Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๓๓๘] ๘. ถุสชาตกวณฺณนา
[338] 8. Thusajātakavaṇṇanā
วิทิตํ ถุสนฺติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรโนฺต อชาตสตฺตุํ อารพฺภ กเถสิฯ ตสฺมิํ กิร มาตุกุจฺฉิคเต ตสฺส มาตุ โกสลราชธีตาย พิมฺพิสารรโญฺญ ทกฺขิณชาณุโลหิตปิวนโทหโฬ อุปฺปชฺชิตฺวา ปณฺฑุ อโหสิฯ สา ปริจาริกาหิ ปุจฺฉิตา ตาสํ ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ ราชาปิ สุตฺวา เนมิตฺตเก ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘เทวิยา กิร เอวรูโป โทหโฬ อุปฺปโนฺน, ตสฺส กา นิปฺผตฺตี’’ติ ปุจฺฉิฯ เนมิตฺตกา ‘‘เทวิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺตกสโตฺต ตุเมฺห มาเรตฺวา รชฺชํ คณฺหิสฺสตี’’ติ อาหํสุฯ ราชา ‘‘สเจ มม ปุโตฺต มํ มาเรตฺวา รชฺชํ คณฺหิสฺสติ, โก เอตฺถ โทโส’’ติ ทกฺขิณชาณุํ สเตฺถน ผาลาเปตฺวา โลหิตํ สุวณฺณตฎฺฎเกน คาหาเปตฺวา เทวิยา ปาเยสิฯ สา จิเนฺตสิ ‘‘สเจ มม กุจฺฉิยํ นิพฺพโตฺต ปุโตฺต ปิตรํ มาเรสฺสติ, กิํ เม เตนา’’ติฯ สา คพฺภปาตนตฺถํ กุจฺฉิํ มทฺทาเปสิ ฯ
Viditaṃthusanti idaṃ satthā veḷuvane viharanto ajātasattuṃ ārabbha kathesi. Tasmiṃ kira mātukucchigate tassa mātu kosalarājadhītāya bimbisārarañño dakkhiṇajāṇulohitapivanadohaḷo uppajjitvā paṇḍu ahosi. Sā paricārikāhi pucchitā tāsaṃ tamatthaṃ ārocesi. Rājāpi sutvā nemittake pakkosāpetvā ‘‘deviyā kira evarūpo dohaḷo uppanno, tassa kā nipphattī’’ti pucchi. Nemittakā ‘‘deviyā kucchimhi nibbattakasatto tumhe māretvā rajjaṃ gaṇhissatī’’ti āhaṃsu. Rājā ‘‘sace mama putto maṃ māretvā rajjaṃ gaṇhissati, ko ettha doso’’ti dakkhiṇajāṇuṃ satthena phālāpetvā lohitaṃ suvaṇṇataṭṭakena gāhāpetvā deviyā pāyesi. Sā cintesi ‘‘sace mama kucchiyaṃ nibbatto putto pitaraṃ māressati, kiṃ me tenā’’ti. Sā gabbhapātanatthaṃ kucchiṃ maddāpesi .
ราชา ญตฺวา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ภเทฺท มยฺหํ กิร ปุโตฺต มํ มาเรตฺวา รชฺชํ คณฺหิสฺสติ, น โข ปนาหํ อชโร อมโร, ปุตฺตมุขํ ปสฺสิตุํ เม เทหิ, มา อิโต ปภุติ เอวรูปํ กมฺมํ อกาสี’’ติ อาหฯ สา ตโต ปฎฺฐาย อุยฺยานํ คนฺตฺวา กุจฺฉิํ มทฺทาเปสิฯ ราชา ญตฺวา ตโต ปฎฺฐาย อุยฺยานคมนํ นิวาเรสิฯ สา ปริปุณฺณคพฺภา ปุตฺตํ วิชายิฯ นามคฺคหณทิวเส จสฺส อชาตเสฺสว ปิตุ สตฺตุภาวโต ‘‘อชาตสตฺตุ’’เตฺวว นามมกํสุฯ ตสฺมิํ กุมารปริหาเรน วฑฺฒเนฺต สตฺถา เอกทิวสํ ปญฺจสตภิกฺขุปริวุโต รโญฺญ นิเวสนํ คนฺตฺวา นิสีทิฯ ราชา พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปณีเตน ขาทนียโภชนีเยน ปริวิสิตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา ธมฺมํ สุณโนฺต นิสีทิฯ ตสฺมิํ ขเณ กุมารํ มเณฺฑตฺวา รโญฺญ อทํสุฯ ราชา พลวสิเนเหน ปุตฺตํ คเหตฺวา อูรุมฺหิ นิสีทาเปตฺวา ปุตฺตคเตน เปเมน ปุตฺตเมว มมายโนฺต น ธมฺมํ สุณาติฯ สตฺถา ตสฺส ปมาทภาวํ ญตฺวา ‘‘มหาราช, ปุเพฺพ ราชาโน ปุเตฺต อาสงฺกมานา ปฎิจฺฉเนฺน กาเรตฺวา ‘อมฺหากํ อจฺจเยน นีหริตฺวา รเชฺช ปติฎฺฐาเปยฺยาถา’ติ อาณาเปสุ’’นฺติ วตฺวา เตน ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ
Rājā ñatvā taṃ pakkosāpetvā ‘‘bhadde mayhaṃ kira putto maṃ māretvā rajjaṃ gaṇhissati, na kho panāhaṃ ajaro amaro, puttamukhaṃ passituṃ me dehi, mā ito pabhuti evarūpaṃ kammaṃ akāsī’’ti āha. Sā tato paṭṭhāya uyyānaṃ gantvā kucchiṃ maddāpesi. Rājā ñatvā tato paṭṭhāya uyyānagamanaṃ nivāresi. Sā paripuṇṇagabbhā puttaṃ vijāyi. Nāmaggahaṇadivase cassa ajātasseva pitu sattubhāvato ‘‘ajātasattu’’tveva nāmamakaṃsu. Tasmiṃ kumāraparihārena vaḍḍhante satthā ekadivasaṃ pañcasatabhikkhuparivuto rañño nivesanaṃ gantvā nisīdi. Rājā buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ paṇītena khādanīyabhojanīyena parivisitvā satthāraṃ vanditvā dhammaṃ suṇanto nisīdi. Tasmiṃ khaṇe kumāraṃ maṇḍetvā rañño adaṃsu. Rājā balavasinehena puttaṃ gahetvā ūrumhi nisīdāpetvā puttagatena pemena puttameva mamāyanto na dhammaṃ suṇāti. Satthā tassa pamādabhāvaṃ ñatvā ‘‘mahārāja, pubbe rājāno putte āsaṅkamānā paṭicchanne kāretvā ‘amhākaṃ accayena nīharitvā rajje patiṭṭhāpeyyāthā’ti āṇāpesu’’nti vatvā tena yācito atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตกฺกสิลายํ ทิสาปาโมกฺขอาจริโย หุตฺวา พหู ราชกุมาเร จ พฺราหฺมณกุมาเร จ สิปฺปํ วาเจสิฯ พาราณสิรโญฺญปิ ปุโตฺต โสฬสวสฺสกาเล ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ตโย เวเท จ สพฺพสิปฺปานิ จ อุคฺคณฺหิตฺวา ปริปุณฺณสิโปฺป อาจริยํ อาปุจฺฉิฯ อาจริโย องฺควิชฺชาวเสน ตํ โอโลเกโนฺต ‘‘อิมสฺส ปุตฺตํ นิสฺสาย อนฺตราโย ปญฺญายติ, ตมหํ อตฺตโน อานุภาเวน หริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา จตโสฺส คาถา พนฺธิตฺวา ราชกุมารสฺส อทาสิ, เอวญฺจ ปน ตํ วเทสิ ‘‘ตาต, ปฐมํ คาถํ รเชฺช ปติฎฺฐาย ตว ปุตฺตสฺส โสฬสวสฺสกาเล ภตฺตํ ภุญฺชโนฺต วเทยฺยาสิ, ทุติยํ มหาอุปฎฺฐานกาเล, ตติยํ ปาสาทํ อภิรุหมาโน โสปานสีเส ฐตฺวา, จตุตฺถํ สยนสิริคพฺภํ ปวิสโนฺต อุมฺมาเร ฐตฺวา’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา อาจริยํ วนฺทิตฺวา คโต โอปรเชฺช ปติฎฺฐาย ปิตุ อจฺจเยน รเชฺช ปติฎฺฐาสิฯ ตสฺส ปุโตฺต โสฬสวสฺสกาเล รโญฺญ อุยฺยานกีฬาทีนํ อตฺถาย นิกฺขมนฺตสฺส สิริวิภวํ ทิสฺวา ปิตรํ มาเรตฺวา รชฺชํ คเหตุกาโม หุตฺวา อตฺตโน อุปฎฺฐากานํ กเถสิฯ เต ‘‘สาธุ เทว, มหลฺลกกาเล ลเทฺธน อิสฺสริเยน โก อโตฺถ, เยน เกนจิ อุปาเยน ราชานํ มาเรตฺวา รชฺชํ คณฺหิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วทิํสุฯ กุมาโร ‘‘วิสํ ขาทาเปตฺวา มาเรสฺสามี’’ติ ปิตรา สทฺธิํ สายมาสํ ภุญฺชโนฺต วิสํ คเหตฺวา นิสีทิฯ ราชา ภตฺตปาติยํ ภเตฺต อจฺฉุปเนฺตเยว ปฐมํ คาถมาห –
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto takkasilāyaṃ disāpāmokkhaācariyo hutvā bahū rājakumāre ca brāhmaṇakumāre ca sippaṃ vācesi. Bārāṇasiraññopi putto soḷasavassakāle tassa santikaṃ gantvā tayo vede ca sabbasippāni ca uggaṇhitvā paripuṇṇasippo ācariyaṃ āpucchi. Ācariyo aṅgavijjāvasena taṃ olokento ‘‘imassa puttaṃ nissāya antarāyo paññāyati, tamahaṃ attano ānubhāvena harissāmī’’ti cintetvā catasso gāthā bandhitvā rājakumārassa adāsi, evañca pana taṃ vadesi ‘‘tāta, paṭhamaṃ gāthaṃ rajje patiṭṭhāya tava puttassa soḷasavassakāle bhattaṃ bhuñjanto vadeyyāsi, dutiyaṃ mahāupaṭṭhānakāle, tatiyaṃ pāsādaṃ abhiruhamāno sopānasīse ṭhatvā, catutthaṃ sayanasirigabbhaṃ pavisanto ummāre ṭhatvā’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ācariyaṃ vanditvā gato oparajje patiṭṭhāya pitu accayena rajje patiṭṭhāsi. Tassa putto soḷasavassakāle rañño uyyānakīḷādīnaṃ atthāya nikkhamantassa sirivibhavaṃ disvā pitaraṃ māretvā rajjaṃ gahetukāmo hutvā attano upaṭṭhākānaṃ kathesi. Te ‘‘sādhu deva, mahallakakāle laddhena issariyena ko attho, yena kenaci upāyena rājānaṃ māretvā rajjaṃ gaṇhituṃ vaṭṭatī’’ti vadiṃsu. Kumāro ‘‘visaṃ khādāpetvā māressāmī’’ti pitarā saddhiṃ sāyamāsaṃ bhuñjanto visaṃ gahetvā nisīdi. Rājā bhattapātiyaṃ bhatte acchupanteyeva paṭhamaṃ gāthamāha –
๑๔๙.
149.
‘‘วิทิตํ ถุสํ อุนฺทุรานํ, วิทิตํ ปน ตณฺฑุลํ;
‘‘Viditaṃ thusaṃ undurānaṃ, viditaṃ pana taṇḍulaṃ;
ถุสํ ถุสํ วิวเชฺชตฺวา, ตณฺฑุลํ ปน ขาทเร’’ติฯ
Thusaṃ thusaṃ vivajjetvā, taṇḍulaṃ pana khādare’’ti.
ตตฺถ วิทิตนฺติ กาฬวทฺทเลปิ อนฺธกาเร อุนฺทุรานํ ถุโส ถุสภาเวน ตณฺฑุโล จ ตณฺฑุลภาเวน วิทิโต ปากโฎเยวฯ อิธ ปน ลิงฺควิปลฺลาสวเสน ‘‘ถุสํ ตณฺฑุล’’นฺติ วุตฺตํฯ ขาทเรติ ถุสํ ถุสํ วเชฺชตฺวา ตณฺฑุลเมว ขาทนฺติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ตาต กุมาร, ยถา อุนฺทุรานํ อนฺธกาเรปิ ถุโส ถุสภาเวน ตณฺฑุโล จ ตณฺฑุลภาเวน ปากโฎ, เต ถุสํ วเชฺชตฺวา ตณฺฑุลเมว ขาทนฺติ, เอวเมว มมปิ ตว วิสํ คเหตฺวา นิสินฺนภาโว ปากโฎติฯ
Tattha viditanti kāḷavaddalepi andhakāre undurānaṃ thuso thusabhāvena taṇḍulo ca taṇḍulabhāvena vidito pākaṭoyeva. Idha pana liṅgavipallāsavasena ‘‘thusaṃ taṇḍula’’nti vuttaṃ. Khādareti thusaṃ thusaṃ vajjetvā taṇḍulameva khādanti. Idaṃ vuttaṃ hoti – tāta kumāra, yathā undurānaṃ andhakārepi thuso thusabhāvena taṇḍulo ca taṇḍulabhāvena pākaṭo, te thusaṃ vajjetvā taṇḍulameva khādanti, evameva mamapi tava visaṃ gahetvā nisinnabhāvo pākaṭoti.
กุมาโร ‘‘ญาโตมฺหี’’ติ ภีโต ภตฺตปาติยํ วิสํ ปาเตตุํ อวิสหิตฺวา อุฎฺฐาย ราชานํ วนฺทิตฺวา คโตฯ โส ตมตฺถํ อตฺตโน อุปฎฺฐากานํ อาโรเจตฺวา ‘‘อชฺช ตาวมฺหิ ญาโต, อิทานิ กถํ มาเรสฺสามี’’ติ ปุจฺฉิฯ เต ตโต ปฎฺฐาย อุยฺยาเน ปฎิจฺฉนฺนา หุตฺวา นิกณฺณิกวเสน มนฺตยมานา ‘‘อเตฺถโก อุปาโย, ขคฺคํ สนฺนยฺหิตฺวา มหาอุปฎฺฐานํ คตกาเล อมจฺจานํ อนฺตเร ฐตฺวา รโญฺญ ปมตฺตภาวํ ญตฺวา ขเคฺคน ปหริตฺวา มาเรตุํ วฎฺฎตี’’ติ ววตฺถเปสุํฯ กุมาโร ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา มหาอุปฎฺฐานกาเล สนฺนทฺธขโคฺค หุตฺวา คนฺตฺวา อิโต จิโต จ รโญฺญ ปหรโณกาสํ อุปธาเรติฯ ตสฺมิํ ขเณ ราชา ทุติยํ คาถมาห –
Kumāro ‘‘ñātomhī’’ti bhīto bhattapātiyaṃ visaṃ pātetuṃ avisahitvā uṭṭhāya rājānaṃ vanditvā gato. So tamatthaṃ attano upaṭṭhākānaṃ ārocetvā ‘‘ajja tāvamhi ñāto, idāni kathaṃ māressāmī’’ti pucchi. Te tato paṭṭhāya uyyāne paṭicchannā hutvā nikaṇṇikavasena mantayamānā ‘‘attheko upāyo, khaggaṃ sannayhitvā mahāupaṭṭhānaṃ gatakāle amaccānaṃ antare ṭhatvā rañño pamattabhāvaṃ ñatvā khaggena paharitvā māretuṃ vaṭṭatī’’ti vavatthapesuṃ. Kumāro ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā mahāupaṭṭhānakāle sannaddhakhaggo hutvā gantvā ito cito ca rañño paharaṇokāsaṃ upadhāreti. Tasmiṃ khaṇe rājā dutiyaṃ gāthamāha –
๑๕๐.
150.
‘‘ยา มนฺตนา อรญฺญสฺมิํ, ยา จ คาเม นิกณฺณิกา;
‘‘Yā mantanā araññasmiṃ, yā ca gāme nikaṇṇikā;
ยเญฺจตํ อิติ จีติ จ, เอตมฺปิ วิทิตํ มยา’’ติฯ
Yañcetaṃ iti cīti ca, etampi viditaṃ mayā’’ti.
ตตฺถ อรญฺญสฺมินฺติ อุยฺยาเนฯ นิกณฺณิกาติ กณฺณมูเล มนฺตนาฯ ยเญฺจตํ อิติ จีติ จาติ ยญฺจ เอตํ อิทานิ มม ปหรโณกาสปริเยสนํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ตาต กุมาร, ยา เอสา ตว อตฺตโน อุปฎฺฐาเกหิ สทฺธิํ อุยฺยาเน จ คาเม จ นิกณฺณิกา มนฺตนา, ยเญฺจตํ อิทานิ มม มารณตฺถาย อิติ จีติ จ กรณํ, เอตมฺปิ สพฺพํ มยา ญาตนฺติฯ
Tattha araññasminti uyyāne. Nikaṇṇikāti kaṇṇamūle mantanā. Yañcetaṃ iti cīti cāti yañca etaṃ idāni mama paharaṇokāsapariyesanaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – tāta kumāra, yā esā tava attano upaṭṭhākehi saddhiṃ uyyāne ca gāme ca nikaṇṇikā mantanā, yañcetaṃ idāni mama māraṇatthāya iti cīti ca karaṇaṃ, etampi sabbaṃ mayā ñātanti.
กุมาโร ‘‘ชานาติ เม เวริภาวํ ปิตา’’ติ ตโต ปลายิตฺวา อุปฎฺฐากานํ อาโรเจสิฯ เต สตฺตฎฺฐ ทิวเส อติกฺกมิตฺวา ‘‘กุมาร, น เต ปิตา, เวริภาวํ ชานาติ, ตกฺกมเตฺตน ตฺวํ เอวํสญฺญี อโหสิ, มาเรหิ น’’นฺติ วทิํสุฯ โส เอกทิวสํ ขคฺคํ คเหตฺวา โสปานมตฺถเก คพฺภทฺวาเร อฎฺฐาสิฯ ราชา โสปานมตฺถเก ฐิโต ตติยํ คาถมาห –
Kumāro ‘‘jānāti me veribhāvaṃ pitā’’ti tato palāyitvā upaṭṭhākānaṃ ārocesi. Te sattaṭṭha divase atikkamitvā ‘‘kumāra, na te pitā, veribhāvaṃ jānāti, takkamattena tvaṃ evaṃsaññī ahosi, mārehi na’’nti vadiṃsu. So ekadivasaṃ khaggaṃ gahetvā sopānamatthake gabbhadvāre aṭṭhāsi. Rājā sopānamatthake ṭhito tatiyaṃ gāthamāha –
๑๕๑.
151.
‘‘ธเมฺมน กิร ชาตสฺส, ปิตา ปุตฺตสฺสฺส มกฺกโฎ;
‘‘Dhammena kira jātassa, pitā puttasssa makkaṭo;
ทหรเสฺสว สนฺตสฺส, ทเนฺตหิ ผลมจฺฉิทา’’ติฯ
Daharasseva santassa, dantehi phalamacchidā’’ti.
ตตฺถ ธเมฺมนาติ สภาเวนฯ ปิตา ปุตฺตสฺส มกฺกโฎติ ปิตา มกฺกโฎ ปุตฺตสฺส มกฺกฎโปตกสฺสฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยถา อรเญฺญ ชาโต มกฺกโฎ อตฺตโน ยูถปริหรณํ อาสงฺกโนฺต ตรุณสฺส มกฺกฎโปตกสฺส ทเนฺตหิ ผลํ ฉินฺทิตฺวา ปุริสภาวํ นาเสติ, ตถา ตว อติรชฺชกามสฺส ผลานิ อุปฺปาฎาเปตฺวา ปุริสภาวํ นาเสสฺสามีติฯ
Tattha dhammenāti sabhāvena. Pitā puttassa makkaṭoti pitā makkaṭo puttassa makkaṭapotakassa. Idaṃ vuttaṃ hoti – yathā araññe jāto makkaṭo attano yūthapariharaṇaṃ āsaṅkanto taruṇassa makkaṭapotakassa dantehi phalaṃ chinditvā purisabhāvaṃ nāseti, tathā tava atirajjakāmassa phalāni uppāṭāpetvā purisabhāvaṃ nāsessāmīti.
กุมาโร ‘‘คณฺหาเปตุกาโม มํ ปิตา’’ติ ภีโต ปลายิตฺวา ‘‘ปิตรามฺหิ สนฺตชฺชิโต’’ติ อุปฎฺฐากานํ อาโรเจสิฯ เต อฑฺฒมาสมเตฺต วีติวเตฺต ‘‘กุมาร, สเจ ราชา ชาเนยฺย, เอตฺตกํ กาลํ นาธิวาเสยฺย, ตกฺกมเตฺตน ตยา กถิตํ, มาเรหิ น’’นฺติ วทิํสุฯ โส เอกทิวสํ ขคฺคํ คเหตฺวา อุปริปาสาเท สิริสยนํ ปวิสิตฺวา ‘‘อาคจฺฉนฺตเมว นํ มาเรสฺสามี’’ติ เหฎฺฐาปลฺลเงฺก นิสีทิฯ ราชา ภุตฺตสายมาโส ปริชนํ อุโยฺยเชตฺวา ‘‘นิปชฺชิสฺสามี’’ติ สิริคพฺภํ ปวิสโนฺต อุมฺมาเร ฐตฺวา จตุตฺถํ คาถมาห –
Kumāro ‘‘gaṇhāpetukāmo maṃ pitā’’ti bhīto palāyitvā ‘‘pitarāmhi santajjito’’ti upaṭṭhākānaṃ ārocesi. Te aḍḍhamāsamatte vītivatte ‘‘kumāra, sace rājā jāneyya, ettakaṃ kālaṃ nādhivāseyya, takkamattena tayā kathitaṃ, mārehi na’’nti vadiṃsu. So ekadivasaṃ khaggaṃ gahetvā uparipāsāde sirisayanaṃ pavisitvā ‘‘āgacchantameva naṃ māressāmī’’ti heṭṭhāpallaṅke nisīdi. Rājā bhuttasāyamāso parijanaṃ uyyojetvā ‘‘nipajjissāmī’’ti sirigabbhaṃ pavisanto ummāre ṭhatvā catutthaṃ gāthamāha –
๑๕๒.
152.
‘‘ยเมตํ ปริสปฺปสิ, อชกาโณว สาสเป;
‘‘Yametaṃ parisappasi, ajakāṇova sāsape;
โยปายํ เหฎฺฐโต เสติ, เอตมฺปิ วิทิตํ มยา’’ติฯ
Yopāyaṃ heṭṭhato seti, etampi viditaṃ mayā’’ti.
ตตฺถ ปริสปฺปสีติ ภเยน อิโต จิโต จ สปฺปสิฯ สาสเปติ สาสปเขเตฺตฯ โยปายนฺติ โยปิ อยํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยมฺปิ เอตํ ตฺวํ สาสปวนํ ปวิฎฺฐกาณเอฬโก วิย ภเยน อิโต จิโต จ สํสปฺปสิ, ปฐมํ วิสํ คเหตฺวา อาคโตสิ, ทุติยํ ขเคฺคน ปหริตุกาโม หุตฺวา อาคโตสิ, ตติยํ ขคฺคํ อาทาย โสปานมตฺถเก อฎฺฐาสิ, อิทานิ มํ ‘‘มาเรสฺสามี’’ติ เหฎฺฐาสยเน นิปโนฺนสิ, สพฺพเมตํ ชานามิ, น ตํ อิทานิ วิสฺสเชฺชมิ, คเหตฺวา ราชาณํ การาเปสฺสามีติฯ เอวํ ตสฺส อชานนฺตเสฺสว สา สา คาถา ตํ ตํ อตฺถํ ทีเปติฯ
Tattha parisappasīti bhayena ito cito ca sappasi. Sāsapeti sāsapakhette. Yopāyanti yopi ayaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – yampi etaṃ tvaṃ sāsapavanaṃ paviṭṭhakāṇaeḷako viya bhayena ito cito ca saṃsappasi, paṭhamaṃ visaṃ gahetvā āgatosi, dutiyaṃ khaggena paharitukāmo hutvā āgatosi, tatiyaṃ khaggaṃ ādāya sopānamatthake aṭṭhāsi, idāni maṃ ‘‘māressāmī’’ti heṭṭhāsayane nipannosi, sabbametaṃ jānāmi, na taṃ idāni vissajjemi, gahetvā rājāṇaṃ kārāpessāmīti. Evaṃ tassa ajānantasseva sā sā gāthā taṃ taṃ atthaṃ dīpeti.
กุมาโร ‘‘ญาโตมฺหิ ปิตรา, อิทานิ มํ นาเสฺสสฺสตี’’ติ ภยปฺปโตฺต เหฎฺฐาสยนา นิกฺขมิตฺวา ขคฺคํ รโญฺญ ปาทมูเล ฉเฑฺฑตฺวา ‘‘ขมาหิ เม, เทวา’’ติ ปาทมูเล อุเรน นิปชฺชิฯ ราชา ‘‘น มยฺหํ โกจิ กมฺมํ ชานาตีติ ตฺวํ จิเนฺตสี’’ติ ตํ ตเชฺชตฺวา สงฺขลิกพนฺธเนน พนฺธาเปตฺวา พนฺธนาคารํ ปเวสาเปตฺวา อารกฺขํ ฐเปสิฯ ตทา ราชา โพธิสตฺตสฺส คุณํ สลฺลเกฺขสิฯ โส อปรภาเค กาลมกาสิ, ตสฺส สรีรกิจฺจํ กตฺวา กุมารํ พนฺธนาคารา นีหริตฺวา รเชฺช ปติฎฺฐาเปสุํฯ
Kumāro ‘‘ñātomhi pitarā, idāni maṃ nāssessatī’’ti bhayappatto heṭṭhāsayanā nikkhamitvā khaggaṃ rañño pādamūle chaḍḍetvā ‘‘khamāhi me, devā’’ti pādamūle urena nipajji. Rājā ‘‘na mayhaṃ koci kammaṃ jānātīti tvaṃ cintesī’’ti taṃ tajjetvā saṅkhalikabandhanena bandhāpetvā bandhanāgāraṃ pavesāpetvā ārakkhaṃ ṭhapesi. Tadā rājā bodhisattassa guṇaṃ sallakkhesi. So aparabhāge kālamakāsi, tassa sarīrakiccaṃ katvā kumāraṃ bandhanāgārā nīharitvā rajje patiṭṭhāpesuṃ.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา ตกฺกสิลายํ ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā takkasilāyaṃ disāpāmokkho ācariyo ahameva ahosi’’nti.
ถุสชาตกวณฺณนา อฎฺฐมาฯ
Thusajātakavaṇṇanā aṭṭhamā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๓๓๘. ถุสชาตกํ • 338. Thusajātakaṃ