Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๒. ฐานสุตฺตํ
2. Ṭhānasuttaṃ
๑๙๒. ‘‘จตฺตาริมานิ, ภิกฺขเว, ฐานานิ จตูหิ ฐาเนหิ เวทิตพฺพานิฯ กตมานิ จตฺตาริ? สํวาเสน, ภิกฺขเว, สีลํ เวทิตพฺพํ, ตญฺจ โข ทีเฆน อทฺธุนา, น อิตฺตรํ; มนสิกโรตา, โน อมนสิกโรตา; ปญฺญวตา, โน ทุปฺปเญฺญนฯ สํโวหาเรน, ภิกฺขเว, โสเจยฺยํ เวทิตพฺพํ, ตญฺจ โข ทีเฆน อทฺธุนา, น อิตฺตรํ; มนสิกโรตา, โน อมนสิกโรตา; ปญฺญวตา, โน ทุปฺปเญฺญนฯ อาปทาสุ, ภิกฺขเว, ถาโม เวทิตโพฺพ, โส จ โข ทีเฆน อทฺธุนา , น อิตฺตรํ; มนสิกโรตา, โน อมนสิกโรตา; ปญฺญวตา, โน ทุปฺปเญฺญนฯ สากจฺฉาย, ภิกฺขเว, ปญฺญา เวทิตพฺพา, สา จ โข ทีเฆน อทฺธุนา, น อิตฺตรํ; มนสิกโรตา, โน อมนสิกโรตา; ปญฺญวตา, โน ทุปฺปเญฺญนาติฯ
192. ‘‘Cattārimāni, bhikkhave, ṭhānāni catūhi ṭhānehi veditabbāni. Katamāni cattāri? Saṃvāsena, bhikkhave, sīlaṃ veditabbaṃ, tañca kho dīghena addhunā, na ittaraṃ; manasikarotā, no amanasikarotā; paññavatā, no duppaññena. Saṃvohārena, bhikkhave, soceyyaṃ veditabbaṃ, tañca kho dīghena addhunā, na ittaraṃ; manasikarotā, no amanasikarotā; paññavatā, no duppaññena. Āpadāsu, bhikkhave, thāmo veditabbo, so ca kho dīghena addhunā , na ittaraṃ; manasikarotā, no amanasikarotā; paññavatā, no duppaññena. Sākacchāya, bhikkhave, paññā veditabbā, sā ca kho dīghena addhunā, na ittaraṃ; manasikarotā, no amanasikarotā; paññavatā, no duppaññenāti.
1 ‘‘‘สํวาเสน , ภิกฺขเว, สีลํ เวทิตพฺพํ, ตญฺจ โข ทีเฆน อทฺธุนา, น อิตฺตรํ; มนสิกโรตา, โน อมนสิกโรตา; ปญฺญวตา, โน ทุปฺปเญฺญนา’ติ, อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํฯ กิเญฺจตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํ? อิธ, ภิกฺขเว, ปุคฺคโล ปุคฺคเลน สทฺธิํ สํวสมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ทีฆรตฺตํ โข อยมายสฺมา ขณฺฑการี ฉิทฺทการี สพลการี กมฺมาสการี, น สนฺตตการี น สนฺตตวุตฺติ 2; สีเลสุ ทุสฺสีโล อยมายสฺมา, นายมายสฺมา สีลวา’’’ติฯ
3 ‘‘‘Saṃvāsena , bhikkhave, sīlaṃ veditabbaṃ, tañca kho dīghena addhunā, na ittaraṃ; manasikarotā, no amanasikarotā; paññavatā, no duppaññenā’ti, iti kho panetaṃ vuttaṃ. Kiñcetaṃ paṭicca vuttaṃ? Idha, bhikkhave, puggalo puggalena saddhiṃ saṃvasamāno evaṃ jānāti – ‘dīgharattaṃ kho ayamāyasmā khaṇḍakārī chiddakārī sabalakārī kammāsakārī, na santatakārī na santatavutti 4; sīlesu dussīlo ayamāyasmā, nāyamāyasmā sīlavā’’’ti.
‘‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ปุคฺคโล ปุคฺคเลน สทฺธิํ สํวสมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ทีฆรตฺตํ โข อยมายสฺมา อขณฺฑการี อจฺฉิทฺทการี อสพลการี อกมฺมาสการี สนฺตตการี สนฺตตวุตฺติ; สีเลสุ สีลวา อยมายสฺมา, นายมายสฺมา ทุสฺสีโล’ติฯ ‘สํวาเสน, ภิกฺขเว, สีลํ เวทิตพฺพํ, ตญฺจ โข ทีเฆน อทฺธุนา, น อิตฺตรํ; มนสิกโรตา, โน อมนสิกโรตา; ปญฺญวตา, โน ทุปฺปเญฺญนา’ติ, อิติ ยํ ตํ วุตฺตํ อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํฯ
‘‘‘Idha pana, bhikkhave, puggalo puggalena saddhiṃ saṃvasamāno evaṃ jānāti – ‘dīgharattaṃ kho ayamāyasmā akhaṇḍakārī acchiddakārī asabalakārī akammāsakārī santatakārī santatavutti; sīlesu sīlavā ayamāyasmā, nāyamāyasmā dussīlo’ti. ‘Saṃvāsena, bhikkhave, sīlaṃ veditabbaṃ, tañca kho dīghena addhunā, na ittaraṃ; manasikarotā, no amanasikarotā; paññavatā, no duppaññenā’ti, iti yaṃ taṃ vuttaṃ idametaṃ paṭicca vuttaṃ.
‘‘‘สํโวหาเรน, ภิกฺขเว, โสเจยฺยํ เวทิตพฺพํ, ตญฺจ โข ทีเฆน อทฺธุนา, น อิตฺตรํ; มนสิกโรตา, โน อมนสิกโรตา; ปญฺญวตา, โน ทุปฺปเญฺญนา’ติ, อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํฯ กิเญฺจตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํ? อิธ, ภิกฺขเว, ปุคฺคโล ปุคฺคเลน สทฺธิํ สํโวหรมาโน เอวํ ชานาติ – ‘อญฺญถา โข อยมายสฺมา เอเกน เอโก โวหรติ, อญฺญถา ทฺวีหิ, อญฺญถา ตีหิ, อญฺญถา สมฺพหุเลหิ; โวกฺกมติ อยมายสฺมา ปุริมโวหารา ปจฺฉิมโวหารํ; อปริสุทฺธโวหาโร อยมายสฺมา, นายมายสฺมา ปริสุทฺธโวหาโร’’’ติฯ
‘‘‘Saṃvohārena, bhikkhave, soceyyaṃ veditabbaṃ, tañca kho dīghena addhunā, na ittaraṃ; manasikarotā, no amanasikarotā; paññavatā, no duppaññenā’ti, iti kho panetaṃ vuttaṃ. Kiñcetaṃ paṭicca vuttaṃ? Idha, bhikkhave, puggalo puggalena saddhiṃ saṃvoharamāno evaṃ jānāti – ‘aññathā kho ayamāyasmā ekena eko voharati, aññathā dvīhi, aññathā tīhi, aññathā sambahulehi; vokkamati ayamāyasmā purimavohārā pacchimavohāraṃ; aparisuddhavohāro ayamāyasmā, nāyamāyasmā parisuddhavohāro’’’ti.
‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ปุคฺคโล ปุคฺคเลน สทฺธิํ สํโวหรมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ยเถว โข อยมายสฺมา เอเกน เอโก โวหรติ, ตถา ทฺวีหิ, ตถา ตีหิ, ตถา สมฺพหุเลหิฯ นายมายสฺมา โวกฺกมติ ปุริมโวหารา ปจฺฉิมโวหารํ; ปริสุทฺธโวหาโร อยมายสฺมา, นายมายสฺมา อปริสุทฺธโวหาโร’ติ ฯ ‘สํโวหาเรน, ภิกฺขเว, โสเจยฺยํ เวทิตพฺพํ, ตญฺจ โข ทีเฆน อทฺธุนา, น อิตฺตรํ; มนสิกโรตา, โน อมนสิกโรตา; ปญฺญวตา, โน ทุปฺปเญฺญนา’ติ, อิติ ยํ ตํ วุตฺตํ อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํฯ
‘‘Idha pana, bhikkhave, puggalo puggalena saddhiṃ saṃvoharamāno evaṃ jānāti – ‘yatheva kho ayamāyasmā ekena eko voharati, tathā dvīhi, tathā tīhi, tathā sambahulehi. Nāyamāyasmā vokkamati purimavohārā pacchimavohāraṃ; parisuddhavohāro ayamāyasmā, nāyamāyasmā aparisuddhavohāro’ti . ‘Saṃvohārena, bhikkhave, soceyyaṃ veditabbaṃ, tañca kho dīghena addhunā, na ittaraṃ; manasikarotā, no amanasikarotā; paññavatā, no duppaññenā’ti, iti yaṃ taṃ vuttaṃ idametaṃ paṭicca vuttaṃ.
‘‘‘อาปทาสุ, ภิกฺขเว, ถาโม เวทิตโพฺพ, โส จ โข ทีเฆน อทฺธุนา, น อิตฺตรํ; มนสิกโรตา, โน อมนสิกโรตา; ปญฺญวตา, โน ทุปฺปเญฺญนา’ติ, อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํฯ กิเญฺจตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํ? อิธ, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ ญาติพฺยสเนน วา ผุโฎฺฐ สมาโน, โภคพฺยสเนน วา ผุโฎฺฐ สมาโน, โรคพฺยสเนน วา ผุโฎฺฐ สมาโน น อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘ตถาภูโต โข อยํ โลกสนฺนิวาโส ตถาภูโต อยํ อตฺตภาวปฎิลาโภ ยถาภูเต โลกสนฺนิวาเส ยถาภูเต อตฺตภาวปฎิลาเภ อฎฺฐ โลกธมฺมา โลกํ อนุปริวตฺตนฺติ โลโก จ อฎฺฐ โลกธเมฺม อนุปริวตฺตติ – ลาโภ จ, อลาโภ จ, ยโส จ, อยโส จ, นินฺทา จ, ปสํสา จ, สุขญฺจ, ทุกฺขญฺจา’ติฯ โส ญาติพฺยสเนน วา ผุโฎฺฐ สมาโน โภคพฺยสเนน วา ผุโฎฺฐ สมาโน โรคพฺยสเนน วา ผุโฎฺฐ สมาโน โสจติ กิลมติ ปริเทวติ, อุรตฺตาฬิํ กนฺทติ, สโมฺมหํ อาปชฺชติฯ
‘‘‘Āpadāsu, bhikkhave, thāmo veditabbo, so ca kho dīghena addhunā, na ittaraṃ; manasikarotā, no amanasikarotā; paññavatā, no duppaññenā’ti, iti kho panetaṃ vuttaṃ. Kiñcetaṃ paṭicca vuttaṃ? Idha, bhikkhave, ekacco ñātibyasanena vā phuṭṭho samāno, bhogabyasanena vā phuṭṭho samāno, rogabyasanena vā phuṭṭho samāno na iti paṭisañcikkhati – ‘tathābhūto kho ayaṃ lokasannivāso tathābhūto ayaṃ attabhāvapaṭilābho yathābhūte lokasannivāse yathābhūte attabhāvapaṭilābhe aṭṭha lokadhammā lokaṃ anuparivattanti loko ca aṭṭha lokadhamme anuparivattati – lābho ca, alābho ca, yaso ca, ayaso ca, nindā ca, pasaṃsā ca, sukhañca, dukkhañcā’ti. So ñātibyasanena vā phuṭṭho samāno bhogabyasanena vā phuṭṭho samāno rogabyasanena vā phuṭṭho samāno socati kilamati paridevati, urattāḷiṃ kandati, sammohaṃ āpajjati.
‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, เอกโจฺจ ญาติพฺยสเนน วา ผุโฎฺฐ สมาโน โภคพฺยสเนน วา ผุโฎฺฐ สมาโน โรคพฺยสเนน วา ผุโฎฺฐ สมาโน อิติ ปฎิสญฺจิกฺขติ – ‘ตถาภูโต โข อยํ โลกสนฺนิวาโส ตถาภูโต อยํ อตฺตภาวปฎิลาโภ ยถาภูเต โลกสนฺนิวาเส ยถาภูเต อตฺตภาวปฎิลาเภ อฎฺฐ โลกธมฺมา โลกํ อนุปริวตฺตนฺติ โลโก จ อฎฺฐ โลกธเมฺม อนุปริวตฺตติ – ลาโภ จ, อลาโภ จ, ยโส จ, อยโส จ, นินฺทา จ, ปสํสา จ, สุขญฺจ, ทุกฺขญฺจา’ติฯ โส ญาติพฺยสเนน วา ผุโฎฺฐ สมาโน โภคพฺยสเนน วา ผุโฎฺฐ สมาโน โรคพฺยสเนน วา ผุโฎฺฐ สมาโน น โสจติ น กิลมติ น ปริเทวติ, น อุรตฺตาฬิํ กนฺทติ, น สโมฺมหํ อาปชฺชติฯ ‘อาปทาสุ, ภิกฺขเว, ถาโม เวทิตโพฺพ, โส จ โข ทีเฆน อทฺธุนา, น อิตฺตรํ; มนสิกโรตา, โน อมนสิกโรตา; ปญฺญวตา, โน ทุปฺปเญฺญนา’ติ, อิติ ยํ ตํ วุตฺตํ อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํฯ
‘‘Idha pana, bhikkhave, ekacco ñātibyasanena vā phuṭṭho samāno bhogabyasanena vā phuṭṭho samāno rogabyasanena vā phuṭṭho samāno iti paṭisañcikkhati – ‘tathābhūto kho ayaṃ lokasannivāso tathābhūto ayaṃ attabhāvapaṭilābho yathābhūte lokasannivāse yathābhūte attabhāvapaṭilābhe aṭṭha lokadhammā lokaṃ anuparivattanti loko ca aṭṭha lokadhamme anuparivattati – lābho ca, alābho ca, yaso ca, ayaso ca, nindā ca, pasaṃsā ca, sukhañca, dukkhañcā’ti. So ñātibyasanena vā phuṭṭho samāno bhogabyasanena vā phuṭṭho samāno rogabyasanena vā phuṭṭho samāno na socati na kilamati na paridevati, na urattāḷiṃ kandati, na sammohaṃ āpajjati. ‘Āpadāsu, bhikkhave, thāmo veditabbo, so ca kho dīghena addhunā, na ittaraṃ; manasikarotā, no amanasikarotā; paññavatā, no duppaññenā’ti, iti yaṃ taṃ vuttaṃ idametaṃ paṭicca vuttaṃ.
‘‘‘สากจฺฉาย, ภิกฺขเว, ปญฺญา เวทิตพฺพา, สา จ โข ทีเฆน อทฺธุนา, น อิตฺตรํ; มนสิกโรตา, โน อมนสิกโรตา; ปญฺญวตา, โน ทุปฺปเญฺญนา’ติ , อิติ โข ปเนตํ วุตฺตํฯ กิเญฺจตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํ? อิธ, ภิกฺขเว, ปุคฺคโล ปุคฺคเลน สทฺธิํ สากจฺฉายมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ยถา โข อิมสฺส อายสฺมโต อุมฺมโคฺค ยถา จ อภินีหาโร ยถา จ ปญฺหาสมุทาหาโร, ทุปฺปโญฺญ อยมายสฺมา, นายมายสฺมา ปญฺญวาฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิ อยมายสฺมา น เจว คมฺภีรํ อตฺถปทํ อุทาหรติ สนฺตํ ปณีตํ อตกฺกาวจรํ นิปุณํ ปณฺฑิตเวทนียํฯ ยญฺจ อยมายสฺมา ธมฺมํ ภาสติ ตสฺส จ นปฺปฎิพโล สํขิเตฺตน วา วิตฺถาเรน วา อตฺถํ อาจิกฺขิตุํ เทเสตุํ ปญฺญาเปตุํ ปฎฺฐเปตุํ วิวริตุํ วิภชิตุํ อุตฺตานีกาตุํฯ ทุปฺปโญฺญ อยมายสฺมา, นายมายสฺมา ปญฺญวา’’’ติฯ
‘‘‘Sākacchāya, bhikkhave, paññā veditabbā, sā ca kho dīghena addhunā, na ittaraṃ; manasikarotā, no amanasikarotā; paññavatā, no duppaññenā’ti , iti kho panetaṃ vuttaṃ. Kiñcetaṃ paṭicca vuttaṃ? Idha, bhikkhave, puggalo puggalena saddhiṃ sākacchāyamāno evaṃ jānāti – ‘yathā kho imassa āyasmato ummaggo yathā ca abhinīhāro yathā ca pañhāsamudāhāro, duppañño ayamāyasmā, nāyamāyasmā paññavā. Taṃ kissa hetu? Tathā hi ayamāyasmā na ceva gambhīraṃ atthapadaṃ udāharati santaṃ paṇītaṃ atakkāvacaraṃ nipuṇaṃ paṇḍitavedanīyaṃ. Yañca ayamāyasmā dhammaṃ bhāsati tassa ca nappaṭibalo saṃkhittena vā vitthārena vā atthaṃ ācikkhituṃ desetuṃ paññāpetuṃ paṭṭhapetuṃ vivarituṃ vibhajituṃ uttānīkātuṃ. Duppañño ayamāyasmā, nāyamāyasmā paññavā’’’ti.
‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว, จกฺขุมา ปุริโส อุทกรหทสฺส ตีเร ฐิโต ปเสฺสยฺย ปริตฺตํ มจฺฉํ อุมฺมุชฺชมานํฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘ยถา โข อิมสฺส มจฺฉสฺส อุมฺมโคฺค ยถา จ อูมิฆาโต ยถา จ เวคายิตตฺตํ, ปริโตฺต อยํ มโจฺฉ, นายํ มโจฺฉ มหโนฺต’ติฯ เอวเมวํ โข, ภิกฺขเว, ปุคฺคโล ปุคฺคเลน สทฺธิํ สากจฺฉายมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ยถา โข อิมสฺส อายสฺมโต อุมฺมโคฺค ยถา จ อภินีหาโร ยถา จ ปญฺหาสมุทาหาโร, ทุปฺปโญฺญ อยมายสฺมา, นายมายสฺมา ปญฺญวาฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิ อยมายสฺมา น เจว คมฺภีรํ อตฺถปทํ อุทาหรติ สนฺตํ ปณีตํ อตกฺกาวจรํ นิปุณํ ปณฺฑิตเวทนียํฯ ยญฺจ อยมายสฺมา ธมฺมํ ภาสติ, ตสฺส จ น ปฎิพโล สํขิเตฺตน วา วิตฺถาเรน วา อตฺถํ อาจิกฺขิตุํ เทเสตุํ ปญฺญาเปตุํ ปฎฺฐเปตุํ วิวริตุํ วิภชิตุํ อุตฺตานีกาตุํฯ ทุปฺปโญฺญ อยมายสฺมา, นายมายสฺมา ปญฺญวา’’’ติฯ
‘‘Seyyathāpi, bhikkhave, cakkhumā puriso udakarahadassa tīre ṭhito passeyya parittaṃ macchaṃ ummujjamānaṃ. Tassa evamassa – ‘yathā kho imassa macchassa ummaggo yathā ca ūmighāto yathā ca vegāyitattaṃ, paritto ayaṃ maccho, nāyaṃ maccho mahanto’ti. Evamevaṃ kho, bhikkhave, puggalo puggalena saddhiṃ sākacchāyamāno evaṃ jānāti – ‘yathā kho imassa āyasmato ummaggo yathā ca abhinīhāro yathā ca pañhāsamudāhāro, duppañño ayamāyasmā, nāyamāyasmā paññavā. Taṃ kissa hetu? Tathā hi ayamāyasmā na ceva gambhīraṃ atthapadaṃ udāharati santaṃ paṇītaṃ atakkāvacaraṃ nipuṇaṃ paṇḍitavedanīyaṃ. Yañca ayamāyasmā dhammaṃ bhāsati, tassa ca na paṭibalo saṃkhittena vā vitthārena vā atthaṃ ācikkhituṃ desetuṃ paññāpetuṃ paṭṭhapetuṃ vivarituṃ vibhajituṃ uttānīkātuṃ. Duppañño ayamāyasmā, nāyamāyasmā paññavā’’’ti.
‘‘อิธ ปน, ภิกฺขเว, ปุคฺคโล ปุคฺคเลน สทฺธิํ สากจฺฉายมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ยถา โข อิมสฺส อายสฺมโต อุมฺมโคฺค ยถา จ อภินีหาโร ยถา จ ปญฺหาสมุทาหาโร, ปญฺญวา อยมายสฺมา, นายมายสฺมา ทุปฺปโญฺญฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิ อยมายสฺมา คมฺภีรเญฺจว อตฺถปทํ อุทาหรติ สนฺตํ ปณีตํ อตกฺกาวจรํ นิปุณํ ปณฺฑิตเวทนียํฯ ยญฺจ อยมายสฺมา ธมฺมํ ภาสติ, ตสฺส จ ปฎิพโล สํขิเตฺตน วา วิตฺถาเรน วา อตฺถํ อาจิกฺขิตุํ เทเสตุํ ปญฺญาเปตุํ ปฎฺฐเปตุํ วิวริตุํ วิภชิตุํ อุตฺตานีกาตุํฯ ปญฺญวา อยมายสฺมา, นายมายสฺมา ทุปฺปโญฺญ’’’ติฯ
‘‘Idha pana, bhikkhave, puggalo puggalena saddhiṃ sākacchāyamāno evaṃ jānāti – ‘yathā kho imassa āyasmato ummaggo yathā ca abhinīhāro yathā ca pañhāsamudāhāro, paññavā ayamāyasmā, nāyamāyasmā duppañño. Taṃ kissa hetu? Tathā hi ayamāyasmā gambhīrañceva atthapadaṃ udāharati santaṃ paṇītaṃ atakkāvacaraṃ nipuṇaṃ paṇḍitavedanīyaṃ. Yañca ayamāyasmā dhammaṃ bhāsati, tassa ca paṭibalo saṃkhittena vā vitthārena vā atthaṃ ācikkhituṃ desetuṃ paññāpetuṃ paṭṭhapetuṃ vivarituṃ vibhajituṃ uttānīkātuṃ. Paññavā ayamāyasmā, nāyamāyasmā duppañño’’’ti.
‘‘เสยฺยถาปิ , ภิกฺขเว, จกฺขุมา ปุริโส อุทกรหทสฺส ตีเร ฐิโต ปเสฺสยฺย มหนฺตํ มจฺฉํ อุมฺมุชฺชมานํฯ ตสฺส เอวมสฺส – ‘ยถา โข อิมสฺส มจฺฉสฺส อุมฺมโคฺค ยถา จ อูมิฆาโต ยถา จ เวคายิตตฺตํ, มหโนฺต อยํ มโจฺฉ, นายํ มโจฺฉ ปริโตฺต’ติฯ เอวเมวํ โข, ภิกฺขเว, ปุคฺคโล ปุคฺคเลน สทฺธิํ สากจฺฉายมาโน เอวํ ชานาติ – ‘ยถา โข อิมสฺส อายสฺมโต อุมฺมโคฺค ยถา จ อภินีหาโร ยถา จ ปญฺหาสมุทาหาโร, ปญฺญวา อยมายสฺมา, นายมายสฺมา ทุปฺปโญฺญฯ ตํ กิสฺส เหตุ? ตถา หิ อยมายสฺมา คมฺภีรเญฺจว อตฺถปทํ อุทาหรติ สนฺตํ ปณีตํ อตกฺกาวจรํ นิปุณํ ปณฺฑิตเวทนียํฯ ยญฺจ อยมายสฺมา ธมฺมํ ภาสติ, ตสฺส จ ปฎิพโล สํขิเตฺตน วา วิตฺถาเรน วา อตฺถํ อาจิกฺขิตุํ เทเสตุํ ปญฺญาเปตุํ ปฎฺฐเปตุํ วิวริตุํ วิภชิตุํ อุตฺตานีกาตุํฯ ปญฺญวา อยมายสฺมา, นายมายสฺมา ทุปฺปโญฺญ’ติฯ
‘‘Seyyathāpi , bhikkhave, cakkhumā puriso udakarahadassa tīre ṭhito passeyya mahantaṃ macchaṃ ummujjamānaṃ. Tassa evamassa – ‘yathā kho imassa macchassa ummaggo yathā ca ūmighāto yathā ca vegāyitattaṃ, mahanto ayaṃ maccho, nāyaṃ maccho paritto’ti. Evamevaṃ kho, bhikkhave, puggalo puggalena saddhiṃ sākacchāyamāno evaṃ jānāti – ‘yathā kho imassa āyasmato ummaggo yathā ca abhinīhāro yathā ca pañhāsamudāhāro, paññavā ayamāyasmā, nāyamāyasmā duppañño. Taṃ kissa hetu? Tathā hi ayamāyasmā gambhīrañceva atthapadaṃ udāharati santaṃ paṇītaṃ atakkāvacaraṃ nipuṇaṃ paṇḍitavedanīyaṃ. Yañca ayamāyasmā dhammaṃ bhāsati, tassa ca paṭibalo saṃkhittena vā vitthārena vā atthaṃ ācikkhituṃ desetuṃ paññāpetuṃ paṭṭhapetuṃ vivarituṃ vibhajituṃ uttānīkātuṃ. Paññavā ayamāyasmā, nāyamāyasmā duppañño’ti.
‘‘‘สากจฺฉาย, ภิกฺขเว, ปญฺญา เวทิตพฺพา, สา จ โข ทีเฆน อทฺธุนา, น อิตฺตรํ; มนสิกโรตา, โน อมนสิกโรตา; ปญฺญวตา, โน ทุปฺปเญฺญนา’ติ , อิติ ยํ ตํ วุตฺตํ อิทเมตํ ปฎิจฺจ วุตฺตํฯ อิมานิ โข, ภิกฺขเว, จตฺตาริ ฐานานิ อิเมหิ จตูหิ ฐาเนหิ เวทิตพฺพานี’’ติฯ ทุติยํฯ
‘‘‘Sākacchāya, bhikkhave, paññā veditabbā, sā ca kho dīghena addhunā, na ittaraṃ; manasikarotā, no amanasikarotā; paññavatā, no duppaññenā’ti , iti yaṃ taṃ vuttaṃ idametaṃ paṭicca vuttaṃ. Imāni kho, bhikkhave, cattāri ṭhānāni imehi catūhi ṭhānehi veditabbānī’’ti. Dutiyaṃ.
Footnotes:
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๒. ฐานสุตฺตวณฺณนา • 2. Ṭhānasuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๒. ฐานสุตฺตวณฺณนา • 2. Ṭhānasuttavaṇṇanā