Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / จริยาปิฎก-อฎฺฐกถา • Cariyāpiṭaka-aṭṭhakathā |
๖. เตมิยจริยาวณฺณนา
6. Temiyacariyāvaṇṇanā
๔๘. ฉเฎฺฐ กาสิราชสฺส อตฺรโชติ กาสิรโญฺญ อตฺรโช ปุโตฺต ยทา โหมิ, ตทา มูคปโกฺขติ นาเมน, เตมิโยติ วทนฺติ มนฺติ เตมิโยติ นาเมน มูคปกฺขวตาธิฎฺฐาเนน ‘‘มูคปโกฺข’’ติ มาตาปิตโร อาทิํ กตฺวา สเพฺพว มํ วทนฺตีติ สมฺพโนฺธฯ มหาสตฺตสฺส หิ ชาตทิวเส สกลกาสิรเฎฺฐ เทโว วสฺสิ, ยสฺมา จ โส รโญฺญ เจว อมจฺจาทีนญฺจ หทยํ อุฬาเรน ปีติสิเนเหน เตมยมาโน อุปฺปโนฺน, ตสฺมา ‘‘เตมิยกุมาโร’’ติ นามํ อโหสิฯ
48. Chaṭṭhe kāsirājassa atrajoti kāsirañño atrajo putto yadā homi, tadā mūgapakkhoti nāmena, temiyoti vadanti manti temiyoti nāmena mūgapakkhavatādhiṭṭhānena ‘‘mūgapakkho’’ti mātāpitaro ādiṃ katvā sabbeva maṃ vadantīti sambandho. Mahāsattassa hi jātadivase sakalakāsiraṭṭhe devo vassi, yasmā ca so rañño ceva amaccādīnañca hadayaṃ uḷārena pītisinehena temayamāno uppanno, tasmā ‘‘temiyakumāro’’ti nāmaṃ ahosi.
๔๙. โสฬสิตฺถิสหสฺสานนฺติ โสฬสนฺนํ กาสิรโญฺญ อิตฺถาคารสหสฺสานํฯ น วิชฺชติ ปุโมติ ปุโตฺต น ลพฺภติฯ น เกวลญฺจ ปุโตฺต เอว, ธีตาปิสฺส นตฺถิ เอวฯ อโหรตฺตานํ อจฺจเยน, นิพฺพโตฺต อหเมกโกติ อปุตฺตกเสฺสว ตสฺส รโญฺญ พหูนํ สํวจฺฉรานํ อตีตตฺตา อเนเกสํ อโหรตฺตานํ อปคมเนน สกฺกทตฺติโย อหเมกโกว โพธิปริเยสนํ จรมาโน, ตทา ตสฺส ปุโตฺต หุตฺวา อุปฺปโนฺนติ สตฺถา วทติฯ
49.Soḷasitthisahassānanti soḷasannaṃ kāsirañño itthāgārasahassānaṃ. Na vijjati pumoti putto na labbhati. Na kevalañca putto eva, dhītāpissa natthi eva. Ahorattānaṃ accayena, nibbatto ahamekakoti aputtakasseva tassa rañño bahūnaṃ saṃvaccharānaṃ atītattā anekesaṃ ahorattānaṃ apagamanena sakkadattiyo ahamekakova bodhipariyesanaṃ caramāno, tadā tassa putto hutvā uppannoti satthā vadati.
ตตฺรายํ อนุปุพฺพิกถา – อตีเต พาราณสิยํ กาสิราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺส โสฬสสหสฺสา อิตฺถิโย อเหสุํฯ ตาสุ เอกาปิ ปุตฺตํ วา ธีตรํ วา น ลภติฯ นาครา ‘‘อมฺหากํ รโญฺญ วํสานุรกฺขโก เอโกปิ ปุโตฺต นตฺถี’’ติ วิปฺปฎิสารี ชาตา สนฺนิปติตฺวา ราชานํ ‘‘ปุตฺตํ ปเตฺถหี’’ติ อาหํสุฯ ราชา โสฬสสหสฺสา อิตฺถิโย ‘‘ปุตฺตํ ปเตฺถถา’’ติ อาณาเปสิฯ ตา จนฺทาทีนํ อุปฎฺฐานาทีนิ กตฺวา ปเตฺถนฺติโยปิ น ลภิํสุฯ อคฺคมเหสี ปนสฺส มทฺทราชธีตา จนฺทาเทวี นาม สีลสมฺปนฺนา อโหสิฯ ราชา ‘‘ตฺวมฺปิ ปุตฺตํ ปเตฺถหี’’ติ อาหฯ สา ปุณฺณมทิวเส อุโปสถิกา หุตฺวา อตฺตโน สีลํ อาวเชฺชตฺวา ‘‘สจาหํ อขณฺฑสีลา, อิมินา เม สเจฺจน ปุโตฺต อุปฺปชฺชตู’’ติ สจฺจกิริยมกาสิฯ ตสฺสา สีลเตเชน สกฺกสฺส อาสนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ สโกฺก อาวเชฺชโนฺต ตํ การณํ ญตฺวา ‘‘จนฺทาเทวิยา ปุตฺตปฎิลาภสฺส อุปายํ กริสฺสามี’’ติ ตสฺสา อนุจฺฉวิกํ ปุตฺตํ อุปธาเรโนฺต โพธิสตฺตํ ตาวติํสภวเน นิพฺพตฺติตฺวา ตตฺถ ยาวตายุกํ ฐตฺวา ตโต จวิตฺวา อุปริเทวโลเก อุปฺปชฺชิตุกามํ ทิสฺวา ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘สมฺม, ตยิ มนุสฺสโลเก อุปฺปเนฺน ปารมิโย จ เต ปูเรสฺสนฺติ, มหาชนสฺส จ วุฑฺฒิ ภวิสฺสติ, อยํ กาสิรโญฺญ จนฺทา นาม อคฺคมเหสี ปุตฺตํ ปเตฺถติ, ตสฺสา กุจฺฉิยํ อุปฺปชฺชาหี’’ติ อาหฯ
Tatrāyaṃ anupubbikathā – atīte bārāṇasiyaṃ kāsirājā rajjaṃ kāresi. Tassa soḷasasahassā itthiyo ahesuṃ. Tāsu ekāpi puttaṃ vā dhītaraṃ vā na labhati. Nāgarā ‘‘amhākaṃ rañño vaṃsānurakkhako ekopi putto natthī’’ti vippaṭisārī jātā sannipatitvā rājānaṃ ‘‘puttaṃ patthehī’’ti āhaṃsu. Rājā soḷasasahassā itthiyo ‘‘puttaṃ patthethā’’ti āṇāpesi. Tā candādīnaṃ upaṭṭhānādīni katvā patthentiyopi na labhiṃsu. Aggamahesī panassa maddarājadhītā candādevī nāma sīlasampannā ahosi. Rājā ‘‘tvampi puttaṃ patthehī’’ti āha. Sā puṇṇamadivase uposathikā hutvā attano sīlaṃ āvajjetvā ‘‘sacāhaṃ akhaṇḍasīlā, iminā me saccena putto uppajjatū’’ti saccakiriyamakāsi. Tassā sīlatejena sakkassa āsanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. Sakko āvajjento taṃ kāraṇaṃ ñatvā ‘‘candādeviyā puttapaṭilābhassa upāyaṃ karissāmī’’ti tassā anucchavikaṃ puttaṃ upadhārento bodhisattaṃ tāvatiṃsabhavane nibbattitvā tattha yāvatāyukaṃ ṭhatvā tato cavitvā uparidevaloke uppajjitukāmaṃ disvā tassa santikaṃ gantvā ‘‘samma, tayi manussaloke uppanne pāramiyo ca te pūressanti, mahājanassa ca vuḍḍhi bhavissati, ayaṃ kāsirañño candā nāma aggamahesī puttaṃ pattheti, tassā kucchiyaṃ uppajjāhī’’ti āha.
โส ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ตสฺสา กุจฺฉิยํ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตสฺส สหายา ปญฺจสตา เทวปุตฺตา ขีณายุกา เทวโลกา จวิตฺวา ตเสฺสว รโญฺญ อมจฺจภริยานํ กุจฺฉีสุ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิํสุฯ เทวี คพฺภสฺส ปติฎฺฐิตภาวํ ญตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา คพฺภปริหารํ ทาเปสิฯ สา ปริปุณฺณคพฺภา ธญฺญปุญฺญลกฺขณสมฺปนฺนํ ปุตฺตํ วิชายิฯ ตํทิวสเมว อมจฺจเคเหสุ ปญฺจกุมารสตานิ วิชายิํสุฯ อุภยมฺปิ สุตฺวา ราชา ‘‘มม ปุตฺตสฺส ปริวารา เอเต’’ติ ปญฺจนฺนํ ทารกสตานํ ปญฺจธาติสตานิ เปเสตฺวา กุมารปสาธนานิ จ เปเสสิฯ มหาสตฺตสฺส ปน อติทีฆาทิโทสวิวชฺชิตา อลมฺพตฺถนา มธุรถญฺญา จตุสฎฺฐิธาติโย ทตฺวา มหนฺตํ สกฺการํ กตฺวา จนฺทาเทวิยาปิ วรํ อทาสิฯ สา คหิตกํ กตฺวา ฐเปสิฯ ทารโก มหตา ปริวาเรน วฑฺฒติฯ อถ นํ เอกมาสิกํ อลงฺกริตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ อานยิํสุฯ ราชา ปิยปุตฺตํ โอโลเกตฺวา อาลิงฺคิตฺวา อเงฺก นิสีทาเปตฺวา รมยมาโน นิสีทิฯ
So ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā tassā kucchiyaṃ paṭisandhiṃ gaṇhi. Tassa sahāyā pañcasatā devaputtā khīṇāyukā devalokā cavitvā tasseva rañño amaccabhariyānaṃ kucchīsu paṭisandhiṃ gaṇhiṃsu. Devī gabbhassa patiṭṭhitabhāvaṃ ñatvā rañño ārocesi. Rājā gabbhaparihāraṃ dāpesi. Sā paripuṇṇagabbhā dhaññapuññalakkhaṇasampannaṃ puttaṃ vijāyi. Taṃdivasameva amaccagehesu pañcakumārasatāni vijāyiṃsu. Ubhayampi sutvā rājā ‘‘mama puttassa parivārā ete’’ti pañcannaṃ dārakasatānaṃ pañcadhātisatāni pesetvā kumārapasādhanāni ca pesesi. Mahāsattassa pana atidīghādidosavivajjitā alambatthanā madhurathaññā catusaṭṭhidhātiyo datvā mahantaṃ sakkāraṃ katvā candādeviyāpi varaṃ adāsi. Sā gahitakaṃ katvā ṭhapesi. Dārako mahatā parivārena vaḍḍhati. Atha naṃ ekamāsikaṃ alaṅkaritvā rañño santikaṃ ānayiṃsu. Rājā piyaputtaṃ oloketvā āliṅgitvā aṅke nisīdāpetvā ramayamāno nisīdi.
