Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๙๖] ๖. เตลปตฺตชาตกวณฺณนา

    [96] 6. Telapattajātakavaṇṇanā

    สมติตฺติกํ อนวเสสกนฺติ อิทํ สตฺถา สุมฺภรเฎฺฐ เสทกํ นาม นิคมํ อุปนิสฺสาย อญฺญตรสฺมิํ วนสเณฺฑ วิหรโนฺต ชนปทกลฺยาณิสุตฺตํ อารพฺภ กเถสิฯ ตตฺร หิ ภควา –

    Samatittikaṃ anavasesakanti idaṃ satthā sumbharaṭṭhe sedakaṃ nāma nigamaṃ upanissāya aññatarasmiṃ vanasaṇḍe viharanto janapadakalyāṇisuttaṃ ārabbha kathesi. Tatra hi bhagavā –

    ‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, ‘ชนปทกลฺยาณี ชนปทกลฺยาณี’ติ โข, ภิกฺขเว, มหาชนกาโย สนฺนิปเตยฺย, สา โข ปนสฺส ชนปทกลฺยาณี ปรมปาสาวินี นเจฺจ, ปรมปาสาวินี คีเตฯ ‘ชนปทกลฺยาณี นจฺจติ คายตี’ติ โข, ภิกฺขเว, ภิโยฺยโสมตฺตาย มหาชนกาโย สนฺนิปเตยฺยฯ อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺย ชีวิตุกาโม อมริตุกาโม สุขกาโม ทุกฺขปฎิกูโลฯ ตเมนํ เอวํ วเทยฺย ‘‘อยํ เต, อโมฺภ ปุริส, สมติตฺติโก เตลปโตฺต อนฺตเรน จ มหาชนกายสฺส อนฺตเรน จ ชนปทกลฺยาณิยา ปริหริตโพฺพ, ปุริโส จ ตํ อุกฺขิตฺตาสิโก ปิฎฺฐิโต ปิฎฺฐิโต อนุพนฺธิสฺสติ ‘ยเตฺถว นํ โถกมฺปิ ฉเฑฺฑสฺสสิ, ตเตฺถว เต สีสํ ปาเตสฺสามี’’’ติฯ ‘‘ตํ กิํ มญฺญถ, ภิกฺขเว, อปิ นุ โส ปุริโส อมุํ เตลปตฺตํ อมนสิกริตฺวา พหิทฺธา ปมาทํ อาหเรยฺยา’’ติ? ‘‘โน เหตํ, ภเนฺต’’ฯ อุปมา โข มฺยายํ, ภิกฺขเว, กตา อตฺถสฺส วิญฺญาปนายฯ อยเมเวตฺถ อโตฺถ – ‘สมติตฺติโก เตลปโตฺต’ติ โข, ภิกฺขเว, กายคตาเยตํ สติยา อธิวจนํฯ ตสฺมาติห , ภิกฺขเว, เอวํ สิกฺขิตพฺพํ ‘กายคตา โน สติ ภาวิตา ภวิสฺสติ สุสมารทฺธา’ติ เอวญฺหิ โว, ภิกฺขเว, สิกฺขิตพฺพ’’นฺติ (สํ. นิ. ๕.๓๘๖) –

    ‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, ‘janapadakalyāṇī janapadakalyāṇī’ti kho, bhikkhave, mahājanakāyo sannipateyya, sā kho panassa janapadakalyāṇī paramapāsāvinī nacce, paramapāsāvinī gīte. ‘Janapadakalyāṇī naccati gāyatī’ti kho, bhikkhave, bhiyyosomattāya mahājanakāyo sannipateyya. Atha puriso āgaccheyya jīvitukāmo amaritukāmo sukhakāmo dukkhapaṭikūlo. Tamenaṃ evaṃ vadeyya ‘‘ayaṃ te, ambho purisa, samatittiko telapatto antarena ca mahājanakāyassa antarena ca janapadakalyāṇiyā pariharitabbo, puriso ca taṃ ukkhittāsiko piṭṭhito piṭṭhito anubandhissati ‘yattheva naṃ thokampi chaḍḍessasi, tattheva te sīsaṃ pātessāmī’’’ti. ‘‘Taṃ kiṃ maññatha, bhikkhave, api nu so puriso amuṃ telapattaṃ amanasikaritvā bahiddhā pamādaṃ āhareyyā’’ti? ‘‘No hetaṃ, bhante’’. Upamā kho myāyaṃ, bhikkhave, katā atthassa viññāpanāya. Ayamevettha attho – ‘samatittiko telapatto’ti kho, bhikkhave, kāyagatāyetaṃ satiyā adhivacanaṃ. Tasmātiha , bhikkhave, evaṃ sikkhitabbaṃ ‘kāyagatā no sati bhāvitā bhavissati susamāraddhā’ti evañhi vo, bhikkhave, sikkhitabba’’nti (saṃ. ni. 5.386) –

    อิทํ ชนปทกลฺยาณิสุตฺตํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ กเถสิฯ

    Idaṃ janapadakalyāṇisuttaṃ sātthaṃ sabyañjanaṃ kathesi.

    ตตฺรายํ สเงฺขปโตฺถ – ชนปทกลฺยาณีติ ชนปทมฺหิ กลฺยาณี อุตฺตมา ฉสรีรโทสรหิตา ปญฺจกลฺยาณสมนฺนาคตาฯ สา หิ ยสฺมา นาติทีฆา, นาติรสฺสา, นาติกิสา, นาติถูลา, นาติกาฬา, นาโจฺจทาตา, อติกฺกนฺตา มานุสกวณฺณํ, อปตฺตา ทิพฺพวณฺณํ, ตสฺมา ฉสรีรโทสรหิตาฯ ฉวิกลฺยาณํ, มํสกลฺยาณํ, นฺหารุกลฺยาณํ, อฎฺฐิกลฺยาณํ, วโยกลฺยาณนฺติ อิเมหิ ปน ปญฺจหิ กลฺยาเณหิ สมนฺนาคตตฺตา ปญฺจกลฺยาณสมนฺนาคตา นามฯ ตสฺสา หิ อาคนฺตุโกภาสกิจฺจํ นาม นตฺถิ, อตฺตโน สรีโรภาเสเนว ทฺวาทสหเตฺถ ฐาเน อาโลกํ กโรติ, ปิยงฺคุสามา วา โหติ สุวณฺณสามา วาฯ อยมสฺสา ฉวิกลฺยาณตาฯ จตฺตาโร ปนสฺสา หตฺถปาทา มุขปริโยสานญฺจ ลาขารสปริกมฺมกตํ วิย รตฺตปวาฬรตฺตกมฺพลสทิสํ โหติฯ อยมสฺสา มํสกลฺยาณตาฯ วีสติ นขปตฺตานิ มํสโต อมุตฺตฎฺฐาเน ลาขารสปูริตานิ วิย, มุตฺตฎฺฐาเน ขีรธาราสทิสานิฯ อยมสฺสา นฺหารุกลฺยาณตาฯ ทฺวตฺติํส ทนฺตา สุผุสิตา สุโธตวชิรปนฺติ วิย ขายนฺติฯ อยมสฺสา อฎฺฐิกลฺยาณตาฯ วีสติวสฺสสติกาปิ ปน สมานา โสฬสวสฺสุเทฺทสิกา วิย โหติ นิพฺพลิปลิตาฯ อยมสฺสา วโยกลฺยาณตา

