatīti. Ayaṃ tāva opātakathā.

    โอปาตเสฺสว ปน อนุโลเมสุ ปาสาทีสุปิ โย ตาว ปาสํ โอเฑฺฑติ ‘‘เอตฺถ พชฺฌิตฺวา สตฺตา มริสฺสนฺตี’’ติ อวสฺสํ พชฺฌนกสตฺตานํ วเสน หตฺถา มุตฺตมเตฺต ปาราชิกานนฺตริยถุลฺลจฺจยปาจิตฺติยานิ เวทิตพฺพานิฯ อุทฺทิสฺส กเต ยํ อุทฺทิสฺส โอฑฺฑิโต, ตโต อเญฺญสํ พนฺธเน อนาปตฺติฯ ปาเส มูเลน วา มุธา วา ทิเนฺนปิ มูลฎฺฐเสฺสว กมฺมพโนฺธฯ สเจ เยน ลโทฺธ โส อุคฺคลิตํ วา ปาสํ สณฺฐเปติ, ปเสฺสน วา คจฺฉเนฺต ทิสฺวา วติํ กตฺวา สมฺมุเข ปเวเสติ, ถทฺธตรํ วา ปาสยฎฺฐิํ ฐเปติ, ทฬฺหตรํ วา ปาสรชฺชุํ พนฺธติ, ถิรตรํ วา ขาณุกํ วา อาโกเฎติ, อุโภปิ น มุจฺจนฺติฯ สเจ วิปฺปฎิสาเร อุปฺปเนฺน ปาสํ อุคฺคลาเปตฺวา คจฺฉติ, ตํ ทิสฺวา ปุน อเญฺญ สณฺฐเปนฺติ, พทฺธา พทฺธา มรนฺติ, มูลโฎฺฐ น มุจฺจติฯ

    Opātasseva pana anulomesu pāsādīsupi yo tāva pāsaṃ oḍḍeti ‘‘ettha bajjhitvā sattā marissantī’’ti avassaṃ bajjhanakasattānaṃ vasena hatthā muttamatte pārājikānantariyathullaccayapācittiyāni veditabbāni. Uddissa kate yaṃ uddissa oḍḍito, tato aññesaṃ bandhane anāpatti. Pāse mūlena vā mudhā vā dinnepi mūlaṭṭhasseva kammabandho. Sace yena laddho so uggalitaṃ vā pāsaṃ saṇṭhapeti, passena vā gacchante disvā vatiṃ katvā sammukhe paveseti, thaddhataraṃ vā pāsayaṭṭhiṃ ṭhapeti, daḷhataraṃ vā pāsarajjuṃ bandhati, thirataraṃ vā khāṇukaṃ vā ākoṭeti, ubhopi na muccanti. Sace vippaṭisāre uppanne pāsaṃ uggalāpetvā gacchati, taṃ disvā puna aññe saṇṭhapenti, baddhā baddhā maranti, mūlaṭṭho na muccati.

    สเจ ปน เตน ปาสยฎฺฐิ สยํ อกตา โหติ, คหิตฎฺฐาเน ฐเปตฺวา มุจฺจติฯ ตตฺถชาตกยฎฺฐิํ ฉินฺทิตฺวา มุจฺจติฯ สยํ กตยฎฺฐิํ ปน โคเปโนฺตปิ น มุจฺจติฯ ยทิ หิ ตํ อโญฺญ คณฺหิตฺวา ปาสํ สณฺฐเปติ, ตปฺปจฺจยา มรเนฺตสุ มูลโฎฺฐ น มุจฺจติฯ สเจ ตํ ฌาเปตฺวา อลาตํ กตฺวา ฉเฑฺฑติ, เตน อลาเตน ปหารํ ลทฺธา มรเนฺตสุปิ น มุจฺจติฯ สพฺพโส ปน ฌาเปตฺวา วา นาเสตฺวา วา มุจฺจติ, ปาสรชฺชุมฺปิ อเญฺญหิ จ วฎฺฎิตํ คหิตฎฺฐาเน ฐเปตฺวา มุจฺจติฯ รชฺชุเก ลภิตฺวา สยํ วฎฺฎิตํ อุพฺพเฎฺฎตฺวา วาเก ลภิตฺวา วฎฺฎิตํ หีรํ หีรํ กตฺวา มุจฺจติฯ อรญฺญโต ปน สยํ วาเก อาหริตฺวา วฎฺฎิตํ โคเปโนฺตปิ น มุจฺจติฯ สพฺพโส ปน ฌาเปตฺวา วา นาเสตฺวา วา มุจฺจติฯ

    Sace pana tena pāsayaṭṭhi sayaṃ akatā hoti, gahitaṭṭhāne ṭhapetvā muccati. Tatthajātakayaṭṭhiṃ chinditvā muccati. Sayaṃ katayaṭṭhiṃ pana gopentopi na muccati. Yadi hi taṃ añño gaṇhitvā pāsaṃ saṇṭhapeti, tappaccayā marantesu mūlaṭṭho na muccati. Sace taṃ jhāpetvā alātaṃ katvā chaḍḍeti, tena alātena pahāraṃ laddhā marantesupi na muccati. Sabbaso pana jhāpetvā vā nāsetvā vā muccati, pāsarajjumpi aññehi ca vaṭṭitaṃ gahitaṭṭhāne ṭhapetvā muccati. Rajjuke labhitvā sayaṃ vaṭṭitaṃ ubbaṭṭetvā vāke labhitvā vaṭṭitaṃ hīraṃ hīraṃ katvā muccati. Araññato pana sayaṃ vāke āharitvā vaṭṭitaṃ gopentopi na muccati. Sabbaso pana jhāpetvā vā nāsetvā vā muccati.

    อทูหลํ สเชฺชโนฺต จตูสุ ปาเทสุ อทูหลมญฺจํ ฐเปตฺวา ปาสาเณ อาโรเปติ, ปโยเค ปโยเค ทุกฺกฎํฯ สพฺพสชฺชํ กตฺวา หตฺถโต มุตฺตมเตฺต อวสฺสํ อโชฺฌตฺถริตพฺพกสตฺตานํ วเสน อุทฺทิสฺสกานุทฺทิสฺสกานุรูเปน ปาราชิกาทีนิ เวทิตพฺพานิฯ อทูหเล มูเลน วา มุธา วา ทิเนฺนปิ มูลฎฺฐเสฺสว กมฺมพโทฺธฯ สเจ เยน ลทฺธํ โส ปติตํ วา อุกฺขิปติ, อเญฺญปิ ปาสาเณ อาโรเปตฺวา ครุกตรํ วา กโรติ, ปเสฺสน วา คจฺฉเนฺต ทิสฺวา วติํ กตฺวา อทูหเล ปเวเสติ, อุโภปิ น มุจฺจนฺติฯ สเจปิ วิปฺปฎิสาเร อุปฺปเนฺน อทูหลํ ปาเตตฺวา คจฺฉติ, ตํ ทิสฺวา อโญฺญ สณฺฐเปติ, มูลโฎฺฐ น มุจฺจติฯ ปาสาเณ ปน คหิตฎฺฐาเน ฐเปตฺวา อทูหลปาเท จ ปาสยฎฺฐิยํ วุตฺตนเยน คหิตฎฺฐาเน วา ฐเปตฺวา ฌาเปตฺวา วา มุจฺจติฯ

    Adūhalaṃ sajjento catūsu pādesu adūhalamañcaṃ ṭhapetvā pāsāṇe āropeti, payoge payoge dukkaṭaṃ. Sabbasajjaṃ katvā hatthato muttamatte avassaṃ ajjhottharitabbakasattānaṃ vasena uddissakānuddissakānurūpena pārājikādīni veditabbāni. Adūhale mūlena vā mudhā vā dinnepi mūlaṭṭhasseva kammabaddho. Sace yena laddhaṃ so patitaṃ vā ukkhipati, aññepi pāsāṇe āropetvā garukataraṃ vā karoti, passena vā gacchante disvā vatiṃ katvā adūhale paveseti, ubhopi na muccanti. Sacepi vippaṭisāre uppanne adūhalaṃ pātetvā gacchati, taṃ disvā añño saṇṭhapeti, mūlaṭṭho na muccati. Pāsāṇe pana gahitaṭṭhāne ṭhapetvā adūhalapāde ca pāsayaṭṭhiyaṃ vuttanayena gahitaṭṭhāne vā ṭhapetvā jhāpetvā vā muccati.

    สูลํ โรเปนฺตสฺสาปิ สพฺพสชฺชํ กตฺวา หตฺถโต มุตฺตมเตฺต สูลมุเข ปติตฺวา อวสฺสํ มรณกสตฺตานํ วเสน อุทฺทิสฺสานุทฺทิสฺสานุรูปโต ปาราชิกาทีนิ เวทิตพฺพานิฯ สูเล มูเลน วา มุธา วา ทิเนฺนปิ มูลฎฺฐเสฺสว กมฺมพโทฺธฯ สเจ เยน ลทฺธํ โส ‘‘เอกปฺปหาเรเนว มริสฺสนฺตี’’ติ ติขิณตรํ วา กโรติ, ‘‘ทุกฺขํ มริสฺสนฺตี’’ติ กุณฺฐตรํ วา กโรติ, ‘‘อุจฺจ’’นฺติ สลฺลเกฺขตฺวา นีจตรํ วา ‘‘นีจ’’นฺติ สลฺลเกฺขตฺวา อุจฺจตรํ วา ปุน โรเปติ, วงฺกํ วา อุชุกํ อติอุชุกํ วา อีสกํ โปณํ กโรติ, อุโภปิ น มุจฺจนฺติฯ สเจ ปน ‘‘อฎฺฐาเน ฐิต’’นฺติ อญฺญสฺมิํ ฐาเน ฐเปติ, ตํ เจ มารณตฺถาย อาทิโต ปภุติ ปริเยสิตฺวา กตํ โหติ, มูลโฎฺฐ น มุจฺจติฯ อปริเยสิตฺวา ปน กตเมว ลภิตฺวา โรปิเต มูลโฎฺฐ มุจฺจติฯ วิปฺปฎิสาเร อุปฺปเนฺน ปาสยฎฺฐิยํ วุตฺตนเยน คหิตฎฺฐาเน วา ฐเปตฺวา ฌาเปตฺวา วา มุจฺจติฯ

    Sūlaṃ ropentassāpi sabbasajjaṃ katvā hatthato muttamatte sūlamukhe patitvā avassaṃ maraṇakasattānaṃ vasena uddissānuddissānurūpato pārājikādīni veditabbāni. Sūle mūlena vā mudhā vā dinnepi mūlaṭṭhasseva kammabaddho. Sace yena laddhaṃ so ‘‘ekappahāreneva marissantī’’ti tikhiṇataraṃ vā karoti, ‘‘dukkhaṃ marissantī’’ti kuṇṭhataraṃ vā karoti, ‘‘ucca’’nti sallakkhetvā nīcataraṃ vā ‘‘nīca’’nti sallakkhetvā uccataraṃ vā puna ropeti, vaṅkaṃ vā ujukaṃ atiujukaṃ vā īsakaṃ poṇaṃ karoti, ubhopi na muccanti. Sace pana ‘‘aṭṭhāne ṭhita’’nti aññasmiṃ ṭhāne ṭhapeti, taṃ ce māraṇatthāya ādito pabhuti pariyesitvā kataṃ hoti, mūlaṭṭho na muccati. Apariyesitvā pana katameva labhitvā ropite mūlaṭṭho muccati. Vippaṭisāre uppanne pāsayaṭṭhiyaṃ vuttanayena gahitaṭṭhāne vā ṭhapetvā jhāpetvā vā muccati.

    ๑๗๗. อปเสฺสเน สตฺถํ วาติ เอตฺถ อปเสฺสนํ นาม นิจฺจปริโภโค มโญฺจ วา ปีฐํ วา อปเสฺสนผลกํ วา ทิวาฎฺฐาเน นิสีทนฺตสฺส อปเสฺสนกตฺถโมฺภ วา ตตฺถชาตกรุโกฺข วา จงฺกเม อปสฺสาย ติฎฺฐนฺตสฺส อาลมฺพนรุโกฺข วา อาลมฺพนผลกํ วา สพฺพเมฺปตํ อปสฺสยนียเฎฺฐน อปเสฺสนํ นาม; ตสฺมิํ อปเสฺสเน ยถา อปสฺสยนฺตํ วิชฺฌติ วา ฉินฺทติ วา ตถา กตฺวา วาสิผรสุสตฺติอารกณฺฎกาทีนํ อญฺญตรํ สตฺถํ ฐเปติ, ทุกฺกฎํฯ ธุวปริโภคฎฺฐาเน นิราสงฺกสฺส นิสีทโต วา นิปชฺชโต วา อปสฺสยนฺตสฺส วา สตฺถสมฺผสฺสปจฺจยา ทุกฺขุปฺปตฺติยา ถุลฺลจฺจยํ, มรเณน ปาราชิกํฯ ตํ เจ อโญฺญปิ ตสฺส เวริภิกฺขุ วิหารจาริกํ จรโนฺต ทิสฺวา ‘‘อิมสฺส มเญฺญ มรณตฺถาย อิทํ นิขิตฺตํ, สาธุ สุฎฺฐุ มรตู’’ติ อภินนฺทโนฺต คจฺฉติ, ทุกฺกฎํฯ สเจ ปน โสปิ ตตฺถ ‘‘เอวํ กเต สุกตํ ภวิสฺสตี’’ติ ติขิณตราทิกรเณน กิญฺจิ กมฺมํ กโรติ, ตสฺสาปิ ปาราชิกํฯ สเจ ปน ‘‘อฎฺฐาเน ฐิต’’นฺติ อุทฺธริตฺวา อญฺญสฺมิํ ฐาเน ฐเปติ ตทตฺถเมว กตฺวา ฐปิเต มูลโฎฺฐ น มุจฺจติฯ ปากติกํ ลภิตฺวา ฐปิตํ โหติ, มุจฺจติฯ ตํ อปเนตฺวา อญฺญํ ติขิณตรํ ฐเปติ มูลโฎฺฐ มุจฺจเตวฯ

    177. Apassene satthaṃ vāti ettha apassenaṃ nāma niccaparibhogo mañco vā pīṭhaṃ vā apassenaphalakaṃ vā divāṭṭhāne nisīdantassa apassenakatthambho vā tatthajātakarukkho vā caṅkame apassāya tiṭṭhantassa ālambanarukkho vā ālambanaphalakaṃ vā sabbampetaṃ apassayanīyaṭṭhena apassenaṃ nāma; tasmiṃ apassene yathā apassayantaṃ vijjhati vā chindati vā tathā katvā vāsipharasusattiārakaṇṭakādīnaṃ aññataraṃ satthaṃ ṭhapeti, dukkaṭaṃ. Dhuvaparibhogaṭṭhāne nirāsaṅkassa nisīdato vā nipajjato vā apassayantassa vā satthasamphassapaccayā dukkhuppattiyā thullaccayaṃ, maraṇena pārājikaṃ. Taṃ ce aññopi tassa veribhikkhu vihāracārikaṃ caranto disvā ‘‘imassa maññe maraṇatthāya idaṃ nikhittaṃ, sādhu suṭṭhu maratū’’ti abhinandanto gacchati, dukkaṭaṃ. Sace pana sopi tattha ‘‘evaṃ kate sukataṃ bhavissatī’’ti tikhiṇatarādikaraṇena kiñci kammaṃ karoti, tassāpi pārājikaṃ. Sace pana ‘‘aṭṭhāne ṭhita’’nti uddharitvā aññasmiṃ ṭhāne ṭhapeti tadatthameva katvā ṭhapite mūlaṭṭho na muccati. Pākatikaṃ labhitvā ṭhapitaṃ hoti, muccati. Taṃ apanetvā aññaṃ tikhiṇataraṃ ṭhapeti mūlaṭṭho muccateva.

    วิสมกฺขเนปิ ยาว มรณาภินนฺทเน ทุกฺกฎํ ตาว เอเสว นโยฯ สเจ ปน โสปิ ขุทฺทกํ วิสมณฺฑลนฺติ สลฺลเกฺขตฺวา มหนฺตตรํ วา กโรติ , มหนฺตํ วา ‘‘อติเรกํ โหตี’’ติ ขุทฺทกํ กโรติ, ตนุกํ วา พหลํ; พหลํ วา ตนุกํ กโรติ, อคฺคินา ตาเปตฺวา เหฎฺฐา วา อุปริ วา สญฺจาเรติ, ตสฺสาปิ ปาราชิกํฯ ‘‘อิทํ อฐาเน ฐิต’’นฺติ สพฺพเมว ตเจฺฉตฺวา ปุญฺฉิตฺวา อญฺญสฺมิํ ฐาเน ฐเปติ, อตฺตนา เภสชฺชานิ โยเชตฺวา กเต มูลโฎฺฐ น มุจฺจติ , อตฺตนา อกเต มุจฺจติฯ สเจ ปน โส ‘‘อิทํ วิสํ อติปริตฺต’’นฺติ อญฺญมฺปิ อาเนตฺวา ปกฺขิปติ, ยสฺส วิเสน มรติ, ตสฺส ปาราชิกํฯ สเจ อุภินฺนมฺปิ สนฺตเกน มรติ, อุภินฺนมฺปิ ปาราชิกํฯ ‘‘อิทํ วิสํ นิพฺพิส’’นฺติ ตํ อปเนตฺวา อตฺตโน วิสเมว ฐเปติ, ตเสฺสว ปาราชิกํ มูลโฎฺฐ มุจฺจติฯ

    Visamakkhanepi yāva maraṇābhinandane dukkaṭaṃ tāva eseva nayo. Sace pana sopi khuddakaṃ visamaṇḍalanti sallakkhetvā mahantataraṃ vā karoti , mahantaṃ vā ‘‘atirekaṃ hotī’’ti khuddakaṃ karoti, tanukaṃ vā bahalaṃ; bahalaṃ vā tanukaṃ karoti, agginā tāpetvā heṭṭhā vā upari vā sañcāreti, tassāpi pārājikaṃ. ‘‘Idaṃ aṭhāne ṭhita’’nti sabbameva tacchetvā puñchitvā aññasmiṃ ṭhāne ṭhapeti, attanā bhesajjāni yojetvā kate mūlaṭṭho na muccati , attanā akate muccati. Sace pana so ‘‘idaṃ visaṃ atiparitta’’nti aññampi ānetvā pakkhipati, yassa visena marati, tassa pārājikaṃ. Sace ubhinnampi santakena marati, ubhinnampi pārājikaṃ. ‘‘Idaṃ visaṃ nibbisa’’nti taṃ apanetvā attano visameva ṭhapeti, tasseva pārājikaṃ mūlaṭṭho muccati.

    ทุพฺพลํ วา กโรตีติ มญฺจปีฐํ อฎนิยา เหฎฺฐาภาเค ฉินฺทิตฺวา วิทเลหิ วา รชฺชุเกหิ วา เยหิ วีตํ โหติ, เต วา ฉินฺทิตฺวา อปฺปาวเสสเมว กตฺวา เหฎฺฐา อาวุธํ นิกฺขิปติ ‘‘เอตฺถ ปติตฺวา มริสฺสตี’’ติฯ อปเสฺสนผลกาทีนมฺปิ จงฺกเม อาลมฺพนรุกฺขผลกปริโยสานานํ ปรภาคํ ฉินฺทิตฺวา เหฎฺฐา อาวุธํ นิกฺขิปติ, โสพฺภาทีสุ มญฺจํ วา ปีฐํ วา อปเสฺสนผลกํ วา อาเนตฺวา ฐเปติ, ยถา ตตฺถ นิสินฺนมโตฺต วา อปสฺสิตมโตฺต วา ปตติ, โสพฺภาทีสุ วา สญฺจรณเสตุ โหติ, ตํ ทุพฺพลํ กโรติ; เอวํ กโรนฺตสฺส กรเณ ทุกฺกฎํฯ อิตรสฺส ทุกฺขุปฺปตฺติยา ถุลฺลจฺจยํ, มรเณ ปาราชิกํฯ ภิกฺขุํ อาเนตฺวา โสพฺภาทีนํ ตเฎ ฐเปติ ‘‘ทิสฺวา ภเยน กเมฺปโนฺต ปติตฺวา มริสฺสตี’’ติ ทุกฺกฎํฯ โส ตเตฺถว ปตติ, ทุกฺขุปฺปตฺติยา ถุลฺลจฺจยํ, มรเณ ปาราชิกํฯ สยํ วา ปาเตติ, อเญฺญน วา ปาตาเปติ, อโญฺญ อวุโตฺต วา อตฺตโน ธมฺมตาย ปาเตติ, อมนุโสฺส ปาเตติ, วาตปฺปหาเรน ปตติ, อตฺตโน ธมฺมตาย ปตตฺติ, สพฺพตฺถ มรเณ ปาราชิกํฯ กสฺมา? ตสฺส ปโยเคน โสพฺภาทิตเฎ ฐิตตฺตาฯ

    Dubbalaṃ vā karotīti mañcapīṭhaṃ aṭaniyā heṭṭhābhāge chinditvā vidalehi vā rajjukehi vā yehi vītaṃ hoti, te vā chinditvā appāvasesameva katvā heṭṭhā āvudhaṃ nikkhipati ‘‘ettha patitvā marissatī’’ti. Apassenaphalakādīnampi caṅkame ālambanarukkhaphalakapariyosānānaṃ parabhāgaṃ chinditvā heṭṭhā āvudhaṃ nikkhipati, sobbhādīsu mañcaṃ vā pīṭhaṃ vā apassenaphalakaṃ vā ānetvā ṭhapeti, yathā tattha nisinnamatto vā apassitamatto vā patati, sobbhādīsu vā sañcaraṇasetu hoti, taṃ dubbalaṃ karoti; evaṃ karontassa karaṇe dukkaṭaṃ. Itarassa dukkhuppattiyā thullaccayaṃ, maraṇe pārājikaṃ. Bhikkhuṃ ānetvā sobbhādīnaṃ taṭe ṭhapeti ‘‘disvā bhayena kampento patitvā marissatī’’ti dukkaṭaṃ. So tattheva patati, dukkhuppattiyā thullaccayaṃ, maraṇe pārājikaṃ. Sayaṃ vā pāteti, aññena vā pātāpeti, añño avutto vā attano dhammatāya pāteti, amanusso pāteti, vātappahārena patati, attano dhammatāya patatti, sabbattha maraṇe pārājikaṃ. Kasmā? Tassa payogena sobbhāditaṭe ṭhitattā.

    อุปนิกฺขิปนํ นาม สมีเป นิกฺขิปนํฯ ตตฺถ ‘‘โย อิมินา อสินา มโต โส ธนํ วา ลภตี’’ติอาทินา นเยน มรณวณฺณํ วา สํวเณฺณตฺวา ‘‘อิมินา มรณตฺถิกา มรนฺตุ, มารณตฺถิกา มาเรนฺตู’’ติ วา วตฺวา อสิํ อุปนิกฺขิปติ, ตสฺส อุปนิกฺขิปเน ทุกฺกฎํฯ มริตุกาโม วา เตน อตฺตานํ ปหรตุ , มาเรตุกาโม วา อญฺญํ ปหรตุ, อุภยถาปิ ปรสฺส ทุกฺขุปฺปตฺติยา อุปนิเกฺขปกสฺส ถุลฺลจฺจยํ, มรเณ ปาราชิกํฯ อนุทฺทิสฺส นิกฺขิเตฺต พหูนํ มรเณ อกุสลราสิฯ ปาราชิกาทิวตฺถูสุ ปาราชิกาทีนิฯ วิปฺปฎิสาเร อุปฺปเนฺน อสิํ คหิตฎฺฐาเน ฐเปตฺวา มุจฺจติฯ กิณิตฺวา คหิโต โหติ, อสิสฺสามิกานํ อสิํ, เยสํ หตฺถโต มูลํ คหิตํ, เตสํ มูลํ ทตฺวา มุจฺจติฯ สเจ โลหปิณฺฑิํ วา ผาลํ วา กุทาลํ วา คเหตฺวา อสิ การาปิโต โหติ, ยํ ภณฺฑํ คเหตฺวา การิโต, ตเทว กตฺวา มุจฺจติฯ สเจ กุทาลํ คเหตฺวา การิตํ วินาเสตฺวา ผาลํ กโรติ, ผาเลน ปหารํ ลภิตฺวา มรเนฺตสุปิ ปาณาติปาตโต น มุจฺจติฯ สเจ ปน โลหํ สมุฎฺฐาเปตฺวา อุปนิกฺขิปนตฺถเมว การิโต โหติ, อเรน ฆํสิตฺวา จุณฺณวิจุณฺณํ กตฺวา วิปฺปกิเณฺณ มุจฺจติฯ สเจปิ สํวณฺณนาโปตฺถโก วิย พหูหิ เอกชฺฌาสเยหิ กโต โหติ, โปตฺถเก วุตฺตนเยเนว กมฺมพนฺธวินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ เอส นโย สตฺติเภณฺฑีสุฯ ลคุเฬ ปาสยฎฺฐิสทิโส วินิจฺฉโยฯ ตถา ปาสาเณฯ สเตฺถ อสิสทิโสวฯ วิสํ วาติ วิสํ อุปนิกฺขิปนฺตสฺส วตฺถุวเสน อุทฺทิสฺสานุทฺทิสฺสานุรูปโต ปาราชิกาทิวตฺถูสุ ปาราชิกาทีนิ เวทิตพฺพานิฯ กิณิตฺวา ฐปิเต ปุริมนเยน ปฎิปากติกํ กตฺวา มุจฺจติฯ สยํ เภสเชฺชหิ โยชิเต อวิสํ กตฺวา มุจฺจติฯ รชฺชุยา ปาสรชฺชุสทิโสว วินิจฺฉโยฯ

    Upanikkhipanaṃ nāma samīpe nikkhipanaṃ. Tattha ‘‘yo iminā asinā mato so dhanaṃ vā labhatī’’tiādinā nayena maraṇavaṇṇaṃ vā saṃvaṇṇetvā ‘‘iminā maraṇatthikā marantu, māraṇatthikā mārentū’’ti vā vatvā asiṃ upanikkhipati, tassa upanikkhipane dukkaṭaṃ. Maritukāmo vā tena attānaṃ paharatu , māretukāmo vā aññaṃ paharatu, ubhayathāpi parassa dukkhuppattiyā upanikkhepakassa thullaccayaṃ, maraṇe pārājikaṃ. Anuddissa nikkhitte bahūnaṃ maraṇe akusalarāsi. Pārājikādivatthūsu pārājikādīni. Vippaṭisāre uppanne asiṃ gahitaṭṭhāne ṭhapetvā muccati. Kiṇitvā gahito hoti, asissāmikānaṃ asiṃ, yesaṃ hatthato mūlaṃ gahitaṃ, tesaṃ mūlaṃ datvā muccati. Sace lohapiṇḍiṃ vā phālaṃ vā kudālaṃ vā gahetvā asi kārāpito hoti, yaṃ bhaṇḍaṃ gahetvā kārito, tadeva katvā muccati. Sace kudālaṃ gahetvā kāritaṃ vināsetvā phālaṃ karoti, phālena pahāraṃ labhitvā marantesupi pāṇātipātato na muccati. Sace pana lohaṃ samuṭṭhāpetvā upanikkhipanatthameva kārito hoti, arena ghaṃsitvā cuṇṇavicuṇṇaṃ katvā vippakiṇṇe muccati. Sacepi saṃvaṇṇanāpotthako viya bahūhi ekajjhāsayehi kato hoti, potthake vuttanayeneva kammabandhavinicchayo veditabbo. Esa nayo sattibheṇḍīsu. Laguḷe pāsayaṭṭhisadiso vinicchayo. Tathā pāsāṇe. Satthe asisadisova. Visaṃ vāti visaṃ upanikkhipantassa vatthuvasena uddissānuddissānurūpato pārājikādivatthūsu pārājikādīni veditabbāni. Kiṇitvā ṭhapite purimanayena paṭipākatikaṃ katvā muccati. Sayaṃ bhesajjehi yojite avisaṃ katvā muccati. Rajjuyā pāsarajjusadisova vinicchayo.

    เภสเชฺช – โย ภิกฺขุ เวริภิกฺขุสฺส ปชฺชรเก วา วิสภาคโรเค วา อุปฺปเนฺน อสปฺปายานิปิ สปฺปิอาทีนิ สปฺปายานีติ มรณาธิปฺปาโย เทติ, อญฺญํ วา กิญฺจิ กนฺทมูลผลํ ตสฺส เอวํ เภสชฺชทาเน ทุกฺกฎํฯ ปรสฺส ทุกฺขุปฺปตฺติยํ มรเณ จ ถุลฺลจฺจยปาราชิกานิ, อานนฺตริยวตฺถุมฺหิ อานนฺตริยนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Bhesajje – yo bhikkhu veribhikkhussa pajjarake vā visabhāgaroge vā uppanne asappāyānipi sappiādīni sappāyānīti maraṇādhippāyo deti, aññaṃ vā kiñci kandamūlaphalaṃ tassa evaṃ bhesajjadāne dukkaṭaṃ. Parassa dukkhuppattiyaṃ maraṇe ca thullaccayapārājikāni, ānantariyavatthumhi ānantariyanti veditabbaṃ.

    ๑๗๘. รูปูปหาเร – อุปสํหรตีติ ปรํ วา อมนาปรูปํ ตสฺส สมีเป ฐเปติ, อตฺตนา วา ยกฺขเปตาทิเวสํ คเหตฺวา ติฎฺฐติ, ตสฺส อุปสํหารมเตฺต ทุกฺกฎํฯ ปรสฺส ตํ รูปํ ทิสฺวา ภยุปฺปตฺติยํ ถุลฺลจฺจยํ, มรเณ ปาราชิกํฯ สเจ ปน ตเทว รูปํ เอกจฺจสฺส มนาปํ โหติ, อลาภเกน จ สุสฺสิตฺวา มรติ, วิสเงฺกโตฯ มนาปิเยปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ ปน วิเสเสน อิตฺถีนํ ปุริสรูปํ ปุริสานญฺจ อิตฺถิรูปํ มนาปํ ตํ อลงฺกริตฺวา อุปสํหรติ, ทิฎฺฐมตฺตกเมว กโรติ, อติจิรํ ปสฺสิตุมฺปิ น เทติ, อิตโร อลาภเกน สุสฺสิตฺวา มรติ, ปาราชิกํฯ สเจ อุตฺตสิตฺวา มรติ , วิสเงฺกโตฯ อถ ปน อุตฺตสิตฺวา วา อลาภเกน วาติ อวิจาเรตฺวา ‘‘เกวลํ ปสฺสิตฺวา มริสฺสตี’’ติ อุปสํหรติ, อุตฺตสิตฺวา วา สุสฺสิตฺวา วา มเต ปาราชิกเมวฯ เอเตเนวูปาเยน สทฺทูปหาราทโยปิ เวทิตพฺพาฯ เกวลเญฺหตฺถ อมนุสฺสสทฺทาทโย อุตฺราสชนกา อมนาปสทฺทา, ปุริสานํ อิตฺถิสทฺทมธุรคนฺธพฺพสทฺทาทโย จิตฺตสฺสาทกรา มนาปสทฺทาฯ หิมวเนฺต วิสรุกฺขานํ มูลาทิคนฺธา กุณปคนฺธา จ อมนาปคนฺธา, กาฬานุสารีมูลคนฺธาทโย มนาปคนฺธา ฯ ปฎิกูลมูลรสาทโย อมนาปรสา, อปฺปฎิกูลมูลรสาทโย มนาปรสาฯ วิสผสฺสมหากจฺฉุผสฺสาทโย อมนาปโผฎฺฐพฺพา, จีนปฎหํสปุปฺผตูลิกผสฺสาทโย มนาปโผฎฺฐพฺพาติ เวทิตพฺพาฯ

    178. Rūpūpahāre – upasaṃharatīti paraṃ vā amanāparūpaṃ tassa samīpe ṭhapeti, attanā vā yakkhapetādivesaṃ gahetvā tiṭṭhati, tassa upasaṃhāramatte dukkaṭaṃ. Parassa taṃ rūpaṃ disvā bhayuppattiyaṃ thullaccayaṃ, maraṇe pārājikaṃ. Sace pana tadeva rūpaṃ ekaccassa manāpaṃ hoti, alābhakena ca sussitvā marati, visaṅketo. Manāpiyepi eseva nayo. Tattha pana visesena itthīnaṃ purisarūpaṃ purisānañca itthirūpaṃ manāpaṃ taṃ alaṅkaritvā upasaṃharati, diṭṭhamattakameva karoti, aticiraṃ passitumpi na deti, itaro alābhakena sussitvā marati, pārājikaṃ. Sace uttasitvā marati , visaṅketo. Atha pana uttasitvā vā alābhakena vāti avicāretvā ‘‘kevalaṃ passitvā marissatī’’ti upasaṃharati, uttasitvā vā sussitvā vā mate pārājikameva. Etenevūpāyena saddūpahārādayopi veditabbā. Kevalañhettha amanussasaddādayo utrāsajanakā amanāpasaddā, purisānaṃ itthisaddamadhuragandhabbasaddādayo cittassādakarā manāpasaddā. Himavante visarukkhānaṃ mūlādigandhā kuṇapagandhā ca amanāpagandhā, kāḷānusārīmūlagandhādayo manāpagandhā . Paṭikūlamūlarasādayo amanāparasā, appaṭikūlamūlarasādayo manāparasā. Visaphassamahākacchuphassādayo amanāpaphoṭṭhabbā, cīnapaṭahaṃsapupphatūlikaphassādayo manāpaphoṭṭhabbāti veditabbā.

    ธมฺมูปหาเร – ธโมฺมติ เทสนาธโมฺม เวทิตโพฺพฯ เทสนาวเสน วา นิรเย จ สเคฺค จ วิปตฺติสมฺปตฺติเภทํ ธมฺมารมฺมณเมวฯ เนรยิกสฺสาติ ภินฺนสํวรสฺส กตปาปสฺส นิรเย นิพฺพตฺตนารหสฺส สตฺตสฺส ปญฺจวิธพนฺธนกมฺมกรณาทินิรยกถํ กเถติฯ ตํ เจ สุตฺวา โส อุตฺตสิตฺวา มรติ, กถิกสฺส ปาราชิกํฯ สเจ ปน โส สุตฺวาปิ อตฺตโน ธมฺมตาย มรติ, อนาปตฺติฯ ‘‘อิทํ สุตฺวา เอวรูปํ ปาปํ น กริสฺสติ โอรมิสฺสติ วิรมิสฺสตี’’ติ นิรยกถํ กเถติ, ตํ สุตฺวา อิตโร อุตฺตสิตฺวา มรติ, อนาปตฺติฯ สคฺคกถนฺติ เทวนาฎกาทีนํ นนฺทนวนาทีนญฺจ สมฺปตฺติกถํ; ตํ สุตฺวา อิตโร สคฺคาธิมุโตฺต สีฆํ ตํ สมฺปตฺติํ ปาปุณิตุกาโม สตฺถาหรณวิสขาทนอาหารุปเจฺฉท-อสฺสาสปสฺสาสสนฺนิรุนฺธนาทีหิ ทุกฺขํ อุปฺปาเทติ, กถิกสฺส ถุลฺลจฺจยํ, มรติ ปาราชิกํฯ สเจ ปน โส สุตฺวาปิ ยาวตายุกํ ฐตฺวา อตฺตโน ธมฺมตาย มรติ, อนาปตฺติ ฯ ‘‘อิมํ สุตฺวา ปุญฺญานิ กริสฺสตี’’ติ กเถติ, ตํ สุตฺวา อิตโร อธิมุโตฺต กาลํกโรติ, อนาปตฺติฯ

    Dhammūpahāre – dhammoti desanādhammo veditabbo. Desanāvasena vā niraye ca sagge ca vipattisampattibhedaṃ dhammārammaṇameva. Nerayikassāti bhinnasaṃvarassa katapāpassa niraye nibbattanārahassa sattassa pañcavidhabandhanakammakaraṇādinirayakathaṃ katheti. Taṃ ce sutvā so uttasitvā marati, kathikassa pārājikaṃ. Sace pana so sutvāpi attano dhammatāya marati, anāpatti. ‘‘Idaṃ sutvā evarūpaṃ pāpaṃ na karissati oramissati viramissatī’’ti nirayakathaṃ katheti, taṃ sutvā itaro uttasitvā marati, anāpatti. Saggakathanti devanāṭakādīnaṃ nandanavanādīnañca sampattikathaṃ; taṃ sutvā itaro saggādhimutto sīghaṃ taṃ sampattiṃ pāpuṇitukāmo satthāharaṇavisakhādanaāhārupaccheda-assāsapassāsasannirundhanādīhi dukkhaṃ uppādeti, kathikassa thullaccayaṃ, marati pārājikaṃ. Sace pana so sutvāpi yāvatāyukaṃ ṭhatvā attano dhammatāya marati, anāpatti . ‘‘Imaṃ sutvā puññāni karissatī’’ti katheti, taṃ sutvā itaro adhimutto kālaṃkaroti, anāpatti.

    ๑๗๙. อาจิกฺขนายํ – ปุโฎฺฐ ภณตีติ ‘‘ภเนฺต กถํ มโต ธนํ วา ลภติ สเคฺค วา อุปปชฺชตี’’ติ เอวํ ปุจฺฉิโต ภณติฯ

    179. Ācikkhanāyaṃ – puṭṭho bhaṇatīti ‘‘bhante kathaṃ mato dhanaṃ vā labhati sagge vā upapajjatī’’ti evaṃ pucchito bhaṇati.

    อนุสาสนิยํ – อปุโฎฺฐติ เอวํ อปุจฺฉิโต สามเญฺญว ภณติฯ

    Anusāsaniyaṃ – apuṭṭhoti evaṃ apucchito sāmaññeva bhaṇati.

    สเงฺกตกมฺมนิมิตฺตกมฺมานิ อทินฺนาทานกถายํ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพานิฯ

    Saṅketakammanimittakammāni adinnādānakathāyaṃ vuttanayeneva veditabbāni.

    เอวํ นานปฺปการโต อาปตฺติเภทํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อนาปตฺติเภทํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อนาปตฺติ อสญฺจิจฺจา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อสญฺจิจฺจาติ ‘‘อิมินา อุปกฺกเมน อิมํ มาเรมี’’ติ อเจเตตฺวาฯ เอวญฺหิ อเจเตตฺวา กเตน อุปกฺกเมน ปเร มเตปิ อนาปตฺติ, วกฺขติ จ ‘‘อนาปตฺติ ภิกฺขุ อสญฺจิจฺจา’’ติฯ อชานนฺตสฺสาติ ‘‘อิมินา อยํ มริสฺสตี’’ติ อชานนฺตสฺส อุปกฺกเมน ปเร มเตปิ อนาปตฺติ, วกฺขติ จ วิสคตปิณฺฑปาตวตฺถุสฺมิํ ‘‘อนาปตฺติ ภิกฺขุ อชานนฺตสฺสา’’ติฯ นมรณาธิปฺปายสฺสาติ มรณํ อนิจฺฉนฺตสฺสฯ เยน หิ อุปกฺกเมน ปโร มรติ, เตน อุปกฺกเมน ตสฺมิํ มาริเตปิ นมรณาธิปฺปายสฺส อนาปตฺติฯ วกฺขติ จ ‘‘อนาปตฺติ ภิกฺขุ นมรณาธิปฺปายสฺสา’’ติฯ อุมฺมตฺตกาทโย ปุเพฺพ วุตฺตนยา เอวฯ อิธ ปน อาทิกมฺมิกา อญฺญมญฺญํ ชีวิตา โวโรปิตภิกฺขู, เตสํ อนาปตฺติฯ อวเสสานํ มรณวณฺณสํวณฺณนกาทีนํ อาปตฺติเยวาติฯ

    Evaṃ nānappakārato āpattibhedaṃ dassetvā idāni anāpattibhedaṃ dassento ‘‘anāpatti asañciccā’’tiādimāha. Tattha asañciccāti ‘‘iminā upakkamena imaṃ māremī’’ti acetetvā. Evañhi acetetvā katena upakkamena pare matepi anāpatti, vakkhati ca ‘‘anāpatti bhikkhu asañciccā’’ti. Ajānantassāti ‘‘iminā ayaṃ marissatī’’ti ajānantassa upakkamena pare matepi anāpatti, vakkhati ca visagatapiṇḍapātavatthusmiṃ ‘‘anāpatti bhikkhu ajānantassā’’ti. Namaraṇādhippāyassāti maraṇaṃ anicchantassa. Yena hi upakkamena paro marati, tena upakkamena tasmiṃ māritepi namaraṇādhippāyassa anāpatti. Vakkhati ca ‘‘anāpatti bhikkhu namaraṇādhippāyassā’’ti. Ummattakādayo pubbe vuttanayā eva. Idha pana ādikammikā aññamaññaṃ jīvitā voropitabhikkhū, tesaṃ anāpatti. Avasesānaṃ maraṇavaṇṇasaṃvaṇṇanakādīnaṃ āpattiyevāti.

    ปทภาชนียวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Padabhājanīyavaṇṇanā niṭṭhitā.

    สมุฎฺฐานาทีสุ – อิทํ สิกฺขาปทํ ติสมุฎฺฐานํ; กายจิตฺตโต จ วาจาจิตฺตโต จ กายวาจาจิตฺตโต จ สมุฎฺฐาติฯ กิริยํ, สญฺญาวิโมกฺขํ, สจิตฺตกํ, โลกวชฺชํ, กายกมฺมํ, วจีกมฺมํ, อกุสลจิตฺตํ, ทุกฺขเวทนํฯ สเจปิ หิ สิริสยนํ อารูโฬฺห รชฺชสมฺปตฺติสุขํ อนุภวโนฺต ราชา ‘‘โจโร เทว อานีโต’’ติ วุเตฺต ‘‘คจฺฉถ นํ มาเรถา’’ติ หสมาโนว ภณติ, โทมนสฺสจิเตฺตเนว ภณตีติ เวทิตโพฺพฯ สุขโวกิณฺณตฺตา ปน อนุปฺปพนฺธาภาวา จ ทุชฺชานเมตํ ปุถุชฺชเนหีติฯ

    Samuṭṭhānādīsu – idaṃ sikkhāpadaṃ tisamuṭṭhānaṃ; kāyacittato ca vācācittato ca kāyavācācittato ca samuṭṭhāti. Kiriyaṃ, saññāvimokkhaṃ, sacittakaṃ, lokavajjaṃ, kāyakammaṃ, vacīkammaṃ, akusalacittaṃ, dukkhavedanaṃ. Sacepi hi sirisayanaṃ ārūḷho rajjasampattisukhaṃ anubhavanto rājā ‘‘coro deva ānīto’’ti vutte ‘‘gacchatha naṃ mārethā’’ti hasamānova bhaṇati, domanassacitteneva bhaṇatīti veditabbo. Sukhavokiṇṇattā pana anuppabandhābhāvā ca dujjānametaṃ puthujjanehīti.

    วินีตวตฺถุวณฺณนา

    Vinītavatthuvaṇṇanā

    ๑๘๐. วินีตวตฺถุกถาสุ ปฐมวตฺถุสฺมิํ – การุเญฺญนาติ เต ภิกฺขู ตสฺส มหนฺตํ เคลญฺญทุกฺขํ ทิสฺวา การุญฺญํ อุปฺปาเทตฺวา ‘‘สีลวา ตฺวํ กตกุสโล, กสฺมา มียมาโน ภายสิ, นนุ สีลวโต สโคฺค นาม มรณมตฺตปฎิพโทฺธเยวา’’ติ เอวํ มรณตฺถิกาว หุตฺวา มรณตฺถิกภาวํ อชานนฺตา มรณวณฺณํ สํวเณฺณสุํฯ โสปิ ภิกฺขุ เตสํ สํวณฺณนาย อาหารุปเจฺฉทํ กตฺวา อนฺตราว กาลมกาสิฯ ตสฺมา อาปตฺติํ อาปนฺนาฯ โวหารวเสน ปน วุตฺตํ ‘‘การุเญฺญน มรณวณฺณํ สํวเณฺณสุ’’นฺติฯ ตสฺมา อิทานิปิ ปณฺฑิเตน ภิกฺขุนา คิลานสฺส ภิกฺขุโน เอวํ มรณวโณฺณ น สํวเณฺณตโพฺพฯ สเจ หิ ตสฺส สํวณฺณนํ สุตฺวา อาหารูปเจฺฉทาทินา อุปกฺกเมน เอกชวนวาราวเสเสปิ อายุสฺมิํ อนฺตรา กาลํกโรติ, อิมินาว มาริโต โหติฯ อิมินา ปน นเยน อนุสิฎฺฐิ ทาตพฺพา – ‘‘สีลวโต นาม อนจฺฉริยา มคฺคผลุปฺปตฺติ, ตสฺมา วิหาราทีสุ อาสตฺติํ อกตฺวา พุทฺธคตํ ธมฺมคตํ สงฺฆคตํ กายคตญฺจ สติํ อุปฎฺฐเปตฺวา มนสิกาเร อปฺปมาโท กาตโพฺพ’’ติฯ มรณวเณฺณ จ สํวณฺณิเตปิ โย ตาย สํวณฺณนาย กญฺจิ อุปกฺกมํ อกตฺวา อตฺตโน ธมฺมตาย ยถายุนา ยถานุสนฺธินาว มรติ, ตปฺปจฺจยา สํวณฺณโก อาปตฺติยา น กาเรตโพฺพติฯ

    180. Vinītavatthukathāsu paṭhamavatthusmiṃ – kāruññenāti te bhikkhū tassa mahantaṃ gelaññadukkhaṃ disvā kāruññaṃ uppādetvā ‘‘sīlavā tvaṃ katakusalo, kasmā mīyamāno bhāyasi, nanu sīlavato saggo nāma maraṇamattapaṭibaddhoyevā’’ti evaṃ maraṇatthikāva hutvā maraṇatthikabhāvaṃ ajānantā maraṇavaṇṇaṃ saṃvaṇṇesuṃ. Sopi bhikkhu tesaṃ saṃvaṇṇanāya āhārupacchedaṃ katvā antarāva kālamakāsi. Tasmā āpattiṃ āpannā. Vohāravasena pana vuttaṃ ‘‘kāruññena maraṇavaṇṇaṃ saṃvaṇṇesu’’nti. Tasmā idānipi paṇḍitena bhikkhunā gilānassa bhikkhuno evaṃ maraṇavaṇṇo na saṃvaṇṇetabbo. Sace hi tassa saṃvaṇṇanaṃ sutvā āhārūpacchedādinā upakkamena ekajavanavārāvasesepi āyusmiṃ antarā kālaṃkaroti, imināva mārito hoti. Iminā pana nayena anusiṭṭhi dātabbā – ‘‘sīlavato nāma anacchariyā maggaphaluppatti, tasmā vihārādīsu āsattiṃ akatvā buddhagataṃ dhammagataṃ saṅghagataṃ kāyagatañca satiṃ upaṭṭhapetvā manasikāre appamādo kātabbo’’ti. Maraṇavaṇṇe ca saṃvaṇṇitepi yo tāya saṃvaṇṇanāya kañci upakkamaṃ akatvā attano dhammatāya yathāyunā yathānusandhināva marati, tappaccayā saṃvaṇṇako āpattiyā na kāretabboti.

    ทุติยวตฺถุสฺมิํ – น จ ภิกฺขเว อปฺปฎิเวกฺขิตฺวาติ เอตฺถ กีทิสํ อาสนํ ปฎิเวกฺขิตพฺพํ , กีทิสํ น ปฎิเวกฺขิตพฺพํ? ยํ สุทฺธํ อาสนเมว โหติ อปจฺจตฺถรณกํ, ยญฺจ อาคนฺตฺวา ฐิตานํ ปสฺสตํเยว อตฺถรียติ, ตํ นปจฺจเวกฺขิตพฺพํ , นิสีทิตุํ วฎฺฎติฯ ยมฺปิ มนุสฺสา สยํ หเตฺถน อกฺกมิตฺวา ‘‘อิธ ภเนฺต นิสีทถา’’ติ เทนฺติ, ตสฺมิมฺปิ วฎฺฎติฯ สเจปิ ปฐมเมวาคนฺตฺวา นิสินฺนา ปจฺฉา อุทฺธํ วา อโธ วา สงฺกมนฺติ, ปจฺจเวกฺขณกิจฺจํ นตฺถิฯ ยมฺปิ ตนุเกน วเตฺถน ยถา ตลํ ทิสฺสติ, เอวํ ปฎิจฺฉนฺนํ โหติ, ตสฺมิมฺปิ ปจฺจเวกฺขณกิจฺจํ นตฺถิฯ ยํ ปน ปฎิกเจฺจว ปาวารโกชวาทีหิ อตฺถตํ โหติ, ตํ หเตฺถน ปรามสิตฺวา สลฺลเกฺขตฺวา นิสีทิตพฺพํฯ มหาปจฺจริยํ ปน ‘‘ฆนสาฎเกนาปิ อตฺถเต ยสฺมิํ วลิ น ปญฺญายติ, ตํ นปฺปฎิเวกฺขิตพฺพนฺติ วุตฺตํฯ

    Dutiyavatthusmiṃ – na ca bhikkhave appaṭivekkhitvāti ettha kīdisaṃ āsanaṃ paṭivekkhitabbaṃ , kīdisaṃ na paṭivekkhitabbaṃ? Yaṃ suddhaṃ āsanameva hoti apaccattharaṇakaṃ, yañca āgantvā ṭhitānaṃ passataṃyeva attharīyati, taṃ napaccavekkhitabbaṃ , nisīdituṃ vaṭṭati. Yampi manussā sayaṃ hatthena akkamitvā ‘‘idha bhante nisīdathā’’ti denti, tasmimpi vaṭṭati. Sacepi paṭhamamevāgantvā nisinnā pacchā uddhaṃ vā adho vā saṅkamanti, paccavekkhaṇakiccaṃ natthi. Yampi tanukena vatthena yathā talaṃ dissati, evaṃ paṭicchannaṃ hoti, tasmimpi paccavekkhaṇakiccaṃ natthi. Yaṃ pana paṭikacceva pāvārakojavādīhi atthataṃ hoti, taṃ hatthena parāmasitvā sallakkhetvā nisīditabbaṃ. Mahāpaccariyaṃ pana ‘‘ghanasāṭakenāpi atthate yasmiṃ vali na paññāyati, taṃ nappaṭivekkhitabbanti vuttaṃ.

    มุสลวตฺถุสฺมิํ – อสญฺจิโจฺจติ อวธกเจตโน วิรทฺธปโยโค หิ โสฯ เตนาห ‘‘อสญฺจิโจฺจ อห’’นฺติฯ อุทุกฺขลวตฺถุ อุตฺตานเมวฯ วุฑฺฒปพฺพชิตวตฺถูสุปฐมวตฺถุสฺมิํ ‘‘ภิกฺขุสงฺฆสฺส ปฎิพนฺธํ มา อกาสี’’ติ ปณาเมสิฯ ทุติยวตฺถุสฺมิํ – สงฺฆมเชฺฌปิ คณมเชฺฌปิ ‘‘มหลฺลกเตฺถรสฺส ปุโตฺต’’ติ วุจฺจมาโน เตน วจเนน อฎฺฎียมาโน ‘‘มรตุ อย’’นฺติ ปณาเมสิฯ ตติยวตฺถุสฺมิํ – ตสฺส ทุกฺขุปฺปาทเนน ถุลฺลจฺจยํฯ

    Musalavatthusmiṃ – asañciccoti avadhakacetano viraddhapayogo hi so. Tenāha ‘‘asañcicco aha’’nti. Udukkhalavatthu uttānameva. Vuḍḍhapabbajitavatthūsupaṭhamavatthusmiṃ ‘‘bhikkhusaṅghassa paṭibandhaṃ mā akāsī’’ti paṇāmesi. Dutiyavatthusmiṃ – saṅghamajjhepi gaṇamajjhepi ‘‘mahallakattherassa putto’’ti vuccamāno tena vacanena aṭṭīyamāno ‘‘maratu aya’’nti paṇāmesi. Tatiyavatthusmiṃ – tassa dukkhuppādanena thullaccayaṃ.

    ๑๘๑. ตโต ปรานิ ตีณิ วตฺถูนิ อุตฺตานตฺถาเนวฯ วิสคตปิณฺฑปาตวตฺถุสฺมิํ – สาราณียธมฺมปูรโก โส ภิกฺขุ อคฺคปิณฺฑํ สพฺรหฺมจารีนํ ทตฺวาว ภุญฺชติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อคฺคการิกํ อทาสี’’ติฯ อคฺคการิกนฺติ อคฺคกิริยํ; ปฐมํ ลทฺธปิณฺฑปาตํ อคฺคคฺคํ วา ปณีตปณีตํ ปิณฺฑปาตนฺติ อโตฺถฯ ยา ปน ตสฺส ทานสงฺขาตา อคฺคกิริยา, สา น สกฺกา ทาตุํ, ปิณฺฑปาตญฺหิ โส เถราสนโต ปฎฺฐาย อทาสิฯ เต ภิกฺขูติ เต เถราสนโต ปฎฺฐาย ปริภุตฺตปิณฺฑปาตา ภิกฺขู; เต กิร สเพฺพปิ กาลมกํสุฯ เสสเมตฺถ อุตฺตานเมวฯ อสฺสเทฺธสุ ปน มิจฺฉาทิฎฺฐิเกสุ กุเลสุ สกฺกจฺจํ ปณีตโภชนํ ลภิตฺวา อนุปปริกฺขิตฺวา เนว อตฺตนา ปริภุญฺชิตพฺพํ, น ปเรสํ ทาตพฺพํฯ ยมฺปิ อาภิโทสิกํ ภตฺตํ วา ขชฺชกํ วา ตโต ลภติ, ตมฺปิ น ปริภุญฺชิตพฺพํฯ อปิหิตวตฺถุมฺปิ หิ สปฺปวิจฺฉิกาทีหิ อธิสยิตํ ฉฑฺฑนียธมฺมํ ตานิ กุลานิ เทนฺติฯ คนฺธหลิทฺทาทิมกฺขิโตปิ ตโต ปิณฺฑปาโต น คเหตโพฺพฯ สรีเร โรคฎฺฐานานิ ปุญฺฉิตฺวา ฐปิตภตฺตมฺปิ หิ ตานิ ทาตพฺพํ มญฺญนฺตีติฯ

    181. Tato parāni tīṇi vatthūni uttānatthāneva. Visagatapiṇḍapātavatthusmiṃ – sārāṇīyadhammapūrako so bhikkhu aggapiṇḍaṃ sabrahmacārīnaṃ datvāva bhuñjati. Tena vuttaṃ ‘‘aggakārikaṃ adāsī’’ti. Aggakārikanti aggakiriyaṃ; paṭhamaṃ laddhapiṇḍapātaṃ aggaggaṃ vā paṇītapaṇītaṃ piṇḍapātanti attho. Yā pana tassa dānasaṅkhātā aggakiriyā, sā na sakkā dātuṃ, piṇḍapātañhi so therāsanato paṭṭhāya adāsi. Te bhikkhūti te therāsanato paṭṭhāya paribhuttapiṇḍapātā bhikkhū; te kira sabbepi kālamakaṃsu. Sesamettha uttānameva. Assaddhesu pana micchādiṭṭhikesu kulesu sakkaccaṃ paṇītabhojanaṃ labhitvā anupaparikkhitvā neva attanā paribhuñjitabbaṃ, na paresaṃ dātabbaṃ. Yampi ābhidosikaṃ bhattaṃ vā khajjakaṃ vā tato labhati, tampi na paribhuñjitabbaṃ. Apihitavatthumpi hi sappavicchikādīhi adhisayitaṃ chaḍḍanīyadhammaṃ tāni kulāni denti. Gandhahaliddādimakkhitopi tato piṇḍapāto na gahetabbo. Sarīre rogaṭṭhānāni puñchitvā ṭhapitabhattampi hi tāni dātabbaṃ maññantīti.

    วีมํสนวตฺถุสฺมิํ – วีมํสมาโน เทฺว วีมํสติ – ‘‘สโกฺกติ นุ โข อิมํ มาเรตุํ โน’’ติ วิสํ วา วีมํสติ, ‘‘มเรยฺย นุ โข อยํ อิมํ วิสํ ขาทิตฺวา โน’’ติ ปุคฺคลํ วาฯ อุภยถาปิ วีมํสาธิปฺปาเยน ทิเนฺน มรตุ วา มา วา ถุลฺลจฺจยํฯ ‘‘อิทํ วิสํ เอตํ มาเรตู’’ติ วา ‘‘อิทํ วิสํ ขาทิตฺวา อยํ มรตู’’ติ วา เอวํ ทิเนฺน ปน สเจ มรติ, ปาราชิกํ; โน เจ, ถุลฺลจฺจยํฯ

    Vīmaṃsanavatthusmiṃ – vīmaṃsamāno dve vīmaṃsati – ‘‘sakkoti nu kho imaṃ māretuṃ no’’ti visaṃ vā vīmaṃsati, ‘‘mareyya nu kho ayaṃ imaṃ visaṃ khāditvā no’’ti puggalaṃ vā. Ubhayathāpi vīmaṃsādhippāyena dinne maratu vā mā vā thullaccayaṃ. ‘‘Idaṃ visaṃ etaṃ māretū’’ti vā ‘‘idaṃ visaṃ khāditvā ayaṃ maratū’’ti vā evaṃ dinne pana sace marati, pārājikaṃ; no ce, thullaccayaṃ.

    ๑๘๒-๓. อิโต ปรานิ ตีณิ สิลาวตฺถูนิ ตีณิ อิฎฺฐกวาสิโคปานสีวตฺถูนิ จ อุตฺตานตฺถาเนวฯ น เกวลญฺจ สิลาทีนํเยว วเสน อยํ อาปตฺตานาปตฺติเภโท โหติ, ทณฺฑมุคฺครนิขาทนเวมาทีนมฺปิ วเสน โหติเยว, ตสฺมา ปาฬิยํ อนาคตมฺปิ อาคตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ

    182-3. Ito parāni tīṇi silāvatthūni tīṇi iṭṭhakavāsigopānasīvatthūni ca uttānatthāneva. Na kevalañca silādīnaṃyeva vasena ayaṃ āpattānāpattibhedo hoti, daṇḍamuggaranikhādanavemādīnampi vasena hotiyeva, tasmā pāḷiyaṃ anāgatampi āgatanayeneva veditabbaṃ.

    อฎฺฎกวตฺถูสุ – อฎฺฎโกติ เวหาสมโญฺจ วุจฺจติ; ยํ เสตกมฺมมาลากมฺมลตากมฺมาทีนํ อตฺถาย พนฺธนฺติฯ ตตฺถ อาวุโส อตฺรฎฺฐิโต พนฺธาหีติ มรณาธิปฺปาโย ยตฺร ฐิโต ปติตฺวา ขาณุนา วา ภิเชฺชยฺย, โสพฺภปปาตาทีสุ วา มเรยฺย , ตาทิสํ ฐานํ สนฺธายาหฯ เอตฺถ จ โกจิ อุปริฐานํ นิยาเมติ ‘‘อิโต ปติตฺวา มริสฺสตี’’ติ, โกจิ เหฎฺฐา ฐานํ ‘‘อิธ ปติตฺวา มริสฺสตี’’ติ, โกจิ อุภยมฺปิ ‘‘อิโต อิธ ปติตฺวา มริสฺสตี’’ติฯ ตตฺร โย อุปริ นิยมิตฎฺฐานา อปติตฺวา อญฺญโต ปตติ, เหฎฺฐา นิยมิตฎฺฐาเน วา อปติตฺวา อญฺญตฺถ ปตติ, อุภยนิยาเม วา ยํกิญฺจิ เอกํ วิราเธตฺวา ปตติ, ตสฺมิํ มเต วิสเงฺกตตฺตา อนาปตฺติฯ วิหารจฺฉาทนวตฺถุสฺมิมฺปิ เอเสว นโยฯ

    Aṭṭakavatthūsu – aṭṭakoti vehāsamañco vuccati; yaṃ setakammamālākammalatākammādīnaṃ atthāya bandhanti. Tattha āvuso atraṭṭhito bandhāhīti maraṇādhippāyo yatra ṭhito patitvā khāṇunā vā bhijjeyya, sobbhapapātādīsu vā mareyya , tādisaṃ ṭhānaṃ sandhāyāha. Ettha ca koci upariṭhānaṃ niyāmeti ‘‘ito patitvā marissatī’’ti, koci heṭṭhā ṭhānaṃ ‘‘idha patitvā marissatī’’ti, koci ubhayampi ‘‘ito idha patitvā marissatī’’ti. Tatra yo upari niyamitaṭṭhānā apatitvā aññato patati, heṭṭhā niyamitaṭṭhāne vā apatitvā aññattha patati, ubhayaniyāme vā yaṃkiñci ekaṃ virādhetvā patati, tasmiṃ mate visaṅketattā anāpatti. Vihāracchādanavatthusmimpi eseva nayo.

    อนภิรติวตฺถุสฺมิํ – โส กิร ภิกฺขุ กามวิตกฺกาทีนํ สมุทาจารํ ทิสฺวา นิวาเรตุํ อสโกฺกโนฺต สาสเน อนภิรโต คิหิภาวาภิมุโข ชาโตฯ ตโต จิเนฺตสิ – ‘‘ยาว สีลเภทํ น ปาปุณามิ ตาว มริสฺสามี’’ติฯ อถ ตํ ปพฺพตํ อภิรุหิตฺวา ปปาเต ปปตโนฺต อญฺญตรํ วิลีวการํ โอตฺถริตฺวา มาเรสิฯ วิลีวการนฺติ เวณุการํฯ น จ ภิกฺขเว อตฺตานํ ปาเตตพฺพนฺติ น อตฺตา ปาเตตโพฺพฯ วิภตฺติพฺยตฺตเยน ปเนตํ วุตฺตํฯ เอตฺถ จ น เกวลํ น ปาเตตพฺพํ, อเญฺญนปิ เยน เกนจิ อุปกฺกเมน อนฺตมโส อาหารุปเจฺฉเทนปิ น มาเรตโพฺพฯ โยปิ หิ คิลาโน วิชฺชมาเน เภสเชฺช จ อุปฎฺฐาเกสุ จ มริตุกาโม อาหารํ อุปจฺฉินฺทติ, ทุกฺกฎเมวฯ ยสฺส ปน มหาอาพาโธ จิรานุพโทฺธ, ภิกฺขู อุปฎฺฐหนฺตา กิลมนฺติ ชิคุจฺฉนฺติ ‘‘กทา นุ โข คิลานโต มุจฺจิสฺสามา’’ติ อฎฺฎียนฺติฯ สเจ โส ‘‘อยํ อตฺตภาโว ปฎิชคฺคิยมาโนปิ น ติฎฺฐติ, ภิกฺขู จ กิลมนฺตี’’ติ อาหารํ อุปจฺฉินฺทติ, เภสชฺชํ น เสวติ วฎฺฎติฯ โย ปน ‘‘อยํ โรโค ขโร, อายุสงฺขารา น ติฎฺฐนฺติ, อยญฺจ เม วิเสสาธิคโม หตฺถปฺปโตฺต วิย ทิสฺสตี’’ติ อุปจฺฉินฺทติ วฎฺฎติเยวฯ อคิลานสฺสาปิ อุปฺปนฺนสํเวคสฺส ‘‘อาหารปริเยสนํ นาม ปปโญฺจ, กมฺมฎฺฐานเมว อนุยุญฺชิสฺสามี’’ติ กมฺมฎฺฐานสีเสน อุปจฺฉินฺทนฺตสฺส วฎฺฎติฯ วิเสสาธิคมํ พฺยากริตฺวา อาหารํ อุปจฺฉินฺทติ, น วฎฺฎติฯ สภาคานญฺหิ ลชฺชีภิกฺขูนํ กเถตุํ วฎฺฎติฯ

    Anabhirativatthusmiṃ – so kira bhikkhu kāmavitakkādīnaṃ samudācāraṃ disvā nivāretuṃ asakkonto sāsane anabhirato gihibhāvābhimukho jāto. Tato cintesi – ‘‘yāva sīlabhedaṃ na pāpuṇāmi tāva marissāmī’’ti. Atha taṃ pabbataṃ abhiruhitvā papāte papatanto aññataraṃ vilīvakāraṃ ottharitvā māresi. Vilīvakāranti veṇukāraṃ. Na ca bhikkhave attānaṃ pātetabbanti na attā pātetabbo. Vibhattibyattayena panetaṃ vuttaṃ. Ettha ca na kevalaṃ na pātetabbaṃ, aññenapi yena kenaci upakkamena antamaso āhārupacchedenapi na māretabbo. Yopi hi gilāno vijjamāne bhesajje ca upaṭṭhākesu ca maritukāmo āhāraṃ upacchindati, dukkaṭameva. Yassa pana mahāābādho cirānubaddho, bhikkhū upaṭṭhahantā kilamanti jigucchanti ‘‘kadā nu kho gilānato muccissāmā’’ti aṭṭīyanti. Sace so ‘‘ayaṃ attabhāvo paṭijaggiyamānopi na tiṭṭhati, bhikkhū ca kilamantī’’ti āhāraṃ upacchindati, bhesajjaṃ na sevati vaṭṭati. Yo pana ‘‘ayaṃ rogo kharo, āyusaṅkhārā na tiṭṭhanti, ayañca me visesādhigamo hatthappatto viya dissatī’’ti upacchindati vaṭṭatiyeva. Agilānassāpi uppannasaṃvegassa ‘‘āhārapariyesanaṃ nāma papañco, kammaṭṭhānameva anuyuñjissāmī’’ti kammaṭṭhānasīsena upacchindantassa vaṭṭati. Visesādhigamaṃ byākaritvā āhāraṃ upacchindati, na vaṭṭati. Sabhāgānañhi lajjībhikkhūnaṃ kathetuṃ vaṭṭati.

    สิลาวตฺถุสฺมิํ – ทวายาติ ทเวน หเสฺสน; ขิฑฺฑายาติ อโตฺถฯ สิลาติ ปาสาโณ; น เกวลญฺจ ปาสาโณ, อญฺญมฺปิ ยํกิญฺจิ ทารุขณฺฑํ วา อิฎฺฐกาขณฺฑํ วา หเตฺถน วา ยเนฺตน วา ปวิชฺฌิตุํ น วฎฺฎติฯ เจติยาทีนํ อตฺถาย ปาสาณาทโย หสนฺตา หสนฺตา ปวเฎฺฎนฺติปิ ขิปนฺติปิ อุกฺขิปนฺติปิ กมฺมสมโยติ วฎฺฎติฯ อญฺญมฺปิ อีทิสํ นวกมฺมํ วา กโรนฺตา ภณฺฑกํ วา โธวนฺตา รุกฺขํ วา โธวนทณฺฑกํ วา อุกฺขิปิตฺวา ปวิชฺฌนฺติ, วฎฺฎติฯ ภตฺตวิสฺสคฺคกาลาทีสุ กาเก วา โสเณ วา กฎฺฐํ วา กถลํ วา ขิปิตฺวา ปลาเปติ, วฎฺฎติฯ

    Silāvatthusmiṃ – davāyāti davena hassena; khiḍḍāyāti attho. Silāti pāsāṇo; na kevalañca pāsāṇo, aññampi yaṃkiñci dārukhaṇḍaṃ vā iṭṭhakākhaṇḍaṃ vā hatthena vā yantena vā pavijjhituṃ na vaṭṭati. Cetiyādīnaṃ atthāya pāsāṇādayo hasantā hasantā pavaṭṭentipi khipantipi ukkhipantipi kammasamayoti vaṭṭati. Aññampi īdisaṃ navakammaṃ vā karontā bhaṇḍakaṃ vā dhovantā rukkhaṃ vā dhovanadaṇḍakaṃ vā ukkhipitvā pavijjhanti, vaṭṭati. Bhattavissaggakālādīsu kāke vā soṇe vā kaṭṭhaṃ vā kathalaṃ vā khipitvā palāpeti, vaṭṭati.

    ๑๘๔. เสทนาทิวตฺถูนิ สพฺพาเนว อุตฺตานตฺถานิฯ เอตฺถ จ อหํ กุกฺกุจฺจโกติ น คิลานุปฎฺฐานํ น กาตพฺพํ, หิตกามตาย สพฺพํ คิลานสฺส พลาพลญฺจ รุจิญฺจ สปฺปายาสปฺปายญฺจ อุปลเกฺขตฺวา กาตพฺพํฯ

    184.Sedanādivatthūni sabbāneva uttānatthāni. Ettha ca ahaṃ kukkuccakoti na gilānupaṭṭhānaṃ na kātabbaṃ, hitakāmatāya sabbaṃ gilānassa balābalañca ruciñca sappāyāsappāyañca upalakkhetvā kātabbaṃ.