๕๐. ตสฺมิํ ขเณ จตฺตาโร โจรา อานีตาฯ ราชา เตสุ เอกสฺส สกณฺฎกาหิ กสาหิ ปหารสหสฺสํ อาณาเปสิ, เอกสฺส สงฺขลิกาย พนฺธิตฺวา พนฺธนาคารปฺปเวสนํ, เอกสฺส สรีเร สตฺติปฺปหารทานํ, เอกสฺส สูลาโรปนํฯ มหาสโตฺต ปิตุ กถํ สุตฺวา สํเวคปฺปโตฺต หุตฺวา ‘‘อโห มม ปิตา รชฺชํ นิสฺสาย ภาริยํ นิรยคามิกมฺมํ กโรตี’’ติ จิเนฺตสิฯ ปุนทิวเส นํ เสตจฺฉตฺตสฺส เหฎฺฐา อลงฺกตสิริสยเน นิปชฺชาเปสุํฯ
50. Tasmiṃ khaṇe cattāro corā ānītā. Rājā tesu ekassa sakaṇṭakāhi kasāhi pahārasahassaṃ āṇāpesi, ekassa saṅkhalikāya bandhitvā bandhanāgārappavesanaṃ, ekassa sarīre sattippahāradānaṃ, ekassa sūlāropanaṃ. Mahāsatto pitu kathaṃ sutvā saṃvegappatto hutvā ‘‘aho mama pitā rajjaṃ nissāya bhāriyaṃ nirayagāmikammaṃ karotī’’ti cintesi. Punadivase naṃ setacchattassa heṭṭhā alaṅkatasirisayane nipajjāpesuṃ.
โส โถกํ นิทฺทายิตฺวา ปฎิพุโทฺธ อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา เสตจฺฉตฺตํ โอโลเกโนฺต มหนฺตํ สิริวิภวํ ปสฺสิฯ อถสฺส ปกติยาปิ สํเวคปฺปตฺตสฺส อติเรกตรํ ภยํ อุปฺปชฺชิฯ โส ‘‘กุโต นุ โข อหํ อิมํ ราชเคหํ อาคโต’’ติ อุปธาเรโนฺต ชาติสฺสรญาเณน เทวโลกโต อาคตภาวํ ญตฺวา ตโต ปรํ โอโลเกโนฺต อุสฺสทนิรเย ปกฺกภาวํ ปสฺสิฯ ตโต ปรํ โอโลเกโนฺต ตสฺมิํเยว นคเร ราชภาวํ ปสฺสิฯ อถ โส ‘‘อหํ วีสติวสฺสานิ รชฺชํ กาเรตฺวา อสีติวสฺสสหสฺสานิ อุสฺสทนิรเย ปจฺจิํ, อิทานิ ปุนปิ อิมสฺมิํ โจรเคเห นิพฺพโตฺตสฺมิ, ปิตาปิ เม หิโยฺย จตูสุ โจเรสุ อานีเตสุ ตถารูปํ ผรุสํ นิรยสํวตฺตนิกํ กถํ กเถสิฯ น เม อิมินา อวิทิตวิปุลานตฺถาวเหน รเชฺชน อโตฺถ, กถํ นุ โข อิมมฺหา โจรเคหา มุเจฺจยฺย’’นฺติ จิเนฺตโนฺต นิปชฺชิฯ อถ นํ เอกา เทวธีตา ‘‘ตาต เตมิยกุมาร, มา ภายิ, ตีณิ องฺคานิ อธิฎฺฐหิตฺวา ตว โสตฺถิ ภวิสฺสตี’’ติ สมสฺสาเสสิฯ ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต รชฺชสงฺขาตา อนตฺถโต มุจฺจิตุกาโม โสฬสสํวจฺฉรานิ ตีณิ องฺคานิ อจลาธิฎฺฐานวเสน อธิฎฺฐหิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘กิจฺฉาลทฺธํ ปิยํ ปุตฺต’’นฺติอาทิฯ
So thokaṃ niddāyitvā paṭibuddho akkhīni ummīletvā setacchattaṃ olokento mahantaṃ sirivibhavaṃ passi. Athassa pakatiyāpi saṃvegappattassa atirekataraṃ bhayaṃ uppajji. So ‘‘kuto nu kho ahaṃ imaṃ rājagehaṃ āgato’’ti upadhārento jātissarañāṇena devalokato āgatabhāvaṃ ñatvā tato paraṃ olokento ussadaniraye pakkabhāvaṃ passi. Tato paraṃ olokento tasmiṃyeva nagare rājabhāvaṃ passi. Atha so ‘‘ahaṃ vīsativassāni rajjaṃ kāretvā asītivassasahassāni ussadaniraye pacciṃ, idāni punapi imasmiṃ coragehe nibbattosmi, pitāpi me hiyyo catūsu coresu ānītesu tathārūpaṃ pharusaṃ nirayasaṃvattanikaṃ kathaṃ kathesi. Na me iminā aviditavipulānatthāvahena rajjena attho, kathaṃ nu kho imamhā coragehā mucceyya’’nti cintento nipajji. Atha naṃ ekā devadhītā ‘‘tāta temiyakumāra, mā bhāyi, tīṇi aṅgāni adhiṭṭhahitvā tava sotthi bhavissatī’’ti samassāsesi. Taṃ sutvā mahāsatto rajjasaṅkhātā anatthato muccitukāmo soḷasasaṃvaccharāni tīṇi aṅgāni acalādhiṭṭhānavasena adhiṭṭhahi. Tena vuttaṃ ‘‘kicchāladdhaṃ piyaṃ putta’’ntiādi.
ตตฺถ กิจฺฉาลทฺธนฺติ กิเจฺฉน กสิเรน จิรกาลปตฺถนาย ลทฺธํฯ อภิชาตนฺติ ชาติสมฺปนฺนํฯ กายชุติยา เจว ญาณชุติยา จ สมนฺนาคตตฺตา ชุตินฺธรํฯ เสตจฺฉตฺตํ ธารยิตฺวาน, สยเน โปเสติ มํ ปิตาติ ปิตา เม กาสิราชา ‘‘มา นํ กุมารํ รโช วา อุสฺสาโว วา’’ติ ชาตกาลโต ปฎฺฐาย เสตจฺฉตฺตสฺส เหฎฺฐา สิริสยเน สยาเปตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน มํ โปเสติฯ
Tattha kicchāladdhanti kicchena kasirena cirakālapatthanāya laddhaṃ. Abhijātanti jātisampannaṃ. Kāyajutiyā ceva ñāṇajutiyā ca samannāgatattā jutindharaṃ. Setacchattaṃ dhārayitvāna, sayane poseti maṃ pitāti pitā me kāsirājā ‘‘mā naṃ kumāraṃ rajo vā ussāvo vā’’ti jātakālato paṭṭhāya setacchattassa heṭṭhā sirisayane sayāpetvā mahantena parivārena maṃ poseti.
๕๑. นิทฺทายมาโน สยนวเร ปพุชฺฌิตฺวา อหํ โอโลเกโนฺต ปณฺฑรํ เสตจฺฉตฺตํ อทฺทสํฯ เยนาหํ นิรยํ คโตติ เยน เสตจฺฉเตฺตน ตโต ตติเย อตฺตภาเว อหํ นิรยํ คโต, เสตจฺฉตฺตสีเสน รชฺชํ วทติฯ
51.Niddāyamāno sayanavare pabujjhitvā ahaṃ olokento paṇḍaraṃ setacchattaṃ addasaṃ. Yenāhaṃ nirayaṃ gatoti yena setacchattena tato tatiye attabhāve ahaṃ nirayaṃ gato, setacchattasīsena rajjaṃ vadati.
๕๒. สห ทิฎฺฐสฺส เม ฉตฺตนฺติ ตํ เสตจฺฉตฺตํ ทิฎฺฐสฺส ทิฎฺฐวโต เม สห เตน ทสฺสเนน, ทสฺสนสมกาลเมวาติ อโตฺถฯ ตาโส อุปฺปชฺชิ เภรโวติ สุปริวิทิตาทีนวตฺตา ภยานโก จิตฺตุตฺราโส อุทปาทิฯ วินิจฺฉยํ สมาปโนฺน, กถาหํ อิมํ มุญฺจิสฺสนฺติ กถํ นุ โข อหํ อิมํ รชฺชํ กาฬกณฺณิํ มุเญฺจยฺยนฺติ เอวํ วิจารณํ อาปชฺชิํฯ
52.Saha diṭṭhassa me chattanti taṃ setacchattaṃ diṭṭhassa diṭṭhavato me saha tena dassanena, dassanasamakālamevāti attho. Tāso uppajji bheravoti suparividitādīnavattā bhayānako cittutrāso udapādi. Vinicchayaṃ samāpanno, kathāhaṃ imaṃ muñcissanti kathaṃ nu kho ahaṃ imaṃ rajjaṃ kāḷakaṇṇiṃ muñceyyanti evaṃ vicāraṇaṃ āpajjiṃ.
๕๓. ปุพฺพสาโลหิตา มยฺหนฺติ ปุเพฺพ เอกสฺมิํ อตฺตภาเว มม มาตุภูตปุพฺพา ตสฺมิํ ฉเตฺต อธิวตฺถา เทวตา มยฺหํ อตฺถกามินี หิเตสินีฯ สา มํ ทิสฺวาน ทุกฺขิตํ, ตีสุ ฐาเนสุ โยชยีติ สา เทวตา มํ ตถา เจโตทุเกฺขน ทุกฺขิตํ ทิสฺวา มูคปกฺขพธิรภาวสงฺขาเตสุ ตีสุ รชฺชทุกฺขโต นิกฺขมนการเณสุ โยเชสิฯ
53.Pubbasālohitā mayhanti pubbe ekasmiṃ attabhāve mama mātubhūtapubbā tasmiṃ chatte adhivatthā devatā mayhaṃ atthakāminī hitesinī. Sā maṃ disvāna dukkhitaṃ, tīsu ṭhānesu yojayīti sā devatā maṃ tathā cetodukkhena dukkhitaṃ disvā mūgapakkhabadhirabhāvasaṅkhātesu tīsu rajjadukkhato nikkhamanakāraṇesu yojesi.
๕๔. ปณฺฑิจฺจยนฺติ ปณฺฑิจฺจํ, อยเมว วา ปาโฐฯ มา วิภาวยาติ มา ปกาเสหิฯ พาลมโตติ พาโลติ ญาโตฯ สโพฺพติ สกโล อโนฺตชโน เจว พหิชโน จฯ โอจินายตูติ นีหรเถตํ กาฬกณฺณินฺติ อวชานาตุฯ เอวํ ตว อโตฺถ ภวิสฺสตีติ เอวํ ยถาวุตฺตนเยน อวชานิตพฺพภาเว สติ ตุยฺหํ เคหโต นิกฺขมเนน หิตํ ปารมิปริปูรณํ ภวิสฺสติฯ
54.Paṇḍiccayanti paṇḍiccaṃ, ayameva vā pāṭho. Mā vibhāvayāti mā pakāsehi. Bālamatoti bāloti ñāto. Sabboti sakalo antojano ceva bahijano ca. Ocināyatūti nīharathetaṃ kāḷakaṇṇinti avajānātu. Evaṃ tava attho bhavissatīti evaṃ yathāvuttanayena avajānitabbabhāve sati tuyhaṃ gehato nikkhamanena hitaṃ pāramiparipūraṇaṃ bhavissati.
๕๕. เตตํ วจนนฺติ เต เอตํ ตีณิ องฺคานิ อธิฎฺฐาหีติ วจนํฯ อตฺถกามาสิ เม อมฺมาติ อมฺม เทวเต, มม อตฺถกามา อสิฯ หิตกามาติ ตเสฺสว ปริยายวจนํฯ อโตฺถติ วา เอตฺถ สุขํ เวทิตพฺพํฯ หิตนฺติ ตสฺส การณภูตํ ปุญฺญํฯ
55.Tetaṃvacananti te etaṃ tīṇi aṅgāni adhiṭṭhāhīti vacanaṃ. Atthakāmāsi me ammāti amma devate, mama atthakāmā asi. Hitakāmāti tasseva pariyāyavacanaṃ. Atthoti vā ettha sukhaṃ veditabbaṃ. Hitanti tassa kāraṇabhūtaṃ puññaṃ.
๕๖. สาคเรว ถลํ ลภินฺติ โจรเคเห วตาหํ ชาโต, อหุ เม มหาวตานโตฺถติ โสกสาคเร โอสีทโนฺต ตสฺสา เทวตาย อหํ วจนํ สุตฺวา สาคเร โอสีทโนฺต วิย ถลํ ปติฎฺฐํ อลภิํ, รชฺชกุลโต นิกฺขมโนปายํ อลภินฺติ อโตฺถฯ ตโย อเงฺค อธิฎฺฐหินฺติ ยาว เคหโต นิกฺขมิํ, ตาว ตีณิ องฺคานิ การณานิ อธิฎฺฐหิํฯ
56.Sāgareva thalaṃ labhinti coragehe vatāhaṃ jāto, ahu me mahāvatānatthoti sokasāgare osīdanto tassā devatāya ahaṃ vacanaṃ sutvā sāgare osīdanto viya thalaṃ patiṭṭhaṃ alabhiṃ, rajjakulato nikkhamanopāyaṃ alabhinti attho. Tayo aṅge adhiṭṭhahinti yāva gehato nikkhamiṃ, tāva tīṇi aṅgāni kāraṇāni adhiṭṭhahiṃ.
๕๗. อิทานิ ตานิ สรูปโต ทเสฺสตุํ ‘‘มูโค อโหสิ’’นฺติ คาถมาหฯ ตตฺถ ปโกฺขติ ปีฐสปฺปิฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
57. Idāni tāni sarūpato dassetuṃ ‘‘mūgo ahosi’’nti gāthamāha. Tattha pakkhoti pīṭhasappi. Sesaṃ suviññeyyameva.
เอวํ ปน มหาสเตฺต เทวตาย ทินฺนนเย ฐตฺวา ชาตวสฺสโต ปฎฺฐาย มูคาทิภาเวน อตฺตานํ ทเสฺสเนฺต มาตาปิตโร ธาติอาทโย จ ‘‘มูคานํ หนุปริโยสานํ นาม เอวรูปํ น โหติ, พธิรานํ กณฺณโสตํ นาม เอวรูปํ น โหติ, ปีฐสปฺปีนํ หตฺถปาทา นาม เอวรูปา น โหนฺติ, ภวิตพฺพเมตฺถ การเณน, วีมํสิสฺสาม น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ขีเรน ตาว วีมํสิสฺสามา’’ติ สกลทิวสํ ขีรํ น เทนฺติฯ โส สุสฺสโนฺตปิ ขีรตฺถาย สทฺทํ น กโรติฯ
Evaṃ pana mahāsatte devatāya dinnanaye ṭhatvā jātavassato paṭṭhāya mūgādibhāvena attānaṃ dassente mātāpitaro dhātiādayo ca ‘‘mūgānaṃ hanupariyosānaṃ nāma evarūpaṃ na hoti, badhirānaṃ kaṇṇasotaṃ nāma evarūpaṃ na hoti, pīṭhasappīnaṃ hatthapādā nāma evarūpā na honti, bhavitabbamettha kāraṇena, vīmaṃsissāma na’’nti cintetvā ‘‘khīrena tāva vīmaṃsissāmā’’ti sakaladivasaṃ khīraṃ na denti. So sussantopi khīratthāya saddaṃ na karoti.
อถสฺส มาตา ‘‘ปุโตฺต เม ฉาโต, ขีรมสฺส เทถา’’ติ ขีรํ ทาเปสิฯ เอวํ อนฺตรนฺตรา ขีรํ อทตฺวา เอกสํวจฺฉรํ วีมํสนฺตาปิ อนฺตรํ น ปสฺสิํสุฯ ตโต ‘‘กุมารกา นาม ปูวขชฺชกํ ปิยายนฺติ, ผลาผลํ ปิยายนฺติ, กีฬนภณฺฑกํ ปิยายนฺติ, โภชนํ ปิยายนฺตี’’ติ ตานิ ตานิ ปโลภนียานิ อุปเนตฺวา วีมํสนวเสน ปโลเภนฺตา ยาว ปญฺจวสฺสกาลา อนฺตรํ น ปสฺสิํสุฯ อถ นํ ‘‘ทารกา นาม อคฺคิโต ภายนฺติ, มตฺตหตฺถิโต ภายนฺติ, สปฺปโต ภายนฺติ, อุกฺขิตฺตาสิกปุริสโต ภายนฺติ, เตหิ วีมํสิสฺสามา’’ติ ยถา เตหิสฺส อนโตฺถ น ชายติ, ตถา ปุริมเมว สํวิทหิตฺวา อติภยานกากาเรน อุปคจฺฉเนฺต กาเรสุํฯ
Athassa mātā ‘‘putto me chāto, khīramassa dethā’’ti khīraṃ dāpesi. Evaṃ antarantarā khīraṃ adatvā ekasaṃvaccharaṃ vīmaṃsantāpi antaraṃ na passiṃsu. Tato ‘‘kumārakā nāma pūvakhajjakaṃ piyāyanti, phalāphalaṃ piyāyanti, kīḷanabhaṇḍakaṃ piyāyanti, bhojanaṃ piyāyantī’’ti tāni tāni palobhanīyāni upanetvā vīmaṃsanavasena palobhentā yāva pañcavassakālā antaraṃ na passiṃsu. Atha naṃ ‘‘dārakā nāma aggito bhāyanti, mattahatthito bhāyanti, sappato bhāyanti, ukkhittāsikapurisato bhāyanti, tehi vīmaṃsissāmā’’ti yathā tehissa anattho na jāyati, tathā purimameva saṃvidahitvā atibhayānakākārena upagacchante kāresuṃ.
มหาสโตฺต นิรยภยํ อาวเชฺชตฺวา ‘‘อิโต สตคุเณน สหสฺสคุเณน สตสหสฺสคุเณน นิรโย ภายิตโพฺพ’’ติ นิจฺจโลว โหติฯ เอวมฺปิ วีมํสิตฺวา อนฺตรํ น ปสฺสนฺตา ปุน ‘‘ทารกา นาม สมชฺชตฺถิกา โหนฺตี’’ติ สมชฺชํ กาเรตฺวาปิ มหาสตฺตํ สาณิยา ปริกฺขิปิตฺวา อชานนฺตเสฺสว จตูสุ ปเสฺสสุ สงฺขสเทฺทหิ เภริสเทฺทหิ จ สหสา เอกนินฺนาทํ กาเรตฺวาปิ อนฺธกาเร ฆเฎหิ ทีปํ อุปเนตฺวา สหสา อาโลกํ ทเสฺสตฺวาปิ สกลสรีรํ ผาณิเตน มเกฺขตฺวา พหุมกฺขิเก ฐาเน นิปชฺชาเปตฺวาปิ นฺหาปนาทีนิ อกตฺวา อุจฺจารปสฺสาวมตฺถเก นิปนฺนํ อชฺฌุเปกฺขิตฺวาปิ ตตฺถ จ ปลิปนฺนํ สยมานํ ปริหาเสหิ อโกฺกสเนหิ จ ฆเฎฺฎตฺวาปิ เหฎฺฐามเญฺจ อคฺคิกปลฺลํ กตฺวา อุณฺหสนฺตาเปน ปีเฬตฺวาปีติ เอวํ นานาวิเธหิ อุปาเยหิ วีมํสนฺตาปิสฺส อนฺตรํ น ปสฺสิํสุฯ
Mahāsatto nirayabhayaṃ āvajjetvā ‘‘ito sataguṇena sahassaguṇena satasahassaguṇena nirayo bhāyitabbo’’ti niccalova hoti. Evampi vīmaṃsitvā antaraṃ na passantā puna ‘‘dārakā nāma samajjatthikā hontī’’ti samajjaṃ kāretvāpi mahāsattaṃ sāṇiyā parikkhipitvā ajānantasseva catūsu passesu saṅkhasaddehi bherisaddehi ca sahasā ekaninnādaṃ kāretvāpi andhakāre ghaṭehi dīpaṃ upanetvā sahasā ālokaṃ dassetvāpi sakalasarīraṃ phāṇitena makkhetvā bahumakkhike ṭhāne nipajjāpetvāpi nhāpanādīni akatvā uccārapassāvamatthake nipannaṃ ajjhupekkhitvāpi tattha ca palipannaṃ sayamānaṃ parihāsehi akkosanehi ca ghaṭṭetvāpi heṭṭhāmañce aggikapallaṃ katvā uṇhasantāpena pīḷetvāpīti evaṃ nānāvidhehi upāyehi vīmaṃsantāpissa antaraṃ na passiṃsu.
มหาสโตฺต หิ สพฺพตฺถ นิรยภยเมว อาวเชฺชตฺวา อธิฎฺฐานํ อวิโกเปโนฺต นิจฺจโลว อโหสิฯ เอวํ ปนฺนรสวสฺสานิ วีมํสิตฺวา อถ โสฬสวสฺสกาเล ‘‘ปีฐสปฺปิโน วา โหนฺตุ มูคพธิรา วา รชนีเยสุ อรชฺชนฺตา ทุสฺสนีเยสุ อทุสฺสนฺตา นาม นตฺถีติ นาฎกานิสฺส ปจฺจุปฎฺฐเปตฺวา วีมํสิสฺสามา’’ติ กุมารํ คโนฺธทเกน นฺหาเปตฺวา เทวปุตฺตํ วิย อลงฺกริตฺวา เทววิมานกปฺปํ ปุปฺผคนฺธทามาทีหิ เอกาโมทปโมทํ ปาสาทํ อาโรเปตฺวา อุตฺตมรูปธรา ภาววิลาสสมฺปนฺนา เทวจฺฉราปฎิภาคา อิตฺถิโย อุปฎฺฐเปสุํ – ‘‘คจฺฉถ นจฺจาทีหิ กุมารํ อภิรมาเปถา’’ติฯ ตา อุปคนฺตฺวา ตถา กาตุํ วายมิํสุฯ โส พุทฺธิสมฺปนฺนตาย ‘‘อิมา เม สรีรสมฺผสฺสํ มา วินฺทิํสู’’ติ อสฺสาสปสฺสาเส นิรุนฺธิฯ ตา ตสฺส สรีรสมฺผสฺสํ อวินฺทนฺติโย ‘‘ถทฺธสรีโร เอส, นายํ มนุโสฺส, ยโกฺข ภวิสฺสตี’’ติ ปกฺกมิํสุฯ
Mahāsatto hi sabbattha nirayabhayameva āvajjetvā adhiṭṭhānaṃ avikopento niccalova ahosi. Evaṃ pannarasavassāni vīmaṃsitvā atha soḷasavassakāle ‘‘pīṭhasappino vā hontu mūgabadhirā vā rajanīyesu arajjantā dussanīyesu adussantā nāma natthīti nāṭakānissa paccupaṭṭhapetvā vīmaṃsissāmā’’ti kumāraṃ gandhodakena nhāpetvā devaputtaṃ viya alaṅkaritvā devavimānakappaṃ pupphagandhadāmādīhi ekāmodapamodaṃ pāsādaṃ āropetvā uttamarūpadharā bhāvavilāsasampannā devaccharāpaṭibhāgā itthiyo upaṭṭhapesuṃ – ‘‘gacchatha naccādīhi kumāraṃ abhiramāpethā’’ti. Tā upagantvā tathā kātuṃ vāyamiṃsu. So buddhisampannatāya ‘‘imā me sarīrasamphassaṃ mā vindiṃsū’’ti assāsapassāse nirundhi. Tā tassa sarīrasamphassaṃ avindantiyo ‘‘thaddhasarīro esa, nāyaṃ manusso, yakkho bhavissatī’’ti pakkamiṃsu.
เอวํ โสฬส วสฺสานิ โสฬสหิ มหาวีมํสาหิ อเนกาหิ จ ขุทฺทกวีมํสาหิ ปริคฺคณฺหิตุํ อสกฺกุณิตฺวา มาตาปิตโร ‘‘ตาต, เตมิยกุมาร, มยํ ตว อมูคาทิภาวํ ชานาม, น หิ เตสํ เอวรูปานิ มุขกณฺณโสตปาทานิ โหนฺติ, ตฺวํ อเมฺหหิ ปเตฺถตฺวา ลทฺธปุตฺตโก, มา โน นาเสหิ, สกลชมฺพุทีเป ราชูนํ สนฺติกา ครหโต โมเจหี’’ติ สห วิสุํ วิสุญฺจ อเนกวารํ ยาจิํสุฯ โส เตหิ เอวํ ยาจิยมาโนปิ อสุณโนฺต วิย หุตฺวา นิปชฺชิฯ
Evaṃ soḷasa vassāni soḷasahi mahāvīmaṃsāhi anekāhi ca khuddakavīmaṃsāhi pariggaṇhituṃ asakkuṇitvā mātāpitaro ‘‘tāta, temiyakumāra, mayaṃ tava amūgādibhāvaṃ jānāma, na hi tesaṃ evarūpāni mukhakaṇṇasotapādāni honti, tvaṃ amhehi patthetvā laddhaputtako, mā no nāsehi, sakalajambudīpe rājūnaṃ santikā garahato mocehī’’ti saha visuṃ visuñca anekavāraṃ yāciṃsu. So tehi evaṃ yāciyamānopi asuṇanto viya hutvā nipajji.
๕๘. อถ ราชา มหาสตฺตสฺส อุโภ ปาเท กณฺณโสเต ชิวฺหํ อุโภ จ หเตฺถ กุสเลหิ ปุริเสหิ วีมํสาเปตฺวา ‘‘ยทิปิ อปีฐสปฺปิอาทีนํ วิยสฺส ปาทาทโย, ตถาปิ อยํ ปีฐสปฺปิ มูคพธิโร มเญฺญ, อีทิเส กาฬกณฺณิปุริเส อิมสฺมิํ เคเห วสเนฺต ตโย อนฺตรายา ปญฺญายนฺติ ชีวิตสฺส วา ฉตฺตสฺส วา มเหสิยา วา’’ติ ลกฺขณปาฐเกหิ อิทานิ กถิตํฯ ชาตทิวเส ปน ‘‘ตุมฺหากํ โทมนสฺสปริหรณตฺถํ ‘ธญฺญปุญฺญลกฺขโณ’ติ วุตฺต’’นฺติ อมเจฺจหิ อาโรจิตํ สุตฺวา อนฺตรายภเยน ภีโต ‘‘คจฺฉถ นํ อวมงฺคลรเถ นิปชฺชาเปตฺวา ปจฺฉิมทฺวาเรน นีหราเปตฺวา อามกสุสาเน นิขณถา’’ติ อาณาเปสิฯ ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต หโฎฺฐ อุทโคฺค อโหสิ – ‘‘จิรสฺสํ วต เม มโนรโถ มตฺถกํ ปาปุณิสฺสตี’’ติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ตโต เม หตฺถปาเท จา’’ติอาทิฯ
58. Atha rājā mahāsattassa ubho pāde kaṇṇasote jivhaṃ ubho ca hatthe kusalehi purisehi vīmaṃsāpetvā ‘‘yadipi apīṭhasappiādīnaṃ viyassa pādādayo, tathāpi ayaṃ pīṭhasappi mūgabadhiro maññe, īdise kāḷakaṇṇipurise imasmiṃ gehe vasante tayo antarāyā paññāyanti jīvitassa vā chattassa vā mahesiyā vā’’ti lakkhaṇapāṭhakehi idāni kathitaṃ. Jātadivase pana ‘‘tumhākaṃ domanassapariharaṇatthaṃ ‘dhaññapuññalakkhaṇo’ti vutta’’nti amaccehi ārocitaṃ sutvā antarāyabhayena bhīto ‘‘gacchatha naṃ avamaṅgalarathe nipajjāpetvā pacchimadvārena nīharāpetvā āmakasusāne nikhaṇathā’’ti āṇāpesi. Taṃ sutvā mahāsatto haṭṭho udaggo ahosi – ‘‘cirassaṃ vata me manoratho matthakaṃ pāpuṇissatī’’ti. Tena vuttaṃ ‘‘tato me hatthapāde cā’’tiādi.
ตตฺถ มทฺทิยาติ มทฺทนวเสน วีมํสิตฺวาฯ อนูนตนฺติ หตฺถาทีหิ อวิกลตํฯ นินฺทิสุนฺติ ‘‘เอวํ อนูนาวยโวปิ สมาโน มูคาทิ วิย ทิสฺสมาโน ‘‘รชฺชํ กาเรตุํ อภโพฺพ, กาฬกณฺณิปุริโส อย’’นฺติ ครหิํสุฯ ‘‘นิทฺทิสุ’’นฺติปิ ปาโฐ, วทิํสูติ อโตฺถฯ
Tattha maddiyāti maddanavasena vīmaṃsitvā. Anūnatanti hatthādīhi avikalataṃ. Nindisunti ‘‘evaṃ anūnāvayavopi samāno mūgādi viya dissamāno ‘‘rajjaṃ kāretuṃ abhabbo, kāḷakaṇṇipuriso aya’’nti garahiṃsu. ‘‘Niddisu’’ntipi pāṭho, vadiṃsūti attho.
๕๙. ฉฑฺฑนํ อนุโมทิสุนฺติ ราชทสฺสนตฺถํ อาคตา สเพฺพปิ ชนปทวาสิโน เสนาปติปุโรหิตปฺปมุขา ราชปุริสา เต สเพฺพปิ เอกมนา สมานจิตฺตา หุตฺวา อนฺตรายปริหรณตฺถํ รญฺญา อาณตฺตา ภูมิยํ นิขณนวเสน มม ฉฑฺฑนํ มุขสโงฺกจํ อกตฺวา อภิมุขภาเวน สาธุ สุฎฺฐุ อิทํ กตฺตพฺพเมวาติ อนุโมทิํสุฯ
59.Chaḍḍanaṃ anumodisunti rājadassanatthaṃ āgatā sabbepi janapadavāsino senāpatipurohitappamukhā rājapurisā te sabbepi ekamanā samānacittā hutvā antarāyapariharaṇatthaṃ raññā āṇattā bhūmiyaṃ nikhaṇanavasena mama chaḍḍanaṃ mukhasaṅkocaṃ akatvā abhimukhabhāvena sādhu suṭṭhu idaṃ kattabbamevāti anumodiṃsu.
๖๐. โส เม อโตฺถ สมิชฺฌถาติ ยสฺสตฺถาย ยทตฺถํ ตโต มูคาทิภาวาธิฎฺฐานวเสน ทุกฺกรจรณํ จิณฺณํ จริตํ, โส อโตฺถ มม สมิชฺฌติฯ เตสํ มม มาตาปิตุอาทีนํ มติํ อธิปฺปายํ สุตฺวา โส อหํ มม อธิปฺปายสมิชฺฌเนน หโฎฺฐ อนุปธาเรตฺวา ภูมิยํ นิขณนานุชานเนน สํวิคฺคมานโสว อโหสินฺติ วจนเสเสน สมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ
60.So me attho samijjhathāti yassatthāya yadatthaṃ tato mūgādibhāvādhiṭṭhānavasena dukkaracaraṇaṃ ciṇṇaṃ caritaṃ, so attho mama samijjhati. Tesaṃ mama mātāpituādīnaṃ matiṃ adhippāyaṃ sutvā so ahaṃ mama adhippāyasamijjhanena haṭṭho anupadhāretvā bhūmiyaṃ nikhaṇanānujānanena saṃviggamānasova ahosinti vacanasesena sambandho veditabbo.
๖๑. เอวํ กุมารสฺส ภูมิยํ นิขณเน รญฺญา อาณเตฺต จนฺทาเทวี ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา, ‘‘เทว, ตุเมฺหหิ มยฺหํ วโร ทิโนฺน, มยา จ คหิตกํ กตฺวา ฐปิโต, ตํ เม อิทานิ เทถา’’ติฯ ‘‘คณฺห, เทวี’’ติฯ ‘‘ปุตฺตสฺส เม รชฺชํ เทถา’’ติฯ ‘‘ปุโตฺต เต กาฬกณฺณี, น สกฺกา ทาตุ’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ, เทว, ยาวชีวํ อเทโนฺต สตฺต วสฺสานิ เทถา’’ติฯ ‘‘ตมฺปิ น สกฺกา’’ติฯ ‘‘ฉ วสฺสานิ, ปญฺจจตฺตาริตีณิเทฺวเอกํ วสฺสํ, สตฺต มาเส, ฉปญฺจจตฺตาโรตโยเทฺวเอกํ มาสํอทฺธมาสํสตฺตาหํ เทถา’’ติฯ สาธุ คณฺหาติฯ
61. Evaṃ kumārassa bhūmiyaṃ nikhaṇane raññā āṇatte candādevī taṃ pavattiṃ sutvā rājānaṃ upasaṅkamitvā, ‘‘deva, tumhehi mayhaṃ varo dinno, mayā ca gahitakaṃ katvā ṭhapito, taṃ me idāni dethā’’ti. ‘‘Gaṇha, devī’’ti. ‘‘Puttassa me rajjaṃ dethā’’ti. ‘‘Putto te kāḷakaṇṇī, na sakkā dātu’’nti. ‘‘Tena hi, deva, yāvajīvaṃ adento satta vassāni dethā’’ti. ‘‘Tampi na sakkā’’ti. ‘‘Cha vassāni, pañcacattāritīṇidveekaṃ vassaṃ, satta māse, chapañcacattārotayodveekaṃ māsaṃaddhamāsaṃsattāhaṃ dethā’’ti. Sādhu gaṇhāti.
สา ปุตฺตํ อลงฺการาเปตฺวา ‘‘เตมิยกุมารสฺส อิทํ รชฺช’’นฺติ นคเร เภริํ จราเปตฺวา นครํ อลงฺการาเปตฺวา ปุตฺตํ หตฺถิกฺขนฺธํ อาโรเปตฺวา เสตจฺฉตฺตํ มตฺถเก การาเปตฺวา นครํ ปทกฺขิณํ กตฺวา อาคตํ อลงฺกตสิริสยเน นิปชฺชาเปตฺวา สพฺพรตฺติํ ยาจิ – ‘‘ตาต เตมิย, ตํ นิสฺสาย โสฬส วสฺสานิ นิทฺทํ อลภิตฺวา โรทมานาย เม อกฺขีนิ อุปฺปกฺกานิ, โสเกน หทยํ ภิชฺชติ วิย, ตว อปีฐสปฺปิอาทิภาวํ ชานามิ, มา มํ อนาถํ กรี’’ติฯ อิมินา นิยาเมน ฉ ทิวเส ยาจิฯ ฉเฎฺฐ ทิวเส ราชา สุนนฺทํ นาม สารถิํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘เสฺว ปาโตว อวมงฺคลรเถน กุมารํ นีหริตฺวา อามกสุสาเน ภูมิยํ นิขณิตฺวา ปถวิวฑฺฒนกกมฺมํ กตฺวา เอหี’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา เทวี ‘‘ตาต, กาสิราชา ตํ เสฺว อามกสุสาเน นิขณิตุํ อาณาเปสิฯ เสฺว มรณํ ปาปุณิสฺสตี’’ติ อาหฯ
Sā puttaṃ alaṅkārāpetvā ‘‘temiyakumārassa idaṃ rajja’’nti nagare bheriṃ carāpetvā nagaraṃ alaṅkārāpetvā puttaṃ hatthikkhandhaṃ āropetvā setacchattaṃ matthake kārāpetvā nagaraṃ padakkhiṇaṃ katvā āgataṃ alaṅkatasirisayane nipajjāpetvā sabbarattiṃ yāci – ‘‘tāta temiya, taṃ nissāya soḷasa vassāni niddaṃ alabhitvā rodamānāya me akkhīni uppakkāni, sokena hadayaṃ bhijjati viya, tava apīṭhasappiādibhāvaṃ jānāmi, mā maṃ anāthaṃ karī’’ti. Iminā niyāmena cha divase yāci. Chaṭṭhe divase rājā sunandaṃ nāma sārathiṃ pakkosāpetvā ‘‘sve pātova avamaṅgalarathena kumāraṃ nīharitvā āmakasusāne bhūmiyaṃ nikhaṇitvā pathavivaḍḍhanakakammaṃ katvā ehī’’ti āha. Taṃ sutvā devī ‘‘tāta, kāsirājā taṃ sve āmakasusāne nikhaṇituṃ āṇāpesi. Sve maraṇaṃ pāpuṇissatī’’ti āha.
มหาสโตฺต ตํ สุตฺวา ‘‘เตมิย, โสฬส วสฺสานิ ตยา กโต วายาโม มตฺถกํ ปโตฺต’’ติ หโฎฺฐ อุทโคฺค อโหสิฯ มาตุยา ปนสฺส หทยํ ภิชฺชนาการํ วิย อโหสิฯ อถ ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ปาโตว สารถิ รถํ อาทาย ทฺวาเร ฐเปตฺวา สิริคพฺภํ ปวิสิตฺวา ‘‘เทวิ, มา มยฺหํ กุชฺฌิ, รโญฺญ อาณา’’ติ ปุตฺตํ อาลิงฺคิตฺวา นิปนฺนํ เทวิํ ปิฎฺฐิหเตฺถน อปเนตฺวา กุมารํ อุกฺขิปิตฺวา ปาสาทา โอตริฯ เทวี อุรํ ปหริตฺวา มหาสเทฺทน ปริเทวิตฺวา มหาตเล โอหียิฯ
Mahāsatto taṃ sutvā ‘‘temiya, soḷasa vassāni tayā kato vāyāmo matthakaṃ patto’’ti haṭṭho udaggo ahosi. Mātuyā panassa hadayaṃ bhijjanākāraṃ viya ahosi. Atha tassā rattiyā accayena pātova sārathi rathaṃ ādāya dvāre ṭhapetvā sirigabbhaṃ pavisitvā ‘‘devi, mā mayhaṃ kujjhi, rañño āṇā’’ti puttaṃ āliṅgitvā nipannaṃ deviṃ piṭṭhihatthena apanetvā kumāraṃ ukkhipitvā pāsādā otari. Devī uraṃ paharitvā mahāsaddena paridevitvā mahātale ohīyi.
อถ นํ มหาสโตฺต โอโลเกตฺวา ‘‘มยิ อกเถเนฺต มาตุ โสโก พลวา ภวิสฺสตี’’ติ กเถตุกาโม หุตฺวาปิ ‘‘สเจ กเถสฺสามิ โสฬส วสฺสานิ กโต วายาโม โมโฆ ภวิสฺสติ, อกเถโนฺต ปนาหํ อตฺตโน จ มาตาปิตูนญฺจ ปจฺจโย ภวิสฺสามี’’ติ อธิวาเสสิฯ สารถิ ‘‘มหาสตฺตํ รถํ อาโรเปตฺวา ปจฺฉิมทฺวาราภิมุขํ รถํ เปเสสฺสามี’’ติ ปาจีนทฺวาราภิมุขํ เปเสสิฯ รโถ นครา นิกฺขมิตฺวา เทวตานุภาเวน ติโยชนฎฺฐานํ คโตฯ มหาสโตฺต สุฎฺฐุตรํ ตุฎฺฐจิโตฺต อโหสิฯ ตตฺถ วนฆฎํ สารถิสฺส อามกสุสานํ วิย อุปฎฺฐาสิฯ โส ‘‘อิทํ ฐานํ สุนฺทร’’นฺติ รถํ โอกฺกมาเปตฺวา มคฺคปเสฺส ฐเปตฺวา รถา โอรุยฺห มหาสตฺตสฺส อาภรณภณฺฑํ โอมุญฺจิตฺวา ภณฺฑิกํ กตฺวา ฐเปตฺวา กุทาลํ อาทาย อวิทูเร อาวาฎํ ขณิตุํ อารภิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘นฺหาเปตฺวา อนุลิมฺปิตฺวา’’ติอาทิฯ
Atha naṃ mahāsatto oloketvā ‘‘mayi akathente mātu soko balavā bhavissatī’’ti kathetukāmo hutvāpi ‘‘sace kathessāmi soḷasa vassāni kato vāyāmo mogho bhavissati, akathento panāhaṃ attano ca mātāpitūnañca paccayo bhavissāmī’’ti adhivāsesi. Sārathi ‘‘mahāsattaṃ rathaṃ āropetvā pacchimadvārābhimukhaṃ rathaṃ pesessāmī’’ti pācīnadvārābhimukhaṃ pesesi. Ratho nagarā nikkhamitvā devatānubhāvena tiyojanaṭṭhānaṃ gato. Mahāsatto suṭṭhutaraṃ tuṭṭhacitto ahosi. Tattha vanaghaṭaṃ sārathissa āmakasusānaṃ viya upaṭṭhāsi. So ‘‘idaṃ ṭhānaṃ sundara’’nti rathaṃ okkamāpetvā maggapasse ṭhapetvā rathā oruyha mahāsattassa ābharaṇabhaṇḍaṃ omuñcitvā bhaṇḍikaṃ katvā ṭhapetvā kudālaṃ ādāya avidūre āvāṭaṃ khaṇituṃ ārabhi. Tena vuttaṃ ‘‘nhāpetvā anulimpitvā’’tiādi.
ตตฺถ นฺหาเปตฺวาติ โสฬสหิ คโนฺธทกฆเฎหิ นฺหาเปตฺวาฯ อนุลิมฺปิตฺวาติ สุรภิวิเลปเนน วิลิเมฺปตฺวาฯ เวเฐตฺวา ราชเวฐนนฺติ กาสิราชูนํ ปเวณิยาคตํ ราชมกุฎํ สีเส ปฎิมุญฺจิตฺวาฯ อภิสิญฺจิตฺวาติ ตสฺมิํ ราชกุเล ราชาภิเสกนิยาเมน อภิสิญฺจิตฺวาฯ ฉเตฺตน กาเรสุํ ปุรํ ปทกฺขิณนฺติ เสตจฺฉเตฺตน ธาริยมาเนน มํ นครํ ปทกฺขิณํ กาเรสุํฯ
Tattha nhāpetvāti soḷasahi gandhodakaghaṭehi nhāpetvā. Anulimpitvāti surabhivilepanena vilimpetvā. Veṭhetvā rājaveṭhananti kāsirājūnaṃ paveṇiyāgataṃ rājamakuṭaṃ sīse paṭimuñcitvā. Abhisiñcitvāti tasmiṃ rājakule rājābhisekaniyāmena abhisiñcitvā. Chattena kāresuṃ puraṃ padakkhiṇanti setacchattena dhāriyamānena maṃ nagaraṃ padakkhiṇaṃ kāresuṃ.
๖๒. สตฺตาหํ ธารยิตฺวานาติ มยฺหํ มาตุ จนฺทาเทวิยา วรลาภนวเสน ลทฺธํ สตฺตาหํ มม เสตจฺฉตฺตํ ธารยิตฺวาฯ อุคฺคเต รวิมณฺฑเลติ ตโต ปุนทิวเส สูริยมณฺฑเล อุคฺคตมเตฺต อวมงฺคลรเถน มํ นครโต นีหริตฺวา ภูมิยํ นิขณนตฺถํ สารถิ สุนโนฺท วนมุปคจฺฉิฯ
62.Sattāhaṃ dhārayitvānāti mayhaṃ mātu candādeviyā varalābhanavasena laddhaṃ sattāhaṃ mama setacchattaṃ dhārayitvā. Uggate ravimaṇḍaleti tato punadivase sūriyamaṇḍale uggatamatte avamaṅgalarathena maṃ nagarato nīharitvā bhūmiyaṃ nikhaṇanatthaṃ sārathi sunando vanamupagacchi.
๖๓. สชฺชสฺสนฺติ สนฺนโทฺธ อสฺสํ, ยุเค โยชิตสฺสํ เม รถํ มคฺคโต อุกฺกมาปนวเสน เอโกกาเส กตฺวาฯ หตฺถมุจฺจิโตติ มุจฺจิตหโตฺถ, รถปาจนโต มุตฺตหโตฺถติ อโตฺถฯ อถ วา หตฺถมุจฺจิโตติ หตฺถมุโตฺต มม หตฺถโต มุจฺจิตฺวาติ อโตฺถฯ กาสุนฺติ อาวาฎํฯ นิขาตุนฺติ นิขณิตุํฯ
63.Sajjassanti sannaddho assaṃ, yuge yojitassaṃ me rathaṃ maggato ukkamāpanavasena ekokāse katvā. Hatthamuccitoti muccitahattho, rathapācanato muttahatthoti attho. Atha vā hatthamuccitoti hatthamutto mama hatthato muccitvāti attho. Kāsunti āvāṭaṃ. Nikhātunti nikhaṇituṃ.
๖๔-๕. อิทานิ ยทตฺถํ มยา โสฬส วสฺสานิ มูควตาทิอธิฎฺฐาเนน ทุกฺกรจริยา อธิฎฺฐิตา, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อธิฎฺฐิตมธิฎฺฐาน’’นฺติ คาถาทฺวยมาหฯ
64-5. Idāni yadatthaṃ mayā soḷasa vassāni mūgavatādiadhiṭṭhānena dukkaracariyā adhiṭṭhitā, taṃ dassetuṃ ‘‘adhiṭṭhitamadhiṭṭhāna’’nti gāthādvayamāha.
ตตฺถ ตเชฺชโนฺต วิวิธการณาติ ทฺวิมาสิกกาลโต ปฎฺฐาย ยาว โสฬสสํวจฺฉรา ถญฺญปฎิเสธนาทีหิ วิวิเธหิ นานปฺปกาเรหิ การเณหิ ตชฺชยโนฺต ภยวิทฺธํสนวเสน วิเหฐิยมาโนฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ
Tattha tajjento vividhakāraṇāti dvimāsikakālato paṭṭhāya yāva soḷasasaṃvaccharā thaññapaṭisedhanādīhi vividhehi nānappakārehi kāraṇehi tajjayanto bhayaviddhaṃsanavasena viheṭhiyamāno. Sesaṃ suviññeyyameva.
อถ มหาสโตฺต สุนเนฺท กาสุํ ขณเนฺต ‘‘อยํ เม วายามกาโล’’ติ อุฎฺฐาย อตฺตโน หตฺถปาเท สมฺพาหิตฺวา รถา โอตริตุํ เม พลํ อตฺถีติ ญตฺวา จิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ ตาวเทวสฺส ปาทปติฎฺฐานฎฺฐานํ วาตปุณฺณภสฺตจมฺมํ วิย อุคฺคนฺตฺวา รถสฺส ปจฺฉิมนฺตํ อาหจฺจ อฎฺฐาสิฯ โส โอตริตฺวา กติปเย วาเร อปราปรํ จงฺกมิตฺวา ‘‘โยชนสตมฺปิ คนฺตุํ เม พลํ อตฺถี’’ติ ญตฺวา รถํ ปจฺฉิมเนฺต คเหตฺวา กุมารกานํ กีฬนยานกํ วิย อุกฺขิปิตฺวา ‘‘สเจ สารถิ มยา สทฺธิํ ปฎิวิรุเชฺฌยฺย, อตฺถิ เม ปฎิวิรุชฺฌิตุํ พล’’นฺติ สลฺลเกฺขตฺวา ปสาธนตฺถาย จิตฺตํ อุปฺปาเทสิฯ ตงฺขณเญฺญว สกฺกสฺส ภวนํ อุณฺหาการํ ทเสฺสสิฯ สโกฺก ตํ การณํ ญตฺวา วิสฺสกมฺมํ อาณาเปสิ – ‘‘คจฺฉ กาสิราชปุตฺตํ อลงฺกโรหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ วตฺวา ทิเพฺพหิ จ มานุเสหิ จ อลงฺกาเรหิ สกฺกํ วิย ตํ อลงฺกริฯ โส เทวราชลีฬาย สารถิสฺส ขณโนกาสํ คนฺตฺวา อาวาฎตีเร ฐตฺวา –
Atha mahāsatto sunande kāsuṃ khaṇante ‘‘ayaṃ me vāyāmakālo’’ti uṭṭhāya attano hatthapāde sambāhitvā rathā otarituṃ me balaṃ atthīti ñatvā cittaṃ uppādesi. Tāvadevassa pādapatiṭṭhānaṭṭhānaṃ vātapuṇṇabhastacammaṃ viya uggantvā rathassa pacchimantaṃ āhacca aṭṭhāsi. So otaritvā katipaye vāre aparāparaṃ caṅkamitvā ‘‘yojanasatampi gantuṃ me balaṃ atthī’’ti ñatvā rathaṃ pacchimante gahetvā kumārakānaṃ kīḷanayānakaṃ viya ukkhipitvā ‘‘sace sārathi mayā saddhiṃ paṭivirujjheyya, atthi me paṭivirujjhituṃ bala’’nti sallakkhetvā pasādhanatthāya cittaṃ uppādesi. Taṅkhaṇaññeva sakkassa bhavanaṃ uṇhākāraṃ dassesi. Sakko taṃ kāraṇaṃ ñatvā vissakammaṃ āṇāpesi – ‘‘gaccha kāsirājaputtaṃ alaṅkarohī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti vatvā dibbehi ca mānusehi ca alaṅkārehi sakkaṃ viya taṃ alaṅkari. So devarājalīḷāya sārathissa khaṇanokāsaṃ gantvā āvāṭatīre ṭhatvā –
‘‘กินฺนุ สนฺตรมาโนว, กาสุํ ขณสิ สารถิ;
‘‘Kinnu santaramānova, kāsuṃ khaṇasi sārathi;
ปุโฎฺฐ เม สมฺม อกฺขาหิ, กิํ กาสุยา กริสฺสสี’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๓) –
Puṭṭho me samma akkhāhi, kiṃ kāsuyā karissasī’’ti. (jā. 2.22.3) –
อาหฯ
Āha.
เตน อุทฺธํ อโนโลเกตฺวาว –
Tena uddhaṃ anoloketvāva –
‘‘รโญฺญ มูโค จ ปโกฺข จ, ปุโตฺต ชาโต อเจตโส;
‘‘Rañño mūgo ca pakkho ca, putto jāto acetaso;
โสมฺหิ รญฺญา สมชฺฌิโฎฺฐ, ปุตฺตํ เม นิขณํ วเน’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๔) –
Somhi raññā samajjhiṭṭho, puttaṃ me nikhaṇaṃ vane’’ti. (jā. 2.22.4) –
วุเตฺต มหาสโตฺต –
Vutte mahāsatto –
‘‘น พธิโร น มูโคสฺมิ, น ปโกฺข น จ วีกโล;
‘‘Na badhiro na mūgosmi, na pakkho na ca vīkalo;
อธมฺมํ สารถิ กยิรา, มํ เจ ตฺวํ นิขณํ วเนฯ
Adhammaṃ sārathi kayirā, maṃ ce tvaṃ nikhaṇaṃ vane.
‘‘อูรู พาหุญฺจ เม ปสฺส, ภาสิตญฺจ สุโณหิ เม;
‘‘Ūrū bāhuñca me passa, bhāsitañca suṇohi me;
อธมฺมํ สารถิ กยิรา, มํ เจ ตฺวํ นิขณํ วเน’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๕-๖) –
Adhammaṃ sārathi kayirā, maṃ ce tvaṃ nikhaṇaṃ vane’’ti. (jā. 2.22.5-6) –
วตฺวา ปุน เตน อาวาฎขณนํ ปหาย อุทฺธํ โอโลเกตฺวา ตสฺส รูปสมฺปตฺติํ ทิสฺวา ‘‘มนุโสฺส วา เทโว วา’’ติ อชานเนฺตน –
Vatvā puna tena āvāṭakhaṇanaṃ pahāya uddhaṃ oloketvā tassa rūpasampattiṃ disvā ‘‘manusso vā devo vā’’ti ajānantena –
‘‘เทวตา นุสิ คนฺธโพฺพ, อทุ สโกฺก ปุรินฺทโท;
‘‘Devatā nusi gandhabbo, adu sakko purindado;
โก วา ตฺวํ กสฺส วา ปุโตฺต, กถํ ชาเนมุ ตํ มย’’นฺติฯ (ชา. ๒.๒๒.๗) –
Ko vā tvaṃ kassa vā putto, kathaṃ jānemu taṃ maya’’nti. (jā. 2.22.7) –
วุเตฺต –
Vutte –
‘‘นมฺหิ เทโว น คนฺธโพฺพ, นาปิ สโกฺก ปุรินฺทโท;
‘‘Namhi devo na gandhabbo, nāpi sakko purindado;
กาสิรโญฺญ อหํ ปุโตฺต, ยํ กาสุยา นิขญฺญสิฯ
Kāsirañño ahaṃ putto, yaṃ kāsuyā nikhaññasi.
‘‘ตสฺส รโญฺญ อหํ ปุโตฺต, ยํ ตฺวํ สมฺมูปชีวสิ;
‘‘Tassa rañño ahaṃ putto, yaṃ tvaṃ sammūpajīvasi;
อธมฺมํ สารถิ กยิรา, มํ เจ ตฺวํ นิขณํ วเนฯ
Adhammaṃ sārathi kayirā, maṃ ce tvaṃ nikhaṇaṃ vane.
‘‘ยสฺส รุกฺขสฺส ฉายาย, นิสีเทยฺย สเยยฺย วา;
‘‘Yassa rukkhassa chāyāya, nisīdeyya sayeyya vā;
น ตสฺส สาขํ ภเญฺชยฺย, มิตฺตทุโพฺภ หิ ปาปโกฯ
Na tassa sākhaṃ bhañjeyya, mittadubbho hi pāpako.
‘‘ยถา รุโกฺข ตถา ราชา, ยถา สาขา ตถา อหํ;
‘‘Yathā rukkho tathā rājā, yathā sākhā tathā ahaṃ;
ยถา ฉายูปโค โปโส, เอวํ ตฺวมสิ สารถิ;
Yathā chāyūpago poso, evaṃ tvamasi sārathi;
อธมฺมํ สารถิ กยิรา, มํ เจ ตฺวํ นิขณํ วเน’’ติฯ (ชา. ๒.๒๒.๘-๑๑) –
Adhammaṃ sārathi kayirā, maṃ ce tvaṃ nikhaṇaṃ vane’’ti. (jā. 2.22.8-11) –
อาทินา นเยน ธมฺมํ เทเสตฺวา เตน นิวตฺตนตฺถํ ยาจิโต อนิวตฺตนการณํ ปพฺพชฺชาฉนฺทํ ตสฺส จ เหตุ นิรยภยาทิกํ อตีตภเว อตฺตโน ปวตฺติํ วิตฺถาเรน กเถตฺวา ตาย ธมฺมกถาย ตาย จ ปฎิปตฺติยา ตสฺมิมฺปิ ปพฺพชิตุกาเม ชาเต รโญฺญ อิมํ –
Ādinā nayena dhammaṃ desetvā tena nivattanatthaṃ yācito anivattanakāraṇaṃ pabbajjāchandaṃ tassa ca hetu nirayabhayādikaṃ atītabhave attano pavattiṃ vitthārena kathetvā tāya dhammakathāya tāya ca paṭipattiyā tasmimpi pabbajitukāme jāte rañño imaṃ –
‘‘รถํ นิยฺยาตยิตฺวาน, อนโณ เอหิ สารถิ;
‘‘Rathaṃ niyyātayitvāna, anaṇo ehi sārathi;
อนณสฺส หิ ปพฺพชฺชา, เอตํ อิสีหิ วณฺณิต’’นฺติฯ (ชา. ๒.๒๒.๔๔) –
Anaṇassa hi pabbajjā, etaṃ isīhi vaṇṇita’’nti. (jā. 2.22.44) –
วตฺวา ตํ วิสฺสเชฺชสิฯ
Vatvā taṃ vissajjesi.
โส รถํ อาภรณานิ จ คเหตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ ราชา ตาวเทว ‘‘มหาสตฺตสฺส สนฺติกํ คมิสฺสามี’’ติ นครโต นิคฺคจฺฉิ สทฺธิํ จตุรงฺคินิยา เสนาย อิตฺถาคาเรหิ นาครชานปเทหิ จฯ มหาสโตฺตปิ โข สารถิํ อุโยฺยเชตฺวา ปพฺพชิตุกาโม ชาโตฯ ตสฺส จิตฺตํ ญตฺวา สโกฺก วิสฺสกมฺมํ เปเสสิ – ‘‘เตมิยปณฺฑิโต ปพฺพชิตุกาโม, ตสฺส อสฺสมปทํ ปพฺพชิตปริกฺขาเร จ มาเปหี’’ติฯ โส คนฺตฺวา ติโยชนิเก วนสเณฺฑ อสฺสมํ มาเปตฺวา รตฺติฎฺฐานทิวาฎฺฐานจงฺกมนโปกฺขรณีผลรุกฺขสมฺปนฺนํ กตฺวา สเพฺพ จ ปพฺพชิตปริกฺขาเร มาเปตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ โพธิสโตฺต ตํ ทิสฺวา สกฺกทตฺติยภาวํ ญตฺวา ปณฺณสาลํ ปวิสิตฺวา วตฺถานิ อปเนตฺวา ตาปสเวสํ คเหตฺวา กฎฺฐตฺถเร นิสิโนฺน อฎฺฐ สมาปตฺติโย, ปญฺจ จ อภิญฺญาโย นิพฺพเตฺตตฺวา ปพฺพชฺชาสุเขน อสฺสเม นิสีทิฯ
So rathaṃ ābharaṇāni ca gahetvā rañño santikaṃ gantvā tamatthaṃ ārocesi. Rājā tāvadeva ‘‘mahāsattassa santikaṃ gamissāmī’’ti nagarato niggacchi saddhiṃ caturaṅginiyā senāya itthāgārehi nāgarajānapadehi ca. Mahāsattopi kho sārathiṃ uyyojetvā pabbajitukāmo jāto. Tassa cittaṃ ñatvā sakko vissakammaṃ pesesi – ‘‘temiyapaṇḍito pabbajitukāmo, tassa assamapadaṃ pabbajitaparikkhāre ca māpehī’’ti. So gantvā tiyojanike vanasaṇḍe assamaṃ māpetvā rattiṭṭhānadivāṭṭhānacaṅkamanapokkharaṇīphalarukkhasampannaṃ katvā sabbe ca pabbajitaparikkhāre māpetvā sakaṭṭhānameva gato. Bodhisatto taṃ disvā sakkadattiyabhāvaṃ ñatvā paṇṇasālaṃ pavisitvā vatthāni apanetvā tāpasavesaṃ gahetvā kaṭṭhatthare nisinno aṭṭha samāpattiyo, pañca ca abhiññāyo nibbattetvā pabbajjāsukhena assame nisīdi.
กาสิราชาปิ สารถินา ทสฺสิตมเคฺคน คนฺตฺวา อสฺสมํ ปวิสิตฺวา มหาสเตฺตน สห สมาคนฺตฺวา กตปฎิสนฺถาโร รเชฺชน นิมเนฺตสิฯ เตมิยปณฺฑิโต ตํ ปฎิกฺขิปิตฺวา อเนกาการโวการํ อนิจฺจตาทิปฎิสํยุตฺตาย จ กามาทีนวปฎิสํยุตฺตาย จ ธมฺมิยา กถาย ราชานํ สํเวเชสิฯ โส สํวิคฺคมานโส ฆราวาเส อุกฺกณฺฐิโต ปพฺพชิตุกาโม หุตฺวา อมเจฺจ อิตฺถาคาเร จ ปุจฺฉิฯ เตปิ ปพฺพชิตุกามา อเหสุํฯ อถ ราชา จนฺทาเทวิํ อาทิํ กตฺวา โสฬส สหเสฺส โอโรเธ จ อมจฺจาทิเก จ ปพฺพชิตุกาเม ญตฺวา นคเร เภริํ จราเปสิ – ‘‘เย มม ปุตฺตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิตุกามา, เต ปพฺพชนฺตู’’ติฯ สุวณฺณโกฎฺฐาคาราทีนิ จ วิวราเปตฺวา วิสฺสชฺชาเปสิฯ นาครา จ ยถาปสาริเตเยว อาปเณ วิวฎทฺวาราเนว เคหานิ จ ปหาย รโญฺญ สนฺติกํ อคมํสุฯ ราชา มหาชเนน สทฺธิํ มหาสตฺตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิฯ สกฺกทตฺติยํ ติโยชนิกํ อสฺสมปทํ ปริปูริฯ
Kāsirājāpi sārathinā dassitamaggena gantvā assamaṃ pavisitvā mahāsattena saha samāgantvā katapaṭisanthāro rajjena nimantesi. Temiyapaṇḍito taṃ paṭikkhipitvā anekākāravokāraṃ aniccatādipaṭisaṃyuttāya ca kāmādīnavapaṭisaṃyuttāya ca dhammiyā kathāya rājānaṃ saṃvejesi. So saṃviggamānaso gharāvāse ukkaṇṭhito pabbajitukāmo hutvā amacce itthāgāre ca pucchi. Tepi pabbajitukāmā ahesuṃ. Atha rājā candādeviṃ ādiṃ katvā soḷasa sahasse orodhe ca amaccādike ca pabbajitukāme ñatvā nagare bheriṃ carāpesi – ‘‘ye mama puttassa santike pabbajitukāmā, te pabbajantū’’ti. Suvaṇṇakoṭṭhāgārādīni ca vivarāpetvā vissajjāpesi. Nāgarā ca yathāpasāriteyeva āpaṇe vivaṭadvārāneva gehāni ca pahāya rañño santikaṃ agamaṃsu. Rājā mahājanena saddhiṃ mahāsattassa santike pabbaji. Sakkadattiyaṃ tiyojanikaṃ assamapadaṃ paripūri.
สามนฺตราชาโน ‘‘กาสิราชา ปพฺพชิโต’’ติ สุตฺวา ‘‘พาราณสิรชฺชํ คเหสฺสามา’’ติ นครํ ปวิสิตฺวา เทวนครสทิสํ นครํ สตฺตรตนภริตํ เทววิมานกปฺปํ ราชนิเวสนญฺจ ทิสฺวา ‘‘อิมํ ธนํ นิสฺสาย ภเยน ภวิตพฺพ’’นฺติ ตาวเทว นิกฺขมิตฺวา ปายาสุํฯ เตสํ อาคมนํ สุตฺวา มหาสโตฺต วนนฺตํ คนฺตฺวา อากาเส นิสีทิตฺวา ธมฺมํ เทเสสิฯ เต สเพฺพ สทฺธิํ ปริสาย ตสฺส สนฺติเก ปพฺพชิํสุฯ เอวํ อปเรปิ อปเรปีติ มหาสมาคโม อโหสิฯ สเพฺพ ผลาผลานิ ปริภุญฺชิตฺวา สมณธมฺมํ กโรนฺติฯ โย กามาทิวิตกฺกํ วิตเกฺกติ, ตสฺส จิตฺตํ ญตฺวา มหาสโตฺต ตตฺถ คนฺตฺวา อากาเส นิสีทิตฺวา ธมฺมํ เทเสติฯ
Sāmantarājāno ‘‘kāsirājā pabbajito’’ti sutvā ‘‘bārāṇasirajjaṃ gahessāmā’’ti nagaraṃ pavisitvā devanagarasadisaṃ nagaraṃ sattaratanabharitaṃ devavimānakappaṃ rājanivesanañca disvā ‘‘imaṃ dhanaṃ nissāya bhayena bhavitabba’’nti tāvadeva nikkhamitvā pāyāsuṃ. Tesaṃ āgamanaṃ sutvā mahāsatto vanantaṃ gantvā ākāse nisīditvā dhammaṃ desesi. Te sabbe saddhiṃ parisāya tassa santike pabbajiṃsu. Evaṃ aparepi aparepīti mahāsamāgamo ahosi. Sabbe phalāphalāni paribhuñjitvā samaṇadhammaṃ karonti. Yo kāmādivitakkaṃ vitakketi, tassa cittaṃ ñatvā mahāsatto tattha gantvā ākāse nisīditvā dhammaṃ deseti.
โส ธมฺมสฺสวนสปฺปายํ ลภิตฺวา สมาปตฺติโย อภิญฺญาโย จ นิพฺพเตฺตติฯ เอวํ อปโรปิ อปโรปีติ สเพฺพปิ ชีวิตปริโยสาเน พฺรหฺมโลกปรายนา อเหสุํฯ ติรจฺฉานคตาปิ มหาสเตฺต อิสิคเณปิ จิตฺตํ ปสาเทตฺวา ฉสุ กามสเคฺคสุ นิพฺพตฺติํสุฯ มหาสตฺตสฺส พฺรหฺมจริยํ จิรํ ทีฆมทฺธานํ ปวตฺติตฺถฯ ตทา ฉเตฺต อธิวตฺถา เทวตา อุปฺปลวณฺณา อโหสิ, สารถิ สาริปุตฺตเตฺถโร, มาตาปิตโร มหาราชกุลานิ, ปริสา พุทฺธปริสา, เตมิยปณฺฑิโต โลกนาโถฯ
So dhammassavanasappāyaṃ labhitvā samāpattiyo abhiññāyo ca nibbatteti. Evaṃ aparopi aparopīti sabbepi jīvitapariyosāne brahmalokaparāyanā ahesuṃ. Tiracchānagatāpi mahāsatte isigaṇepi cittaṃ pasādetvā chasu kāmasaggesu nibbattiṃsu. Mahāsattassa brahmacariyaṃ ciraṃ dīghamaddhānaṃ pavattittha. Tadā chatte adhivatthā devatā uppalavaṇṇā ahosi, sārathi sāriputtatthero, mātāpitaro mahārājakulāni, parisā buddhaparisā, temiyapaṇḍito lokanātho.
ตสฺส อธิฎฺฐานปารมี อิธ มตฺถกํ ปตฺตา, เสสปารมิโยปิ ยถารหํ นิทฺธาเรตพฺพาฯ ตถา มาสชาตกาลโต ปฎฺฐาย นิรยภยํ ปาปภีรุตา รชฺชชิคุจฺฉา เนกฺขมฺมนิมิตฺตํ มูคาทิภาวาธิฎฺฐานํ ตตฺถ จ วิโรธิปฺปจฺจยสโมธาเนปิ นิจฺจลภาโวติ เอวมาทโย คุณานุภาวา วิภาเวตพฺพาติฯ
Tassa adhiṭṭhānapāramī idha matthakaṃ pattā, sesapāramiyopi yathārahaṃ niddhāretabbā. Tathā māsajātakālato paṭṭhāya nirayabhayaṃ pāpabhīrutā rajjajigucchā nekkhammanimittaṃ mūgādibhāvādhiṭṭhānaṃ tattha ca virodhippaccayasamodhānepi niccalabhāvoti evamādayo guṇānubhāvā vibhāvetabbāti.
เตมิยจริยาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Temiyacariyāvaṇṇanā niṭṭhitā.
อธิฎฺฐานปารมี นิฎฺฐิตาฯ
Adhiṭṭhānapāramī niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / จริยาปิฎกปาฬิ • Cariyāpiṭakapāḷi / ๖. เตมิยจริยา • 6. Temiyacariyā