    Tatrāyaṃ saṅkhepattho – janapadakalyāṇīti janapadamhi kalyāṇī uttamā chasarīradosarahitā pañcakalyāṇasamannāgatā. Sā hi yasmā nātidīghā, nātirassā, nātikisā, nātithūlā, nātikāḷā, nāccodātā, atikkantā mānusakavaṇṇaṃ, apattā dibbavaṇṇaṃ, tasmā chasarīradosarahitā. Chavikalyāṇaṃ, maṃsakalyāṇaṃ, nhārukalyāṇaṃ, aṭṭhikalyāṇaṃ, vayokalyāṇanti imehi pana pañcahi kalyāṇehi samannāgatattā pañcakalyāṇasamannāgatā nāma. Tassā hi āgantukobhāsakiccaṃ nāma natthi, attano sarīrobhāseneva dvādasahatthe ṭhāne ālokaṃ karoti, piyaṅgusāmā vā hoti suvaṇṇasāmā vā. Ayamassā chavikalyāṇatā. Cattāro panassā hatthapādā mukhapariyosānañca lākhārasaparikammakataṃ viya rattapavāḷarattakambalasadisaṃ hoti. Ayamassā maṃsakalyāṇatā. Vīsati nakhapattāni maṃsato amuttaṭṭhāne lākhārasapūritāni viya, muttaṭṭhāne khīradhārāsadisāni. Ayamassā nhārukalyāṇatā. Dvattiṃsa dantā suphusitā sudhotavajirapanti viya khāyanti. Ayamassā aṭṭhikalyāṇatā. Vīsativassasatikāpi pana samānā soḷasavassuddesikā viya hoti nibbalipalitā. Ayamassā vayokalyāṇatā.

    ปรมปาสาวินีติ เอตฺถ ปน ปสวนํ ปสโว, ปวตฺตีติ อโตฺถฯ ปสโว เอว ปาสาโว, ปรโม ปาสาโว ปรมปาสาโว, โส อสฺสา อตฺถีติ ปรมปาสาวินีฯ นเจฺจ จ คีเต จ อุตฺตมปฺปวตฺติ เสฎฺฐกิริยาฯ อุตฺตมเมว นจฺจํ นจฺจติ, คีตญฺจ คายตีติ วุตฺตํ โหติฯ

    Paramapāsāvinīti ettha pana pasavanaṃ pasavo, pavattīti attho. Pasavo eva pāsāvo, paramo pāsāvo paramapāsāvo, so assā atthīti paramapāsāvinī. Nacce ca gīte ca uttamappavatti seṭṭhakiriyā. Uttamameva naccaṃ naccati, gītañca gāyatīti vuttaṃ hoti.

    อถ ปุริโส อาคเจฺฉยฺยาติ น อตฺตโน รุจิยา อาคเจฺฉยฺย, อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย – อเถวํ มหาชนมเชฺฌ ชนปทกลฺยาณิยา นจฺจมานาย ‘‘สาธุ สาธู’’ติ สาธุกาเรสุ องฺคุลิโผฎเนสุ เจลุเกฺขเปสุ จ ปวตฺตมาเนสุ ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ราชา พนฺธนาคารโต เอกํ โจรปุริสํ ปโกฺกสาเปตฺวา นิคฬานิ ฉินฺทิตฺวา สมติตฺติกํ สุปริปุณฺณํ เตลปตฺตํ ตสฺส หเตฺถ ทตฺวา อุโภหิ หเตฺถหิ ทฬฺหํ คาหาเปตฺวา เอกํ อสิหตฺถํ ปุริสํ อาณาเปสิ ‘‘เอตํ คเหตฺวา ชนปทกลฺยาณิยา สมชฺชฎฺฐานํ คจฺฉฯ ยเตฺถว เจส ปมาทํ อาคมฺม เอกมฺปิ เตลพินฺทุํ ฉเฑฺฑติ, ตเตฺถวสฺส สีสํ ฉินฺทา’’ติฯ โส ปุริโส อสิํ อุกฺขิปิตฺวา ตํ ตเชฺชโนฺต ตตฺถ เนสิฯ โส มรณภยตชฺชิโต ชีวิตุกามตาย ปมาทวเสน ตํ อมนสิกริตฺวา สกิมฺปิ อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา ตํ ชนปทกลฺยาณิํ น โอโลเกสิฯ เอวํ ภูตปุพฺพเมเวตํ วตฺถุ, สุเตฺต ปน ปริกปฺปวเสเนตํ วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ

    Atha puriso āgaccheyyāti na attano ruciyā āgaccheyya, ayaṃ panettha adhippāyo – athevaṃ mahājanamajjhe janapadakalyāṇiyā naccamānāya ‘‘sādhu sādhū’’ti sādhukāresu aṅguliphoṭanesu celukkhepesu ca pavattamānesu taṃ pavattiṃ sutvā rājā bandhanāgārato ekaṃ corapurisaṃ pakkosāpetvā nigaḷāni chinditvā samatittikaṃ suparipuṇṇaṃ telapattaṃ tassa hatthe datvā ubhohi hatthehi daḷhaṃ gāhāpetvā ekaṃ asihatthaṃ purisaṃ āṇāpesi ‘‘etaṃ gahetvā janapadakalyāṇiyā samajjaṭṭhānaṃ gaccha. Yattheva cesa pamādaṃ āgamma ekampi telabinduṃ chaḍḍeti, tatthevassa sīsaṃ chindā’’ti. So puriso asiṃ ukkhipitvā taṃ tajjento tattha nesi. So maraṇabhayatajjito jīvitukāmatāya pamādavasena taṃ amanasikaritvā sakimpi akkhīni ummīletvā taṃ janapadakalyāṇiṃ na olokesi. Evaṃ bhūtapubbamevetaṃ vatthu, sutte pana parikappavasenetaṃ vuttanti veditabbaṃ.

    อุปมา โข มฺยายนฺติ เอตฺถ ปน เตลปตฺตสฺส ตาว กายคตาสติยา โอปมฺมสํสนฺทนํ กตเมวฯ เอตฺถ ปน ราชา วิย กมฺมํ ทฎฺฐพฺพํ, อสิ วิย กิเลสา, อุกฺขิตฺตาสิกปุริโส วิย มาโร, เตลปตฺตหโตฺถ ปุริโส วิย กายคตาสติภาวโก วิปสฺสกโยคาวจโรฯ อิติ ภควา ‘‘กายคตาสติํ ภาเวตุกาเมน ภิกฺขุนา เตลปตฺตหเตฺถน เตน ปุริเสน วิย สติํ อวิสฺสเชฺชตฺวา อปฺปมเตฺตน กายคตาสติ ภาเวตพฺพา’’ติ อิมํ สุตฺตํ อาหริตฺวา ทเสฺสสิฯ

    Upamākho myāyanti ettha pana telapattassa tāva kāyagatāsatiyā opammasaṃsandanaṃ katameva. Ettha pana rājā viya kammaṃ daṭṭhabbaṃ, asi viya kilesā, ukkhittāsikapuriso viya māro, telapattahattho puriso viya kāyagatāsatibhāvako vipassakayogāvacaro. Iti bhagavā ‘‘kāyagatāsatiṃ bhāvetukāmena bhikkhunā telapattahatthena tena purisena viya satiṃ avissajjetvā appamattena kāyagatāsati bhāvetabbā’’ti imaṃ suttaṃ āharitvā dassesi.

    ภิกฺขู อิมํ สุตฺตญฺจ อตฺถญฺจ สุตฺวา เอวมาหํสุ – ‘‘ทุกฺกรํ, ภเนฺต, เตน ปุริเสน กตํ ตถารูปิํ ชนปทกลฺยาณิํ อโนโลเกตฺวา เตลปตฺตํ อาทาย คจฺฉเนฺตนา’’ติฯ สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, เตน ทุกฺกรํ กตํ, สุกรเมเวตํฯ กสฺมา? อุกฺขิตฺตาสิเกน ปุริเสน สนฺตเชฺชตฺวา นียมานตายฯ ยํ ปน ปุเพฺพ ปณฺฑิตา อปฺปมาเทน สติํ อวิสฺสเชฺชตฺวา อภิสงฺขตํ ทิพฺพรูปมฺปิ อินฺทฺริยานิ ภินฺทิตฺวา อโนโลเกตฺวาว คนฺตฺวา รชฺชํ ปาปุณิํสุ, เอตํ ทุกฺกร’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Bhikkhū imaṃ suttañca atthañca sutvā evamāhaṃsu – ‘‘dukkaraṃ, bhante, tena purisena kataṃ tathārūpiṃ janapadakalyāṇiṃ anoloketvā telapattaṃ ādāya gacchantenā’’ti. Satthā ‘‘na, bhikkhave, tena dukkaraṃ kataṃ, sukaramevetaṃ. Kasmā? Ukkhittāsikena purisena santajjetvā nīyamānatāya. Yaṃ pana pubbe paṇḍitā appamādena satiṃ avissajjetvā abhisaṅkhataṃ dibbarūpampi indriyāni bhinditvā anoloketvāva gantvā rajjaṃ pāpuṇiṃsu, etaṃ dukkara’’nti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส รโญฺญ ปุตฺตสตสฺส สพฺพกนิโฎฺฐ หุตฺวา นิพฺพตฺติ, โส อนุปุเพฺพน วิญฺญุตํ ปาปุณิฯ ตทา จ รโญฺญ เคเห ปเจฺจกพุทฺธา ภุญฺชนฺติ, โพธิสโตฺต เตสํ เวยฺยาวจฺจํ กโรติฯ โส เอกทิวสํ จิเนฺตสิ ‘‘มม พหู ภาตโร, ลจฺฉามิ นุ โข อหํ อิมสฺมิํ นคเร กุลสนฺตกํ รชฺชํ, อุทาหุ โน’’ติ? อถสฺส เอตทโหสิ ‘‘ปเจฺจกพุเทฺธ ปุจฺฉิตฺวา ชานิสฺสามี’’ติฯ โส ทุติยทิวเส ปเจฺจกพุเทฺธสุ อาคเตสุ ธมกรณํ อาทาย ปานียํ ปริสฺสาเวตฺวา ปาเท โธวิตฺวา เตเลน มเกฺขตฺวา เตสํ อนฺตรขชฺชกํ ขาทิตฺวา นิสินฺนกาเล วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ตมตฺถํ ปุจฺฉิฯ อถ นํ เต อโวจุํ – กุมาร, น ตฺวํ อิมสฺมิํ นคเร รชฺชํ ลภิสฺสสิ, อิโต ปน วีสโยชนสตมตฺถเก คนฺธารรเฎฺฐ ตกฺกสิลานครํ นาม อตฺถิ, ตตฺถ คนฺตุํ สโกฺกโนฺต อิโต สตฺตเม ทิวเส รชฺชํ ลจฺฉสิฯ อนฺตรามเคฺค ปน มหาวตฺตนิอฎวิยํ ปริปโนฺถ อตฺถิ, ตํ อฎวิํ ปริหริตฺวา คจฺฉนฺตสฺส โยชนสติโก มโคฺค โหติ, อุชุกํ คจฺฉนฺตสฺส ปญฺญาส โยชนานิ โหนฺติฯ โส หิ อมนุสฺสกนฺตาโร นามฯ ตตฺถ ยกฺขินิโย อนฺตรามเคฺค คาเม จ สาลาโย จ มาเปตฺวา อุปริ สุวณฺณตารกวิจิตฺตวิตานํ มหารหเสยฺยํ ปญฺญาเปตฺวา นานาวิราคปฎสาณิโย ปริกฺขิปิตฺวา ทิพฺพาลงฺกาเรหิ อตฺตภาวํ มเณฺฑตฺวา สาลาสุ นิสีทิตฺวา อาคจฺฉเนฺต ปุริเส มธุราหิ วาจาหิ สงฺคณฺหิตฺวา ‘‘กิลนฺตรูปา วิย ปญฺญายถ, อิธาคนฺตฺวา นิสีทิตฺวา ปานียํ ปิวิตฺวา คจฺฉถา’’ติ ปโกฺกสิตฺวา อาคตาคตานํ อาสนานิ ทตฺวา อตฺตโน รูปลีลาวิลาเสหิ ปโลเภตฺวา กิเลสวสิเก กตฺวา อตฺตนา สทฺธิํ อชฺฌาจาเร กเต ตเตฺถว เน โลหิเตน ปคฺฆรเนฺตน ขาทิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปนฺติฯ รูปโคจรํ สตฺตํ รูเปเนว คณฺหนฺติ, สทฺทโคจรํ มธุเรน คีตวาทิตสเทฺทน, คนฺธโคจรํ ทิพฺพคเนฺธหิ, รสโคจรํ ทิเพฺพน นานคฺครสโภชเนน, โผฎฺฐพฺพโคจรํ อุภโตโลหิตกูปธาเนหิ ทิพฺพสยเนหิ คณฺหนฺติฯ สเจ อินฺทฺริยานิ ภินฺทิตฺวา ตา อโนโลเกตฺวา สติํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา คมิสฺสสิ, สตฺตเม ทิวเส ตตฺถ รชฺชํ ลจฺฉสีติฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa rañño puttasatassa sabbakaniṭṭho hutvā nibbatti, so anupubbena viññutaṃ pāpuṇi. Tadā ca rañño gehe paccekabuddhā bhuñjanti, bodhisatto tesaṃ veyyāvaccaṃ karoti. So ekadivasaṃ cintesi ‘‘mama bahū bhātaro, lacchāmi nu kho ahaṃ imasmiṃ nagare kulasantakaṃ rajjaṃ, udāhu no’’ti? Athassa etadahosi ‘‘paccekabuddhe pucchitvā jānissāmī’’ti. So dutiyadivase paccekabuddhesu āgatesu dhamakaraṇaṃ ādāya pānīyaṃ parissāvetvā pāde dhovitvā telena makkhetvā tesaṃ antarakhajjakaṃ khāditvā nisinnakāle vanditvā ekamantaṃ nisinno tamatthaṃ pucchi. Atha naṃ te avocuṃ – kumāra, na tvaṃ imasmiṃ nagare rajjaṃ labhissasi, ito pana vīsayojanasatamatthake gandhāraraṭṭhe takkasilānagaraṃ nāma atthi, tattha gantuṃ sakkonto ito sattame divase rajjaṃ lacchasi. Antarāmagge pana mahāvattaniaṭaviyaṃ paripantho atthi, taṃ aṭaviṃ pariharitvā gacchantassa yojanasatiko maggo hoti, ujukaṃ gacchantassa paññāsa yojanāni honti. So hi amanussakantāro nāma. Tattha yakkhiniyo antarāmagge gāme ca sālāyo ca māpetvā upari suvaṇṇatārakavicittavitānaṃ mahārahaseyyaṃ paññāpetvā nānāvirāgapaṭasāṇiyo parikkhipitvā dibbālaṅkārehi attabhāvaṃ maṇḍetvā sālāsu nisīditvā āgacchante purise madhurāhi vācāhi saṅgaṇhitvā ‘‘kilantarūpā viya paññāyatha, idhāgantvā nisīditvā pānīyaṃ pivitvā gacchathā’’ti pakkositvā āgatāgatānaṃ āsanāni datvā attano rūpalīlāvilāsehi palobhetvā kilesavasike katvā attanā saddhiṃ ajjhācāre kate tattheva ne lohitena paggharantena khāditvā jīvitakkhayaṃ pāpenti. Rūpagocaraṃ sattaṃ rūpeneva gaṇhanti, saddagocaraṃ madhurena gītavāditasaddena, gandhagocaraṃ dibbagandhehi, rasagocaraṃ dibbena nānaggarasabhojanena, phoṭṭhabbagocaraṃ ubhatolohitakūpadhānehi dibbasayanehi gaṇhanti. Sace indriyāni bhinditvā tā anoloketvā satiṃ paccupaṭṭhāpetvā gamissasi, sattame divase tattha rajjaṃ lacchasīti.

    โพธิสโตฺต ‘‘โหตุ, ภเนฺต, ตุมฺหากํ โอวาทํ คเหตฺวา กิํ ตา โอโลเกสฺสามี’’ติ ปเจฺจกพุเทฺธหิ ปริตฺตํ การาเปตฺวา ปริตฺตวาลุกเญฺจว ปริตฺตสุตฺตญฺจ อาทาย ปเจฺจกพุเทฺธ จ มาตาปิตโร จ วนฺทิตฺวา นิเวสนํ คนฺตฺวา อตฺตโน ปุริเส อาห – ‘‘อหํ ตกฺกสิลายํ รชฺชํ คเหตุํ คจฺฉามิ, ตุเมฺห อิเธว ติฎฺฐถา’’ติฯ อถ นํ ปญฺจ ชนา อาหํสุ ‘‘มยมฺปิ อนุคจฺฉามา’’ติฯ ‘‘น สกฺกา ตุเมฺหหิ อนุคนฺตุํ, อนฺตรามเคฺค กิร ยกฺขินิโย รูปาทิโคจเร มนุเสฺส เอวเญฺจวญฺจ รูปาทีหิ ปโลเภตฺวา คณฺหนฺติ, มหา ปริปโนฺถ, อหํ ปน อตฺตานํ ตเกฺกตฺวา คจฺฉามี’’ติฯ ‘‘กิํ ปน, เทว, มยํ ตุเมฺหหิ สทฺธิํ คจฺฉนฺตา อตฺตโน ปิยานิ รูปาทีนิ โอโลเกสฺสาม, มยมฺปิ ตเถว คมิสฺสามา’’ติฯ โพธิสโตฺต ‘‘เตน หิ อปฺปมตฺตา โหถา’’ติ เต ปญฺจ ชเน อาทาย มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ

    Bodhisatto ‘‘hotu, bhante, tumhākaṃ ovādaṃ gahetvā kiṃ tā olokessāmī’’ti paccekabuddhehi parittaṃ kārāpetvā parittavālukañceva parittasuttañca ādāya paccekabuddhe ca mātāpitaro ca vanditvā nivesanaṃ gantvā attano purise āha – ‘‘ahaṃ takkasilāyaṃ rajjaṃ gahetuṃ gacchāmi, tumhe idheva tiṭṭhathā’’ti. Atha naṃ pañca janā āhaṃsu ‘‘mayampi anugacchāmā’’ti. ‘‘Na sakkā tumhehi anugantuṃ, antarāmagge kira yakkhiniyo rūpādigocare manusse evañcevañca rūpādīhi palobhetvā gaṇhanti, mahā paripantho, ahaṃ pana attānaṃ takketvā gacchāmī’’ti. ‘‘Kiṃ pana, deva, mayaṃ tumhehi saddhiṃ gacchantā attano piyāni rūpādīni olokessāma, mayampi tatheva gamissāmā’’ti. Bodhisatto ‘‘tena hi appamattā hothā’’ti te pañca jane ādāya maggaṃ paṭipajji.

    ยกฺขินิโย คามาทีนิ มาเปตฺวา นิสีทิํสุฯ เตสุ รูปโคจโร ปุริโส ตา ยกฺขินิโย โอโลเกตฺวา รูปารมฺมเณ ปฎิพทฺธจิโตฺต โถกํ โอหียิฯ โพธิสโตฺต ‘‘กิํ โภ, โถกํ โอหียสี’’ติ อาหฯ ‘‘เทว, ปาทา เม รุชฺชนฺติ, โถกํ สาลายํ นิสีทิตฺวา อาคจฺฉามี’’ติฯ ‘‘อโมฺภ, เอตา ยกฺขินิโย, มา โข ปเตฺถสี’’ติฯ ‘‘ยํ โหติ, ตํ โหตุ, น สโกฺกมิ, เทวา’’ติฯ ‘‘เตน หิ ปญฺญายิสฺสสี’’ติ อิตเร จตฺตาโร อาทาย อคมาสิฯ โสปิ รูปโคจรโก ตาสํ สนฺติกํ อคมาสิฯ ตา อตฺตนา สทฺธิํ อชฺฌาจาเร กเต ตํ ตเตฺถว ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา ปุรโต คนฺตฺวา อญฺญํ สาลํ มาเปตฺวา นานาตูริยานิ คเหตฺวา คายมานา นิสีทิํสุ, ตตฺถ สทฺทโคจรโก โอหียิฯ ปุริมนเยเนว ตมฺปิ ขาทิตฺวา ปุรโต คนฺตฺวา นานปฺปกาเร คนฺธกรณฺฑเก ปูเรตฺวา อาปณํ ปสาเรตฺวา นิสีทิํสุ, ตตฺถ คนฺธโคจรโก โอหียิฯ ตมฺปิ ขาทิตฺวา ปุรโต คนฺตฺวา นานคฺครสานํ ทิพฺพโภชนานํ ภาชนานิ ปูเรตฺวา โอทนิกาปณํ ปสาเรตฺวา นิสีทิํสุ, ตตฺถ รสโคจรโก โอหียิฯ ตมฺปิ ขาทิตฺวา ปุรโต คนฺตฺวา ทิพฺพสยนานิ ปญฺญาเปตฺวา นิสีทิํสุ, ตตฺถ โผฎฺฐพฺพโคจรโก โอหียิฯ ตมฺปิ ขาทิํสุ, โพธิสโตฺต เอกโกว อโหสิฯ

    Yakkhiniyo gāmādīni māpetvā nisīdiṃsu. Tesu rūpagocaro puriso tā yakkhiniyo oloketvā rūpārammaṇe paṭibaddhacitto thokaṃ ohīyi. Bodhisatto ‘‘kiṃ bho, thokaṃ ohīyasī’’ti āha. ‘‘Deva, pādā me rujjanti, thokaṃ sālāyaṃ nisīditvā āgacchāmī’’ti. ‘‘Ambho, etā yakkhiniyo, mā kho patthesī’’ti. ‘‘Yaṃ hoti, taṃ hotu, na sakkomi, devā’’ti. ‘‘Tena hi paññāyissasī’’ti itare cattāro ādāya agamāsi. Sopi rūpagocarako tāsaṃ santikaṃ agamāsi. Tā attanā saddhiṃ ajjhācāre kate taṃ tattheva jīvitakkhayaṃ pāpetvā purato gantvā aññaṃ sālaṃ māpetvā nānātūriyāni gahetvā gāyamānā nisīdiṃsu, tattha saddagocarako ohīyi. Purimanayeneva tampi khāditvā purato gantvā nānappakāre gandhakaraṇḍake pūretvā āpaṇaṃ pasāretvā nisīdiṃsu, tattha gandhagocarako ohīyi. Tampi khāditvā purato gantvā nānaggarasānaṃ dibbabhojanānaṃ bhājanāni pūretvā odanikāpaṇaṃ pasāretvā nisīdiṃsu, tattha rasagocarako ohīyi. Tampi khāditvā purato gantvā dibbasayanāni paññāpetvā nisīdiṃsu, tattha phoṭṭhabbagocarako ohīyi. Tampi khādiṃsu, bodhisatto ekakova ahosi.

    อเถกา ยกฺขินี ‘‘อติขรมโนฺต วตายํ, อหํ ตํ ขาทิตฺวาว นิวตฺติสฺสามี’’ติ โพธิสตฺตสฺส ปจฺฉโต ปจฺฉโต อคมาสิฯ อฎวิยา ปรภาเค วนกมฺมิกาทโย ยกฺขินิํ ทิสฺวา ‘‘อยํ เต ปุรโต คจฺฉโนฺต ปุริโส กิํ โหตี’’ติ ปุจฺฉิํสุฯ ‘‘โกมารสามิโก เม, อยฺยา’’ติฯ ‘‘อโมฺภ, อยํ เอวํ สุกุมาลา ปุปฺผทามสทิสา สุวณฺณวณฺณา กุมาริกา อตฺตโน กุลํ ฉเฑฺฑตฺวา ภวนฺตํ ตเกฺกตฺวา นิกฺขนฺตา, กสฺมา เอตํ อกิลเมตฺวา อาทาย น คจฺฉสี’’ติ? ‘‘เนสา, อยฺยา, มยฺหํ ปชาปติ, ยกฺขินี เอสา, เอตาย เม ปญฺจ มนุสฺสา ขาทิตา’’ติฯ ‘‘อยฺยา, ปุริสา นาม กุทฺธกาเล อตฺตโน ปชาปติโย ยกฺขินิโยปิ กโรนฺติ เปตินิโยปี’’ติฯ สา คจฺฉมานา คพฺภินิวณฺณํ ทเสฺสตฺวา ปุน สกิํ วิชาตวณฺณํ กตฺวา ปุตฺตํ อเงฺกน อาทาย โพธิสตฺตํ อนุพนฺธิ, ทิฎฺฐทิฎฺฐา ปุริมนเยเนว ปุจฺฉนฺติฯ โพธิสโตฺตปิ ตเถว วตฺวา คจฺฉโนฺต ตกฺกสิลํ ปาปุณิฯ สา ปุตฺตํ อนฺตรธาเปตฺวา เอกิกาว อนุพนฺธิฯ โพธิสโตฺต นครทฺวารํ คนฺตฺวา เอกิสฺสา สาลาย นิสีทิฯ สา โพธิสตฺตสฺส เตเชน ปวิสิตุํ อสโกฺกนฺตี ทิพฺพรูปํ มาเปตฺวา สาลาทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ

    Athekā yakkhinī ‘‘atikharamanto vatāyaṃ, ahaṃ taṃ khāditvāva nivattissāmī’’ti bodhisattassa pacchato pacchato agamāsi. Aṭaviyā parabhāge vanakammikādayo yakkhiniṃ disvā ‘‘ayaṃ te purato gacchanto puriso kiṃ hotī’’ti pucchiṃsu. ‘‘Komārasāmiko me, ayyā’’ti. ‘‘Ambho, ayaṃ evaṃ sukumālā pupphadāmasadisā suvaṇṇavaṇṇā kumārikā attano kulaṃ chaḍḍetvā bhavantaṃ takketvā nikkhantā, kasmā etaṃ akilametvā ādāya na gacchasī’’ti? ‘‘Nesā, ayyā, mayhaṃ pajāpati, yakkhinī esā, etāya me pañca manussā khāditā’’ti. ‘‘Ayyā, purisā nāma kuddhakāle attano pajāpatiyo yakkhiniyopi karonti petiniyopī’’ti. Sā gacchamānā gabbhinivaṇṇaṃ dassetvā puna sakiṃ vijātavaṇṇaṃ katvā puttaṃ aṅkena ādāya bodhisattaṃ anubandhi, diṭṭhadiṭṭhā purimanayeneva pucchanti. Bodhisattopi tatheva vatvā gacchanto takkasilaṃ pāpuṇi. Sā puttaṃ antaradhāpetvā ekikāva anubandhi. Bodhisatto nagaradvāraṃ gantvā ekissā sālāya nisīdi. Sā bodhisattassa tejena pavisituṃ asakkontī dibbarūpaṃ māpetvā sālādvāre aṭṭhāsi.

    ตสฺมิํ สมเย ตกฺกสิลราชา อุยฺยานํ คจฺฉโนฺต ตํ ทิสฺวา ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา ‘‘คจฺฉ, อิมิสฺสา สสฺสามิกอสฺสามิกภาวํ ชานาหี’’ติ มนุสฺสํ เปเสสิฯ โส ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘สสฺสามิกาสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, อยฺย, อยํ เม สาลาย นิสิโนฺน สามิโก’’ติฯ โพธิสโตฺต ‘‘เนสา มยฺหํ ปชาปติ, ยกฺขินี เอสา, เอตาย เม ปญฺจ มนุสฺสา ขาทิตา’’ติ อาหฯ สาปิ ‘‘ปุริสา นาม อยฺยา กุทฺธกาเล ยํ อิจฺฉนฺติ, ตํ วทนฺตี’’ติ อาหฯ โส อุภินฺนมฺปิ วจนํ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘อสฺสามิกภณฺฑํ นาม ราชสนฺตกํ โหตี’’ติ ยกฺขินิํ ปโกฺกสาเปตฺวา เอกหตฺถิปิเฎฺฐ นิสีทาเปตฺวา นครํ ปทกฺขิณํ กตฺวา ปาสาทํ อภิรุยฺห ตํ อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐเปสิฯ

    Tasmiṃ samaye takkasilarājā uyyānaṃ gacchanto taṃ disvā paṭibaddhacitto hutvā ‘‘gaccha, imissā sassāmikaassāmikabhāvaṃ jānāhī’’ti manussaṃ pesesi. So taṃ upasaṅkamitvā ‘‘sassāmikāsī’’ti pucchi. ‘‘Āma, ayya, ayaṃ me sālāya nisinno sāmiko’’ti. Bodhisatto ‘‘nesā mayhaṃ pajāpati, yakkhinī esā, etāya me pañca manussā khāditā’’ti āha. Sāpi ‘‘purisā nāma ayyā kuddhakāle yaṃ icchanti, taṃ vadantī’’ti āha. So ubhinnampi vacanaṃ rañño ārocesi. Rājā ‘‘assāmikabhaṇḍaṃ nāma rājasantakaṃ hotī’’ti yakkhiniṃ pakkosāpetvā ekahatthipiṭṭhe nisīdāpetvā nagaraṃ padakkhiṇaṃ katvā pāsādaṃ abhiruyha taṃ aggamahesiṭṭhāne ṭhapesi.

    โส นฺหาตวิลิโตฺต สายมาสํ ภุญฺชิตฺวา สิรีสยนํ อภิรุหิฯ สาปิ ยกฺขินี อตฺตโน อุปกปฺปนกํ อาหารํ อาหริตฺวา อลงฺกตปฎิยตฺตา สิริสยเน รญฺญา สทฺธิํ นิปชฺชิตฺวา รโญฺญ รติวเสน สุขํ สมปฺปิตสฺส นิปนฺนกาเล เอเกน ปเสฺสน ปริวตฺติตฺวา ปโรทิฯ อถ นํ ราชา ‘‘กิํ, ภเทฺท, โรทสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘เทว, อหํ ตุเมฺหหิ มเคฺค ทิสฺวา อานีตา, ตุมฺหากญฺจ เคเห พหู อิตฺถิโย, อหํ สปตฺตีนํ อนฺตเร วสมานา กถาย อุปฺปนฺนาย ‘โก ตุยฺหํ มาตรํ วา ปิตรํ วา โคตฺตํ วา ชาติํ วา ชานาติ, ตฺวํ อนฺตรามเคฺค ทิสฺวา อานีตา นามา’ติ สีเส คเหตฺวา นิปฺปีฬิยมานา วิย มงฺกุ ภวิสฺสามิฯ สเจ ตุเมฺห สกลรเชฺช อิสฺสริยญฺจ อาณญฺจ มยฺหํ ทเทยฺยาถ, โกจิ มยฺหํ จิตฺตํ โกเปตฺวา กเถตุํ น สกฺขิสฺสตี’’ติ ฯ ‘‘ภเทฺท, มยฺหํ สกลรฎฺฐวาสิโน น กิญฺจิ โหนฺติ, นาหํ เอเตสํ สามิโกฯ เย ปน ราชาณํ โกเปตฺวา อกตฺตพฺพํ กโรนฺติ, เตสเญฺญวาหํ สามิโกฯ อิมินา การเณน น สกฺกา ตุยฺหํ สกลรเฎฺฐ วา นคเร วา อิสฺสริยญฺจ อาณญฺจ ทาตุ’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ, เทว, สเจ รเฎฺฐ วา นคเร วา อาณํ ทาตุํ น สโกฺกถ, อโนฺตนิเวสเน อโนฺตวฬญฺชนกานํ อุปริ มม วสํ วตฺตนตฺถาย อาณํ เทถา’’ติฯ ราชา ทิพฺพโผฎฺฐเพฺพน พโทฺธ ตสฺสา วจนํ อติกฺกมิตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘สาธุ, ภเทฺท, อโนฺตวฬญฺชนเกสุ ตุยฺหํ อาณํ ทมฺมิ, ตฺวํ เอเต อตฺตโน วเส วตฺตาเปหี’’ติ อาหฯ สา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา รโญฺญ นิทฺทํ โอกฺกนฺตกาเล ยกฺขนครํ คนฺตฺวา ยเกฺข ปโกฺกสิตฺวา อตฺตนา ราชานํ ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา อฎฺฐิมตฺตํ เสเสตฺวา สพฺพํ นฺหารุจมฺมมํสโลหิตํ ขาทิ, อวเสสา ยกฺขา มหาทฺวารโต ปฎฺฐาย อโนฺตนิเวสเน กุกฺกุฎกุกฺกุเร อาทิํ กตฺวา สเพฺพ ขาทิตฺวา อฎฺฐิมตฺตเสเส อกํสุฯ

    So nhātavilitto sāyamāsaṃ bhuñjitvā sirīsayanaṃ abhiruhi. Sāpi yakkhinī attano upakappanakaṃ āhāraṃ āharitvā alaṅkatapaṭiyattā sirisayane raññā saddhiṃ nipajjitvā rañño rativasena sukhaṃ samappitassa nipannakāle ekena passena parivattitvā parodi. Atha naṃ rājā ‘‘kiṃ, bhadde, rodasī’’ti pucchi. ‘‘Deva, ahaṃ tumhehi magge disvā ānītā, tumhākañca gehe bahū itthiyo, ahaṃ sapattīnaṃ antare vasamānā kathāya uppannāya ‘ko tuyhaṃ mātaraṃ vā pitaraṃ vā gottaṃ vā jātiṃ vā jānāti, tvaṃ antarāmagge disvā ānītā nāmā’ti sīse gahetvā nippīḷiyamānā viya maṅku bhavissāmi. Sace tumhe sakalarajje issariyañca āṇañca mayhaṃ dadeyyātha, koci mayhaṃ cittaṃ kopetvā kathetuṃ na sakkhissatī’’ti . ‘‘Bhadde, mayhaṃ sakalaraṭṭhavāsino na kiñci honti, nāhaṃ etesaṃ sāmiko. Ye pana rājāṇaṃ kopetvā akattabbaṃ karonti, tesaññevāhaṃ sāmiko. Iminā kāraṇena na sakkā tuyhaṃ sakalaraṭṭhe vā nagare vā issariyañca āṇañca dātu’’nti. ‘‘Tena hi, deva, sace raṭṭhe vā nagare vā āṇaṃ dātuṃ na sakkotha, antonivesane antovaḷañjanakānaṃ upari mama vasaṃ vattanatthāya āṇaṃ dethā’’ti. Rājā dibbaphoṭṭhabbena baddho tassā vacanaṃ atikkamituṃ asakkonto ‘‘sādhu, bhadde, antovaḷañjanakesu tuyhaṃ āṇaṃ dammi, tvaṃ ete attano vase vattāpehī’’ti āha. Sā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā rañño niddaṃ okkantakāle yakkhanagaraṃ gantvā yakkhe pakkositvā attanā rājānaṃ jīvitakkhayaṃ pāpetvā aṭṭhimattaṃ sesetvā sabbaṃ nhārucammamaṃsalohitaṃ khādi, avasesā yakkhā mahādvārato paṭṭhāya antonivesane kukkuṭakukkure ādiṃ katvā sabbe khāditvā aṭṭhimattasese akaṃsu.

