Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā |
๑. จิตฺตุปฺปาทกณฺฑํ
1. Cittuppādakaṇḍaṃ
ติกมาติกาปทวณฺณนา
Tikamātikāpadavaṇṇanā
อิทานิ ปฎิญฺญาตกถํ กาตุํ ‘‘อิทานิ อิติ เม…เป.… กถโนกาโส สมฺปโตฺต’’ติอาทิมาหฯ อิโต ปฎฺฐายาติ กุสลธมฺมปทโต ปฎฺฐายฯ
Idāni paṭiññātakathaṃ kātuṃ ‘‘idāni iti me…pe… kathanokāso sampatto’’tiādimāha. Ito paṭṭhāyāti kusaladhammapadato paṭṭhāya.
๑. สพฺพปเทหิ ลทฺธนาโมติ ตีสุปิ ปเทสุ เวทนาสทฺทสฺส วิชฺชมานตฺตา เตน ลทฺธนาโม สพฺพปเทหิ ลทฺธนาโม โหติฯ นนุ สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธมฺมาติ จตฺตาริ ปทานิ, เอวํ เสเสสุปีติ ทฺวาทเสตานิ ปทานิ, น ตีณีติ เวทนาสทฺทสฺส ปทตฺตยาวยวตฺตํ สนฺธาย ‘‘สพฺพปเทหี’’ติ วุเจฺจยฺย, น ยุตฺตํฯ ‘‘เวทนายา’’ติ หิ วิสุํ ปทํ น กสฺสจิ ปทสฺส อวยโว โหติ, นาปิ สุขาทิปทภาวํ ภชตีติ เตน ลทฺธนาโม กถํ สพฺพปเทหิ ลทฺธนาโม สิยาติ? อธิเปฺปตปฺปการตฺถคมกสฺส ปทสมุทายสฺส ปทตฺตาฯ ปชฺชติ อวพุชฺฌียติ เอเตนาติ หิ ปทํ, ‘‘สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธมฺมา’’ติ เอเตน จ ปทสมุทาเยน ยถาธิเปฺปโต อโตฺถ สมโตฺต วิญฺญายติ, ตสฺมา โส ปทสมุทาโย ‘‘ปท’’นฺติ วุจฺจติฯ เอวํ อิตเรปิ เวทิตพฺพาฯ ตสฺมา เตสํ ติณฺณํ สมุทายานํ อวยเวน ลทฺธนาโม สพฺพปเทหิ ลทฺธนาโมติ ยุโตฺตฯ
1. Sabbapadehi laddhanāmoti tīsupi padesu vedanāsaddassa vijjamānattā tena laddhanāmo sabbapadehi laddhanāmo hoti. Nanu sukhāya vedanāya sampayuttā dhammāti cattāri padāni, evaṃ sesesupīti dvādasetāni padāni, na tīṇīti vedanāsaddassa padattayāvayavattaṃ sandhāya ‘‘sabbapadehī’’ti vucceyya, na yuttaṃ. ‘‘Vedanāyā’’ti hi visuṃ padaṃ na kassaci padassa avayavo hoti, nāpi sukhādipadabhāvaṃ bhajatīti tena laddhanāmo kathaṃ sabbapadehi laddhanāmo siyāti? Adhippetappakāratthagamakassa padasamudāyassa padattā. Pajjati avabujjhīyati etenāti hi padaṃ, ‘‘sukhāya vedanāya sampayuttā dhammā’’ti etena ca padasamudāyena yathādhippeto attho samatto viññāyati, tasmā so padasamudāyo ‘‘pada’’nti vuccati. Evaṃ itarepi veditabbā. Tasmā tesaṃ tiṇṇaṃ samudāyānaṃ avayavena laddhanāmo sabbapadehi laddhanāmoti yutto.
คนฺถโต จ อตฺถโต จาติ เอตฺถ เหตุปทสเหตุกปทาทีหิ สมฺพนฺธตฺตา คนฺถโต จ เหตุอตฺถสเหตุกตฺถาทีหิ สมฺพนฺธตฺตา อตฺถโต จ อญฺญมญฺญสมฺพโนฺธ เวทิตโพฺพฯ สเหตุกเหตุสมฺปยุตฺตทุกา หิ เหตุทุเก เหตูหิ สมฺพนฺธตฺตา เหตุทุกสมฺพนฺธา, เหตุสเหตุกทุโก เหตุทุกสเหตุกทุกสมฺพโนฺธ อุภเยกปทวเสนฯ ตถา เหตุเหตุสมฺปยุตฺตทุโก เหตุทุกเหตุสมฺปยุตฺตทุกสมฺพโนฺธ , นเหตุสเหตุกทุโก เอกทฺวิปทวเสน เหตุทุกสเหตุกทุกสมฺพโนฺธติฯ กณฺณิกา วิยาติ ปุปฺผมยกณฺณิกา วิยฯ ฆฎา วิยาติ ปุปฺผหตฺถกาทีสุ ปุปฺผาทีนํ สมูโห วิยฯ กณฺณิกาฆฎาทีสุ หิ ปุปฺผาทีนิ วณฺฎาทีหิ อญฺญมญฺญสมฺพนฺธานิ โหนฺตีติ ตถาสมฺพนฺธตา เอเตสํ ทุกานํ วุตฺตาฯ ทุกสามญฺญโตติ อเญฺญหิ เหตุทุกาทีหิ ทุกวเสน สมานภาวาฯ อเญฺญหีติ สารมฺมณทุกาทีหิฯ อสงฺคหิโต ปเทโส เยสํ อตฺถิ, เต สปฺปเทสาฯ เยสํ ปน นตฺถิ, เต นิปฺปเทสาฯ
Ganthato ca atthato cāti ettha hetupadasahetukapadādīhi sambandhattā ganthato ca hetuatthasahetukatthādīhi sambandhattā atthato ca aññamaññasambandho veditabbo. Sahetukahetusampayuttadukā hi hetuduke hetūhi sambandhattā hetudukasambandhā, hetusahetukaduko hetudukasahetukadukasambandho ubhayekapadavasena. Tathā hetuhetusampayuttaduko hetudukahetusampayuttadukasambandho , nahetusahetukaduko ekadvipadavasena hetudukasahetukadukasambandhoti. Kaṇṇikā viyāti pupphamayakaṇṇikā viya. Ghaṭā viyāti pupphahatthakādīsu pupphādīnaṃ samūho viya. Kaṇṇikāghaṭādīsu hi pupphādīni vaṇṭādīhi aññamaññasambandhāni hontīti tathāsambandhatā etesaṃ dukānaṃ vuttā. Dukasāmaññatoti aññehi hetudukādīhi dukavasena samānabhāvā. Aññehīti sārammaṇadukādīhi. Asaṅgahito padeso yesaṃ atthi, te sappadesā. Yesaṃ pana natthi, te nippadesā.
‘‘กจฺจิ นุ โภโต กุสล’’นฺติ เอวํ ปุจฺฉิตเมวตฺถํ ปากฎํ กตฺวา ปุจฺฉิตุํ ‘‘กจฺจิ โภโต อนามย’’นฺติ วุตฺตํ, ตสฺมา กุสลสโทฺท อนามยโตฺถ โหติฯ พาหิติกสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๓๖๑) ภควโต กายสมาจาราทโย วเณฺณเนฺตน ธมฺมภณฺฑาคาริเกน ‘‘โย โข, มหาราช, กายสมาจาโร อนวโชฺช’’ติ กุสโล กายสมาจาโร วุโตฺตฯ น หิ ภควโต สุขวิปากํ กมฺมํ อตฺถีติ สพฺพสาวชฺชรหิตา กายสมาจาราทโย กุสลาติ วุตฺตาฯ กุสเลสุ ธเมฺมสูติ จ โพธิปกฺขิยธมฺมา ‘‘กุสลา’’ติ วุตฺตาฯ เต จ วิปสฺสนามคฺคผลสมฺปยุตฺตา น เอกเนฺตน สุขวิปากาเยวาติ อนวชฺชโตฺถ กุสลสโทฺทฯ องฺคปจฺจงฺคานนฺติ กุสลสทฺทโยเคน ภุมฺมเตฺถ สามิวจนํ, องฺคปจฺจงฺคานํ วา นามกิริยาปโยชนาทีสูติ อโตฺถฯ นจฺจคีตสฺสาติ จ สามิวจนํ ภุมฺมเตฺถ, นจฺจคีตสฺส วิเสเสสูติ วา โยเชตพฺพํฯ กุสลานํ ธมฺมานํ สมาทานเหตุ เอวมิทํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒตีติ ปุญฺญวิปากนิพฺพตฺตกกมฺมํ ‘‘กุสล’’นฺติ วุตฺตํฯ ธมฺมา โหนฺตีติ สุญฺญธมฺมตฺตา สภาวมตฺตา โหนฺตีติ อโตฺถฯ เอวํ ธเมฺมสุ ธมฺมานุปสฺสีติ เอตฺถาปิ สุญฺญตโตฺถ ธมฺมสโทฺท ทฎฺฐโพฺพฯ
‘‘Kacci nu bhoto kusala’’nti evaṃ pucchitamevatthaṃ pākaṭaṃ katvā pucchituṃ ‘‘kacci bhoto anāmaya’’nti vuttaṃ, tasmā kusalasaddo anāmayattho hoti. Bāhitikasutte (ma. ni. 2.361) bhagavato kāyasamācārādayo vaṇṇentena dhammabhaṇḍāgārikena ‘‘yo kho, mahārāja, kāyasamācāro anavajjo’’ti kusalo kāyasamācāro vutto. Na hi bhagavato sukhavipākaṃ kammaṃ atthīti sabbasāvajjarahitā kāyasamācārādayo kusalāti vuttā. Kusalesu dhammesūti ca bodhipakkhiyadhammā ‘‘kusalā’’ti vuttā. Te ca vipassanāmaggaphalasampayuttā na ekantena sukhavipākāyevāti anavajjattho kusalasaddo. Aṅgapaccaṅgānanti kusalasaddayogena bhummatthe sāmivacanaṃ, aṅgapaccaṅgānaṃ vā nāmakiriyāpayojanādīsūti attho. Naccagītassāti ca sāmivacanaṃ bhummatthe, naccagītassa visesesūti vā yojetabbaṃ. Kusalānaṃ dhammānaṃ samādānahetu evamidaṃ puññaṃ pavaḍḍhatīti puññavipākanibbattakakammaṃ ‘‘kusala’’nti vuttaṃ. Dhammā hontīti suññadhammattā sabhāvamattā hontīti attho. Evaṃ dhammesu dhammānupassīti etthāpi suññatattho dhammasaddo daṭṭhabbo.
สลยนฺติ…เป.… วิทฺธํเสนฺตีติ เอตฺถ ปุริมสฺส ปุริมสฺส ปจฺฉิมํ ปจฺฉิมํ อตฺถวจนํฯ อถ วา สลนสฺส อตฺถทีปนานิ จลนาทีนิ ตีณิ ตทงฺคปฺปหานาทีหิ โยเชตพฺพานิฯ อปฺปหีนภาเวน สนฺตาเน สยมานา อกุสลา ธมฺมา ราคาทิอสุจิสมฺปโยคโต นานาวิธทุกฺขเหตุโต จ กุจฺฉิเตน อากาเรน สยนฺติฯ ญาณวิปฺปยุตฺตานมฺปิ ญาณํ อุปนิสฺสยปจฺจโย โหตีติ สเพฺพปิ กุสลา ธมฺมา กุเสน ญาเณน ปวเตฺตตพฺพาติ กุสลาฯ อุปฺปนฺนํสานุปฺปนฺนํสภาเคสุ สงฺคหิตตฺตา อุภยภาคคตํ สํกิเลสปกฺขํ ปหานานุปฺปาทเนหิ ลุนนฺติ สมฺมปฺปธานทฺวยํ วิยฯ
Salayanti…pe… viddhaṃsentīti ettha purimassa purimassa pacchimaṃ pacchimaṃ atthavacanaṃ. Atha vā salanassa atthadīpanāni calanādīni tīṇi tadaṅgappahānādīhi yojetabbāni. Appahīnabhāvena santāne sayamānā akusalā dhammā rāgādiasucisampayogato nānāvidhadukkhahetuto ca kucchitena ākārena sayanti. Ñāṇavippayuttānampi ñāṇaṃ upanissayapaccayo hotīti sabbepi kusalā dhammā kusena ñāṇena pavattetabbāti kusalā. Uppannaṃsānuppannaṃsabhāgesu saṅgahitattā ubhayabhāgagataṃ saṃkilesapakkhaṃ pahānānuppādanehi lunanti sammappadhānadvayaṃ viya.
สตฺตาทิคาหกานํ จิตฺตานํ โคจรา สตฺตาทโย วิย ปญฺญาย อุปปริกฺขิยมานา น นิสฺสภาวา, กินฺตุ อตฺตโน สภาวํ ธาเรนฺตีติ ธมฺมาฯ น จ ธาริยมานสภาวา อโญฺญ ธโมฺม นาม อตฺถิฯ น หิ รุปฺปนาทีหิ อเญฺญ รูปาทโย, กกฺขฬาทีหิ จ อเญฺญ ปถวีอาทโย ธมฺมา วิชฺชนฺตีติฯ อญฺญถา ปน อวโพเธตุํ น สกฺกาติ นามวเสน วิญฺญาตาวิญฺญาเต สภาวธเมฺม อเญฺญ วิย กตฺวา ‘‘อตฺตโน สภาวํ ธาเรนฺตี’’ติ วุตฺตํฯ สปฺปจฺจยธเมฺมสุ วิเสสํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ธารียนฺติ วา ปจฺจเยหี’’ติ อาหฯ ธารียนฺตีติ อุปธารียนฺติ, ลกฺขียนฺตีติ อโตฺถฯ
Sattādigāhakānaṃ cittānaṃ gocarā sattādayo viya paññāya upaparikkhiyamānā na nissabhāvā, kintu attano sabhāvaṃ dhārentīti dhammā. Na ca dhāriyamānasabhāvā añño dhammo nāma atthi. Na hi ruppanādīhi aññe rūpādayo, kakkhaḷādīhi ca aññe pathavīādayo dhammā vijjantīti. Aññathā pana avabodhetuṃ na sakkāti nāmavasena viññātāviññāte sabhāvadhamme aññe viya katvā ‘‘attano sabhāvaṃ dhārentī’’ti vuttaṃ. Sappaccayadhammesu visesaṃ dassento ‘‘dhārīyanti vā paccayehī’’ti āha. Dhārīyantīti upadhārīyanti, lakkhīyantīti attho.
อกุสลาติ กุสลปฎิเสธนมตฺตํ กุสลาภาวมตฺตวจนํ ตทญฺญมตฺตวจนํ วา เอตํ น โหติ, กินฺตุ ตปฺปฎิปกฺขวจนนฺติ ทเสฺสตุํ ‘‘มิตฺตปฎิปกฺขา อมิตฺตา วิยา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตปฺปฎิปกฺขวจนตา จ อพฺยากตตติยราสิวจเนน วิญฺญายติฯ ยทิ หิ กุสลาภาวมตฺตวจนํ อกุสลสโทฺท, เตน น โกจิ ธโมฺม วุโตฺตติ อพฺยากตวจเนเนว จ ตติโย ราสิ วุโตฺต น สิยา, กุสลา เจว ธมฺมา อพฺยากตา จาติ ทุโกวายํ อาปชฺชติ, น ติโก, เอวญฺจ สติ อกุสลวจเนน น โกจิ อโตฺถฯ อถ สิยา, ‘‘อนพฺยากตา’’ติ จ วตฺตพฺพํ สิยา กุสลานํ วิย อพฺยากตานญฺจ อภาวมตฺตสมฺภวา, ตสฺมา อภาวมตฺตวจเน อพฺยากตภาวมตฺตํ วิย กุสลาภาวมตฺตํ อกุสลํ น โกจิ ราสีติ ‘‘อพฺยากตา’’ติ ตติโย ราสิ น สิยาฯ ตติยราสิภาเวน จ อพฺยากตา วุตฺตาติ อกุสโล จ เอโก ราสีติ วิญฺญายติฯ ตสฺมา นาภาววจนตา, สภาวธารณาทิอเตฺถน ธมฺมสเทฺทน สมานาธิกรณภาวโต จ อกุสลสทฺทสฺส กุสลาภาวมตฺตวจนตา น โหติ, นาปิ ตทญฺญมตฺตวจนตา ตติยราสิวจนโต เอวฯ ยทิ หิ กุสเลหิ อเญฺญ อกุสลา เจตสิเกหิ อเญฺญ อเจตสิกา วิย, กุสลากุสลวจเนหิ สเพฺพสํ ธมฺมานํ สงฺคหิตตฺตา อสงฺคหิตสฺส ตติยราสิสฺส อภาวา เจตสิกทุโก วิย อยญฺจ ทุโก วตฺตโพฺพ สิยา ‘‘กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา’’ติ, น ‘‘อพฺยากตา’’ติ ตติโย ราสิ วตฺตโพฺพ, วุโตฺต จ โส, ตสฺมา น ตทญฺญมตฺตวจนํ อกุสลสโทฺท, ปาริเสเสน ตปฺปฎิปเกฺขสุ อ-การสฺส ปโยคทสฺสนโต โลเก ‘‘อมิตฺตา’’ติ สาสเน ‘‘อโลโภ’’ติ อิธาปิ ตปฺปฎิปกฺขวจนตา อกุสลสทฺทสฺส สิทฺธา, ตตฺถ นิรุฬฺหตฺตา จ น อิตรวจนตา, ตปฺปฎิปกฺขภาโว จ วิรุทฺธสภาวตฺตา ตปฺปเหยฺยภาวโต จ เวทิตโพฺพ, น กุสลวินาสนโตฯ น หิ กุสลา อกุสเลหิ ปหาตพฺพา, มหาพลวตาย ปน กุสลาเยว ปโยคนิปฺผาทิตา สทานุสยิเต อกุสเล ตทงฺควิกฺขมฺภนสมุเจฺฉทวเสน ปชหนฺตีติฯ
Akusalāti kusalapaṭisedhanamattaṃ kusalābhāvamattavacanaṃ tadaññamattavacanaṃ vā etaṃ na hoti, kintu tappaṭipakkhavacananti dassetuṃ ‘‘mittapaṭipakkhā amittā viyā’’tiādi vuttaṃ. Tappaṭipakkhavacanatā ca abyākatatatiyarāsivacanena viññāyati. Yadi hi kusalābhāvamattavacanaṃ akusalasaddo, tena na koci dhammo vuttoti abyākatavacaneneva ca tatiyo rāsi vutto na siyā, kusalā ceva dhammā abyākatā cāti dukovāyaṃ āpajjati, na tiko, evañca sati akusalavacanena na koci attho. Atha siyā, ‘‘anabyākatā’’ti ca vattabbaṃ siyā kusalānaṃ viya abyākatānañca abhāvamattasambhavā, tasmā abhāvamattavacane abyākatabhāvamattaṃ viya kusalābhāvamattaṃ akusalaṃ na koci rāsīti ‘‘abyākatā’’ti tatiyo rāsi na siyā. Tatiyarāsibhāvena ca abyākatā vuttāti akusalo ca eko rāsīti viññāyati. Tasmā nābhāvavacanatā, sabhāvadhāraṇādiatthena dhammasaddena samānādhikaraṇabhāvato ca akusalasaddassa kusalābhāvamattavacanatā na hoti, nāpi tadaññamattavacanatā tatiyarāsivacanato eva. Yadi hi kusalehi aññe akusalā cetasikehi aññe acetasikā viya, kusalākusalavacanehi sabbesaṃ dhammānaṃ saṅgahitattā asaṅgahitassa tatiyarāsissa abhāvā cetasikaduko viya ayañca duko vattabbo siyā ‘‘kusalā dhammā akusalā dhammā’’ti, na ‘‘abyākatā’’ti tatiyo rāsi vattabbo, vutto ca so, tasmā na tadaññamattavacanaṃ akusalasaddo, pārisesena tappaṭipakkhesu a-kārassa payogadassanato loke ‘‘amittā’’ti sāsane ‘‘alobho’’ti idhāpi tappaṭipakkhavacanatā akusalasaddassa siddhā, tattha niruḷhattā ca na itaravacanatā, tappaṭipakkhabhāvo ca viruddhasabhāvattā tappaheyyabhāvato ca veditabbo, na kusalavināsanato. Na hi kusalā akusalehi pahātabbā, mahābalavatāya pana kusalāyeva payoganipphāditā sadānusayite akusale tadaṅgavikkhambhanasamucchedavasena pajahantīti.
น พฺยากตาติ อกถิตาฯ กถํ ปเนเต อกถิตา โหนฺติ, นนุ ‘‘สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา’’ติอาทีหิ ติกทุกปเทหิ จกฺขุวิญฺญาณาทิวจเนหิ ผสฺสาทิวจเนหิ จ กถิตาติ? โน น กถิตา, ตานิ ปน วจนานิ อิธ อนธิเปฺปตานิ อวุตฺตตฺตา อนนุวตฺตนโตฯ น หิ ‘‘สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธมฺมา’’ติอาทิํ วตฺวา ‘‘อพฺยากตา’’ติ วุตฺตํ, ตสฺมา น ตานิ อิธ อนุวตฺตนฺตีติ ตพฺพจนียภาเวน อกถิตตา น โหติ, กุสลากุสลวจนานิ ปน อิธ วุตฺตตฺตา อนุวตฺตนฺตีติ ตพฺพจนียภาเวน อกถิตตา ญายตีติ ‘‘กุสลากุสลภาเวน อกถิตาติ อโตฺถ’’ติ อาหฯ น พฺยากตาติ วา อวิปากา, อพฺยากตวจเนเนว จ อวิปากตฺถา ญายนฺติฯ น หิ ภควโต วจนํ ญาปกสาธนียํ, อาสยานุสยจริยาทิกุสเลน ภควตา เยสํ อวโพธนตฺถํ ธมฺมา วุตฺตา เตสํ วจนานนฺตรํ ตทตฺถปฎิเวธโต, ปจฺฉิเมหิ ปน ยถา เตสํ อวโพธนตฺถํ ภควตา ตํ ตํ วจนํ วุตฺตํ, ยถา จ เตหิ ตทโตฺถ ปฎิวิโทฺธ, ตํ สพฺพํ อาจริเย ปยิรุปาสิตฺวา สุตฺวา เวทิตพฺพํ โหติ, ตสฺมา การณํ อวตฺวา ‘‘กุสลากุสลภาเวน อกถิตาติ อโตฺถ’’ติ อาหฯ โย จ วเทยฺย ‘‘อกุสลวิปากภาเวน อกถิตตฺตา, กุสลา อพฺยากตาติ อาปชฺชนฺติ, กุสลวิปากภาเวน อกถิตตฺตา อกุสลาปี’’ติ, โสปิ ‘‘อญฺญาปกสาธนียวจโน ภควา’’ติ นิวาเรตโพฺพ อนุวตฺตมานวจนวจนียภาเวน อกถิตสฺส จ อพฺยากตภาวโตฯ น หิ อวิปากวจนํ วุตฺตํ กุสลวจนญฺจ อวุตฺตํ, ยโต อวิปากวจนสฺส อธิกตภาโว กุสลสฺส จ ตพฺพจนียภาเวน อกถิตภาโว สิยา, ตสฺมา น กุสลานํ อพฺยากตตา, เอวํ อกุสลานญฺจ อนพฺยากตภาเว โยชนา กาตพฺพาฯ
Nabyākatāti akathitā. Kathaṃ panete akathitā honti, nanu ‘‘sukhāya vedanāya sampayuttā’’tiādīhi tikadukapadehi cakkhuviññāṇādivacanehi phassādivacanehi ca kathitāti? No na kathitā, tāni pana vacanāni idha anadhippetāni avuttattā ananuvattanato. Na hi ‘‘sukhāya vedanāya sampayuttā dhammā’’tiādiṃ vatvā ‘‘abyākatā’’ti vuttaṃ, tasmā na tāni idha anuvattantīti tabbacanīyabhāvena akathitatā na hoti, kusalākusalavacanāni pana idha vuttattā anuvattantīti tabbacanīyabhāvena akathitatā ñāyatīti ‘‘kusalākusalabhāvena akathitāti attho’’ti āha. Na byākatāti vā avipākā, abyākatavacaneneva ca avipākatthā ñāyanti. Na hi bhagavato vacanaṃ ñāpakasādhanīyaṃ, āsayānusayacariyādikusalena bhagavatā yesaṃ avabodhanatthaṃ dhammā vuttā tesaṃ vacanānantaraṃ tadatthapaṭivedhato, pacchimehi pana yathā tesaṃ avabodhanatthaṃ bhagavatā taṃ taṃ vacanaṃ vuttaṃ, yathā ca tehi tadattho paṭividdho, taṃ sabbaṃ ācariye payirupāsitvā sutvā veditabbaṃ hoti, tasmā kāraṇaṃ avatvā ‘‘kusalākusalabhāvena akathitāti attho’’ti āha. Yo ca vadeyya ‘‘akusalavipākabhāvena akathitattā, kusalā abyākatāti āpajjanti, kusalavipākabhāvena akathitattā akusalāpī’’ti, sopi ‘‘aññāpakasādhanīyavacano bhagavā’’ti nivāretabbo anuvattamānavacanavacanīyabhāvena akathitassa ca abyākatabhāvato. Na hi avipākavacanaṃ vuttaṃ kusalavacanañca avuttaṃ, yato avipākavacanassa adhikatabhāvo kusalassa ca tabbacanīyabhāvena akathitabhāvo siyā, tasmā na kusalānaṃ abyākatatā, evaṃ akusalānañca anabyākatabhāve yojanā kātabbā.
อถ วา วิ-สโทฺท วิโรธวจโน, อา-สโทฺท อภิมุขภาวปฺปกาสโน, ตสฺมา อตฺตโน ปจฺจเยหิ อญฺญมญฺญวิโรธาภิมุขา กตา, ลกฺขณวิโรธโต วินาสกวินาสิตพฺพโต จาติ พฺยากตา, กุสลากุสลาฯ น พฺยากตาติ อพฺยากตาฯ เต หิ ลกฺขณโต กุสลากุสลา วิย วิรุทฺธา น โหนฺติฯ น หิ อวิปากตา ทุกฺขวิปากตา วิย สุขวิปากตาย สุขวิปากตา วิย จ ทุกฺขวิปากตาย สุขทุกฺขวิปากตาหิ วิรุชฺฌตีติ นาปิ เต กิญฺจิ ปชหนฺติ, น จ เต เกนจิ ปหาตพฺพาติ อยเมตฺถ อตฺตโนมติฯ
Atha vā vi-saddo virodhavacano, ā-saddo abhimukhabhāvappakāsano, tasmā attano paccayehi aññamaññavirodhābhimukhā katā, lakkhaṇavirodhato vināsakavināsitabbato cāti byākatā, kusalākusalā. Na byākatāti abyākatā. Te hi lakkhaṇato kusalākusalā viya viruddhā na honti. Na hi avipākatā dukkhavipākatā viya sukhavipākatāya sukhavipākatā viya ca dukkhavipākatāya sukhadukkhavipākatāhi virujjhatīti nāpi te kiñci pajahanti, na ca te kenaci pahātabbāti ayamettha attanomati.
อนวชฺชสุขวิปากลกฺขณาติ เอตฺถ นตฺถิ เอเตสํ อวชฺชนฺติ อนวชฺชา, ครหิตพฺพภาวรหิตา นิโทฺทสาติ อโตฺถฯ เตน เนสํ อครหิตพฺพภาวํ ทเสฺสติ, น คารยฺหวิรหมตฺตํ ฯ อเญฺญปิ อตฺถิ นิโทฺทสา อพฺยากตาติ อนวชฺชวจนมเตฺตน เตสมฺปิ กุสลตาปตฺติโทสํ ทิสฺวา ตํ ปริหริตุํ สุขวิปากวจนํ อาหฯ อวชฺชปฎิปกฺขา วา อิธ อนวชฺชาติ วุตฺตา, น พาหิติกสุเตฺต (ม. นิ. ๒.๓๖๑) วิย ปฎิปฺปสฺสทฺธาวชฺชา วิรหิตาวชฺชมตฺตา วา, ตสฺมา อนวชฺชวจเนน อวชฺชวินาสนภาโว ทสฺสิโตฯ อพฺยากเตหิ ปน วิสิฎฺฐํ กุสลากุสลานํ สาธารณํ สวิปากตาลกฺขณนฺติ ตสฺมิํ ลกฺขเณ วิเสสทสฺสนตฺตํ สุขวิปากวจนํ อโวจฯ สิโทฺธ หิ ปุริเมเนว อกุสลาพฺยากเตหิ กุสลานํ วิเสโสติฯ สุโข วิปาโก เอเตสนฺติ สุขวิปากาฯ เตน กุสลากุสลานํ สามเญฺญ วิปากธมฺมภาเว สุขวิปากวิปจฺจนสภาวํ ทเสฺสติ, น เตสํ สุขวิปากสพฺภาวเมวฯ อนวชฺชา จ เต สุขวิปากา จาติ อนวชฺชสุขวิปากาฯ กุสลา ลกฺขียนฺติ เอเตนาติ ลกฺขณํ, อนวชฺชสุขวิปากลกฺขณํ เอเตสนฺติ อนวชฺชสุขวิปากลกฺขณาฯ นนุ เต เอว กุสลา อนวชฺชสุขวิปากา, กถํ เต สยเมว อตฺตโน ลกฺขณํ โหนฺตีติ? วิญฺญาตาวิญฺญาตสทฺทตฺถภาเวน ลกฺขณลกฺขิตพฺพภาวยุตฺติโตฯ กุสลสทฺทตฺถวเสน หิ อวิญฺญาตา กุสลา ลกฺขิตพฺพา โหนฺติ, อนวชฺชสุขวิปากสทฺทตฺถภาเวน วิญฺญาตา ลกฺขณนฺติ ยุตฺตเมตํฯ อถ วา ลกฺขียตีติ ลกฺขณํ, สภาโวฯ อนวชฺชสุขวิปากา จ เต ลกฺขณญฺจาติ อนวชฺชสุขวิปากลกฺขณา, อนวชฺชสุขวิปากา หุตฺวา ลกฺขิยมานา สภาวา กุสลา นามาติ อโตฺถฯ
Anavajjasukhavipākalakkhaṇāti ettha natthi etesaṃ avajjanti anavajjā, garahitabbabhāvarahitā niddosāti attho. Tena nesaṃ agarahitabbabhāvaṃ dasseti, na gārayhavirahamattaṃ . Aññepi atthi niddosā abyākatāti anavajjavacanamattena tesampi kusalatāpattidosaṃ disvā taṃ pariharituṃ sukhavipākavacanaṃ āha. Avajjapaṭipakkhā vā idha anavajjāti vuttā, na bāhitikasutte (ma. ni. 2.361) viya paṭippassaddhāvajjā virahitāvajjamattā vā, tasmā anavajjavacanena avajjavināsanabhāvo dassito. Abyākatehi pana visiṭṭhaṃ kusalākusalānaṃ sādhāraṇaṃ savipākatālakkhaṇanti tasmiṃ lakkhaṇe visesadassanattaṃ sukhavipākavacanaṃ avoca. Siddho hi purimeneva akusalābyākatehi kusalānaṃ visesoti. Sukho vipāko etesanti sukhavipākā. Tena kusalākusalānaṃ sāmaññe vipākadhammabhāve sukhavipākavipaccanasabhāvaṃ dasseti, na tesaṃ sukhavipākasabbhāvameva. Anavajjā ca te sukhavipākā cāti anavajjasukhavipākā. Kusalā lakkhīyanti etenāti lakkhaṇaṃ, anavajjasukhavipākalakkhaṇaṃ etesanti anavajjasukhavipākalakkhaṇā. Nanu te eva kusalā anavajjasukhavipākā, kathaṃ te sayameva attano lakkhaṇaṃ hontīti? Viññātāviññātasaddatthabhāvena lakkhaṇalakkhitabbabhāvayuttito. Kusalasaddatthavasena hi aviññātā kusalā lakkhitabbā honti, anavajjasukhavipākasaddatthabhāvena viññātā lakkhaṇanti yuttametaṃ. Atha vā lakkhīyatīti lakkhaṇaṃ, sabhāvo. Anavajjasukhavipākā ca te lakkhaṇañcāti anavajjasukhavipākalakkhaṇā, anavajjasukhavipākā hutvā lakkhiyamānā sabhāvā kusalā nāmāti attho.
อถ วา อนวชฺชวจเนน อนวชฺชตฺตํ อาห, สุขวิปากวจเนน สุขวิปากตฺตํ, ตสฺมา อนวชฺชญฺจ สุขวิปาโก จ อนวชฺชสุขวิปากํ, ตํ ลกฺขณํ เอเตสํ กรณเตฺถ จ กมฺมเตฺถ จ ลกฺขณสเทฺท สภาวภูตนฺติ อนวชฺชสุขวิปากลกฺขณา, อนวชฺชสุขวิปากสภาเวน ลกฺขิยมานา ตํสภาววโนฺต จ กุสลาติ วุตฺตํ โหติฯ ตตฺถ อนวชฺชวจเนน ปวตฺติสุขตํ กุสลานํ ทเสฺสติ, สุขวิปากวจเนน วิปากสุขตํฯ ปุริมญฺหิ อตฺตโน ปวตฺติสภาววเสน ลกฺขณตาวจนํ, ปจฺฉิมํ กาลนฺตเร วิปากุปฺปาทนสมตฺถตายาติฯ ตถา ปุริเมน กุสลานํ อตฺตสุทฺธิํ ทเสฺสติ , ปจฺฉิเมน วิสุทฺธวิปากตํฯ ปุริเมน จ กุสลํ อกุสลสภาวโต นิวเตฺตติ, ปจฺฉิเมน อพฺยากตสภาวโต สวิปากตฺตทีปกตฺตา ปจฺฉิมสฺสฯ ปุริเมน วา วชฺชปฎิปกฺขภาวทสฺสนโต กิจฺจเฎฺฐน รเสน อกุสลวิทฺธํสนรสตํ ทีเปติ, ปจฺฉิเมน สมฺปตฺติอเตฺถน อิฎฺฐวิปากรสตํฯ ปุริเมน จ อุปฎฺฐานาการเฎฺฐน ปจฺจุปฎฺฐาเนน โวทานปจฺจุปฎฺฐานตํ ทเสฺสติ, ปจฺฉิเมน ผลเตฺถน สุขวิปากปจฺจุปฎฺฐานตํฯ ปุริเมน จ โยนิโสมนสิการํ กุสลานํ ปทฎฺฐานํ วิภาเวติฯ ตโต หิ เต อนวชฺชา ชาตาติฯ ปจฺฉิเมน กุสลานํ อเญฺญสํ ปทฎฺฐานภาวํ ทเสฺสติฯ เต หิ สุขวิปากสฺส การณํ โหนฺตีติฯ เอตฺถ จ สุขวิปากสเทฺท สุขสโทฺท อิฎฺฐปริยายวจนนฺติ ทฎฺฐโพฺพฯ อิฎฺฐจตุกฺขนฺธวิปากา หิ กุสลา, น สุขเวทนาวิปากาวฯ สงฺขารทุโกฺขปสมสุขวิปากตาย จ สมฺภโว เอว นตฺถิฯ น หิ ตํวิปาโกติฯ ยทิ ปน วิปากสโทฺท ผลปริยายวจนํ, นิสฺสนฺทวิปาเกน อิฎฺฐรูเปนาปิ สุขวิปากตา โยเชตพฺพาฯ
Atha vā anavajjavacanena anavajjattaṃ āha, sukhavipākavacanena sukhavipākattaṃ, tasmā anavajjañca sukhavipāko ca anavajjasukhavipākaṃ, taṃ lakkhaṇaṃ etesaṃ karaṇatthe ca kammatthe ca lakkhaṇasadde sabhāvabhūtanti anavajjasukhavipākalakkhaṇā, anavajjasukhavipākasabhāvena lakkhiyamānā taṃsabhāvavanto ca kusalāti vuttaṃ hoti. Tattha anavajjavacanena pavattisukhataṃ kusalānaṃ dasseti, sukhavipākavacanena vipākasukhataṃ. Purimañhi attano pavattisabhāvavasena lakkhaṇatāvacanaṃ, pacchimaṃ kālantare vipākuppādanasamatthatāyāti. Tathā purimena kusalānaṃ attasuddhiṃ dasseti , pacchimena visuddhavipākataṃ. Purimena ca kusalaṃ akusalasabhāvato nivatteti, pacchimena abyākatasabhāvato savipākattadīpakattā pacchimassa. Purimena vā vajjapaṭipakkhabhāvadassanato kiccaṭṭhena rasena akusalaviddhaṃsanarasataṃ dīpeti, pacchimena sampattiatthena iṭṭhavipākarasataṃ. Purimena ca upaṭṭhānākāraṭṭhena paccupaṭṭhānena vodānapaccupaṭṭhānataṃ dasseti, pacchimena phalatthena sukhavipākapaccupaṭṭhānataṃ. Purimena ca yonisomanasikāraṃ kusalānaṃ padaṭṭhānaṃ vibhāveti. Tato hi te anavajjā jātāti. Pacchimena kusalānaṃ aññesaṃ padaṭṭhānabhāvaṃ dasseti. Te hi sukhavipākassa kāraṇaṃ hontīti. Ettha ca sukhavipākasadde sukhasaddo iṭṭhapariyāyavacananti daṭṭhabbo. Iṭṭhacatukkhandhavipākā hi kusalā, na sukhavedanāvipākāva. Saṅkhāradukkhopasamasukhavipākatāya ca sambhavo eva natthi. Na hi taṃvipākoti. Yadi pana vipākasaddo phalapariyāyavacanaṃ, nissandavipākena iṭṭharūpenāpi sukhavipākatā yojetabbā.
สาวชฺชทุกฺขวิปากลกฺขณาติ เอตฺถ จ วุตฺตวิธิอนุสาเรน อโตฺถ จ โยชนา จ ยถาสมฺภวํ เวทิตพฺพาฯ วิปาการหตา กุสลากุสลานํ ลกฺขณภาเวน วุตฺตา, ตพฺภาเวน อกถิตา อพฺยากตา อวิปาการหสภาวา โหนฺตีติ อาห ‘‘อวิปากลกฺขณา อพฺยากตา’’ติฯ ยเถว หิ สุขทุกฺขวิปาการหา สุขทุกฺขวิปากาติ เอวํลกฺขณตา กุสลากุสลานํ วุตฺตา, เอวมิธาปิ อวิปาการหา อวิปากาติ เอวํลกฺขณตา อพฺยากตานํ วุตฺตาฯ ตสฺมา ‘‘อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก นตฺถิ กมฺมวิปาโก, อตฺถิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก, ภวิสฺสติ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๒๓๔) เอวํปการานํ กุสลากุสลานํ กุสลากุสลภาวานาปตฺติ อพฺยากตภาวาปตฺติ วา น โหติฯ น หิ เต สุขทุกฺขวิปาการหา น โหนฺติ วิปากธมฺมตฺตา, อวิปาการหา วา น โหนฺติ อวิปากธมฺมตฺตาภาวาติฯ
Sāvajjadukkhavipākalakkhaṇāti ettha ca vuttavidhianusārena attho ca yojanā ca yathāsambhavaṃ veditabbā. Vipākārahatā kusalākusalānaṃ lakkhaṇabhāvena vuttā, tabbhāvena akathitā abyākatā avipākārahasabhāvā hontīti āha ‘‘avipākalakkhaṇā abyākatā’’ti. Yatheva hi sukhadukkhavipākārahā sukhadukkhavipākāti evaṃlakkhaṇatā kusalākusalānaṃ vuttā, evamidhāpi avipākārahā avipākāti evaṃlakkhaṇatā abyākatānaṃ vuttā. Tasmā ‘‘ahosi kammaṃ nāhosi kammavipāko na bhavissati kammavipāko natthi kammavipāko, atthi kammaṃ natthi kammavipāko na bhavissati kammavipāko, bhavissati kammaṃ na bhavissati kammavipāko’’ti (paṭi. ma. 1.234) evaṃpakārānaṃ kusalākusalānaṃ kusalākusalabhāvānāpatti abyākatabhāvāpatti vā na hoti. Na hi te sukhadukkhavipākārahā na honti vipākadhammattā, avipākārahā vā na honti avipākadhammattābhāvāti.
กุสลาติ วา ธมฺมาติ วาติอาทีนีติ กุสลธมฺมปทานิ เทฺว, อกุสลธมฺมปทานิ เทฺว, อพฺยากตธมฺมปทานิ เทฺวติฯ เอกตฺถนานตฺถานีติ วิสุํ วิสุํ ทฺวินฺนํ ทฺวินฺนํ อญฺญมญฺญาเปกฺขํ เอกตฺถนานตฺถตํ โจเทติ, น ฉนฺนํฯ โทสเมตฺถ วตฺตุกาโม โจทโก ปุจฺฉตีติ ญตฺวา อาจริโย อาห ‘‘กิเญฺจตฺถา’’ติฯ เอตฺถ เอกตฺถนานตฺถตายํ กิญฺจิ วตฺตพฺพํ อสมตฺตา เต โจทนา, อวสิฎฺฐํ ตาว พฺรูหีติ วุตฺตํ โหติฯ ยทิ เอกตฺถานิ อินฺทสกฺกสทฺทานํ วิย สทฺทมเตฺต เอว เภโท, เอวํ กุสลธมฺมสทฺทานํ, น อเตฺถติฯ ยถา ‘‘อิโนฺท สโกฺก’’ติ วุเตฺต ‘‘อิโนฺท อิโนฺท’’ติ วุตฺตสทิสํ โหติ, เอวํ ‘‘กุสลา ธมฺมา’’ติ อิทํ วจนํ ‘‘กุสลา กุสลา’’ติ วุตฺตสทิสํ โหติฯ เอวํ อิตเรสุปิ ‘‘อกุสลา อกุสลา’’ติ วุตฺตสทิสตา ‘‘อพฺยากตา อพฺยากตา’’ติ วุตฺตสทิสตา จ โยเชตพฺพาฯ อถ นานตฺถานิ, อินฺทกุเวรสทฺทานํ วิย สทฺทโต อตฺถโต จ กุสลธมฺมสทฺทานํ เภโท, ตถา อกุสลธมฺมสทฺทาทีนนฺติ ฉหิ ปเทหิ จตูหิ ปเทหิ จ ฉ จตฺตาโร จ อตฺถา ภินฺนา วุตฺตาติ กุสลตฺติกาทีนํ กุสลฉกฺกาทิภาโว, เหตุทุกาทีนญฺจ เหตุจตุกฺกาทิภาโว อาปชฺชตีติฯ
Kusalāti vā dhammāti vātiādīnīti kusaladhammapadāni dve, akusaladhammapadāni dve, abyākatadhammapadāni dveti. Ekatthanānatthānīti visuṃ visuṃ dvinnaṃ dvinnaṃ aññamaññāpekkhaṃ ekatthanānatthataṃ codeti, na channaṃ. Dosamettha vattukāmo codako pucchatīti ñatvā ācariyo āha ‘‘kiñcetthā’’ti. Ettha ekatthanānatthatāyaṃ kiñci vattabbaṃ asamattā te codanā, avasiṭṭhaṃ tāva brūhīti vuttaṃ hoti. Yadi ekatthāni indasakkasaddānaṃ viya saddamatte eva bhedo, evaṃ kusaladhammasaddānaṃ, na attheti. Yathā ‘‘indo sakko’’ti vutte ‘‘indo indo’’ti vuttasadisaṃ hoti, evaṃ ‘‘kusalā dhammā’’ti idaṃ vacanaṃ ‘‘kusalā kusalā’’ti vuttasadisaṃ hoti. Evaṃ itaresupi ‘‘akusalā akusalā’’ti vuttasadisatā ‘‘abyākatā abyākatā’’ti vuttasadisatā ca yojetabbā. Atha nānatthāni, indakuverasaddānaṃ viya saddato atthato ca kusaladhammasaddānaṃ bhedo, tathā akusaladhammasaddādīnanti chahi padehi catūhi padehi ca cha cattāro ca atthā bhinnā vuttāti kusalattikādīnaṃ kusalachakkādibhāvo, hetudukādīnañca hetucatukkādibhāvo āpajjatīti.
นนุ ติณฺณํ ธมฺมสทฺทานํ ติณฺณํ อินฺทสทฺทานํ วิย รูปาเภทา อตฺถาเภโทติ ฉกฺกภาโว น ภวิสฺสติ, ตสฺมา เอวมิทํ วตฺตพฺพํ สิยา ‘‘ติกทุกานํ จตุกฺกติกภาโว อาปชฺชตี’’ติ, น วตฺตพฺพํ, ติณฺณํ ธมฺมสทฺทานํ เอกตฺถานํ ติณฺณํ อินฺทสทฺทานํ วิย วจเน ปโยชนาภาวา วุตฺตานํ เตสํ มาสสทฺทานํ วิย อภินฺนรูปานญฺจ อตฺถเภโท อุปปชฺชตีติ, เอวมปิ ยถา เอโก มาสสโทฺท อภินฺนรูโป กาลํ อปรณฺณวิเสสํ สุวณฺณมาสญฺจ วทติ, เอวํ ธมฺมสโทฺทปิ เอโก ภิเนฺน อเตฺถ วตฺตุมรหตีติ กาลาทีนํ มาสปทตฺถตาย วิย ตพฺพจนียภินฺนตฺถานํ ธมฺมปทตฺถตาย อเภโทติ จตุกฺกติกภาโว เอว อาปชฺชตีติ, นาปชฺชติ เอกสฺส สทฺทสฺส ชาติคุณกิริยาภินฺนานํ อนภิธานโตฯ น หิ มาส-สโทฺท เอโก ชาติภินฺนานํ กาลาทีนํ อนฺตเรน สรูเปกเสสํ วาจโก โหติฯ อิธ จ ยทิ สรูเปกเสโส กโต สิยา, ทุติโย ตติโย จ ธมฺม-สโทฺท น วตฺตโพฺพ สิยา, วุโตฺต จ โส, ตสฺมา กุสลาทิ-สทฺทา วิย อภินฺนกุสลาทิชาตีสุ รูปสามเญฺญปิ มาส-สทฺทา วิย ตโย วินิวตฺตอญฺญชาตีสุ วตฺตมานา ตโย เทฺว จ ธมฺม-สทฺทา อาปนฺนาติ ติกทุกานํ ฉกฺกจตุกฺกภาโว เอว อาปชฺชตีติฯ
Nanu tiṇṇaṃ dhammasaddānaṃ tiṇṇaṃ indasaddānaṃ viya rūpābhedā atthābhedoti chakkabhāvo na bhavissati, tasmā evamidaṃ vattabbaṃ siyā ‘‘tikadukānaṃ catukkatikabhāvo āpajjatī’’ti, na vattabbaṃ, tiṇṇaṃ dhammasaddānaṃ ekatthānaṃ tiṇṇaṃ indasaddānaṃ viya vacane payojanābhāvā vuttānaṃ tesaṃ māsasaddānaṃ viya abhinnarūpānañca atthabhedo upapajjatīti, evamapi yathā eko māsasaddo abhinnarūpo kālaṃ aparaṇṇavisesaṃ suvaṇṇamāsañca vadati, evaṃ dhammasaddopi eko bhinne atthe vattumarahatīti kālādīnaṃ māsapadatthatāya viya tabbacanīyabhinnatthānaṃ dhammapadatthatāya abhedoti catukkatikabhāvo eva āpajjatīti, nāpajjati ekassa saddassa jātiguṇakiriyābhinnānaṃ anabhidhānato. Na hi māsa-saddo eko jātibhinnānaṃ kālādīnaṃ antarena sarūpekasesaṃ vācako hoti. Idha ca yadi sarūpekaseso kato siyā, dutiyo tatiyo ca dhamma-saddo na vattabbo siyā, vutto ca so, tasmā kusalādi-saddā viya abhinnakusalādijātīsu rūpasāmaññepi māsa-saddā viya tayo vinivattaaññajātīsu vattamānā tayo dve ca dhamma-saddā āpannāti tikadukānaṃ chakkacatukkabhāvo eva āpajjatīti.
ปทานญฺจ อสมฺพโนฺธติ กุสลธมฺมปทานํ อญฺญมญฺญํ ตถา อกุสลธมฺมปทานํ อพฺยากตธมฺมปทานญฺจ อสมฺพโนฺธ อาปชฺชตีติ อโตฺถฯ ทฺวินฺนํ ทฺวินฺนญฺหิ อิจฺฉิโต สมฺพโนฺธ, น สเพฺพสํ ฉนฺนํ จตุนฺนํ วา อญฺญมญฺญนฺติฯ อิทํ ปน กสฺมา โจเทติ, นนุ นานตฺถเตฺต สติ อตฺถนฺตรทสฺสนตฺถํ วุจฺจมาเนสุ ธมฺม-สเทฺทสุ กุสลากุสลาพฺยากต-สทฺทานํ วิย อสมฺพโนฺธ วุโตฺต ยุโตฺต เอวาติ? สจฺจเมตํ, อสมฺพนฺธํ ปน สิทฺธํ กตฺวา ปุริมโจทนา กตา ‘‘ติกทุกานํ ฉกฺกจตุกฺกภาโว อาปชฺชตี’’ติ, อิธ ปน ตํ อสมฺพนฺธํ สาเธตุํ อิทํ โจทิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อถ วา เอวเมตฺถ โยชนา กาตพฺพา – ยทิ ปน ฉกฺกจตุกฺกภาวํ น อิจฺฉสิ, ปทานํ สมฺพเนฺธน ภวิตพฺพํ ยถาวุตฺตนเยน, โส จ สมานวิภตฺตีนํ ทฺวินฺนํ ทฺวินฺนํ สมฺพโนฺธ เอกตฺถเตฺต สติ ยุเชฺชยฺย, ตฺวํ ปน นานตฺถตํ วทสีติ ปทานญฺจ เต อสมฺพโนฺธ อาปชฺชติ, เนว นาปชฺชตีติฯ นิยมนโตฺถ จ-สโทฺทฯ ปุพฺพาปร…เป.… นิปฺปโยชนานิ นาม โหนฺตีติ ฉกฺกจตุกฺกภาวํ อนิจฺฉนฺตสฺส, นานตฺถตํ ปน อิจฺฉนฺตสฺสาติ อธิปฺปาโยฯ อวสฺสญฺจ สมฺพโนฺธ อิจฺฉิตโพฺพ ปุพฺพาปรวิโรธาปตฺติโตติ ทเสฺสตุํ ‘‘ยาปิ เจสา’’ติอาทิมาหฯ ปุจฺฉา หิ ปทวิปลฺลาสกรเณน ธมฺมา เอว กุสลาติ กุสลธมฺม-สทฺทานํ อิธ อุทฺทิฎฺฐานํ เอกตฺถตํ ทีเปติ, ตว จ นานตฺถตํ วทนฺตสฺส เนว หิ ธมฺมา กุสลาติ กตฺวา ตายปิ ปุจฺฉาย วิโรโธ อาปชฺชติ, วุจฺจติ จ ตถา สา ปุจฺฉาติ น นานตฺถตา ยุชฺชติฯ
Padānañca asambandhoti kusaladhammapadānaṃ aññamaññaṃ tathā akusaladhammapadānaṃ abyākatadhammapadānañca asambandho āpajjatīti attho. Dvinnaṃ dvinnañhi icchito sambandho, na sabbesaṃ channaṃ catunnaṃ vā aññamaññanti. Idaṃ pana kasmā codeti, nanu nānatthatte sati atthantaradassanatthaṃ vuccamānesu dhamma-saddesu kusalākusalābyākata-saddānaṃ viya asambandho vutto yutto evāti? Saccametaṃ, asambandhaṃ pana siddhaṃ katvā purimacodanā katā ‘‘tikadukānaṃ chakkacatukkabhāvo āpajjatī’’ti, idha pana taṃ asambandhaṃ sādhetuṃ idaṃ coditanti veditabbaṃ. Atha vā evamettha yojanā kātabbā – yadi pana chakkacatukkabhāvaṃ na icchasi, padānaṃ sambandhena bhavitabbaṃ yathāvuttanayena, so ca samānavibhattīnaṃ dvinnaṃ dvinnaṃ sambandho ekatthatte sati yujjeyya, tvaṃ pana nānatthataṃ vadasīti padānañca te asambandho āpajjati, neva nāpajjatīti. Niyamanattho ca-saddo. Pubbāpara…pe… nippayojanāni nāma hontīti chakkacatukkabhāvaṃ anicchantassa, nānatthataṃ pana icchantassāti adhippāyo. Avassañca sambandho icchitabbo pubbāparavirodhāpattitoti dassetuṃ ‘‘yāpi cesā’’tiādimāha. Pucchā hi padavipallāsakaraṇena dhammā eva kusalāti kusaladhamma-saddānaṃ idha uddiṭṭhānaṃ ekatthataṃ dīpeti, tava ca nānatthataṃ vadantassa neva hi dhammā kusalāti katvā tāyapi pucchāya virodho āpajjati, vuccati ca tathā sā pucchāti na nānatthatā yujjati.
อปโร นโยติ ‘‘กุสลา ธมฺมา’’ติอาทีนํ ทฺวินฺนํ ทฺวินฺนํ เอกตฺถตฺตเมว ติณฺณํ ธมฺมสทฺทานํ เอกตฺถนานตฺถเตฺตหิ โจเทติฯ ติณฺณํ ธมฺมานํ เอกตฺตาติอาทิมฺหิ ยถา ตีหิ อินฺท-สเทฺทหิ วุจฺจมานานํ อินฺทตฺถานํ อินฺทภาเวน เอกตฺตา ตโต อนเญฺญสํ สกฺกปุรินฺททสหสฺสกฺขสทฺทตฺถานํ เอกตฺตํ, เอวํ ติณฺณํ ธมฺม-สทฺทตฺถานํ ธมฺมภาเวน เอกตฺตา ตโต อนเญฺญสํ กุสลากุสลาพฺยากต-สทฺทตฺถานํ เอกตฺตํ อาปชฺชตีติ อโตฺถฯ ธโมฺม นาม ภาโวติ สภาวธารณาทินา อเตฺถน ธโมฺมติ วุโตฺต, โส จ สภาวเสฺสว โหติ, นาสภาวสฺสาติ อิมินา อธิปฺปาเยน วทติฯ โหตุ ภาโว, ตโต กินฺติ? ยทิ ติณฺณํ ธมฺมสทฺทานํ นานตฺถตา, ตีสุ ธเมฺมสุ โย โกจิ เอโก ธโมฺม ภาโว, ตโต อนญฺญํ กุสลํ อกุสลํ อพฺยากตํ วา เอเกกเมว ภาโวฯ ภาวภูตา ปน ธมฺมา อเญฺญ เทฺว อภาวา โหนฺตีติ เตหิ อนเญฺญ กุสลาทีสุ เทฺว เย เกจิ อภาวาฯ โยปิ จ โส เอโก ธโมฺม ภาโวติ คหิโต, โสปิ สมานรูเปสุ ตีสุ ธมฺมสเทฺทสุ อยเมว ภาวโตฺถ โหตีติ นิยมสฺส อภาวา อญฺญสฺส ภาวตฺถเตฺต สติ อภาโว โหตีติ ตโต อนญฺญสฺสปิ อภาวตฺตํ อาปนฺนนฺติ กุสลาทีนํ สเพฺพสมฺปิ อภาวตฺตาปตฺติ โหติฯ น หิ อินฺทสฺส อมนุสฺสเตฺต ตโต อนเญฺญสํ สกฺกาทีนํ มนุสฺสตฺตํ อตฺถีติฯ
Aparo nayoti ‘‘kusalā dhammā’’tiādīnaṃ dvinnaṃ dvinnaṃ ekatthattameva tiṇṇaṃ dhammasaddānaṃ ekatthanānatthattehi codeti. Tiṇṇaṃ dhammānaṃ ekattātiādimhi yathā tīhi inda-saddehi vuccamānānaṃ indatthānaṃ indabhāvena ekattā tato anaññesaṃ sakkapurindadasahassakkhasaddatthānaṃ ekattaṃ, evaṃ tiṇṇaṃ dhamma-saddatthānaṃ dhammabhāvena ekattā tato anaññesaṃ kusalākusalābyākata-saddatthānaṃ ekattaṃ āpajjatīti attho. Dhammo nāma bhāvoti sabhāvadhāraṇādinā atthena dhammoti vutto, so ca sabhāvasseva hoti, nāsabhāvassāti iminā adhippāyena vadati. Hotu bhāvo, tato kinti? Yadi tiṇṇaṃ dhammasaddānaṃ nānatthatā, tīsu dhammesu yo koci eko dhammo bhāvo, tato anaññaṃ kusalaṃ akusalaṃ abyākataṃ vā ekekameva bhāvo. Bhāvabhūtā pana dhammā aññe dve abhāvā hontīti tehi anaññe kusalādīsu dve ye keci abhāvā. Yopi ca so eko dhammo bhāvoti gahito, sopi samānarūpesu tīsu dhammasaddesu ayameva bhāvattho hotīti niyamassa abhāvā aññassa bhāvatthatte sati abhāvo hotīti tato anaññassapi abhāvattaṃ āpannanti kusalādīnaṃ sabbesampi abhāvattāpatti hoti. Na hi indassa amanussatte tato anaññesaṃ sakkādīnaṃ manussattaṃ atthīti.
นนุ เอวมปิ เอกสฺส ภาวตฺตํ วินา อเญฺญสํ อภาวตฺตํ น สกฺกา วตฺตุํ, ตตฺถ จ เอเกเนว ภาเวน ภวิตพฺพนฺติ นิยมาภาวโต ติณฺณมฺปิ ภาวเตฺต สิเทฺธ เตหิ อนเญฺญสํ กุสลาทีนมฺปิ ภาวตฺตํ สิทฺธํ โหตีติ? น โหติ ติณฺณํ ธมฺม-สทฺทานํ นานตฺถภาวสฺส อนุญฺญาตตฺตาฯ น หิ ติณฺณํ ภาวเตฺต นานตฺถตา อตฺถิ, อนุญฺญาตา จ สา ตยาติฯ นนุ ติณฺณํ ธมฺมานํ อภาวเตฺตปิ นานตฺถตา น สิยาติ? มา โหตุ นานตฺถตา, ตว ปน นานตฺถตํ ปฎิชานนฺตสฺส ‘‘เอโส โทโส’’ติ วทามิ, น ปน มยา นานตฺถตา เอกตฺถตา วา อนุญฺญาตาติ กุโต เม วิโรโธ สิยาติฯ อถ วา อภาวตฺตํ อาปเนฺนหิ ธเมฺมหิ อนเญฺญ กุสลาทโยปิ อภาวา เอว สิยุนฺติ อิทํ วจนํ อนิยเมน เย เกจิ เทฺว ธมฺมา อภาวตฺตํ อาปนฺนา, เตหิ อนเญฺญสํ กุสลาทีสุ เยสํ เกสญฺจิ ทฺวินฺนํ กุสลาทีนํ อภาวตฺตาปตฺติํ สนฺธาย วุตฺตํ เอกสฺส ภาวตฺตาฯ ยมฺปิ วุตฺตํ ‘‘เตหิ จ อโญฺญ กุสลปโรปิ อภาโว สิยา’’ติ, ตํ อนิยมทสฺสนตฺถํ วุตฺตํ, น สเพฺพสํ อภาวสาธนตฺถํฯ อยญฺหิ ตตฺถ อโตฺถ อกุสลปรสฺส วา อพฺยากตปรสฺส วา ธมฺมสฺส ภาวเตฺต สติ เตหิ อโญฺญ กุสลปโรปิ อภาโว สิยาติฯ
Nanu evamapi ekassa bhāvattaṃ vinā aññesaṃ abhāvattaṃ na sakkā vattuṃ, tattha ca ekeneva bhāvena bhavitabbanti niyamābhāvato tiṇṇampi bhāvatte siddhe tehi anaññesaṃ kusalādīnampi bhāvattaṃ siddhaṃ hotīti? Na hoti tiṇṇaṃ dhamma-saddānaṃ nānatthabhāvassa anuññātattā. Na hi tiṇṇaṃ bhāvatte nānatthatā atthi, anuññātā ca sā tayāti. Nanu tiṇṇaṃ dhammānaṃ abhāvattepi nānatthatā na siyāti? Mā hotu nānatthatā, tava pana nānatthataṃ paṭijānantassa ‘‘eso doso’’ti vadāmi, na pana mayā nānatthatā ekatthatā vā anuññātāti kuto me virodho siyāti. Atha vā abhāvattaṃ āpannehi dhammehi anaññe kusalādayopi abhāvā eva siyunti idaṃ vacanaṃ aniyamena ye keci dve dhammā abhāvattaṃ āpannā, tehi anaññesaṃ kusalādīsu yesaṃ kesañci dvinnaṃ kusalādīnaṃ abhāvattāpattiṃ sandhāya vuttaṃ ekassa bhāvattā. Yampi vuttaṃ ‘‘tehi ca añño kusalaparopi abhāvo siyā’’ti, taṃ aniyamadassanatthaṃ vuttaṃ, na sabbesaṃ abhāvasādhanatthaṃ. Ayañhi tattha attho akusalaparassa vā abyākataparassa vā dhammassa bhāvatte sati tehi añño kusalaparopi abhāvo siyāti.
สพฺพเมตํ อการณนฺติ เอตฺถ การณํ นาม ยุตฺติฯ กุสลกุสลสทฺทานํ วิย เอกนฺตเอกตฺถตํ, กุสลรูปจกฺขุม-สทฺทานํ วิย เอกนฺตนานตฺถตญฺจ วิกเปฺปตฺวา ยายํ ปุนรุตฺติ ฉกฺกจตุกฺกาปตฺติ อสมฺพนฺธวิโรธาภาวาปตฺติ โทสาโรปนยุตฺติ วุตฺตา, สพฺพา สา อยุตฺติ, ตถา เอกตฺถนานตฺถตาภาวโตติ วุตฺตํ โหติฯ ยา ยา อนุมติ ยถานุมติ อนุมติยา อนุมติยา โวหารสิทฺธิโตฯ อนุมติยา อนุรูปํ วา ยถานุมติ, ยถา อนุมติ ปวตฺตา, ตถา ตทนุรูปํ โวหารสิทฺธิโตติ อโตฺถฯ อนุมติ หิ วิเสสนวิเสสิตพฺพาภาวโต อจฺจนฺตมภิเนฺนสุ กตฺถจิ กิริยาคุณาทิปริคฺคหวิเสเสน อวิวฎสทฺทตฺถวิวรณตฺถํ ปวตฺตา ยถา ‘‘สโกฺก อิโนฺท ปุรินฺทโท’’ติฯ กตฺถจิ อจฺจนฺตํ ภิเนฺนสุ ยถา ‘‘ธโว ขทิโร ปลาโส จ อานียนฺตู’’ติฯ กตฺถจิ วิเสสนวิเสสิตพฺพภาวโต เภทาเภทวเนฺตสุ เสยฺยถาปิ ‘‘นีลุปฺปลํ ปณฺฑิตปุริโส’’ติ, ตาย ตาย อนุมติยา ตทนุรูปญฺจ เต เต โวหารา สิทฺธาฯ ตสฺมา อิหาปิ กุสลธมฺม-สทฺทานํ วิเสสนวิเสสิตพฺพภาวโต วิเสสตฺถสามญฺญตฺถปริคฺคเหน สมาเน อเตฺถ เภทาเภทยุเตฺต ปวตฺติ อนุมตาติ ตาย ตาย อนุมติยา ตทนุรูปญฺจ สิโทฺธ เอโส โวหาโรฯ ตสฺมา วุตฺตํ ‘‘สพฺพเมตํ อการณ’’นฺติฯ
Sabbametaṃ akāraṇanti ettha kāraṇaṃ nāma yutti. Kusalakusalasaddānaṃ viya ekantaekatthataṃ, kusalarūpacakkhuma-saddānaṃ viya ekantanānatthatañca vikappetvā yāyaṃ punarutti chakkacatukkāpatti asambandhavirodhābhāvāpatti dosāropanayutti vuttā, sabbā sā ayutti, tathā ekatthanānatthatābhāvatoti vuttaṃ hoti. Yā yā anumati yathānumati anumatiyā anumatiyā vohārasiddhito. Anumatiyā anurūpaṃ vā yathānumati, yathā anumati pavattā, tathā tadanurūpaṃ vohārasiddhitoti attho. Anumati hi visesanavisesitabbābhāvato accantamabhinnesu katthaci kiriyāguṇādipariggahavisesena avivaṭasaddatthavivaraṇatthaṃ pavattā yathā ‘‘sakko indo purindado’’ti. Katthaci accantaṃ bhinnesu yathā ‘‘dhavo khadiro palāso ca ānīyantū’’ti. Katthaci visesanavisesitabbabhāvato bhedābhedavantesu seyyathāpi ‘‘nīluppalaṃ paṇḍitapuriso’’ti, tāya tāya anumatiyā tadanurūpañca te te vohārā siddhā. Tasmā ihāpi kusaladhamma-saddānaṃ visesanavisesitabbabhāvato visesatthasāmaññatthapariggahena samāne atthe bhedābhedayutte pavatti anumatāti tāya tāya anumatiyā tadanurūpañca siddho eso vohāro. Tasmā vuttaṃ ‘‘sabbametaṃ akāraṇa’’nti.
อตฺตโน อตฺตโน อตฺถวิเสสํ ตสฺส ทีเปนฺตีติ อตฺตนา ปริคฺคหิตํ อตฺตนา วุจฺจมานํ อนวชฺชสุขวิปากาทิกุสลาทิภาวํ ธมฺม-สทฺทสฺส ทีเปนฺติ ตทตฺถสฺส ตพฺภาวทีปนวเสนาติ อธิปฺปาโยฯ น หิ ธมฺม-สโทฺท กุสลาทิภาโว โหตีติฯ อิมินาวาติ ‘‘ธมฺม-สโทฺท ปริยตฺติอาทีสุ ทิสฺสตี’’ติอาทินา ‘‘อตฺตโน สภาวํ ธาเรนฺตี’’ติอาทินา จ นเยนฯ โส หิ สพฺพตฺถ สมาโน, น กุสล-สโทฺท อาโรคฺยาทีสุ ทิสฺสตีติ ‘‘กุจฺฉิเต สลยนฺตี’’ติอาทิโก, โส จ วิเสสนโย ‘‘อิโต ปรํ วิเสสมตฺตเมว วกฺขามา’’ติ เอเตน อปนีโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ น หิ กุสลาทิวิเสสํ คเหตฺวา ปวตฺตา สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตาติอาทโย วิเสสาติฯ
Attano attano atthavisesaṃ tassa dīpentīti attanā pariggahitaṃ attanā vuccamānaṃ anavajjasukhavipākādikusalādibhāvaṃ dhamma-saddassa dīpenti tadatthassa tabbhāvadīpanavasenāti adhippāyo. Na hi dhamma-saddo kusalādibhāvo hotīti. Imināvāti ‘‘dhamma-saddo pariyattiādīsu dissatī’’tiādinā ‘‘attano sabhāvaṃ dhārentī’’tiādinā ca nayena. So hi sabbattha samāno, na kusala-saddo ārogyādīsu dissatīti ‘‘kucchite salayantī’’tiādiko, so ca visesanayo ‘‘ito paraṃ visesamattameva vakkhāmā’’ti etena apanītoti daṭṭhabbo. Na hi kusalādivisesaṃ gahetvā pavattā sukhāya vedanāya sampayuttātiādayo visesāti.
๒. สุขสฺส จ ปหานาติ เอตฺถ สุขินฺทฺริยํ ‘‘สุข’’นฺติ วุตฺตํ, ตญฺจ สุขเวทนาว โหตีติ ‘‘สุขเวทนายํ ทิสฺสตี’’ติ วุตฺตํ, น ปน ‘‘ติโสฺส อิมา, ภิกฺขเว, เวทนา สุขา เวทนา’’ติเอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๒๔๙ อาทโย) สุข-สโทฺท วิย สุขเวทนาสเทฺทน สมานตฺถตฺตาฯ อยญฺหิ สุขินฺทฺริยโตฺถ สุข-สโทฺท กายสุขนํ กายานุคฺคหํ สาตวิเสสํ คเหตฺวา ปวโตฺต, น ปน สุขา เวทนา ‘‘ยํ กิญฺจิ เวทนํ เวเทติ สุขํ วา (ม. นิ. ๑.๔๐๙), โย สุขํ ทุกฺขโต’’ติเอวมาทีสุ (สํ. นิ. ๔.๒๕๓) สุข-สโทฺท วิย สาตสามญฺญํ คเหตฺวา ปวโตฺตติฯ ยสฺมิํ สติ สุขเหตูนํ ปวตฺติ, ตํ สุขมูลํฯ พุทฺธุปฺปาเท จ กามสมติกฺกมาทิเก วิราเค จ สติ สุขเหตูนํ ปุญฺญปสฺสทฺธิอาทีนํ ปวตฺติ โหตีติ ตํ ‘‘สุขมูลํ สุข’’นฺติ วุตฺตํฯ สุขสฺส จ อารมฺมณตฺตา ‘‘รูปํ สุข’’นฺติ วุตฺตํฯ ปุญฺญานีติ ยทิทํ วจนํ, ตํ สุขสฺส จ อธิวจนํ อิฎฺฐวิปากสฺส อธิวจนํ ตทตฺถสฺส อิฎฺฐวิปากวิปจฺจนโตติ อโตฺถฯ สุขปจฺจยานํ รูปาทีนํ อิฎฺฐานํ ฐานํ โอกาโส สคฺคา นนฺทนญฺจาติ ‘‘สุขา สคฺคา สุขํ นนฺทน’’นฺติ วุตฺตํฯ ทิฎฺฐธเมฺมติ อิมสฺมิํ อตฺตภาเวฯ สุขวิหาราติ ปฐมชฺฌานวิหาราทีฯ นีวรณาทิพฺยาพาธรหิตตฺตา ‘‘อพฺยาพชฺฌา’’ติ วุตฺตาฯ สพฺพสงฺขารทุกฺขนิพฺพาปนโต ตํนิโรธตฺตา วา ‘‘นิพฺพานํ สุข’’นฺติ วุตฺตํฯ อาทิ-สเทฺทน ‘‘อทุกฺขมสุขํ สนฺตํ, สุขมิเจฺจว ภาสิต’’นฺติ อทุกฺขมสุเขฯ ‘‘เทฺวปิ มยา, อานนฺท, เวทนา วุตฺตา ปริยาเยน สุขา เวทนา ทุกฺขา เวทนา’’ติ (สํ. นิ. ๔.๒๖๗) สุโขเปกฺขาสุ จ อิฎฺฐาสูติ เอวมาทีสุ ปวตฺติ สงฺคหิตาฯ
2. Sukhassa ca pahānāti ettha sukhindriyaṃ ‘‘sukha’’nti vuttaṃ, tañca sukhavedanāva hotīti ‘‘sukhavedanāyaṃ dissatī’’ti vuttaṃ, na pana ‘‘tisso imā, bhikkhave, vedanā sukhā vedanā’’tievamādīsu (saṃ. ni. 4.249 ādayo) sukha-saddo viya sukhavedanāsaddena samānatthattā. Ayañhi sukhindriyattho sukha-saddo kāyasukhanaṃ kāyānuggahaṃ sātavisesaṃ gahetvā pavatto, na pana sukhā vedanā ‘‘yaṃ kiñci vedanaṃ vedeti sukhaṃ vā (ma. ni. 1.409), yo sukhaṃ dukkhato’’tievamādīsu (saṃ. ni. 4.253) sukha-saddo viya sātasāmaññaṃ gahetvā pavattoti. Yasmiṃ sati sukhahetūnaṃ pavatti, taṃ sukhamūlaṃ. Buddhuppāde ca kāmasamatikkamādike virāge ca sati sukhahetūnaṃ puññapassaddhiādīnaṃ pavatti hotīti taṃ ‘‘sukhamūlaṃ sukha’’nti vuttaṃ. Sukhassa ca ārammaṇattā ‘‘rūpaṃ sukha’’nti vuttaṃ. Puññānīti yadidaṃ vacanaṃ, taṃ sukhassa ca adhivacanaṃ iṭṭhavipākassa adhivacanaṃ tadatthassa iṭṭhavipākavipaccanatoti attho. Sukhapaccayānaṃ rūpādīnaṃ iṭṭhānaṃ ṭhānaṃ okāso saggā nandanañcāti ‘‘sukhā saggā sukhaṃ nandana’’nti vuttaṃ. Diṭṭhadhammeti imasmiṃ attabhāve. Sukhavihārāti paṭhamajjhānavihārādī. Nīvaraṇādibyābādharahitattā ‘‘abyābajjhā’’ti vuttā. Sabbasaṅkhāradukkhanibbāpanato taṃnirodhattā vā ‘‘nibbānaṃ sukha’’nti vuttaṃ. Ādi-saddena ‘‘adukkhamasukhaṃ santaṃ, sukhamicceva bhāsita’’nti adukkhamasukhe. ‘‘Dvepi mayā, ānanda, vedanā vuttā pariyāyena sukhā vedanā dukkhā vedanā’’ti (saṃ. ni. 4.267) sukhopekkhāsu ca iṭṭhāsūti evamādīsu pavatti saṅgahitā.
ทุกฺขวตฺถูติ ทุกฺขสฺส โอกาโสฯ อตฺตโน ปจฺจเยหิ อุปฺปชฺชมานมฺปิ หิ ตํ ทุกฺขํ ชาติอาทีสุ วิชฺชมาเนสุ ตพฺพตฺถุกํ หุตฺวา อุปฺปชฺชติฯ ทุกฺขปจฺจเยติ ทุกฺขเหตุมฺหิ, ทุกฺขสฺส ชนเกติ อโตฺถฯ ทุกฺขปจฺจยฎฺฐาเนติ ทุกฺขชนกกมฺมสฺส สหายภูตานํ อนิฎฺฐรูปาทิปจฺจยานํ ฐาเนฯ ปจฺจยสโทฺท หิ ชนเก ชนกสหาเย จ ปวตฺตตีติฯ อาทิ-สเทฺทน ‘‘ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺข’’นฺติอาทินา (สํ. นิ. ๓.๑๕, ๔๕-๔๖, ๗๖) สงฺขารทุกฺขาทีสุ ปวตฺติ ทฎฺฐพฺพาฯ สมฺปยุเตฺต วตฺถุญฺจ กรชกายํ สุขยติ ลทฺธสฺสาเท อนุคฺคหิเต กโรตีติ สุขาฯ สุขาติ เวทนาสทฺทมเปกฺขิตฺวา สุขภาวมตฺตสฺส อปฺปกาสเนน นปุํสกลิงฺคตา น กตาฯ สภาวโต สงฺกปฺปโต จ ยํ อิฎฺฐํ, ตทนุภวนํ อิฎฺฐาการานุภวนํ วา อิฎฺฐานุภวนํฯ
Dukkhavatthūti dukkhassa okāso. Attano paccayehi uppajjamānampi hi taṃ dukkhaṃ jātiādīsu vijjamānesu tabbatthukaṃ hutvā uppajjati. Dukkhapaccayeti dukkhahetumhi, dukkhassa janaketi attho. Dukkhapaccayaṭṭhāneti dukkhajanakakammassa sahāyabhūtānaṃ aniṭṭharūpādipaccayānaṃ ṭhāne. Paccayasaddo hi janake janakasahāye ca pavattatīti. Ādi-saddena ‘‘yadaniccaṃ taṃ dukkha’’ntiādinā (saṃ. ni. 3.15, 45-46, 76) saṅkhāradukkhādīsu pavatti daṭṭhabbā. Sampayutte vatthuñca karajakāyaṃ sukhayati laddhassāde anuggahite karotīti sukhā. Sukhāti vedanāsaddamapekkhitvā sukhabhāvamattassa appakāsanena napuṃsakaliṅgatā na katā. Sabhāvato saṅkappato ca yaṃ iṭṭhaṃ, tadanubhavanaṃ iṭṭhākārānubhavanaṃ vā iṭṭhānubhavanaṃ.
สมนฺติ อวิสมํฯ สมา เอกีภาวูปคตา วิย ยุตฺตา, สมํ วา สห ยุตฺตาติ โยเชตพฺพํฯ เอกุปฺปาทาติ เอโก สมาโน อุปฺปาโท เอเตสนฺติ เอกุปฺปาทา, สมานปจฺจเยหิ สหุปฺปตฺติกาติ อโตฺถฯ สหุปฺปตฺติกานํ รูปารูปานญฺจ อญฺญมญฺญสมฺปยุตฺตตา อาปเชฺชยฺยาติ ‘‘เอกนิโรธา’’ติ วุตฺตํ, เย สมานุปฺปาทา สมานนิโรธา จ, เต สมฺปยุตฺตาติ รูปารูปานํ อญฺญมญฺญสมฺปโยโค นิวาริโต โหติฯ เอวมปิ อวินิโพฺภครูปานํ อญฺญมญฺญสมฺปยุตฺตตา อาปเชฺชยฺยาติ ‘‘เอกวตฺถุกา’’ติ วุตฺตํ, เย เอกุปฺปาทา เอกนิโรธา เอกวตฺถุกา จ, เต สมฺปยุตฺตาติฯ เอวมปิ อวินิโพฺภครูเปสุ เอกํ มหาภูตํ เสสมหาภูโตปาทารูปานํ นิสฺสยปจฺจโย โหตีติ เตน ตานิ เอกวตฺถุกานีติ, จกฺขาทินิสฺสยภูตานิ วา ภูตานิ เอกํ วตฺถุ เอเตสุ สนฺนิสฺสิตนฺติ เอกวตฺถุกานีติ กเปฺปนฺตสฺส เตสํ สมฺปยุตฺตตาปตฺติ สิยาติ ตนฺนิวารณตฺถํ ‘‘เอการมฺมณา’’ติ วุตฺตํ, เย เอกุปฺปาทา…เป.… เอการมฺมณา จ โหนฺติ, เต สมฺปยุตฺตาติฯ ปฎิโลมโต วา เอการมฺมณาติ วุเตฺต เอกวีถิยญฺจ ปญฺจวิญฺญาณสมฺปฎิจฺฉนานํ นานาวีถิยํ ปรสนฺตาเน จ เอกสฺมิํ อารมฺมเณ อุปฺปชฺชมานานํ ภินฺนวตฺถุกานํ สมฺปยุตฺตตา อาปเชฺชยฺยาติ ‘‘เอกวตฺถุกา’’ติ วุตฺตํ, เย เอกวตฺถุกา หุตฺวา เอการมฺมณา, เต สมฺปยุตฺตาติฯ เอวมปิ สมฺปฎิจฺฉนสนฺตีรณาทีนํ สมฺปยุตฺตตา อาปเชฺชยฺยาติ ‘‘เอกนิโรธา’’ติ วุตฺตํ, เย เอกนิโรธา หุตฺวา เอกวตฺถุกา เอการมฺมณา, เต สมฺปยุตฺตาติฯ กิํ ปน นานุปฺปาทาปิ เอวํ ติวิธลกฺขณา โหนฺติ, อถ เอกุปฺปาทา เอวาติ วิจารณาย เอกุปฺปาทา เอว เอวํ ติวิธลกฺขณา โหนฺตีติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘เอกุปฺปาทา’’ติ วุตฺตํฯ
Samanti avisamaṃ. Samā ekībhāvūpagatā viya yuttā, samaṃ vā saha yuttāti yojetabbaṃ. Ekuppādāti eko samāno uppādo etesanti ekuppādā, samānapaccayehi sahuppattikāti attho. Sahuppattikānaṃ rūpārūpānañca aññamaññasampayuttatā āpajjeyyāti ‘‘ekanirodhā’’ti vuttaṃ, ye samānuppādā samānanirodhā ca, te sampayuttāti rūpārūpānaṃ aññamaññasampayogo nivārito hoti. Evamapi avinibbhogarūpānaṃ aññamaññasampayuttatā āpajjeyyāti ‘‘ekavatthukā’’ti vuttaṃ, ye ekuppādā ekanirodhā ekavatthukā ca, te sampayuttāti. Evamapi avinibbhogarūpesu ekaṃ mahābhūtaṃ sesamahābhūtopādārūpānaṃ nissayapaccayo hotīti tena tāni ekavatthukānīti, cakkhādinissayabhūtāni vā bhūtāni ekaṃ vatthu etesu sannissitanti ekavatthukānīti kappentassa tesaṃ sampayuttatāpatti siyāti tannivāraṇatthaṃ ‘‘ekārammaṇā’’ti vuttaṃ, ye ekuppādā…pe… ekārammaṇā ca honti, te sampayuttāti. Paṭilomato vā ekārammaṇāti vutte ekavīthiyañca pañcaviññāṇasampaṭicchanānaṃ nānāvīthiyaṃ parasantāne ca ekasmiṃ ārammaṇe uppajjamānānaṃ bhinnavatthukānaṃ sampayuttatā āpajjeyyāti ‘‘ekavatthukā’’ti vuttaṃ, ye ekavatthukā hutvā ekārammaṇā, te sampayuttāti. Evamapi sampaṭicchanasantīraṇādīnaṃ sampayuttatā āpajjeyyāti ‘‘ekanirodhā’’ti vuttaṃ, ye ekanirodhā hutvā ekavatthukā ekārammaṇā, te sampayuttāti. Kiṃ pana nānuppādāpi evaṃ tividhalakkhaṇā honti, atha ekuppādā evāti vicāraṇāya ekuppādā eva evaṃ tividhalakkhaṇā hontīti dassanatthaṃ ‘‘ekuppādā’’ti vuttaṃ.
๓. วิปกฺกภาวมาปนฺนานํ อรูปธมฺมานนฺติ ยถา สาลิพีชาทีนํ ผลานิ ตํสทิสานิ นิพฺพตฺตานิ วิปกฺกานิ นาม โหนฺติ, วิปากนิรุตฺติญฺจ ลภนฺติ, น มูลงฺกุรปตฺตขนฺธนาฬานิ, เอวํ กุสลากุสลานํ ผลานิ อรูปธมฺมภาเวน สารมฺมณภาเวน สุกฺกกณฺหาทิภาเวน จ ตํสทิสานิ วิปกฺกภาวมาปนฺนานีติ วิปากนิรุตฺติํ ลภนฺติ, น รูปธมฺมา กมฺมนิพฺพตฺตาปิ กมฺมาสทิสาติ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ชาติชราสภาวาติ ชายนชีรณสภาวาฯ วิปากปกติกาติ วิปจฺจนปกติกาฯ วิปจฺจนสภาวตา จ อนุปจฺฉินฺนาวิชฺชาตณฺหามานสนฺตาเน สพฺยาปารตา, เตน อภิญฺญาทิกุสลานํ ภาวนายปหาตพฺพาทิอกุสลานญฺจ วิปากานุปฺปาทเนปิ วิปากธมฺมตา สิทฺธา โหติฯ วิปกฺกภาวนฺติ เจตฺถ ภาว-สเทฺทน สภาโว เอว วุโตฺตฯ ตํ ยถาวุตฺตํ วิปกฺกสภาวํ ทุติยสฺส วุตฺตํ วิปจฺจนสภาวญฺจ คเหตฺวา ‘‘อุภยสภาวปฎิเกฺขปวเสนา’’ติ อาหฯ
3. Vipakkabhāvamāpannānaṃ arūpadhammānanti yathā sālibījādīnaṃ phalāni taṃsadisāni nibbattāni vipakkāni nāma honti, vipākaniruttiñca labhanti, na mūlaṅkurapattakhandhanāḷāni, evaṃ kusalākusalānaṃ phalāni arūpadhammabhāvena sārammaṇabhāvena sukkakaṇhādibhāvena ca taṃsadisāni vipakkabhāvamāpannānīti vipākaniruttiṃ labhanti, na rūpadhammā kammanibbattāpi kammāsadisāti dassetuṃ vuttaṃ. Jātijarāsabhāvāti jāyanajīraṇasabhāvā. Vipākapakatikāti vipaccanapakatikā. Vipaccanasabhāvatā ca anupacchinnāvijjātaṇhāmānasantāne sabyāpāratā, tena abhiññādikusalānaṃ bhāvanāyapahātabbādiakusalānañca vipākānuppādanepi vipākadhammatā siddhā hoti. Vipakkabhāvanti cettha bhāva-saddena sabhāvo eva vutto. Taṃ yathāvuttaṃ vipakkasabhāvaṃ dutiyassa vuttaṃ vipaccanasabhāvañca gahetvā ‘‘ubhayasabhāvapaṭikkhepavasenā’’ti āha.
๔. อุเปเตน อาทินฺนา อุปาทินฺนาฯ กิํ ปน ตํ อุเปตํ, เกน จ อุเปตํ, กถญฺจ อุเปตํ, เก จ เตน อาทินฺนาติ? สติ จ โลกุตฺตรานํ เกสญฺจิ อารมฺมณภาเว ตนฺนิวตฺตนตฺถํ อุเปตสทฺทสมฺพนฺธินา อุปย-สเทฺทน วุจฺจมานาหิ จตุพฺพิธุปาทานภูตาหิ ตณฺหาทิฎฺฐีหิ อุเปตํ, เตหิ จ อารมฺมณกรณวเสน อุเปตํ, น สมนฺนาคมวเสนฯ สติ จ สพฺพเตภูมกธมฺมานํ อุปาทานารมฺมณเตฺต เยหิ วิปากกฎตฺตารูปานิ อเมฺหหิ นิพฺพตฺตตฺตา อมฺหากํ เอตานิ ผลานีติ คณฺหเนฺตหิ วิย อาทินฺนานิ, ตานิ เตภูมกกมฺมานิ กมฺมภาเวน เอกตฺตํ อุปเนตฺวา อุเปตนฺติ อิธ คหิตานิฯ เตหิ จ นิพฺพตฺตานิ วิปากกฎตฺตารูปานิ อุปาทินฺนา ธมฺมาติ สพฺพเมตํ ทเสฺสตุํ ‘‘อารมฺมณกรณวเสนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อยญฺจ อตฺถนโย ยถาสมฺภวํ โยเชตโพฺพ, น วจนานุปุเพฺพนาติฯ เอตฺถาห – ยทิ อารมฺมณกรณวเสน ตณฺหาทิฎฺฐีหิ อุเปเตน อาทินฺนา อุปาทินฺนา, สพฺพเตภูมกธมฺมา จ ตณฺหาทีนํ อารมฺมณา โหนฺติ, น จ อุเปตสโทฺท กเมฺม เอว นิรุโฬฺห, เตน กมฺมเสฺสว คหเณ การณํ นตฺถิ, ตสฺมา สพฺพเตภูมกธมฺมปจฺจยุปฺปนฺนานํ อวิชฺชาทิเหตูหิ นิพฺพตฺตานํ สงฺขาราทิผลานํ อุปาทินฺนตฺตํ อาปชฺชติ เตสมฺปิ เตหิผลภาเวน คหิตตฺตาฯ อุป-สเทฺทน จ อุเปตตามตฺตํ โชติตํ, น อารมฺมณกรณํ สมนฺนาคมนิวตฺตกํ, อาทินฺน-สเทฺทน จ คหิตตามตฺตํ วุตฺตํ, น กมฺมสมุฎฺฐานตาวิเสโสฯ ตสฺมา สพฺพปจฺจยุปฺปนฺนานํ อุปาทินฺนตฺตํ อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติ โพธเนยฺยชฺฌาสยวเสน เทสนาปวตฺติโตฯ เยสญฺหิ โพธนตฺถํ ‘‘อุปาทินฺนา’’ติ เอตํ วุตฺตํ, เต เตเนว วจเนน ยถาวุตฺตปฺปกาเร ธเมฺม พุชฺฌิํสุ, เอตรหิ ปน ตาวตา พุชฺฌิตุํ อสโกฺกเนฺตน สุตฺวา ตทโตฺถ เวทิตโพฺพติ เอสา อตฺถวิภาวนา กตา ‘‘กมฺมุนา’’ติฯ
4. Upetena ādinnā upādinnā. Kiṃ pana taṃ upetaṃ, kena ca upetaṃ, kathañca upetaṃ, ke ca tena ādinnāti? Sati ca lokuttarānaṃ kesañci ārammaṇabhāve tannivattanatthaṃ upetasaddasambandhinā upaya-saddena vuccamānāhi catubbidhupādānabhūtāhi taṇhādiṭṭhīhi upetaṃ, tehi ca ārammaṇakaraṇavasena upetaṃ, na samannāgamavasena. Sati ca sabbatebhūmakadhammānaṃ upādānārammaṇatte yehi vipākakaṭattārūpāni amhehi nibbattattā amhākaṃ etāni phalānīti gaṇhantehi viya ādinnāni, tāni tebhūmakakammāni kammabhāvena ekattaṃ upanetvā upetanti idha gahitāni. Tehi ca nibbattāni vipākakaṭattārūpāni upādinnā dhammāti sabbametaṃ dassetuṃ ‘‘ārammaṇakaraṇavasenā’’tiādi vuttaṃ. Ayañca atthanayo yathāsambhavaṃ yojetabbo, na vacanānupubbenāti. Etthāha – yadi ārammaṇakaraṇavasena taṇhādiṭṭhīhi upetena ādinnā upādinnā, sabbatebhūmakadhammā ca taṇhādīnaṃ ārammaṇā honti, na ca upetasaddo kamme eva niruḷho, tena kammasseva gahaṇe kāraṇaṃ natthi, tasmā sabbatebhūmakadhammapaccayuppannānaṃ avijjādihetūhi nibbattānaṃ saṅkhārādiphalānaṃ upādinnattaṃ āpajjati tesampi tehiphalabhāvena gahitattā. Upa-saddena ca upetatāmattaṃ jotitaṃ, na ārammaṇakaraṇaṃ samannāgamanivattakaṃ, ādinna-saddena ca gahitatāmattaṃ vuttaṃ, na kammasamuṭṭhānatāviseso. Tasmā sabbapaccayuppannānaṃ upādinnattaṃ āpajjatīti? Nāpajjati bodhaneyyajjhāsayavasena desanāpavattito. Yesañhi bodhanatthaṃ ‘‘upādinnā’’ti etaṃ vuttaṃ, te teneva vacanena yathāvuttappakāre dhamme bujjhiṃsu, etarahi pana tāvatā bujjhituṃ asakkontena sutvā tadattho veditabboti esā atthavibhāvanā katā ‘‘kammunā’’ti.
อยํ ปน อปโร อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพ – อุป-สโทฺท อุเปตํ ทีเปติฯ อยญฺหิ อุป-สโทฺท สมาเส ปยุชฺชมาโน ‘‘อติมาลา’’ติอาทีสุ อติ-สโทฺท วิย อติกฺกมนํ สสาธนํ อุปคมนํ สสาธนํ วทติ, อุปคมนญฺจ อุปาทานอุปโย, เตน อุปคตํ อุเปตํฯ กิํ ปน ตนฺติ? ยํ อสติ อุปาทาเน น โหติ, ตํ ‘‘อุปาทานปจฺจยา ภโว’’ติ เอวํ วุตฺตํ เตภูมกกมฺมํ ปจฺจยภาเวน ปุริมชาตุปฺปเนฺนน อุปาทาเนน อุปคตตฺตา ‘‘อุเปต’’นฺติ วุจฺจติฯ น หิ โกจิ อนุปคฺคมฺม อนิจฺฉโนฺต กมฺมํ กโรตีติฯ เตน อุเปเตน กมฺมุนา ปุนพฺภวสฺส อาทานํ โหติฯ กมฺมุนา หิ สาสเวน สตฺตา อาทิยนฺติ ปุนพฺภวํ, ตสฺมา อาทาตพฺพภาเวน ปากโฎ ปุนพฺภโวฯ โส จ อุปปตฺติภโว เตภูมกวิปากกฎตฺตารูปสงฺคโห ‘‘ภวปจฺจยา ชาตี’’ติ เอตฺถ ชาติวจเน สมวรุโทฺธติ อุปาทินฺนวจเนน อุปปตฺติภโว วุจฺจติ, อุปปตฺติภโว จ เตภูมกวิปากกฎตฺตารูปานีติ ธาตุกถายํ ปกาสิตเมตํฯ ตสฺมา อุเปเตน อาทินฺนาติ เต เอว ธมฺมา วุจฺจนฺตีติ สิโทฺธ อยมโตฺถติฯ อุปาทินฺน-สทฺทสฺส อตฺถํ วตฺวา ตํ วิสฺสเชฺชตฺวา อุปาทานิย-สทฺทสฺส วิสุํ อุปาทินฺนสทฺทานเปกฺขํ อตฺถํ วตฺตุํ ‘‘อารมฺมณภาวํ อุปคนฺตฺวา’’ติอาทิมาหฯ ตสฺมา เอว อวิเสเสตฺวา ‘‘อุปาทานสฺส อารมฺมณปจฺจยภูตานเมตํ อธิวจน’’นฺติ วุตฺตํฯ ตํ ปน อุปาทานิยํ อุปาทินฺนํ อนุปาทินฺนนฺติ ทุวิธํฯ ตสฺมา ตํ วิเสสเนน ทเสฺสโนฺต ‘‘อุปาทินฺนา จ เต อุปาทานิยา จา’’ติอาทิมาหฯ
Ayaṃ pana aparo attho daṭṭhabbo – upa-saddo upetaṃ dīpeti. Ayañhi upa-saddo samāse payujjamāno ‘‘atimālā’’tiādīsu ati-saddo viya atikkamanaṃ sasādhanaṃ upagamanaṃ sasādhanaṃ vadati, upagamanañca upādānaupayo, tena upagataṃ upetaṃ. Kiṃ pana tanti? Yaṃ asati upādāne na hoti, taṃ ‘‘upādānapaccayā bhavo’’ti evaṃ vuttaṃ tebhūmakakammaṃ paccayabhāvena purimajātuppannena upādānena upagatattā ‘‘upeta’’nti vuccati. Na hi koci anupaggamma anicchanto kammaṃ karotīti. Tena upetena kammunā punabbhavassa ādānaṃ hoti. Kammunā hi sāsavena sattā ādiyanti punabbhavaṃ, tasmā ādātabbabhāvena pākaṭo punabbhavo. So ca upapattibhavo tebhūmakavipākakaṭattārūpasaṅgaho ‘‘bhavapaccayā jātī’’ti ettha jātivacane samavaruddhoti upādinnavacanena upapattibhavo vuccati, upapattibhavo ca tebhūmakavipākakaṭattārūpānīti dhātukathāyaṃ pakāsitametaṃ. Tasmā upetena ādinnāti te eva dhammā vuccantīti siddho ayamatthoti. Upādinna-saddassa atthaṃ vatvā taṃ vissajjetvā upādāniya-saddassa visuṃ upādinnasaddānapekkhaṃ atthaṃ vattuṃ ‘‘ārammaṇabhāvaṃ upagantvā’’tiādimāha. Tasmā eva avisesetvā ‘‘upādānassa ārammaṇapaccayabhūtānametaṃ adhivacana’’nti vuttaṃ. Taṃ pana upādāniyaṃ upādinnaṃ anupādinnanti duvidhaṃ. Tasmā taṃ visesanena dassento ‘‘upādinnā ca te upādāniyā cā’’tiādimāha.
๕. สํกิเลโสติ ทส กิเลสวตฺถูนิ วุจฺจนฺติฯ สํกิลิฎฺฐาติ เตหิ วิพาธิตา อุปตาปิตา จฯ เต ปน ยสฺมา สํกิเลสสมฺปยุตฺตา เอกุปฺปาทาทีหิ นินฺนานตฺตา เอกีภาวมิว คตา วิสาทีหิ วิย สปฺปิอาทโย วิทูสิตา มลีนา วิพาธิตา อุปตาปิตา จ นาม โหนฺติ, ตสฺมา อาห ‘‘สํกิเลเสน สมนฺนาคตา สํกิลิฎฺฐา’’ติฯ สํกิเลสํ อรหนฺตีติ สํกิเลสสฺส อารมฺมณภาเวน ตํ ลทฺธุํ อรหนฺตีติ อโตฺถฯ อารมฺมณภาวานติกฺกมนโตติ เอเตน สํกิเลสานติกฺกมนเมว ทเสฺสติ, วตฺถยุคิกสุงฺกสาลิกสทฺทานํ วิย สํกิเลสิก-สทฺทสฺส ปวตฺติ เวทิตพฺพาฯ
5. Saṃkilesoti dasa kilesavatthūni vuccanti. Saṃkiliṭṭhāti tehi vibādhitā upatāpitā ca. Te pana yasmā saṃkilesasampayuttā ekuppādādīhi ninnānattā ekībhāvamiva gatā visādīhi viya sappiādayo vidūsitā malīnā vibādhitā upatāpitā ca nāma honti, tasmā āha ‘‘saṃkilesena samannāgatā saṃkiliṭṭhā’’ti. Saṃkilesaṃ arahantīti saṃkilesassa ārammaṇabhāvena taṃ laddhuṃ arahantīti attho. Ārammaṇabhāvānatikkamanatoti etena saṃkilesānatikkamanameva dasseti, vatthayugikasuṅkasālikasaddānaṃ viya saṃkilesika-saddassa pavatti veditabbā.
๖. สห วิตเกฺกน โหนฺตีติ วจนเสโส โยเชตโพฺพ อวุจฺจมานสฺสปิ ภวติ-อตฺถสฺส วิญฺญายมานตฺตาฯ มตฺตาติ ปมาณวาจกํ เอกํ ปทนฺติ คเหตฺวา ‘‘วิจาโรว มตฺตา เอเตส’’นฺติ อโตฺถ วุโตฺตฯ อญฺญตฺถ อวิปฺปโยคีสุ วิตกฺกวิจาเรสุ วิจาโรว เอเตสํ มตฺตา, ตโต อุทฺธํ วิตเกฺกน สมฺปโยคํ น คจฺฉนฺตีติ อโตฺถฯ อยมปโร อโตฺถ – มตฺต-สโทฺท วิเสสนิวตฺติอโตฺถฯ สวิตกฺกสวิจารา ธมฺมา หิ วิตกฺกวิสิเฎฺฐน วิจาเรน สวิจารา, เอเต ปน วิจารมเตฺตน วิตกฺกสงฺขาตวิเสสรหิเตน, ตสฺมา ‘‘วิจารมตฺตา’’ติ วุจฺจนฺติ, วิจารมตฺตวโนฺตติ อโตฺถฯ วิจารมตฺตวจเนน อวิตกฺกเตฺต สิเทฺธ อวิตกฺกานํ อเญฺญสมฺปิ อตฺถิภาวโชตนตฺถํ อวิตกฺกวจนํฯ อวิตกฺกา หิ วิจารมตฺตา จ สนฺติ อวิจารา จาติ นิวเตฺตตพฺพา คเหตพฺพา จ โหนฺติ, เตสุ อวุจฺจมาเนสุ นิวเตฺตตพฺพคเหตพฺพสฺส อทสฺสิตตฺตา วิจารมตฺตาวอวิตกฺกาติ อาปเชฺชยฺยาติฯ วิเสสนวิเสสิตพฺพภาโว ปน ยถากามํ โหตีติ สามเญฺญน อวิตกฺกภาเวน สห วิจารมตฺตตาย ธมฺมวิเสสนภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘อวิตกฺกวิจารมตฺตา’’ติ ปทานุกฺกโม กโตฯ
6. Saha vitakkena hontīti vacanaseso yojetabbo avuccamānassapi bhavati-atthassa viññāyamānattā. Mattāti pamāṇavācakaṃ ekaṃ padanti gahetvā ‘‘vicārova mattā etesa’’nti attho vutto. Aññattha avippayogīsu vitakkavicāresu vicārova etesaṃ mattā, tato uddhaṃ vitakkena sampayogaṃ na gacchantīti attho. Ayamaparo attho – matta-saddo visesanivattiattho. Savitakkasavicārā dhammā hi vitakkavisiṭṭhena vicārena savicārā, ete pana vicāramattena vitakkasaṅkhātavisesarahitena, tasmā ‘‘vicāramattā’’ti vuccanti, vicāramattavantoti attho. Vicāramattavacanena avitakkatte siddhe avitakkānaṃ aññesampi atthibhāvajotanatthaṃ avitakkavacanaṃ. Avitakkā hi vicāramattā ca santi avicārā cāti nivattetabbā gahetabbā ca honti, tesu avuccamānesu nivattetabbagahetabbassa adassitattā vicāramattāvaavitakkāti āpajjeyyāti. Visesanavisesitabbabhāvo pana yathākāmaṃ hotīti sāmaññena avitakkabhāvena saha vicāramattatāya dhammavisesanabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘avitakkavicāramattā’’ti padānukkamo kato.
อถ วา สวิจารา ทุวิธา สวิตกฺกา อวิตกฺกา จ, เตสุ อวิตเกฺก นิวเตฺตตุํ อาทิปทํ วุตฺตํฯ อวิจารา จ ทุวิธา สวิตกฺกา อวิตกฺกา จ, เตสุ สวิตเกฺก นิวเตฺตตุํ ตติยปทํ วุตฺตํฯ เย ปน ทฺวีหิปิ นิวตฺติตา อวิตกฺกา สวิตกฺกา จ สวิจารา อวิจารา จ, เตสุ อญฺญตรทสฺสนํ วา กตฺตพฺพํ สิยา อุภยทสฺสนํ วาฯ อุภยทสฺสเน กริยมาเน ยทิ ‘‘สวิตกฺกสวิจารา’’ติ วุเจฺจยฺย, อาทิปทตฺถตาว อาปชฺชติฯ อถ ‘‘อวิตกฺกอวิจารา’’ติ วุเจฺจยฺย, อนฺตปทตฺถตาฯ อถ ปน ‘‘อวิตกฺกสวิจารา สวิตกฺกอวิจารา’’ติ วุเจฺจยฺย, อชฺฌตฺตพหิทฺธานํ วิย อตฺถนฺตราภาโว วา สงฺกรโทโส วา เอกเสฺสว สวิตกฺกาวิตกฺกตาสวิจาราวิจารตาวิโรโธ วา อาปเชฺชยฺย, ตสฺมา อญฺญตรทสฺสเนน อิตรมฺปิ ปกาเสตุํ อวิตกฺกวจเนน ทฺวิปฺปกาเรสุ วตฺตเพฺพสุ สวิตกฺกอวิจาเร นิวเตฺตตฺวา อวิตกฺกสวิจาเร ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘อวิตกฺกวิจารมตฺตา’’ติฯ อถ วา วิตกฺกาภาเวน เอเต วิจารมตฺตา, น วิจารโต อญฺญสฺส กสฺสจิ ธมฺมสฺส อภาวาติ ทเสฺสตุํ อวิตกฺกวจเนน วิจารมตฺตา วิเสสิตาฯ
Atha vā savicārā duvidhā savitakkā avitakkā ca, tesu avitakke nivattetuṃ ādipadaṃ vuttaṃ. Avicārā ca duvidhā savitakkā avitakkā ca, tesu savitakke nivattetuṃ tatiyapadaṃ vuttaṃ. Ye pana dvīhipi nivattitā avitakkā savitakkā ca savicārā avicārā ca, tesu aññataradassanaṃ vā kattabbaṃ siyā ubhayadassanaṃ vā. Ubhayadassane kariyamāne yadi ‘‘savitakkasavicārā’’ti vucceyya, ādipadatthatāva āpajjati. Atha ‘‘avitakkaavicārā’’ti vucceyya, antapadatthatā. Atha pana ‘‘avitakkasavicārā savitakkaavicārā’’ti vucceyya, ajjhattabahiddhānaṃ viya atthantarābhāvo vā saṅkaradoso vā ekasseva savitakkāvitakkatāsavicārāvicāratāvirodho vā āpajjeyya, tasmā aññataradassanena itarampi pakāsetuṃ avitakkavacanena dvippakāresu vattabbesu savitakkaavicāre nivattetvā avitakkasavicāre dassento āha ‘‘avitakkavicāramattā’’ti. Atha vā vitakkābhāvena ete vicāramattā, na vicārato aññassa kassaci dhammassa abhāvāti dassetuṃ avitakkavacanena vicāramattā visesitā.
๗. อุเปกฺขตีติ เวทยมานาปิ มชฺฌตฺตเวทนา สุขากาเร ทุกฺขากาเร จ อุทาสินา โหตีติ อโตฺถฯ อถ วา อุเปตา ยุตฺตา สุขทุกฺขานํ อวิรุทฺธา อิกฺขา อนุภวนํ อุเปกฺขาฯ วิเสสทสฺสนวเสนาติ นานตฺตทสฺสนวเสนฯ ยทิ หิ ปีติสหคตา เอว สุขสหคตา สิยุํ, ‘‘ปีติสหคตา’’ติ เอเตเนว สิทฺธตฺตา ‘‘สุขสหคตา’’ติ อิทํ น วตฺตพฺพํ สิยา, ‘‘สุขสหคตา’’ติ วา วุจฺจมาเน ‘‘ปีติสหคตา’’ติ น วตฺตพฺพํ, ตโต ติกํ ปูเรเนฺตน ทุกฺขสหคตปทํ วตฺตพฺพํ สิยา, เอวญฺจ สติ ‘‘เวทนาตฺติโก เอวาย’’นฺติ วุตฺตวจนํ อาปชฺชติ, ตสฺมา ‘‘ปีติสหคตา’’ติ วตฺวา ‘‘สุขสหคตา’’ติ วทโนฺต ปีติวิปฺปยุตฺตมฺปิ สุขํ อตฺถีติ ตติยชฺฌานกายวิญฺญาณสมฺปยุตฺตํ สุขํ สปฺปีติกสุขโต ภินฺนํ กตฺวา ทเสฺสตีติ อธิปฺปาโยฯ อถ วา ปีติสุขานํ ทุพฺพิเญฺญยฺยนานตฺตานํ นานตฺตทสฺสนตฺถํ อยํ ติโก วุโตฺตฯ ‘‘ปีติสหคตา’’ติ เอตฺถ หิ สุเขกเทโส สงฺคหิโต, น ปีติฯ ‘‘สุขสหคตา’’ติ เอตฺถ ปีติ สงฺคหิตา, น สุขํฯ ปีติวิปฺปยุตฺตสุขสหคตา จ ปุริเมน อสงฺคหิตา ปจฺฉิเมน สงฺคหิตาติ สิโทฺธ ปีติสุขานํ วิเสโสติฯ
7. Upekkhatīti vedayamānāpi majjhattavedanā sukhākāre dukkhākāre ca udāsinā hotīti attho. Atha vā upetā yuttā sukhadukkhānaṃ aviruddhā ikkhā anubhavanaṃ upekkhā. Visesadassanavasenāti nānattadassanavasena. Yadi hi pītisahagatā eva sukhasahagatā siyuṃ, ‘‘pītisahagatā’’ti eteneva siddhattā ‘‘sukhasahagatā’’ti idaṃ na vattabbaṃ siyā, ‘‘sukhasahagatā’’ti vā vuccamāne ‘‘pītisahagatā’’ti na vattabbaṃ, tato tikaṃ pūrentena dukkhasahagatapadaṃ vattabbaṃ siyā, evañca sati ‘‘vedanāttiko evāya’’nti vuttavacanaṃ āpajjati, tasmā ‘‘pītisahagatā’’ti vatvā ‘‘sukhasahagatā’’ti vadanto pītivippayuttampi sukhaṃ atthīti tatiyajjhānakāyaviññāṇasampayuttaṃ sukhaṃ sappītikasukhato bhinnaṃ katvā dassetīti adhippāyo. Atha vā pītisukhānaṃ dubbiññeyyanānattānaṃ nānattadassanatthaṃ ayaṃ tiko vutto. ‘‘Pītisahagatā’’ti ettha hi sukhekadeso saṅgahito, na pīti. ‘‘Sukhasahagatā’’ti ettha pīti saṅgahitā, na sukhaṃ. Pītivippayuttasukhasahagatā ca purimena asaṅgahitā pacchimena saṅgahitāti siddho pītisukhānaṃ visesoti.
๘. นิพฺพานํ ทสฺสนโตติ นิพฺพานารมฺมณตํ สนฺธายาหฯ อถ วา ธมฺมจกฺขุ ปุนปฺปุนํ นิพฺพตฺตเนน ภาวนาภาวํ อปฺปตฺตํ ทสฺสนํ นาม, ธมฺมจกฺขุ จ ปริญฺญาทิกิจฺจกรเณน จตุสจฺจธมฺมทสฺสนํ ตทติสโย, ตสฺมา นเตฺถตฺถ โคตฺรภุสฺส ทสฺสนภาวาปตฺตีติฯ อุภยปฎิเกฺขปวเสนาติ ทฺวีหิ ปเทหิ วุตฺตธมฺมปฎิเกฺขปวเสน, น ปหายกปฎิเกฺขปวเสนฯ ตถา หิ สติ ทสฺสนภาวนาหิ อโญฺญ สมุเจฺฉทวเสน ปหายโก อตฺถิ, เตน ปหาตพฺพา เนว ทสฺสเนน น ภาวนาย ปหาตพฺพาติ อยมโตฺถ อาปชฺชติ, น จ อโญฺญ ปหายโก อตฺถิ อเญฺญหิ วิกฺขมฺภิตานญฺจ ปุนปฺปวตฺติสพฺภาวา, นาปิ ปหาตพฺพา ตติยปเทน สงฺคยฺหนฺติ, กินฺตุ อปฺปหาตพฺพา เอวาติฯ ตสฺมา ปหาตพฺพปทํ ปเจฺจกํ โยเชตฺวา เนว ทสฺสเนน ปหาตพฺพา น ภาวนาย ปหาตพฺพาติ ทสฺสเนน ภาวนาย ปหาตเพฺพหิ อเญฺญ คหิตาติ เวทิตพฺพาฯ
8. Nibbānaṃ dassanatoti nibbānārammaṇataṃ sandhāyāha. Atha vā dhammacakkhu punappunaṃ nibbattanena bhāvanābhāvaṃ appattaṃ dassanaṃ nāma, dhammacakkhu ca pariññādikiccakaraṇena catusaccadhammadassanaṃ tadatisayo, tasmā natthettha gotrabhussa dassanabhāvāpattīti. Ubhayapaṭikkhepavasenāti dvīhi padehi vuttadhammapaṭikkhepavasena, na pahāyakapaṭikkhepavasena. Tathā hi sati dassanabhāvanāhi añño samucchedavasena pahāyako atthi, tena pahātabbā neva dassanena na bhāvanāya pahātabbāti ayamattho āpajjati, na ca añño pahāyako atthi aññehi vikkhambhitānañca punappavattisabbhāvā, nāpi pahātabbā tatiyapadena saṅgayhanti, kintu appahātabbā evāti. Tasmā pahātabbapadaṃ paccekaṃ yojetvā neva dassanena pahātabbā na bhāvanāya pahātabbāti dassanena bhāvanāya pahātabbehi aññe gahitāti veditabbā.
๙. เอวมตฺถํ อคฺคเหตฺวาติ อตฺถายุตฺติโต จ สทฺทายุตฺติโต จ อคฺคเหตพฺพตํ ทเสฺสติฯ ทสฺสนภาวนาหิ อปฺปหาตพฺพเหตุมเตฺตสุ หิ คยฺหมาเนสุ อเหตุกา อสงฺคหิตาติ ยถาธิเปฺปตสฺส อตฺถสฺส อปริปุณฺณตฺตา อตฺถายุตฺติ, ปหาตพฺพสทฺทสฺส นิจฺจสาเปกฺขเตฺต จ สติ น สมฺพนฺธีสทฺทโต ปหายกโต อญฺญํ ปฎิเสธํ อเปกฺขมานสฺส เหตุสเทฺทน สมาโส อุปปชฺชตีติ สทฺทายุตฺติ จ เวทิตพฺพาฯ เอวมโตฺถ คเหตโพฺพติ ปหาตพฺพ-สทฺทํ ปฎิเสเธน อโยเชตฺวา เยสํ อญฺญปทเตฺถ สมาโส, ตพฺพิเสสนํ อตฺถีติ อิทํ ปฎิเสเธน โยเชตฺวา ทสฺสนภาวนาหิ ปหาตโพฺพ เหตุ เอเตสํ เนวตฺถีติ อโตฺถ คเหตโพฺพติ วุตฺตํ โหติฯ เอวญฺจ สติ ยถาธิเปฺปตโตฺถ สโพฺพ สงฺคหิโตติฯ อตฺถายุตฺติ มา โหตุ, สโทฺท ปน อิธาปิ น ยุโตฺตฯ เอกนฺตโยคีนํ อตฺถิ-สทฺทเมว หิ อเปกฺขมานานํ อุภินฺนํ ปหาตพฺพเหตุ-สทฺทานํ สมาโส ยุโตฺต, น ปฎิเสธํ อเปกฺขมานานนฺติ, ตสฺมา คเหตพฺพตฺถทสฺสนมตฺตํ เอตํ กตํ, สโทฺท ปน ยถา ยุชฺชติ, ตถา โยเชตโพฺพฯ เอวํ ปน ยุชฺชติ – ปหาตโพฺพ เหตุ เอเตสํ อตฺถีติ ปหาตพฺพเหตุกาฯ เกน ปหาตโพฺพติ? ทสฺสเนน ภาวนาย จฯ ตยิทํ ปหาตพฺพเหตุกปทํ ทสฺสนภาวนาปเทหิ วิสุํ วิสุํ โยเชตฺวา เตหิ ยุเตฺตน เย ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตุกา เนว โหนฺติ, ภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกา จ น โหนฺตีติ ปฎิเสธญฺจ วิสุํ วิสุํ โยเชตฺวา เต เนว ทสฺสเนน น ภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกาติ วุจฺจนฺติฯ เนววิปากนวิปากธมฺมธมฺมวจนํ วิย หิ ปุริมปททฺวยสงฺคหิตธมฺมปฎิเสธเนน ตทญฺญธมฺมนิทสฺสนเมตํ โหติ, น อเหตุกปทํ วิย เหตุวิรหปฺปกาสเนนาติฯ เอวญฺจ กตฺวา เทฺว ปฎิเสธา ยุตฺตา โหนฺติฯ
9. Evamatthaṃ aggahetvāti atthāyuttito ca saddāyuttito ca aggahetabbataṃ dasseti. Dassanabhāvanāhi appahātabbahetumattesu hi gayhamānesu ahetukā asaṅgahitāti yathādhippetassa atthassa aparipuṇṇattā atthāyutti, pahātabbasaddassa niccasāpekkhatte ca sati na sambandhīsaddato pahāyakato aññaṃ paṭisedhaṃ apekkhamānassa hetusaddena samāso upapajjatīti saddāyutti ca veditabbā. Evamattho gahetabboti pahātabba-saddaṃ paṭisedhena ayojetvā yesaṃ aññapadatthe samāso, tabbisesanaṃ atthīti idaṃ paṭisedhena yojetvā dassanabhāvanāhi pahātabbo hetu etesaṃ nevatthīti attho gahetabboti vuttaṃ hoti. Evañca sati yathādhippetattho sabbo saṅgahitoti. Atthāyutti mā hotu, saddo pana idhāpi na yutto. Ekantayogīnaṃ atthi-saddameva hi apekkhamānānaṃ ubhinnaṃ pahātabbahetu-saddānaṃ samāso yutto, na paṭisedhaṃ apekkhamānānanti, tasmā gahetabbatthadassanamattaṃ etaṃ kataṃ, saddo pana yathā yujjati, tathā yojetabbo. Evaṃ pana yujjati – pahātabbo hetu etesaṃ atthīti pahātabbahetukā. Kena pahātabboti? Dassanena bhāvanāya ca. Tayidaṃ pahātabbahetukapadaṃ dassanabhāvanāpadehi visuṃ visuṃ yojetvā tehi yuttena ye dassanena pahātabbahetukā neva honti, bhāvanāya pahātabbahetukā ca na hontīti paṭisedhañca visuṃ visuṃ yojetvā te neva dassanena na bhāvanāya pahātabbahetukāti vuccanti. Nevavipākanavipākadhammadhammavacanaṃ viya hi purimapadadvayasaṅgahitadhammapaṭisedhanena tadaññadhammanidassanametaṃ hoti, na ahetukapadaṃ viya hetuvirahappakāsanenāti. Evañca katvā dve paṭisedhā yuttā honti.
เหตุเยว หิ เตสํ นตฺถิ, โย ทสฺสนภาวนาหิ ปหาตโพฺพ สิยาติ ปุริมสฺมิญฺหิ อเตฺถ เหตูนํ ทสฺสนภาวนาหิ ปหาตพฺพตา ปฎิกฺขิตฺตา, ปฎิเกฺขโป จ ปหาตพฺพาสงฺกาสพฺภาเว โหติ, ปหาตพฺพาสงฺกา จ เหตุมฺหิ สติ สิยา, เตสํ ปน อเหตุกานํ เหตุเยว นตฺถิ, โย ทสฺสนภาวนาหิ ปหาตโพฺพ สิยา, ตทภาวา ปหาตพฺพาสงฺกา นตฺถีติ ตํนิวารณโตฺถ ปฎิเกฺขโป น สมฺภวติ, ตสฺมา ‘‘เนวทสฺสเนน น ภาวนาย ปหาตโพฺพ เหตุ เอเตส’’นฺติ เอวํ อเหตุกานํ คหณํ น ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ อถ วา อิตรถา หิ อเหตุกานํ อคฺคหณํ ภเวยฺยาติ อตฺถสฺส ปากฎตฺตา น การณสาธนีโย เอโสติ คเหตพฺพตฺถเสฺสว การณํ วทโนฺต ‘‘เหตุเยว หิ เตสํ นตฺถี’’ติอาทิมาหฯ เตสญฺหิ เนวทสฺสเนน น ภาวนายปหาตพฺพเหตุกปทวจนียานํ โย ทสฺสนภาวนาหิ ปหาตโพฺพ สิยา, โส เอวํปกาโร เหตุ นตฺถิฯ เต หิ อเนกปฺปการา สเหตุกา อเหตุกา จาติ, ตสฺมา เนวทสฺสเนน น ภาวนาย ปหาตโพฺพ เหตุ เอเตสํ อตฺถีติ อยมโตฺถ คเหตโพฺพติ อโตฺถฯ
Hetuyeva hi tesaṃ natthi, yo dassanabhāvanāhi pahātabbo siyāti purimasmiñhi atthe hetūnaṃ dassanabhāvanāhi pahātabbatā paṭikkhittā, paṭikkhepo ca pahātabbāsaṅkāsabbhāve hoti, pahātabbāsaṅkā ca hetumhi sati siyā, tesaṃ pana ahetukānaṃ hetuyeva natthi, yo dassanabhāvanāhi pahātabbo siyā, tadabhāvā pahātabbāsaṅkā natthīti taṃnivāraṇattho paṭikkhepo na sambhavati, tasmā ‘‘nevadassanena na bhāvanāya pahātabbo hetu etesa’’nti evaṃ ahetukānaṃ gahaṇaṃ na bhaveyyāti attho. Atha vā itarathā hi ahetukānaṃ aggahaṇaṃ bhaveyyāti atthassa pākaṭattā na kāraṇasādhanīyo esoti gahetabbatthasseva kāraṇaṃ vadanto ‘‘hetuyeva hi tesaṃ natthī’’tiādimāha. Tesañhi nevadassanena na bhāvanāyapahātabbahetukapadavacanīyānaṃ yo dassanabhāvanāhi pahātabbo siyā, so evaṃpakāro hetu natthi. Te hi anekappakārā sahetukā ahetukā cāti, tasmā nevadassanena na bhāvanāya pahātabbo hetu etesaṃ atthīti ayamattho gahetabboti attho.
๑๐. ตํ อารมฺมณํ กตฺวาติ อิทํ จตุกิจฺจสาธนวเสน อารมฺมณกรณํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อญฺญถา โคตฺรภุผลปจฺจเวกฺขณาทีนมฺปิ อปจยคามิตา อาปเชฺชยฺยาติฯ อถ วา เหตุภาเวน อปจยํ นิพฺพานํ คจฺฉนฺตีติ อปจยคามิโนฯ นิพฺพานสฺส หิ อนิพฺพตฺตนิยเตฺตปิ สมุทยปฺปหานสมุทยนิโรธานํ อธิคมอธิคนฺตพฺพภาวโต เหตุเหตุผลภาโว มคฺคนิพฺพานานํ ยุชฺชติฯ ยถาห ‘‘ทุกฺขนิโรเธ ญาณํ อตฺถปฎิสมฺภิทา, ทุกฺขนิโรธคามินิยา ปฎิปทาย ญาณํ ธมฺมปฎิสมฺภิทา’’ติ (วิภ. ๗๑๙)ฯ อโตฺถติ หิ เหตุผลํฯ ธโมฺมติ เหตูติฯ ปุริมปจฺฉิมานํ ปุริเม สสมฺปยุตฺตา วุตฺตา, ปจฺฉิเม เกวลาฯ ปุริเม วิย ปน ปจฺฉิเม อเตฺถปิ อริยมคฺคสีเสน สพฺพโลกุตฺตรกุสลจิตฺตุปฺปาทา คเหตพฺพาฯ ทุติเย อตฺถวิกเปฺป ‘‘อาจยํ คามิโน’’ติ วตฺตเพฺพ อนุนาสิกโลโป กโตติ ทฎฺฐโพฺพฯ อาจินนฺตีติ วา อาจยา, อาจยา หุตฺวา คจฺฉนฺติ ปวตฺตนฺตีติปิ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ
10. Taṃ ārammaṇaṃ katvāti idaṃ catukiccasādhanavasena ārammaṇakaraṇaṃ sandhāya vuttanti veditabbaṃ. Aññathā gotrabhuphalapaccavekkhaṇādīnampi apacayagāmitā āpajjeyyāti. Atha vā hetubhāvena apacayaṃ nibbānaṃ gacchantīti apacayagāmino. Nibbānassa hi anibbattaniyattepi samudayappahānasamudayanirodhānaṃ adhigamaadhigantabbabhāvato hetuhetuphalabhāvo magganibbānānaṃ yujjati. Yathāha ‘‘dukkhanirodhe ñāṇaṃ atthapaṭisambhidā, dukkhanirodhagāminiyā paṭipadāya ñāṇaṃ dhammapaṭisambhidā’’ti (vibha. 719). Atthoti hi hetuphalaṃ. Dhammoti hetūti. Purimapacchimānaṃ purime sasampayuttā vuttā, pacchime kevalā. Purime viya pana pacchime atthepi ariyamaggasīsena sabbalokuttarakusalacittuppādā gahetabbā. Dutiye atthavikappe ‘‘ācayaṃ gāmino’’ti vattabbe anunāsikalopo katoti daṭṭhabbo. Ācinantīti vā ācayā, ācayā hutvā gacchanti pavattantītipi attho daṭṭhabbo.
๑๑. สตฺต ปน เสกฺขา สิกฺขนสีลาติ เสกฺขา, เตสํ อิเมติ เสกฺขา, อญฺญาสาธารณา มคฺคผลตฺตยธมฺมาฯ สยเมว สิกฺขนฺตีติ สิกฺขนสีลานเมตํ นิทสฺสนํฯ เย หิ ธมฺมา สิกฺขนฺติ, เต สิกฺขนสีลา โหนฺตีติฯ อกฺขรโตฺถ ปน สิกฺขา เอเตสํ สีลนฺติ เสกฺขาติฯ น เสกฺขาติ ยตฺถ เสกฺขภาวาสงฺกา อตฺถิ, ตตฺถายํ ปฎิเสโธติ โลกิยนิพฺพาเนสุ อเสกฺขภาวานาปตฺติ ทฎฺฐพฺพาฯ สีลสมาธิปญฺญาสงฺขาตา หิ สิกฺขา อตฺตโน ปฎิปกฺขกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺตา ปริสุทฺธา อุปกฺกิเลสานํ อารมฺมณภาวมฺปิ อนุปคมนโต เอตา สิกฺขาติ วตฺตุํ ยุตฺตา อฎฺฐสุ มคฺคผเลสุ วิชฺชนฺติ, ตสฺมา จตุมคฺคเหฎฺฐิมผลตฺตยธมฺมา วิย อรหตฺตผลธมฺมาปิ ตาสุ สิกฺขาสุ ชาตาติ จ, ตํสิกฺขาสมงฺคิโน อรหโต อิตเรสํ วิย เสกฺขเตฺต สติ เสกฺขสฺส เอเตติ จ, สิกฺขา สีลํ เอเตสนฺติ จ เสกฺขาติ อาสงฺกิตพฺพา สิยุนฺติ ตทาสงฺกานิวตฺตนตฺถํ ‘‘อเสกฺขา’’ติ ยถาวุตฺตเสกฺขภาวปฎิเสโธ กโตฯ อรหตฺตผเล หิ ปวตฺตมานา สิกฺขา ปรินิฎฺฐิตสิกฺขากิจฺจตฺตา น สิกฺขากิจฺจํ กโรนฺติ, เกวลํ สิกฺขาผลภาเวเนว ปวตฺตนฺติ, ตสฺมา ตา น สิกฺขาวจนํ อรหนฺติ, นาปิ ตํสมงฺคิโน เสกฺขวจนํ, น จ ตํสมฺปยุตฺตา สิกฺขนสีลาติ สิกฺขาสุ ชาตาติอาทิอเตฺถหิ อคฺคผลธมฺมา เสกฺขา น โหนฺติ, เหฎฺฐิมผเลสุ ปน สิกฺขา สกทาคามิมคฺควิปสฺสนาทีนํ อุปนิสฺสยภาวโต สิกฺขากิจฺจํ กโรนฺตีติ สิกฺขาวจนํ อรหนฺติ, ตํสมงฺคิโน จ เสกฺขวจนํ, ตํสมฺปยุตฺตา จ สิกฺขนสีลวุตฺตีติ ตตฺถ ธมฺมา ยถาวุเตฺตหิ อเตฺถหิ เสกฺขา โหนฺติ เอวฯ
11. Satta pana sekkhā sikkhanasīlāti sekkhā, tesaṃ imeti sekkhā, aññāsādhāraṇā maggaphalattayadhammā. Sayameva sikkhantīti sikkhanasīlānametaṃ nidassanaṃ. Ye hi dhammā sikkhanti, te sikkhanasīlā hontīti. Akkharattho pana sikkhā etesaṃ sīlanti sekkhāti. Na sekkhāti yattha sekkhabhāvāsaṅkā atthi, tatthāyaṃ paṭisedhoti lokiyanibbānesu asekkhabhāvānāpatti daṭṭhabbā. Sīlasamādhipaññāsaṅkhātā hi sikkhā attano paṭipakkhakilesehi vippamuttā parisuddhā upakkilesānaṃ ārammaṇabhāvampi anupagamanato etā sikkhāti vattuṃ yuttā aṭṭhasu maggaphalesu vijjanti, tasmā catumaggaheṭṭhimaphalattayadhammā viya arahattaphaladhammāpi tāsu sikkhāsu jātāti ca, taṃsikkhāsamaṅgino arahato itaresaṃ viya sekkhatte sati sekkhassa eteti ca, sikkhā sīlaṃ etesanti ca sekkhāti āsaṅkitabbā siyunti tadāsaṅkānivattanatthaṃ ‘‘asekkhā’’ti yathāvuttasekkhabhāvapaṭisedho kato. Arahattaphale hi pavattamānā sikkhā pariniṭṭhitasikkhākiccattā na sikkhākiccaṃ karonti, kevalaṃ sikkhāphalabhāveneva pavattanti, tasmā tā na sikkhāvacanaṃ arahanti, nāpi taṃsamaṅgino sekkhavacanaṃ, na ca taṃsampayuttā sikkhanasīlāti sikkhāsu jātātiādiatthehi aggaphaladhammā sekkhā na honti, heṭṭhimaphalesu pana sikkhā sakadāgāmimaggavipassanādīnaṃ upanissayabhāvato sikkhākiccaṃ karontīti sikkhāvacanaṃ arahanti, taṃsamaṅgino ca sekkhavacanaṃ, taṃsampayuttā ca sikkhanasīlavuttīti tattha dhammā yathāvuttehi atthehi sekkhā honti eva.
เสกฺขาติ วา อปริโยสิตสิกฺขา ทสฺสิตาฯ อนนฺตรเมว ‘‘อเสกฺขา’’ติ วจนํ ปริโยสิตสิกฺขานํ ทสฺสนนฺติ น โลกิยนิพฺพานานํ อเสกฺขตาปตฺติฯ วุทฺธิปฺปตฺตา วา เสกฺขาติ เอตสฺมิํ อเตฺถ เสกฺขธเมฺมสุ เอว เกสญฺจิ วุทฺธิปฺปตฺตานํ อเสกฺขตา อาปชฺชติ, เตน อรหตฺตมคฺคธมฺมา วุทฺธิปฺปตฺตา จ ยถาวุเตฺตหิ จ อเตฺถหิ เสกฺขาติ กตฺวา อเสกฺขา อาปนฺนาติ? น, ตํสทิเสสุ ตโพฺพหาราฯ อรหตฺตมคฺคโต หิ นินฺนานากรณํ อรหตฺตผลํ ฐเปตฺวา ปริญฺญาทิกิจฺจกรณํ วิปากภาวญฺจ, ตสฺมา เต เอว เสกฺขา ธมฺมา อรหตฺตผลภาวํ อาปนฺนาติ สกฺกา วตฺตุํ, กุสลสุขโต จ วิปากสุขํ สนฺตตรตาย ปณีตตรนฺติ วุทฺธิปฺปตฺตา จ เต ธมฺมา โหนฺตีติ อเสกฺขาติ วุจฺจนฺตีติฯ
Sekkhāti vā apariyositasikkhā dassitā. Anantarameva ‘‘asekkhā’’ti vacanaṃ pariyositasikkhānaṃ dassananti na lokiyanibbānānaṃ asekkhatāpatti. Vuddhippattā vā sekkhāti etasmiṃ atthe sekkhadhammesu eva kesañci vuddhippattānaṃ asekkhatā āpajjati, tena arahattamaggadhammā vuddhippattā ca yathāvuttehi ca atthehi sekkhāti katvā asekkhā āpannāti? Na, taṃsadisesu tabbohārā. Arahattamaggato hi ninnānākaraṇaṃ arahattaphalaṃ ṭhapetvā pariññādikiccakaraṇaṃ vipākabhāvañca, tasmā te eva sekkhā dhammā arahattaphalabhāvaṃ āpannāti sakkā vattuṃ, kusalasukhato ca vipākasukhaṃ santataratāya paṇītataranti vuddhippattā ca te dhammā hontīti asekkhāti vuccantīti.
๑๒. กิเลสวิกฺขมฺภนาสมตฺถตาทีหิ ปริตฺตาฯ ‘‘กิเลส…เป.… ตายา’’ติ อตฺถตฺตยมฺปิ กุสเลสุ ยุชฺชติ, วิปากกิริเยสุ ทีฆสนฺตานตาวฯ ปมาณกเรหิ วา โอฬาริเกหิ กามตณฺหาทีหิ ปริจฺฉินฺนา ปริตฺตาฯ เตหิ อปริจฺฉินฺนตฺตา สุขุเมหิ รูปตณฺหาทีหิ ปริจฺฉินฺนา ปมาณมหตฺตํ คตาติ มหคฺคตาฯ อปริจฺฉินฺนา อปฺปมาณาฯ
12. Kilesavikkhambhanāsamatthatādīhi parittā. ‘‘Kilesa…pe… tāyā’’ti atthattayampi kusalesu yujjati, vipākakiriyesu dīghasantānatāva. Pamāṇakarehi vā oḷārikehi kāmataṇhādīhi paricchinnā parittā. Tehi aparicchinnattā sukhumehi rūpataṇhādīhi paricchinnā pamāṇamahattaṃ gatāti mahaggatā. Aparicchinnā appamāṇā.
๑๔. อตปฺปกเฎฺฐนาติ ทิวสมฺปิ ปจฺจเวกฺขิยมานา โลกุตฺตรธมฺมา ติตฺติํ น ชเนนฺติ สมาปชฺชิยมานาปิ ผลธมฺมาติฯ
14. Atappakaṭṭhenāti divasampi paccavekkhiyamānā lokuttaradhammā tittiṃ na janenti samāpajjiyamānāpi phaladhammāti.
๑๕. มาตุฆาตาทีสุ ปวตฺตมานาปิ หิตสุขํ อิจฺฉนฺตาว ปวตฺตนฺตีติ เต ธมฺมา หิตสุขาวหา เม ภวิสฺสนฺตีติ อาสีสิตา โหนฺติ, ตถา อสุภาสุขานิจฺจานเตฺตสุ สุภาทิวิปริยาสทฬฺหตาย อานนฺตริยกมฺมนิยตมิจฺฉาทิฎฺฐีสุ ปวตฺติ โหตีติ เต ธมฺมา อสุภาทีสุ สุภาทิวิปรีตปฺปวตฺติกา โหนฺติฯ มิจฺฉาสภาวาติ มุสาสภาวาฯ อเนเกสุ อานนฺตริเยสุ กเตสุ ยํ ตตฺถ พลวํ, ตํ วิปจฺจติ, น อิตรานีติ เอกนฺตวิปากชนกตาย นิยตตา น สกฺกา วตฺตุนฺติ ‘‘วิปากทาเน สตี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ ขนฺธเภทานนฺตรนฺติ จุติอนนฺตรํฯ จุติ หิ มรณนิเทฺทเส (วิภ. ๑๙๓) ‘‘ขนฺธานํ เภโท’’ติ วุตฺตาติฯ เอเตน วจเนน สติ ผลทาเน จุติอนนฺตโร เอว, น อโญฺญ เอเตสํ ผลกาโลติ ผลกาลนิยเมเนว นิยตตา วุตฺตา โหติ, น ผลทานนิยเมนาติ นิยตผลกาลานํ อเญฺญสมฺปิ อุปปชฺชเวทนียานํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียานมฺปิ นิยตตา อาปชฺชติ, ตสฺมา วิปากธมฺมธมฺมานํ ปจฺจยนฺตรวิกลตาทีหิ อวิปจฺจมานานมฺปิ อตฺตโน สภาเวน วิปากธมฺมตา วิย พลวตา อานนฺตริเยน วิปาเก ทิเนฺน อวิปจฺจมานานมฺปิ อานนฺตริยานํ ผลทาเน นิยตสภาวา อานนฺตริยสภาวา จ ปวตฺตีติ อตฺตโน สภาเวน ผลทานนิยเมเนว นิยตตา อานนฺตริยตา จ เวทิตพฺพาฯ อวสฺสญฺจ นิยตสภาวา อานนฺตริยสภาวา จ เตสํ ปวตฺตีติ สมฺปฎิจฺฉิตพฺพเมตํ อญฺญสฺส พลวโต อานนฺตริยสฺส อภาเว จุติอนนฺตรํ เอกเนฺตน ผลทานโตฯ
15. Mātughātādīsu pavattamānāpi hitasukhaṃ icchantāva pavattantīti te dhammā hitasukhāvahā me bhavissantīti āsīsitā honti, tathā asubhāsukhāniccānattesu subhādivipariyāsadaḷhatāya ānantariyakammaniyatamicchādiṭṭhīsu pavatti hotīti te dhammā asubhādīsu subhādiviparītappavattikā honti. Micchāsabhāvāti musāsabhāvā. Anekesu ānantariyesu katesu yaṃ tattha balavaṃ, taṃ vipaccati, na itarānīti ekantavipākajanakatāya niyatatā na sakkā vattunti ‘‘vipākadāne satī’’tiādimāha. Tattha khandhabhedānantaranti cutianantaraṃ. Cuti hi maraṇaniddese (vibha. 193) ‘‘khandhānaṃ bhedo’’ti vuttāti. Etena vacanena sati phaladāne cutianantaro eva, na añño etesaṃ phalakāloti phalakālaniyameneva niyatatā vuttā hoti, na phaladānaniyamenāti niyataphalakālānaṃ aññesampi upapajjavedanīyānaṃ diṭṭhadhammavedanīyānampi niyatatā āpajjati, tasmā vipākadhammadhammānaṃ paccayantaravikalatādīhi avipaccamānānampi attano sabhāvena vipākadhammatā viya balavatā ānantariyena vipāke dinne avipaccamānānampi ānantariyānaṃ phaladāne niyatasabhāvā ānantariyasabhāvā ca pavattīti attano sabhāvena phaladānaniyameneva niyatatā ānantariyatā ca veditabbā. Avassañca niyatasabhāvā ānantariyasabhāvā ca tesaṃ pavattīti sampaṭicchitabbametaṃ aññassa balavato ānantariyassa abhāve cutianantaraṃ ekantena phaladānato.
นนุ เอวํ อเญฺญสมฺปิ อุปปชฺชเวทนียานํ อญฺญสฺมิํ วิปากทายเก อสติ จุติอนนฺตรเมว เอกเนฺตน ผลทานโต อานนฺตริยสภาวา นิยตสภาวา จ ปวตฺติ อาปชฺชตีติ? นาปชฺชติ อสมานชาติเกน เจโตปณิธิวเสน อุปฆาตเกน จ นิวเตฺตตพฺพวิปากตฺตา อนนฺตเรกนฺตผลทายกตฺตาภาวา, น ปน อานนฺตริยกานํ ปฐมชฺฌานาทีนํ ทุติยชฺฌานาทีนิ วิย อสมานชาติกํ ผลนิวตฺตกํ อตฺถิ สพฺพานนฺตริยกานํ อวีจิผลตฺตา, น จ เหฎฺฐุปปตฺติํ อิจฺฉโต สีลวโต เจโตปณิธิ วิย อุปรูปปตฺติชนกกมฺมผลํ อานนฺตริยกผลํ นิวเตฺตตุํ สมโตฺถ เจโตปณิธิ อตฺถิ อนิจฺฉนฺตเสฺสว อวีจิปาตนโต, น จ อานนฺตริยโกปฆาตกํ กิญฺจิ กมฺมํ อตฺถิ, ตสฺมา เตสํเยว อนนฺตเรกนฺตวิปากชนกสภาวา ปวตฺตีติฯ
Nanu evaṃ aññesampi upapajjavedanīyānaṃ aññasmiṃ vipākadāyake asati cutianantarameva ekantena phaladānato ānantariyasabhāvā niyatasabhāvā ca pavatti āpajjatīti? Nāpajjati asamānajātikena cetopaṇidhivasena upaghātakena ca nivattetabbavipākattā anantarekantaphaladāyakattābhāvā, na pana ānantariyakānaṃ paṭhamajjhānādīnaṃ dutiyajjhānādīni viya asamānajātikaṃ phalanivattakaṃ atthi sabbānantariyakānaṃ avīciphalattā, na ca heṭṭhupapattiṃ icchato sīlavato cetopaṇidhi viya uparūpapattijanakakammaphalaṃ ānantariyakaphalaṃ nivattetuṃ samattho cetopaṇidhi atthi anicchantasseva avīcipātanato, na ca ānantariyakopaghātakaṃ kiñci kammaṃ atthi, tasmā tesaṃyeva anantarekantavipākajanakasabhāvā pavattīti.
อเนกานิ จ อานนฺตริยกานิ กตานิ เอกเนฺต วิปาเก สนฺนิยตตฺตา อุปรตาวิปจฺจนสภาวาสงฺกตฺตา นิจฺฉิตานิ สภาวโต นิยตาเนวฯ จุติอนนฺตรํ ปน ผลํ อนนฺตรํ นาม ตสฺมิํ อนนฺตเร นิยุตฺตานิ ตนฺนิพฺพตฺตเนน อนนฺตรกรณสีลานิ อนนฺตรปฺปโยชนานิ จาติ สภาวโต อานนฺตริยกาเนว จ โหนฺติฯ เตสุ ปน สมานสภาเวสุ เอเกน วิปาเก ทิเนฺน อิตรานิ อตฺตนา กตฺตพฺพสฺส กิจฺจสฺส เตเนว กตตฺตา น ทุติยํ ตติยมฺปิ จ ปฎิสนฺธิํ กโรนฺติ, น สมตฺถตาวิฆาตตฺตาติ นตฺถิ เตสํ นิยตานนฺตริยตานิวตฺตีติฯ น หิ สมานสภาวํ สมานสภาวสฺส สมตฺถตํ วิหนตีติฯ เอกสฺส ปน อญฺญานิปิ อุปตฺถมฺภกานิ โหนฺตีติ ทฎฺฐพฺพานีติฯ สมฺมา สภาวาติ สจฺจสภาวาฯ
Anekāni ca ānantariyakāni katāni ekante vipāke sanniyatattā uparatāvipaccanasabhāvāsaṅkattā nicchitāni sabhāvato niyatāneva. Cutianantaraṃ pana phalaṃ anantaraṃ nāma tasmiṃ anantare niyuttāni tannibbattanena anantarakaraṇasīlāni anantarappayojanāni cāti sabhāvato ānantariyakāneva ca honti. Tesu pana samānasabhāvesu ekena vipāke dinne itarāni attanā kattabbassa kiccassa teneva katattā na dutiyaṃ tatiyampi ca paṭisandhiṃ karonti, na samatthatāvighātattāti natthi tesaṃ niyatānantariyatānivattīti. Na hi samānasabhāvaṃ samānasabhāvassa samatthataṃ vihanatīti. Ekassa pana aññānipi upatthambhakāni hontīti daṭṭhabbānīti. Sammā sabhāvāti saccasabhāvā.
๑๖. ปริปุณฺณมคฺคกิจฺจตฺตา จตฺตาโร อริยมคฺคาว อิธ ‘‘มคฺคา’’ติ วุตฺตาฯ ปจฺจยเฎฺฐนาติ มคฺคปจฺจยเฎฺฐนฯ นิเกฺขปกเณฺฑปิ หิ เย มคฺคปจฺจยํ ลภนฺติ, น ปน สยํ มคฺคปจฺจยภาวํ คจฺฉนฺติ, เต มคฺคเหตุกาติ ทเสฺสตุํ ‘‘อริยมคฺคสมงฺคิสฺส มคฺคงฺคานิ ฐเปตฺวา’’ติอาทิ (ธ. ส. ๑๐๓๙) วุตฺตํฯ โย ปน ตเตฺถว ‘‘อริยมคฺคสมงฺคิสฺส อโลโภ อโทโส อโมโห, อิเม ธมฺมา มคฺคเหตู’’ติ อาทินโย วุโตฺต, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘มคฺคสมฺปยุตฺตา วา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ‘‘อริยมคฺคสมงฺคิสฺส สมฺมาทิฎฺฐิ มโคฺค เจว เหตุ จา’’ติอาทินา ปน วุตฺตนยํ ทเสฺสตุํ ‘‘สมฺมาทิฎฺฐิ สย’’นฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ ปน อสงฺคหิตสงฺคณฺหนวเสน ปฎิปาฎิยา ตโย นยา วุตฺตา, เหตุพหุตาวเสน ตติโย นโย อิธ ทุติโย วุโตฺตฯ
16. Paripuṇṇamaggakiccattā cattāro ariyamaggāva idha ‘‘maggā’’ti vuttā. Paccayaṭṭhenāti maggapaccayaṭṭhena. Nikkhepakaṇḍepi hi ye maggapaccayaṃ labhanti, na pana sayaṃ maggapaccayabhāvaṃ gacchanti, te maggahetukāti dassetuṃ ‘‘ariyamaggasamaṅgissa maggaṅgāni ṭhapetvā’’tiādi (dha. sa. 1039) vuttaṃ. Yo pana tattheva ‘‘ariyamaggasamaṅgissa alobho adoso amoho, ime dhammā maggahetū’’ti ādinayo vutto, taṃ dassetuṃ ‘‘maggasampayuttā vā’’tiādi vuttaṃ. ‘‘Ariyamaggasamaṅgissa sammādiṭṭhi maggo ceva hetu cā’’tiādinā pana vuttanayaṃ dassetuṃ ‘‘sammādiṭṭhi saya’’ntiādimāha. Tattha pana asaṅgahitasaṅgaṇhanavasena paṭipāṭiyā tayo nayā vuttā, hetubahutāvasena tatiyo nayo idha dutiyo vutto.
อภิภวิตฺวา ปวตฺตนเฎฺฐนาติ สหชาตาธิปติปิ ปุพฺพาภิสงฺขารวเสน เชฎฺฐกภาเว ปวตฺตมาโน สหชาเต อตฺตโน วเส อนุวตฺตยมาโน เต อภิภวิตฺวา ปวตฺตติ, อารมฺมณาธิปติปิ ตทารมฺมเณ ธเมฺม ตเถว อตฺตานํ อนุวตฺตยมาโน เต ธเมฺม อภิภวิตฺวา อารมฺมณภาเวน ปวตฺตติ, น ปจฺจุปฺปนฺนภาเวน, ตสฺมา อธิปติทฺวยมฺปิ สงฺคหิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ ‘‘มโคฺค อธิปติ เอเตส’’นฺติ อยญฺจ อโตฺถ นิเกฺขปกเณฺฑ อุทาหรณวเสน อาคตํ อตฺถนยํ คเหตฺวา วุโตฺตฯ ยสฺมา ปน ปฎฺฐาเน (ปฎฺฐา. ๒.๑๖.๑๑) ‘‘มคฺคาธิปติํ ธมฺมํ ปฎิจฺจ มคฺคาธิปติ ธโมฺม อุปฺปชฺชติ นาธิปติปจฺจยา, มคฺคาธิปตี ขเนฺธ ปฎิจฺจ มคฺคาธิปติ อธิปตี’’ติ วุตฺตํ, ตสฺมา มโคฺค อธิปติ มคฺคาธิปตีติ อยมฺปิ อโตฺถ ปาฬิยํ สรูเปกเสสวเสน สมานสทฺทตฺถวเสน วา สงฺคหิโตติ เวทิตโพฺพฯ
Abhibhavitvā pavattanaṭṭhenāti sahajātādhipatipi pubbābhisaṅkhāravasena jeṭṭhakabhāve pavattamāno sahajāte attano vase anuvattayamāno te abhibhavitvā pavattati, ārammaṇādhipatipi tadārammaṇe dhamme tatheva attānaṃ anuvattayamāno te dhamme abhibhavitvā ārammaṇabhāvena pavattati, na paccuppannabhāvena, tasmā adhipatidvayampi saṅgahitanti veditabbaṃ. ‘‘Maggo adhipati etesa’’nti ayañca attho nikkhepakaṇḍe udāharaṇavasena āgataṃ atthanayaṃ gahetvā vutto. Yasmā pana paṭṭhāne (paṭṭhā. 2.16.11) ‘‘maggādhipatiṃ dhammaṃ paṭicca maggādhipati dhammo uppajjati nādhipatipaccayā, maggādhipatī khandhe paṭicca maggādhipati adhipatī’’ti vuttaṃ, tasmā maggo adhipati maggādhipatīti ayampi attho pāḷiyaṃ sarūpekasesavasena samānasaddatthavasena vā saṅgahitoti veditabbo.
๑๗. อนุปฺปนฺนาติ เอเตน สโพฺพ อุปฺปนฺนภาโว ปฎิสิโทฺธ, น อุปฺปนฺนธมฺมภาโว เอวาติ เตน อุปฺปนฺนา วิคตา อตีตาปิ น สงฺคหิตาติ ทฎฺฐพฺพาฯ ยทิ หิ สงฺคหิตา สิยุํ, ‘‘อนุปฺปโนฺน ธโมฺม อุปฺปนฺนสฺส ธมฺมสฺส อนนฺตรปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติเอวมาทิ วุเจฺจยฺย, น ตุ วุตฺตนฺติฯ อนาคตานิ วิปากกฎตฺตารูปานิ อตีเต อนาคเต วา กเมฺม ปุริมนิปฺผเนฺน เอว อุปฺปชฺชิสฺสนฺติ , นานิปฺผเนฺนติ ปรินิฎฺฐิตการเณกเทสาเนว โหนฺติ, ตสฺมา ตานิ ‘‘อวสฺสํ อุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ อุปฺปาทิโน ธมฺมา’’ติ วุจฺจนฺติฯ
17. Anuppannāti etena sabbo uppannabhāvo paṭisiddho, na uppannadhammabhāvo evāti tena uppannā vigatā atītāpi na saṅgahitāti daṭṭhabbā. Yadi hi saṅgahitā siyuṃ, ‘‘anuppanno dhammo uppannassa dhammassa anantarapaccayena paccayo’’tievamādi vucceyya, na tu vuttanti. Anāgatāni vipākakaṭattārūpāni atīte anāgate vā kamme purimanipphanne eva uppajjissanti , nānipphanneti pariniṭṭhitakāraṇekadesāneva honti, tasmā tāni ‘‘avassaṃ uppajjissantīti uppādino dhammā’’ti vuccanti.
๑๘. อตฺตโน สภาวนฺติ กกฺขฬผุสนาทิสภาวํฯ
18. Attano sabhāvanti kakkhaḷaphusanādisabhāvaṃ.
๒๐. เอวํ ปวตฺตมานาติ เอวํ จกฺขาทิภาเวน ผุสนาทิภาเวน จ เอกสนฺตติปริยาปนฺนตาวเสน ปวตฺตมานาฯ อตฺตานํ อธิ อชฺฌตฺตาติ อธิ-สโทฺท สมาสวิสเย อธิการตฺถํ ปวตฺติอตฺถญฺจ คเหตฺวา ปวตฺตตีติ อตฺตานํ อธิกิจฺจ อุทฺทิสฺส ปวตฺตา อชฺฌตฺตาฯ เตนาติ ยสฺส ฌานา วุฎฺฐหิตฺวา อชฺฌตฺตํ พหิทฺธา อชฺฌตฺตพหิทฺธา จ สุญฺญตํ อาเนญฺชญฺจ มนสิกโรโต อชฺฌตฺตสุญฺญตาทีสุ จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ น ปสีทติ น สนฺติฎฺฐติ นาธิมุจฺจติ, โย จ อิติห ตตฺถ สมฺปชาโน, เตน ภิกฺขุนาฯ ตสฺมิํเยว ปุริมสฺมิํ สมาธินิมิเตฺตติ ปฐมชฺฌานาทิสมาธินิมิเตฺตฯ อชฺฌตฺตเมวาติ ฌานโคจเร กสิณาทิมฺหิฯ จิตฺตํ สณฺฐเปตพฺพนฺติ ปฐมชฺฌานาทิจิตฺตํ สณฺฐเปตพฺพํฯ อชฺฌตฺตรโตติ โคจรชฺฌเตฺต นิพฺพาเน รโต, สมาธิโคจเร กมฺมฎฺฐาเน วา รโตฯ ‘‘สมาหิโต เอโก สนฺตุสิโต ตมาหุ ภิกฺขุ’’นฺติ (ธ. ป. ๓๖๒) คาถาเสโสฯ
20. Evaṃ pavattamānāti evaṃ cakkhādibhāvena phusanādibhāvena ca ekasantatipariyāpannatāvasena pavattamānā. Attānaṃ adhi ajjhattāti adhi-saddo samāsavisaye adhikāratthaṃ pavattiatthañca gahetvā pavattatīti attānaṃ adhikicca uddissa pavattā ajjhattā. Tenāti yassa jhānā vuṭṭhahitvā ajjhattaṃ bahiddhā ajjhattabahiddhā ca suññataṃ āneñjañca manasikaroto ajjhattasuññatādīsu cittaṃ na pakkhandati na pasīdati na santiṭṭhati nādhimuccati, yo ca itiha tattha sampajāno, tena bhikkhunā. Tasmiṃyeva purimasmiṃ samādhinimitteti paṭhamajjhānādisamādhinimitte. Ajjhattamevāti jhānagocare kasiṇādimhi. Cittaṃ saṇṭhapetabbanti paṭhamajjhānādicittaṃ saṇṭhapetabbaṃ. Ajjhattaratoti gocarajjhatte nibbāne rato, samādhigocare kammaṭṭhāne vā rato. ‘‘Samāhito eko santusito tamāhu bhikkhu’’nti (dha. pa. 362) gāthāseso.
อชฺฌตฺตํ สมฺปสาทนนฺติ เอตฺถ ฌานํ สกสนฺตติปริยาปนฺนตฺตา ‘‘อชฺฌตฺต’’นฺติ วุตฺตนฺติ นิยกชฺฌตฺตโตฺถ อชฺฌตฺต-สโทฺท โหติฯ อชฺฌตฺตนฺติ สกสนฺตตินิยกํฯ อชฺฌเตฺต ภวา อชฺฌตฺติกาติ นิยกชฺฌเตฺตสุปิ อพฺภนฺตรา จกฺขาทโย วุจฺจนฺติฯ เอตฺถ ปน อชฺฌตฺติก-สโทฺท จกฺขาทีสุ ปวตฺตมาโน ทสฺสิโต , น อชฺฌตฺตสโทฺท, อตฺถิ จ อชฺฌตฺตอชฺฌตฺติกสทฺทานํ พหิทฺธาพาหิร-สทฺทานํ วิย วิเสโสฯ อชฺฌตฺติกสโทฺท หิ สปรสนฺตานิเกสุ สเพฺพสุ จกฺขาทีสุ รูปาทีสุ พาหิร-สโทฺท วิย ปวตฺตติ, อชฺฌตฺต-สโทฺท ปน สกสนฺตานิเกเสฺวว จกฺขุรูปาทีสุ ตโต อเญฺญเสฺวว พหิทฺธา-สโทฺท วิย ปวตฺตตีติ ตสฺมา สทฺทโต อตฺถโต จ อสมานตฺตา น อิทเมตฺถ อุทาหรณํ ยุตฺตนฺติฯ อยํ ปเนตฺถ อธิปฺปาโย ทฎฺฐโพฺพ – อชฺฌเตฺต ภวา อชฺฌตฺติกาติ อยญฺหิ วจนโตฺถฯ ยญฺจ อชฺฌเตฺต ภวํ, เตน อชฺฌเตฺตเนว ภวิตพฺพํ, เตน ตํวาจกสฺส อชฺฌตฺต-สทฺทสฺส อชฺฌตฺติก-สทฺทสฺส จ สมานตฺถตาฯ อุภินฺนมฺปิ สทฺทานํ สมานตฺถภาวโต อชฺฌตฺตชฺฌเตฺต ปวตฺตมาเน อชฺฌตฺติก-สเทฺท อชฺฌตฺต-สโทฺท ตตฺถ ปวโตฺตติ สกฺกา วตฺตุนฺติฯ
Ajjhattaṃ sampasādananti ettha jhānaṃ sakasantatipariyāpannattā ‘‘ajjhatta’’nti vuttanti niyakajjhattattho ajjhatta-saddo hoti. Ajjhattanti sakasantatiniyakaṃ. Ajjhatte bhavā ajjhattikāti niyakajjhattesupi abbhantarā cakkhādayo vuccanti. Ettha pana ajjhattika-saddo cakkhādīsu pavattamāno dassito , na ajjhattasaddo, atthi ca ajjhattaajjhattikasaddānaṃ bahiddhābāhira-saddānaṃ viya viseso. Ajjhattikasaddo hi saparasantānikesu sabbesu cakkhādīsu rūpādīsu bāhira-saddo viya pavattati, ajjhatta-saddo pana sakasantānikesveva cakkhurūpādīsu tato aññesveva bahiddhā-saddo viya pavattatīti tasmā saddato atthato ca asamānattā na idamettha udāharaṇaṃ yuttanti. Ayaṃ panettha adhippāyo daṭṭhabbo – ajjhatte bhavā ajjhattikāti ayañhi vacanattho. Yañca ajjhatte bhavaṃ, tena ajjhatteneva bhavitabbaṃ, tena taṃvācakassa ajjhatta-saddassa ajjhattika-saddassa ca samānatthatā. Ubhinnampi saddānaṃ samānatthabhāvato ajjhattajjhatte pavattamāne ajjhattika-sadde ajjhatta-saddo tattha pavattoti sakkā vattunti.
อยํ โข ปนานนฺท, วิหาโรติ วิหารสุญฺญตาสุเตฺต (ม. นิ. ๓.๑๘๗) สงฺคณิการามตาย รูปาทิรติยา จ อาทีนวํ วตฺวา ตปฺปฎิปกฺขวิหารทสฺสนตฺถํ วุตฺตํฯ อชฺฌตฺตํ สุญฺญตนฺติ วิสยภูตํ อิสฺสริยฎฺฐานภูตํ สุญฺญตํ, สุญฺญตาผลสมาปตฺตินฺติ อโตฺถฯ จิตฺติสฺสรา หิ พุทฺธา ภควโนฺต ธมฺมํ เทเสนฺตาปิ ยํ มุหุตฺตํ ตุณฺหี ภวิตพฺพํ โหติ, ตํ มุหุตฺตํ ผลสมาปตฺติํ สมาปชฺชนฺติ, ปเคว อญฺญสฺมิํ กาเล, ตสฺมา สพฺพตฺถาปิ อิสฺสริยานํ พหุลํ ผลสมาปตฺติยํ อิสฺสริยสฺส ปวตฺตนโต ผลสมาปตฺติ ‘‘อิสฺสริยฎฺฐาน’’นฺติ วุตฺตาฯ อรหตฺตผลาธิคเมน วา ตถาคตานํ อิสฺสริยํ นิพฺพตฺตํ ตํชนเกเนว มเคฺคนาติ ตํ เตสํ อิสฺสริยฎฺฐานํฯ วิสโย จ อนญฺญตฺถภาโวว ยถา ‘‘อากาเส สกุณา อุทเก มจฺฉา’’ติ, พุทฺธา จ อญฺญตฺถ ทิสฺสมานาปิ วิเวกปพฺภารตาย ผลสมาปตฺตินินฺนาว, เตน ตสฺสา ตสฺสา กิริยาย อนนฺตรํ ผลสมาปตฺติยํเยว ภวนฺตีติ สา เตสํ วิสโย, ตพฺพิสยตา จ สจฺจกสุเตฺตน (ม. นิ. ๑.๓๖๔ อาทโย) ทีเปตพฺพาฯ
Ayaṃkho panānanda, vihāroti vihārasuññatāsutte (ma. ni. 3.187) saṅgaṇikārāmatāya rūpādiratiyā ca ādīnavaṃ vatvā tappaṭipakkhavihāradassanatthaṃ vuttaṃ. Ajjhattaṃ suññatanti visayabhūtaṃ issariyaṭṭhānabhūtaṃ suññataṃ, suññatāphalasamāpattinti attho. Cittissarā hi buddhā bhagavanto dhammaṃ desentāpi yaṃ muhuttaṃ tuṇhī bhavitabbaṃ hoti, taṃ muhuttaṃ phalasamāpattiṃ samāpajjanti, pageva aññasmiṃ kāle, tasmā sabbatthāpi issariyānaṃ bahulaṃ phalasamāpattiyaṃ issariyassa pavattanato phalasamāpatti ‘‘issariyaṭṭhāna’’nti vuttā. Arahattaphalādhigamena vā tathāgatānaṃ issariyaṃ nibbattaṃ taṃjanakeneva maggenāti taṃ tesaṃ issariyaṭṭhānaṃ. Visayo ca anaññatthabhāvova yathā ‘‘ākāse sakuṇā udake macchā’’ti, buddhā ca aññattha dissamānāpi vivekapabbhāratāya phalasamāpattininnāva, tena tassā tassā kiriyāya anantaraṃ phalasamāpattiyaṃyeva bhavantīti sā tesaṃ visayo, tabbisayatā ca saccakasuttena (ma. ni. 1.364 ādayo) dīpetabbā.
๒๒. เยสํ ทฎฺฐพฺพภาโว อตฺถิ, เต สนิทสฺสนาฯ จกฺขุวิญฺญาณโคจรภาโวว ทฎฺฐพฺพภาโว, ตสฺส รูปายตนา อนญฺญเตฺตปิ อเญฺญหิ ธเมฺมหิ รูปายตนํ วิเสเสตุํ อญฺญํ วิย กตฺวา ‘‘สห นิทสฺสเนนาติ สนิทสฺสนา’’ติ วุตฺตํฯ ธมฺมสภาวสามเญฺญน หิ เอกีภูเตสุ ธเมฺมสุ โย นานตฺตกโร สภาโว, โส อโญฺญ วิย กตฺวา อุปจริตุํ ยุโตฺต ฯ เอวญฺหิ อตฺถวิเสสาวโพโธ โหตีติฯ สยญฺจ นิสฺสยวเสน จ สมฺปตฺตานํ อสมฺปตฺตานญฺจ ปฎิมุขภาโว อญฺญมญฺญปตนํ ปฎิหนนภาโว, เยน พฺยาปาราทิวิการปจฺจยนฺตรสหิเตสุ จกฺขาทีนํ วิสเยสุ วิการุปฺปตฺติฯ
22. Yesaṃ daṭṭhabbabhāvo atthi, te sanidassanā. Cakkhuviññāṇagocarabhāvova daṭṭhabbabhāvo, tassa rūpāyatanā anaññattepi aññehi dhammehi rūpāyatanaṃ visesetuṃ aññaṃ viya katvā ‘‘saha nidassanenāti sanidassanā’’ti vuttaṃ. Dhammasabhāvasāmaññena hi ekībhūtesu dhammesu yo nānattakaro sabhāvo, so añño viya katvā upacarituṃ yutto . Evañhi atthavisesāvabodho hotīti. Sayañca nissayavasena ca sampattānaṃ asampattānañca paṭimukhabhāvo aññamaññapatanaṃ paṭihananabhāvo, yena byāpārādivikārapaccayantarasahitesu cakkhādīnaṃ visayesu vikāruppatti.
ติกมาติกาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Tikamātikāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / ๑. ติกมาติกา • 1. Tikamātikā
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā / ติกมาติกาปทวณฺณนา • Tikamātikāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / ติกมาติกาปทวณฺณนา • Tikamātikāpadavaṇṇanā