Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มหาวคฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvagga-aṭṭhakathā |
เถยฺยสํวาสกวตฺถุกถา
Theyyasaṃvāsakavatthukathā
๑๑๐. ปุราณกุลปุโตฺตติ ปุราณสฺส อนุกฺกเมน ปาริชุญฺญํ ปตฺตสฺส กุลสฺส ปุโตฺตฯ มาติปกฺขปิติปกฺขโต โกลญฺญา ขีณา วินฎฺฐา มตา อสฺสาติ ขีณโกลโญฺญฯ อนธิคตนฺติ อปฺปตฺตํฯ ผาติํกาตุนฺติ วเฑฺฒตุํฯ อิงฺฆาติ อุโยฺยชนเตฺถ นิปาโตฯ อนุยุญฺชิยมาโนติ เอกมนฺตํ เนตฺวา เกสมสฺสุโอโรปนกาสายปฎิคฺคหณสรณคมนอุปชฺฌายคฺคหณกมฺมวาจานิสฺสยธเมฺม ปุจฺฉิยมาโนฯ เอตมตฺถํ อาโรเจสีติ เอตํ สยํ ปพฺพชิตภาวํ อาทิโต ปฎฺฐาย อาจิกฺขิฯ
110.Purāṇakulaputtoti purāṇassa anukkamena pārijuññaṃ pattassa kulassa putto. Mātipakkhapitipakkhato kolaññā khīṇā vinaṭṭhā matā assāti khīṇakolañño. Anadhigatanti appattaṃ. Phātiṃkātunti vaḍḍhetuṃ. Iṅghāti uyyojanatthe nipāto. Anuyuñjiyamānoti ekamantaṃ netvā kesamassuoropanakāsāyapaṭiggahaṇasaraṇagamanaupajjhāyaggahaṇakammavācānissayadhamme pucchiyamāno. Etamatthaṃ ārocesīti etaṃ sayaṃ pabbajitabhāvaṃ ādito paṭṭhāya ācikkhi.
เถยฺยสํวาสโก ภิกฺขเวติ เอตฺถ ตโย เถยฺยสํวาสกา – ลิงฺคเตฺถนโก, สํวาสเตฺถนโก, อุภยเตฺถนโกติฯ ตตฺถ โย สยํ ปพฺพชิตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา น ภิกฺขุวสฺสานิ คเณติ, น ยถาวุฑฺฒํ วนฺทนํ สาทิยติ, น อาสเนน ปฎิพาหติ, น อุโปสถปวารณาทีสุ สนฺทิสฺสติ, อยํ ลิงฺคมตฺตเสฺสว เถนิตตฺตา ลิงฺคเตฺถนโก นามฯ
Theyyasaṃvāsako bhikkhaveti ettha tayo theyyasaṃvāsakā – liṅgatthenako, saṃvāsatthenako, ubhayatthenakoti. Tattha yo sayaṃ pabbajitvā vihāraṃ gantvā na bhikkhuvassāni gaṇeti, na yathāvuḍḍhaṃ vandanaṃ sādiyati, na āsanena paṭibāhati, na uposathapavāraṇādīsu sandissati, ayaṃ liṅgamattasseva thenitattā liṅgatthenako nāma.
โย ปน ภิกฺขูหิ ปพฺพาชิโต สามเณโร สมาโนปิ วิเทสํ คนฺตฺวา ‘‘อหํ ทสวโสฺส วา วีสติวโสฺส วา’’ติ มุสา วตฺวา ภิกฺขุวสฺสานิ คเณติ, ยถาวุฑฺฒํ วนฺทนํ สาทิยติ, อาสเนน ปฎิพาหติ, อุโปสถปวารณาทีสุ สนฺทิสฺสติ, อยํ สํวาสมตฺตเสฺสว เถนิตตฺตา สํวาสเตฺถนโก นามฯ ภิกฺขุวสฺสคณนาทิโก หิ สโพฺพปิ กิริยเภโท อิมสฺมิํ อเตฺถ ‘‘สํวาโส’’ติ เวทิตโพฺพฯ สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย ‘‘น มํ โกจิ ชานาตี’’ติ เอวํ ปฎิปชฺชเนฺตปิ เอเสว นโยฯ
Yo pana bhikkhūhi pabbājito sāmaṇero samānopi videsaṃ gantvā ‘‘ahaṃ dasavasso vā vīsativasso vā’’ti musā vatvā bhikkhuvassāni gaṇeti, yathāvuḍḍhaṃ vandanaṃ sādiyati, āsanena paṭibāhati, uposathapavāraṇādīsu sandissati, ayaṃ saṃvāsamattasseva thenitattā saṃvāsatthenako nāma. Bhikkhuvassagaṇanādiko hi sabbopi kiriyabhedo imasmiṃ atthe ‘‘saṃvāso’’ti veditabbo. Sikkhaṃ paccakkhāya ‘‘na maṃ koci jānātī’’ti evaṃ paṭipajjantepi eseva nayo.
โย ปน สยํ ปพฺพชิตฺวา วิหารํ คนฺตฺวา ภิกฺขุวสฺสานิ คเณติ, ยถาวุฑฺฒํ วนฺทนํ สาทิยติ, อาสเนน ปฎิพาหติ, อุโปสถปวารณาทีสุ สนฺทิสฺสติ, อยํ ลิงฺคสฺส เจว สํวาสสฺส จ เถนิตตฺตา อุภยเตฺถนโก นามฯ อยํ ติวิโธปิ เถยฺยสํวาสโก อนุปสมฺปโนฺน น อุปสมฺปาเทตโพฺพ, อุปสมฺปโนฺน นาเสตโพฺพ, ปุน ปพฺพชฺชํ ยาจโนฺตปิ น ปพฺพาเชตโพฺพฯ
Yo pana sayaṃ pabbajitvā vihāraṃ gantvā bhikkhuvassāni gaṇeti, yathāvuḍḍhaṃ vandanaṃ sādiyati, āsanena paṭibāhati, uposathapavāraṇādīsu sandissati, ayaṃ liṅgassa ceva saṃvāsassa ca thenitattā ubhayatthenako nāma. Ayaṃ tividhopi theyyasaṃvāsako anupasampanno na upasampādetabbo, upasampanno nāsetabbo, puna pabbajjaṃ yācantopi na pabbājetabbo.
เอตฺถ จ อสโมฺมหตฺถํ อิทํ ปกิณฺณกํ เวทิตพฺพํ –
Ettha ca asammohatthaṃ idaṃ pakiṇṇakaṃ veditabbaṃ –
‘‘ราชทุพฺภิกฺขกนฺตาร-โรคเวริภเยหิ วา;
‘‘Rājadubbhikkhakantāra-rogaveribhayehi vā;
จีวราหรณตฺถํ วา, ลิงฺคํ อาทิยตีธ โยฯ
Cīvarāharaṇatthaṃ vā, liṅgaṃ ādiyatīdha yo.
สํวาสํ นาธิวาเสติ, ยาว โส สุทฺธมานโส;
Saṃvāsaṃ nādhivāseti, yāva so suddhamānaso;
เถยฺยสํวาสโก นาม, ตาว เอส น วุจฺจตี’’ติฯ
Theyyasaṃvāsako nāma, tāva esa na vuccatī’’ti.
ตตฺรายํ วิตฺถารนโย – อิเธกจฺจสฺส ราชา กุโทฺธ โหติ, โส ‘‘เอวํ เม โสตฺถิ ภวิสฺสตี’’ติ สยเมว ลิงฺคํ คเหตฺวา ปลายติฯ ตํ ทิสฺวา รโญฺญ อาโรเจนฺติฯ ราชา ‘‘สเจ ปพฺพชิโต, น ตํ ลพฺภา กิญฺจิ กาตุ’’นฺติ ตสฺมิํ โกธํ ปฎิวิเนติ, โส ‘‘วูปสนฺตํ เม ราชภย’’นฺติ สงฺฆมชฺฌํ อโนสริตฺวาว คิหิลิงฺคํ คเหตฺวา อาคโต ปพฺพาเชตโพฺพฯ อถาปิ ‘‘สาสนํ นิสฺสาย มยา ชีวิตํ ลทฺธํ, หนฺท ทานิ อหํ ปพฺพชามี’’ติ อุปฺปนฺนสํเวโค เตเนว ลิเงฺคน อาคนฺตฺวา อาคนฺตุกวตฺตํ น สาทิยติ, ภิกฺขูหิ ปุโฎฺฐ วา อปุโฎฺฐ วา ยถาภูตมตฺตานํ อาวิกตฺวา ปพฺพชฺชํ ยาจติ, ลิงฺคํ อปเนตฺวา ปพฺพาเชตโพฺพฯ สเจ ปน วตฺตํ สาทิยติ, ปพฺพชิตาลยํ ทเสฺสติ, สพฺพํ ปุเพฺพ วุตฺตํ วสฺสคณนาทิเภทํ วิธิํ ปฎิปชฺชติ, อยํ น ปพฺพาเชตโพฺพฯ
Tatrāyaṃ vitthāranayo – idhekaccassa rājā kuddho hoti, so ‘‘evaṃ me sotthi bhavissatī’’ti sayameva liṅgaṃ gahetvā palāyati. Taṃ disvā rañño ārocenti. Rājā ‘‘sace pabbajito, na taṃ labbhā kiñci kātu’’nti tasmiṃ kodhaṃ paṭivineti, so ‘‘vūpasantaṃ me rājabhaya’’nti saṅghamajjhaṃ anosaritvāva gihiliṅgaṃ gahetvā āgato pabbājetabbo. Athāpi ‘‘sāsanaṃ nissāya mayā jīvitaṃ laddhaṃ, handa dāni ahaṃ pabbajāmī’’ti uppannasaṃvego teneva liṅgena āgantvā āgantukavattaṃ na sādiyati, bhikkhūhi puṭṭho vā apuṭṭho vā yathābhūtamattānaṃ āvikatvā pabbajjaṃ yācati, liṅgaṃ apanetvā pabbājetabbo. Sace pana vattaṃ sādiyati, pabbajitālayaṃ dasseti, sabbaṃ pubbe vuttaṃ vassagaṇanādibhedaṃ vidhiṃ paṭipajjati, ayaṃ na pabbājetabbo.
อิธ ปเนกโจฺจ ทุพฺภิเกฺข ชีวิตุํ อสโกฺกโนฺต สยเมว ลิงฺคํ คเหตฺวา สพฺพปาสณฺฑิยภตฺตานิ ภุญฺชโนฺต ทุพฺภิเกฺข วีติวเตฺต สงฺฆมชฺฌํ อโนสริตฺวาว คิหิลิงฺคํ คเหตฺวา อาคโตติ สพฺพํ ปุริมสทิสเมว ฯ
Idha panekacco dubbhikkhe jīvituṃ asakkonto sayameva liṅgaṃ gahetvā sabbapāsaṇḍiyabhattāni bhuñjanto dubbhikkhe vītivatte saṅghamajjhaṃ anosaritvāva gihiliṅgaṃ gahetvā āgatoti sabbaṃ purimasadisameva .
อปโร มหากนฺตารํ นิตฺถริตุกาโม โหติ, สตฺถวาโห จ ปพฺพชิเต คเหตฺวา คจฺฉติฯ โส ‘‘เอวํ มํ สตฺถวาโห คเหตฺวา คมิสฺสตี’’ติ สยเมว ลิงฺคํ คเหตฺวา สตฺถวาเหน สทฺธิํ กนฺตารํ นิตฺถริตฺวา เขมนฺตํ ปตฺวา สงฺฆมชฺฌํ อโนสริตฺวาว คิหิลิงฺคํ คเหตฺวา อาคโตติ สพฺพํ ปุริมสทิสเมวฯ
Aparo mahākantāraṃ nittharitukāmo hoti, satthavāho ca pabbajite gahetvā gacchati. So ‘‘evaṃ maṃ satthavāho gahetvā gamissatī’’ti sayameva liṅgaṃ gahetvā satthavāhena saddhiṃ kantāraṃ nittharitvā khemantaṃ patvā saṅghamajjhaṃ anosaritvāva gihiliṅgaṃ gahetvā āgatoti sabbaṃ purimasadisameva.
อปโร โรคภเย อุปฺปเนฺน ชีวิตุํ อสโกฺกโนฺต สยเมว ลิงฺคํ คเหตฺวา สพฺพปาสณฺฑิยภตฺตานิ ภุญฺชโนฺต โรคภเย วูปสเนฺต สงฺฆมชฺฌํ อโนสริตฺวาว คิหิลิงฺคํ คเหตฺวา อาคโตติ สพฺพํ ปุริมสทิสเมวฯ
Aparo rogabhaye uppanne jīvituṃ asakkonto sayameva liṅgaṃ gahetvā sabbapāsaṇḍiyabhattāni bhuñjanto rogabhaye vūpasante saṅghamajjhaṃ anosaritvāva gihiliṅgaṃ gahetvā āgatoti sabbaṃ purimasadisameva.
อปรสฺส เอโก เวริโก กุโทฺธ โหติ, ฆาเตตุกาโม นํ วิจรติ, โส ‘‘เอวํ เม โสตฺถิ ภวิสฺสตี’’ติ สยเมว ลิงฺคํ คเหตฺวา ปลายติฯ เวริโก ‘‘กุหิํ โส’’ติ ปริเยสโนฺต ‘‘ปพฺพชิตฺวา ปลาโต’’ติ สุตฺวา ‘‘สเจ ปพฺพชิโต, น ตํ ลพฺภา กิญฺจิ กาตุ’’นฺติ ตสฺมิํ โกธํ ปฎิวิเนติฯ โส ‘‘วูปสนฺตํ เม เวริภย’’นฺติ สงฺฆมชฺฌํ อโนสริตฺวาว คิหิลิงฺคํ คเหตฺวา อาคโตติ สพฺพํ ปุริมสทิสเมวฯ
Aparassa eko veriko kuddho hoti, ghātetukāmo naṃ vicarati, so ‘‘evaṃ me sotthi bhavissatī’’ti sayameva liṅgaṃ gahetvā palāyati. Veriko ‘‘kuhiṃ so’’ti pariyesanto ‘‘pabbajitvā palāto’’ti sutvā ‘‘sace pabbajito, na taṃ labbhā kiñci kātu’’nti tasmiṃ kodhaṃ paṭivineti. So ‘‘vūpasantaṃ me veribhaya’’nti saṅghamajjhaṃ anosaritvāva gihiliṅgaṃ gahetvā āgatoti sabbaṃ purimasadisameva.
อปโร ญาติกุลํ คนฺตฺวา สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย คิหิ หุตฺวา ‘‘อิมานิ จีวรานิ อิธ วินสฺสิสฺสนฺติ, สเจปิ อิมานิ คเหตฺวา วิหารํ คมิสฺสามิ, อนฺตรามเคฺค มํ ‘โจโร’ติ คเหสฺสนฺติ, ยํนูนาหํ กายปริหาริยานิ กตฺวา คเจฺฉยฺย’’นฺติ จีวราหรณตฺถํ นิวาเสตฺวา จ ปารุปิตฺวา จ วิหารํ คจฺฉติฯ ตํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา สามเณรา จ ทหรา จ อพฺภุคฺคจฺฉนฺติ, วตฺตํ ทเสฺสนฺติฯ โส น สาทิยติ, ยถาภูตมตฺตานํ อาวิกโรติฯ สเจ ภิกฺขู ‘‘น ทานิ มยํ ตํ มุญฺจิสฺสามา’’ติ พลกฺกาเรน ปพฺพาเชตุกามา โหนฺติ, กาสายานิ อปเนตฺวา ปุน ปพฺพาเชตโพฺพฯ สเจ ปน ‘‘นยิเม มม หีนายาวตฺตภาวํ ชานนฺตี’’ติ ตํเยว ภิกฺขุภาวํ ปฎิชานิตฺวา สพฺพํ ปุเพฺพ วุตฺตํ วสฺสคณนาทิเภทํ วิธิํ ปฎิปชฺชติ, อยํ น ปพฺพาเชตโพฺพฯ
Aparo ñātikulaṃ gantvā sikkhaṃ paccakkhāya gihi hutvā ‘‘imāni cīvarāni idha vinassissanti, sacepi imāni gahetvā vihāraṃ gamissāmi, antarāmagge maṃ ‘coro’ti gahessanti, yaṃnūnāhaṃ kāyaparihāriyāni katvā gaccheyya’’nti cīvarāharaṇatthaṃ nivāsetvā ca pārupitvā ca vihāraṃ gacchati. Taṃ dūratova āgacchantaṃ disvā sāmaṇerā ca daharā ca abbhuggacchanti, vattaṃ dassenti. So na sādiyati, yathābhūtamattānaṃ āvikaroti. Sace bhikkhū ‘‘na dāni mayaṃ taṃ muñcissāmā’’ti balakkārena pabbājetukāmā honti, kāsāyāni apanetvā puna pabbājetabbo. Sace pana ‘‘nayime mama hīnāyāvattabhāvaṃ jānantī’’ti taṃyeva bhikkhubhāvaṃ paṭijānitvā sabbaṃ pubbe vuttaṃ vassagaṇanādibhedaṃ vidhiṃ paṭipajjati, ayaṃ na pabbājetabbo.
อปโร มหาสามเณโร ญาติกุลํ คนฺตฺวา อุปฺปพฺพชิตฺวา กมฺมนฺตานุฎฺฐาเนน อุพฺพาโฬฺห หุตฺวา ปุน ‘‘ทานิ อหํ สมโณว ภวิสฺสามิ, เถโรปิ เม อุปฺปพฺพชิตภาวํ น ชานาตี’’ติ ตเทว ปตฺตจีวรํ อาทาย วิหารํ อาคจฺฉติ, นาปิ ตมตฺถํ ภิกฺขูนํ อาโรเจติ, สามเณรภาวํ ปฎิชานาติ, อยํ เถยฺยสํวาสโกเยว ปพฺพชฺชํ น ลภติฯ สเจปิสฺส ลิงฺคคฺคหณกาเล เอวํ โหติ, ‘‘นาหํ กสฺสจิ อาโรเจสฺสามี’’ติ วิหารญฺจ คโต อาโรเจติ, คหเณเนว เถยฺยสํวาสโกฯ อถาปิสฺส ‘‘คหณกาเล อาจิกฺขิสฺสามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, วิหารญฺจ คนฺตฺวา ‘‘กุหิํ ตฺวํ อาวุโส คโต’’ติ วุโตฺต ‘‘น ทานิ มํ อิเม ชานนฺตี’’ติ วเญฺจตฺวา นาจิกฺขติ, ‘‘นาจิกฺขิสฺสามี’’ติ สห ธุรนิเกฺขเปน อยมฺปิ เถยฺยสํวาสโกวฯ สเจ ปนสฺส คหณกาเลปิ ‘‘อาจิกฺขิสฺสามี’’ติ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ, วิหารํ คนฺตฺวาปิ อาจิกฺขติ, อยํ ปุน ปพฺพชฺชํ ลภติฯ
Aparo mahāsāmaṇero ñātikulaṃ gantvā uppabbajitvā kammantānuṭṭhānena ubbāḷho hutvā puna ‘‘dāni ahaṃ samaṇova bhavissāmi, theropi me uppabbajitabhāvaṃ na jānātī’’ti tadeva pattacīvaraṃ ādāya vihāraṃ āgacchati, nāpi tamatthaṃ bhikkhūnaṃ āroceti, sāmaṇerabhāvaṃ paṭijānāti, ayaṃ theyyasaṃvāsakoyeva pabbajjaṃ na labhati. Sacepissa liṅgaggahaṇakāle evaṃ hoti, ‘‘nāhaṃ kassaci ārocessāmī’’ti vihārañca gato āroceti, gahaṇeneva theyyasaṃvāsako. Athāpissa ‘‘gahaṇakāle ācikkhissāmī’’ti cittaṃ uppannaṃ hoti, vihārañca gantvā ‘‘kuhiṃ tvaṃ āvuso gato’’ti vutto ‘‘na dāni maṃ ime jānantī’’ti vañcetvā nācikkhati, ‘‘nācikkhissāmī’’ti saha dhuranikkhepena ayampi theyyasaṃvāsakova. Sace panassa gahaṇakālepi ‘‘ācikkhissāmī’’ti cittaṃ uppannaṃ hoti, vihāraṃ gantvāpi ācikkhati, ayaṃ puna pabbajjaṃ labhati.
อปโร ทหรสามเณโร มหโนฺต วา ปน อพฺยโตฺต, โส ปุริมนเยเนว อุปฺปพฺพชิตฺวา ฆเร วจฺฉกรกฺขณาทีนิ กมฺมานิ กาตุํ น อิจฺฉติ, ตเมนํ ญาตกา ตานิเยว กาสายานิ อจฺฉาเทตฺวา ถาลกํ วา ปตฺตํ วา หเตฺถ ทตฺวา ‘‘คจฺฉ สมโณว โหหี’’ติ ฆรา นีหรนฺติฯ โส วิหารํ คจฺฉติ, เนว นํ ภิกฺขู ชานนฺติ ‘‘อยํ อุปฺปพฺพชิตฺวา ปุน สยเมว ปพฺพชิโต’’ติ, นาปิ สยํ ชานาติ, ‘‘โย เอวํ ปพฺพชติ, โส เถยฺยสํวาสโก นาม โหตี’’ติฯ สเจ ตํ ปริปุณฺณวสฺสํ อุปสมฺปาเทนฺติ, สูปสมฺปโนฺนฯ สเจ ปน อนุปสมฺปนฺนกาเลเยว วินยวินิจฺฉเย วตฺตมาเน สุณาติ, ‘‘โย เอวํ ปพฺพชติ, โส เถยฺยสํวาสโก นาม โหตี’’ติฯ เตน ‘‘มยา เอวํ กต’’นฺติ ภิกฺขูนํ อาจิกฺขิตพฺพํ, เอวํ ปุน ปพฺพชฺชํ ลภติฯ สเจ ‘‘น ทานิ มํ โกจิ ชานาตี’’ติ นาโรเจติ, ธุรํ นิกฺขิตฺตมเตฺต เถยฺยสํวาสโกฯ
Aparo daharasāmaṇero mahanto vā pana abyatto, so purimanayeneva uppabbajitvā ghare vacchakarakkhaṇādīni kammāni kātuṃ na icchati, tamenaṃ ñātakā tāniyeva kāsāyāni acchādetvā thālakaṃ vā pattaṃ vā hatthe datvā ‘‘gaccha samaṇova hohī’’ti gharā nīharanti. So vihāraṃ gacchati, neva naṃ bhikkhū jānanti ‘‘ayaṃ uppabbajitvā puna sayameva pabbajito’’ti, nāpi sayaṃ jānāti, ‘‘yo evaṃ pabbajati, so theyyasaṃvāsako nāma hotī’’ti. Sace taṃ paripuṇṇavassaṃ upasampādenti, sūpasampanno. Sace pana anupasampannakāleyeva vinayavinicchaye vattamāne suṇāti, ‘‘yo evaṃ pabbajati, so theyyasaṃvāsako nāma hotī’’ti. Tena ‘‘mayā evaṃ kata’’nti bhikkhūnaṃ ācikkhitabbaṃ, evaṃ puna pabbajjaṃ labhati. Sace ‘‘na dāni maṃ koci jānātī’’ti nāroceti, dhuraṃ nikkhittamatte theyyasaṃvāsako.
ภิกฺขุ สิกฺขํ ปจฺจกฺขาย ลิงฺคํ อนปเนตฺวา ทุสฺสีลกมฺมํ กตฺวา วา อกตฺวา วา ปุน สพฺพํ ปุเพฺพ วุตฺตํ วสฺสคณนาทิเภทํ วิธิํ ปฎิปชฺชติ, เถยฺยสํวาสโก โหติฯ สิกฺขํ อปฺปจฺจกฺขาย สลิเงฺค ฐิโต เมถุนํ ปฎิเสวิตฺวา วสฺสคณนาทิเภทํ วิธิํ อาปชฺชโนฺต เถยฺยสํวาสโก น โหติ, ปพฺพชฺชามตฺตํ ลภติฯ อนฺธกฎฺฐกถายํ ปน เอโส เถยฺยสํวาสโกติ วุตฺตํ, ตํ น คเหตพฺพํฯ
Bhikkhu sikkhaṃ paccakkhāya liṅgaṃ anapanetvā dussīlakammaṃ katvā vā akatvā vā puna sabbaṃ pubbe vuttaṃ vassagaṇanādibhedaṃ vidhiṃ paṭipajjati, theyyasaṃvāsako hoti. Sikkhaṃ appaccakkhāya saliṅge ṭhito methunaṃ paṭisevitvā vassagaṇanādibhedaṃ vidhiṃ āpajjanto theyyasaṃvāsako na hoti, pabbajjāmattaṃ labhati. Andhakaṭṭhakathāyaṃ pana eso theyyasaṃvāsakoti vuttaṃ, taṃ na gahetabbaṃ.
เอโก ภิกฺขุ กาสาเย สอุสฺสาโหว โอทาตํ นิวาเสตฺวา เมถุนํ ปฎิเสวิตฺวา ปุน กาสายานิ นิวาเสตฺวา วสฺสคณนาทิเภทํ สพฺพํ วิธิํ อาปชฺชติ, อยมฺปิ เถยฺยสํวาสโก น โหติ, ปพฺพชฺชามตฺตํ ลภติฯ สเจ ปน กาสาเย ธุรํ นิกฺขิปิตฺวา โอทาตํ นิวาเสตฺวา เมถุนํ ปฎิเสวิตฺวา ปุน กาสายานิ นิวาเสตฺวา วสฺสคณนาทิเภทํ สพฺพํ วิธิํ อาปชฺชติ, เถยฺยสํวาสโก โหติฯ
Eko bhikkhu kāsāye saussāhova odātaṃ nivāsetvā methunaṃ paṭisevitvā puna kāsāyāni nivāsetvā vassagaṇanādibhedaṃ sabbaṃ vidhiṃ āpajjati, ayampi theyyasaṃvāsako na hoti, pabbajjāmattaṃ labhati. Sace pana kāsāye dhuraṃ nikkhipitvā odātaṃ nivāsetvā methunaṃ paṭisevitvā puna kāsāyāni nivāsetvā vassagaṇanādibhedaṃ sabbaṃ vidhiṃ āpajjati, theyyasaṃvāsako hoti.
สามเณโร สลิเงฺค ฐิโต เมถุนาทิอสฺสมณกรณธมฺมํ อาปชฺชิตฺวาปิ เถยฺยสํวาสโก น โหติฯ สเจปิ กาสาเย สอุสฺสาโหว กาสายานิ อปเนตฺวา เมถุนํ ปฎิเสวิตฺวา ปุน กาสายานิ นิวาเสติ, เนว เถยฺยสํวาสโก โหติฯ สเจ ปน กาสาเย ธุรํ นิกฺขิปิตฺวา นโคฺค วา โอทาตนิวโตฺถ วา เมถุนเสวนาทีหิ อสฺสมโณ หุตฺวา กาสายํ นิวาเสติ, เถยฺยสํวาสโก โหติฯ สเจปิ คิหิภาวํ ปตฺถยมาโน กาสาวํ โอวฎฺฎิกํ วา กตฺวา อเญฺญน วา อากาเรน คิหินิวาสเนน นิวาเสติ ‘‘โสภติ นุ โข เม คิหิลิงฺคํ, น โสภตี’’ติ วีมํสนตฺถํ, รกฺขติ ตาวฯ ‘‘โสภตี’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ปน ปุน ลิงฺคํ สาทิยโนฺต เถยฺยสํวาสโก โหติฯ โอทาตํ นิวาเสตฺวา วีมํสนสมฺปฎิจฺฉเนสุปิ เอเสว นโยฯ
Sāmaṇero saliṅge ṭhito methunādiassamaṇakaraṇadhammaṃ āpajjitvāpi theyyasaṃvāsako na hoti. Sacepi kāsāye saussāhova kāsāyāni apanetvā methunaṃ paṭisevitvā puna kāsāyāni nivāseti, neva theyyasaṃvāsako hoti. Sace pana kāsāye dhuraṃ nikkhipitvā naggo vā odātanivattho vā methunasevanādīhi assamaṇo hutvā kāsāyaṃ nivāseti, theyyasaṃvāsako hoti. Sacepi gihibhāvaṃ patthayamāno kāsāvaṃ ovaṭṭikaṃ vā katvā aññena vā ākārena gihinivāsanena nivāseti ‘‘sobhati nu kho me gihiliṅgaṃ, na sobhatī’’ti vīmaṃsanatthaṃ, rakkhati tāva. ‘‘Sobhatī’’ti sampaṭicchitvā pana puna liṅgaṃ sādiyanto theyyasaṃvāsako hoti. Odātaṃ nivāsetvā vīmaṃsanasampaṭicchanesupi eseva nayo.
สเจ ปน นิวตฺถกาสายสฺส อุปริ โอทาตํ นิวาเสตฺวา วีมํสติ วา สมฺปฎิจฺฉติ วา, รกฺขติเยวฯ ภิกฺขุนิยาปิ เอเสว นโยฯ สาปิ หิ คิหิภาวํ ปตฺถยมานา สเจ กาสายํ คิหินิวาสนํ นิวาเสติ, ‘‘โสภติ นุ โข เม คิหิลิงฺคํ, น โสภตี’’ติ วีมํสนตฺถํ, รกฺขติ ตาวฯ สเจ ‘‘โสภตี’’ติ สมฺปฎิจฺฉติ, น รกฺขติฯ โอทาตํ นิวาเสตฺวา วีมํสนสมฺปฎิจฺฉเนสุปิ เอเสว นโยฯ นิวตฺถกาสายสฺส ปน อุปริ โอทาตํ นิวาเสตฺวา วีมํสตุ วา สมฺปฎิจฺฉตุ วา, รกฺขติเยวฯ
Sace pana nivatthakāsāyassa upari odātaṃ nivāsetvā vīmaṃsati vā sampaṭicchati vā, rakkhatiyeva. Bhikkhuniyāpi eseva nayo. Sāpi hi gihibhāvaṃ patthayamānā sace kāsāyaṃ gihinivāsanaṃ nivāseti, ‘‘sobhati nu kho me gihiliṅgaṃ, na sobhatī’’ti vīmaṃsanatthaṃ, rakkhati tāva. Sace ‘‘sobhatī’’ti sampaṭicchati, na rakkhati. Odātaṃ nivāsetvā vīmaṃsanasampaṭicchanesupi eseva nayo. Nivatthakāsāyassa pana upari odātaṃ nivāsetvā vīmaṃsatu vā sampaṭicchatu vā, rakkhatiyeva.
สเจ โกจิ วุฑฺฒปพฺพชิโต วสฺสานิ อคเณตฺวา ปาฬิยมฺปิ อฎฺฐตฺวา เอกปเสฺสนาคนฺตฺวา มหาเปฬาทีสุ กฎจฺฉุนา อุกฺขิเตฺต ภตฺตปิเณฺฑ ปตฺตํ อุปนาเมตฺวา เสโน วิย มํสเปสิํ คเหตฺวา คจฺฉติ, เถยฺยสํวาสโก น โหติฯ ภิกฺขุวสฺสานิ ปน คเณตฺวา คณฺหโนฺต เถยฺยสํวาสโก โหติฯ
Sace koci vuḍḍhapabbajito vassāni agaṇetvā pāḷiyampi aṭṭhatvā ekapassenāgantvā mahāpeḷādīsu kaṭacchunā ukkhitte bhattapiṇḍe pattaṃ upanāmetvā seno viya maṃsapesiṃ gahetvā gacchati, theyyasaṃvāsako na hoti. Bhikkhuvassāni pana gaṇetvā gaṇhanto theyyasaṃvāsako hoti.
สยํ สามเณโรว สามเณรปฎิปาฎิยา กูฎวสฺสานิ คเณตฺวา คณฺหโนฺต เถยฺยสํวาสโก น โหติฯ ภิกฺขุ ภิกฺขุปฎิปาฎิยา กูฎวสฺสานิ คเณตฺวา คณฺหโนฺต ภณฺฑเคฺฆน กาเรตโพฺพติฯ
Sayaṃ sāmaṇerova sāmaṇerapaṭipāṭiyā kūṭavassāni gaṇetvā gaṇhanto theyyasaṃvāsako na hoti. Bhikkhu bhikkhupaṭipāṭiyā kūṭavassāni gaṇetvā gaṇhanto bhaṇḍagghena kāretabboti.
เถยฺยสํวาสกวตฺถุกถา นิฎฺฐิตาฯ
Theyyasaṃvāsakavatthukathā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวคฺคปาฬิ • Mahāvaggapāḷi / ๔๘. เถยฺยสํวาสกวตฺถุ • 48. Theyyasaṃvāsakavatthu
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / เถยฺยสํวาสกวตฺถุกถาวณฺณนา • Theyyasaṃvāsakavatthukathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā / เถยฺยสํวาสกวตฺถุกถาวณฺณนา • Theyyasaṃvāsakavatthukathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / เถยฺยสํวาสกวตฺถุกถาวณฺณนา • Theyyasaṃvāsakavatthukathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / ปาจิตฺยาทิโยชนาปาฬิ • Pācityādiyojanāpāḷi / ๔๘. ติตฺถิยปกฺกนฺตกกถา • 48. Titthiyapakkantakakathā