    ๑๘๕. ชารคพฺภินิวตฺถุสฺมิํ – ปวุตฺถปติกาติ ปวาสํ คตปติกาฯ คพฺภปาตนนฺติ เยน ปริภุเตฺตน คโพฺภ ปตติ, ตาทิสํ เภสชฺชํฯ เทฺว ปชาปติกวตฺถูนิ อุตฺตานตฺถาเนวฯ คพฺภมทฺทนวตฺถุสฺมิํ – ‘‘มทฺทิตฺวา ปาเตหี’’ติ วุเตฺต อเญฺญน มทฺทาเปตฺวา ปาเตติ, วิสเงฺกตํฯ ‘‘มทฺทาเปตฺวา ปาตาเปหี’’ติ วุเตฺตปิ สยํ มทฺทิตฺวา ปาเตติ, วิสเงฺกตเมวฯ มนุสฺสวิคฺคเห ปริยาโย นาม นตฺถิฯ ตสฺมา ‘‘คโพฺภ นาม มทฺทิเต ปตตี’’ติ วุเตฺต สา สยํ วา มทฺทตุ, อเญฺญน วา มทฺทาเปตฺวา ปาเตตุ, วิสเงฺกโต นตฺถิ; ปาราชิกเมว ตาปนวตฺถุสฺมิมฺปิ เอเสว นโยฯ

    185. Jāragabbhinivatthusmiṃ – pavutthapatikāti pavāsaṃ gatapatikā. Gabbhapātananti yena paribhuttena gabbho patati, tādisaṃ bhesajjaṃ. Dve pajāpatikavatthūni uttānatthāneva. Gabbhamaddanavatthusmiṃ – ‘‘madditvā pātehī’’ti vutte aññena maddāpetvā pāteti, visaṅketaṃ. ‘‘Maddāpetvā pātāpehī’’ti vuttepi sayaṃ madditvā pāteti, visaṅketameva. Manussaviggahe pariyāyo nāma natthi. Tasmā ‘‘gabbho nāma maddite patatī’’ti vutte sā sayaṃ vā maddatu, aññena vā maddāpetvā pātetu, visaṅketo natthi; pārājikameva tāpanavatthusmimpi eseva nayo.

    วญฺฌิตฺถิวตฺถุสฺมิํ – วญฺฌิตฺถี นาม ยา คพฺภํ น คณฺหาติฯ คพฺภํ อคณฺหนกอิตฺถี นาม นตฺถิ, ยสฺสา ปน คหิโตปิ คโพฺภ น สณฺฐาติ, ตํเยว สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ อุตุสมเย กิร สพฺพิตฺถิโย คพฺภํ คณฺหนฺติฯ ยา ปนายํ ‘‘วญฺฌา’’ติ วุจฺจติ, ตสฺสา กุจฺฉิยํ นิพฺพตฺตสตฺตานํ อกุสลวิปาโก สมฺปาปุณาติฯ เต ปริตฺตกุสลวิปาเกน คหิตปฎิสนฺธิกา อกุสลวิปาเกน อธิภูตา วินสฺสนฺติฯ อภินวปฎิสนฺธิยํเยว หิ กมฺมานุภาเวน ทฺวีหากาเรหิ คโพฺภ น สณฺฐาติ – วาเตน วา ปาณเกหิ วาฯ วาโต โสเสตฺวา อนฺตรธาเปติ, ปาณกา ขาทิตฺวาฯ ตสฺส ปน วาตสฺส ปาณกานํ วา ปฎิฆาตาย เภสเชฺช กเต คโพฺภ สณฺฐเหยฺย; โส ภิกฺขุ ตํ อกตฺวา อญฺญํ ขรเภสชฺชํ อทาสิฯ เตน สา กาลมกาสิฯ ภควา เภสชฺชสฺส กฎตฺตา ทุกฺกฎํ ปญฺญาเปสิฯ

    Vañjhitthivatthusmiṃ – vañjhitthī nāma yā gabbhaṃ na gaṇhāti. Gabbhaṃ agaṇhanakaitthī nāma natthi, yassā pana gahitopi gabbho na saṇṭhāti, taṃyeva sandhāyetaṃ vuttaṃ. Utusamaye kira sabbitthiyo gabbhaṃ gaṇhanti. Yā panāyaṃ ‘‘vañjhā’’ti vuccati, tassā kucchiyaṃ nibbattasattānaṃ akusalavipāko sampāpuṇāti. Te parittakusalavipākena gahitapaṭisandhikā akusalavipākena adhibhūtā vinassanti. Abhinavapaṭisandhiyaṃyeva hi kammānubhāvena dvīhākārehi gabbho na saṇṭhāti – vātena vā pāṇakehi vā. Vāto sosetvā antaradhāpeti, pāṇakā khāditvā. Tassa pana vātassa pāṇakānaṃ vā paṭighātāya bhesajje kate gabbho saṇṭhaheyya; so bhikkhu taṃ akatvā aññaṃ kharabhesajjaṃ adāsi. Tena sā kālamakāsi. Bhagavā bhesajjassa kaṭattā dukkaṭaṃ paññāpesi.

    ทุติยวตฺถุสฺมิมฺปิ เอเสว นโยฯ ตสฺมา อาคตาคตสฺส ปรชนสฺส เภสชฺชํ น กาตพฺพํ, กโรโนฺต ทุกฺกฎํ อาปชฺชติฯ ปญฺจนฺนํ ปน สหธมฺมิกานํ กาตพฺพํ ภิกฺขุสฺส ภิกฺขุนิยา สิกฺขมานาย สามเณรสฺส สามเณริยาติฯ สมสีลสทฺธาปญฺญานญฺหิ เอเตสํ ตีสุ สิกฺขาสุ ยุตฺตานํ เภสชฺชํ อกาตุํ น ลพฺภติ, กโรเนฺตน จ สเจ เตสํ อตฺถิ, เตสํ สนฺตกํ คเหตฺวา โยเชตฺวา ทาตพฺพํฯ สเจ นตฺถิ, อตฺตโน สนฺตกํ กาตพฺพํฯ สเจ อตฺตโนปิ นตฺถิ, ภิกฺขาจารวเตฺตน วา ญาตกปวาริตฎฺฐานโต วา ปริเยสิตพฺพํฯ อลภเนฺตน คิลานสฺส อตฺถาย อกตวิญฺญตฺติยาปิ อาหริตฺวา กาตพฺพํฯ

    Dutiyavatthusmimpi eseva nayo. Tasmā āgatāgatassa parajanassa bhesajjaṃ na kātabbaṃ, karonto dukkaṭaṃ āpajjati. Pañcannaṃ pana sahadhammikānaṃ kātabbaṃ bhikkhussa bhikkhuniyā sikkhamānāya sāmaṇerassa sāmaṇeriyāti. Samasīlasaddhāpaññānañhi etesaṃ tīsu sikkhāsu yuttānaṃ bhesajjaṃ akātuṃ na labbhati, karontena ca sace tesaṃ atthi, tesaṃ santakaṃ gahetvā yojetvā dātabbaṃ. Sace natthi, attano santakaṃ kātabbaṃ. Sace attanopi natthi, bhikkhācāravattena vā ñātakapavāritaṭṭhānato vā pariyesitabbaṃ. Alabhantena gilānassa atthāya akataviññattiyāpi āharitvā kātabbaṃ.

    อปเรสมฺปิ ปญฺจนฺนํ กาตุํ วฎฺฎติ – มาตุ, ปิตุ, ตทุปฎฺฐากานํ, อตฺตโน เวยฺยาวจฺจกรสฺส, ปณฺฑุปลาสสฺสาติฯ ปณฺฑุปลาโส นาม โย ปพฺพชฺชาเปโกฺข ยาว ปตฺตจีวรํ ปฎิยาทิยติ ตาว วิหาเร วสติฯ เตสุ สเจ มาตาปิตโร อิสฺสรา โหนฺติ, น ปจฺจาสีสนฺติ, อกาตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ปน รเชฺชปิ ฐิตา ปจฺจาสีสนฺติ, อกาตุํ น วฎฺฎติฯ เภสชฺชํ ปจฺจาสีสนฺตานํ เภสชฺชํ ทาตพฺพํ, โยเชตุํ อชานนฺตานํ โยเชตฺวา ทาตพฺพํฯ สเพฺพสํ อตฺถาย สหธมฺมิเกสุ วุตฺตนเยเนว ปริเยสิตพฺพํฯ สเจ ปน มาตรํ วิหาเร อาเนตฺวา ชคฺคติ, สพฺพํ ปริกมฺมํ อนามสเนฺตน กาตพฺพํฯ ขาทนียํ โภชนียํ สหตฺถา ทาตพฺพํฯ ปิตา ปน ยถา สามเณโร เอวํ สหเตฺถน นฺหาปนสมฺพาหนาทีนิ กตฺวา อุปฎฺฐาตโพฺพฯ เย จ มาตาปิตโร อุปฎฺฐหนฺติ ปฎิชคฺคนฺติ, เตสมฺปิ เอวเมว กาตพฺพํฯ เวยฺยาวจฺจกโร นาม โย เวตนํ คเหตฺวา อรเญฺญ ทารูนิ วา ฉินฺทติ, อญฺญํ วา กิญฺจิ กมฺมํ กโรติ, ตสฺส โรเค อุปฺปเนฺน ยาว ญาตกา น ปสฺสนฺติ ตาว เภสชฺชํ กาตพฺพํฯ โย ปน ภิกฺขุนิสฺสิตโกว หุตฺวา สพฺพกมฺมานิ กโรติ, ตสฺส เภสชฺชํ กาตพฺพเมวฯ ปณฺฑุปลาเสปิ สามเณเร วิย ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ

    Aparesampi pañcannaṃ kātuṃ vaṭṭati – mātu, pitu, tadupaṭṭhākānaṃ, attano veyyāvaccakarassa, paṇḍupalāsassāti. Paṇḍupalāso nāma yo pabbajjāpekkho yāva pattacīvaraṃ paṭiyādiyati tāva vihāre vasati. Tesu sace mātāpitaro issarā honti, na paccāsīsanti, akātuṃ vaṭṭati. Sace pana rajjepi ṭhitā paccāsīsanti, akātuṃ na vaṭṭati. Bhesajjaṃ paccāsīsantānaṃ bhesajjaṃ dātabbaṃ, yojetuṃ ajānantānaṃ yojetvā dātabbaṃ. Sabbesaṃ atthāya sahadhammikesu vuttanayeneva pariyesitabbaṃ. Sace pana mātaraṃ vihāre ānetvā jaggati, sabbaṃ parikammaṃ anāmasantena kātabbaṃ. Khādanīyaṃ bhojanīyaṃ sahatthā dātabbaṃ. Pitā pana yathā sāmaṇero evaṃ sahatthena nhāpanasambāhanādīni katvā upaṭṭhātabbo. Ye ca mātāpitaro upaṭṭhahanti paṭijagganti, tesampi evameva kātabbaṃ. Veyyāvaccakaro nāma yo vetanaṃ gahetvā araññe dārūni vā chindati, aññaṃ vā kiñci kammaṃ karoti, tassa roge uppanne yāva ñātakā na passanti tāva bhesajjaṃ kātabbaṃ. Yo pana bhikkhunissitakova hutvā sabbakammāni karoti, tassa bhesajjaṃ kātabbameva. Paṇḍupalāsepi sāmaṇere viya paṭipajjitabbaṃ.

    อปเรสมฺปิ ทสนฺนํ กาตุํ วฎฺฎติ – เชฎฺฐภาตุ, กนิฎฺฐภาตุ, เชฎฺฐภคินิยา, กนิฎฺฐภคินิยา, จูฬมาตุยา, มหามาตุยา, จูฬปิตุโน, มหาปิตุโน, ปิตุจฺฉาย, มาตุลสฺสาติฯ เตสํ ปน สเพฺพสมฺปิ กโรเนฺตน เตสํเยว สนฺตกํ เภสชฺชํ คเหตฺวา เกวลํ โยเชตฺวา ทาตพฺพํฯ สเจ ปน นปฺปโหนฺติ, ยาจนฺติ จ ‘‘เทถ โน, ภเนฺต, ตุมฺหากํ ปฎิทสฺสามา’’ติ ตาวกาลิกํ ทาตพฺพํฯ สเจปิ น ยาจนฺติ, ‘‘อมฺหากํ เภสชฺชํ อตฺถิ, ตาวกาลิกํ คณฺหถา’’ติ วตฺวา วา ‘‘ยทา เนสํ ภวิสฺสติ ตทา ทสฺสนฺตี’’ติ อาโภคํ วา กตฺวา ทาตพฺพํฯ สเจ ปฎิเทนฺติ, คเหตพฺพํ, โน เจ เทนฺติ, น โจเทตพฺพาฯ เอเต ทส ญาตเก ฐเปตฺวา อเญฺญสํ น กาตพฺพํฯ

    Aparesampi dasannaṃ kātuṃ vaṭṭati – jeṭṭhabhātu, kaniṭṭhabhātu, jeṭṭhabhaginiyā, kaniṭṭhabhaginiyā, cūḷamātuyā, mahāmātuyā, cūḷapituno, mahāpituno, pitucchāya, mātulassāti. Tesaṃ pana sabbesampi karontena tesaṃyeva santakaṃ bhesajjaṃ gahetvā kevalaṃ yojetvā dātabbaṃ. Sace pana nappahonti, yācanti ca ‘‘detha no, bhante, tumhākaṃ paṭidassāmā’’ti tāvakālikaṃ dātabbaṃ. Sacepi na yācanti, ‘‘amhākaṃ bhesajjaṃ atthi, tāvakālikaṃ gaṇhathā’’ti vatvā vā ‘‘yadā nesaṃ bhavissati tadā dassantī’’ti ābhogaṃ vā katvā dātabbaṃ. Sace paṭidenti, gahetabbaṃ, no ce denti, na codetabbā. Ete dasa ñātake ṭhapetvā aññesaṃ na kātabbaṃ.

    เอเตสํ ปุตฺตปรมฺปราย ปน ยาว สตฺตโม กุลปริวโฎฺฎ ตาว จตฺตาโร ปจฺจเย อาหราเปนฺตสฺส อกตวิญฺญตฺติ วา เภสชฺชํ กโรนฺตสฺส เวชฺชกมฺมํ วา กุลทูสกาปตฺติ วา น โหติฯ สเจ ภาตุชายา ภคินิสามิโก วา คิลานา โหนฺติ, ญาตกา เจ, เตสมฺปิ วฎฺฎติฯ อญฺญาตกา เจ, ภาตุ จ ภคินิยา จ กตฺวา ทาตพฺพํ, ‘‘ตุมฺหากํ ชคฺคนฎฺฐาเน เทถา’’ติฯ อถ วา เตสํ ปุตฺตานํ กตฺวา ทาตพฺพํ, ‘‘ตุมฺหากํ มาตาปิตูนํ เทถา’’ติฯ เอเตนุปาเยน สพฺพปเทสุปิ วินิจฺฉโย เวทิตโพฺพฯ

    Etesaṃ puttaparamparāya pana yāva sattamo kulaparivaṭṭo tāva cattāro paccaye āharāpentassa akataviññatti vā bhesajjaṃ karontassa vejjakammaṃ vā kuladūsakāpatti vā na hoti. Sace bhātujāyā bhaginisāmiko vā gilānā honti, ñātakā ce, tesampi vaṭṭati. Aññātakā ce, bhātu ca bhaginiyā ca katvā dātabbaṃ, ‘‘tumhākaṃ jagganaṭṭhāne dethā’’ti. Atha vā tesaṃ puttānaṃ katvā dātabbaṃ, ‘‘tumhākaṃ mātāpitūnaṃ dethā’’ti. Etenupāyena sabbapadesupi vinicchayo veditabbo.

    เตสํ อตฺถาย จ สามเณเรหิ อรญฺญโต เภสชฺชํ อาหราเปเนฺตน ญาติสามเณเรหิ วา อาหราเปตพฺพํฯ อตฺตโน อตฺถาย วา อาหราเปตฺวา ทาตพฺพํฯ เตหิปิ ‘‘อุปชฺฌายสฺส อาหรามา’’ติ วตฺตสีเสน อาหริตพฺพํฯ อุปชฺฌายสฺส มาตาปิตโร คิลานา วิหารํ อาคจฺฉนฺติ, อุปชฺฌาโย จ ทิสาปกฺกโนฺต โหติ, สทฺธิวิหาริเกน อุปชฺฌายสฺส สนฺตกํ เภสชฺชํ ทาตพฺพํฯ โน เจ อตฺถิ, อตฺตโน เภสชฺชํ อุปชฺฌายสฺส ปริจฺจชิตฺวา ทาตพฺพํฯ อตฺตโนปิ อสเนฺต วุตฺตนเยน ปริเยสิตฺวา อุปชฺฌายสฺส สนฺตกํ กตฺวา ทาตพฺพํฯ อุปชฺฌาเยนปิ สทฺธิวิหาริกสฺส มาตาปิตูสุ เอวเมว ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ เอส นโย อาจริยเนฺตวาสิเกสุปิฯ อโญฺญปิ โย อาคนฺตุโก วา โจโร วา ยุทฺธปราชิโต อิสฺสโร วา ญาตเกหิ ปริจฺจโตฺต กปโณ วา คมิยมนุโสฺส วา คิลาโน หุตฺวา วิหารํ ปวิสติ, สเพฺพสํ อปจฺจาสีสเนฺตน เภสชฺชํ กาตพฺพํฯ

    Tesaṃ atthāya ca sāmaṇerehi araññato bhesajjaṃ āharāpentena ñātisāmaṇerehi vā āharāpetabbaṃ. Attano atthāya vā āharāpetvā dātabbaṃ. Tehipi ‘‘upajjhāyassa āharāmā’’ti vattasīsena āharitabbaṃ. Upajjhāyassa mātāpitaro gilānā vihāraṃ āgacchanti, upajjhāyo ca disāpakkanto hoti, saddhivihārikena upajjhāyassa santakaṃ bhesajjaṃ dātabbaṃ. No ce atthi, attano bhesajjaṃ upajjhāyassa pariccajitvā dātabbaṃ. Attanopi asante vuttanayena pariyesitvā upajjhāyassa santakaṃ katvā dātabbaṃ. Upajjhāyenapi saddhivihārikassa mātāpitūsu evameva paṭipajjitabbaṃ. Esa nayo ācariyantevāsikesupi. Aññopi yo āgantuko vā coro vā yuddhaparājito issaro vā ñātakehi pariccatto kapaṇo vā gamiyamanusso vā gilāno hutvā vihāraṃ pavisati, sabbesaṃ apaccāsīsantena bhesajjaṃ kātabbaṃ.

    สทฺธํ กุลํ โหติ จตูหิ ปจฺจเยหิ อุปฎฺฐายกํ ภิกฺขุสงฺฆสฺส มาตาปิตุฎฺฐานิยํ, ตตฺร เจ โกจิ คิลาโน โหติ, ตสฺสตฺถาย วิสฺสาเสน ‘‘เภสชฺชํ กตฺวา ภเนฺต เทถา’’ติ วทนฺติ, เนว ทาตพฺพํ น กาตพฺพํฯ อถ ปน กปฺปิยํ ญตฺวา เอวํ ปุจฺฉนฺติ – ‘‘ภเนฺต, อสุกสฺส นาม โรคสฺส กิํ เภสชฺชํ กโรนฺตี’’ติ? ‘‘อิทญฺจิทญฺจ คเหตฺวา กโรนฺตี’’ติ วตฺตุํ วฎฺฎติฯ ‘‘ภเนฺต, มยฺหํ มาตา คิลานา, เภสชฺชํ ตาว อาจิกฺขถา’’ติ เอวํ ปุจฺฉิเต ปน น อาจิกฺขิตพฺพํฯ อญฺญมญฺญํ ปน กถา กาตพฺพา – ‘‘อาวุโส, อสุกสฺส นาม ภิกฺขุโน อิมสฺมิํ โรเค กิํ เภสชฺชํ กริํสู’’ติ? ‘‘อิทญฺจิทญฺจ ภเนฺต’’ติฯ ตํ สุตฺวา อิตโร มาตุ เภสชฺชํ กโรติ, วฎฺฎเตวฯ

    Saddhaṃ kulaṃ hoti catūhi paccayehi upaṭṭhāyakaṃ bhikkhusaṅghassa mātāpituṭṭhāniyaṃ, tatra ce koci gilāno hoti, tassatthāya vissāsena ‘‘bhesajjaṃ katvā bhante dethā’’ti vadanti, neva dātabbaṃ na kātabbaṃ. Atha pana kappiyaṃ ñatvā evaṃ pucchanti – ‘‘bhante, asukassa nāma rogassa kiṃ bhesajjaṃ karontī’’ti? ‘‘Idañcidañca gahetvā karontī’’ti vattuṃ vaṭṭati. ‘‘Bhante, mayhaṃ mātā gilānā, bhesajjaṃ tāva ācikkhathā’’ti evaṃ pucchite pana na ācikkhitabbaṃ. Aññamaññaṃ pana kathā kātabbā – ‘‘āvuso, asukassa nāma bhikkhuno imasmiṃ roge kiṃ bhesajjaṃ kariṃsū’’ti? ‘‘Idañcidañca bhante’’ti. Taṃ sutvā itaro mātu bhesajjaṃ karoti, vaṭṭateva.

    มหาปทุมเตฺถโรปิ กิร วสภรโญฺญ เทวิยา โรเค อุปฺปเนฺน เอกาย อิตฺถิยา อาคนฺตฺวา ปุจฺฉิโต ‘‘น ชานามี’’ติ อวตฺวา เอวเมว ภิกฺขูหิ สทฺธิํ สมุลฺลเปสิฯ ตํ สุตฺวา ตสฺสา เภสชฺชมกํสุฯ วูปสเนฺต จ โรเค ติจีวเรน ตีหิ จ กหาปณสเตหิ สทฺธิํ เภสชฺชจโงฺกฎกํ ปูเรตฺวา อาหริตฺวา เถรสฺส ปาทมูเล ฐเปตฺวา ‘‘ภเนฺต, ปุปฺผปูชํ กโรถา’’ติ อาหํสุฯ เถโร ‘‘อาจริยภาโค นามาย’’นฺติ กปฺปิยวเสน คาหาเปตฺวา ปุปฺผปูชํ อกาสิฯ เอวํ ตาว เภสเชฺช ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ

    Mahāpadumattheropi kira vasabharañño deviyā roge uppanne ekāya itthiyā āgantvā pucchito ‘‘na jānāmī’’ti avatvā evameva bhikkhūhi saddhiṃ samullapesi. Taṃ sutvā tassā bhesajjamakaṃsu. Vūpasante ca roge ticīvarena tīhi ca kahāpaṇasatehi saddhiṃ bhesajjacaṅkoṭakaṃ pūretvā āharitvā therassa pādamūle ṭhapetvā ‘‘bhante, pupphapūjaṃ karothā’’ti āhaṃsu. Thero ‘‘ācariyabhāgo nāmāya’’nti kappiyavasena gāhāpetvā pupphapūjaṃ akāsi. Evaṃ tāva bhesajje paṭipajjitabbaṃ.

    ปริเตฺต ปน ‘‘คิลานสฺส ปริตฺตํ กโรถ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต น กาตพฺพํ, ‘‘ภณถา’’ติ วุเตฺต ปน กาตพฺพํฯ สเจ ปิสฺส เอวํ โหติ ‘‘มนุสฺสา นาม น ชานนฺติ, อกยิรมาเน วิปฺปฎิสาริโน ภวิสฺสนฺตี’’ติ กาตพฺพํ; ‘‘ปริโตฺตทกํ ปริตฺตสุตฺตํ กตฺวา เทถา’’ติ วุเตฺตน ปน เตสํเยว อุทกํ หเตฺถน จาเลตฺวา สุตฺตํ ปริมเชฺชตฺวา ทาตพฺพํฯ สเจ วิหารโต อุทกํ อตฺตโน สนฺตกํ วา สุตฺตํ เทติ, ทุกฺกฎํฯ มนุสฺสา อุทกญฺจ สุตฺตญฺจ คเหตฺวา นิสีทิตฺวา ‘‘ปริตฺตํ ภณถา’’ติ วทนฺติ, กาตพฺพํฯ โน เจ ชานนฺติ, อาจิกฺขิตพฺพํฯ ภิกฺขูนํ นิสินฺนานํ ปาเทสุ อุทกํ อากิริตฺวา สุตฺตญฺจ ฐเปตฺวา คจฺฉนฺติ ‘‘ปริตฺตํ กโรถ, ปริตฺตํ ภณถา’’ติ น ปาทา อปเนตพฺพาฯ มนุสฺสา หิ วิปฺปฎิสาริโน โหนฺติฯ อโนฺตคาเม คิลานสฺสตฺถาย วิหารํ เปเสนฺติ, ‘‘ปริตฺตํ ภณนฺตู’’ติ ภณิตพฺพํฯ อโนฺตคาเม ราชเคหาทีสุ โรเค วา อุปทฺทเว วา อุปฺปเนฺน ปโกฺกสาเปตฺวา ภณาเปนฺติ, อาฎานาฎิยสุตฺตาทีนิ ภณิตพฺพานิฯ ‘‘อาคนฺตฺวา คิลานสฺส สิกฺขาปทานิ เทนฺตุ, ธมฺมํ กเถนฺตุฯ ราชเนฺตปุเร วา อมจฺจเคเห วา อาคนฺตฺวา สิกฺขาปทานิ เทนฺตุ, ธมฺมํ กเถนฺตู’’ติ เปสิเตปิ คนฺตฺวา สิกฺขาปทานิ ทาตพฺพานิ, ธโมฺม กเถตโพฺพฯ ‘‘มตานํ ปริวารตฺถํ อาคจฺฉนฺตู’’ติ ปโกฺกสนฺติ, น คนฺตพฺพํฯ สีวถิกทสฺสเน อสุภทสฺสเน จ มรณสฺสติํ ปฎิลภิสฺสามีติ กมฺมฎฺฐานสีเสน คนฺตุํ วฎฺฎติฯ เอวํ ปริเตฺต ปฎิปชฺชิตพฺพํ

    Paritte pana ‘‘gilānassa parittaṃ karotha, bhante’’ti vutte na kātabbaṃ, ‘‘bhaṇathā’’ti vutte pana kātabbaṃ. Sace pissa evaṃ hoti ‘‘manussā nāma na jānanti, akayiramāne vippaṭisārino bhavissantī’’ti kātabbaṃ; ‘‘parittodakaṃ parittasuttaṃ katvā dethā’’ti vuttena pana tesaṃyeva udakaṃ hatthena cāletvā suttaṃ parimajjetvā dātabbaṃ. Sace vihārato udakaṃ attano santakaṃ vā suttaṃ deti, dukkaṭaṃ. Manussā udakañca suttañca gahetvā nisīditvā ‘‘parittaṃ bhaṇathā’’ti vadanti, kātabbaṃ. No ce jānanti, ācikkhitabbaṃ. Bhikkhūnaṃ nisinnānaṃ pādesu udakaṃ ākiritvā suttañca ṭhapetvā gacchanti ‘‘parittaṃ karotha, parittaṃ bhaṇathā’’ti na pādā apanetabbā. Manussā hi vippaṭisārino honti. Antogāme gilānassatthāya vihāraṃ pesenti, ‘‘parittaṃ bhaṇantū’’ti bhaṇitabbaṃ. Antogāme rājagehādīsu roge vā upaddave vā uppanne pakkosāpetvā bhaṇāpenti, āṭānāṭiyasuttādīni bhaṇitabbāni. ‘‘Āgantvā gilānassa sikkhāpadāni dentu, dhammaṃ kathentu. Rājantepure vā amaccagehe vā āgantvā sikkhāpadāni dentu, dhammaṃ kathentū’’ti pesitepi gantvā sikkhāpadāni dātabbāni, dhammo kathetabbo. ‘‘Matānaṃ parivāratthaṃ āgacchantū’’ti pakkosanti, na gantabbaṃ. Sīvathikadassane asubhadassane ca maraṇassatiṃ paṭilabhissāmīti kammaṭṭhānasīsena gantuṃ vaṭṭati. Evaṃ paritte paṭipajjitabbaṃ.

    ปิณฺฑปาเต ปน – อนามฎฺฐปิณฺฑปาโต กสฺส ทาตโพฺพ, กสฺส น ทาตโพฺพ? มาตาปิตุนํ ตาว ทาตโพฺพฯ สเจปิ กหาปณคฺฆนโก โหติ, สทฺธาเทยฺยวินิปาตนํ นตฺถิฯ มาตาปิตุอุปฎฺฐากานํ เวยฺยาวจฺจกรสฺส ปณฺฑุปลาสสฺสาติ เอเตสมฺปิ ทาตโพฺพฯ ตตฺถ ปณฺฑุปลาสสฺส ถาลเก ปกฺขิปิตฺวาปิ ทาตุํ วฎฺฎติฯ ตํ ฐเปตฺวา อเญฺญสํ อาคาริกานํ มาตาปิตุนมฺปิ น วฎฺฎติฯ ปพฺพชิตปริโภโค หิ อาคาริกานํ เจติยฎฺฐานิโยฯ อปิจ อนามฎฺฐปิณฺฑปาโต นาเมส สมฺปตฺตสฺส ทามริกโจรสฺสาปิ อิสฺสรสฺสาปิ ทาตโพฺพฯ กสฺมา? เต หิ อทียมาเนปิ ‘‘น เทนฺตี’’ติ อามสิตฺวา ทียมาเนปิ ‘‘อุจฺฉิฎฺฐกํ เทนฺตี’’ติ กุชฺฌนฺติฯ กุทฺธา ชีวิตาปิ โวโรเปนฺติ, สาสนสฺสาปิ อนฺตรายํ กโรนฺติฯ รชฺชํ ปตฺถยมานสฺส วิจรโต โจรนาคสฺส วตฺถุ เจตฺถ กเถตพฺพํฯ เอวํ ปิณฺฑปาเต ปฎิปชฺชิตพฺพํฯ

    Piṇḍapāte pana – anāmaṭṭhapiṇḍapāto kassa dātabbo, kassa na dātabbo? Mātāpitunaṃ tāva dātabbo. Sacepi kahāpaṇagghanako hoti, saddhādeyyavinipātanaṃ natthi. Mātāpituupaṭṭhākānaṃ veyyāvaccakarassa paṇḍupalāsassāti etesampi dātabbo. Tattha paṇḍupalāsassa thālake pakkhipitvāpi dātuṃ vaṭṭati. Taṃ ṭhapetvā aññesaṃ āgārikānaṃ mātāpitunampi na vaṭṭati. Pabbajitaparibhogo hi āgārikānaṃ cetiyaṭṭhāniyo. Apica anāmaṭṭhapiṇḍapāto nāmesa sampattassa dāmarikacorassāpi issarassāpi dātabbo. Kasmā? Te hi adīyamānepi ‘‘na dentī’’ti āmasitvā dīyamānepi ‘‘ucchiṭṭhakaṃ dentī’’ti kujjhanti. Kuddhā jīvitāpi voropenti, sāsanassāpi antarāyaṃ karonti. Rajjaṃ patthayamānassa vicarato coranāgassa vatthu cettha kathetabbaṃ. Evaṃ piṇḍapāte paṭipajjitabbaṃ.

    ปฎิสนฺถาโร ปน กสฺส กาตโพฺพ, กสฺส น กาตโพฺพ? ปฎิสนฺถาโร นาม วิหารํ สมฺปตฺตสฺส ยสฺส กสฺสจิ อาคนฺตุกสฺส วา ทลิทฺทสฺส วา โจรสฺส วา อิสฺสรสฺส วา กาตโพฺพเยวฯ กถํ? อาคนฺตุกํ ตาว ขีณปริพฺพยํ วิหารํ สมฺปตฺตํ ทิสฺวา ปานียํ ทาตพฺพํ, ปาทมกฺขนเตลํ ทาตพฺพํฯ กาเล อาคตสฺส ยาคุภตฺตํ, วิกาเล อาคตสฺส สเจ ตณฺฑุลา อตฺถิ; ตณฺฑุลา ทาตพฺพาฯ อเวลายํ สมฺปโตฺต ‘‘คจฺฉาหี’’ติ น วตฺตโพฺพฯ สยนฎฺฐานํ ทาตพฺพํฯ สพฺพํ อปจฺจาสีสเนฺตเนว กาตพฺพํฯ ‘‘มนุสฺสา นาม จตุปจฺจยทายกา เอวํ สงฺคเห กยิรมาเน ปุนปฺปุนํ ปสีทิตฺวา อุปการํ กริสฺสนฺตี’’ติ จิตฺตํ น อุปฺปาเทตพฺพํฯ โจรานํ ปน สงฺฆิกมฺปิ ทาตพฺพํฯ

    Paṭisanthāro pana kassa kātabbo, kassa na kātabbo? Paṭisanthāro nāma vihāraṃ sampattassa yassa kassaci āgantukassa vā daliddassa vā corassa vā issarassa vā kātabboyeva. Kathaṃ? Āgantukaṃ tāva khīṇaparibbayaṃ vihāraṃ sampattaṃ disvā pānīyaṃ dātabbaṃ, pādamakkhanatelaṃ dātabbaṃ. Kāle āgatassa yāgubhattaṃ, vikāle āgatassa sace taṇḍulā atthi; taṇḍulā dātabbā. Avelāyaṃ sampatto ‘‘gacchāhī’’ti na vattabbo. Sayanaṭṭhānaṃ dātabbaṃ. Sabbaṃ apaccāsīsanteneva kātabbaṃ. ‘‘Manussā nāma catupaccayadāyakā evaṃ saṅgahe kayiramāne punappunaṃ pasīditvā upakāraṃ karissantī’’ti cittaṃ na uppādetabbaṃ. Corānaṃ pana saṅghikampi dātabbaṃ.

    ปฎิสนฺถารานิสํสทีปนตฺถญฺจ โจรนาควตฺถุ, ภาตรา สทฺธิํ ชมฺพุทีปคตสฺส มหานาครโญฺญ วตฺถุ, ปิตุราชสฺส รเชฺช จตุนฺนํ อมจฺจานํ วตฺถุ, อภยโจรวตฺถูติ เอวมาทีนิ พหูนิ วตฺถูนิ มหาอฎฺฐกถายํ วิตฺถารโต วุตฺตานิฯ

    Paṭisanthārānisaṃsadīpanatthañca coranāgavatthu, bhātarā saddhiṃ jambudīpagatassa mahānāgarañño vatthu, piturājassa rajje catunnaṃ amaccānaṃ vatthu, abhayacoravatthūti evamādīni bahūni vatthūni mahāaṭṭhakathāyaṃ vitthārato vuttāni.

    ตตฺรายํ เอกวตฺถุทีปนา – สีหฬทีเป กิร อภโย นาม โจโร ปญฺจสตปริวาโร เอกสฺมิํ ฐาเน ขนฺธาวารํ พนฺธิตฺวา สมนฺตา ติโยชนํ อุพฺพาเสตฺวา วสติฯ อนุราธปุรวาสิโน กทมฺพนทิํ น อุตฺตรนฺติ, เจติยคิริมเคฺค ชนสญฺจาโร อุปจฺฉิโนฺนฯ อเถกทิวสํ โจโร ‘‘เจติยคิริํ วิลุมฺปิสฺสามี’’ติ อคมาสิฯ อารามิกา ทิสฺวา ทีฆภาณกอภยเตฺถรสฺส อาโรเจสุํฯ เถโร ‘‘สปฺปิผาณิตาทีนิ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อตฺถิ, ภเนฺต’’ติฯ ‘‘โจรานํ เทถ, ตณฺฑุลา อตฺถี’’ติ? ‘‘อตฺถิ, ภเนฺต, สงฺฆสฺสตฺถาย อาหฎา ตณฺฑุลา จ ปตฺตสากญฺจ โครโส จา’’ติฯ ‘‘ภตฺตํ สมฺปาเทตฺวา โจรานํ เทถา’’ติฯ อารามิกา ตถา กริํสุฯ โจรา ภตฺตํ ภุญฺชิตฺวา ‘‘เกนายํ ปฎิสนฺถาโร กโต’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘อมฺหากํ อเยฺยน อภยเตฺถเรนา’’ติฯ โจรา เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อาหํสุ – ‘‘มยํ สงฺฆสฺส จ เจติยสฺส จ สนฺตกํ อจฺฉินฺทิตฺวา คเหสฺสามาติ อาคตา, ตุมฺหากํ ปน อิมินา ปฎิสนฺถาเรนมฺห ปสนฺนา, อชฺช ปฎฺฐาย วิหาเร ธมฺมิกา รกฺขา อมฺหากํ อายตฺตา โหตุ, นาครา อาคนฺตฺวา ทานํ เทนฺตุ, เจติยํ วนฺทนฺตู’’ติฯ ตโต ปฎฺฐาย จ นาคเร ทานํ ทาตุํ อาคจฺฉเนฺต นทีตีเรเยว ปจฺจุคฺคนฺตฺวา รกฺขนฺตา วิหารํ เนนฺติ, วิหาเรปิ ทานํ เทนฺตานํ รกฺขํ กตฺวา ติฎฺฐนฺติฯ เตปิ ภิกฺขูนํ ภุตฺตาวเสสํ โจรานํ เทนฺติฯ คมนกาเลปิ เต โจรา นทีตีรํ ปาเปตฺวา นิวตฺตนฺติฯ

    Tatrāyaṃ ekavatthudīpanā – sīhaḷadīpe kira abhayo nāma coro pañcasataparivāro ekasmiṃ ṭhāne khandhāvāraṃ bandhitvā samantā tiyojanaṃ ubbāsetvā vasati. Anurādhapuravāsino kadambanadiṃ na uttaranti, cetiyagirimagge janasañcāro upacchinno. Athekadivasaṃ coro ‘‘cetiyagiriṃ vilumpissāmī’’ti agamāsi. Ārāmikā disvā dīghabhāṇakaabhayattherassa ārocesuṃ. Thero ‘‘sappiphāṇitādīni atthī’’ti pucchi. ‘‘Atthi, bhante’’ti. ‘‘Corānaṃ detha, taṇḍulā atthī’’ti? ‘‘Atthi, bhante, saṅghassatthāya āhaṭā taṇḍulā ca pattasākañca goraso cā’’ti. ‘‘Bhattaṃ sampādetvā corānaṃ dethā’’ti. Ārāmikā tathā kariṃsu. Corā bhattaṃ bhuñjitvā ‘‘kenāyaṃ paṭisanthāro kato’’ti pucchiṃsu. ‘‘Amhākaṃ ayyena abhayattherenā’’ti. Corā therassa santikaṃ gantvā vanditvā āhaṃsu – ‘‘mayaṃ saṅghassa ca cetiyassa ca santakaṃ acchinditvā gahessāmāti āgatā, tumhākaṃ pana iminā paṭisanthārenamha pasannā, ajja paṭṭhāya vihāre dhammikā rakkhā amhākaṃ āyattā hotu, nāgarā āgantvā dānaṃ dentu, cetiyaṃ vandantū’’ti. Tato paṭṭhāya ca nāgare dānaṃ dātuṃ āgacchante nadītīreyeva paccuggantvā rakkhantā vihāraṃ nenti, vihārepi dānaṃ dentānaṃ rakkhaṃ katvā tiṭṭhanti. Tepi bhikkhūnaṃ bhuttāvasesaṃ corānaṃ denti. Gamanakālepi te corā nadītīraṃ pāpetvā nivattanti.

    อเถกทิวสํ ภิกฺขุสเงฺฆ ขียนกกถา อุปฺปนฺนา ‘‘เถโร อิสฺสรวตาย สงฺฆสฺส สนฺตกํ โจรานํ อทาสี’’ติฯ เถโร สนฺนิปาตํ การาเปตฺวา อาห – ‘‘โจรา สงฺฆสฺส ปกติวฎฺฎญฺจ เจติยสนฺตกญฺจ อจฺฉินฺทิตฺวา คณฺหิสฺสามา’’ติ อาคมิํสุฯ อถ เนสํ มยา เอวํ น หริสฺสนฺตีติ เอตฺตโก นาม ปฎิสนฺถาโร กโต, ตํ สพฺพมฺปิ เอกโต สมฺปิเณฺฑตฺวา อคฺฆาเปถฯ เตน การเณน อวิลุตฺตํ ภณฺฑํ เอกโต สมฺปิเณฺฑตฺวา อคฺฆาเปถาติฯ ตโต สพฺพมฺปิ เถเรน ทินฺนกํ เจติยฆเร เอกํ วรโปตฺถกจิตฺตตฺถรณํ น อคฺฆติฯ ตโต อาหํสุ – ‘‘เถเรน กตปฎิสนฺถาโร สุกโต โจเทตุํ วา สาเรตุํ วา น ลพฺภา, คีวา วา อวหาโร วา นตฺถี’’ติฯ เอวํ มหานิสํโส ปฎิสนฺถาโรติ สลฺลเกฺขตฺวา กตฺตโพฺพ ปณฺฑิเตน ภิกฺขุนาติฯ

    Athekadivasaṃ bhikkhusaṅghe khīyanakakathā uppannā ‘‘thero issaravatāya saṅghassa santakaṃ corānaṃ adāsī’’ti. Thero sannipātaṃ kārāpetvā āha – ‘‘corā saṅghassa pakativaṭṭañca cetiyasantakañca acchinditvā gaṇhissāmā’’ti āgamiṃsu. Atha nesaṃ mayā evaṃ na harissantīti ettako nāma paṭisanthāro kato, taṃ sabbampi ekato sampiṇḍetvā agghāpetha. Tena kāraṇena aviluttaṃ bhaṇḍaṃ ekato sampiṇḍetvā agghāpethāti. Tato sabbampi therena dinnakaṃ cetiyaghare ekaṃ varapotthakacittattharaṇaṃ na agghati. Tato āhaṃsu – ‘‘therena katapaṭisanthāro sukato codetuṃ vā sāretuṃ vā na labbhā, gīvā vā avahāro vā natthī’’ti. Evaṃ mahānisaṃso paṭisanthāroti sallakkhetvā kattabbo paṇḍitena bhikkhunāti.

    ๑๘๗. องฺคุลิปโตทกวตฺถุสฺมิํ – อุตฺตโนฺตติ กิลมโนฺตฯ อนสฺสาสโกติ นิรสฺสาโสฯ อิมสฺมิํ ปน วตฺถุสฺมิํ ยาย อาปตฺติยา ภวิตพฺพํ สา ‘‘ขุทฺทเกสุ นิทิฎฺฐา’’ติ อิธ น วุตฺตาฯ

    187. Aṅgulipatodakavatthusmiṃ – uttantoti kilamanto. Anassāsakoti nirassāso. Imasmiṃ pana vatthusmiṃ yāya āpattiyā bhavitabbaṃ sā ‘‘khuddakesu nidiṭṭhā’’ti idha na vuttā.

    ตทนนฺตเร วตฺถุสฺมิํ – โอตฺถริตฺวาติ อกฺกมิตฺวาฯ โส กิร เตหิ อากฑฺฒิยมาโน ปติโตฯ เอโก ตสฺส อุทรํ อภิรุหิตฺวา นิสีทิฯ เสสาปิ ปนฺนรส ชนา ปถวิยํ อโชฺฌตฺถริตฺวา อทูหลปาสาณา วิย มิคํ มาเรสุํฯ ยสฺมา ปน เต กมฺมาธิปฺปายา, น มรณาธิปฺปายา; ตสฺมา ปาราชิกํ น วุตฺตํฯ

    Tadanantare vatthusmiṃ – ottharitvāti akkamitvā. So kira tehi ākaḍḍhiyamāno patito. Eko tassa udaraṃ abhiruhitvā nisīdi. Sesāpi pannarasa janā pathaviyaṃ ajjhottharitvā adūhalapāsāṇā viya migaṃ māresuṃ. Yasmā pana te kammādhippāyā, na maraṇādhippāyā; tasmā pārājikaṃ na vuttaṃ.

    ภูตเวชฺชกวตฺถุสฺมิํ – ยกฺขํ มาเรสีติ ภูตวิชฺชากปาฐกา ยกฺขคหิตํ โมเจตุกามา ยกฺขํ อาวาเหตฺวา มุญฺจาติ วทนฺติฯ โน เจ มุญฺจติ, ปิเฎฺฐน วา มตฺติกาย วา รูปํ กตฺวา หตฺถปาทาทีนิ ฉินฺทนฺติ, ยํ ยํ ตสฺส ฉิชฺชติ ตํ ตํ ยกฺขสฺส ฉินฺนเมว โหติฯ สีเส ฉิเนฺน ยโกฺขปิ มรติ ฯ เอวํ โสปิ มาเรสิ; ตสฺมา ถุลฺลจฺจยํ วุตฺตํฯ น เกวลญฺจ ยกฺขเมว, โยปิ หิ สกฺกํ เทวราชํ มาเรยฺย, โสปิ ถุลฺลจฺจยเมว อาปชฺชติฯ

    Bhūtavejjakavatthusmiṃ – yakkhaṃ māresīti bhūtavijjākapāṭhakā yakkhagahitaṃ mocetukāmā yakkhaṃ āvāhetvā muñcāti vadanti. No ce muñcati, piṭṭhena vā mattikāya vā rūpaṃ katvā hatthapādādīni chindanti, yaṃ yaṃ tassa chijjati taṃ taṃ yakkhassa chinnameva hoti. Sīse chinne yakkhopi marati . Evaṃ sopi māresi; tasmā thullaccayaṃ vuttaṃ. Na kevalañca yakkhameva, yopi hi sakkaṃ devarājaṃ māreyya, sopi thullaccayameva āpajjati.

    วาฬยกฺขวตฺถุสฺมิํ – วาฬยกฺขวิหารนฺติ ยสฺมิํ วิหาเร วาโฬ จโณฺฑ ยโกฺข วสติ, ตํ วิหารํฯ โย หิ เอวรูปํ วิหารํ อชานโนฺต เกวลํ วสนตฺถาย เปเสติ, อนาปตฺติฯ โย มรณาธิปฺปาโย เปเสติ, โส อิตรสฺส มรเณน ปาราชิกํ, อมรเณน ถุลฺลจฺจยํ อาปชฺชติฯ ยถา จ วาฬยกฺขวิหารํ; เอวํ ยตฺถ วาฬสีหพฺยคฺฆาทิมิคา วา อชครกณฺหสปฺปาทโย ทีฆชาติกา วา วสนฺติ, ตํ วาฬวิหารํ เปเสนฺตสฺสาปิ อาปตฺตานาปตฺติเภโท เวทิตโพฺพฯ อยํ ปาฬิมุตฺตกนโยฯ ยถา จ ภิกฺขุํ วาฬยกฺขวิหารํ เปเสนฺตสฺส; เอวํ วาฬยกฺขมฺปิ ภิกฺขุสนฺติกํ เปเสนฺตสฺส อาปตฺตานาปตฺติเภโท เวทิตโพฺพฯ เอเสว นโย วาฬกนฺตาราทิวตฺถูสุปิฯ เกวลเญฺหตฺถ ยสฺมิํ กนฺตาเร วาฬมิคา วา ทีฆชาติกา วา อตฺถิ, โส วาฬกนฺตาโรฯ ยสฺมิํ โจรา อตฺถิ, โส โจรกนฺตาโรติ เอวํ ปทตฺถมตฺตเมว นานํฯ มนุสฺสวิคฺคหปาราชิกญฺจ นาเมตํ สณฺหํ, ปริยายกถาย น มุจฺจติ; ตสฺมา โย วเทยฺย ‘‘อสุกสฺมิํ นาม โอกาเส โจโร นิสิโนฺน , โย ตสฺส สีสํ ฉินฺทิตฺวา อาหรติ, โส ราชโต สกฺการวิเสสํ ลภตี’’ติฯ ตสฺส เจตํ วจนํ สุตฺวา โกจิ นํ คนฺตฺวา มาเรติ, อยํ ปาราชิโก โหตีติฯ

    Vāḷayakkhavatthusmiṃ – vāḷayakkhavihāranti yasmiṃ vihāre vāḷo caṇḍo yakkho vasati, taṃ vihāraṃ. Yo hi evarūpaṃ vihāraṃ ajānanto kevalaṃ vasanatthāya peseti, anāpatti. Yo maraṇādhippāyo peseti, so itarassa maraṇena pārājikaṃ, amaraṇena thullaccayaṃ āpajjati. Yathā ca vāḷayakkhavihāraṃ; evaṃ yattha vāḷasīhabyagghādimigā vā ajagarakaṇhasappādayo dīghajātikā vā vasanti, taṃ vāḷavihāraṃ pesentassāpi āpattānāpattibhedo veditabbo. Ayaṃ pāḷimuttakanayo. Yathā ca bhikkhuṃ vāḷayakkhavihāraṃ pesentassa; evaṃ vāḷayakkhampi bhikkhusantikaṃ pesentassa āpattānāpattibhedo veditabbo. Eseva nayo vāḷakantārādivatthūsupi. Kevalañhettha yasmiṃ kantāre vāḷamigā vā dīghajātikā vā atthi, so vāḷakantāro. Yasmiṃ corā atthi, so corakantāroti evaṃ padatthamattameva nānaṃ. Manussaviggahapārājikañca nāmetaṃ saṇhaṃ, pariyāyakathāya na muccati; tasmā yo vadeyya ‘‘asukasmiṃ nāma okāse coro nisinno , yo tassa sīsaṃ chinditvā āharati, so rājato sakkāravisesaṃ labhatī’’ti. Tassa cetaṃ vacanaṃ sutvā koci naṃ gantvā māreti, ayaṃ pārājiko hotīti.

    ๑๘๘. ตํ มญฺญมาโนติ อาทีสุ โส กิร ภิกฺขุ อตฺตโน เวริภิกฺขุํ มาเรตุกาโม จิเนฺตสิ – ‘‘อิมํ เม ทิวา มาเรนฺตสฺส น สุกรํ ภเวยฺย โสตฺถินา คนฺตุํ, รตฺติํ นํ มาเรสฺสามี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา รตฺติํ อาคมฺม พหูนํ สยิตฎฺฐาเน ตํ มญฺญมาโน ตเมว ชีวิตา โวโรเปสิฯ อปโร ตํ มญฺญมาโน อญฺญํ, อปโร อญฺญํ ตเสฺสว สหายํ มญฺญมาโน ตํ, อปโร อญฺญํ ตเสฺสว สหายํ มญฺญมาโน อญฺญํ ตสฺส สหายเมว ชีวิตา โวโรเปสิฯ สเพฺพสมฺปิ ปาราชิกเมวฯ

    188.Taṃ maññamānoti ādīsu so kira bhikkhu attano veribhikkhuṃ māretukāmo cintesi – ‘‘imaṃ me divā mārentassa na sukaraṃ bhaveyya sotthinā gantuṃ, rattiṃ naṃ māressāmī’’ti sallakkhetvā rattiṃ āgamma bahūnaṃ sayitaṭṭhāne taṃ maññamāno tameva jīvitā voropesi. Aparo taṃ maññamāno aññaṃ, aparo aññaṃ tasseva sahāyaṃ maññamāno taṃ, aparo aññaṃ tasseva sahāyaṃ maññamāno aññaṃ tassa sahāyameva jīvitā voropesi. Sabbesampi pārājikameva.

    อมนุสฺสคหิตวตฺถูสุ ปฐเม วตฺถุสฺมิํ ‘‘ยกฺขํ ปลาเปสฺสามี’’ติ ปหารํ อทาสิ, อิตโร ‘‘น ทานายํ วิรชฺฌิตุํ สมโตฺถ, มาเรสฺสามิ น’’นฺติ ฯ เอตฺถ จ นมรณาธิปฺปายสฺส อนาปตฺติ วุตฺตาติฯ น เอตฺตเกเนว อมนุสฺสคหิตสฺส ปหาโร ทาตโพฺพ, ตาลปณฺณํ ปน ปริตฺตสุตฺตํ วา หเตฺถ วา ปาเท วา พนฺธิตพฺพํ, รตนสุตฺตาทีนิ ปริตฺตานิ ภณิตพฺพานิ, ‘‘มา สีลวนฺตํ ภิกฺขุํ วิเหเฐหี’’ติ ธมฺมกถา กาตพฺพาติฯ สคฺคกถาทีนิ อุตฺตานตฺถานิฯ ยเญฺหตฺถ วตฺตพฺพํ ตํ วุตฺตเมวฯ

    Amanussagahitavatthūsu paṭhame vatthusmiṃ ‘‘yakkhaṃ palāpessāmī’’ti pahāraṃ adāsi, itaro ‘‘na dānāyaṃ virajjhituṃ samattho, māressāmi na’’nti . Ettha ca namaraṇādhippāyassa anāpatti vuttāti. Na ettakeneva amanussagahitassa pahāro dātabbo, tālapaṇṇaṃ pana parittasuttaṃ vā hatthe vā pāde vā bandhitabbaṃ, ratanasuttādīni parittāni bhaṇitabbāni, ‘‘mā sīlavantaṃ bhikkhuṃ viheṭhehī’’ti dhammakathā kātabbāti. Saggakathādīni uttānatthāni. Yañhettha vattabbaṃ taṃ vuttameva.

    ๑๘๙. รุกฺขเจฺฉทนวตฺถุ อฎฺฎพนฺธนวตฺถุสทิสํฯ อยํ ปน วิเสโส – โย รุเกฺขน โอตฺถโตปิ น มรติ , สกฺกา จ โหติ เอเกน ปเสฺสน รุกฺขํ เฉตฺวา ปถวิํ วา ขนิตฺวา นิกฺขมิตุํ, หเตฺถ จสฺส วาสิ วา กุฐารี วา อตฺถิ, เตน อปิ ชีวิตํ ปริจฺจชิตพฺพํ, น จ รุโกฺข วา ฉินฺทิตโพฺพ, น ปถวี วา ขณิตพฺพาฯ กสฺมา? เอวํ กโรโนฺต หิ ปาจิตฺติยํ อาปชฺชติ, พุทฺธสฺส อาณํ ภญฺชติ, น ชีวิตปริยนฺตํ สีลํ กโรติฯ ตสฺมา อปิ ชีวิตํ ปริจฺจชิตพฺพํ, น จ สีลนฺติ ปริคฺคเหตฺวา น เอวํ กาตพฺพํฯ อญฺญสฺส ปน ภิกฺขุโน รุกฺขํ วา ฉินฺทิตฺวา ปถวิํ วา ขนิตฺวา ตํ นีหริตุํ วฎฺฎติฯ สเจ อุทุกฺขลยนฺตเกน รุกฺขํ ปวเฎฺฎตฺวา นีหริตโพฺพ โหติ, ตํเยว รุกฺขํ ฉินฺทิตฺวา อุทุกฺขลํ คเหตพฺพนฺติ มหาสุมเตฺถโร อาหฯ อญฺญมฺปิ ฉินฺทิตฺวา คเหตุํ วฎฺฎตีติ มหาปทุมเตฺถโรฯ โสพฺภาทีสุ ปติตสฺสาปิ นิเสฺสณิํ พนฺธิตฺวา อุตฺตารเณ เอเสว นโยฯ อตฺตนา ภูตคามํ ฉินฺทิตฺวา นิเสฺสณี น กาตพฺพา, อเญฺญสํ กตฺวา อุทฺธริตุํ วฎฺฎตีติฯ

    189.Rukkhacchedanavatthu aṭṭabandhanavatthusadisaṃ. Ayaṃ pana viseso – yo rukkhena otthatopi na marati , sakkā ca hoti ekena passena rukkhaṃ chetvā pathaviṃ vā khanitvā nikkhamituṃ, hatthe cassa vāsi vā kuṭhārī vā atthi, tena api jīvitaṃ pariccajitabbaṃ, na ca rukkho vā chinditabbo, na pathavī vā khaṇitabbā. Kasmā? Evaṃ karonto hi pācittiyaṃ āpajjati, buddhassa āṇaṃ bhañjati, na jīvitapariyantaṃ sīlaṃ karoti. Tasmā api jīvitaṃ pariccajitabbaṃ, na ca sīlanti pariggahetvā na evaṃ kātabbaṃ. Aññassa pana bhikkhuno rukkhaṃ vā chinditvā pathaviṃ vā khanitvā taṃ nīharituṃ vaṭṭati. Sace udukkhalayantakena rukkhaṃ pavaṭṭetvā nīharitabbo hoti, taṃyeva rukkhaṃ chinditvā udukkhalaṃ gahetabbanti mahāsumatthero āha. Aññampi chinditvā gahetuṃ vaṭṭatīti mahāpadumatthero. Sobbhādīsu patitassāpi nisseṇiṃ bandhitvā uttāraṇe eseva nayo. Attanā bhūtagāmaṃ chinditvā nisseṇī na kātabbā, aññesaṃ katvā uddharituṃ vaṭṭatīti.

    ๑๙๐. ทายาลิมฺปนวตฺถูสุ – ทายํ อาลิเมฺปสุนฺติ วเน อคฺคิํ อทํสุฯ เอตฺถ ปน อุทฺทิสฺสานุทฺทิสฺสวเสน ปาราชิกานนฺตริยถุลฺลจฺจยปาจิตฺติวตฺถูนํ อนุรูปโต ปาราชิกาทีนิ อกุสลราสิภาโว จ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพฯ ‘‘อลฺลติณวนปฺปคุมฺพาทโย ฑยฺหนฺตู’’ติ อาลิเมฺปนฺตสฺส จ ปาจิตฺติยํฯ ‘‘ทพฺพูปกรณานิ วินสฺสนฺตู’’ติ อาลิเมฺปนฺตสฺส ทุกฺกฎํฯ ขิฑฺฑาธิปฺปาเยนาปิ ทุกฺกฎนฺติ สเงฺขปฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ ‘‘ยํกิญฺจิ อลฺลสุกฺขํ สอินฺทฺริยานินฺทฺริยํ ฑยฺหตู’’ติ อาลิเมฺปนฺตสฺส วตฺถุวเสน ปาราชิกถุลฺลจฺจยปาจิตฺติยทุกฺกฎานิ เวทิตพฺพานิฯ

    190. Dāyālimpanavatthūsu – dāyaṃ ālimpesunti vane aggiṃ adaṃsu. Ettha pana uddissānuddissavasena pārājikānantariyathullaccayapācittivatthūnaṃ anurūpato pārājikādīni akusalarāsibhāvo ca pubbe vuttanayeneva veditabbo. ‘‘Allatiṇavanappagumbādayo ḍayhantū’’ti ālimpentassa ca pācittiyaṃ. ‘‘Dabbūpakaraṇāni vinassantū’’ti ālimpentassa dukkaṭaṃ. Khiḍḍādhippāyenāpi dukkaṭanti saṅkhepaṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ. ‘‘Yaṃkiñci allasukkhaṃ saindriyānindriyaṃ ḍayhatū’’ti ālimpentassa vatthuvasena pārājikathullaccayapācittiyadukkaṭāni veditabbāni.

    ปฎคฺคิทานํ ปน ปริตฺตกรณญฺจ ภควตา อนุญฺญาตํ, ตสฺมา อรเญฺญ วนกมฺมิเกหิ วา ทินฺนํ สยํ วา อุฎฺฐิตํ อคฺคิํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘ติณกุฎิโย มา วินสฺสนฺตู’’ติ ตสฺส อคฺคิโน ปฎิอคฺคิํ ทาตุํ วฎฺฎติ, เยน สทฺธิํ อาคจฺฉโนฺต อคฺคิ เอกโต หุตฺวา นิรุปาทาโน นิพฺพาติฯ ปริตฺตมฺปิ กาตุํ วฎฺฎติ ติณกุฎิกานํ สมนฺตา ภูมิตจฺฉนํ ปริขาขณนํ วา, ยถา อาคโต อคฺคิ อุปาทานํ อลภิตฺวา นิพฺพาติฯ เอตญฺจ สพฺพํ อุฎฺฐิเตเยว อคฺคิสฺมิํ กาตุํ วฎฺฎติฯ อนุฎฺฐิเต อนุปสมฺปเนฺนหิ กปฺปิยโวหาเรน กาเรตพฺพํฯ อุทเกน ปน นิพฺพาเปเนฺตหิ อปฺปาณกเมว อุทกํ อาสิญฺจิตพฺพํฯ

    Paṭaggidānaṃ pana parittakaraṇañca bhagavatā anuññātaṃ, tasmā araññe vanakammikehi vā dinnaṃ sayaṃ vā uṭṭhitaṃ aggiṃ āgacchantaṃ disvā ‘‘tiṇakuṭiyo mā vinassantū’’ti tassa aggino paṭiaggiṃ dātuṃ vaṭṭati, yena saddhiṃ āgacchanto aggi ekato hutvā nirupādāno nibbāti. Parittampi kātuṃ vaṭṭati tiṇakuṭikānaṃ samantā bhūmitacchanaṃ parikhākhaṇanaṃ vā, yathā āgato aggi upādānaṃ alabhitvā nibbāti. Etañca sabbaṃ uṭṭhiteyeva aggismiṃ kātuṃ vaṭṭati. Anuṭṭhite anupasampannehi kappiyavohārena kāretabbaṃ. Udakena pana nibbāpentehi appāṇakameva udakaṃ āsiñcitabbaṃ.

    ๑๙๑. อาฆาตนวตฺถุสฺมิํ – ยถา เอกปฺปหารวจเน; เอวํ ‘‘ทฺวีหิ ปหาเรหี’’ติ อาทิวจเนสุปิ ปาราชิกํ เวทิตพฺพํฯ ‘‘ทฺวีหี’’ติ วุเตฺต จ เอเกน ปหาเรน มาริเตปิ เขตฺตเมว โอติณฺณตฺตา ปาราชิกํ, ตีหิ มาริเต ปน วิสเงฺกตํฯ อิติ ยถาปริเจฺฉเท วา ปริเจฺฉทพฺภนฺตเร วา อวิสเงฺกตํ, ปริเจฺฉทาติกฺกเม ปน สพฺพตฺถ วิสเงฺกตํ โหติ, อาณาปโก มุจฺจติ, วธกเสฺสว โทโสฯ ยถา จ ปหาเรสุ; เอวํ ปุริเสสุปิ ‘‘เอโก มาเรตู’’ติ วุเตฺต เอเกเนว มาริเต ปาราชิกํ, ทฺวีหิ มาริเต วิสเงฺกตํฯ ‘‘เทฺว มาเรนฺตู’’ติ วุเตฺต เอเกน วา ทฺวีหิ วา มาริเต ปาราชิกํ, ตีหิ มาริเต วิสเงฺกตนฺติ เวทิตพฺพํฯ เอโก สงฺคาเม เวเคน ธาวโต ปุริสสฺส สีสํ อสินา ฉินฺทติ, อสีสกํ กพนฺธํ ธาวติ, ตมโญฺญ ปหริตฺวา ปาเตสิ, กสฺส ปาราชิกนฺติ วุเตฺต อุปฑฺฒา เถรา ‘‘คมนูปเจฺฉทกสฺสา’’ติ อาหํสุฯ อาภิธมฺมิกโคทตฺตเตฺถโร ‘‘สีสเจฺฉทกสฺสา’’ติฯ เอวรูปานิปิ วตฺถูนิ อิมสฺส วตฺถุสฺส อตฺถทีปเน วตฺตพฺพานีติฯ

    191.Āghātanavatthusmiṃ – yathā ekappahāravacane; evaṃ ‘‘dvīhi pahārehī’’ti ādivacanesupi pārājikaṃ veditabbaṃ. ‘‘Dvīhī’’ti vutte ca ekena pahārena māritepi khettameva otiṇṇattā pārājikaṃ, tīhi mārite pana visaṅketaṃ. Iti yathāparicchede vā paricchedabbhantare vā avisaṅketaṃ, paricchedātikkame pana sabbattha visaṅketaṃ hoti, āṇāpako muccati, vadhakasseva doso. Yathā ca pahāresu; evaṃ purisesupi ‘‘eko māretū’’ti vutte ekeneva mārite pārājikaṃ, dvīhi mārite visaṅketaṃ. ‘‘Dve mārentū’’ti vutte ekena vā dvīhi vā mārite pārājikaṃ, tīhi mārite visaṅketanti veditabbaṃ. Eko saṅgāme vegena dhāvato purisassa sīsaṃ asinā chindati, asīsakaṃ kabandhaṃ dhāvati, tamañño paharitvā pātesi, kassa pārājikanti vutte upaḍḍhā therā ‘‘gamanūpacchedakassā’’ti āhaṃsu. Ābhidhammikagodattatthero ‘‘sīsacchedakassā’’ti. Evarūpānipi vatthūni imassa vatthussa atthadīpane vattabbānīti.

    ๑๙๒. ตกฺกวตฺถุสฺมิํ – อนิยเมตฺวา ‘‘ตกฺกํ ปาเยถา’’ติ วุเตฺต ยํ วา ตํ วา ตกฺกํ ปาเยตฺวา มาริเต ปาราชิกํฯ นิยเมตฺวา ปน ‘‘โคตกฺกํ มหิํสตกฺกํ อชิกาตกฺก’’นฺติ วา, ‘‘สีตํ อุณฺหํ ธูปิตํ อธูปิต’’นฺติ วา วุเตฺต ยํ วุตฺตํ, ตโต อญฺญํ ปาเยตฺวา มาริเต วิสเงฺกตํฯ

    192.Takkavatthusmiṃ – aniyametvā ‘‘takkaṃ pāyethā’’ti vutte yaṃ vā taṃ vā takkaṃ pāyetvā mārite pārājikaṃ. Niyametvā pana ‘‘gotakkaṃ mahiṃsatakkaṃ ajikātakka’’nti vā, ‘‘sītaṃ uṇhaṃ dhūpitaṃ adhūpita’’nti vā vutte yaṃ vuttaṃ, tato aññaṃ pāyetvā mārite visaṅketaṃ.

    โลณโสวีรกวตฺถุสฺมิํ – โลณโสวีรกํ นาม สพฺพรสาภิสงฺขตํ เอกํ เภสชฺชํฯ ตํ กิร กโรนฺตา หรีตกามลกวิภีตกกสาเว สพฺพธญฺญานิ สพฺพอปรณฺณานิ สตฺตนฺนมฺปิ ธญฺญานํ โอทนํ กทลิผลาทีนิ สพฺพผลานิ เวตฺตเกตกขชฺชูริกฬีราทโย สพฺพกฬีเร มจฺฉมํสขณฺฑานิ อเนกานิ จ มธุผาณิตสินฺธวโลณนิกฎุกาทีนิ เภสชฺชานิ ปกฺขิปิตฺวา กุมฺภิมุขํ ลิมฺปิตฺวา เอกํ วา เทฺว วา ตีณิ วา สํวจฺฉรานิ ฐเปนฺติ, ตํ ปริปจฺจิตฺวา ชมฺพุรสวณฺณํ โหติฯ วาตกาสกุฎฺฐปณฺฑุภคนฺทราทีนํ สินิทฺธโภชนํ ภุตฺตานญฺจ อุตฺตรปานํ ภตฺตชีรณกเภสชฺชํ ตาทิสํ นตฺถิฯ ตํ ปเนตํ ภิกฺขูนํ ปจฺฉาภตฺตมฺปิ วฎฺฎติ, คิลานานํ ปากติกเมว, อคิลานานํ ปน อุทกสมฺภินฺนํ ปานปริโภเคนาติฯ

    Loṇasovīrakavatthusmiṃ– loṇasovīrakaṃ nāma sabbarasābhisaṅkhataṃ ekaṃ bhesajjaṃ. Taṃ kira karontā harītakāmalakavibhītakakasāve sabbadhaññāni sabbaaparaṇṇāni sattannampi dhaññānaṃ odanaṃ kadaliphalādīni sabbaphalāni vettaketakakhajjūrikaḷīrādayo sabbakaḷīre macchamaṃsakhaṇḍāni anekāni ca madhuphāṇitasindhavaloṇanikaṭukādīni bhesajjāni pakkhipitvā kumbhimukhaṃ limpitvā ekaṃ vā dve vā tīṇi vā saṃvaccharāni ṭhapenti, taṃ paripaccitvā jamburasavaṇṇaṃ hoti. Vātakāsakuṭṭhapaṇḍubhagandarādīnaṃ siniddhabhojanaṃ bhuttānañca uttarapānaṃ bhattajīraṇakabhesajjaṃ tādisaṃ natthi. Taṃ panetaṃ bhikkhūnaṃ pacchābhattampi vaṭṭati, gilānānaṃ pākatikameva, agilānānaṃ pana udakasambhinnaṃ pānaparibhogenāti.

    สมนฺตปาสาทิกาย วินยสํวณฺณนาย

    Samantapāsādikāya vinayasaṃvaṇṇanāya

    ตติยปาราชิกวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Tatiyapārājikavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๓. ตติยปาราชิกํ • 3. Tatiyapārājikaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact