Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā |
๑๐. เตวิชฺชสุตฺตวณฺณนา
10. Tevijjasuttavaṇṇanā
๙๙. ทสเม ธเมฺมนาติ ญาเยน, สมฺมาปฎิปตฺติสงฺขาเตน เหตุนา การเณนฯ ยาย หิ ปฎิปทาย เตวิโชฺช โหติ, สา ปฎิปทา อิธ ธโมฺมติ เวทิตพฺพาฯ กา ปน สา ปฎิปทาติ? จรณสมฺปทา จ วิชฺชาสมฺปทา จฯ เตวิชฺชนฺติ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณาทีหิ ตีหิ วิชฺชาหิ สมนฺนาคตํฯ พฺราหฺมณนฺติ พาหิตปาปพฺราหฺมณํฯ ปญฺญาเปมีติ ‘‘พฺราหฺมโณ’’ติ ชานาเปมิ ปติฎฺฐเปมิฯ นาญฺญํ ลปิตลาปนมเตฺตนาติ อญฺญํ ชาติมตฺตพฺราหฺมณํ อฎฺฐกาทีหิ ลปิตมตฺตวิปฺปลปนมเตฺตน พฺราหฺมณํ น ปญฺญาเปมีติฯ อถ วา ลปิตลาปนมเตฺตนาติ มนฺตานํ อเชฺฌนอชฺฌาปนมเตฺตนฯ อุภยถาปิ ยํ ปน พฺราหฺมณา สามเวทาทิเวทตฺตยอเชฺฌเนน เตวิชฺชํ พฺราหฺมณํ วทนฺติ, ตํ ปฎิกฺขิปติฯ ภควตา หิ ‘‘ปรมตฺถโต อเตวิชฺชํ พฺราหฺมณํเยว เจเต โภวาทิโน อวิชฺชานิวุตา ‘เตวิโชฺช พฺราหฺมโณ’ติ วทนฺติ, เอวํ ปน เตวิโชฺช พฺราหฺมโณ โหตี’’ติ ทสฺสนตฺถํ ตถา พุชฺฌนกานํ ปุคฺคลานํ อชฺฌาสเยน อยํ เทสนา อารทฺธาฯ
99. Dasame dhammenāti ñāyena, sammāpaṭipattisaṅkhātena hetunā kāraṇena. Yāya hi paṭipadāya tevijjo hoti, sā paṭipadā idha dhammoti veditabbā. Kā pana sā paṭipadāti? Caraṇasampadā ca vijjāsampadā ca. Tevijjanti pubbenivāsānussatiñāṇādīhi tīhi vijjāhi samannāgataṃ. Brāhmaṇanti bāhitapāpabrāhmaṇaṃ. Paññāpemīti ‘‘brāhmaṇo’’ti jānāpemi patiṭṭhapemi. Nāññaṃ lapitalāpanamattenāti aññaṃ jātimattabrāhmaṇaṃ aṭṭhakādīhi lapitamattavippalapanamattena brāhmaṇaṃ na paññāpemīti. Atha vā lapitalāpanamattenāti mantānaṃ ajjhenaajjhāpanamattena. Ubhayathāpi yaṃ pana brāhmaṇā sāmavedādivedattayaajjhenena tevijjaṃ brāhmaṇaṃ vadanti, taṃ paṭikkhipati. Bhagavatā hi ‘‘paramatthato atevijjaṃ brāhmaṇaṃyeva cete bhovādino avijjānivutā ‘tevijjo brāhmaṇo’ti vadanti, evaṃ pana tevijjo brāhmaṇo hotī’’ti dassanatthaṃ tathā bujjhanakānaṃ puggalānaṃ ajjhāsayena ayaṃ desanā āraddhā.
ตตฺถ ยสฺมา วิชฺชาสมฺปโนฺน จรณสมฺปโนฺนเยว โหติ จรณสมฺปทาย วินา วิชฺชาสมฺปตฺติยา อภาวโต, ตสฺมา จรณสมฺปทํ อโนฺตคธํ กตฺวา วิชฺชาสีเสเนว พฺราหฺมณํ ปญฺญาเปตุกาโม ‘‘ธเมฺมนาหํ, ภิกฺขเว, เตวิชฺชํ พฺราหฺมณํ ปญฺญาเปมี’’ติ เทสนํ สมุฎฺฐาเปตฺวา ‘‘กถญฺจาหํ, ภิกฺขเว, ธเมฺมน เตวิชฺชํ พฺราหฺมณํ ปญฺญาเปมี’’ติ กเถตุกมฺยตาย ปุจฺฉํ กตฺวา ปุคฺคลาธิฎฺฐานาย เทสนาย วิชฺชตฺตยํ วิภชโนฺต ‘‘อิธ, ภิกฺขเว, ภิกฺขู’’ติอาทิมาหฯ
Tattha yasmā vijjāsampanno caraṇasampannoyeva hoti caraṇasampadāya vinā vijjāsampattiyā abhāvato, tasmā caraṇasampadaṃ antogadhaṃ katvā vijjāsīseneva brāhmaṇaṃ paññāpetukāmo ‘‘dhammenāhaṃ, bhikkhave, tevijjaṃ brāhmaṇaṃ paññāpemī’’ti desanaṃ samuṭṭhāpetvā ‘‘kathañcāhaṃ, bhikkhave, dhammena tevijjaṃ brāhmaṇaṃ paññāpemī’’ti kathetukamyatāya pucchaṃ katvā puggalādhiṭṭhānāya desanāya vijjattayaṃ vibhajanto ‘‘idha, bhikkhave, bhikkhū’’tiādimāha.
