Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā

    ๔. อฎฺฐกถากณฺฑํ

    4. Aṭṭhakathākaṇḍaṃ

    ติกอตฺถุทฺธารวณฺณนา

    Tikaatthuddhāravaṇṇanā

    ๑๓๘๔. นยมคฺคนฺติ สุตฺตนฺตภาชนียาทินยคมนํ อนุโลมาทินยคมนญฺจฯ ตมฺปิ หิ เอตฺถ อเตฺถสุ นิจฺฉิเตสุ สุขํ สมาเนนฺติฯ ปญฺหุทฺธารนฺติ เอกูนปญฺญาสาย เอกูนปญฺญาสาย นวสุ นวสุ จ ปเญฺหสุ ลพฺภมานสฺส อุทฺธรณํ, เตสุเยว ลพฺภมานานํ คณนานํ ฐปนํ คณนาจาโรฯ อตฺถุทฺธารนฺติ ‘‘อิเม นาม จิตฺตุปฺปาทาทโย อตฺถา กุสลาทิกา’’ติ อุทฺธรณํฯ กณฺณิกํ กณฺณิกนฺติ จิตฺตุปฺปาทกณฺฑรูปกเณฺฑสุ วิภเตฺต ปสเฎ ธเมฺม ‘‘จตูสุ ภูมีสุ กุสลํ ทฺวาทสากุสลจิตฺตุปฺปาทา’’ติอาทินา ราสิราสิวเสน สห คเนฺถตฺวาติ อโตฺถฯ ฆฎโคจฺฉกา กณฺณิกเววจนาเนวฯ เอตฺถ ปน จตูสุ ภูมีสุ กุสลนฺติ เอกวจนนิเทฺทโส จตุภูมกานํ กุสลผสฺสาทีนํ กุสลภาเว เอกตฺตูปคมนโตฯ จิตฺตุปฺปาทกณฺฑรูปกเณฺฑสุ จตุภูมิจิตฺตุปฺปาทาทิวเสน วิญฺญาตธมฺมสฺส วเสนายํ อตฺถุทฺธารเทสนา อารทฺธาติ ตตฺถ ยํ จตูสุ ภูมีสุ กุสลํ วิภตฺตํ ยาว วิญฺญาตํ, อิเม ธมฺมา กุสลาติ อโตฺถฯ

    1384. Nayamagganti suttantabhājanīyādinayagamanaṃ anulomādinayagamanañca. Tampi hi ettha atthesu nicchitesu sukhaṃ samānenti. Pañhuddhāranti ekūnapaññāsāya ekūnapaññāsāya navasu navasu ca pañhesu labbhamānassa uddharaṇaṃ, tesuyeva labbhamānānaṃ gaṇanānaṃ ṭhapanaṃ gaṇanācāro. Atthuddhāranti ‘‘ime nāma cittuppādādayo atthā kusalādikā’’ti uddharaṇaṃ. Kaṇṇikaṃ kaṇṇikanti cittuppādakaṇḍarūpakaṇḍesu vibhatte pasaṭe dhamme ‘‘catūsu bhūmīsu kusalaṃ dvādasākusalacittuppādā’’tiādinā rāsirāsivasena saha ganthetvāti attho. Ghaṭagocchakā kaṇṇikavevacanāneva. Ettha pana catūsu bhūmīsu kusalanti ekavacananiddeso catubhūmakānaṃ kusalaphassādīnaṃ kusalabhāve ekattūpagamanato. Cittuppādakaṇḍarūpakaṇḍesu catubhūmicittuppādādivasena viññātadhammassa vasenāyaṃ atthuddhāradesanā āraddhāti tattha yaṃ catūsu bhūmīsu kusalaṃ vibhattaṃ yāva viññātaṃ, ime dhammā kusalāti attho.

    ยทิปิ กุสลตฺติกวิตฺถาโร ปุเพฺพ วิญฺญาโต, ตถาปิ ตตฺถ ธมฺมา สมยวเสน ผสฺสาทิสภาววเสน จ วิภตฺตา ภินฺนา วิญฺญาตา, น ปน เอกสฺมิํ ลกฺขเณ สมาเนตฺวา, ตสฺมา ตตฺถ วุตฺตํ สมยาทิเภทํ วเชฺชตฺวา สพฺพเภทภินฺนานํ เอกสฺมิํ กุสลาทิลกฺขเณ สมาเนตฺวา โพธนตฺถํ อิธ กุสลตฺติกนิเทฺทโส ปุน วิภโตฺตฯ เอตฺถ จ เอกวจเนน กุสลนิเทฺทสํ กตฺวา พหุวจเนน นิคมนสฺส การณํ วุตฺตเมวฯ ยทิ ธมฺมานํ กุสลเตฺต เอกตฺตูปคมนํ, กสฺมา เอกวจเนน ปุจฺฉาปิ น กตา? อุเทฺทเส กุสล-สทฺทสฺส ธมฺมวิเสสนภาวโต ตพฺพิเสสนานํ ธมฺมานํ ปุจฺฉิตตฺตา เตสญฺจ อนิทฺธาริตสงฺขาวิเสสตฺตา, นิเทฺทเส ปน จตูหิ ภูมีหิ วิตฺถารโต วิญฺญาตาหิ กุสเล วิเสเสตฺวา ทเสฺสตีติ ยุตฺตํ ‘‘จตูสุ ภูมีสุ กุสล’’นฺติ เอกตฺตํ เนตฺวา วจนํฯ กุสลปทญฺหิ เอตฺถ ปธานํ, ตญฺจ วิเสสิตพฺพานเปกฺขํ กุสลาการเมว อตฺตโน สภาเว ฐิตํ คเหตฺวา ปวตฺตมานํ เอกตฺตเมว อุปาทาย ปวตฺตติ, น เภทนฺติฯ

    Yadipi kusalattikavitthāro pubbe viññāto, tathāpi tattha dhammā samayavasena phassādisabhāvavasena ca vibhattā bhinnā viññātā, na pana ekasmiṃ lakkhaṇe samānetvā, tasmā tattha vuttaṃ samayādibhedaṃ vajjetvā sabbabhedabhinnānaṃ ekasmiṃ kusalādilakkhaṇe samānetvā bodhanatthaṃ idha kusalattikaniddeso puna vibhatto. Ettha ca ekavacanena kusalaniddesaṃ katvā bahuvacanena nigamanassa kāraṇaṃ vuttameva. Yadi dhammānaṃ kusalatte ekattūpagamanaṃ, kasmā ekavacanena pucchāpi na katā? Uddese kusala-saddassa dhammavisesanabhāvato tabbisesanānaṃ dhammānaṃ pucchitattā tesañca aniddhāritasaṅkhāvisesattā, niddese pana catūhi bhūmīhi vitthārato viññātāhi kusale visesetvā dassetīti yuttaṃ ‘‘catūsu bhūmīsu kusala’’nti ekattaṃ netvā vacanaṃ. Kusalapadañhi ettha padhānaṃ, tañca visesitabbānapekkhaṃ kusalākārameva attano sabhāve ṭhitaṃ gahetvā pavattamānaṃ ekattameva upādāya pavattati, na bhedanti.

    ๑๓๘๕. ทฺวาทส อกุสลจิตฺตุปฺปาทาติ เอตฺถาปิ ปฐมากุสลจิตฺตุปฺปาโท สมยผสฺสาทิวเสน เภทํ อนามสิตฺวา โสมนสฺสสหคตทิฎฺฐิคตสมฺปยุตฺตจิตฺตุปฺปาทภาเว เอกตฺตํ เนตฺวา วุโตฺต, เอวํ ยาว ทฺวาทสโมติ ‘‘ทฺวาทส อกุสลจิตฺตุปฺปาทา’’ติ วุตฺตํฯ เอวํ จตูสุ ภูมีสุ วิปาโกติอาทีสุปิ ยถาโยคํ โยเชตพฺพํฯ จิตฺตุปฺปาทาติ เอตฺถ อุปฺปชฺชติ เอตฺถาติ อุปฺปาโท, กิํ อุปฺปชฺชติ? จิตฺตํ, จิตฺตสฺส อุปฺปาโท จิตฺตุปฺปาโทติ เอวํ อวยเวน สมุทาโยปลกฺขณวเสน อโตฺถ สมฺภวติฯ เอวญฺหิ สติ จิตฺตเจตสิกราสิ จิตฺตุปฺปาโทติ สิโทฺธ โหติฯ อฎฺฐกถายํ ปน ‘‘จิตฺตเมว อุปฺปาโท จิตฺตุปฺปาโท’’ติ อญฺญสฺสุปฺปชฺชนกสฺส นิวตฺตนตฺถํ จิตฺตคฺคหณํ กตํ, จิตฺตสฺส อนุปฺปชฺชนกภาวนิวตฺตนตฺถํ อุปฺปาทคฺคหณํ, จิตฺตุปฺปาทกเณฺฑ วา ‘‘จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหตี’’ติ จิตฺตสฺส อุปฺปชฺชนกภาโว ปากโฎติ กตฺวา ‘‘จิตฺตเมว อุปฺปาโท’’ติ วุตฺตํ, จิตฺตสฺส อนุปฺปชฺชนกสฺส นิวเตฺตตพฺพสฺส สพฺภาวา อุปฺปาทคฺคหณํ กตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อยญฺจโตฺถ ‘‘เทฺวปญฺจวิญฺญาณานี’’ติอาทีสุ วิย จิตฺตปฺปธาโน นิเทฺทโสติ กตฺวา วุโตฺตติ ทฎฺฐโพฺพฯ

    1385. Dvādasaakusalacittuppādāti etthāpi paṭhamākusalacittuppādo samayaphassādivasena bhedaṃ anāmasitvā somanassasahagatadiṭṭhigatasampayuttacittuppādabhāve ekattaṃ netvā vutto, evaṃ yāva dvādasamoti ‘‘dvādasa akusalacittuppādā’’ti vuttaṃ. Evaṃ catūsu bhūmīsu vipākotiādīsupi yathāyogaṃ yojetabbaṃ. Cittuppādāti ettha uppajjati etthāti uppādo, kiṃ uppajjati? Cittaṃ, cittassa uppādo cittuppādoti evaṃ avayavena samudāyopalakkhaṇavasena attho sambhavati. Evañhi sati cittacetasikarāsi cittuppādoti siddho hoti. Aṭṭhakathāyaṃ pana ‘‘cittameva uppādo cittuppādo’’ti aññassuppajjanakassa nivattanatthaṃ cittaggahaṇaṃ kataṃ, cittassa anuppajjanakabhāvanivattanatthaṃ uppādaggahaṇaṃ, cittuppādakaṇḍe vā ‘‘cittaṃ uppannaṃ hotī’’ti cittassa uppajjanakabhāvo pākaṭoti katvā ‘‘cittameva uppādo’’ti vuttaṃ, cittassa anuppajjanakassa nivattetabbassa sabbhāvā uppādaggahaṇaṃ katanti veditabbaṃ. Ayañcattho ‘‘dvepañcaviññāṇānī’’tiādīsu viya cittappadhāno niddesoti katvā vuttoti daṭṭhabbo.

    ๑๔๒๐. ฉสุ ทฺวาเรสูติ เอตฺถ ปญฺจทฺวาเร วตฺตพฺพเมว นตฺถิ, มโนทฺวาเรปิ ปริตฺตารมฺมณเมว ชวนํ ตทารมฺมณสงฺขาตํ ภวงฺคํ อนุพนฺธติฯ ตญฺหิ ปริตฺตสฺส กมฺมสฺส วิปาโก, วิปาโก จ อิฎฺฐานิฎฺฐารมฺมณานุภวนํ, กมฺมานุรูโป จ วิปาโก โหตีติ ปริตฺตกมฺมวิปาโก ปริตฺตารมฺมณเสฺสว อนุภวนํ โหติฯ ตสฺมา สพฺพํ ตทารมฺมณํ ‘‘ปริตฺตารมฺมณ’’นฺติ วุตฺตํฯ ยทิ เอวํ มหคฺคตวิปาโกปิ มหคฺคตานุภวนเมว อาปชฺชตีติ เจ? น, สมาธิปฺปธานสฺส กมฺมสฺส อปฺปนาปฺปตฺตสฺส สญฺญาวสารมฺมณสฺส ตาทิเสเนว วิปาเกน ภวิตพฺพตฺตาฯ ตสฺมา สมาธิ สุขานุภวนภูโต, โสปิ กมฺมานุรูปโตเยว กมฺมารมฺมโณ โหตีติ ทฎฺฐโพฺพฯ กมฺมานุรูปโต เอว จ ตทารมฺมณํ ปริตฺตารมฺมณมฺปิ มหคฺคตชวนํ นานุพนฺธติฯ ตโต เอว ปฎิสนฺธิอาทิภูโต กามาวจรวิปาโก กมฺมนิมิตฺตมฺปิ ปริตฺตเมว อารมฺมณํ กโรติ, น มหคฺคตํ อปฺปมาณํ วาฯ ยสฺมา ปน วุตฺตํ ‘‘มหคฺคตารมฺมโณ ธโมฺม ปริตฺตารมฺมณสฺส ธมฺมสฺส กมฺมปจฺจเยน ปจฺจโย, อปฺปมาณารมฺมโณ ธโมฺม ปริตฺตารมฺมณสฺส ธมฺมสฺส กมฺมปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ, น จ มหคฺคตปฺปมาณวิปาโก ปริตฺตารมฺมโณ อตฺถิ, อิธ จ สพฺพกามาวจรวิปากานํ ปริตฺตารมฺมณตาว วุตฺตา, ตสฺมา กมฺมานุรูปโต มหคฺคตปฺปมาณารมฺมณมฺปิ ปริตฺตกมฺมํ ยทิ ปฎิสนฺธิํ เทติ, กมฺมคตินิมิตฺตารมฺมณเมว เทติฯ ปวตฺติวิปากมฺปิ รูปาทิปริตฺตารมฺมณเมวาติ เวทิตพฺพํฯ ขีณาสวานํ วาสนาวเสน สติวิปฺปยุตฺตหสนํ ปวตฺตมานํ ปริเตฺตเสฺวว ปวตฺตติ, น อิตเรสุ กิเลสวิรเห ตาทิสหสนปจฺจยภาวาภาวโตฯ ตสฺมา ตสฺส ปริตฺตารมฺมณตา วุตฺตาฯ ขีณาสวานํ อสกฺกจฺจทานาทีนิ อาทรากรณวเสเนว เวทิตพฺพานิ, น โกสชฺชาทิอกุสลวเสนฯ ปฎิปฺปสฺสทฺธสพฺพุสฺสุกฺกา หิ เต อุตฺตมปุริสาติฯ เตสํ อาทรากรณญฺจ นิรุสฺสุกฺกตา เอวาติ เวทิตพฺพาฯ

    1420. Chasu dvāresūti ettha pañcadvāre vattabbameva natthi, manodvārepi parittārammaṇameva javanaṃ tadārammaṇasaṅkhātaṃ bhavaṅgaṃ anubandhati. Tañhi parittassa kammassa vipāko, vipāko ca iṭṭhāniṭṭhārammaṇānubhavanaṃ, kammānurūpo ca vipāko hotīti parittakammavipāko parittārammaṇasseva anubhavanaṃ hoti. Tasmā sabbaṃ tadārammaṇaṃ ‘‘parittārammaṇa’’nti vuttaṃ. Yadi evaṃ mahaggatavipākopi mahaggatānubhavanameva āpajjatīti ce? Na, samādhippadhānassa kammassa appanāppattassa saññāvasārammaṇassa tādiseneva vipākena bhavitabbattā. Tasmā samādhi sukhānubhavanabhūto, sopi kammānurūpatoyeva kammārammaṇo hotīti daṭṭhabbo. Kammānurūpato eva ca tadārammaṇaṃ parittārammaṇampi mahaggatajavanaṃ nānubandhati. Tato eva paṭisandhiādibhūto kāmāvacaravipāko kammanimittampi parittameva ārammaṇaṃ karoti, na mahaggataṃ appamāṇaṃ vā. Yasmā pana vuttaṃ ‘‘mahaggatārammaṇo dhammo parittārammaṇassa dhammassa kammapaccayena paccayo, appamāṇārammaṇo dhammo parittārammaṇassa dhammassa kammapaccayena paccayo’’ti, na ca mahaggatappamāṇavipāko parittārammaṇo atthi, idha ca sabbakāmāvacaravipākānaṃ parittārammaṇatāva vuttā, tasmā kammānurūpato mahaggatappamāṇārammaṇampi parittakammaṃ yadi paṭisandhiṃ deti, kammagatinimittārammaṇameva deti. Pavattivipākampi rūpādiparittārammaṇamevāti veditabbaṃ. Khīṇāsavānaṃ vāsanāvasena sativippayuttahasanaṃ pavattamānaṃ parittesveva pavattati, na itaresu kilesavirahe tādisahasanapaccayabhāvābhāvato. Tasmā tassa parittārammaṇatā vuttā. Khīṇāsavānaṃ asakkaccadānādīni ādarākaraṇavaseneva veditabbāni, na kosajjādiakusalavasena. Paṭippassaddhasabbussukkā hi te uttamapurisāti. Tesaṃ ādarākaraṇañca nirussukkatā evāti veditabbā.

    ๑๔๒๑. อติปคุณานนฺติ วจนํ นิราทรสฺส ญาณวิปฺปยุตฺตปจฺจเวกฺขณสฺส วิสยทสฺสนํ, น ตเสฺสวาติ วิสยนิยมนํฯ ญาณสมฺปยุตฺตสฺสปิ หิ อติปคุณานํ วิสยตา สุฎฺฐุตรํ โหติ เอวฯ ยถา ปคุณํ คนฺถํ สชฺฌายโนฺต เทฺว ตโย วาจนามเคฺค คเตปิ น สลฺลเกฺขติ ญาณวิปฺปยุตฺตสติมเนฺตน สชฺฌายิตตฺตา, เอวํ ปคุณชฺฌาเนสุปิ ปวตฺติ โหตีติ อาห ‘‘อติปคุณาน’’นฺติอาทิฯ กสิณนิมิตฺตาทิปญฺญตฺตีติ ปุเพฺพ ทสฺสิตํ สพฺพํ อุปาทาปญฺญตฺติมาหฯ ตํ ปน รูปาทโย วิย อวิชฺชมาโน วิชฺชมาโน จ อโตฺถติ อาจริยา วทนฺติฯ สมฺมุติสเจฺจ ปน วุจฺจมานานํ กสิณนิมิตฺตาทิ วาจาวตฺถุมตฺตโต วจนโวหาเรเนว ปญฺญตฺตีติ วุจฺจติฯ ตสฺส หิ ปญฺญาปนํ อวิชฺชมานปญฺญตฺตีติ ตสฺส อวิชฺชมานตฺตํ อฎฺฐกถายํ วุตฺตนฺติฯ อวิชฺชมานมฺปิ ปน ตํ วิชฺชมานมิว คเหตฺวา ปวตฺตมานาย สญฺญาย ปริตฺตาทีสุ ‘‘อยํ นาม ธโมฺม อารมฺมณ’’นฺติ น สกฺกา วตฺตุํ เต เอว ธเมฺม อุปาทาย ปวตฺตมานายปิ ธเมฺมเสฺวว อฎฺฐานโตฯ ตสฺมา สา สสมฺปยุตฺตา ปริตฺตาทิอารมฺมณาติ น วตฺตพฺพาติ วุตฺตาฯ นวตฺตพฺพารมฺมณาติ อิทํ ปน วจนํ ยถาคหิตาการสฺส สญฺญาวิสยสฺส นวตฺตพฺพตํ สนฺธาย นวตฺตพฺพํ อารมฺมณํ เอเตสนฺติ นวตฺตพฺพารมฺมณา, จิตฺตุปฺปาทาติ อญฺญปทตฺถสมาสํ กตฺวา อฎฺฐกถายํ วุตฺตํฯ

    1421. Atipaguṇānanti vacanaṃ nirādarassa ñāṇavippayuttapaccavekkhaṇassa visayadassanaṃ, na tassevāti visayaniyamanaṃ. Ñāṇasampayuttassapi hi atipaguṇānaṃ visayatā suṭṭhutaraṃ hoti eva. Yathā paguṇaṃ ganthaṃ sajjhāyanto dve tayo vācanāmagge gatepi na sallakkheti ñāṇavippayuttasatimantena sajjhāyitattā, evaṃ paguṇajjhānesupi pavatti hotīti āha ‘‘atipaguṇāna’’ntiādi. Kasiṇanimittādipaññattīti pubbe dassitaṃ sabbaṃ upādāpaññattimāha. Taṃ pana rūpādayo viya avijjamāno vijjamāno ca atthoti ācariyā vadanti. Sammutisacce pana vuccamānānaṃ kasiṇanimittādi vācāvatthumattato vacanavohāreneva paññattīti vuccati. Tassa hi paññāpanaṃ avijjamānapaññattīti tassa avijjamānattaṃ aṭṭhakathāyaṃ vuttanti. Avijjamānampi pana taṃ vijjamānamiva gahetvā pavattamānāya saññāya parittādīsu ‘‘ayaṃ nāma dhammo ārammaṇa’’nti na sakkā vattuṃ te eva dhamme upādāya pavattamānāyapi dhammesveva aṭṭhānato. Tasmā sā sasampayuttā parittādiārammaṇāti na vattabbāti vuttā. Navattabbārammaṇāti idaṃ pana vacanaṃ yathāgahitākārassa saññāvisayassa navattabbataṃ sandhāya navattabbaṃ ārammaṇaṃ etesanti navattabbārammaṇā, cittuppādāti aññapadatthasamāsaṃ katvā aṭṭhakathāyaṃ vuttaṃ.

    จตุปญฺญาสจิตฺตุปฺปาทานํ รูปสฺส จ วเสน ปญฺจปณฺณาสายฯ เกวลนฺติ วินา ปรามสเนนฯ อนิฎฺฐงฺคตวเสนาติ อนิจฺฉยคมนวเสน, อนิจฺฉยํ วา เทฺวฬฺหํ คโต จิตฺตุปฺปาโท อนิฎฺฐงฺคโต, เตนากาเรน ปวตฺติ ‘‘อนิฎฺฐงฺคตวเสน ปวตฺตี’’ติ วุตฺตาฯ นานารมฺมเณสุ จิตฺตสฺส วิกฺขิปนํ วิเกฺขโปฯ อนวฎฺฐานํ อวูปสโมฯ โคตฺรภุโวทาเน โคตฺรภูติ คเหตฺวา ‘‘โคตฺรภุกาเล’’ติ อาหฯ

    Catupaññāsacittuppādānaṃ rūpassa ca vasena pañcapaṇṇāsāya. Kevalanti vinā parāmasanena. Aniṭṭhaṅgatavasenāti anicchayagamanavasena, anicchayaṃ vā dveḷhaṃ gato cittuppādo aniṭṭhaṅgato, tenākārena pavatti ‘‘aniṭṭhaṅgatavasena pavattī’’ti vuttā. Nānārammaṇesu cittassa vikkhipanaṃ vikkhepo. Anavaṭṭhānaṃ avūpasamo. Gotrabhuvodāne gotrabhūti gahetvā ‘‘gotrabhukāle’’ti āha.

    สพฺพตฺถปาทกจตุตฺถนฺติ อิธ สพฺพตฺถ-สโทฺท สามิอโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ, สเพฺพสุ วา วิปสฺสนาทีสุ ปาทกํ การณํ สพฺพตฺถปาทกนฺติ ผลสฺส วิสยภาเวน นิเทฺทโสฯ อากาสกสิณจตุตฺถนฺติ ปริเจฺฉทากาสกสิณจตุตฺถมาหฯ ตญฺหิ รูปาวจรํ, น อิตรนฺติฯ กุสลโตปิ ทฺวาทสวิธํ กิริยโตปีติ จตุวีสติวิธตา วุตฺตา โหติฯ วฎฺฎสฺสปิ ปาทกํ โหติเยวาติ กุสลํ กิริยญฺจ เอกโต กตฺวา สพฺพตฺถปาทกํ วุตฺตนฺติ กิริยชฺฌานสฺส อวฎฺฎปาทกตฺตา สาสงฺกํ วทติฯ มหคฺคตจิเตฺต สโมทหตีติ อิทํ ‘‘โส เอวํ สมาหิเต จิเตฺต’’ติอาทินา นเยน วุตฺตํ ปากฎํ ปาทกชฺฌานจิตฺตํ ปริกเมฺมหิ คเหตฺวา จิเตฺต รูปกายํ อธิฎฺฐานจิเตฺตน สโมทหตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ ปาทกชฺฌานจิตฺตํ รูปกาเย สโมทหตีติ อิทมฺปิ ยถาวุตฺตํ ปาทกชฺฌานจิตฺตํ อารมฺมณํ กตฺวา จิตฺตสนฺตานํ รูปกาเย สโมทหิตํ ตทนุคติกํ กตฺวา อธิฎฺฐาตีติ กตฺวา วุตฺตํ, อิทํ ปน อธิฎฺฐานทฺวยํ อทิสฺสมานกายตํ ทิสฺสมานกายตญฺจ อาปาเทติฯ คนฺตุกามตาปริกมฺมวเสน ตํสมฺปยุตฺตาย สญฺญาย สุขสญฺญาลหุสญฺญาภาวโต คมนมฺปิ นิปฺผาเทตีติ ทฎฺฐพฺพํฯ

    Sabbatthapādakacatutthanti idha sabbattha-saddo sāmiattho daṭṭhabbo, sabbesu vā vipassanādīsu pādakaṃ kāraṇaṃ sabbatthapādakanti phalassa visayabhāvena niddeso. Ākāsakasiṇacatutthanti paricchedākāsakasiṇacatutthamāha. Tañhi rūpāvacaraṃ, na itaranti. Kusalatopi dvādasavidhaṃ kiriyatopīti catuvīsatividhatā vuttā hoti. Vaṭṭassapi pādakaṃ hotiyevāti kusalaṃ kiriyañca ekato katvā sabbatthapādakaṃ vuttanti kiriyajjhānassa avaṭṭapādakattā sāsaṅkaṃ vadati. Mahaggatacitte samodahatīti idaṃ ‘‘so evaṃ samāhite citte’’tiādinā nayena vuttaṃ pākaṭaṃ pādakajjhānacittaṃ parikammehi gahetvā citte rūpakāyaṃ adhiṭṭhānacittena samodahatīti katvā vuttaṃ. Pādakajjhānacittaṃ rūpakāye samodahatīti idampi yathāvuttaṃ pādakajjhānacittaṃ ārammaṇaṃ katvā cittasantānaṃ rūpakāye samodahitaṃ tadanugatikaṃ katvā adhiṭṭhātīti katvā vuttaṃ, idaṃ pana adhiṭṭhānadvayaṃ adissamānakāyataṃ dissamānakāyatañca āpādeti. Gantukāmatāparikammavasena taṃsampayuttāya saññāya sukhasaññālahusaññābhāvato gamanampi nipphādetīti daṭṭhabbaṃ.

    โสตาปนฺนสฺส จิตฺตนฺติ โสตาปนฺนสฺส ปาฎิปุคฺคลิกํ มคฺคผลจิตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ มาราทีนญฺหิ ภควโต จิตฺตชานนํ วุตฺตนฺติ เจโตปริยญาณลาภี กสฺมา สาสวจิตฺตํ น ชานิสฺสตีติฯ ฉินฺนวฎุมกา ฉินฺนสํสารวฎฺฎา พุทฺธาฯ มคฺคผลนิพฺพานปจฺจเวกฺขณโตปีติ เอตฺถ มคฺคผลปจฺจเวกฺขณานิ ตาว ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาเณน มคฺคผเลสุ ญาเตสุ ปวตฺตนฺติ, นิพฺพานปจฺจเวกฺขณญฺจ นิพฺพานารมฺมเณสุ อปฺปมาณธเมฺมสุ ญาเตสูติ มคฺคาทิปจฺจเวกฺขณานิ ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณสฺส อปฺปมาณารมฺมณตํ สาเธนฺตีติ เวทิตพฺพานิฯ ‘‘อปฺปมาณา ขนฺธา ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณสฺส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’อิเจฺจว (ปฎฺฐา. ๒.๑๒.๕๘) หิ วุตฺตํ, น นิพฺพานนฺติฯ ตสฺมา ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาเณน เอว มคฺคผลปจฺจเวกฺขณกิเจฺจ วุจฺจมาเนปิ นิพฺพานปจฺจเวกฺขณตา น สกฺกา วตฺตุํ, อฎฺฐกถายํ ปน ตสฺสปิ นิพฺพานารมฺมณตา อนุญฺญาตาติ ทิสฺสติฯ กามาวจเรนิพฺพตฺติสฺสตีติ นิพฺพตฺตกฺขนฺธชานนมาหฯ นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพายิสฺสตีติ นิพฺพานารมฺมเณหิ มคฺคผเลหิ กิเลสปรินิพฺพานภูเตหิ ปรินิพฺพายิสฺสตีติ อโตฺถ สมฺภวติฯ

    Sotāpannassa cittanti sotāpannassa pāṭipuggalikaṃ maggaphalacittanti veditabbaṃ. Mārādīnañhi bhagavato cittajānanaṃ vuttanti cetopariyañāṇalābhī kasmā sāsavacittaṃ na jānissatīti. Chinnavaṭumakā chinnasaṃsāravaṭṭā buddhā. Maggaphalanibbānapaccavekkhaṇatopīti ettha maggaphalapaccavekkhaṇāni tāva pubbenivāsānussatiñāṇena maggaphalesu ñātesu pavattanti, nibbānapaccavekkhaṇañca nibbānārammaṇesu appamāṇadhammesu ñātesūti maggādipaccavekkhaṇāni pubbenivāsānussatiñāṇassa appamāṇārammaṇataṃ sādhentīti veditabbāni. ‘‘Appamāṇā khandhā pubbenivāsānussatiñāṇassa ārammaṇapaccayena paccayo’’icceva (paṭṭhā. 2.12.58) hi vuttaṃ, na nibbānanti. Tasmā pubbenivāsānussatiñāṇena eva maggaphalapaccavekkhaṇakicce vuccamānepi nibbānapaccavekkhaṇatā na sakkā vattuṃ, aṭṭhakathāyaṃ pana tassapi nibbānārammaṇatā anuññātāti dissati. Kāmāvacarenibbattissatīti nibbattakkhandhajānanamāha. Nibbānadhātuyā parinibbāyissatīti nibbānārammaṇehi maggaphalehi kilesaparinibbānabhūtehi parinibbāyissatīti attho sambhavati.

    ๑๔๒๙. อสหชาตตฺตาติ อสมฺปยุตฺตตฺตาติ อโตฺถฯ น หิ อรูปธมฺมานํ อรูปธเมฺมหิ สหชาตตา สมฺปโยคโต อญฺญา อตฺถีติฯ ‘‘อญฺญธมฺมารมฺมณกาเล’’ติ วุตฺตํ, มคฺคารมฺมณกาเลปิ ปน ครุํ อกรเณ มคฺคาธิปติภาเวน นวตฺตพฺพตา โยเชตพฺพาฯ

    1429. Asahajātattāti asampayuttattāti attho. Na hi arūpadhammānaṃ arūpadhammehi sahajātatā sampayogato aññā atthīti. ‘‘Aññadhammārammaṇakāle’’ti vuttaṃ, maggārammaṇakālepi pana garuṃ akaraṇe maggādhipatibhāvena navattabbatā yojetabbā.

    ๑๔๓๓. นิโยคาติ นิโยคโตติ อิมมตฺถํ สนฺธาย ‘‘นิยเมนา’’ติ อาห, นิโยควโนฺต วา นิโยคา, นิยตาติ อโตฺถฯ จิตฺตุปฺปาทกเณฺฑ หิ โพธิเตสุ จิตฺตุปฺปาเทสุ เอกเนฺตน อนาคตารมฺมโณ โกจิ นตฺถีติฯ

    1433. Niyogāti niyogatoti imamatthaṃ sandhāya ‘‘niyamenā’’ti āha, niyogavanto vā niyogā, niyatāti attho. Cittuppādakaṇḍe hi bodhitesu cittuppādesu ekantena anāgatārammaṇo koci natthīti.

    ๑๔๓๔. กมฺมํ วา กมฺมนิมิตฺตํ วา อารพฺภ ปวตฺติยํ อตีตารมฺมณาวาติ วุตฺตํ, กมฺมนิมิตฺตํ ปน อารพฺภ ปวตฺติยํ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณภาวญฺจ ปฎิสนฺธิยา ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภงฺควณฺณนายํ วกฺขติฯ ตสฺมา อิทํ มโนทฺวารจุติยํ อตีตกมฺมนิมิตฺตํ มโนทฺวาเร อาปาถคตํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ สตทารมฺมณาย จุติยา ปญฺจจิตฺตกฺขณาวสิฎฺฐายุเก คตินิมิเตฺต ปฎิสนฺธิยา ปวตฺตาย จตฺตาริ ภวงฺคานิ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณานิ, อิตรตฺถ จ ฉ สนฺธายาห ‘‘ตโต ปรํ ภวงฺคกาเล จา’’ติฯ ยทา หิ คตินิมิตฺตารมฺมเณ ชวเน ปวเตฺต อนุปฺปเนฺน เอว ตทารมฺมเณ จุติ โหติ รูปาวจรารูปาวจรสตฺตสฺส วิย กามธาตุํ อุปปชฺชนฺตสฺส, ตทา ปฎิสนฺธิโต ปรานิ ฉ ภวงฺคานิ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณานิ โหนฺตีติฯ ทิฎฺฐิสมฺปยุเตฺตหิ อสฺสาทนาทีนิ สปรามาสาเนว ทฎฺฐพฺพานิฯ ปณฺณตฺตินิพฺพานารมฺมณานญฺจ ชวนานํ ปุเรจาริกกาเลติ เยสํ ปุเรจาริกกาเล เอกเนฺตน อาวชฺชนาย อตีตาทิอารมฺมณภาเวน นวตฺตพฺพตา, เตสํ วเสน นยํ ทเสฺสติฯ นิพฺพานารมฺมณานมฺปิ ชวนานํ ปุเรจาริกกาเล สา ตถา น วตฺตพฺพา, น ปน เอกเนฺตน มคฺคผลวีถีสุ ตสฺสา อนิพฺพานารมฺมณตฺตาฯ

    1434. Kammaṃ vā kammanimittaṃ vā ārabbha pavattiyaṃ atītārammaṇāvāti vuttaṃ, kammanimittaṃ pana ārabbha pavattiyaṃ paccuppannārammaṇabhāvañca paṭisandhiyā paṭiccasamuppādavibhaṅgavaṇṇanāyaṃ vakkhati. Tasmā idaṃ manodvāracutiyaṃ atītakammanimittaṃ manodvāre āpāthagataṃ sandhāya vuttanti veditabbaṃ. Satadārammaṇāya cutiyā pañcacittakkhaṇāvasiṭṭhāyuke gatinimitte paṭisandhiyā pavattāya cattāri bhavaṅgāni paccuppannārammaṇāni, itarattha ca cha sandhāyāha ‘‘tato paraṃ bhavaṅgakāle cā’’ti. Yadā hi gatinimittārammaṇe javane pavatte anuppanne eva tadārammaṇe cuti hoti rūpāvacarārūpāvacarasattassa viya kāmadhātuṃ upapajjantassa, tadā paṭisandhito parāni cha bhavaṅgāni paccuppannārammaṇāni hontīti. Diṭṭhisampayuttehi assādanādīni saparāmāsāneva daṭṭhabbāni. Paṇṇattinibbānārammaṇānañca javanānaṃ purecārikakāleti yesaṃ purecārikakāle ekantena āvajjanāya atītādiārammaṇabhāvena navattabbatā, tesaṃ vasena nayaṃ dasseti. Nibbānārammaṇānampi javanānaṃ purecārikakāle sā tathā na vattabbā, na pana ekantena maggaphalavīthīsu tassā anibbānārammaṇattā.

    อิเม คนฺธาติ นนุ ปจฺจุปฺปนฺนา คนฺธา คหิตา, กถํ เอตฺถ อนาคตารมฺมณตา โหตีติ? ‘‘อฎฺฐารสวสฺสาธิกานิ เทฺว วสฺสสตานิ มา สุสฺสิํสู’’ติ ปวตฺติโต, อนาคเต มา สุสฺสิํ สูติ หิ อนาคตํ คนฺธํ คเหตฺวา ปวตฺตตีติ อธิปฺปาโยฯ จิตฺตวเสน กายํ ปริณาเมโนฺต อภิมุขีภูตํ ตทา วิชฺชมานเมว กายํ อารมฺมณํ กโรตีติ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณํ อธิฎฺฐานจิตฺตํ โหติฯ ตถา อตฺตโน กายสฺส ทีฆรสฺสาณุถูลนีลาทิภาวาปาทนวเสน อญฺญสฺส จ ปาฎิหาริยสฺส กรเณ โยเชตพฺพํ ฯ เอตฺถนฺตเร เอกเทฺวสนฺตติวารา เวทิตพฺพาติ เอตฺถนฺตเร ปวตฺตา รูปสนฺตติอรูปสนฺตติวารา เอกเทฺวสนฺตติวารา นามาติ เวทิตพฺพาติ อโตฺถฯ อติปริตฺตสภาวอุตุอาทิสมุฎฺฐานา วา ‘‘เอกเทฺวสนฺตติวารา’’ติ วุตฺตาฯ อุภยเมตํ ปจฺจุปฺปนฺนนฺติ อทฺธาปจฺจุปฺปนฺนํ โหนฺตํ เอตํ อุภยํ โหตีติ อโตฺถฯ สํหีรตีติ ตณฺหาทิฎฺฐาภินนฺทนาหิ อากฑฺฒียติฯ

    Ime gandhāti nanu paccuppannā gandhā gahitā, kathaṃ ettha anāgatārammaṇatā hotīti? ‘‘Aṭṭhārasavassādhikāni dve vassasatāni mā sussiṃsū’’ti pavattito, anāgate mā sussiṃ sūti hi anāgataṃ gandhaṃ gahetvā pavattatīti adhippāyo. Cittavasena kāyaṃ pariṇāmento abhimukhībhūtaṃ tadā vijjamānameva kāyaṃ ārammaṇaṃ karotīti paccuppannārammaṇaṃ adhiṭṭhānacittaṃ hoti. Tathā attano kāyassa dīgharassāṇuthūlanīlādibhāvāpādanavasena aññassa ca pāṭihāriyassa karaṇe yojetabbaṃ . Etthantare ekadvesantativārā veditabbāti etthantare pavattā rūpasantatiarūpasantativārā ekadvesantativārā nāmāti veditabbāti attho. Atiparittasabhāvautuādisamuṭṭhānā vā ‘‘ekadvesantativārā’’ti vuttā. Ubhayametaṃ paccuppannanti addhāpaccuppannaṃ hontaṃ etaṃ ubhayaṃ hotīti attho. Saṃhīratīti taṇhādiṭṭhābhinandanāhi ākaḍḍhīyati.

    เกจีติ อภยคิริวาสิโนติ วทนฺติ, เต ปน จิตฺตสฺส ฐิติกฺขณํ น อิจฺฉนฺตีติ ‘‘ฐิติกฺขเณ วา ปฎิวิชฺฌตี’’ติ น วตฺตพฺพํ สิยาฯ ตถา เย ‘‘อิทฺธิมสฺส จ ปรสฺส จ เอกกฺขเณ วตฺตมานํ จิตฺตํ อุปฺปชฺชตี’’ติ วทนฺติ, เตสํ ‘‘ฐิติกฺขเณ วา ภงฺคกฺขเณ วา ปฎิวิชฺฌตี’’ติ วจนํ น สเมติฯ น หิ ตสฺมิํ ขณทฺวเย อุปฺปชฺชมานํ ปรจิเตฺตน สห เอกกฺขเณ อุปฺปชฺชติ นามาติฯ ฐิติภงฺคกฺขเณสุ จ อุปฺปชฺชมานํ เอกเทสํ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณํ, เอกเทสํ อตีตารมฺมณํ อาปชฺชติฯ ยญฺจ วุตฺตํ ‘‘ปรสฺส จิตฺตํ ชานิสฺสามีติ ราสิวเสน มหาชนสฺส จิเตฺต อาวชฺชิเต’’ติ, เอตฺถ จ มหาชโน อตฺตนา ปเร อเนเก ปุคฺคลาติ ปเรสํ จิตฺตํ ชานิสฺสามีติ อาวชฺชนปฺปวตฺติ วตฺตพฺพา สิยาฯ อถาปิ ปรสฺสาติ มหาชนสฺสาติ อโตฺถ สมฺภเวยฺย, ตถาปิ ตสฺส ปุคฺคลเสฺสว วา จิตฺตราสิํ อาวชฺชิตฺวา เอกสฺส ปฎิวิชฺฌนํ อยุตฺตํฯ น หิ ราสิอาวชฺชนํ เอกเทสาวชฺชนํ โหตีติฯ ตสฺมา เตหิ ‘‘มหาชนสฺส จิเตฺต อาวชฺชิเต’’ติอาทิ น วตฺตพฺพํฯ

    Kecīti abhayagirivāsinoti vadanti, te pana cittassa ṭhitikkhaṇaṃ na icchantīti ‘‘ṭhitikkhaṇe vā paṭivijjhatī’’ti na vattabbaṃ siyā. Tathā ye ‘‘iddhimassa ca parassa ca ekakkhaṇe vattamānaṃ cittaṃ uppajjatī’’ti vadanti, tesaṃ ‘‘ṭhitikkhaṇe vā bhaṅgakkhaṇe vā paṭivijjhatī’’ti vacanaṃ na sameti. Na hi tasmiṃ khaṇadvaye uppajjamānaṃ paracittena saha ekakkhaṇe uppajjati nāmāti. Ṭhitibhaṅgakkhaṇesu ca uppajjamānaṃ ekadesaṃ paccuppannārammaṇaṃ, ekadesaṃ atītārammaṇaṃ āpajjati. Yañca vuttaṃ ‘‘parassa cittaṃ jānissāmīti rāsivasena mahājanassa citte āvajjite’’ti, ettha ca mahājano attanā pare aneke puggalāti paresaṃ cittaṃ jānissāmīti āvajjanappavatti vattabbā siyā. Athāpi parassāti mahājanassāti attho sambhaveyya, tathāpi tassa puggalasseva vā cittarāsiṃ āvajjitvā ekassa paṭivijjhanaṃ ayuttaṃ. Na hi rāsiāvajjanaṃ ekadesāvajjanaṃ hotīti. Tasmā tehi ‘‘mahājanassa citte āvajjite’’tiādi na vattabbaṃ.

    ยํ ปน เต วทนฺติ ‘‘ยสฺมา อิทฺธิมสฺส จ ปรสฺส จ เอกกฺขเณ จิตฺตํ อุปฺปชฺชตี’’ติ, ตตฺถายํ อธิปฺปาโย สิยา – เจโตปริยญาณลาภี ปรสฺส จิตฺตํ ญาตุกาโม ปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย อตีตาทิวิภาคํ อกตฺวา จิตฺตสามเญฺญน ‘‘อิมสฺส จิตฺตํ ชานามี’’ติ ปริกมฺมํ กตฺวา ปุน ปาทกชฺฌานํ สมาปชฺชิตฺวา วุฎฺฐาย สามเญฺญเนว จิตฺตํ อาวชฺชิตฺวา ติณฺณํ จตุนฺนํ วา ปริกมฺมานํ อนนฺตรา เจโตปริยญาเณน ปรจิตฺตํ ปฎิวิชฺฌติ วิภาเวติ รูปํ วิย ทิพฺพจกฺขุนาฯ ตโต ปรํ ปน กามาวจรจิเตฺตหิ สราคาทิววตฺถานํ โหติ นีลาทิววตฺถานํ วิยฯ ตตฺถ ทิพฺพจกฺขุนา ทิฎฺฐหทยวตฺถุรูปสฺส สตฺตสฺส อภิมุขีภูตสฺส จิตฺตสามเญฺญน จิตฺตํ อาวชฺชยมานํ อาวชฺชนํ อภิมุขีภูตํ วิชฺชมานํ จิตฺตํ อารมฺมณํ กตฺวา จิตฺตํ อาวเชฺชติฯ ปริกมฺมานิ จ ตํ ตํ วิชฺชมานํ จิตฺตํ จิตฺตสามเญฺญเนว อารมฺมณํ กตฺวา จิตฺตชานนปริกมฺมานิ หุตฺวา ปวตฺตนฺติฯ เจโตปริยญาณํ ปน วิชฺชมานํ จิตฺตํ ปฎิวิชฺฌนฺตํ วิภาเวนฺตํ เตน สห เอกกฺขเณ เอว อุปฺปชฺชติฯ ตตฺถ ยสฺมา สนฺตานสฺส สนฺตานคฺคหณโต เอกตฺตวเสน อาวชฺชนาทีนิ จิตฺตเนฺตฺวว ปวตฺตานิ, ตญฺจ จิตฺตเมว, ยํ เจโตปริยญาเณน วิภาวิตํ, ตสฺมา สมานาการปฺปวตฺติโต น อนิเฎฺฐ มคฺคผลวีถิโต อญฺญสฺมิํ ฐาเน นานารมฺมณตา อาวชฺชนชวนานํ โหติฯ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณญฺจ ปริกมฺมํ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณสฺส เจโตปริยญาณสฺส อาเสวนปจฺจโยติ สิทฺธํ โหติฯ อตีตตฺติโก จ เอวํ อภิโนฺน โหติฯ อญฺญถา สนฺตติปจฺจุปฺปเนฺน อทฺธาปจฺจุปฺปเนฺน จ ปจฺจุปฺปนฺนนฺติ อิธ วุจฺจมาเน อตีตานาคตานญฺจ ปจฺจุปฺปนฺนตา อาปเชฺชยฺย, ตถา จ สติ ‘‘ปจฺจุปฺปโนฺน ธโมฺม ปจฺจุปฺปนฺนสฺส ธมฺมสฺส อนนฺตรปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติอาทิ วตฺตพฺพํ สิยา, น จ ตํ วุตฺตํฯ ‘‘อตีโต ธโมฺม ปจฺจุปฺปนฺนสฺส ธมฺมสฺส อนนฺตรปจฺจเยน ปจฺจโย, ปุริมา ปุริมา อตีตา ขนฺธา ปจฺฉิมานํ ปจฺฉิมานํ ปจฺจุปฺปนฺนานํ ขนฺธานํ อนนฺตร…เป.… อนุโลมํ โคตฺรภุสฺสา’’ติอาทิวจนโต (ปฎฺฐา. ๒.๑๘.๕) ปน อทฺธาสนฺตติปจฺจุปฺปเนฺนเสฺวว อนนฺตราตีตา จตฺตาโร ขนฺธา อตีตาติ วิญฺญายนฺติ, น จ อภิธมฺมมาติกาย อาคตสฺส ปจฺจุปฺปนฺนปทสฺส อทฺธาสนฺตติปจฺจุปฺปนฺนปทตฺถตา กตฺถจิ ปาฬิยํ วุตฺตาฯ ตสฺมา เตหิ อิทฺธิมสฺส จ ปรสฺส จ เอกกฺขเณ จิตฺตุปฺปตฺติยา เจโตปริยญาณสฺส ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณตา วุตฺตาฯ ยทา ปน ‘‘ยํ อิมสฺส จิตฺตํ ปวตฺตํ, ตํ ชานามิฯ ยํ ภวิสฺสติ, ตํ ชานิสฺสามี’’ติ วา อาโภคํ กตฺวา ปาทกชฺฌานสมาปชฺชนาทีนิ กโรติ, ตทา อาวชฺชนปริกมฺมานิ เจโตปริยญาณญฺจ อตีตานาคตารมฺมณาเนว โหนฺติ อาวชฺชเนเนว วิภาคสฺส กตตฺตาฯ

    Yaṃ pana te vadanti ‘‘yasmā iddhimassa ca parassa ca ekakkhaṇe cittaṃ uppajjatī’’ti, tatthāyaṃ adhippāyo siyā – cetopariyañāṇalābhī parassa cittaṃ ñātukāmo pādakajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya atītādivibhāgaṃ akatvā cittasāmaññena ‘‘imassa cittaṃ jānāmī’’ti parikammaṃ katvā puna pādakajjhānaṃ samāpajjitvā vuṭṭhāya sāmaññeneva cittaṃ āvajjitvā tiṇṇaṃ catunnaṃ vā parikammānaṃ anantarā cetopariyañāṇena paracittaṃ paṭivijjhati vibhāveti rūpaṃ viya dibbacakkhunā. Tato paraṃ pana kāmāvacaracittehi sarāgādivavatthānaṃ hoti nīlādivavatthānaṃ viya. Tattha dibbacakkhunā diṭṭhahadayavatthurūpassa sattassa abhimukhībhūtassa cittasāmaññena cittaṃ āvajjayamānaṃ āvajjanaṃ abhimukhībhūtaṃ vijjamānaṃ cittaṃ ārammaṇaṃ katvā cittaṃ āvajjeti. Parikammāni ca taṃ taṃ vijjamānaṃ cittaṃ cittasāmaññeneva ārammaṇaṃ katvā cittajānanaparikammāni hutvā pavattanti. Cetopariyañāṇaṃ pana vijjamānaṃ cittaṃ paṭivijjhantaṃ vibhāventaṃ tena saha ekakkhaṇe eva uppajjati. Tattha yasmā santānassa santānaggahaṇato ekattavasena āvajjanādīni cittantveva pavattāni, tañca cittameva, yaṃ cetopariyañāṇena vibhāvitaṃ, tasmā samānākārappavattito na aniṭṭhe maggaphalavīthito aññasmiṃ ṭhāne nānārammaṇatā āvajjanajavanānaṃ hoti. Paccuppannārammaṇañca parikammaṃ paccuppannārammaṇassa cetopariyañāṇassa āsevanapaccayoti siddhaṃ hoti. Atītattiko ca evaṃ abhinno hoti. Aññathā santatipaccuppanne addhāpaccuppanne ca paccuppannanti idha vuccamāne atītānāgatānañca paccuppannatā āpajjeyya, tathā ca sati ‘‘paccuppanno dhammo paccuppannassa dhammassa anantarapaccayena paccayo’’tiādi vattabbaṃ siyā, na ca taṃ vuttaṃ. ‘‘Atīto dhammo paccuppannassa dhammassa anantarapaccayena paccayo, purimā purimā atītā khandhā pacchimānaṃ pacchimānaṃ paccuppannānaṃ khandhānaṃ anantara…pe… anulomaṃ gotrabhussā’’tiādivacanato (paṭṭhā. 2.18.5) pana addhāsantatipaccuppannesveva anantarātītā cattāro khandhā atītāti viññāyanti, na ca abhidhammamātikāya āgatassa paccuppannapadassa addhāsantatipaccuppannapadatthatā katthaci pāḷiyaṃ vuttā. Tasmā tehi iddhimassa ca parassa ca ekakkhaṇe cittuppattiyā cetopariyañāṇassa paccuppannārammaṇatā vuttā. Yadā pana ‘‘yaṃ imassa cittaṃ pavattaṃ, taṃ jānāmi. Yaṃ bhavissati, taṃ jānissāmī’’ti vā ābhogaṃ katvā pādakajjhānasamāpajjanādīni karoti, tadā āvajjanaparikammāni cetopariyañāṇañca atītānāgatārammaṇāneva honti āvajjaneneva vibhāgassa katattā.

    เย ปน ‘‘อิทฺธิมา ปรสฺส จิตฺตํ ชานิตุกาโม อาวเชฺชติ, อาวชฺชนํ ขณปจฺจุปฺปนฺนํ อารมฺมณํ กตฺวา เตเนว สห นิรุชฺฌติ, ตโต จตฺตาริ ปญฺจ วา ชวนานิฯ เยสํ ปจฺฉิมํ อิทฺธิจิตฺตํ, เสสานิ กามาวจรานิ, เตสํ สเพฺพสมฺปิ ตเทว นิรุทฺธํ จิตฺตมารมฺมณํ โหติ, น จ ตานิ นานารมฺมณานิ โหนฺติ, อทฺธาวเสน ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณตฺตา’’ติ อิทํ วจนํ นิสฺสาย ‘‘อาวชฺชนชวนานํ ปจฺจุปฺปนฺนาตีตารมฺมณภาเวปิ นานารมฺมณตฺตาภาโว วิย เอกทฺวิติจตุปญฺจจิตฺตกฺขณานาคเตสุปิ จิเตฺตสุ อาวชฺชิเตสุ อาวชฺชนชวนานํ ยถาสมฺภวํ อนาคตปจฺจุปฺปนฺนาตีตารมฺมณภาเวปิ นานารมฺมณตา น สิยา, เตน จตุปญฺจจิตฺตกฺขณานาคเต อาวชฺชิเต อนาคตารมฺมณปริกมฺมานนฺตรํ ขณปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณํ เจโตปริยญาณํ สิทฺธ’’นฺติ วทนฺติ, เตสํ วาโท ‘‘อนาคตารมฺมโณ ธโมฺม ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณสฺส ธมฺมสฺส อาเสวนปจฺจเยน ปจฺจโย, ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมโณ ธโมฺม อตีตารมฺมณสฺส ธมฺมสฺส อาเสวนปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ อิเมสํ ปญฺหานํ อนุทฺธฎตฺตา คณนาย จ ‘‘อาเสวเน ตีณี’’ติ วุตฺตตฺตา น สิชฺฌติฯ น หิ กุสลกิริยมหคฺคตํ อนาเสวนํ อตฺถีติฯ

    Ye pana ‘‘iddhimā parassa cittaṃ jānitukāmo āvajjeti, āvajjanaṃ khaṇapaccuppannaṃ ārammaṇaṃ katvā teneva saha nirujjhati, tato cattāri pañca vā javanāni. Yesaṃ pacchimaṃ iddhicittaṃ, sesāni kāmāvacarāni, tesaṃ sabbesampi tadeva niruddhaṃ cittamārammaṇaṃ hoti, na ca tāni nānārammaṇāni honti, addhāvasena paccuppannārammaṇattā’’ti idaṃ vacanaṃ nissāya ‘‘āvajjanajavanānaṃ paccuppannātītārammaṇabhāvepi nānārammaṇattābhāvo viya ekadviticatupañcacittakkhaṇānāgatesupi cittesu āvajjitesu āvajjanajavanānaṃ yathāsambhavaṃ anāgatapaccuppannātītārammaṇabhāvepi nānārammaṇatā na siyā, tena catupañcacittakkhaṇānāgate āvajjite anāgatārammaṇaparikammānantaraṃ khaṇapaccuppannārammaṇaṃ cetopariyañāṇaṃ siddha’’nti vadanti, tesaṃ vādo ‘‘anāgatārammaṇo dhammo paccuppannārammaṇassa dhammassa āsevanapaccayena paccayo, paccuppannārammaṇo dhammo atītārammaṇassa dhammassa āsevanapaccayena paccayo’’ti imesaṃ pañhānaṃ anuddhaṭattā gaṇanāya ca ‘‘āsevane tīṇī’’ti vuttattā na sijjhati. Na hi kusalakiriyamahaggataṃ anāsevanaṃ atthīti.

    เอตสฺส จ วาทสฺส นิสฺสยภาโว อาวชฺชนชวนานํ ขณปจฺจุปฺปนฺนนิรุทฺธารมฺมณตาวจนสฺส น สิชฺฌติ, ยํ ปวตฺตํ ยํ ปวตฺติสฺสตีติ วา วิเสสํ อกตฺวา คหเณ อาวชฺชนสฺส อนาคตคฺคหณภาวํ, ตทภาวา ชวนานมฺปิ วตฺตมานคฺคหณาภาวญฺจ สนฺธาเยว ตสฺส วุตฺตตฺตาฯ ตทา หิ ภวงฺคจลนานนฺตรํ อภิมุขีภูตเมว จิตฺตํ อารพฺภ อาวชฺชนา ปวตฺตตีติฯ ชานนจิตฺตสฺสปิ วตฺตมานารมฺมณภาเว อาวชฺชนชานนจิตฺตานํ สหฎฺฐานโทสาปตฺติยา ราสิเอกเทสาวชฺชนปฎิเวเธ สมฺปตฺตสมฺปตฺตาวชฺชนชานเน จ อนิเฎฺฐ ฐาเน อาวชฺชนชวนานํ นานารมฺมณภาวโทสาปตฺติยา จ ยํ วุตฺตํ ‘‘ขณปจฺจุปฺปนฺนํ จิตฺตํ เจโตปริยญาณสฺส อารมฺมณํ โหตี’’ติ, ตํ อยุตฺตนฺติ ปฎิกฺขิปิตฺวา ยถาวุตฺตโทสานาปตฺติกาลวเสเนว อทฺธาสนฺตติปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณตฺตา นานารมฺมณตาภาวํ ทิสฺวา อาวชฺชนชวนานํ วตฺตมานตํ นิรุทฺธารมฺมณภาโว วุโตฺตติ, ตมฺปิ วจนํ ปุริมวาทิโน นานุชาเนยฺยุํฯ ตสฺมิญฺหิ สติ อาวชฺชนา กุสลานนฺติอาทีสุ วิย อญฺญปทสงฺคหิตสฺส อนนฺตรปจฺจยวิธานโต ‘‘ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณา อาวชฺชนา อตีตารมฺมณานํ ขนฺธานํ อนนฺตรปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ วตฺตพฺพํ สิยา, น จ วุตฺตนฺติฯ

    Etassa ca vādassa nissayabhāvo āvajjanajavanānaṃ khaṇapaccuppannaniruddhārammaṇatāvacanassa na sijjhati, yaṃ pavattaṃ yaṃ pavattissatīti vā visesaṃ akatvā gahaṇe āvajjanassa anāgataggahaṇabhāvaṃ, tadabhāvā javanānampi vattamānaggahaṇābhāvañca sandhāyeva tassa vuttattā. Tadā hi bhavaṅgacalanānantaraṃ abhimukhībhūtameva cittaṃ ārabbha āvajjanā pavattatīti. Jānanacittassapi vattamānārammaṇabhāve āvajjanajānanacittānaṃ sahaṭṭhānadosāpattiyā rāsiekadesāvajjanapaṭivedhe sampattasampattāvajjanajānane ca aniṭṭhe ṭhāne āvajjanajavanānaṃ nānārammaṇabhāvadosāpattiyā ca yaṃ vuttaṃ ‘‘khaṇapaccuppannaṃ cittaṃ cetopariyañāṇassa ārammaṇaṃ hotī’’ti, taṃ ayuttanti paṭikkhipitvā yathāvuttadosānāpattikālavaseneva addhāsantatipaccuppannārammaṇattā nānārammaṇatābhāvaṃ disvā āvajjanajavanānaṃ vattamānataṃ niruddhārammaṇabhāvo vuttoti, tampi vacanaṃ purimavādino nānujāneyyuṃ. Tasmiñhi sati āvajjanā kusalānantiādīsu viya aññapadasaṅgahitassa anantarapaccayavidhānato ‘‘paccuppannārammaṇā āvajjanā atītārammaṇānaṃ khandhānaṃ anantarapaccayena paccayo’’ti vattabbaṃ siyā, na ca vuttanti.

    กสฺมา ปเนวํ เจโตปริยญาณสฺส ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณตา วิจาริตา, นนุ ‘‘อตีโต ธโมฺม ปจฺจุปฺปนฺนสฺส ธมฺมสฺส, อนาคโต ธโมฺม ปจฺจุปฺปนฺนสฺส ธมฺมสฺส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ เอเตสํ วิภเงฺคสุ ‘‘อตีตา ขนฺธา อิทฺธิวิธญาณสฺสเจโตปริยญาณสฺส ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณสฺส ยถากมฺมูปคญาณสฺส อาวชฺชนาย อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๒.๑๘.๒), ‘‘อนาคตา ขนฺธา อิทฺธิวิธญาณสฺส เจโตปริยญาณสฺส อนาคตํสญาณสฺส อาวชฺชนาย อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๒.๑๗.๓-๔), อุปฺปนฺนตฺติเก จ ‘‘อนุปฺปนฺนาขนฺธา, อุปฺปาทิโน ขนฺธา อิทฺธิวิธญาณสฺส เจโตปริยญาณสฺส อนาคตํสญาณสฺส อาวชฺชนาย อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ เจโตปริยญาณคฺคหณํ กตฺวา ‘‘ปจฺจุปฺปโนฺน ธโมฺม ปจฺจุปฺปนฺนสฺสา’’ติ เอตสฺส วิภเงฺค ‘‘ปจฺจุปฺปนฺนา ขนฺธา อิทฺธิวิธญาณสฺส อาวชฺชนาย อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๒.๑๘.๓), อุปฺปนฺนตฺติเก จ ‘‘อุปฺปนฺนา ขนฺธา อิทฺธิวิธญาณสฺส อาวชฺชนาย อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๒.๑๗.๒) เอตฺตกเสฺสว วุตฺตตฺตา ‘‘ปจฺจุปฺปนฺนจิเตฺต เจโตปริยญาณํ นปฺปวตฺตตี’’ติ วิญฺญายติฯ ยทิ หิ ปวเตฺตยฺย, ปุริเมสุ วิย อิตเรสุ จ เจโตปริยญาณคฺคหณํ กตฺตพฺพํ สิยาติ? สจฺจํ กตฺตพฺพํ, นยทสฺสนวเสน ปเนตํ สํขิตฺตนฺติ อญฺญาย ปาฬิยา วิญฺญายติฯ ‘‘อตีตารมฺมโณ ธโมฺม ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณสฺส ธมฺมสฺส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย (ปฎฺฐา. ๒.๑๙.๒๐), อนาคตารมฺมโณ ธโมฺม ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณสฺสฯ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมโณ ธโมฺม ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณสฺสา’’ติ (ปฎฺฐา. ๒.๑๙.๒๒) เอเตสญฺหิ วิภเงฺคสุ ‘‘เจโตปริยญาเณน อตีตารมฺมณปจฺจุปฺปนฺนจิตฺตสมงฺคิสฺส จิตฺตํ ชานาติฯ อตีตารมฺมณา ปจฺจุปฺปนฺนา ขนฺธา เจโตปริยญาณสฺส อาวชฺชนาย อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๒.๑๙.๒๒), ‘‘เจโตปริยญาเณน อนาคตารมฺมณปจฺจุปฺปนฺนจิตฺตสมงฺคิสฺส จิตฺตํ…เป.… เจโตปริยญาเณน ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณปจฺจุปฺปนฺนจิตฺตสมงฺคิสฺส จิตฺตํ ชานาติฯ ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณา ปจฺจุปฺปนฺนา ขนฺธา เจโตปริยญาณสฺส อาวชฺชนาย อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๒.๑๙.๒๑) เจโตปริยญาณสฺส ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมเณ ปวตฺติ วุตฺตาติฯ เตเนวายํ วิจารณา กตาติ เวทิตพฺพาฯ

    Kasmā panevaṃ cetopariyañāṇassa paccuppannārammaṇatā vicāritā, nanu ‘‘atīto dhammo paccuppannassa dhammassa, anāgato dhammo paccuppannassa dhammassa ārammaṇapaccayena paccayo’’ti etesaṃ vibhaṅgesu ‘‘atītā khandhā iddhividhañāṇassacetopariyañāṇassa pubbenivāsānussatiñāṇassa yathākammūpagañāṇassa āvajjanāya ārammaṇapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 2.18.2), ‘‘anāgatā khandhā iddhividhañāṇassa cetopariyañāṇassa anāgataṃsañāṇassa āvajjanāya ārammaṇapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 2.17.3-4), uppannattike ca ‘‘anuppannākhandhā, uppādino khandhā iddhividhañāṇassa cetopariyañāṇassa anāgataṃsañāṇassa āvajjanāya ārammaṇapaccayena paccayo’’ti cetopariyañāṇaggahaṇaṃ katvā ‘‘paccuppanno dhammo paccuppannassā’’ti etassa vibhaṅge ‘‘paccuppannā khandhā iddhividhañāṇassa āvajjanāya ārammaṇapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 2.18.3), uppannattike ca ‘‘uppannā khandhā iddhividhañāṇassa āvajjanāya ārammaṇapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 2.17.2) ettakasseva vuttattā ‘‘paccuppannacitte cetopariyañāṇaṃ nappavattatī’’ti viññāyati. Yadi hi pavatteyya, purimesu viya itaresu ca cetopariyañāṇaggahaṇaṃ kattabbaṃ siyāti? Saccaṃ kattabbaṃ, nayadassanavasena panetaṃ saṃkhittanti aññāya pāḷiyā viññāyati. ‘‘Atītārammaṇo dhammo paccuppannārammaṇassa dhammassa ārammaṇapaccayena paccayo (paṭṭhā. 2.19.20), anāgatārammaṇo dhammo paccuppannārammaṇassa. Paccuppannārammaṇo dhammo paccuppannārammaṇassā’’ti (paṭṭhā. 2.19.22) etesañhi vibhaṅgesu ‘‘cetopariyañāṇena atītārammaṇapaccuppannacittasamaṅgissa cittaṃ jānāti. Atītārammaṇā paccuppannā khandhā cetopariyañāṇassa āvajjanāya ārammaṇapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 2.19.22), ‘‘cetopariyañāṇena anāgatārammaṇapaccuppannacittasamaṅgissa cittaṃ…pe… cetopariyañāṇena paccuppannārammaṇapaccuppannacittasamaṅgissa cittaṃ jānāti. Paccuppannārammaṇā paccuppannā khandhā cetopariyañāṇassa āvajjanāya ārammaṇapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 2.19.21) cetopariyañāṇassa paccuppannārammaṇe pavatti vuttāti. Tenevāyaṃ vicāraṇā katāti veditabbā.

    เตสนฺติ เตสุ ทฺวีสุ ญาเณสูติ นิทฺธารเณ สามิวจนํฯ กุสลา ขนฺธาติ อิทฺธิวิธปุเพฺพนิวาสานาคตํสญาณาเปโกฺข พหุวจนนิเทฺทโส, น เจโตปริยญาณยถากมฺมูปคญาณาเปโกฺขติฯ เตสํ จตุกฺขนฺธารมฺมณภาวสฺส อสาธโกติ เจ? น, อญฺญตฺถ ‘‘อวิตกฺกวิจารมตฺตา ขนฺธา จ วิจาโร จ เจโตปริยญาณสฺส ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณสฺส อนาคตํสญาณสฺส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๒.๖.๗๒) ‘‘สวิตกฺกสวิจารา ขนฺธา จ วิตโกฺก จ เจโตปริยญาณสฺส ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณสฺส อนาคตํสญาณสฺส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๒.๖.๖๙) จ วุตฺตตฺตา เจโตปริยญาณาเปโกฺขปิ พหุวจนนิเทฺทโสติ อิมสฺสตฺถสฺส สิทฺธิโตฯ เอวมปิ ยถากมฺมูปคญาณสฺส ‘‘อวิตกฺกวิจารมตฺตา ขนฺธา จ วิจาโร จา’’ติอาทีสุ อวุตฺตตฺตา จตุกฺขนฺธารมฺมณตา น สิชฺฌตีติ? น, ตตฺถ อวจนสฺส อญฺญการณตฺตาฯ ยถากมฺมูปคญาเณน หิ กมฺมสํสฎฺฐา จตฺตาโร ขนฺธา กมฺมปฺปมุเขน คยฺหนฺติฯ ตญฺหิ ยถา เจโตปริยญาณํ ปุริมปริกมฺมวเสน สวิตกฺกาทิวิภาคํ สราคาทิวิภาคญฺจ จิตฺตํ วิภาเวติ, น เอวํ สวิภาคํ วิภาเวติ, กมฺมวเสเนว ปน สมุทายํ วิภาเวตีติ ‘‘อวิตกฺกวิจารมตฺตา ขนฺธา จ วิจาโร จา’’ติอาทิเก วิภาคกรเณ ตํ น วุตฺตํ, น จตุกฺขนฺธานารมฺมณโตติฯ อิทํ ปน อวจนสฺส การณนฺติฯ เกจิ ตตฺถาปิ ‘‘ปุเพฺพนิวาสานุสฺสติญาณสฺส ยถากมฺมูปคญาณสฺส อนาคตํสญาณสฺสา’’ติ ปฐนฺติ เอวฯ น หิ ตํ กุสลากุสลวิภาคํ วิย สวิตกฺกาทิวิภาคํ กมฺมํ วิภาเวตุํ อสมตฺถํฯ ทุจฺจริตสุจริตภาววิภาวนมฺปิ หิ โลภาทิอโลภาทิสมฺปโยควิเสสวิภาวนํ โหตีติฯ

    Tesanti tesu dvīsu ñāṇesūti niddhāraṇe sāmivacanaṃ. Kusalā khandhāti iddhividhapubbenivāsānāgataṃsañāṇāpekkho bahuvacananiddeso, na cetopariyañāṇayathākammūpagañāṇāpekkhoti. Tesaṃ catukkhandhārammaṇabhāvassa asādhakoti ce? Na, aññattha ‘‘avitakkavicāramattā khandhā ca vicāro ca cetopariyañāṇassa pubbenivāsānussatiñāṇassa anāgataṃsañāṇassa ārammaṇapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 2.6.72) ‘‘savitakkasavicārā khandhā ca vitakko ca cetopariyañāṇassa pubbenivāsānussatiñāṇassa anāgataṃsañāṇassa ārammaṇapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 2.6.69) ca vuttattā cetopariyañāṇāpekkhopi bahuvacananiddesoti imassatthassa siddhito. Evamapi yathākammūpagañāṇassa ‘‘avitakkavicāramattā khandhā ca vicāro cā’’tiādīsu avuttattā catukkhandhārammaṇatā na sijjhatīti? Na, tattha avacanassa aññakāraṇattā. Yathākammūpagañāṇena hi kammasaṃsaṭṭhā cattāro khandhā kammappamukhena gayhanti. Tañhi yathā cetopariyañāṇaṃ purimaparikammavasena savitakkādivibhāgaṃ sarāgādivibhāgañca cittaṃ vibhāveti, na evaṃ savibhāgaṃ vibhāveti, kammavaseneva pana samudāyaṃ vibhāvetīti ‘‘avitakkavicāramattā khandhā ca vicāro cā’’tiādike vibhāgakaraṇe taṃ na vuttaṃ, na catukkhandhānārammaṇatoti. Idaṃ pana avacanassa kāraṇanti. Keci tatthāpi ‘‘pubbenivāsānussatiñāṇassa yathākammūpagañāṇassa anāgataṃsañāṇassā’’ti paṭhanti eva. Na hi taṃ kusalākusalavibhāgaṃ viya savitakkādivibhāgaṃ kammaṃ vibhāvetuṃ asamatthaṃ. Duccaritasucaritabhāvavibhāvanampi hi lobhādialobhādisampayogavisesavibhāvanaṃ hotīti.

    ๑๔๓๕. นิยกชฺฌตฺตปริยายสฺส อภาเวนาติ สภาวธมฺมตฺตา เกนจิ ปริยาเยน นิยกชฺฌตฺตํ อโหนฺตํ สพฺพถา พหิทฺธาภาเวเนว ‘‘เอกนฺตพหิทฺธา’’ติ วุตฺตํ, น อสภาวธมฺมตฺตา พหิทฺธาปิ อโหนฺตํ กสิณาทิ วิย นิยกชฺฌตฺตมตฺตสฺส อสมฺภวโตฯ อสภาวธมฺมตฺตา เอว หิ กสิณาทิอชฺฌตฺตธมฺมภูโต จ โกจิ ภาโว น โหตีติ อชฺฌตฺตตฺติเก น วุตฺตนฺติ อธิปฺปาโยฯ ตํ สพฺพํ อากิญฺจญฺญายตนาทิ อตีตารมฺมณตฺติเก ‘‘นวตฺตพฺพารมฺมณ’’นฺติ วุตฺตนฺติ สมฺพโนฺธฯ เอตฺถ จ วุตฺตนฺติ อนุญฺญาตตฺตา วจนโตติ เอเตหิ การเณหิ ปกาสิตนฺติ อโตฺถฯ

    1435. Niyakajjhattapariyāyassaabhāvenāti sabhāvadhammattā kenaci pariyāyena niyakajjhattaṃ ahontaṃ sabbathā bahiddhābhāveneva ‘‘ekantabahiddhā’’ti vuttaṃ, na asabhāvadhammattā bahiddhāpi ahontaṃ kasiṇādi viya niyakajjhattamattassa asambhavato. Asabhāvadhammattā eva hi kasiṇādiajjhattadhammabhūto ca koci bhāvo na hotīti ajjhattattike na vuttanti adhippāyo. Taṃ sabbaṃ ākiñcaññāyatanādi atītārammaṇattike ‘‘navattabbārammaṇa’’nti vuttanti sambandho. Ettha ca vuttanti anuññātattā vacanatoti etehi kāraṇehi pakāsitanti attho.

    อิทานิ ตนฺติ ‘‘เอตญฺหิ อากิญฺจญฺญายตน’’นฺติ วุตฺตํ อากิญฺจญฺญายตนํ ตํ-สเทฺทน อากฑฺฒิตฺวา วทติฯ โย ปนายเมตฺถ อโตฺถ วุโตฺต ‘‘อากิญฺจญฺญายตนํ เอกมฺปิ อิธ วุจฺจมานํ อตีตารมฺมณตฺติเก เตน สเหการมฺมณตมฺปิ สนฺธาย กามาวจรกุสลาทีนํ นวตฺตพฺพารมฺมณตาย วุตฺตตฺตา อิธาปิ เตสํ นวตฺตพฺพารมฺมณภาวํ ทีเปตีติ กตฺวา ตสฺมิํ วุเตฺต ตานิปิ วุตฺตาเนว โหนฺติ, ตสฺมา วิสุํ น วุตฺตานี’’ติ, ตมเญฺญ นานุชานนฺติฯ น หิ อีทิสํ เลสวจนํ อฎฺฐกถากเณฺฑ อตฺถิฯ ยทิ สิยา, ปริตฺตารมฺมณตฺติเก เยสํ สมานารมฺมณานํ ปริตฺตาทิอารมฺมณตา นวตฺตพฺพตา จ วุตฺตาฯ ปุน อตีตารมฺมณตฺติเก เตสุ เอกเมว วตฺวา อญฺญํ น วตฺตพฺพํ สิยาฯ ตถา เวทนาตฺติเก สมานเวทนานํ เยสํ สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตตา วุตฺตา, เตสุ เอกเมว ปีติตฺติเก สุขสหคตนิเทฺทเส วตฺวา อญฺญํ น วตฺตพฺพํ สิยาฯ เอวํ อุเปกฺขาสหคตนิเทฺทสาทีสุ โยเชตพฺพํฯ เลเสน ปน วินา อฎฺฐกถากเณฺฑ อตฺถุทฺธารสฺส กตตฺตา อากิญฺจญฺญายตนสฺส วิย กามาวจรกุสลาทีนมฺปิ อชฺฌตฺตารมฺมณตฺติเก นวตฺตพฺพตาย สติ ตานิปิ นวตฺตพฺพานีติ วตฺตพฺพานิ, น ปน วุตฺตานิฯ ตสฺมา อภาวนาสามเญฺญปิ ยาย อภาวนานิฎฺฐปฺปวตฺติยา อากิญฺจญฺญายตนํ ปวตฺตมานํ นวตฺตพฺพํ ชาตํ, ตสฺสา ปวตฺติยา อภาเวน ตานิ นวตฺตพฺพานีติ น วุตฺตานิฯ คหณวิเสสนิมฺมิตาเนว หิ กสิณาทีนิ สภาวโต อวิชฺชมานานีติ ตทารมฺมณานํ พหิทฺธาคหณวเสน พหิทฺธารมฺมณตา วุตฺตาฯ อากิญฺจญฺญายตนํ ปน น พหิทฺธาคหณภาเวน ปวตฺตติ, นาปิ อชฺฌตฺตคฺคหณภาเวน ปวตฺตตีติ นวตฺตพฺพนฺติ วุตฺตํฯ เยน ปน คหณากาเรน อากิญฺจญฺญายตนํ ปวตฺตติ, น เตน สพฺพญฺญุตญฺญาณมฺปิ ปวตฺตติฯ ยทิ ปวเตฺตยฺย, ตมฺปิ อากิญฺจญฺญายตนเมว ภเวยฺยฯ ยถา หิ กิเลสานํ โคจรํ ปวตฺติวิเสสญฺจ สพฺพํ ชานนฺตํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ น ยถา เต คณฺหนฺติ, ตถา คณฺหาติ ตสฺสปิ กิเลสภาวาปตฺติโต, เอวํ อากิญฺจญฺญายตนสฺส จ ปวตฺตนาการํ ยถาสภาวโต ชานนฺตํ ตํ อากิญฺจญฺญายตนมิว น คณฺหาติ , กิมงฺคํ ปน อญฺญนฺติฯ เตน กามาวจรกุสลานํ นวตฺตพฺพตา น วุตฺตาติฯ อยํ ‘‘อากิญฺจญฺญายตนสฺส วิสยภูโต อปคโม นาม เอโก อโตฺถ อตฺถี’’ติ อนิจฺฉนฺตานํ อาจริยานํ วินิจฺฉโยฯ

    Idāni tanti ‘‘etañhi ākiñcaññāyatana’’nti vuttaṃ ākiñcaññāyatanaṃ taṃ-saddena ākaḍḍhitvā vadati. Yo panāyamettha attho vutto ‘‘ākiñcaññāyatanaṃ ekampi idha vuccamānaṃ atītārammaṇattike tena sahekārammaṇatampi sandhāya kāmāvacarakusalādīnaṃ navattabbārammaṇatāya vuttattā idhāpi tesaṃ navattabbārammaṇabhāvaṃ dīpetīti katvā tasmiṃ vutte tānipi vuttāneva honti, tasmā visuṃ na vuttānī’’ti, tamaññe nānujānanti. Na hi īdisaṃ lesavacanaṃ aṭṭhakathākaṇḍe atthi. Yadi siyā, parittārammaṇattike yesaṃ samānārammaṇānaṃ parittādiārammaṇatā navattabbatā ca vuttā. Puna atītārammaṇattike tesu ekameva vatvā aññaṃ na vattabbaṃ siyā. Tathā vedanāttike samānavedanānaṃ yesaṃ sukhāya vedanāya sampayuttatā vuttā, tesu ekameva pītittike sukhasahagataniddese vatvā aññaṃ na vattabbaṃ siyā. Evaṃ upekkhāsahagataniddesādīsu yojetabbaṃ. Lesena pana vinā aṭṭhakathākaṇḍe atthuddhārassa katattā ākiñcaññāyatanassa viya kāmāvacarakusalādīnampi ajjhattārammaṇattike navattabbatāya sati tānipi navattabbānīti vattabbāni, na pana vuttāni. Tasmā abhāvanāsāmaññepi yāya abhāvanāniṭṭhappavattiyā ākiñcaññāyatanaṃ pavattamānaṃ navattabbaṃ jātaṃ, tassā pavattiyā abhāvena tāni navattabbānīti na vuttāni. Gahaṇavisesanimmitāneva hi kasiṇādīni sabhāvato avijjamānānīti tadārammaṇānaṃ bahiddhāgahaṇavasena bahiddhārammaṇatā vuttā. Ākiñcaññāyatanaṃ pana na bahiddhāgahaṇabhāvena pavattati, nāpi ajjhattaggahaṇabhāvena pavattatīti navattabbanti vuttaṃ. Yena pana gahaṇākārena ākiñcaññāyatanaṃ pavattati, na tena sabbaññutaññāṇampi pavattati. Yadi pavatteyya, tampi ākiñcaññāyatanameva bhaveyya. Yathā hi kilesānaṃ gocaraṃ pavattivisesañca sabbaṃ jānantaṃ sabbaññutaññāṇaṃ na yathā te gaṇhanti, tathā gaṇhāti tassapi kilesabhāvāpattito, evaṃ ākiñcaññāyatanassa ca pavattanākāraṃ yathāsabhāvato jānantaṃ taṃ ākiñcaññāyatanamiva na gaṇhāti , kimaṅgaṃ pana aññanti. Tena kāmāvacarakusalānaṃ navattabbatā na vuttāti. Ayaṃ ‘‘ākiñcaññāyatanassa visayabhūto apagamo nāma eko attho atthī’’ti anicchantānaṃ ācariyānaṃ vinicchayo.

    วิปากํ ปน น กสฺสจิ อารมฺมณํ โหตีติ วิปากํ อากาสานญฺจายตนํ วิปากาทีสุ วิญฺญาณญฺจายตเนสุ น กสฺสจิ อารมฺมณํ โหตีติ อโตฺถ, ตถา อากิญฺจญฺญายตนญฺจ เนวสญฺญานาสญฺญายตนสฺสฯ ยถา หิ วิปากตฺติเก วิปากธมฺมธมฺมเนววิปากนวิปากธมฺมธมฺมมูลเกสุ ปเญฺหสุ ‘‘อากาสานญฺจายตนกุสลํ วิญฺญาณญฺจายตนกุสลสฺส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย, อากิญฺจญฺญายตนกุสลํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนกุสลสฺส, ตถา วิปากสฺส กิริยสฺสฯ อากาสานญฺจายตนกิริยํ วิญฺญาณญฺจายตนกิริยสฺสฯ อากิญฺจญฺญายตนกิริยํ เนวสญฺญานาสญฺญายตนกิริยสฺส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๐๖, ๔๑๐) วุตฺตํ, น ตถา วิปากธมฺมมูลเกสุ ‘‘อากาสานญฺจายตนอากิญฺจญฺญายตนวิปากา วิญฺญาณญฺจายตนเนวสญฺญานาสญฺญายตนวิปากกุสลกิริยานํ อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ วุตฺตาฯ วิปากโต วุฎฺฐหิตฺวา จิตฺตสฺส อภินีหาราสมฺภวโตติ วิปากํ อารมฺมณํ กตฺวา อภินีหาราสมฺภวโตติ อโตฺถฯ วิปากสฺส หิ อารมฺมณํ กตฺวา นตฺถิ อภินีหาโรติฯ

    Vipākaṃ pana na kassaci ārammaṇaṃ hotīti vipākaṃ ākāsānañcāyatanaṃ vipākādīsu viññāṇañcāyatanesu na kassaci ārammaṇaṃ hotīti attho, tathā ākiñcaññāyatanañca nevasaññānāsaññāyatanassa. Yathā hi vipākattike vipākadhammadhammanevavipākanavipākadhammadhammamūlakesu pañhesu ‘‘ākāsānañcāyatanakusalaṃ viññāṇañcāyatanakusalassa ārammaṇapaccayena paccayo, ākiñcaññāyatanakusalaṃ nevasaññānāsaññāyatanakusalassa, tathā vipākassa kiriyassa. Ākāsānañcāyatanakiriyaṃ viññāṇañcāyatanakiriyassa. Ākiñcaññāyatanakiriyaṃ nevasaññānāsaññāyatanakiriyassa ārammaṇapaccayena paccayo’’ti (paṭṭhā. 1.1.406, 410) vuttaṃ, na tathā vipākadhammamūlakesu ‘‘ākāsānañcāyatanaākiñcaññāyatanavipākā viññāṇañcāyatananevasaññānāsaññāyatanavipākakusalakiriyānaṃ ārammaṇapaccayena paccayo’’ti vuttā. Vipākato vuṭṭhahitvā cittassa abhinīhārāsambhavatoti vipākaṃ ārammaṇaṃ katvā abhinīhārāsambhavatoti attho. Vipākassa hi ārammaṇaṃ katvā natthi abhinīhāroti.

    อตฺตโน ขนฺธาทีนีติ อรูปกฺขเนฺธ ‘‘ขนฺธา’’ติ คเหตฺวา อาทิ-สเทฺทน รูปํ คณฺหาติฯ อชฺฌตฺตํ วา คยฺหมานํ อหนฺติ ปญฺญตฺติํ อาทิ-สเทฺทน คณฺหาติฯ เอส นโย ปเรสํ ขนฺธาทิคฺคหเณ จฯ ปุน ปญฺญตฺติคฺคหเณน กสิณวิหาราทิอนินฺทฺริยพทฺธุปาทายปญฺญตฺติมาหฯ อาทิ-สเทฺทน วา อหํ ปรํ ปณฺณตฺติคฺคหเณ สพฺพํ อุปาทายปญฺญตฺติํฯ กมฺมาทีสุ กมฺมํ อชฺฌตฺตํ, กมฺมนิมิตฺตํ อุภยํ, คตินิมิตฺตํ พหิทฺธาติ ทฎฺฐพฺพํฯ อตฺตโน สรีเร เอว กิมิ หุตฺวา นิพฺพตฺตมานสฺส คตินิมิตฺตมฺปิ อชฺฌตฺตํ สิยาฯ มลฺลิกาย กุมฺมาสํ ททมานาย รโญฺญ อคฺคมเหสิฎฺฐานลาภํ, สนฺตติมหามตฺตสฺส หตฺถิกฺขนฺธคตสฺส อรหตฺตปฺปตฺติํ, สุมนมาลาการสฺส จ ปุปฺผมุฎฺฐินา ปูเชนฺตสฺส ปเจฺจกโพธิสจฺฉิกิริยํ นิสฺสาย ภควา สิตํ ปาตฺวากาสิฯ

    Attano khandhādīnīti arūpakkhandhe ‘‘khandhā’’ti gahetvā ādi-saddena rūpaṃ gaṇhāti. Ajjhattaṃ vā gayhamānaṃ ahanti paññattiṃ ādi-saddena gaṇhāti. Esa nayo paresaṃ khandhādiggahaṇe ca. Puna paññattiggahaṇena kasiṇavihārādianindriyabaddhupādāyapaññattimāha. Ādi-saddena vā ahaṃ paraṃ paṇṇattiggahaṇe sabbaṃ upādāyapaññattiṃ. Kammādīsu kammaṃ ajjhattaṃ, kammanimittaṃ ubhayaṃ, gatinimittaṃ bahiddhāti daṭṭhabbaṃ. Attano sarīre eva kimi hutvā nibbattamānassa gatinimittampi ajjhattaṃ siyā. Mallikāya kummāsaṃ dadamānāya rañño aggamahesiṭṭhānalābhaṃ, santatimahāmattassa hatthikkhandhagatassa arahattappattiṃ, sumanamālākārassa ca pupphamuṭṭhinā pūjentassa paccekabodhisacchikiriyaṃ nissāya bhagavā sitaṃ pātvākāsi.

    อิมสฺมิํ ติเก โอกาสํ ลภนฺตีติ ปริตฺตารมฺมณาตีตารมฺมณตฺติเกสุ อลโทฺธกาสานิ นวตฺตพฺพานีติ วุตฺตานิ, อิธ ปน นวตฺตพฺพานิ น โหนฺติ, อชฺฌตฺตาทีสุ เอการมฺมณตํ ลภนฺตีติ อโตฺถฯ เอตานิ หิ ปญฺจ สพฺพตฺถปาทกากาสาโลกกสิณจตุตฺถานํ กสิณารมฺมณตฺตา, พฺรหฺมวิหารจตุตฺถสฺส ปญฺญตฺติอารมฺมณตฺตา, อานาปานจตุตฺถสฺส นิมิตฺตารมฺมณตฺตา พหิทฺธารมฺมณานีติฯ สกายจิตฺตานนฺติ สกกายจิตฺตานํ, เตน ปโยชนํ นตฺถิ, ตสฺมา น ตํ อชฺฌตฺตารมฺมณนฺติ อโตฺถฯ อนินฺทฺริยพทฺธสฺส วา รูปสฺสาติ เอตฺถ ‘‘ติสฺสนฺนํ วา ปญฺญตฺตีน’’นฺติ อิทมฺปิ วา-สเทฺทน อาหริตพฺพํ, นยทสฺสนํ วา เอตํ ทฎฺฐพฺพํฯ อีทิเส หิ กาเล พหิทฺธารมฺมณนฺติฯ

    Imasmiṃ tike okāsaṃ labhantīti parittārammaṇātītārammaṇattikesu aladdhokāsāni navattabbānīti vuttāni, idha pana navattabbāni na honti, ajjhattādīsu ekārammaṇataṃ labhantīti attho. Etāni hi pañca sabbatthapādakākāsālokakasiṇacatutthānaṃ kasiṇārammaṇattā, brahmavihāracatutthassa paññattiārammaṇattā, ānāpānacatutthassa nimittārammaṇattā bahiddhārammaṇānīti. Sakāyacittānanti sakakāyacittānaṃ, tena payojanaṃ natthi, tasmā na taṃ ajjhattārammaṇanti attho. Anindriyabaddhassa vā rūpassāti ettha ‘‘tissannaṃ vā paññattīna’’nti idampi -saddena āharitabbaṃ, nayadassanaṃ vā etaṃ daṭṭhabbaṃ. Īdise hi kāle bahiddhārammaṇanti.

    ติกอตฺถุทฺธารวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Tikaatthuddhāravaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / ติกอตฺถุทฺธาโร • Tikaatthuddhāro

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā / ติกอตฺถุทฺธารวณฺณนา • Tikaatthuddhāravaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / ติกอตฺถุทฺธารวณฺณนา • Tikaatthuddhāravaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact