Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā |
ตติยสงฺคีติกถาวณฺณนา
Tatiyasaṅgītikathāvaṇṇanā
สตฺต วสฺสานีติ อจฺจนฺตสํโยเค อุปโยควจนํฯ อติจฺฉถาติ อติกฺกมิตฺวา อิจฺฉถ, อิโต อญฺญตฺถ คนฺตฺวา ภิกฺขํ ปริเยสถาติ อโตฺถฯ ภตฺตวิสฺสคฺคกรณตฺถายาติ ภตฺตสฺส อโชฺฌหรณกิจฺจตฺถาย, ภุญฺชนตฺถายาติ อโตฺถฯ ‘‘โสฬสวโสฺส’’ติ อุเทฺทโส กถนํ อสฺส อตฺถีติ โสฬสวสฺสุเทฺทสิโก, ‘‘โสฬสวสฺสิโก’’ติ อโตฺถฯ
Sattavassānīti accantasaṃyoge upayogavacanaṃ. Aticchathāti atikkamitvā icchatha, ito aññattha gantvā bhikkhaṃ pariyesathāti attho. Bhattavissaggakaraṇatthāyāti bhattassa ajjhoharaṇakiccatthāya, bhuñjanatthāyāti attho. ‘‘Soḷasavasso’’ti uddeso kathanaṃ assa atthīti soḷasavassuddesiko, ‘‘soḷasavassiko’’ti attho.
ตีสุ เวเทสูติอาทีสุ อิรุเวทยชุเวทสามเวทสงฺขาเตสุ ตีสุ เวเทสุฯ ตโย เอว กิร เวทา อฎฺฐกาทีหิ ธมฺมิเกหิ อิสีหิ โลกสฺส สคฺคมคฺควิภาวนตฺถาย กตาฯ เตเนว หิ เต เตหิ วุจฺจนฺติฯ อาถพฺพณเวโท ปน ปจฺฉา อธมฺมิเกหิ พฺราหฺมเณหิ ปาณวธาทิอตฺถาย กโตฯ ปุริเมสุ จ ตีสุ เวเทสุ เตเหว ธมฺมิกสาขาโย อปเนตฺวา ยาควธาทิทีปิกา อธมฺมิกสาขา ปกฺขิตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ นิฆณฺฑูติ รุกฺขาทีนํ เววจนปฺปกาสกํ ปริยายนามานุรูปํ สตฺถํฯ ตญฺหิ โลเก ‘‘นิฆณฺฑู’’ติ วุจฺจติฯ เกฎุภนฺติ กิฎติ คเมติ กิริยาทิวิภาคนฺติ เกฎุภํ, กิริยากปฺปวิกโปฺป กวีนํ อุปการสตฺถํฯ เอตฺถ จ กิริยากปฺปวิกโปฺปติ วจีเภทาทิลกฺขณา กิริยา กปฺปียติ วิกปฺปียติ เอเตนาติ กิริยากโปฺป, โส ปน วณฺณปทพนฺธปทตฺถาทิวิภาคโต พหุวิกโปฺปติ ‘‘กิริยากปฺปวิกโปฺป’’ติ วุจฺจติฯ อิทญฺจ มูลกิริยากปฺปคนฺถํ สนฺธาย วุตฺตํฯ สห นิฆณฺฑุนา เกฎุเภน จ สนิฆณฺฑุเกฎุภา, ตโย เวทา, เตสุ สนิฆณฺฑุเกฎุเภสุฯ ฐานกรณาทิวิภาคโต จ นิพฺพจนวิภาคโต จ อกฺขรา ปเภทียนฺติ เอเตนาติ อกฺขรปฺปเภโท, สิกฺขา จ นิรุตฺติ จฯ สห อกฺขรปฺปเภเทนาติ สากฺขรปฺปเภทา, เตสุ สากฺขรปฺปเภเทสุฯ อาถพฺพณเวทํ จตุตฺถํ กตฺวา ‘‘อิติห อาส อิติห อาสา’’ติ อีทิสวจนปฎิสํยุโตฺต โปราณกถาสงฺขาโต อิติหาโส ปญฺจโม เอเตสนฺติ อิติหาสปญฺจมา, ตโย เวทา, เตสุ อิติหาสปญฺจเมสุฯ
Tīsu vedesūtiādīsu iruvedayajuvedasāmavedasaṅkhātesu tīsu vedesu. Tayo eva kira vedā aṭṭhakādīhi dhammikehi isīhi lokassa saggamaggavibhāvanatthāya katā. Teneva hi te tehi vuccanti. Āthabbaṇavedo pana pacchā adhammikehi brāhmaṇehi pāṇavadhādiatthāya kato. Purimesu ca tīsu vedesu teheva dhammikasākhāyo apanetvā yāgavadhādidīpikā adhammikasākhā pakkhittāti veditabbā. Nighaṇḍūti rukkhādīnaṃ vevacanappakāsakaṃ pariyāyanāmānurūpaṃ satthaṃ. Tañhi loke ‘‘nighaṇḍū’’ti vuccati. Keṭubhanti kiṭati gameti kiriyādivibhāganti keṭubhaṃ, kiriyākappavikappo kavīnaṃ upakārasatthaṃ. Ettha ca kiriyākappavikappoti vacībhedādilakkhaṇā kiriyā kappīyati vikappīyati etenāti kiriyākappo, so pana vaṇṇapadabandhapadatthādivibhāgato bahuvikappoti ‘‘kiriyākappavikappo’’ti vuccati. Idañca mūlakiriyākappaganthaṃ sandhāya vuttaṃ. Saha nighaṇḍunā keṭubhena ca sanighaṇḍukeṭubhā, tayo vedā, tesu sanighaṇḍukeṭubhesu. Ṭhānakaraṇādivibhāgato ca nibbacanavibhāgato ca akkharā pabhedīyanti etenāti akkharappabhedo, sikkhā ca nirutti ca. Saha akkharappabhedenāti sākkharappabhedā, tesu sākkharappabhedesu. Āthabbaṇavedaṃ catutthaṃ katvā ‘‘itiha āsa itiha āsā’’ti īdisavacanapaṭisaṃyutto porāṇakathāsaṅkhāto itihāso pañcamo etesanti itihāsapañcamā, tayo vedā, tesu itihāsapañcamesu.
ยสฺส จิตฺตนฺติอาทิ ปญฺหทฺวยํ ขีณาสวานํ จุติจิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขณํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตตฺถ ปฐมปเญฺห อุปฺปชฺชตีติ อุปฺปาทกฺขณสมงฺคิตาย อุปฺปชฺชติฯ น นิรุชฺฌตีติ นิโรธกฺขณํ อปฺปตฺตตาย น นิรุชฺฌติฯ ตสฺส จิตฺตนฺติ ตสฺส ปุคฺคลสฺส ตํ จิตฺตํ กิํ นิรุชฺฌิสฺสติ อายติญฺจ นุปฺปชฺชิสฺสตีติ ปุจฺฉา, ตสฺสา จ วิภชฺชพฺยากรณียตาย เอวเมตฺถ วิสฺสชฺชนํ เวทิตพฺพํฯ อรหโต ปจฺฉิมจิตฺตสฺส อุปฺปาทกฺขเณ ตสฺส จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ, น นิรุชฺฌติ, อายติญฺจ นุปฺปชฺชิสฺสติ, อวสฺสเมว นิโรธกฺขณํ ปตฺวา นิรุชฺฌิสฺสติ, ตโต อปฺปฎิสนฺธิกตฺตา อญฺญํ นุปฺปชฺชิสฺสติฯ ฐเปตฺวา ปน ปจฺฉิมจิตฺตสมงฺคิํ ขีณาสวํ อิตเรสํ อุปฺปาทกฺขณสมงฺคิจิตฺตํ อุปฺปาทกฺขณสมงฺคิตาย อุปฺปชฺชติ ภงฺคํ อปฺปตฺตตาย น นิรุชฺฌติ, ภงฺคํ ปน ปตฺวา นิรุชฺฌิสฺสเตว, อญฺญํ ปน ตสฺมิํ วา อญฺญสฺมิํ วา อตฺตภาเว อุปฺปชฺชิสฺสติ เจว นิรุชฺฌิสฺสติ จาติฯ ยสฺส วา ปนาติอาทิ ทุติยปเญฺห ปน นิรุชฺฌิสฺสติ นุปฺปชฺชิสฺสตีติ ยสฺส จิตฺตํ อุปฺปาทกฺขณสมงฺคิตาย ภงฺคกฺขณํ ปตฺวา นิรุชฺฌิสฺสติ อปฺปฎิสนฺธิกตาย นุปฺปชฺชิสฺสติ, ตสฺส ขีณาสวสฺส ตํ จิตฺตํ กิํ อุปฺปชฺชติ น นิรุชฺฌตีติ ปุจฺฉา, ตสฺสา เอกํสพฺยากรณียตาย ‘‘อามนฺตา’’ติ วิสฺสชฺชนํ เวทิตพฺพํฯ อุทฺธํ วา อโธ วา หริตุํ อสโกฺกโนฺตติ อุปริมปเท วา เหฎฺฐิมปทํ เหฎฺฐิมปเท วา อุปริมปทํ อตฺถโต สมนฺนาหริตุํ ฆเฎตุํ ปุเพฺพนาปรํ โยเชตฺวา อตฺถํ ปริจฺฉินฺทิตุํ อสโกฺกโนฺตติ อโตฺถฯ
Yassa cittantiādi pañhadvayaṃ khīṇāsavānaṃ cuticittassa uppādakkhaṇaṃ sandhāya vuttaṃ. Tattha paṭhamapañhe uppajjatīti uppādakkhaṇasamaṅgitāya uppajjati. Na nirujjhatīti nirodhakkhaṇaṃ appattatāya na nirujjhati. Tassa cittanti tassa puggalassa taṃ cittaṃ kiṃ nirujjhissati āyatiñca nuppajjissatīti pucchā, tassā ca vibhajjabyākaraṇīyatāya evamettha vissajjanaṃ veditabbaṃ. Arahato pacchimacittassa uppādakkhaṇe tassa cittaṃ uppajjati, na nirujjhati, āyatiñca nuppajjissati, avassameva nirodhakkhaṇaṃ patvā nirujjhissati, tato appaṭisandhikattā aññaṃ nuppajjissati. Ṭhapetvā pana pacchimacittasamaṅgiṃ khīṇāsavaṃ itaresaṃ uppādakkhaṇasamaṅgicittaṃ uppādakkhaṇasamaṅgitāya uppajjati bhaṅgaṃ appattatāya na nirujjhati, bhaṅgaṃ pana patvā nirujjhissateva, aññaṃ pana tasmiṃ vā aññasmiṃ vā attabhāve uppajjissati ceva nirujjhissati cāti. Yassa vā panātiādi dutiyapañhe pana nirujjhissati nuppajjissatīti yassa cittaṃ uppādakkhaṇasamaṅgitāya bhaṅgakkhaṇaṃ patvā nirujjhissati appaṭisandhikatāya nuppajjissati, tassa khīṇāsavassa taṃ cittaṃ kiṃ uppajjati na nirujjhatīti pucchā, tassā ekaṃsabyākaraṇīyatāya ‘‘āmantā’’ti vissajjanaṃ veditabbaṃ. Uddhaṃ vā adho vā harituṃ asakkontoti uparimapade vā heṭṭhimapadaṃ heṭṭhimapade vā uparimapadaṃ atthato samannāharituṃ ghaṭetuṃ pubbenāparaṃ yojetvā atthaṃ paricchindituṃ asakkontoti attho.
โสตาปนฺนานํ สีเลสุ ปริปูรการิตาย สมาทินฺนสีลโต นตฺถิ ปริหานีติ อาห ‘‘อภโพฺพ ทานิ สาสนโต นิวตฺติตุ’’นฺติฯ วเฑฺฒตฺวาติ อุปริมคฺคตฺถาย กมฺมฎฺฐานํ วเฑฺฒตฺวาฯ ทเนฺต ปุนนฺติ วิโสเธนฺติ เอเตนาติ ทนฺตโปนํ วุจฺจติ ทนฺตกฎฺฐํฯ อภินวานํ อาคนฺตุกานํ ลชฺชีสภาวํ ขนฺติเมตฺตาทิคุณสมงฺคิตญฺจ กติปาหํ สุฎฺฐุ วีมํสิตฺวาว หตฺถกมฺมาทิสมฺปฎิจฺฉนํ สงฺคหกรณญฺจ ยุตฺตนฺติ สามเณรสฺส เจว อเญฺญสญฺจ ภิกฺขูนํ ทิฎฺฐานุคติํ อาปชฺชนฺตานํ ญาปนตฺถํ เถโร ตสฺส ภพฺพรูปตํ อภิญฺญาย ญตฺวาปิ ปุน สมฺมชฺชนาทิํ อกาสิฯ ‘‘ตสฺส จิตฺตทมนตฺถ’’นฺติปิ วทนฺติฯ พุทฺธวจนํ ปฎฺฐเปสีติ พุทฺธวจนํ อุคฺคณฺหาเปตุํ อารภิฯ สกลวินยาจารปฎิปตฺติ อุปสมฺปนฺนานเมว วิหิตาติ ตปฺปริยาปุณนมปิ เตสเญฺญว อนุรูปนฺติ อาห ‘‘ฐเปตฺวา วินยปิฎก’’นฺติฯ ตสฺส จิเตฺต ฐปิตมฺปิ พุทฺธวจนํ สโงฺคปนตฺถาย นิยฺยาติตภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘หเตฺถ ปติฎฺฐาเปตฺวา’’ติ วุตฺตํฯ
Sotāpannānaṃ sīlesu paripūrakāritāya samādinnasīlato natthi parihānīti āha ‘‘abhabbo dāni sāsanato nivattitu’’nti. Vaḍḍhetvāti uparimaggatthāya kammaṭṭhānaṃ vaḍḍhetvā. Dante punanti visodhenti etenāti dantaponaṃ vuccati dantakaṭṭhaṃ. Abhinavānaṃ āgantukānaṃ lajjīsabhāvaṃ khantimettādiguṇasamaṅgitañca katipāhaṃ suṭṭhu vīmaṃsitvāva hatthakammādisampaṭicchanaṃ saṅgahakaraṇañca yuttanti sāmaṇerassa ceva aññesañca bhikkhūnaṃ diṭṭhānugatiṃ āpajjantānaṃ ñāpanatthaṃ thero tassa bhabbarūpataṃ abhiññāya ñatvāpi puna sammajjanādiṃ akāsi. ‘‘Tassa cittadamanattha’’ntipi vadanti. Buddhavacanaṃ paṭṭhapesīti buddhavacanaṃ uggaṇhāpetuṃ ārabhi. Sakalavinayācārapaṭipatti upasampannānameva vihitāti tappariyāpuṇanamapi tesaññeva anurūpanti āha ‘‘ṭhapetvā vinayapiṭaka’’nti. Tassa citte ṭhapitampi buddhavacanaṃ saṅgopanatthāya niyyātitabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘hatthe patiṭṭhāpetvā’’ti vuttaṃ.
เอกรชฺชาภิเสกนฺติ สกลชมฺพุทีเป เอกาธิปจฺจวเสน กริยมานํ อภิเสกํฯ ราชิทฺธิโยติ ราชานุภาวานุคตปฺปภาวาฯ ยโตติ ยโต โสฬสฆฎโตฯ เทวตา เอว ทิวเส ทิวเส อาหรนฺตีติ สมฺพโนฺธฯ เทวสิกนฺติ ทิวเส ทิวเสฯ อคทามลกนฺติ อปฺปเกเนว สรีรโสธนาทิสมตฺถํ สพฺพโทสหรํ โอสธามลกํฯ ฉทฺทนฺตทหโตติ ฉทฺทนฺตทหสมีเป ฐิตเทววิมานโต, กปฺปรุกฺขโต วา, ตตฺถ ตาทิสา กปฺปรุกฺขวิเสสา สนฺติ, ตโต วา อาหรนฺตีติ อโตฺถฯ อสุตฺตมยิกนฺติ สุเตฺตหิ อพทฺธํ ทิพฺพสุมนปุเปฺผเหว กตํ สุมนปุปฺผปฎํฯ อุฎฺฐิตสฺส สาลิโนติ สยํชาตสาลิโน, สมุทายาเปกฺขเญฺจตฺถ เอกวจนํ, สาลีนนฺติ อโตฺถฯ นว วาหสหสฺสานีติ เอตฺถ จตโสฺส มุฎฺฐิโย เอโก กุฑุโว, จตฺตาโร กุฑุวา เอโก ปโตฺถ, จตฺตาโร ปตฺถา เอโก อาฬฺหโก, จตฺตาโร อาฬฺหกา เอกํ โทณํ, จตฺตาริ โทณานิ เอกา มานิกา , จตโสฺส มานิกา เอกา ขารี, วีสติ ขาริกา เอโก วาโห, ตเทว ‘‘เอกํ สกฎ’’นฺติ สุตฺตนิปาตฎฺฐกถาทีสุ (สุ. นิ. อฎฺฐ. ๒.โกกาลิกสุตฺตวณฺณนา) วุตฺตํฯ นิตฺถุสกเณ กโรนฺตีติ ถุสกุณฺฑกรหิเต กโรนฺติฯ เตน นิมฺมิตํ พุทฺธรูปํ ปสฺสโนฺตติ สมฺพโนฺธฯ ปุญฺญปฺปภาวนิพฺพตฺตคฺคหณํ นาคราชนิมฺมิตานํ ปุญฺญปฺปภาวนิพฺพเตฺตหิ สทิสตาย กตํฯ วิมลเกตุมาลาติ เอตฺถ เกตุมาลา นาม สีสโต นิกฺขมิตฺวา อุปริมุทฺธนิ ปุโญฺช หุตฺวา ทิสฺสมานรสฺมิราสีติ วทนฺติฯ
Ekarajjābhisekanti sakalajambudīpe ekādhipaccavasena kariyamānaṃ abhisekaṃ. Rājiddhiyoti rājānubhāvānugatappabhāvā. Yatoti yato soḷasaghaṭato. Devatā eva divase divase āharantīti sambandho. Devasikanti divase divase. Agadāmalakanti appakeneva sarīrasodhanādisamatthaṃ sabbadosaharaṃ osadhāmalakaṃ. Chaddantadahatoti chaddantadahasamīpe ṭhitadevavimānato, kapparukkhato vā, tattha tādisā kapparukkhavisesā santi, tato vā āharantīti attho. Asuttamayikanti suttehi abaddhaṃ dibbasumanapuppheheva kataṃ sumanapupphapaṭaṃ. Uṭṭhitassa sālinoti sayaṃjātasālino, samudāyāpekkhañcettha ekavacanaṃ, sālīnanti attho. Nava vāhasahassānīti ettha catasso muṭṭhiyo eko kuḍuvo, cattāro kuḍuvā eko pattho, cattāro patthā eko āḷhako, cattāro āḷhakā ekaṃ doṇaṃ, cattāri doṇāni ekā mānikā , catasso mānikā ekā khārī, vīsati khārikā eko vāho, tadeva ‘‘ekaṃ sakaṭa’’nti suttanipātaṭṭhakathādīsu (su. ni. aṭṭha. 2.kokālikasuttavaṇṇanā) vuttaṃ. Nitthusakaṇe karontīti thusakuṇḍakarahite karonti. Tena nimmitaṃ buddharūpaṃ passantoti sambandho. Puññappabhāvanibbattaggahaṇaṃ nāgarājanimmitānaṃ puññappabhāvanibbattehi sadisatāya kataṃ. Vimalaketumālāti ettha ketumālā nāma sīsato nikkhamitvā uparimuddhani puñjo hutvā dissamānarasmirāsīti vadanti.
พาหิรกปาสณฺฑนฺติ พาหิรกปฺปเวทิตํ สมยวาทํฯ ปริคฺคณฺหีติ วีมํสมาโน ปริคฺคเหสิฯ ภทฺทปีฐเกสูติ เวตฺตมยปีเฐสุฯ สาโรติ คุณสาโรฯ สีหปญฺชเรติ มหาวาตปานสมีเปฯ กิเลสวิปฺผนฺทรหิตจิตฺตตาย ทนฺตํฯ นิจฺจํ ปจฺจุปฎฺฐิตสตารกฺขตาย คุตฺตํฯ ขุรเคฺคเยวาติ เกโสโรปนาวสาเนฯ อติวิย โสภตีติ สมฺพโนฺธฯ วาณิชโก อโหสีติ มธุวาณิชโก อโหสิฯ
Bāhirakapāsaṇḍanti bāhirakappaveditaṃ samayavādaṃ. Pariggaṇhīti vīmaṃsamāno pariggahesi. Bhaddapīṭhakesūti vettamayapīṭhesu. Sāroti guṇasāro. Sīhapañjareti mahāvātapānasamīpe. Kilesavipphandarahitacittatāya dantaṃ. Niccaṃ paccupaṭṭhitasatārakkhatāya guttaṃ. Khuraggeyevāti kesoropanāvasāne. Ativiya sobhatīti sambandho. Vāṇijako ahosīti madhuvāṇijako ahosi.
ปุเพฺพ ว สนฺนิวาเสนาติ ปุเพฺพ วา ปุพฺพชาติยํ วา สหวาเสนาติ อโตฺถฯ ปจฺจุปฺปนฺนหิเตน วาติ วตฺตมานภเว หิตจรเณน วาฯ เอวํ อิเมหิ ทฺวีหิ การเณหิ ตํ สิเนหสงฺขาตํ เปมํ ชายเตฯ กิํ วิยาติ? อาห ‘‘อุปฺปลํ ว ยโถทเก’’ติฯ อุปฺปลํ วาติ รสฺสกโต วา-สโทฺท อวุตฺตสมฺปิณฺฑนโตฺถฯ ยถา-สโทฺท อุปมายํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา อุปฺปลญฺจ เสสญฺจ ปทุมาทิ อุทเก ชายมานํ เทฺว การณานิ นิสฺสาย ชายติ อุทกเญฺจว กลลญฺจ, เอวํ เปมมฺปีติ (ชา. อฎฺฐ. ๒.๒.๑๗๔)ฯ
Pubbe va sannivāsenāti pubbe vā pubbajātiyaṃ vā sahavāsenāti attho. Paccuppannahitena vāti vattamānabhave hitacaraṇena vā. Evaṃ imehi dvīhi kāraṇehi taṃ sinehasaṅkhātaṃ pemaṃ jāyate. Kiṃ viyāti? Āha ‘‘uppalaṃ va yathodake’’ti. Uppalaṃ vāti rassakato vā-saddo avuttasampiṇḍanattho. Yathā-saddo upamāyaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā uppalañca sesañca padumādi udake jāyamānaṃ dve kāraṇāni nissāya jāyati udakañceva kalalañca, evaṃ pemampīti (jā. aṭṭha. 2.2.174).
ธุวภตฺตานีติ นิจฺจภตฺตานิฯ วชฺชาวชฺชนฺติ ขุทฺทกํ มหนฺตญฺจ วชฺชํฯ โมคฺคลิปุตฺตติสฺสเตฺถรสฺส ภารมกาสีติ เถรสฺส มหานุภาวตํ, ตทา สาสนกิจฺจสฺส นายกภาเวน สงฺฆปริณายกตญฺจ รโญฺญ ญาเปตุํ สโงฺฆ ตสฺส ภารมกาสีติ เวทิตพฺพํ, น อเญฺญสํ อชานนตายฯ สาสนสฺส ทายาโทติ สาสนสฺส อพฺภนฺตโร ญาตโก โหมิ น โหมีติ อโตฺถฯ เย สาสเน ปพฺพชิตุํ ปุตฺตธีตโร ปริจฺจชนฺติ, เต พุทฺธสาสเน สาโลหิตญาตกา นาม โหนฺติ, สกลสาสนธารเณ สมตฺถานํ อตฺตโน โอรสปุตฺตานํ ปริจฺจตฺตตฺตา น ปจฺจยมตฺตทายกาติ อิมมตฺถํ สนฺธาย เถโร ‘‘น โข, มหาราช, เอตฺตาวตา สาสนสฺส ทายาโท โหตี’’ติ อาหฯ กถญฺจรหีติ เอตฺถ จรหีติ นิปาโต อกฺขนฺติํ ทีเปติฯ ติสฺสกุมารสฺสาติ รโญฺญ เอกมาตุกสฺส กนิฎฺฐสฺสฯ สกฺขสีติ สกฺขิสฺสสิฯ สิกฺขาย ปติฎฺฐาเปสุนฺติ ปาณาติปาตา เวรมณิอาทีสุ วิกาลโภชนา เวรมณิปริโยสานาสุ ฉสุ สิกฺขาสุ ปาณาติปาตา เวรมณิํ เทฺว วสฺสานิ อวีติกฺกมฺม สมาทานํ สมาทิยามีติอาทินา (ปาจิ. ๑๐๗๙) สมาทานวเสน สิกฺขาสมฺมุติทานานนฺตรํ สิกฺขาย ปติฎฺฐาเปสุํฯ ฉ วสฺสานิ อภิเสกสฺส อสฺสาติ ฉวสฺสาภิเสโกฯ
Dhuvabhattānīti niccabhattāni. Vajjāvajjanti khuddakaṃ mahantañca vajjaṃ. Moggaliputtatissattherassa bhāramakāsīti therassa mahānubhāvataṃ, tadā sāsanakiccassa nāyakabhāvena saṅghapariṇāyakatañca rañño ñāpetuṃ saṅgho tassa bhāramakāsīti veditabbaṃ, na aññesaṃ ajānanatāya. Sāsanassa dāyādoti sāsanassa abbhantaro ñātako homi na homīti attho. Ye sāsane pabbajituṃ puttadhītaro pariccajanti, te buddhasāsane sālohitañātakā nāma honti, sakalasāsanadhāraṇe samatthānaṃ attano orasaputtānaṃ pariccattattā na paccayamattadāyakāti imamatthaṃ sandhāya thero ‘‘na kho, mahārāja, ettāvatā sāsanassa dāyādo hotī’’ti āha. Kathañcarahīti ettha carahīti nipāto akkhantiṃ dīpeti. Tissakumārassāti rañño ekamātukassa kaniṭṭhassa. Sakkhasīti sakkhissasi. Sikkhāya patiṭṭhāpesunti pāṇātipātā veramaṇiādīsu vikālabhojanā veramaṇipariyosānāsu chasu sikkhāsu pāṇātipātā veramaṇiṃ dve vassāni avītikkamma samādānaṃ samādiyāmītiādinā (pāci. 1079) samādānavasena sikkhāsammutidānānantaraṃ sikkhāya patiṭṭhāpesuṃ. Cha vassāni abhisekassa assāti chavassābhiseko.
สพฺพํ เถรวาทนฺติ เทฺว สงฺคีติโย อารุฬฺหา ปาฬิฯ สา หิ มหาสงฺฆิกาทิภินฺนลทฺธิกาหิ วิเวเจตุํ ‘‘เถรวาโท’’ติ วุตฺตาฯ อยญฺหิ วิภชฺชวาโท มหากสฺสปเตฺถราทีหิ อสงฺกรโต รกฺขิโต อานีโต จาติ ‘‘เถรวาโท’’ติ วุจฺจติ, ‘‘สเถรวาท’’นฺติปิ ลิขนฺติฯ ตตฺถ ‘‘อฎฺฐกถาสุ อาคตเถรวาทสหิตํ สาฎฺฐกถํ ติปิฎกสงฺคหิตํ พุทฺธวจน’’นฺติ อาเนตฺวา โยเชตพฺพํฯ เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวาติ เตโชกสิณารมฺมณํ ฌานํ สมาปชฺชิตฺวาฯ
Sabbaṃtheravādanti dve saṅgītiyo āruḷhā pāḷi. Sā hi mahāsaṅghikādibhinnaladdhikāhi vivecetuṃ ‘‘theravādo’’ti vuttā. Ayañhi vibhajjavādo mahākassapattherādīhi asaṅkarato rakkhito ānīto cāti ‘‘theravādo’’ti vuccati, ‘‘satheravāda’’ntipi likhanti. Tattha ‘‘aṭṭhakathāsu āgatatheravādasahitaṃ sāṭṭhakathaṃ tipiṭakasaṅgahitaṃ buddhavacana’’nti ānetvā yojetabbaṃ. Tejodhātuṃ samāpajjitvāti tejokasiṇārammaṇaṃ jhānaṃ samāpajjitvā.
สภายนฺติ นครมเชฺฌ วินิจฺฉยสาลายํฯ ทิฎฺฐิคตานีติ ทิฎฺฐิโยวฯ น โข ปเนตํ สกฺกา อิเมสํ มเชฺฌ วสเนฺตน วูปสเมตุนฺติ เตสญฺหิ มเชฺฌ วสโนฺต เตสุเยว อโนฺตคธตฺตา อาเทยฺยวจโน น โหติ, ตสฺมา เอวํ จิเนฺตสิฯ อโหคงฺคปพฺพตนฺติ เอวํนามกํ ปพฺพตํฯ ‘‘อโธคงฺคาปพฺพต’’นฺติปิ ลิขนฺติ, ตํ น สุนฺทรํฯ ปญฺจาตเปน ตเปฺปนฺตีติ จตูสุ ฐาเนสุ อคฺคิํ ชาเลตฺวา มเชฺฌ ฐตฺวา สูริยมณฺฑลํ อุโลฺลเกนฺตา สูริยาตเปน ตเปฺปนฺติฯ อาทิจฺจํ อนุปริวตฺตนฺตีติ อุทยกาลโต ปภุติ สูริยํ โอโลกยมานา ยาว อตฺถงฺคมนา สูริยาภิมุขาว ปริวตฺตนฺติฯ โวภินฺทิสฺสามาติ ปคฺคณฺหิํสูติ วินาเสสฺสามาติ อุสฺสาหมกํสุฯ
Sabhāyanti nagaramajjhe vinicchayasālāyaṃ. Diṭṭhigatānīti diṭṭhiyova. Na kho panetaṃ sakkā imesaṃ majjhe vasantena vūpasametunti tesañhi majjhe vasanto tesuyeva antogadhattā ādeyyavacano na hoti, tasmā evaṃ cintesi. Ahogaṅgapabbatanti evaṃnāmakaṃ pabbataṃ. ‘‘Adhogaṅgāpabbata’’ntipi likhanti, taṃ na sundaraṃ. Pañcātapena tappentīti catūsu ṭhānesu aggiṃ jāletvā majjhe ṭhatvā sūriyamaṇḍalaṃ ullokentā sūriyātapena tappenti. Ādiccaṃ anuparivattantīti udayakālato pabhuti sūriyaṃ olokayamānā yāva atthaṅgamanā sūriyābhimukhāva parivattanti. Vobhindissāmāti paggaṇhiṃsūti vināsessāmāti ussāhamakaṃsu.
วิสฺสโฎฺฐติ มรณสงฺการหิโต, นิพฺภโยติ อโตฺถฯ มิควํ นิกฺขมิตฺวาติ อรเญฺญ วิจริตฺวา มิคมารณกีฬา มิควํ, ตํ อุทฺทิสฺส นิกฺขมิตฺวา มิควธตฺถํ นิกฺขมิตฺวาติ อโตฺถฯ อหินาคาทิโต วิเสสนตฺถํ ‘‘หตฺถินาเคนา’’ติ วุตฺตํฯ ตสฺส ปสฺสนฺตเสฺสวาติ อนาทเร สามิวจนํ, ตสฺมิํ ปสฺสเนฺตเยวาติ อโตฺถฯ อากาเส อุปฺปติตฺวาติ เอตฺถ อยํ วิกุพฺพนิทฺธิ น โหตีติ คิหิสฺสาปิ อิมํ อิทฺธิํ ทเสฺสสิ อธิฎฺฐานิทฺธิยา อปฺปฎิกฺขิตฺตตฺตาฯ ปกติวณฺณญฺหิ วิชหิตฺวา นาควณฺณาทิทสฺสนํ วิกุพฺพนิทฺธิฯ ฉณเวสนฺติ อุสฺสวเวสํฯ ปธานฆรนฺติ ภาวนานุโยควเสน วีริยารมฺภสฺส อนุรูปํ วิวิตฺตเสนาสนํฯ โสปีติ รโญฺญ ภาคิเนยฺยํ สนฺธาย วุตฺตํฯ
Vissaṭṭhoti maraṇasaṅkārahito, nibbhayoti attho. Migavaṃ nikkhamitvāti araññe vicaritvā migamāraṇakīḷā migavaṃ, taṃ uddissa nikkhamitvā migavadhatthaṃ nikkhamitvāti attho. Ahināgādito visesanatthaṃ ‘‘hatthināgenā’’ti vuttaṃ. Tassa passantassevāti anādare sāmivacanaṃ, tasmiṃ passanteyevāti attho. Ākāse uppatitvāti ettha ayaṃ vikubbaniddhi na hotīti gihissāpi imaṃ iddhiṃ dassesi adhiṭṭhāniddhiyā appaṭikkhittattā. Pakativaṇṇañhi vijahitvā nāgavaṇṇādidassanaṃ vikubbaniddhi. Chaṇavesanti ussavavesaṃ. Padhānagharanti bhāvanānuyogavasena vīriyārambhassa anurūpaṃ vivittasenāsanaṃ. Sopīti rañño bhāgineyyaṃ sandhāya vuttaṃ.
กุสลาธิปฺปาโยติ มนาปชฺฌาสโยฯ เทฺวฬฺหกชาโตติ สํสยมาปโนฺนฯ เอเกกํ ภิกฺขุสหสฺสปริวารนฺติ เอตฺถ ‘‘คณฺหิตฺวา อาคจฺฉถา’’ติ อาณากาเรน วุเตฺตปิ เถรา ภิกฺขู สาสนหิตตฺตา คตาฯ กปฺปิยสาสนเญฺหตํ, น คิหีนํ คิหิกมฺมปฎิสํยุตฺตํฯ เถโร นาคจฺฉีติ กิญฺจาปิ ‘‘ราชา ปโกฺกสตี’’ติ วุเตฺตปิ ธมฺมกมฺมตฺถาย อาคนฺตุํ วฎฺฎติ, ทฺวิกฺขตฺตุํ ปน เปสิเตปิ ‘‘อนนุรูปา ยาจนา’’ติ นาคโต, ‘‘มหานุภาโว เถโร ยถานุสิฎฺฐํ ปฎิปตฺติโก ปมาณภูโต’’ติ รโญฺญ เจว อุภยปกฺขิกานญฺจ อตฺตนิ พหุมานุปฺปาทนวเสน อุทฺธํ กตฺตพฺพกมฺมสิทฺธิํ อากงฺขโนฺต อสารุปฺปวจนเลเสน นาคจฺฉิฯ เอกโต สงฺฆฎิตา นาวา นาวาสงฺฆาฎํฯ สาสนปจฺจตฺถิกานํ พหุภาวโต อาห ‘‘อารกฺขํ สํวิธายา’’ติฯ ยนฺติ ยสฺมาฯ อพฺพาหิํสูติ อากฑฺฒิํสุฯ พาหิรโตติ อุยฺยานสฺส พาหิรโตฯ ปสฺสนฺตานํ อติทุกฺกรภาเวน อุปฎฺฐานํ สนฺธาย ‘‘ปเทสปถวีกมฺปนํ ทุกฺกร’’นฺติ อาหฯ อธิฎฺฐาเน ปเนตฺถ วิสุํ ทุกฺกรตา นาม นตฺถิฯ
Kusalādhippāyoti manāpajjhāsayo. Dveḷhakajātoti saṃsayamāpanno. Ekekaṃ bhikkhusahassaparivāranti ettha ‘‘gaṇhitvā āgacchathā’’ti āṇākārena vuttepi therā bhikkhū sāsanahitattā gatā. Kappiyasāsanañhetaṃ, na gihīnaṃ gihikammapaṭisaṃyuttaṃ. Thero nāgacchīti kiñcāpi ‘‘rājā pakkosatī’’ti vuttepi dhammakammatthāya āgantuṃ vaṭṭati, dvikkhattuṃ pana pesitepi ‘‘ananurūpā yācanā’’ti nāgato, ‘‘mahānubhāvo thero yathānusiṭṭhaṃ paṭipattiko pamāṇabhūto’’ti rañño ceva ubhayapakkhikānañca attani bahumānuppādanavasena uddhaṃ kattabbakammasiddhiṃ ākaṅkhanto asāruppavacanalesena nāgacchi. Ekato saṅghaṭitā nāvā nāvāsaṅghāṭaṃ. Sāsanapaccatthikānaṃ bahubhāvato āha ‘‘ārakkhaṃ saṃvidhāyā’’ti. Yanti yasmā. Abbāhiṃsūti ākaḍḍhiṃsu. Bāhiratoti uyyānassa bāhirato. Passantānaṃ atidukkarabhāvena upaṭṭhānaṃ sandhāya ‘‘padesapathavīkampanaṃ dukkara’’nti āha. Adhiṭṭhāne panettha visuṃ dukkaratā nāma natthi.
ทีปกติตฺติโรติ สากุณิเกหิ สมชาติกานํ คหณตฺถาย โปเสตฺวา สิเกฺขตฺวา ปาสฎฺฐาเน ฐปนกติตฺติโรฯ น ปฎิจฺจ กมฺมํ ผุสตีติ คาถาย ยทิ ตว ปาปกิริยาย มโน นปฺปทุสฺสติ, ลุเทฺทน ตํ นิสฺสาย กตมฺปิ ปาปกมฺมํ ตํ น ผุสติฯ ปาปกิริยาย หิ อโปฺปสฺสุกฺกสฺส นิราลยสฺส ภทฺรสฺส สโต ตว ตํ ปาปํ น อุปลิมฺปติ, ตว จิตฺตํ น อลฺลียตีติ อโตฺถฯ
Dīpakatittiroti sākuṇikehi samajātikānaṃ gahaṇatthāya posetvā sikkhetvā pāsaṭṭhāne ṭhapanakatittiro. Na paṭicca kammaṃ phusatīti gāthāya yadi tava pāpakiriyāya mano nappadussati, luddena taṃ nissāya katampi pāpakammaṃ taṃ na phusati. Pāpakiriyāya hi appossukkassa nirālayassa bhadrassa sato tava taṃ pāpaṃ na upalimpati, tava cittaṃ na allīyatīti attho.
กิํ วทติ สีเลนาติ กิํวาทีฯ อถ วา โก กตโม วาโท กิํวาโท, โส เอตสฺส อตฺถีติ กิํวาทีฯ อตฺตานญฺจ โลกญฺจ สสฺสโตติ วาโท เอเตสนฺติ สสฺสตวาทิโนฯ สเตฺตสุ สงฺขาเรสุ วา เอกจฺจํ สสฺสตนฺติ ปวโตฺต วาโท เอกจฺจสสฺสโต, ตสฺมิํ นิยุตฺตา เอกจฺจสสฺสติกาฯ ‘‘อโนฺต, อนโนฺต, อนฺตานโนฺต, เนวโนฺต นานโนฺต’’ติ เอวํ อนฺตานนฺตํ อารพฺภ ปวตฺตา จตฺตาโร วาทา อนฺตานนฺตา, เตสุ นิยุตฺตา อนฺตานนฺติกาฯ น มรติ น อุปจฺฉิชฺชตีติ อมรา, เอวนฺติปิ เม โน, ตถาติปิ เม โนติอาทินา (ที. นิ. ๑.๖๒) ปวตฺตา ทิฎฺฐิ เจว วาจา จ, ตสฺสา วิเกฺขโป เอเตสนฺติ อมราวิเกฺขปิกาฯ อถ วา อมรา นาม มจฺฉชาติ ทุคฺคหา โหติ, ตสฺสา อมราย วิย วิเกฺขโป เอเตสนฺติ อมราวิเกฺขปิกาฯ อธิจฺจ ยทิจฺฉกํ ยํ กิญฺจิ การณํ อนเปกฺขิตฺวา สมุปฺปโนฺน อตฺตา จ โลโก จาติ วาเท นิยุตฺตา อธิจฺจสมุปฺปนฺนิกาฯ สญฺญี อตฺตาติ วาโท เยสเนฺต สญฺญีวาทาฯ เอวํ อสญฺญีวาทา เนวสญฺญีนาสญฺญีวาทาติ เอตฺถาปิฯ ‘‘กายสฺส เภทา สโตฺต อุจฺฉิชฺชตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๘๕-๘๖) เอวํ อุเจฺฉทํ วทนฺตีติ อุเจฺฉทวาทาฯ ทิฎฺฐธโมฺมติ ปจฺจโกฺข ยถาสกํ อตฺตภาโว, ตสฺมิํเยว ยถากามํ ปญฺจกามคุณปริโภเคน นิพฺพานํ ทุกฺขูปสมํ วทนฺตีติ ทิฎฺฐธมฺมนิพฺพานวาทาฯ วิภชิตฺวา วาโท เอตสฺสาติ วิภชฺชวาที, ภควาฯ สพฺพํ เอกรูเปน อวตฺวา ยถาธมฺมํ วิภชิตฺวา นิชฺชฎํ นิคุมฺพํ กตฺวา ยถา ทิฎฺฐิสเนฺทหาทโย วิคจฺฉนฺติ, สมฺมุติปรมตฺถา จ ธมฺมา อสงฺกรา ปฎิภนฺติ, เอวํ เอกนฺตวิภชนสีโลติ วุตฺตํ โหติฯ ปรปฺปวาทํ มทฺทมาโนติ ตสฺมิํ กาเล อุปฺปนฺนํ, อายติํ อุปฺปชฺชนกญฺจ สพฺพํ ปรวาทํ กถาวตฺถุมาติกาวิวรณมุเขน นิมฺมทฺทนํ กโรโนฺตติ อโตฺถฯ
Kiṃ vadati sīlenāti kiṃvādī. Atha vā ko katamo vādo kiṃvādo, so etassa atthīti kiṃvādī. Attānañca lokañca sassatoti vādo etesanti sassatavādino. Sattesu saṅkhāresu vā ekaccaṃ sassatanti pavatto vādo ekaccasassato, tasmiṃ niyuttā ekaccasassatikā. ‘‘Anto, ananto, antānanto, nevanto nānanto’’ti evaṃ antānantaṃ ārabbha pavattā cattāro vādā antānantā, tesu niyuttā antānantikā. Na marati na upacchijjatīti amarā, evantipi me no, tathātipi me notiādinā (dī. ni. 1.62) pavattā diṭṭhi ceva vācā ca, tassā vikkhepo etesanti amarāvikkhepikā. Atha vā amarā nāma macchajāti duggahā hoti, tassā amarāya viya vikkhepo etesanti amarāvikkhepikā. Adhicca yadicchakaṃ yaṃ kiñci kāraṇaṃ anapekkhitvā samuppanno attā ca loko cāti vāde niyuttā adhiccasamuppannikā. Saññī attāti vādo yesante saññīvādā. Evaṃ asaññīvādā nevasaññīnāsaññīvādāti etthāpi. ‘‘Kāyassa bhedā satto ucchijjatī’’ti (dī. ni. 1.85-86) evaṃ ucchedaṃ vadantīti ucchedavādā. Diṭṭhadhammoti paccakkho yathāsakaṃ attabhāvo, tasmiṃyeva yathākāmaṃ pañcakāmaguṇaparibhogena nibbānaṃ dukkhūpasamaṃ vadantīti diṭṭhadhammanibbānavādā. Vibhajitvā vādo etassāti vibhajjavādī, bhagavā. Sabbaṃ ekarūpena avatvā yathādhammaṃ vibhajitvā nijjaṭaṃ nigumbaṃ katvā yathā diṭṭhisandehādayo vigacchanti, sammutiparamatthā ca dhammā asaṅkarā paṭibhanti, evaṃ ekantavibhajanasīloti vuttaṃ hoti. Parappavādaṃ maddamānoti tasmiṃ kāle uppannaṃ, āyatiṃ uppajjanakañca sabbaṃ paravādaṃ kathāvatthumātikāvivaraṇamukhena nimmaddanaṃ karontoti attho.
ตติยสงฺคีติกถาวณฺณนานโย นิฎฺฐิโตฯ
Tatiyasaṅgītikathāvaṇṇanānayo niṭṭhito.