ตตฺถ อเนกวิหิตนฺติ อเนกวิธํ, อเนเกหิ วา ปกาเรหิ ปวตฺติตํ, สํวณฺณิตนฺติ อโตฺถฯ ปุเพฺพนิวาสนฺติ สมนนฺตราตีตภวํ อาทิํ กตฺวา ตตฺถ ตตฺถ นิวุตฺถกฺขนฺธสนฺตานํฯ นิวุตฺถนฺติ อชฺฌาวุตฺถํ อนุภูตํ, อตฺตโน สนฺตาเน อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุทฺธํ, นิวุตฺถธมฺมํ วา นิวุตฺถํ, โคจรนิวาเสน นิวุตฺถํ, อตฺตโน วิญฺญาเณน วิญฺญาตํ ปรวิญฺญาณวิญฺญาตมฺปิ วา ฉินฺนวฎุมกานุสฺสรณาทีสุฯ อนุสฺสรตีติ ‘‘เอกมฺปิ ชาติํ เทฺวปิ ชาติโย’’ติ เอวํ ชาติปฎิปาฎิวเสน อนุคนฺตฺวา สรติ, อนุเทว วา สรติ, จิเตฺต อภินินฺนามิเต ปริกมฺมสมนนฺตรํ สรติฯ
Tattha anekavihitanti anekavidhaṃ, anekehi vā pakārehi pavattitaṃ, saṃvaṇṇitanti attho. Pubbenivāsanti samanantarātītabhavaṃ ādiṃ katvā tattha tattha nivutthakkhandhasantānaṃ. Nivutthanti ajjhāvutthaṃ anubhūtaṃ, attano santāne uppajjitvā niruddhaṃ, nivutthadhammaṃ vā nivutthaṃ, gocaranivāsena nivutthaṃ, attano viññāṇena viññātaṃ paraviññāṇaviññātampi vā chinnavaṭumakānussaraṇādīsu. Anussaratīti ‘‘ekampi jātiṃ dvepi jātiyo’’ti evaṃ jātipaṭipāṭivasena anugantvā sarati, anudeva vā sarati, citte abhininnāmite parikammasamanantaraṃ sarati.
เสยฺยถิทนฺติ อารทฺธปฺปการทสฺสนเตฺถ นิปาโตฯ เตเนว ยฺวายํ ปุเพฺพนิวาโส อารโทฺธ โหติ, ตสฺส ปการํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เอกมฺปิ ชาติ’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอกมฺปิ ชาตินฺติ เอกมฺปิ ปฎิสนฺธิมูลกํ จุติปริโยสานํ เอกภวปริยาปนฺนํ ขนฺธสนฺตานํฯ เอส นโย เทฺวปิ ชาติโยติอาทีสุฯ อเนเกปิ สํวฎฺฎกเปฺปติอาทีสุ ปน ปริหายมาโน กโปฺป สํวฎฺฎกโปฺป , วฑฺฒมาโน วิวฎฺฎกโปฺปฯ ตตฺถ สํวเฎฺฎน สํวฎฺฎฎฺฐายี คหิโต โหติ ตมฺมูลกตฺตา, วิวเฎฺฎน จ วิวฎฺฎฎฺฐายีฯ เอวญฺหิ สติ ยานิ ตานิ ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, กปฺปสฺส อสเงฺขฺยยฺยานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? สํวโฎฺฎ, สํวฎฺฎฎฺฐายี, วิวโฎฺฎ, วิวฎฺฎฎฺฐายี’’ติ (อ. นิ. ๔.๑๕๖) วุตฺตานิ จตฺตาริ อสเงฺขฺยยฺยานิ, ตานิ ปริคฺคหิตานิ โหนฺติฯ
Seyyathidanti āraddhappakāradassanatthe nipāto. Teneva yvāyaṃ pubbenivāso āraddho hoti, tassa pakāraṃ dassento ‘‘ekampi jāti’’ntiādimāha. Tattha ekampi jātinti ekampi paṭisandhimūlakaṃ cutipariyosānaṃ ekabhavapariyāpannaṃ khandhasantānaṃ. Esa nayo dvepi jātiyotiādīsu. Anekepi saṃvaṭṭakappetiādīsu pana parihāyamāno kappo saṃvaṭṭakappo , vaḍḍhamāno vivaṭṭakappo. Tattha saṃvaṭṭena saṃvaṭṭaṭṭhāyī gahito hoti tammūlakattā, vivaṭṭena ca vivaṭṭaṭṭhāyī. Evañhi sati yāni tāni ‘‘cattārimāni, bhikkhave, kappassa asaṅkhyeyyāni. Katamāni cattāri? Saṃvaṭṭo, saṃvaṭṭaṭṭhāyī, vivaṭṭo, vivaṭṭaṭṭhāyī’’ti (a. ni. 4.156) vuttāni cattāri asaṅkhyeyyāni, tāni pariggahitāni honti.
ตตฺถ ตโย สํวฎฺฎา – เตโชสํวโฎฺฎ, อาโปสํวโฎฺฎ, วาโยสํวโฎฺฎติฯ ติโสฺส สํวฎฺฎสีมา – อาภสฺสรา, สุภกิณฺหา, เวหปฺผลาติฯ ยทา กโปฺป เตเชน สํวฎฺฎติ, อาภสฺสรโต เหฎฺฐา อคฺคินา ฑยฺหติฯ ยทา อุทเกน สํวฎฺฎติ, สุภกิณฺหโต เหฎฺฐา อุทเกน วิลียติฯ ยทา วาเตน สํวฎฺฎติ, เวหปฺผลโต เหฎฺฐา วาเตน วิทฺธํสิยติฯ วิตฺถารโต ปน โกฎิสตสหสฺสจกฺกวาฬํ เอกโต วินสฺสติฯ อิติ เอวรูโป อยํ ปุเพฺพนิวาสํ อนุสฺสรโนฺต ภิกฺขุ อเนเกปิ สํวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ วิวฎฺฎกเปฺป อเนเกปิ สํวฎฺฎวิวฎฺฎกเปฺป อนุสฺสรติฯ กถํ? อมุตฺราสินฺติอาทินา นเยนฯ
Tattha tayo saṃvaṭṭā – tejosaṃvaṭṭo, āposaṃvaṭṭo, vāyosaṃvaṭṭoti. Tisso saṃvaṭṭasīmā – ābhassarā, subhakiṇhā, vehapphalāti. Yadā kappo tejena saṃvaṭṭati, ābhassarato heṭṭhā agginā ḍayhati. Yadā udakena saṃvaṭṭati, subhakiṇhato heṭṭhā udakena vilīyati. Yadā vātena saṃvaṭṭati, vehapphalato heṭṭhā vātena viddhaṃsiyati. Vitthārato pana koṭisatasahassacakkavāḷaṃ ekato vinassati. Iti evarūpo ayaṃ pubbenivāsaṃ anussaranto bhikkhu anekepi saṃvaṭṭakappe anekepi vivaṭṭakappe anekepi saṃvaṭṭavivaṭṭakappe anussarati. Kathaṃ? Amutrāsintiādinā nayena.
ตตฺถ อมุตฺราสินฺติ อมุมฺหิ สํวฎฺฎกเปฺป อมุมฺหิ ภเว วา โยนิยา วา คติยา วา วิญฺญาณฎฺฐิติยา วา สตฺตาวาเส วา สตฺตนิกาเย วา อหมโหสิํฯ เอวํนาโมติ ติโสฺส วา ผุโสฺส วาฯ เอวํโคโตฺตติ โคตโม วา กสฺสโป วาฯ เอวํวโณฺณติ โอทาโต วา สาโม วาฯ เอวมาหาโรติ สาลิมํโสทนาหาโร วา ปวตฺตผลโภชโน วาฯ เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวทีติ อเนกปฺปการานํ กายิกเจตสิกานํ สามิสนิรามิสาทิปฺปเภทานํ วา สุขทุกฺขานํ ปฎิสํเวทีฯ เอวมายุปริยโนฺตติ เอวํ วสฺสสตปริมาณายุปริยโนฺต วา จตุราสีติกปฺปสตสหสฺสปริมาณายุปริยโนฺต วาฯ โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทินฺติ โสหํ ตโต ภวโต โยนิโต คติโต วิญฺญาณฎฺฐิติโต สตฺตาวาสโต สตฺตนิกายโต วา จุโต ปุน อมุกสฺมิํ นาม ภเว โยนิยา คติยา วิญฺญาณฎฺฐิติยา สตฺตาวาเส สตฺตนิกาเย วา อุทปาทิํฯ ตตฺราปาสินฺติ อถ ตตฺรปิ ภเว โยนิยา คติยา วิญฺญาณฎฺฐิติยา สตฺตาวาเส สตฺตนิกาเย วา ปุน อโหสิํฯ เอวํนาโมติอาทิ วุตฺตนยเมวฯ
Tattha amutrāsinti amumhi saṃvaṭṭakappe amumhi bhave vā yoniyā vā gatiyā vā viññāṇaṭṭhitiyā vā sattāvāse vā sattanikāye vā ahamahosiṃ. Evaṃnāmoti tisso vā phusso vā. Evaṃgottoti gotamo vā kassapo vā. Evaṃvaṇṇoti odāto vā sāmo vā. Evamāhāroti sālimaṃsodanāhāro vā pavattaphalabhojano vā. Evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedīti anekappakārānaṃ kāyikacetasikānaṃ sāmisanirāmisādippabhedānaṃ vā sukhadukkhānaṃ paṭisaṃvedī. Evamāyupariyantoti evaṃ vassasataparimāṇāyupariyanto vā caturāsītikappasatasahassaparimāṇāyupariyanto vā. So tato cuto amutra udapādinti sohaṃ tato bhavato yonito gatito viññāṇaṭṭhitito sattāvāsato sattanikāyato vā cuto puna amukasmiṃ nāma bhave yoniyā gatiyā viññāṇaṭṭhitiyā sattāvāse sattanikāye vā udapādiṃ. Tatrāpāsinti atha tatrapi bhave yoniyā gatiyā viññāṇaṭṭhitiyā sattāvāse sattanikāye vā puna ahosiṃ. Evaṃnāmotiādi vuttanayameva.
อถ วา ยสฺมา ‘‘อมุตฺราสิ’’นฺติ อิทํ อนุปุเพฺพน อาโรหนฺตสฺส อตฺตโน อภินีหารานุรูปํ ยถาพลํ สรณํ, ‘‘โส ตโต จุโต’’ติ ปฎินิวตฺตนฺตสฺส ปจฺจเวกฺขณํ, ตสฺมา ‘‘อิธูปปโนฺน’’ติ อิมิสฺสา อิธูปปตฺติยา อนนฺตรํ ‘‘อมุตฺร อุทปาทิ’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺราปาสินฺติ ตตฺรปิ ภเว…เป.… สตฺตนิกาเย วา อาสิํฯ เอวํนาโมติ ทโตฺต วา มิโตฺต วา, เอวํโคโตฺตติ วาเสโฎฺฐ วา กสฺสโป วาฯ เอวํวโณฺณติ กาโฬ วา โอทาโต วาฯ เอวมาหาโรติ สุธาหาโร วา สาลิโอทนาทิอาหาโร วาฯ เอวํสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวทีติ ทิพฺพสุขปฺปฎิสํเวที วา มานุสสุขทุกฺขปฺปฎิสํเวที วาฯ เอวมายุปริยโนฺตติ เอวํ ตํตํปรมายุปริยโนฺตฯ โส ตโต จุโตติ โสหํ ตโต ภวาทิโต จุโตฯ อิธูปปโนฺนติ อิธ อิมสฺมิํ จริมภเว มนุโสฺส หุตฺวา อุปปโนฺน นิพฺพโตฺตฯ
Atha vā yasmā ‘‘amutrāsi’’nti idaṃ anupubbena ārohantassa attano abhinīhārānurūpaṃ yathābalaṃ saraṇaṃ, ‘‘so tato cuto’’ti paṭinivattantassa paccavekkhaṇaṃ, tasmā ‘‘idhūpapanno’’ti imissā idhūpapattiyā anantaraṃ ‘‘amutra udapādi’’nti vuttaṃ. Tatrāpāsinti tatrapi bhave…pe… sattanikāye vā āsiṃ. Evaṃnāmoti datto vā mitto vā, evaṃgottoti vāseṭṭho vā kassapo vā. Evaṃvaṇṇoti kāḷo vā odāto vā. Evamāhāroti sudhāhāro vā sāliodanādiāhāro vā. Evaṃsukhadukkhappaṭisaṃvedīti dibbasukhappaṭisaṃvedī vā mānusasukhadukkhappaṭisaṃvedī vā. Evamāyupariyantoti evaṃ taṃtaṃparamāyupariyanto. So tato cutoti sohaṃ tato bhavādito cuto. Idhūpapannoti idha imasmiṃ carimabhave manusso hutvā upapanno nibbatto.
อิตีติ เอวํฯ สาการํ สอุเทฺทสนฺติ นามโคตฺตาทิวเสน สอุเทฺทสํ, วณฺณาทิวเสน สาการํฯ นามโคเตฺตน หิ สตฺตา ‘‘ติโสฺส โคตโม’’ติ อุทฺทิสียนฺติ, วณฺณาทีหิ ‘‘สาโม โอทาโต’’ติ นานตฺตโต ปญฺญายนฺติฯ ตสฺมา นามโคตฺตํ อุเทฺทโส, อิตเร อาการาฯ อยมสฺส ปฐมา วิชฺชา อธิคตาติ อยํ อิมินา ภิกฺขุนา ปฐมํ อธิคมวเสน ปฐมา, วิทิตกรณเฎฺฐน วิชฺชา อธิคตา สจฺฉิกตา โหติฯ กิํ ปนายํ วิทิตํ กโรติ? ปุเพฺพนิวาสํฯ อวิชฺชาติ ตเสฺสว ปุเพฺพนิวาสสฺส อวิทิตกรณเฎฺฐน ตสฺส ปฎิจฺฉาทกโมโห วุจฺจติฯ ตโมติ เสฺวว โมโห ปฎิจฺฉาทกเฎฺฐน ตโมติ วุจฺจติฯ อาโลโกติ สา เอว วิชฺชา โอภาสกรณเฎฺฐน อาโลโกฯ เอตฺถ จ วิชฺชา อธิคตาติ อยํ อโตฺถ, เสสํ ปสํสาวจนํฯ โยชนา ปเนตฺถ – อยํ โข เตน ภิกฺขุนา วิชฺชา อธิคตา, ตสฺส อธิคตวิชฺชสฺส อวิชฺชา วิหตา, วินฎฺฐาติ อโตฺถฯ กสฺมา? ยสฺมา วิชฺชา อุปฺปนฺนาติฯ เสสปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ
Itīti evaṃ. Sākāraṃ sauddesanti nāmagottādivasena sauddesaṃ, vaṇṇādivasena sākāraṃ. Nāmagottena hi sattā ‘‘tisso gotamo’’ti uddisīyanti, vaṇṇādīhi ‘‘sāmo odāto’’ti nānattato paññāyanti. Tasmā nāmagottaṃ uddeso, itare ākārā. Ayamassa paṭhamā vijjā adhigatāti ayaṃ iminā bhikkhunā paṭhamaṃ adhigamavasena paṭhamā, viditakaraṇaṭṭhena vijjā adhigatā sacchikatā hoti. Kiṃ panāyaṃ viditaṃ karoti? Pubbenivāsaṃ. Avijjāti tasseva pubbenivāsassa aviditakaraṇaṭṭhena tassa paṭicchādakamoho vuccati. Tamoti sveva moho paṭicchādakaṭṭhena tamoti vuccati. Ālokoti sā eva vijjā obhāsakaraṇaṭṭhena āloko. Ettha ca vijjā adhigatāti ayaṃ attho, sesaṃ pasaṃsāvacanaṃ. Yojanā panettha – ayaṃ kho tena bhikkhunā vijjā adhigatā, tassa adhigatavijjassa avijjā vihatā, vinaṭṭhāti attho. Kasmā? Yasmā vijjā uppannāti. Sesapadadvayepi eseva nayo.
ยถา ตนฺติ เอตฺถ ยถาติ โอปมฺมเตฺถ, ตนฺติ นิปาตมตฺตํฯ สติยา อวิปฺปวาเสน อปฺปมตฺตสฺสฯ วีริยาตาเปน อาตาปิโนฯ กาเย จ ชีวิเต จ อนเปกฺขตาย ปหิตตฺตสฺส เปสิตจิตฺตสฺสาติ อโตฺถฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา อปฺปมตฺตสฺส อาตาปิโน ปหิตตฺตสฺส วิหรโต อวิชฺชา วิหเญฺญยฺย, วิชฺชา อุปฺปเชฺชยฺย, ตโม วิหเญฺญยฺย, อาโลโก อุปฺปเชฺชยฺย; เอวเมว ตสฺส ภิกฺขุโน อวิชฺชา วิหตา, วิชฺชา อุปฺปนฺนา , ตโม วิหโต, อาโลโก อุปฺปโนฺน, ตสฺส ปธานานุโยคสฺส อนุรูปเมว ผลํ ลภิตฺวา วิหรตีติฯ
Yathā tanti ettha yathāti opammatthe, tanti nipātamattaṃ. Satiyā avippavāsena appamattassa. Vīriyātāpena ātāpino. Kāye ca jīvite ca anapekkhatāya pahitattassa pesitacittassāti attho. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā appamattassa ātāpino pahitattassa viharato avijjā vihaññeyya, vijjā uppajjeyya, tamo vihaññeyya, āloko uppajjeyya; evameva tassa bhikkhuno avijjā vihatā, vijjā uppannā , tamo vihato, āloko uppanno, tassa padhānānuyogassa anurūpameva phalaṃ labhitvā viharatīti.
ทิเพฺพน จกฺขุนาติ เอตฺถ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ วิสุเทฺธนาติ จุตูปปาตทสฺสเนน ทิฎฺฐิวิสุทฺธิเหตุภาวโต วิสุทฺธํฯ โย หิ จุติมตฺตเมว ปสฺสติ น อุปปาตํ, โส อุเจฺฉททิฎฺฐิํ คณฺหาติฯ โย อุปปาตมตฺตเมว ปสฺสติ น จุติํ, โส นวสตฺตปาตุภาวทิฎฺฐิํ คณฺหาติฯ โย ปน ตทุภยํ ปสฺสติ, โส ยสฺมา ทุวิธมฺปิ ตํ ทิฎฺฐิคตํ อติวตฺตติ, ตสฺมาสฺส ตํ ทสฺสนํ ทิฎฺฐิวิสุทฺธิเหตุ โหติ, ตทุภยมฺปายํ พุทฺธปุโตฺต ปสฺสติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘จุตูปปาตทสฺสเนน ทิฎฺฐิวิสุทฺธิเหตุภาวโต วิสุทฺธ’’นฺติฯ เอกาทสอุปกฺกิเลสวิรหโต วา วิสุทฺธํฯ ยถาห ‘‘วิจิกิจฺฉา จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโสติ – อิติ วิทิตฺวา วิจิกิจฺฉํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลสํ ปชหิํ, อมนสิกาโร…เป.… ถินมิทฺธํ, ฉมฺภิตตฺตํ, อุปฺปิลฺลํ, ทุฎฺฐุลฺลํ, อจฺจารทฺธวีริยํ, อติลีนวีริยํ, อภิชปฺปา, นานตฺตสญฺญา, อตินิชฺฌายิตตฺตํ รูปานํ จิตฺตสฺส อุปกฺกิเลโส’’ติ (ม. นิ. ๓.๒๔๒) เอวํ วุเตฺตหิ เอกาทสหิ อุปกฺกิเลเสหิ อนุปกฺกิลิฎฺฐตฺตา วิสุทฺธํฯ มนุสฺสูปจารํ อติกฺกมิตฺวา รูปทสฺสเนน อติกฺกนฺตมานุสกํ, มํสจกฺขุํ วา อติกฺกนฺตตฺตา อติกฺกนฺตมานุสกํฯ เตน ทิเพฺพน จกฺขุนา วิสุเทฺธน อติกฺกนฺตมานุสเกนฯ สเตฺต ปสฺสตีติ มนุสฺสมํสจกฺขุนา วิย สเตฺต ปสฺสติ ทกฺขติ อาโลเกติฯ
Dibbenacakkhunāti ettha yaṃ vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā vuttameva. Visuddhenāti cutūpapātadassanena diṭṭhivisuddhihetubhāvato visuddhaṃ. Yo hi cutimattameva passati na upapātaṃ, so ucchedadiṭṭhiṃ gaṇhāti. Yo upapātamattameva passati na cutiṃ, so navasattapātubhāvadiṭṭhiṃ gaṇhāti. Yo pana tadubhayaṃ passati, so yasmā duvidhampi taṃ diṭṭhigataṃ ativattati, tasmāssa taṃ dassanaṃ diṭṭhivisuddhihetu hoti, tadubhayampāyaṃ buddhaputto passati. Tena vuttaṃ ‘‘cutūpapātadassanena diṭṭhivisuddhihetubhāvato visuddha’’nti. Ekādasaupakkilesavirahato vā visuddhaṃ. Yathāha ‘‘vicikicchā cittassa upakkilesoti – iti viditvā vicikicchaṃ cittassa upakkilesaṃ pajahiṃ, amanasikāro…pe… thinamiddhaṃ, chambhitattaṃ, uppillaṃ, duṭṭhullaṃ, accāraddhavīriyaṃ, atilīnavīriyaṃ, abhijappā, nānattasaññā, atinijjhāyitattaṃ rūpānaṃ cittassa upakkileso’’ti (ma. ni. 3.242) evaṃ vuttehi ekādasahi upakkilesehi anupakkiliṭṭhattā visuddhaṃ. Manussūpacāraṃ atikkamitvā rūpadassanena atikkantamānusakaṃ, maṃsacakkhuṃ vā atikkantattā atikkantamānusakaṃ. Tena dibbena cakkhunā visuddhena atikkantamānusakena. Satte passatīti manussamaṃsacakkhunā viya satte passati dakkhati āloketi.
จวมาเน อุปปชฺชมาเนติ เอตฺถ จุติกฺขเณ อุปปตฺติกฺขเณ วา ทิพฺพจกฺขุนาปิ ทฎฺฐุํ น สกฺกาฯ เย ปน อาสนฺนจุติกา อิทานิ จวิสฺสนฺติ, เต จวมานาฯ เย จ คหิตปฎิสนฺธิกา สมฺปตินิพฺพตฺตา วา, เต อุปปชฺชมานาติ อธิเปฺปตาฯ เต เอวรูเป จวมาเน อุปปชฺชมาเน จ ปสฺสตีติ ทเสฺสติฯ หีเนติ โมหนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา หีนานํ ชาติกุลโภคาทีนํ วเสน หีฬิเต ปริภูเตฯ ปณีเตติ อโมหนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา ตพฺพิปรีเตฯ สุวเณฺณติ อโทสนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา อิฎฺฐกนฺตมนาปวณฺณยุเตฺตฯ ทุพฺพเณฺณติ โทสนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา อนิฎฺฐอกนฺตามนาปวณฺณยุเตฺตฯ อภิรูเป วิรูเปติปิ อโตฺถฯ สุคเตติ สุคติคเต, อโลภนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา วา อเฑฺฒ มหทฺธเนฯ ทุคฺคเตติ ทุคฺคติคเต, โลภนิสฺสนฺทยุตฺตตฺตา วา ทลิเทฺท อปฺปนฺนปานโภชเนฯ ยถากมฺมูปเคติ ยํ ยํ กมฺมํ อุปจิตํ, เตน เตน อุปคเต ฯ ตตฺถ ปุริเมหิ ‘‘จวมาเน’’ติอาทีหิ ทิพฺพจกฺขุกิจฺจํ วุตฺตํ, อิมินา ปน ปเทน ยถากมฺมูปคญาณกิจฺจํฯ
Cavamāne upapajjamāneti ettha cutikkhaṇe upapattikkhaṇe vā dibbacakkhunāpi daṭṭhuṃ na sakkā. Ye pana āsannacutikā idāni cavissanti, te cavamānā. Ye ca gahitapaṭisandhikā sampatinibbattā vā, te upapajjamānāti adhippetā. Te evarūpe cavamāne upapajjamāne ca passatīti dasseti. Hīneti mohanissandayuttattā hīnānaṃ jātikulabhogādīnaṃ vasena hīḷite paribhūte. Paṇīteti amohanissandayuttattā tabbiparīte. Suvaṇṇeti adosanissandayuttattā iṭṭhakantamanāpavaṇṇayutte. Dubbaṇṇeti dosanissandayuttattā aniṭṭhaakantāmanāpavaṇṇayutte. Abhirūpe virūpetipi attho. Sugateti sugatigate, alobhanissandayuttattā vā aḍḍhe mahaddhane. Duggateti duggatigate, lobhanissandayuttattā vā dalidde appannapānabhojane. Yathākammūpageti yaṃ yaṃ kammaṃ upacitaṃ, tena tena upagate . Tattha purimehi ‘‘cavamāne’’tiādīhi dibbacakkhukiccaṃ vuttaṃ, iminā pana padena yathākammūpagañāṇakiccaṃ.
ตสฺส จ ญาณสฺส อยํ อุปฺปตฺติกฺกโม – อิธ ภิกฺขุ เหฎฺฐา นิรยาภิมุขํ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา เนรยิเก สเตฺต ปสฺสติ มหนฺตํ ทุกฺขํ อนุภวมาเน, อิทํ ทสฺสนํ ทิพฺพจกฺขุญาณกิจฺจเมวฯ โส จ เอวํ มนสิ กโรติ ‘‘กิํ นุ โข กมฺมํ กตฺวา อิเม สตฺตา เอตํ ทุกฺขํ อนุภวนฺตี’’ติ, อถสฺส ‘‘อิทํ นาม กตฺวา’’ติ ตํกมฺมารมฺมณํ ญาณํ อุปฺปชฺชติฯ ตถา อุปริ เทวโลกาภิมุขํ อาโลกํ วเฑฺฒตฺวา นนฺทนวนมิสฺสกวนผารุสกวนาทีสุ สเตฺต ปสฺสติ ทิพฺพสมฺปตฺติํ อนุภวมาเน, อิทมฺปิ ทสฺสนํ ทิพฺพจกฺขุญาณกิจฺจเมวฯ โส เอวํ มนสิ กโรติ ‘‘กิํ นุ โข กมฺมํ กตฺวา อิเม สตฺตา เอตํ สมฺปตฺติํ อนุภวนฺตี’’ติ? อถสฺส ‘‘อิทํ นาม กตฺวา’’ติ ตํกมฺมารมฺมณํ ญาณํ อุปฺปชฺชติ, อิทํ ยถากมฺมูปคญาณํ นามฯ อิมสฺส วิสุํ ปริกมฺมํ นาม นตฺถิฯ ยถา จิมสฺส, เอวํ อนาคตํสญาณสฺสปิฯ ทิพฺพจกฺขุปาทกาเนว หิ อิมานิ ทิพฺพจกฺขุนา สเหว อิชฺฌนฺติฯ กายทุจฺจริเตนาติอาทีสุ ยํ วตฺตพฺพํ, ตํ เหฎฺฐา วุตฺตนยเมวฯ อิธ วิชฺชาติ ทิพฺพจกฺขุญาณวิชฺชาฯ อวิชฺชาติ สตฺตานํ จุติปฎิสนฺธิจฺฉาทิกา อวิชฺชาฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ
Tassa ca ñāṇassa ayaṃ uppattikkamo – idha bhikkhu heṭṭhā nirayābhimukhaṃ ālokaṃ vaḍḍhetvā nerayike satte passati mahantaṃ dukkhaṃ anubhavamāne, idaṃ dassanaṃ dibbacakkhuñāṇakiccameva. So ca evaṃ manasi karoti ‘‘kiṃ nu kho kammaṃ katvā ime sattā etaṃ dukkhaṃ anubhavantī’’ti, athassa ‘‘idaṃ nāma katvā’’ti taṃkammārammaṇaṃ ñāṇaṃ uppajjati. Tathā upari devalokābhimukhaṃ ālokaṃ vaḍḍhetvā nandanavanamissakavanaphārusakavanādīsu satte passati dibbasampattiṃ anubhavamāne, idampi dassanaṃ dibbacakkhuñāṇakiccameva. So evaṃ manasi karoti ‘‘kiṃ nu kho kammaṃ katvā ime sattā etaṃ sampattiṃ anubhavantī’’ti? Athassa ‘‘idaṃ nāma katvā’’ti taṃkammārammaṇaṃ ñāṇaṃ uppajjati, idaṃ yathākammūpagañāṇaṃ nāma. Imassa visuṃ parikammaṃ nāma natthi. Yathā cimassa, evaṃ anāgataṃsañāṇassapi. Dibbacakkhupādakāneva hi imāni dibbacakkhunā saheva ijjhanti. Kāyaduccaritenātiādīsu yaṃ vattabbaṃ, taṃ heṭṭhā vuttanayameva. Idha vijjāti dibbacakkhuñāṇavijjā. Avijjāti sattānaṃ cutipaṭisandhicchādikā avijjā. Sesaṃ vuttanayameva.
ตติยวาเร วิชฺชาติ อรหตฺตมคฺคญาณวิชฺชาฯ อวิชฺชาติ จตุสจฺจปฺปฎิจฺฉาทิกา อวิชฺชาฯ เสสํ เหฎฺฐา วุตฺตนยตฺตา สุวิเญฺญยฺยเมวฯ เอวํ โขติอาทิ นิคมนํฯ
Tatiyavāre vijjāti arahattamaggañāṇavijjā. Avijjāti catusaccappaṭicchādikā avijjā. Sesaṃ heṭṭhā vuttanayattā suviññeyyameva. Evaṃ khotiādi nigamanaṃ.
คาถาสุ อยํ สเงฺขปโตฺถ – โย ยถาวุตฺตํ ปุเพฺพนิวาสํ อเวติ อวคจฺฉติ, วุตฺตนเยน ปากฎํ กตฺวา ชานาติฯ ‘‘โยเวที’’ติปิ ปาโฐ, โย อเวทิ วิทิตํ กตฺวา ฐิโตติ อโตฺถฯ ฉพฺพีสติเทวโลกสงฺขาตํ สคฺคํ จตุพฺพิธํ อปายญฺจ วุตฺตนเยเนว ทิพฺพจกฺขุนา ปสฺสติฯ อโถติ ตโต ปรํ ชาติกฺขยสงฺขาตํ อรหตฺตํ นิพฺพานเมว วา ปโตฺต อธิคโตฯ ตโต เอว อภิญฺญา อภิวิสิฎฺฐาย มคฺคปญฺญาย ชานิตพฺพํ จตุสจฺจธมฺมํ ชานิตฺวา กิจฺจโวสาเนน โวสิโต นิฎฺฐานปฺปโตฺตฯ โมเนยฺยธมฺมสมนฺนาคเมน มุนิ, ขีณาสโว ยสฺมา เอตาหิ ยถาวุตฺตาหิ ตีหิ วิชฺชาหิ สมนฺนาคตตฺตา ตโต ตติยวิชฺชาย สพฺพถา พาหิตปาปตฺตา จ เตวิโชฺช พฺราหฺมโณ นาม โหติฯ ตสฺมา ตเมว อหํ เตวิชฺชํ พฺราหฺมณํ วทามิ, อญฺญํ ปน ลปิตลาปนํ ยชุอาทิมนฺตปทานํ อชฺฌาปนปรํ เตวิชฺชํ พฺราหฺมณํ น วทามิ, เตวิโชฺชติ ตํ น กเถมีติฯ
Gāthāsu ayaṃ saṅkhepattho – yo yathāvuttaṃ pubbenivāsaṃ aveti avagacchati, vuttanayena pākaṭaṃ katvā jānāti. ‘‘Yovedī’’tipi pāṭho, yo avedi viditaṃ katvā ṭhitoti attho. Chabbīsatidevalokasaṅkhātaṃ saggaṃ catubbidhaṃ apāyañca vuttanayeneva dibbacakkhunā passati. Athoti tato paraṃ jātikkhayasaṅkhātaṃ arahattaṃ nibbānameva vā patto adhigato. Tato eva abhiññā abhivisiṭṭhāya maggapaññāya jānitabbaṃ catusaccadhammaṃ jānitvā kiccavosānena vosito niṭṭhānappatto. Moneyyadhammasamannāgamena muni, khīṇāsavo yasmā etāhi yathāvuttāhi tīhi vijjāhi samannāgatattā tato tatiyavijjāya sabbathā bāhitapāpattā ca tevijjo brāhmaṇo nāma hoti. Tasmā tameva ahaṃ tevijjaṃ brāhmaṇaṃ vadāmi, aññaṃ pana lapitalāpanaṃ yajuādimantapadānaṃ ajjhāpanaparaṃ tevijjaṃ brāhmaṇaṃ na vadāmi, tevijjoti taṃ na kathemīti.
อิติ อิมสฺมิํ วเคฺค ทุติยสุเตฺต วฎฺฎํ กถิตํ, ปญฺจมอฎฺฐมทสมสุเตฺตสุ วิวฎฺฎํ กถิตํ, อิตเรสุ วฎฺฎวิวฎฺฎํ กถิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Iti imasmiṃ vagge dutiyasutte vaṭṭaṃ kathitaṃ, pañcamaaṭṭhamadasamasuttesu vivaṭṭaṃ kathitaṃ, itaresu vaṭṭavivaṭṭaṃ kathitanti veditabbaṃ.
ทสมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Dasamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปญฺจมวคฺควณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Pañcamavaggavaṇṇanā niṭṭhitā.
ปรมตฺถทีปนิยา ขุทฺทกนิกาย-อฎฺฐกถาย
Paramatthadīpaniyā khuddakanikāya-aṭṭhakathāya
อิติวุตฺตกสฺส ติกนิปาตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Itivuttakassa tikanipātavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๑๐. เตวิชฺชสุตฺตํ • 10. Tevijjasuttaṃ