Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā |
๑. จิตฺตุปฺปาทกโณฺฑ
1. Cittuppādakaṇḍo
ติกมาติกาปทวณฺณนา
Tikamātikāpadavaṇṇanā
อิทานิ
Idāni
อิติ เม ภาสมานสฺส, อภิธมฺมกถํ อิมํ;
Iti me bhāsamānassa, abhidhammakathaṃ imaṃ;
อวิกฺขิตฺตา นิสาเมถ, ทุลฺลภา หิ อยํ กถาติฯ
Avikkhittā nisāmetha, dullabhā hi ayaṃ kathāti.
เอวํ ปฎิญฺญาตาย อภิธมฺมกถาย กถโนกาโส สมฺปโตฺตฯ ตตฺถ ยสฺมา อภิธโมฺม นาม ธมฺมสงฺคณีอาทีนิ สตฺตปฺปกรณานิ; ธมฺมสงฺคณีปิ จิตฺตุปฺปาทกณฺฑาทีนํ วเสน จตฺตาริ กณฺฑานิ; จิตฺตุปฺปาทกณฺฑมฺปิ มาติกาปทภาชนียวเสน ทุวิธํ; ตตฺถ มาติกา อาทิ; สาปิ ติกมาติกา ทุกมาติกาติ ทุวิธา; ตตฺถ ติกมาติกา อาทิ; ติกมาติกายปิ กุสลตฺติกํ กุสลตฺติเกปิ กุสลา ธมฺมาติ อิทํ ปทํ; ตสฺมา –
Evaṃ paṭiññātāya abhidhammakathāya kathanokāso sampatto. Tattha yasmā abhidhammo nāma dhammasaṅgaṇīādīni sattappakaraṇāni; dhammasaṅgaṇīpi cittuppādakaṇḍādīnaṃ vasena cattāri kaṇḍāni; cittuppādakaṇḍampi mātikāpadabhājanīyavasena duvidhaṃ; tattha mātikā ādi; sāpi tikamātikā dukamātikāti duvidhā; tattha tikamātikā ādi; tikamātikāyapi kusalattikaṃ kusalattikepi kusalā dhammāti idaṃ padaṃ; tasmā –
อิโต ปฎฺฐาย คมฺภีรํ, อภิธมฺมกถํ อิมํ;
Ito paṭṭhāya gambhīraṃ, abhidhammakathaṃ imaṃ;
วุจฺจมานํ นิสาเมถ, เอกคฺคา สาธุ สาธโวติฯ
Vuccamānaṃ nisāmetha, ekaggā sādhu sādhavoti.
๑. ‘‘กุสลา ธมฺมา, อกุสลา ธมฺมา, อพฺยากตา ธมฺมา’’ติ อยํ ตาว อาทิปเทน ลทฺธนาโม กุสลตฺติโก นามฯ ‘‘สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธมฺมา, ทุกฺขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธมฺมา, อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธมฺมา’’ติ อยํ สพฺพปเทหิ ลทฺธนาโม เวทนาตฺติโก นามฯ เอวํ อาทิปทวเสน วา สพฺพปทวเสน วา สเพฺพสมฺปิ ติกทุกานํ นามํ เวทิตพฺพํ ฯ สเพฺพว เจเต ปญฺจทสหิ ปริเจฺฉเทหิ ววตฺถิตาฯ ติกานญฺหิ เอโก ปริเจฺฉโท, ทุกานํ จตุทฺทสฯ ‘‘เหตู ธมฺมา, นเหตู ธมฺมา’’ติอาทโย หิ ฉ ทุกา คนฺถโต จ อตฺถโต จ อญฺญมญฺญสมฺพเนฺธน กณฺณิกา วิย ฆฎา วิย หุตฺวา ฐิตตฺตา ‘เหตุโคจฺฉโก’ติ วุจฺจติฯ ตโต อปเร ‘‘สปฺปจฺจยา ธมฺมา อปฺปจฺจยา ธมฺมา’’ติอาทโย สตฺต ทุกา, อญฺญมญฺญํ อสมฺพนฺธา, เกวลํ ทุกสามญฺญโต อุจฺจินิตฺวา อุจฺจินิตฺวา วิสุํ วิสุํ โคจฺฉกนฺตเร ฐปิตตฺตา อเญฺญหิ จ มหนฺตรทุเกหิ จูฬกตฺตา ‘จูฬนฺตรทุกา’ติ เวทิตพฺพาฯ ตโต ปรํ อาสวทุกาทีนํ ฉนฺนํ วเสน ‘อาสวโคจฺฉโก’ ; ตถา สํโยชนทุกาทีนํ วเสน ‘สํโยชนโคจฺฉโก’; ตถา คนฺถโอฆโยคนีวรณทุกาทีนํ วเสน ‘คนฺถโอฆโยคนีวรณโคจฺฉกา’; ปรามาสทุกาทีนํ ปญฺจนฺนํ วเสน ‘ปรามาสโคจฺฉโก’ติฯ สเพฺพปิ สตฺต โคจฺฉกา เวทิตพฺพาฯ ตโต ปรํ ‘‘สารมฺมณา ธมฺมา’’ติอาทโย จตุทฺทส ทุกา ‘มหนฺตรทุกา’ นามฯ ตโต อุปาทานทุกาทโย ฉ ทุกา ‘อุปาทานโคจฺฉโก’ นามฯ ตโต กิเลสทุกาทโย อฎฺฐ ทุกา ‘กิเลสโคจฺฉโก’ นามฯ ตโต ปรํ ทสฺสเนนปหาตพฺพทุกาทโย อฎฺฐารส ทุกา อภิธมฺมมาติกาย ปริโยสาเน ฐปิตตฺตา ‘ปิฎฺฐิทุกา’ นามฯ ‘‘วิชฺชาภาคิโน ธมฺมา อวิชฺชาภาคิโน ธมฺมา’’ติอาทโย ปน ทฺวาจตฺตาลีส ทุกา ‘สุตฺตนฺติกทุกา’ นามฯ เอวํ สเพฺพเปเต ปญฺจทสหิ ปริเจฺฉเทหิ ววตฺถิตาติ เวทิตพฺพาฯ
1. ‘‘Kusalā dhammā, akusalā dhammā, abyākatā dhammā’’ti ayaṃ tāva ādipadena laddhanāmo kusalattiko nāma. ‘‘Sukhāya vedanāya sampayuttā dhammā, dukkhāya vedanāya sampayuttā dhammā, adukkhamasukhāya vedanāya sampayuttā dhammā’’ti ayaṃ sabbapadehi laddhanāmo vedanāttiko nāma. Evaṃ ādipadavasena vā sabbapadavasena vā sabbesampi tikadukānaṃ nāmaṃ veditabbaṃ . Sabbeva cete pañcadasahi paricchedehi vavatthitā. Tikānañhi eko paricchedo, dukānaṃ catuddasa. ‘‘Hetū dhammā, nahetū dhammā’’tiādayo hi cha dukā ganthato ca atthato ca aññamaññasambandhena kaṇṇikā viya ghaṭā viya hutvā ṭhitattā ‘hetugocchako’ti vuccati. Tato apare ‘‘sappaccayā dhammā appaccayā dhammā’’tiādayo satta dukā, aññamaññaṃ asambandhā, kevalaṃ dukasāmaññato uccinitvā uccinitvā visuṃ visuṃ gocchakantare ṭhapitattā aññehi ca mahantaradukehi cūḷakattā ‘cūḷantaradukā’ti veditabbā. Tato paraṃ āsavadukādīnaṃ channaṃ vasena ‘āsavagocchako’ ; tathā saṃyojanadukādīnaṃ vasena ‘saṃyojanagocchako’; tathā ganthaoghayoganīvaraṇadukādīnaṃ vasena ‘ganthaoghayoganīvaraṇagocchakā’; parāmāsadukādīnaṃ pañcannaṃ vasena ‘parāmāsagocchako’ti. Sabbepi satta gocchakā veditabbā. Tato paraṃ ‘‘sārammaṇā dhammā’’tiādayo catuddasa dukā ‘mahantaradukā’ nāma. Tato upādānadukādayo cha dukā ‘upādānagocchako’ nāma. Tato kilesadukādayo aṭṭha dukā ‘kilesagocchako’ nāma. Tato paraṃ dassanenapahātabbadukādayo aṭṭhārasa dukā abhidhammamātikāya pariyosāne ṭhapitattā ‘piṭṭhidukā’ nāma. ‘‘Vijjābhāgino dhammā avijjābhāgino dhammā’’tiādayo pana dvācattālīsa dukā ‘suttantikadukā’ nāma. Evaṃ sabbepete pañcadasahi paricchedehi vavatthitāti veditabbā.
เอวํ ววตฺถิตา ปเนเต สปฺปเทสนิปฺปเทสวเสน เทฺว โกฎฺฐาสา โหนฺติฯ เตสุ หิ นว ติกา เอกสตฺตติ จ ทุกา สปฺปเทสานํ รูปารูปธมฺมานํ ปริคฺคหิตตฺตา สปฺปเทสา นามฯ อวเสสา เตรส ติกา เอกสตฺตติ จ ทุกา นิปฺปเทสา นามฯ ตตฺถ ติเกสุ ตาว เวทนาตฺติโก วิตกฺกตฺติโก ปีติตฺติโก อุปฺปนฺนตฺติโก อตีตตฺติโก จตฺตาโร อารมฺมณตฺติกาติ อิเม นว ติกา สปฺปเทสา นามฯ ทุเกสุ เหตุโคจฺฉกาทีนํ อุปาทานโคจฺฉกปริโยสานานํ นวนฺนํ โคจฺฉกานํ ปริโยสาเน ตโย ตโย ทุกา, กิเลสโคจฺฉกปริโยสาเน จตฺตาโร ทุกา, ‘‘จิตฺตสมฺปยุตฺตา ธมฺมา, จิตฺตวิปฺปยุตฺตา ธมฺมา’’‘‘จิตฺตสํสฎฺฐา ธมฺมา, จิตฺตวิสํสฎฺฐา ธมฺมา’’ติ เทฺว มหนฺตรทุกา, สุตฺตนฺติกทุเกสุ อธิวจนทุกํ นิรุตฺติทุกํ ปญฺญตฺติทุกํ นามรูปทุกนฺติ อิเม จตฺตาโร ทุเก ฐเปตฺวา อวเสสา อฎฺฐติํส ทุกา จาติ เอเต สปฺปเทสา นามฯ วุตฺตาวเสสา ติกทุกา สเพฺพปิ นิปฺปเทสาติ เวทิตพฺพาฯ
Evaṃ vavatthitā panete sappadesanippadesavasena dve koṭṭhāsā honti. Tesu hi nava tikā ekasattati ca dukā sappadesānaṃ rūpārūpadhammānaṃ pariggahitattā sappadesā nāma. Avasesā terasa tikā ekasattati ca dukā nippadesā nāma. Tattha tikesu tāva vedanāttiko vitakkattiko pītittiko uppannattiko atītattiko cattāro ārammaṇattikāti ime nava tikā sappadesā nāma. Dukesu hetugocchakādīnaṃ upādānagocchakapariyosānānaṃ navannaṃ gocchakānaṃ pariyosāne tayo tayo dukā, kilesagocchakapariyosāne cattāro dukā, ‘‘cittasampayuttā dhammā, cittavippayuttā dhammā’’‘‘cittasaṃsaṭṭhā dhammā, cittavisaṃsaṭṭhā dhammā’’ti dve mahantaradukā, suttantikadukesu adhivacanadukaṃ niruttidukaṃ paññattidukaṃ nāmarūpadukanti ime cattāro duke ṭhapetvā avasesā aṭṭhatiṃsa dukā cāti ete sappadesā nāma. Vuttāvasesā tikadukā sabbepi nippadesāti veditabbā.
อิทานิ กุสลา ธมฺมาติอาทีนํ มาติกาปทานํ อยมนุปุพฺพปทวณฺณนา – ‘กุสล’-สโทฺท ตาว อาโรคฺยอนวชฺชเฉกสุขวิปาเกสุ ทิสฺสติฯ อยญฺหิ ‘‘กจฺจิ นุ โภโต กุสลํ, กจฺจิ โภโต อนามย’’นฺติอาทีสุ (ชา. ๑.๑๕.๑๔๖; ๒.๒๐.๑๒๙) อาโรเคฺย ทิสฺสติฯ ‘‘กตโม ปน, ภเนฺต, กายสมาจาโร กุสโล? โย โข, มหาราช, กายสมาจาโร อนวโชฺช’’ติ (ม. นิ. ๒.๓๖๑) จ, ‘‘อปรํ ปน, ภเนฺต, เอตทานุตฺตริยํ ยถา ภควา ธมฺมํ เทเสติ กุสเลสุ ธเมฺมสู’’ติ (ที. นิ. ๓.๑๔๕) จ เอวมาทีสุ อนวเชฺชฯ ‘‘กุสโล ตฺวํ รถสฺส องฺคปจฺจงฺคานํ’’ (ม. นิ. ๒.๘๗), ‘‘กุสลา นจฺจคีตสฺส สิกฺขิตา จาตุริตฺถิโย’’ติอาทีสุ (ชา. ๒.๒๒.๙๔) เฉเกฯ ‘‘กุสลานํ, ภิกฺขเว, ธมฺมานํ สมาทานเหตุ’’ (ที. นิ. ๓.๘๐), ‘‘กุสลสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา อุปจิตตฺตา’’ติอาทีสุ (ธ. ส. ๔๓๑) สุขวิปาเกฯ สฺวายมิธ อาโรเคฺยปิ อนวเชฺชปิ สุขวิปาเกปิ วตฺตติฯ
Idāni kusalā dhammātiādīnaṃ mātikāpadānaṃ ayamanupubbapadavaṇṇanā – ‘kusala’-saddo tāva ārogyaanavajjachekasukhavipākesu dissati. Ayañhi ‘‘kacci nu bhoto kusalaṃ, kacci bhoto anāmaya’’ntiādīsu (jā. 1.15.146; 2.20.129) ārogye dissati. ‘‘Katamo pana, bhante, kāyasamācāro kusalo? Yo kho, mahārāja, kāyasamācāro anavajjo’’ti (ma. ni. 2.361) ca, ‘‘aparaṃ pana, bhante, etadānuttariyaṃ yathā bhagavā dhammaṃ deseti kusalesu dhammesū’’ti (dī. ni. 3.145) ca evamādīsu anavajje. ‘‘Kusalo tvaṃ rathassa aṅgapaccaṅgānaṃ’’ (ma. ni. 2.87), ‘‘kusalā naccagītassa sikkhitā cāturitthiyo’’tiādīsu (jā. 2.22.94) cheke. ‘‘Kusalānaṃ, bhikkhave, dhammānaṃ samādānahetu’’ (dī. ni. 3.80), ‘‘kusalassa kammassa katattā upacitattā’’tiādīsu (dha. sa. 431) sukhavipāke. Svāyamidha ārogyepi anavajjepi sukhavipākepi vattati.
ธมฺมสโทฺท ปนายํ ปริยตฺติเหตุคุณนิสฺสตฺตนิชฺชีวตาทีสุ ทิสฺสติฯ อยญฺหิ ‘‘ธมฺมํ ปริยาปุณาติ สุตฺตํ เคยฺย’’นฺติอาทีสุ (อ. นิ. ๔.๑๐๒) ปริยตฺติยํ ทิสฺสติฯ ‘‘เหตุมฺหิ ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทา’’ติอาทีสุ (วิภ. ๗๒๐) เหตุมฺหิฯ
Dhammasaddo panāyaṃ pariyattihetuguṇanissattanijjīvatādīsu dissati. Ayañhi ‘‘dhammaṃ pariyāpuṇāti suttaṃ geyya’’ntiādīsu (a. ni. 4.102) pariyattiyaṃ dissati. ‘‘Hetumhi ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā’’tiādīsu (vibha. 720) hetumhi.
‘‘น หิ ธโมฺม อธโมฺม จ, อุโภ สมวิปากิโน;
‘‘Na hi dhammo adhammo ca, ubho samavipākino;
อธโมฺม นิรยํ เนติ, ธโมฺม ปาเปติ สุคฺคติ’’นฺติฯ (เถรคา. ๓๐๔; ชา. ๑.๑๕.๓๘๖) –
Adhammo nirayaṃ neti, dhammo pāpeti suggati’’nti. (theragā. 304; jā. 1.15.386) –
อาทีสุ คุเณฯ ‘‘ตสฺมิํ โข ปน สมเย ธมฺมา โหนฺติ’’ (ธ. ส. ๑๒๑), ‘‘ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๗๓) นิสฺสตฺตนิชฺชีวตายํฯ สฺวายมิธาปิ นิสฺสตฺตนิชฺชีวตายเมว วฎฺฎติฯ
Ādīsu guṇe. ‘‘Tasmiṃ kho pana samaye dhammā honti’’ (dha. sa. 121), ‘‘dhammesu dhammānupassī viharatī’’tiādīsu (dī. ni. 2.373) nissattanijjīvatāyaṃ. Svāyamidhāpi nissattanijjīvatāyameva vaṭṭati.
วจนโตฺถ ปเนตฺถ – กุจฺฉิเต ปาปเก ธเมฺม สลยนฺติ จลยนฺติ กเมฺปนฺติ วิทฺธํเสนฺตีติ กุสลาฯ กุจฺฉิเตน วา อากาเรน สยนฺตีติ กุสาฯ เต อกุสลสงฺขาเต กุเส ลุนนฺติ ฉินฺทนฺตีติ กุสลาฯ กุจฺฉิตานํ วา สานโต ตนุกรณโต โอสานกรณโต ญาณํ กุสํ นามฯ เตน กุเสน ลาตพฺพาติ กุสลา; คเหตพฺพา ปวเตฺตตพฺพาติ อโตฺถฯ ยถา วา กุสา อุภยภาคคตํ หตฺถปฺปเทสํ ลุนนฺติ, เอวมิเมปิ อุปฺปนฺนานุปฺปนฺนภาเวน อุภยภาคคตํ กิเลสปกฺขํ ลุนนฺติฯ ตสฺมา กุสา วิย ลุนนฺตีติปิ กุสลาฯ อตฺตโน ปน สภาวํ ธาเรนฺตีติ ธมฺมาฯ ธาริยนฺติ วา ปจฺจเยหิ, ธารียนฺติ วา ยถาสภาวโตติ ธมฺมาฯ น กุสลา อกุสลาฯ มิตฺตปฎิปกฺขา อมิตฺตา วิย, โลภาทิปฎิปกฺขา อโลภาทโย วิย จ, กุสลปฎิปกฺขาติ อโตฺถฯ น พฺยากตาติ อพฺยากตา, กุสลากุสลภาเวน อกถิตาติ อโตฺถฯ เตสุ ปน อนวชฺชสุขวิปากลกฺขณา กุสลา, สาวชฺชทุกฺขวิปากลกฺขณา อกุสลา, อวิปากลกฺขณา อพฺยากตาฯ
Vacanattho panettha – kucchite pāpake dhamme salayanti calayanti kampenti viddhaṃsentīti kusalā. Kucchitena vā ākārena sayantīti kusā. Te akusalasaṅkhāte kuse lunanti chindantīti kusalā. Kucchitānaṃ vā sānato tanukaraṇato osānakaraṇato ñāṇaṃ kusaṃ nāma. Tena kusena lātabbāti kusalā; gahetabbā pavattetabbāti attho. Yathā vā kusā ubhayabhāgagataṃ hatthappadesaṃ lunanti, evamimepi uppannānuppannabhāvena ubhayabhāgagataṃ kilesapakkhaṃ lunanti. Tasmā kusā viya lunantītipi kusalā. Attano pana sabhāvaṃ dhārentīti dhammā. Dhāriyanti vā paccayehi, dhārīyanti vā yathāsabhāvatoti dhammā. Na kusalā akusalā. Mittapaṭipakkhā amittā viya, lobhādipaṭipakkhā alobhādayo viya ca, kusalapaṭipakkhāti attho. Na byākatāti abyākatā, kusalākusalabhāvena akathitāti attho. Tesu pana anavajjasukhavipākalakkhaṇā kusalā, sāvajjadukkhavipākalakkhaṇā akusalā, avipākalakkhaṇā abyākatā.
กิํ ปเนตานิ ‘กุสลา’ติ วา ‘ธมฺมา’ติ วาติอาทีนิ เอกตฺถานิ อุทาหุ นานตฺถานีติ? กิเญฺจตฺถ? ยทิ ตาว เอกตฺถานิ ‘กุสลา ธมฺมา’ติ อิทํ ‘กุสลากุสลา’ติวุตฺตสทิสํ โหติฯ อถ นานตฺถานิ ติกทุกานํ ฉกฺกจตุกฺกภาโว อาปชฺชติ ปทานญฺจ อสมฺพโนฺธฯ
Kiṃ panetāni ‘kusalā’ti vā ‘dhammā’ti vātiādīni ekatthāni udāhu nānatthānīti? Kiñcettha? Yadi tāva ekatthāni ‘kusalā dhammā’ti idaṃ ‘kusalākusalā’tivuttasadisaṃ hoti. Atha nānatthāni tikadukānaṃ chakkacatukkabhāvo āpajjati padānañca asambandho.
ยถา หิ ‘กุสลา’ ‘รูปํ’‘จกฺขุมา’ติ วุเตฺต อตฺถวเสน อญฺญมญฺญํ อโนโลเกนฺตานํ ปทานํ น โกจิ สมฺพโนฺธ, เอวมิธาปิ ปทานํ อสมฺพโนฺธ อาปชฺชติฯ ปุพฺพาปรสมฺพนฺธรหิตานิ จ ปทานิ นิปฺปโยชนานิ นาม โหนฺติฯ ยาปิ เจสา ปรโต ‘กตเม ธมฺมา กุสลา’ติ ปุจฺฉา, ตายปิ สทฺธิํ วิโรโธ อาปชฺชติฯ เนว หิ ธมฺมา กุสลา; อถ จ ปนิทํ วุจฺจติ – กตเม ธมฺมา ‘กุสลา’ติฯ อปโร นโย – ยทิ เอตานิ เอกตฺถานิ, ติณฺณํ ‘ธมฺมานํ’ เอกตฺตา กุสลาทีนมฺปิ เอกตฺตํ อาปชฺชติฯ กุสลาทิปรานญฺหิ ติณฺณมฺปิ ‘ธมฺมานํ’ ธมฺมภาเวน เอกตฺตํฯ ตสฺมา ธมฺมตฺตเยน สทฺธิํ อตฺถโต นินฺนานตฺถานํ กุสลาทีนมฺปิ เอกตฺตํ อาปชฺชติฯ ‘ยเทว กุสลํ, ตํ อกุสลํ, ตํ อพฺยากต’นฺติฯ ‘อถาปิ ติณฺณํ ธมฺมานํ เอกตฺตํ น สมฺปฎิจฺฉถ, อโญฺญว กุสลปโร ธโมฺม, อโญฺญ อกุสลปโร ธโมฺม, อโญฺญ อพฺยากตปโร ธโมฺมติ วทถ, เอวํ สเนฺต ธโมฺม นาม ภาโว, ภาวโต จ อโญฺญ อภาโวติ กุสลปรา ภาวสงฺขาตา ธมฺมา อโญฺญ อกุสลปโร ธโมฺม อภาโว สิยา, ตถา อพฺยากตปโรฯ เตหิ จ อโญฺญ กุสลปโรปิฯ เอวํ อภาวตฺตํ อาปเนฺนหิ ธเมฺมหิ อนเญฺญ กุสลาทโยปิ อภาวาเยว สิยุ’นฺติฯ
Yathā hi ‘kusalā’ ‘rūpaṃ’‘cakkhumā’ti vutte atthavasena aññamaññaṃ anolokentānaṃ padānaṃ na koci sambandho, evamidhāpi padānaṃ asambandho āpajjati. Pubbāparasambandharahitāni ca padāni nippayojanāni nāma honti. Yāpi cesā parato ‘katame dhammā kusalā’ti pucchā, tāyapi saddhiṃ virodho āpajjati. Neva hi dhammā kusalā; atha ca panidaṃ vuccati – katame dhammā ‘kusalā’ti. Aparo nayo – yadi etāni ekatthāni, tiṇṇaṃ ‘dhammānaṃ’ ekattā kusalādīnampi ekattaṃ āpajjati. Kusalādiparānañhi tiṇṇampi ‘dhammānaṃ’ dhammabhāvena ekattaṃ. Tasmā dhammattayena saddhiṃ atthato ninnānatthānaṃ kusalādīnampi ekattaṃ āpajjati. ‘Yadeva kusalaṃ, taṃ akusalaṃ, taṃ abyākata’nti. ‘Athāpi tiṇṇaṃ dhammānaṃ ekattaṃ na sampaṭicchatha, aññova kusalaparo dhammo, añño akusalaparo dhammo, añño abyākataparo dhammoti vadatha, evaṃ sante dhammo nāma bhāvo, bhāvato ca añño abhāvoti kusalaparā bhāvasaṅkhātā dhammā añño akusalaparo dhammo abhāvo siyā, tathā abyākataparo. Tehi ca añño kusalaparopi. Evaṃ abhāvattaṃ āpannehi dhammehi anaññe kusalādayopi abhāvāyeva siyu’nti.
สพฺพเมตํ อการณํฯ กสฺมา? ยถานุมติโวหารสิทฺธิโตติฯ โวหาโร หิ ยถา ยถา อเตฺถสุ อนุมโต สมฺปฎิจฺฉิโต ตถา ตเถว สิโทฺธฯ น จายํ ‘‘กุสลา ธมฺมา’’ติอาทีสุ กุสลปุโพฺพ ธมฺมาภิลาโป ธมฺมปโร จ กุสลาภิลาโป, ยถา ‘กุสลา กุสลา’ติ เอวํ, อตฺตโน อตฺถวิเสสาภาเวน ปณฺฑิเตหิ สมฺปฎิจฺฉิโต; น จ ‘กุสลา’ ‘รูปํ’จกฺขุมาสทฺทา วิย อญฺญมญฺญํ อโนโลกิตตฺถภาเวนฯ ‘กุสล’-สโทฺท ปเนตฺถ อนวชฺชสุขวิปากสงฺขาตสฺส อตฺถสฺส โชตกภาเวน สมฺปฎิจฺฉิโต, ‘อกุสล’-สโทฺท สาวชฺชทุกฺขวิปากตฺถโชตกเตฺตน, ‘อพฺยากต’-สโทฺท อวิปากตฺถโชตกเตฺตน, ‘ธมฺม’-สโทฺท สภาวธารณาทิอตฺถโชตกเตฺตนฯ โส เอเตสํ อญฺญตรานนฺตเร วุจฺจมาโน อตฺตโน อตฺถสามญฺญํ ทีเปติฯ สเพฺพว หิ เอเต สภาวธารณาทินา ลกฺขเณน ธมฺมาฯ กุสลาทิสทฺทา จาปิ ธมฺมสทฺทสฺส ปุรโต วุจฺจมานา อตฺตโน อตฺตโน อตฺถวิเสสํ ตสฺส ทีเปนฺติฯ ธโมฺม หิ กุสโล วา โหติ อกุสโล วา อพฺยากโต วาฯ เอวเมเต วิสุํ วิสุํ วุจฺจมานา อตฺตโน อตฺตโน อตฺถมตฺตทีปกเตฺตน สมฺปฎิจฺฉิตาฯ ธมฺมสเทฺทน สห วุจฺจมานา อตฺตโน อตฺตโน อตฺถสามญฺญํ อตฺถวิเสสํ วา ทีปกเตฺตน โลเก ปณฺฑิเตหิ สมฺปฎิจฺฉิตาฯ ตสฺมา ยเทตเมตฺถ เอกตฺถนานาตฺถตํ วิกเปฺปตฺวา โทสาโรปนการณํ วุตฺตํ สพฺพเมตํ อการณํฯ อยํ ตาว กุสลตฺติกสฺส อนุปุพฺพปทวณฺณนาฯ อิมินาว นเยน เสสติกทุกานมฺปิ นโย เวทิตโพฺพฯ อิโต ปรํ ปน วิเสสมตฺตเมว วกฺขามฯ
Sabbametaṃ akāraṇaṃ. Kasmā? Yathānumativohārasiddhitoti. Vohāro hi yathā yathā atthesu anumato sampaṭicchito tathā tatheva siddho. Na cāyaṃ ‘‘kusalā dhammā’’tiādīsu kusalapubbo dhammābhilāpo dhammaparo ca kusalābhilāpo, yathā ‘kusalā kusalā’ti evaṃ, attano atthavisesābhāvena paṇḍitehi sampaṭicchito; na ca ‘kusalā’ ‘rūpaṃ’cakkhumāsaddā viya aññamaññaṃ anolokitatthabhāvena. ‘Kusala’-saddo panettha anavajjasukhavipākasaṅkhātassa atthassa jotakabhāvena sampaṭicchito, ‘akusala’-saddo sāvajjadukkhavipākatthajotakattena, ‘abyākata’-saddo avipākatthajotakattena, ‘dhamma’-saddo sabhāvadhāraṇādiatthajotakattena. So etesaṃ aññatarānantare vuccamāno attano atthasāmaññaṃ dīpeti. Sabbeva hi ete sabhāvadhāraṇādinā lakkhaṇena dhammā. Kusalādisaddā cāpi dhammasaddassa purato vuccamānā attano attano atthavisesaṃ tassa dīpenti. Dhammo hi kusalo vā hoti akusalo vā abyākato vā. Evamete visuṃ visuṃ vuccamānā attano attano atthamattadīpakattena sampaṭicchitā. Dhammasaddena saha vuccamānā attano attano atthasāmaññaṃ atthavisesaṃ vā dīpakattena loke paṇḍitehi sampaṭicchitā. Tasmā yadetamettha ekatthanānātthataṃ vikappetvā dosāropanakāraṇaṃ vuttaṃ sabbametaṃ akāraṇaṃ. Ayaṃ tāva kusalattikassa anupubbapadavaṇṇanā. Imināva nayena sesatikadukānampi nayo veditabbo. Ito paraṃ pana visesamattameva vakkhāma.
๒. สุขาย เวทนายาติอาทีสุ ‘สุข’-สโทฺท ตาว สุขเวทนาสุขมูลสุขารมฺมณสุขเหตุสุขปจฺจยฎฺฐานอพฺยาพชฺฌนิพฺพานาทีสุ ทิสฺสติฯ อยญฺหิ ‘‘สุขสฺส จ ปหานา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๑.๒๓๒) สุขเวทนายํ ทิสฺสติฯ ‘‘สุโข พุทฺธานํ อุปฺปาโท’’ (ธ. ป. ๑๙๔), ‘‘สุขา วิราคตา โลเก’’ติอาทีสุ (อุทา. ๑๑; มหาว. ๕) สุขมูเล ‘‘ยสฺมา จ โข, มหาลิ, รูปํ สุขํ สุขานุปติตํ สุขาวกฺกนฺต’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๖๐) สุขารมฺมเณฯ ‘‘สุขเสฺสตํ, ภิกฺขเว, อธิวจนํ ยทิทํ ปุญฺญานี’’ติอาทีสุ (อ. นิ. ๗.๖๒) สุขเหตุมฺหิฯ ‘‘ยาวญฺจิทํ, ภิกฺขเว, น สุกรํ อกฺขาเนน ปาปุณิตุํ ยาว สุขา สคฺคา’’ (ม. นิ. ๓.๒๕๕), ‘‘น เต สุขํ ปชานนฺติ เย น ปสฺสนฺติ นนฺทน’’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๑.๑๑) สุขปจฺจยฎฺฐาเนฯ ‘‘ทิฎฺฐธมฺมสุขวิหารา เอเต ธมฺมา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๘๒) อพฺยาพเชฺฌฯ ‘‘นิพฺพานํ ปรมํ สุข’’นฺติอาทิสุ (ธ. ป. ๒๐๓-๒๐๔) นิพฺพาเนฯ อิธ ปนายํ สุขเวทนายเมว ทฎฺฐโพฺพฯ ‘เวทนา’-สโทฺท ‘‘วิทิตา เวทนา อุปฺปชฺชนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๒๐๘) เวทยิตสฺมิํเยว วตฺตติฯ
2. Sukhāya vedanāyātiādīsu ‘sukha’-saddo tāva sukhavedanāsukhamūlasukhārammaṇasukhahetusukhapaccayaṭṭhānaabyābajjhanibbānādīsu dissati. Ayañhi ‘‘sukhassa ca pahānā’’tiādīsu (dī. ni. 1.232) sukhavedanāyaṃ dissati. ‘‘Sukho buddhānaṃ uppādo’’ (dha. pa. 194), ‘‘sukhā virāgatā loke’’tiādīsu (udā. 11; mahāva. 5) sukhamūle ‘‘yasmā ca kho, mahāli, rūpaṃ sukhaṃ sukhānupatitaṃ sukhāvakkanta’’ntiādīsu (saṃ. ni. 3.60) sukhārammaṇe. ‘‘Sukhassetaṃ, bhikkhave, adhivacanaṃ yadidaṃ puññānī’’tiādīsu (a. ni. 7.62) sukhahetumhi. ‘‘Yāvañcidaṃ, bhikkhave, na sukaraṃ akkhānena pāpuṇituṃ yāva sukhā saggā’’ (ma. ni. 3.255), ‘‘na te sukhaṃ pajānanti ye na passanti nandana’’ntiādīsu (saṃ. ni. 1.11) sukhapaccayaṭṭhāne. ‘‘Diṭṭhadhammasukhavihārā ete dhammā’’tiādīsu (ma. ni. 1.82) abyābajjhe. ‘‘Nibbānaṃ paramaṃ sukha’’ntiādisu (dha. pa. 203-204) nibbāne. Idha panāyaṃ sukhavedanāyameva daṭṭhabbo. ‘Vedanā’-saddo ‘‘viditā vedanā uppajjantī’’tiādīsu (ma. ni. 3.208) vedayitasmiṃyeva vattati.
‘ทุกฺข’-สโทฺท ทุกฺขเวทนาทุกฺขวตฺถุทุกฺขารมฺมณทุกฺขปจฺจยทุกฺขปจฺจยฎฺฐานาทีสุ ทิสฺสติฯ อยญฺหิ ‘‘ทุกฺขสฺส จ ปหานา’’ติอาทีสุ ทุกฺขเวทนายํ ทิสฺสติฯ ‘‘ชาติปิ ทุกฺขา’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๘๗; วิภ. ๑๙๐) ทุกฺขวตฺถุสฺมิํฯ ‘‘ยสฺมา จ โข, มหาลิ, รูปํ ทุกฺขํ ทุกฺขานุปติตํ ทุกฺขาวกฺกนฺต’’นฺติอาทีสุ ทุกฺขารมฺมเณฯ ‘‘ทุโกฺข ปาปสฺส อุจฺจโย’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๑๑๗) ทุกฺขปจฺจเยฯ ‘‘ยาวญฺจิทํ, ภิกฺขเว, น สุกรํ อกฺขาเนน ปาปุณิตุํ ยาว ทุกฺขา นิรยา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๒๕๐) ทุกฺขปจฺจยฎฺฐาเนฯ อิธ ปนายํ ทุกฺขเวทนายเมว ทฎฺฐโพฺพฯ
‘Dukkha’-saddo dukkhavedanādukkhavatthudukkhārammaṇadukkhapaccayadukkhapaccayaṭṭhānādīsu dissati. Ayañhi ‘‘dukkhassa ca pahānā’’tiādīsu dukkhavedanāyaṃ dissati. ‘‘Jātipi dukkhā’’tiādīsu (dī. ni. 2.387; vibha. 190) dukkhavatthusmiṃ. ‘‘Yasmā ca kho, mahāli, rūpaṃ dukkhaṃ dukkhānupatitaṃ dukkhāvakkanta’’ntiādīsu dukkhārammaṇe. ‘‘Dukkho pāpassa uccayo’’tiādīsu (dha. pa. 117) dukkhapaccaye. ‘‘Yāvañcidaṃ, bhikkhave, na sukaraṃ akkhānena pāpuṇituṃ yāva dukkhā nirayā’’tiādīsu (ma. ni. 3.250) dukkhapaccayaṭṭhāne. Idha panāyaṃ dukkhavedanāyameva daṭṭhabbo.
วจนโตฺถ ปเนตฺถ – สุขยตีติ สุขาฯ ทุกฺขยตีติ ทุกฺขาฯ น ทุกฺขา น สุขาติ อทุกฺขมสุขาฯ ‘ม-กาโร ปทสนฺธิวเสน วุโตฺตฯ สพฺพาปิ อารมฺมณรสํ เวทยนฺติ อนุภวนฺตีติ เวทนาฯ ตาสุ อิฎฺฐานุภวนลกฺขณา สุขา, อนิฎฺฐานุภวนลกฺขณา ทุกฺขา, อุภยวิปรีตานุภวนลกฺขณา อทุกฺขมสุขาฯ โยปนายํ ตีสุปิ ปเทสุ ‘สมฺปยุตฺต’-สโทฺท, ตสฺสโตฺถ – สมํ ปกาเรหิ ยุตฺตาติ สมฺปยุตฺตาฯ กตเรหิ ปกาเรหีติ? เอกุปฺปาทตาทีหิฯ ‘‘นตฺถิ เกจิ ธมฺมา เกหิจิ ธเมฺมหิ สมฺปยุตฺตาติ? อามนฺตา’’ติ หิ อิมสฺส ปญฺหสฺส ปฎิเกฺขเป ‘‘นนุ อตฺถิ เกจิ ธมฺมา เกหิจิ ธเมฺมหิ สหคตา สหชาตา สํสฎฺฐา เอกุปฺปาทา เอกนิโรธา เอกวตฺถุกา เอการมฺมณา’’ติ (กถา. ๔๗๓) เอวํ เอกุปฺปาทตาทีนํ วเสน สมฺปโยคโตฺถ วุโตฺตฯ อิติ อิเมหิ เอกุปฺปาทตาทีหิ สมํ ปกาเรหิ ยุตฺตาติ สมฺปยุตฺตาฯ
Vacanattho panettha – sukhayatīti sukhā. Dukkhayatīti dukkhā. Na dukkhā na sukhāti adukkhamasukhā. ‘Ma-kāro padasandhivasena vutto. Sabbāpi ārammaṇarasaṃ vedayanti anubhavantīti vedanā. Tāsu iṭṭhānubhavanalakkhaṇā sukhā, aniṭṭhānubhavanalakkhaṇā dukkhā, ubhayaviparītānubhavanalakkhaṇā adukkhamasukhā. Yopanāyaṃ tīsupi padesu ‘sampayutta’-saddo, tassattho – samaṃ pakārehi yuttāti sampayuttā. Katarehi pakārehīti? Ekuppādatādīhi. ‘‘Natthi keci dhammā kehici dhammehi sampayuttāti? Āmantā’’ti hi imassa pañhassa paṭikkhepe ‘‘nanu atthi keci dhammā kehici dhammehi sahagatā sahajātā saṃsaṭṭhā ekuppādā ekanirodhā ekavatthukā ekārammaṇā’’ti (kathā. 473) evaṃ ekuppādatādīnaṃ vasena sampayogattho vutto. Iti imehi ekuppādatādīhi samaṃ pakārehi yuttāti sampayuttā.
๓. วิปากตฺติเก อญฺญมญฺญวิสิฎฺฐานํ กุสลากุสลานํ ปากาติ วิปากาฯ วิปกฺกภาวมาปนฺนานํ อรูปธมฺมานเมตํ อธิวจนํฯ วิปากธมฺมธมฺมาติ วิปากสภาวธมฺมาฯ ยถา ชาติชราสภาวา ชาติชราปกติกา สตฺตา ชาติธมฺมา ชราธมฺมาติ วุจฺจนฺติ เอวํ วิปากชนกเฎฺฐน วิปากสภาวา วิปากปกติกา ธมฺมาติ อโตฺถฯ ตติยปทํ อุภยสภาวปฎิเกฺขปวเสน วุตฺตํฯ
3. Vipākattike aññamaññavisiṭṭhānaṃ kusalākusalānaṃ pākāti vipākā. Vipakkabhāvamāpannānaṃ arūpadhammānametaṃ adhivacanaṃ. Vipākadhammadhammāti vipākasabhāvadhammā. Yathā jātijarāsabhāvā jātijarāpakatikā sattā jātidhammā jarādhammāti vuccanti evaṃ vipākajanakaṭṭhena vipākasabhāvā vipākapakatikā dhammāti attho. Tatiyapadaṃ ubhayasabhāvapaṭikkhepavasena vuttaṃ.
๔. อุปาทินฺนุปาทานิยตฺติเก อารมฺมณกรณวเสน ตณฺหาทิฎฺฐีหิ อุเปเตน กมฺมุนา อาทินฺนา, ผลภาเวน คหิตาติ อุปาทินฺนาฯ อารมฺมณภาวํ อุปคนฺตฺวา อุปาทานสมฺพเนฺธน อุปาทานานํ หิตาติ อุปาทานิยาฯ อุปาทานสฺส อารมฺมณปจฺจยภูตานเมตํ อธิวจนํฯ อุปาทิณฺณา จ เต อุปาทานิยา จาติ อุปาทิณฺณุปาทานิยา; สาสวกมฺมนิพฺพตฺตานํ รูปารูปธมฺมานเมตํ อธิวจนํฯ อิติ อิมินา นเยน เสสปททฺวเยปิ ปฎิเสธสหิโต อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
4. Upādinnupādāniyattike ārammaṇakaraṇavasena taṇhādiṭṭhīhi upetena kammunā ādinnā, phalabhāvena gahitāti upādinnā. Ārammaṇabhāvaṃ upagantvā upādānasambandhena upādānānaṃ hitāti upādāniyā. Upādānassa ārammaṇapaccayabhūtānametaṃ adhivacanaṃ. Upādiṇṇā ca te upādāniyā cāti upādiṇṇupādāniyā; sāsavakammanibbattānaṃ rūpārūpadhammānametaṃ adhivacanaṃ. Iti iminā nayena sesapadadvayepi paṭisedhasahito attho veditabbo.
๕. สํกิลิฎฺฐสํกิเลสิกตฺติเก สํกิเลเสตีติ สํกิเลโส, วิพาธติ, อุปตาเปติ จาติ อโตฺถฯ สํกิเลเสน สมนฺนาคตาติ สํกิลิฎฺฐาฯ อตฺตานํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตเนน สํกิเลสํ อรหนฺติ , สํกิเลเส วา นิยุตฺตา, ตสฺส อารมฺมณภาวานติกฺกมนโตติ สํกิเลสิกาฯ สํกิเลสสฺส อารมฺมณปจฺจยภูตานเมตํ อธิวจนํฯ สํกิลิฎฺฐา จ เต สํกิเลสิกา จาติ สํกิลิฎฺฐสํกิเลสิกาฯ เสสปททฺวยมฺปิ ปุริมตฺติเก วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ
5. Saṃkiliṭṭhasaṃkilesikattike saṃkilesetīti saṃkileso, vibādhati, upatāpeti cāti attho. Saṃkilesena samannāgatāti saṃkiliṭṭhā. Attānaṃ ārammaṇaṃ katvā pavattanena saṃkilesaṃ arahanti , saṃkilese vā niyuttā, tassa ārammaṇabhāvānatikkamanatoti saṃkilesikā. Saṃkilesassa ārammaṇapaccayabhūtānametaṃ adhivacanaṃ. Saṃkiliṭṭhā ca te saṃkilesikā cāti saṃkiliṭṭhasaṃkilesikā. Sesapadadvayampi purimattike vuttanayeneva veditabbaṃ.
๖. วิตกฺกตฺติเก สมฺปโยควเสน วตฺตมาเนน สห วิตเกฺกน สวิตกฺกาฯ สห วิจาเรน สวิจาราฯ สวิตกฺกา จ เต สวิจารา จาติ สวิตกฺกสวิจาราฯ อุภยรหิตา อวิตกฺกอวิจาราฯ วิตกฺกวิจาเรสุ วิจาโรว มตฺตา, ปมาณํ, เอเตสนฺติ วิจารมตฺตาฯ วิจารโต อุตฺตริ วิตเกฺกน สทฺธิํ สมฺปโยคํ น คจฺฉนฺตีติ อโตฺถฯ อวิตกฺกา จ เต วิจารมตฺตา จาติ อวิตกฺกวิจารมตฺตาฯ
6. Vitakkattike sampayogavasena vattamānena saha vitakkena savitakkā. Saha vicārena savicārā. Savitakkā ca te savicārā cāti savitakkasavicārā. Ubhayarahitā avitakkaavicārā. Vitakkavicāresu vicārova mattā, pamāṇaṃ, etesanti vicāramattā. Vicārato uttari vitakkena saddhiṃ sampayogaṃ na gacchantīti attho. Avitakkā ca te vicāramattā cāti avitakkavicāramattā.
๗. ปีติตฺติเก ปีติยา สห เอกุปฺปาทาทิภาวํ คตาติ ปีติสหคตา, ปีติสมฺปยุตฺตาติ อโตฺถฯ เสสปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ อุเปกฺขาติ เจตฺถ อทุกฺขมสุขา เวทนา วุตฺตาฯ สา หิ สุขทุกฺขาการปฺปวตฺติํ อุเปกฺขติ, มชฺฌตฺตาการสณฺฐิตตฺตา เตนากาเรน ปวตฺตตีติ อุเปกฺขาฯ อิติ เวทนาตฺติกโต ปททฺวยเมว คเหตฺวา นิปฺปีติกสฺส สุขสฺส สปฺปีติกสุขโต วิเสสทสฺสนวเสน อยํ ติโก วุโตฺตฯ
7. Pītittike pītiyā saha ekuppādādibhāvaṃ gatāti pītisahagatā, pītisampayuttāti attho. Sesapadadvayepi eseva nayo. Upekkhāti cettha adukkhamasukhā vedanā vuttā. Sā hi sukhadukkhākārappavattiṃ upekkhati, majjhattākārasaṇṭhitattā tenākārena pavattatīti upekkhā. Iti vedanāttikato padadvayameva gahetvā nippītikassa sukhassa sappītikasukhato visesadassanavasena ayaṃ tiko vutto.
๘. ทสฺสนตฺติเก ทสฺสเนนาติ โสตาปตฺติมเคฺคนฯ โส หิ ปฐมํ นิพฺพานํ ทสฺสนโต ทสฺสนนฺติ วุโตฺตฯ โคตฺรภุ ปน กิญฺจาปิ ปฐมตรํ ปสฺสติ, ยถา ปน รโญฺญ สนฺติกํ เกนจิเทว กรณีเยน อาคโต ปุริโส ทูรโตว รถิกาย จรนฺตํ หตฺถิกฺขนฺธคตํ ราชานํ ทิสฺวาปิ ‘ทิโฎฺฐ เต ราชา’ติ ปุโฎฺฐ ทิสฺวาปิ กตฺตพฺพกิจฺจสฺส อกตตฺตา ‘น ปสฺสามี’ติ อาหฯ เอวเมว นิพฺพานํ ทิสฺวาปิ กตฺตพฺพสฺส กิเลสปฺปหานสฺสาภาวา น ทสฺสนนฺติ วุจฺจติฯ ตญฺหิ ญาณํ มคฺคสฺส อาวชฺชนฎฺฐาเน ติฎฺฐติฯ ภาวนายาติ เสสมคฺคตฺตเยนฯ เสสมคฺคตฺตยญฺหิ ปฐมมเคฺคน ทิฎฺฐสฺมิํเยว ธเมฺม ภาวนาวเสน อุปฺปชฺชติ, อทิฎฺฐปุพฺพํ กิญฺจิ น ปสฺสติ, ตสฺมา ภาวนาติ วุจฺจติฯ ตติยปทํ อุภยปฎิเกฺขปวเสน วุตฺตํฯ
8. Dassanattike dassanenāti sotāpattimaggena. So hi paṭhamaṃ nibbānaṃ dassanato dassananti vutto. Gotrabhu pana kiñcāpi paṭhamataraṃ passati, yathā pana rañño santikaṃ kenacideva karaṇīyena āgato puriso dūratova rathikāya carantaṃ hatthikkhandhagataṃ rājānaṃ disvāpi ‘diṭṭho te rājā’ti puṭṭho disvāpi kattabbakiccassa akatattā ‘na passāmī’ti āha. Evameva nibbānaṃ disvāpi kattabbassa kilesappahānassābhāvā na dassananti vuccati. Tañhi ñāṇaṃ maggassa āvajjanaṭṭhāne tiṭṭhati. Bhāvanāyāti sesamaggattayena. Sesamaggattayañhi paṭhamamaggena diṭṭhasmiṃyeva dhamme bhāvanāvasena uppajjati, adiṭṭhapubbaṃ kiñci na passati, tasmā bhāvanāti vuccati. Tatiyapadaṃ ubhayapaṭikkhepavasena vuttaṃ.
๙. ตทนนฺตรตฺติเก ทสฺสเนน ปหาตโพฺพ เหตุ เอเตสนฺติ ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตุกาฯ ทุติยปเทปิ เอเสว นโยฯ ตติยปเท เนว ทสฺสเนน น ภาวนาย ปหาตโพฺพ เหตุ เอเตสนฺติ เอวมตฺถํ อคฺคเหตฺวา เนว ทสฺสเนน น ภาวนาย ปหาตโพฺพ เหตุ เอเตสํ อตฺถีติ เอวมโตฺถ คเหตโพฺพ ฯ อิตรถา หิ อเหตุกานํ อคฺคหณํ ภเวยฺย; เหตุเยว หิ เตสํ นตฺถิ โย ทสฺสนภาวนาหิ ปหาตโพฺพ สิยาฯ สเหตุเกสุปิ เหตุวชฺชานํ ปหานํ อาปชฺชติ, น เหตูนํ; เหตุเยว หิ เอเตสํ ‘เนว ทสฺสเนน น ภาวนาย ปหาตโพฺพ’ติ วุโตฺต, น เต ธมฺมาฯ อุภยมฺปิ เจตํ อนธิเปฺปตํฯ ตสฺมา เนว ทสฺสเนน น ภาวนาย ปหาตโพฺพ เหตุ เอเตสํ อตฺถีติ เนวทสฺสเนน นภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกาติ อยมโตฺถ คเหตโพฺพฯ
9. Tadanantarattike dassanena pahātabbo hetu etesanti dassanena pahātabbahetukā. Dutiyapadepi eseva nayo. Tatiyapade neva dassanena na bhāvanāya pahātabbo hetu etesanti evamatthaṃ aggahetvā neva dassanena na bhāvanāya pahātabbo hetu etesaṃ atthīti evamattho gahetabbo . Itarathā hi ahetukānaṃ aggahaṇaṃ bhaveyya; hetuyeva hi tesaṃ natthi yo dassanabhāvanāhi pahātabbo siyā. Sahetukesupi hetuvajjānaṃ pahānaṃ āpajjati, na hetūnaṃ; hetuyeva hi etesaṃ ‘neva dassanena na bhāvanāya pahātabbo’ti vutto, na te dhammā. Ubhayampi cetaṃ anadhippetaṃ. Tasmā neva dassanena na bhāvanāya pahātabbo hetu etesaṃ atthīti nevadassanena nabhāvanāya pahātabbahetukāti ayamattho gahetabbo.
๑๐. อาจยคามิตฺติเก กมฺมกิเลเสหิ อาจิยตีติ อาจโยฯ ปฎิสนฺธิจุติคติปฺปวตฺตานํ เอตํ นามํฯ ตสฺส การณํ หุตฺวา นิปฺผาทนกภาเวน ตํ อาจยํ คจฺฉนฺติ, ยสฺส วา ปวตฺตนฺติ ตํ ปุคฺคลํ ยถาวุตฺตเมว อาจยํ คเมนฺตีติปิ อาจยคามิโน; สาสวกุสลากุสลานํ เอตํ อธิวจนํฯ ตโต เอว อาจยสงฺขาตา จยา อเปตตฺตา, นิพฺพานํ อเปตํ จยาติ อปจโยฯ ตํ อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตนโต อปจยํ คจฺฉนฺตีติ อปจยคามิโน; อริยมคฺคานเมตํ อธิวจนํฯ อปิจ ปาการํ อิฎฺฐกวฑฺฒกี วิย ปวตฺตํ อาจินนฺตา คจฺฉนฺตีติ อาจยคามิโนฯ เตน จิตํ จิตํ อิฎฺฐกํ วิทฺธํสยมาโน ปุริโส วิย ตเทว ปวตฺตํ อปจินนฺตา คจฺฉนฺตีติ อปจยคามิโนฯ ตติยปทํ อุภยปฎิเกฺขเปน วุตฺตํฯ
10. Ācayagāmittike kammakilesehi āciyatīti ācayo. Paṭisandhicutigatippavattānaṃ etaṃ nāmaṃ. Tassa kāraṇaṃ hutvā nipphādanakabhāvena taṃ ācayaṃ gacchanti, yassa vā pavattanti taṃ puggalaṃ yathāvuttameva ācayaṃ gamentītipi ācayagāmino; sāsavakusalākusalānaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Tato eva ācayasaṅkhātā cayā apetattā, nibbānaṃ apetaṃ cayāti apacayo. Taṃ ārammaṇaṃ katvā pavattanato apacayaṃ gacchantīti apacayagāmino; ariyamaggānametaṃ adhivacanaṃ. Apica pākāraṃ iṭṭhakavaḍḍhakī viya pavattaṃ ācinantā gacchantīti ācayagāmino. Tena citaṃ citaṃ iṭṭhakaṃ viddhaṃsayamāno puriso viya tadeva pavattaṃ apacinantā gacchantīti apacayagāmino. Tatiyapadaṃ ubhayapaṭikkhepena vuttaṃ.
๑๑. เสกฺขตฺติเก ตีสุ สิกฺขาสุ ชาตาติ เสกฺขาฯ สตฺตนฺนํ เสกฺขานํ เอเตติปิ เสกฺขาฯ อปริโยสิตสิกฺขตฺตา สยเมว สิกฺขนฺตีติปิ เสกฺขา ฯ อุปริ สิกฺขิตพฺพาภาวโต น เสกฺขาติ อเสกฺขาฯ วุฑฺฒิปฺปตฺตา วา เสกฺขาติปิ อเสกฺขาฯ อรหตฺตผลธมฺมานํ เอตํ อธิวจนํฯ ตติยปทํ อุภยปฎิเกฺขเปน วุตฺตํฯ
11. Sekkhattike tīsu sikkhāsu jātāti sekkhā. Sattannaṃ sekkhānaṃ etetipi sekkhā. Apariyositasikkhattā sayameva sikkhantītipi sekkhā. Upari sikkhitabbābhāvato na sekkhāti asekkhā. Vuḍḍhippattā vā sekkhātipi asekkhā. Arahattaphaladhammānaṃ etaṃ adhivacanaṃ. Tatiyapadaṃ ubhayapaṭikkhepena vuttaṃ.
๑๒. ปริตฺตตฺติเก สมนฺตโต ขณฺฑิตตฺตา อปฺปมตฺตกํ ปริตฺตนฺติ วุจฺจติ; ‘ปริตฺตํ โคมยปิณฺฑ’นฺติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๙๖) วิยฯ อิเมปิ อปฺปานุภาวตาย ปริตฺตา วิยาติ ปริตฺตา; กามาวจรธมฺมานเมตํ อธิวจนํฯ กิเลสวิกฺขมฺภนสมตฺถตาย วิปุลผลตาย ทีฆสนฺตานตาย จ มหนฺตภาวํ คตา, มหเนฺตหิ วา อุฬารจฺฉนฺทวีริยจิตฺตปเญฺญหิ คตา ปฎิปนฺนาติปิ มหคฺคตาฯ ปมาณกรา ธมฺมา ราคาทโย ปมาณํ นามฯ อารมฺมณโต วา สมฺปโยคโต วา นตฺถิ เอเตสํ ปมาณํ, ปมาณสฺส จ ปฎิปกฺขาติ อปฺปมาณาฯ
12. Parittattike samantato khaṇḍitattā appamattakaṃ parittanti vuccati; ‘parittaṃ gomayapiṇḍa’ntiādīsu (saṃ. ni. 3.96) viya. Imepi appānubhāvatāya parittā viyāti parittā; kāmāvacaradhammānametaṃ adhivacanaṃ. Kilesavikkhambhanasamatthatāya vipulaphalatāya dīghasantānatāya ca mahantabhāvaṃ gatā, mahantehi vā uḷāracchandavīriyacittapaññehi gatā paṭipannātipi mahaggatā. Pamāṇakarā dhammā rāgādayo pamāṇaṃ nāma. Ārammaṇato vā sampayogato vā natthi etesaṃ pamāṇaṃ, pamāṇassa ca paṭipakkhāti appamāṇā.
๑๓. ปริตฺตารมฺมณตฺติเก ปริตฺตํ อารมฺมณํ เอเตสนฺติ ปริตฺตารมฺมณาฯ เสสปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ
13. Parittārammaṇattike parittaṃ ārammaṇaṃ etesanti parittārammaṇā. Sesapadadvayepi eseva nayo.
๑๔. หีนตฺติเก หีนาติ ลามกา อกุสลา ธมฺมาฯ หีนปฺปณีตานํ มเชฺฌ ภวาติ มชฺฌิมาฯ อวเสสา เตภูมกา ธมฺมา อุตฺตมเฎฺฐน อตปฺปกเฎฺฐน จ ปณีตา; โลกุตฺตรา ธมฺมาฯ
14. Hīnattike hīnāti lāmakā akusalā dhammā. Hīnappaṇītānaṃ majjhe bhavāti majjhimā. Avasesā tebhūmakā dhammā uttamaṭṭhena atappakaṭṭhena ca paṇītā; lokuttarā dhammā.
๑๕. มิจฺฉตฺตตฺติเก ‘หิตสุขาวหา เม ภวิสฺสนฺตี’ติ เอวํ อาสีสิตาปิ ตถา อภาวโต, ‘อสุภาทีสุเยว สุภ’นฺติอาทิ วิปรีตปฺปวตฺติโต จ มิจฺฉาสภาวาติ มิจฺฉตฺตา; วิปากทาเน สติ ขนฺธเภทานนฺตรเมว วิปากทานโต นิยตา; มิจฺฉตฺตา จ เต นิยตา จาติ มิจฺฉตฺตนิยตาฯ วุตฺตวิปรีเตน อเตฺถน สมฺมาสภาวาติ สมฺมตฺตา; สมฺมตฺตา จ เต นิยตา จ อนนฺตรเมว ผลทาเนนาติ สมฺมตฺตนิยตาฯ อุภยถาปิ น นิยตาติ อนิยตาฯ
15. Micchattattike ‘hitasukhāvahā me bhavissantī’ti evaṃ āsīsitāpi tathā abhāvato, ‘asubhādīsuyeva subha’ntiādi viparītappavattito ca micchāsabhāvāti micchattā; vipākadāne sati khandhabhedānantarameva vipākadānato niyatā; micchattā ca te niyatā cāti micchattaniyatā. Vuttaviparītena atthena sammāsabhāvāti sammattā; sammattā ca te niyatā ca anantarameva phaladānenāti sammattaniyatā. Ubhayathāpi na niyatāti aniyatā.
๑๖. มคฺคารมฺมณตฺติเก นิพฺพานํ มคฺคติ, คเวสติ, กิเลเส วา มาเรโนฺต คจฺฉตีติ มโคฺคฯ มโคฺค อารมฺมณํ เอเตสนฺติ มคฺคารมฺมณาฯ อฎฺฐงฺคิโกปิ มโคฺค ปจฺจยเฎฺฐน เอเตสํ เหตูติ มคฺคเหตุกาฯ มคฺคสมฺปยุตฺตา วา เหตู มเคฺค วา เหตูติ มคฺคเหตูฯ เต เอเตสํ เหตูติปิ มคฺคเหตุกาฯ สมฺมาทิฎฺฐิ สยํ มโคฺค เจว เหตุ จฯ อิติ มโคฺค เหตุ เอเตสนฺติปิ มคฺคเหตุกาฯ อภิภวิตฺวา ปวตฺตนเฎฺฐน มโคฺค อธิปติ เอเตสนฺติ มคฺคาธิปติโนฯ
16. Maggārammaṇattike nibbānaṃ maggati, gavesati, kilese vā mārento gacchatīti maggo. Maggo ārammaṇaṃ etesanti maggārammaṇā. Aṭṭhaṅgikopi maggo paccayaṭṭhena etesaṃ hetūti maggahetukā. Maggasampayuttā vā hetū magge vā hetūti maggahetū. Te etesaṃ hetūtipi maggahetukā. Sammādiṭṭhi sayaṃ maggo ceva hetu ca. Iti maggo hetu etesantipi maggahetukā. Abhibhavitvā pavattanaṭṭhena maggo adhipati etesanti maggādhipatino.
๑๗. อุปฺปนฺนตฺติเก อุปฺปาทโต ปฎฺฐาย ยาว ภงฺคา อุทฺธํ ปนฺนา คตา ปวตฺตาติ อุปฺปนฺนาฯ น อุปฺปนฺนาติ อนุปฺปนฺนาฯ ปรินิฎฺฐิตการเณกเทสตฺตา อวสฺสํ อุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ อุปฺปาทิโนฯ
17. Uppannattike uppādato paṭṭhāya yāva bhaṅgā uddhaṃ pannā gatā pavattāti uppannā. Na uppannāti anuppannā. Pariniṭṭhitakāraṇekadesattā avassaṃ uppajjissantīti uppādino.
๑๘. อตีตตฺติเก อตฺตโน สภาวํ อุปฺปาทาทิกฺขณํ วา ปตฺวา อติกฺกนฺตาติ อตีตาฯ ตทุภยมฺปิ น อาคตาติ อนาคตาฯ ตํ ตํ การณํ ปฎิจฺจ อุปฺปนฺนาติ ปจฺจุปฺปนฺนาฯ
18. Atītattike attano sabhāvaṃ uppādādikkhaṇaṃ vā patvā atikkantāti atītā. Tadubhayampi na āgatāti anāgatā. Taṃ taṃ kāraṇaṃ paṭicca uppannāti paccuppannā.
๑๙. อนนฺตรตฺติเก อตีตํ อารมฺมณํ เอเตสนฺติ อตีตารมฺมณาฯ เสสปททฺวเยปิ เอเสว นโยฯ
19. Anantarattike atītaṃ ārammaṇaṃ etesanti atītārammaṇā. Sesapadadvayepi eseva nayo.
๒๐. อชฺฌตฺตตฺติเก ‘เอวํ ปวตฺตมานา มยํ อตฺตา’ติ คหณํ, ‘คมิสฺสามา’ติ อิมินา วิย อธิปฺปาเยน อตฺตานํ อธิการํ กตฺวา ปวตฺตาติ อชฺฌตฺตาฯ ‘อชฺฌตฺต’-สโทฺท ปนายํ โคจรชฺฌเตฺต นิยกชฺฌเตฺต อชฺฌตฺตชฺฌเตฺต วิสยชฺฌเตฺตติ จตูสุ อเตฺถสุ ทิสฺสติฯ ‘‘เตนานนฺท, ภิกฺขุนา ตสฺมิํเยว ปุริมสฺมิํ สมาธินิมิเตฺต อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ สณฺฐเปตพฺพํ’’ (ม. นิ. ๓.๑๘๘), ‘‘อชฺฌตฺตรโต สมาหิโต’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๓๖๒) หิ อยํ โคจรชฺฌเตฺต ทิสฺสติฯ ‘‘อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนํ’’ (ที. นิ. ๑.๒๒๘; ธ. ส. ๑๖๑), ‘‘อชฺฌตฺตํ วา ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรตี’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๓๗๓) นิยกชฺฌเตฺตฯ ‘‘ฉ อชฺฌตฺติกานิ อายตนานี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๓๐๔) อชฺฌตฺตชฺฌเตฺตฯ ‘‘อยํ โข ปนานนฺท, วิหาโร ตถาคเตน อภิสมฺพุโทฺธ ยทิทํ สพฺพนิมิตฺตานํ อมนสิการา อชฺฌตฺตํ สุญฺญตํ อุปสมฺปชฺช วิหรตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๓.๑๘๗) วิสยชฺฌเตฺต; อิสฺสริยฎฺฐาเนติ อโตฺถฯ ผลสมาปตฺติ หิ พุทฺธานํ อิสฺสริยฎฺฐานํ นามฯ อิธ ปน นิยกชฺฌเตฺต อธิเปฺปโตฯ ตสฺมา อตฺตโน สนฺตาเน ปวตฺตา ปาฎิปุคฺคลิกา ธมฺมา อชฺฌตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ ตโต พาหิรภูตา ปน อินฺทฺริยพทฺธา วา อนินฺทฺริยพทฺธา วา พหิทฺธา นามฯ ตติยปทํ ตทุภยวเสน วุตฺตํฯ
20. Ajjhattattike ‘evaṃ pavattamānā mayaṃ attā’ti gahaṇaṃ, ‘gamissāmā’ti iminā viya adhippāyena attānaṃ adhikāraṃ katvā pavattāti ajjhattā. ‘Ajjhatta’-saddo panāyaṃ gocarajjhatte niyakajjhatte ajjhattajjhatte visayajjhatteti catūsu atthesu dissati. ‘‘Tenānanda, bhikkhunā tasmiṃyeva purimasmiṃ samādhinimitte ajjhattameva cittaṃ saṇṭhapetabbaṃ’’ (ma. ni. 3.188), ‘‘ajjhattarato samāhito’’tiādīsu (dha. pa. 362) hi ayaṃ gocarajjhatte dissati. ‘‘Ajjhattaṃ sampasādanaṃ’’ (dī. ni. 1.228; dha. sa. 161), ‘‘ajjhattaṃ vā dhammesu dhammānupassī viharatī’’tiādīsu (dī. ni. 2.373) niyakajjhatte. ‘‘Cha ajjhattikāni āyatanānī’’tiādīsu (ma. ni. 3.304) ajjhattajjhatte. ‘‘Ayaṃ kho panānanda, vihāro tathāgatena abhisambuddho yadidaṃ sabbanimittānaṃ amanasikārā ajjhattaṃ suññataṃ upasampajja viharatī’’tiādīsu (ma. ni. 3.187) visayajjhatte; issariyaṭṭhāneti attho. Phalasamāpatti hi buddhānaṃ issariyaṭṭhānaṃ nāma. Idha pana niyakajjhatte adhippeto. Tasmā attano santāne pavattā pāṭipuggalikā dhammā ajjhattāti veditabbā. Tato bāhirabhūtā pana indriyabaddhā vā anindriyabaddhā vā bahiddhā nāma. Tatiyapadaṃ tadubhayavasena vuttaṃ.
๒๑. อนนฺตรตฺติโก เตเยว ติปฺปกาเรปิ ธเมฺม อารมฺมณํ กตฺวา ปวตฺตนวเสน วุโตฺตฯ
21. Anantarattiko teyeva tippakārepi dhamme ārammaṇaṃ katvā pavattanavasena vutto.
๒๒. สนิทสฺสนตฺติเก ทฎฺฐพฺพภาวสงฺขาเตน สห นิทสฺสเนนาติ สนิทสฺสนาฯ ปฎิหนนภาวสงฺขาเตน สห ปฎิเฆนาติ สปฺปฎิฆาฯ สนิทสฺสนา จ เต สปฺปฎิฆา จาติ สนิทสฺสนสปฺปฎิฆาฯ นตฺถิ เอเตสํ ทฎฺฐพฺพภาวสงฺขาตํ นิทสฺสนนฺติ อนิทสฺสนาฯ อนิทสฺสนา จ เต วุตฺตนเยเนว สปฺปฎิฆา จาติ อนิทสฺสนสปฺปฎิฆาฯ ตติยปทํ อุภยปฎิเกฺขเปน วุตฺตํฯ อยํ ตาว ติกมาติกาย อนุปุพฺพปทวณฺณนาฯ
22. Sanidassanattike daṭṭhabbabhāvasaṅkhātena saha nidassanenāti sanidassanā. Paṭihananabhāvasaṅkhātena saha paṭighenāti sappaṭighā. Sanidassanā ca te sappaṭighā cāti sanidassanasappaṭighā. Natthi etesaṃ daṭṭhabbabhāvasaṅkhātaṃ nidassananti anidassanā. Anidassanā ca te vuttanayeneva sappaṭighā cāti anidassanasappaṭighā. Tatiyapadaṃ ubhayapaṭikkhepena vuttaṃ. Ayaṃ tāva tikamātikāya anupubbapadavaṇṇanā.
ติกมาติกาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Tikamātikāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / ๑. ติกมาติกา • 1. Tikamātikā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā / ติกมาติกาปทวณฺณนา • Tikamātikāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / ติกมาติกาปทวณฺณนา • Tikamātikāpadavaṇṇanā