    ปุนทิวเส ทฺวารํ ยถาปิหิตเมว ทิสฺวา มนุสฺสา ผรสูหิ กวาฎานิ โกเฎฺฎตฺวา อโนฺต ปวิสิตฺวา สพฺพํ นิเวสนํ อฎฺฐิกปริกิณฺณํ ทิสฺวา ‘‘สจฺจํ วต โส ปุริโส อาห ‘นายํ มยฺหํ ปชาปติ, ยกฺขินี เอสา’ติฯ ราชา ปน กิญฺจิ อชานิตฺวา ตํ คเหตฺวา อตฺตโน ภริยํ อกาสิ, สา ยเกฺข ปโกฺกสิตฺวา สพฺพํ ชนํ ขาทิตฺวา คตา ภวิสฺสตี’’ติ อาหํสุฯ โพธิสโตฺตปิ ตํ ทิวสํ ตสฺสาเยว สาลายํ ปริตฺตวาลุกํ สีเส กตฺวา ปริตฺตสุตฺตญฺจ ปริกฺขิปิตฺวา ขคฺคํ คเหตฺวา ฐิตโกว อรุณํ อุฎฺฐาเปสิฯ มนุสฺสา สกลราชนิเวสนํ โสเธตฺวา หริตูปลิตฺตํ กตฺวา อุปริ คเนฺธหิ วิลิมฺปิตฺวา ปุปฺผานิ วิกิริตฺวา ปุปฺผทามานิ โอสาเรตฺวา ธูมํ ทตฺวา นวมาลา พนฺธิตฺวา สมฺมนฺตยิํสุ ‘‘อโมฺภ, โย ปุริโส ทิพฺพรูปํ มาเปตฺวา ปจฺฉโต อาคจฺฉนฺติํ ยกฺขินิํ อินฺทฺริยานิ ภินฺทิตฺวา โอโลกนมตฺตมฺปิ น อกาสิ, โส อติวิย อุฬารสโตฺต ธิติมา ญาณสมฺปโนฺน, ตาทิเส ปุริเส รชฺชํ อนุสาสเนฺต สพฺพรฎฺฐํ สุขิตํ ภวิสฺสติ, ตํ ราชานํ กโรมา’’ติฯ อถ สเพฺพ อมจฺจา จ นาครา จ เอกจฺฉนฺทา หุตฺวา โพธิสตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘เทว, ตุเมฺห อิมํ รชฺชํ กาเรถา’’ติ นครํ ปเวเสตฺวา รตนราสิมฺหิ ฐเปตฺวา อภิสิญฺจิตฺวา ตกฺกสิลราชานํ อกํสุฯ โส จตฺตาริ อคติคมนานิ วเชฺชตฺวา ทส ราชธเมฺม อโกเปตฺวา ธเมฺมน รชฺชํ กาเรโนฺต ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา ยถากมฺมํ คโตฯ

    Punadivase dvāraṃ yathāpihitameva disvā manussā pharasūhi kavāṭāni koṭṭetvā anto pavisitvā sabbaṃ nivesanaṃ aṭṭhikaparikiṇṇaṃ disvā ‘‘saccaṃ vata so puriso āha ‘nāyaṃ mayhaṃ pajāpati, yakkhinī esā’ti. Rājā pana kiñci ajānitvā taṃ gahetvā attano bhariyaṃ akāsi, sā yakkhe pakkositvā sabbaṃ janaṃ khāditvā gatā bhavissatī’’ti āhaṃsu. Bodhisattopi taṃ divasaṃ tassāyeva sālāyaṃ parittavālukaṃ sīse katvā parittasuttañca parikkhipitvā khaggaṃ gahetvā ṭhitakova aruṇaṃ uṭṭhāpesi. Manussā sakalarājanivesanaṃ sodhetvā haritūpalittaṃ katvā upari gandhehi vilimpitvā pupphāni vikiritvā pupphadāmāni osāretvā dhūmaṃ datvā navamālā bandhitvā sammantayiṃsu ‘‘ambho, yo puriso dibbarūpaṃ māpetvā pacchato āgacchantiṃ yakkhiniṃ indriyāni bhinditvā olokanamattampi na akāsi, so ativiya uḷārasatto dhitimā ñāṇasampanno, tādise purise rajjaṃ anusāsante sabbaraṭṭhaṃ sukhitaṃ bhavissati, taṃ rājānaṃ karomā’’ti. Atha sabbe amaccā ca nāgarā ca ekacchandā hutvā bodhisattaṃ upasaṅkamitvā ‘‘deva, tumhe imaṃ rajjaṃ kārethā’’ti nagaraṃ pavesetvā ratanarāsimhi ṭhapetvā abhisiñcitvā takkasilarājānaṃ akaṃsu. So cattāri agatigamanāni vajjetvā dasa rājadhamme akopetvā dhammena rajjaṃ kārento dānādīni puññāni katvā yathākammaṃ gato.

    สตฺถา อิมํ อตีตํ อาหริตฺวา อภิสมฺพุโทฺธ หุตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Satthā imaṃ atītaṃ āharitvā abhisambuddho hutvā imaṃ gāthamāha –

    ๙๖.

    96.

    ‘‘สมติตฺติกํ อนวเสสกํ, เตลปตฺตํ ยถา ปริหเรยฺย;

    ‘‘Samatittikaṃ anavasesakaṃ, telapattaṃ yathā parihareyya;

    เอวํ สจิตฺตมนุรเกฺข, ปตฺถยาโน ทิสํ อคตปุพฺพ’’นฺติฯ

    Evaṃ sacittamanurakkhe, patthayāno disaṃ agatapubba’’nti.

    ตตฺถ สมติตฺติกนฺติ อโนฺตมุขวฎฺฎิเลขํ ปาเปตฺวา สมภริตํฯ อนวเสสกนฺติ อนวสิญฺจนกํ อปริสฺสาวนกํ กตฺวาฯ เตลปตฺตนฺติ ปกฺขิตฺตติลเตลปตฺตํฯ ปริหเรยฺยาติ หเรยฺย, อาทาย คเจฺฉยฺยฯ เอวํ สจิตฺตมนุรเกฺขติ ตํ เตลภริตํ ปตฺตํ วิย อตฺตโน จิตฺตํ กายคตาสติยา โคจเร เจว สมฺปยุตฺตสติยา จาติ อุภินฺนํ อนฺตเร ปกฺขิปิตฺวา ยถา มุหุตฺตมฺปิ พหิทฺธา โคจเร น วิกฺขิปติ, ตถา ปณฺฑิโต โยคาวจโร รเกฺขยฺย โคเปยฺยฯ กิํการณา? เอตสฺส หิ –

    Tattha samatittikanti antomukhavaṭṭilekhaṃ pāpetvā samabharitaṃ. Anavasesakanti anavasiñcanakaṃ aparissāvanakaṃ katvā. Telapattanti pakkhittatilatelapattaṃ. Parihareyyāti hareyya, ādāya gaccheyya. Evaṃ sacittamanurakkheti taṃ telabharitaṃ pattaṃ viya attano cittaṃ kāyagatāsatiyā gocare ceva sampayuttasatiyā cāti ubhinnaṃ antare pakkhipitvā yathā muhuttampi bahiddhā gocare na vikkhipati, tathā paṇḍito yogāvacaro rakkheyya gopeyya. Kiṃkāraṇā? Etassa hi –

    ‘‘ทุนฺนิคฺคหสฺส ลหุโน, ยตฺถกามนิปาติโน;

    ‘‘Dunniggahassa lahuno, yatthakāmanipātino;

    จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ, จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวห’’นฺติฯ (ธ. ป. ๓๕);

    Cittassa damatho sādhu, cittaṃ dantaṃ sukhāvaha’’nti. (dha. pa. 35);

    ตสฺมา –

    Tasmā –

    ‘‘สุทุทฺทสํ สุนิปุณํ, ยตฺถกามนิปาตินํ;

    ‘‘Sududdasaṃ sunipuṇaṃ, yatthakāmanipātinaṃ;

    จิตฺตํ รเกฺขถ เมธาวี, จิตฺตํ คุตฺตํ สุขาวหํ’’ฯ (ธ. ป. ๓๖);

    Cittaṃ rakkhetha medhāvī, cittaṃ guttaṃ sukhāvahaṃ’’. (dha. pa. 36);

    อิทญฺหิ –

    Idañhi –

    ‘‘ทูรงฺคมํ เอกจรํ, อสรีรํ คุหาสยํ;

    ‘‘Dūraṅgamaṃ ekacaraṃ, asarīraṃ guhāsayaṃ;

    เย จิตฺตํ สํยเมสฺสนฺติ, โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา’’ฯ (ธ. ป. ๓๗);

    Ye cittaṃ saṃyamessanti, mokkhanti mārabandhanā’’. (dha. pa. 37);

    อิตรสฺส ปน –

    Itarassa pana –

    ‘‘อนวฎฺฐิตจิตฺตสฺส, สทฺธมฺมํ อวิชานโต;

    ‘‘Anavaṭṭhitacittassa, saddhammaṃ avijānato;

    ปริปฺลวปสาทสฺส, ปญฺญา น ปริปูรติ’’ฯ (ธ. ป. ๓๘);

    Pariplavapasādassa, paññā na paripūrati’’. (dha. pa. 38);

    ถิรกมฺมฎฺฐานสหายสฺส ปน –

    Thirakammaṭṭhānasahāyassa pana –

    ‘‘อนวสฺสุตจิตฺตสฺส , อนนฺวาหตเจตโส;

    ‘‘Anavassutacittassa , ananvāhatacetaso;

    ปุญฺญปาปปหีนสฺส, นตฺถิ ชาครโต ภยํ’’ฯ (ธ. ป. ๓๙);

    Puññapāpapahīnassa, natthi jāgarato bhayaṃ’’. (dha. pa. 39);

    ตสฺมา เอตํ –

    Tasmā etaṃ –

    ‘‘ผนฺทนํ จปลํ จิตฺตํ, ทูรกฺขํ ทุนฺนิวารยํ;

    ‘‘Phandanaṃ capalaṃ cittaṃ, dūrakkhaṃ dunnivārayaṃ;

    อุชุํ กโรติ เมธาวี, อุสุกาโรว เตชนํ’’ฯ (ธ. ป. ๓๓);

    Ujuṃ karoti medhāvī, usukārova tejanaṃ’’. (dha. pa. 33);

    เอวํ อุชุํ กโรโนฺต สจิตฺตมนุรเกฺขฯ

    Evaṃ ujuṃ karonto sacittamanurakkhe.

    ปตฺถยาโน ทิสํ อคตปุพฺพนฺติ อิมสฺมิํ กายคตาสติกมฺมฎฺฐาเน กมฺมํ อารภิตฺวา อนมตเคฺค สํสาเร อคตปุพฺพํ ทิสํ ปเตฺถโนฺต ปิเหโนฺต วุตฺตนเยน สกํ จิตฺตํ รเกฺขยฺยาติ อโตฺถฯ กา ปเนสา ทิสา นาม? –

    Patthayānodisaṃ agatapubbanti imasmiṃ kāyagatāsatikammaṭṭhāne kammaṃ ārabhitvā anamatagge saṃsāre agatapubbaṃ disaṃ patthento pihento vuttanayena sakaṃ cittaṃ rakkheyyāti attho. Kā panesā disā nāma? –

    ‘‘มาตาปิตา ทิสา ปุพฺพา, อาจริยา ทกฺขิณา ทิสา;

    ‘‘Mātāpitā disā pubbā, ācariyā dakkhiṇā disā;

    ปุตฺตทารา ทิสา ปจฺฉา, มิตฺตามจฺจา จ อุตฺตราฯ

    Puttadārā disā pacchā, mittāmaccā ca uttarā.

    ‘‘ทาสกมฺมกรา เหฎฺฐา, อุทฺธํ สมณพฺราหฺมณา;

    ‘‘Dāsakammakarā heṭṭhā, uddhaṃ samaṇabrāhmaṇā;

    เอตา ทิสา นมเสฺสยฺย, อลมโตฺต กุเล คิหี’’ติฯ (ที. นิ. ๓.๒๗๓) –

    Etā disā namasseyya, alamatto kule gihī’’ti. (dī. ni. 3.273) –

    เอตฺถ ตาว ปุตฺตทาราทโย ‘‘ทิสา’’ติ วุตฺตาฯ

    Ettha tāva puttadārādayo ‘‘disā’’ti vuttā.

    ‘‘ทิสา จตโสฺส วิทิสา จตโสฺส, อุทฺธํ อโธ ทส ทิสา อิมาโย;

    ‘‘Disā catasso vidisā catasso, uddhaṃ adho dasa disā imāyo;

    กตมํ ทิสํ ติฎฺฐติ นาคราชา, ยมทฺทสา สุปิเน ฉพฺพิสาณ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๖.๑๐๔) –

    Katamaṃ disaṃ tiṭṭhati nāgarājā, yamaddasā supine chabbisāṇa’’nti. (jā. 1.16.104) –

    เอตฺถ ปุรตฺถิมาทิเภทา ทิสาว ‘‘ทิสา’’ติ วุตฺตาฯ

    Ettha puratthimādibhedā disāva ‘‘disā’’ti vuttā.

    ‘‘อคาริโน อนฺนทปานวตฺถทา, อวฺหายิกา ตมฺปิ ทิสํ วทนฺติ;

    ‘‘Agārino annadapānavatthadā, avhāyikā tampi disaṃ vadanti;

    เอสา ทิสา ปรมา เสตเกตุ, ยํ ปตฺวา ทุกฺขี สุขิโน ภวนฺตี’’ติฯ (ชา. ๑.๖.๙) –

    Esā disā paramā setaketu, yaṃ patvā dukkhī sukhino bhavantī’’ti. (jā. 1.6.9) –

    เอตฺถ ปน นิพฺพานํ ‘‘ทิสา’’ติ วุตฺตํฯ อิธาปิ ตเทว อธิเปฺปตํฯ ตญฺหิ ‘‘ขยํ วิราค’’นฺติอาทีหิ ทิสฺสติ อปทิสฺสติ, ตสฺมา ‘‘ทิสา’’ติ วุจฺจติฯ อนมตเคฺค ปน สํสาเร เกนจิ พาลปุถุชฺชเนน สุปิเนนปิ อคตปุพฺพตาย อคตปุพฺพา ทิสา นามาติ วุตฺตํฯ ตํ ปตฺถยเนฺตน กายคตาสติยา โยโค กรณีโยติฯ

    Ettha pana nibbānaṃ ‘‘disā’’ti vuttaṃ. Idhāpi tadeva adhippetaṃ. Tañhi ‘‘khayaṃ virāga’’ntiādīhi dissati apadissati, tasmā ‘‘disā’’ti vuccati. Anamatagge pana saṃsāre kenaci bālaputhujjanena supinenapi agatapubbatāya agatapubbā disā nāmāti vuttaṃ. Taṃ patthayantena kāyagatāsatiyā yogo karaṇīyoti.

    เอวํ สตฺถา นิพฺพาเนน เทสนาย กูฎํ คเหตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ราชปริสา พุทฺธปริสา อโหสิ, รชฺชปฺปตฺตกุมาโร ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Evaṃ satthā nibbānena desanāya kūṭaṃ gahetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā rājaparisā buddhaparisā ahosi, rajjappattakumāro pana ahameva ahosi’’nti.

    เตลปตฺตชาตกวณฺณนา ฉฎฺฐาฯ

    Telapattajātakavaṇṇanā chaṭṭhā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๙๖. เตลปตฺตชาตกํ • 96. Telapattajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact