Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā |
๑. จิตฺตุปฺปาทกณฺฑํ
1. Cittuppādakaṇḍaṃ
ติกมาติกาปทวณฺณนา
Tikamātikāpadavaṇṇanā
๑. เตนาติ เวทนาสเทฺทนฯ สพฺพปเทหีติ ตีหิ ปเทหิ ลทฺธนาโม โหติ อวยวธเมฺมนาปิ สมุทายสฺส อปทิสิตพฺพโต ยถา ‘‘สมํ จุณฺณ’’นฺติฯ โจทโก ยถาธิเปฺปตมตฺถํ อปฺปฎิปชฺชมาโน วิภตฺติอนฺตเสฺสว ปทภาวํ สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘นนุ สุขายา’’ติอาทินา โจเทติฯ อิตโร ‘‘อธิเปฺปตปฺปการตฺถคมกสฺสา’’ติอาทินา อตฺตโน อธิปฺปายํ วิวรติฯ เตน ‘‘วากฺยํ อิธ ปทนฺติ วุตฺต’’นฺติ ทเสฺสติฯ เหตุปทสเหตุกปทาทีหีติ อาทิ-สเทฺทน นเหตุปทอเหตุกปทเหตุสมฺปยุตฺตปทานิ เหตุวิปฺปยุตฺตปทมฺปิ วา สงฺคณฺหาติฯ
1. Tenāti vedanāsaddena. Sabbapadehīti tīhi padehi laddhanāmo hoti avayavadhammenāpi samudāyassa apadisitabbato yathā ‘‘samaṃ cuṇṇa’’nti. Codako yathādhippetamatthaṃ appaṭipajjamāno vibhattiantasseva padabhāvaṃ sallakkhetvā ‘‘nanu sukhāyā’’tiādinā codeti. Itaro ‘‘adhippetappakāratthagamakassā’’tiādinā attano adhippāyaṃ vivarati. Tena ‘‘vākyaṃ idha padanti vutta’’nti dasseti. Hetupadasahetukapadādīhīti ādi-saddena nahetupadaahetukapadahetusampayuttapadāni hetuvippayuttapadampi vā saṅgaṇhāti.
อุภเยกปทวเสนาติ อุภยปทวเสน เหตุทุกสมฺพโนฺธ, เอกปทวเสน สเหตุกทุกสมฺพโนฺธฯ ตถาติ อุภเยกปทวเสนฯ เอตฺถ จ สเหตุกเหตุสมฺปยุตฺตทุกาติอาทินา ยถา เหตุโคจฺฉเก ปฐมทุกสมฺพนฺธา ทุติยตติยทุกา, ปฐมทุกทุติยทุกสมฺพนฺธา จตุตฺถฉฎฺฐทุกา, ปฐมทุกตติยทุกสมฺพโนฺธ ปญฺจโม ทุโก, เอวํ อาสวโคจฺฉกาทีสุปีติ นยํ ทเสฺสติฯ สกฺกา หิ อิมินาว นเยน เตสุปิ ทุกนฺตรสมฺพโนฺธ วิญฺญาตุํ, เกวลํ ปน อาสวโคจฺฉกาทีสุ ทุติยทุกตติยทุกสมฺพโนฺธ โอสานทุโก, กิเลสโคจฺฉเก จ ทุติยจตุตฺถทุกสมฺพโนฺธติฯ ธมฺมานํ สาวเสสนิรวเสสภาเวน ติกทุกานํ สปฺปเทสนิปฺปเทสตา วุตฺตาติ เยหิ ติกทุกา สาวเสสาติ ปทิสฺสนฺติ อปทิสฺสนฺติ, เต อสงฺคหิตธมฺมาปเทโสฯ เอวํ สติ ‘‘อสงฺคหิโต’’ติ วิเสสนํ กิมตฺถิยนฺติ? เอตเสฺสวตฺถสฺส ปากฎกรณตฺถํ ทฎฺฐพฺพํฯ อถ วา ปทิสฺสติ เอเตน สมุทาโยติ ปเทโส, อวยโวฯ ‘‘สามญฺญโชตนา วิเสเส อวติฎฺฐตี’’ติ ยถาธิเปฺปตํ วิเสสํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อสงฺคหิโต’’ติ อาหฯ
Ubhayekapadavasenāti ubhayapadavasena hetudukasambandho, ekapadavasena sahetukadukasambandho. Tathāti ubhayekapadavasena. Ettha ca sahetukahetusampayuttadukātiādinā yathā hetugocchake paṭhamadukasambandhā dutiyatatiyadukā, paṭhamadukadutiyadukasambandhā catutthachaṭṭhadukā, paṭhamadukatatiyadukasambandho pañcamo duko, evaṃ āsavagocchakādīsupīti nayaṃ dasseti. Sakkā hi imināva nayena tesupi dukantarasambandho viññātuṃ, kevalaṃ pana āsavagocchakādīsu dutiyadukatatiyadukasambandho osānaduko, kilesagocchake ca dutiyacatutthadukasambandhoti. Dhammānaṃ sāvasesaniravasesabhāvena tikadukānaṃ sappadesanippadesatā vuttāti yehi tikadukā sāvasesāti padissanti apadissanti, te asaṅgahitadhammāpadeso. Evaṃ sati ‘‘asaṅgahito’’ti visesanaṃ kimatthiyanti? Etassevatthassa pākaṭakaraṇatthaṃ daṭṭhabbaṃ. Atha vā padissati etena samudāyoti padeso, avayavo. ‘‘Sāmaññajotanā visese avatiṭṭhatī’’ti yathādhippetaṃ visesaṃ dassento ‘‘asaṅgahito’’ti āha.
อนวชฺชโตฺถ อวชฺชวิรหโตฺถฯ นามํ สญฺญา, กิริยา กรณํ, ปโยชนํ รถรถงฺควิภาวเนน เตสํ ปการโต โยชนํฯ กุเสน ญาเณน ลาตพฺพาติ กุสลาติ อยมโตฺถ ญาณสมฺปยุตฺตานํ ตาว โหตุ, ญาณวิปฺปยุตฺตานํ กถนฺติ อาห ‘‘ญาณวิปฺปยุตฺตานมฺปี’’ติอาทิฯ ญาณวิปฺปยุตฺตาปิ หิ ญาเณเนว ปวตฺติยนฺติ หิตสุขเหตุภูตาย ปวตฺติยา ปญฺญวนฺตานํ ปฎิปตฺติภาวโตฯ น หิ อนฺตเรน โยนิโสมนสิการํ กุสลุปฺปตฺติ อตฺถีติฯ ‘‘ยทิ กุสลสฺส อุภยภาคคตํ สํกิเลสลวนํ ปากฎํ สิยา, กุสา วิย ลุนนฺตีติ กุสลาติ อยมโตฺถ ยุโตฺต สิยา’’ติ โกจิ วเทยฺยาติ อาสงฺกาย อาห ‘‘สมฺมปฺปธานทฺวยํ วิยา’’ติฯ
Anavajjattho avajjavirahattho. Nāmaṃ saññā, kiriyā karaṇaṃ, payojanaṃ ratharathaṅgavibhāvanena tesaṃ pakārato yojanaṃ. Kusena ñāṇena lātabbāti kusalāti ayamattho ñāṇasampayuttānaṃ tāva hotu, ñāṇavippayuttānaṃ kathanti āha ‘‘ñāṇavippayuttānampī’’tiādi. Ñāṇavippayuttāpi hi ñāṇeneva pavattiyanti hitasukhahetubhūtāya pavattiyā paññavantānaṃ paṭipattibhāvato. Na hi antarena yonisomanasikāraṃ kusaluppatti atthīti. ‘‘Yadi kusalassa ubhayabhāgagataṃ saṃkilesalavanaṃ pākaṭaṃ siyā, kusā viya lunantīti kusalāti ayamattho yutto siyā’’ti koci vadeyyāti āsaṅkāya āha ‘‘sammappadhānadvayaṃ viyā’’ti.
น จาติอาทินา ‘‘สภาวํ ธาเรนฺตี’’ติ เอตฺถ ปรมตฺถโต กตฺตุกมฺมสฺส จ เภโท นตฺถิ, กปฺปนาสิโทฺธ เอว ปน เภโทติ ทเสฺสติฯ ตตฺถ นามวเสน วิญฺญาตาวิญฺญาเตติ เยสํ ‘‘ธมฺมา’’ติ อิมินา ปริยาเยน อวิญฺญาตา สภาวา, ‘‘สภาวํ ธาเรนฺตี’’ติ อิมินา จ ปริยาเยน วิญฺญาตา, เตสํ วเสน เอวํ วุตฺตํฯ เอตฺถ จ ปฐโม อโตฺถ สงฺขตาสงฺขตธมฺมวเสน วุโตฺต, ทุติโย สงฺขตวเสน, ตติโย สงฺขตาสงฺขตปญฺญตฺติธมฺมวเสนาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Na cātiādinā ‘‘sabhāvaṃ dhārentī’’ti ettha paramatthato kattukammassa ca bhedo natthi, kappanāsiddho eva pana bhedoti dasseti. Tattha nāmavasena viññātāviññāteti yesaṃ ‘‘dhammā’’ti iminā pariyāyena aviññātā sabhāvā, ‘‘sabhāvaṃ dhārentī’’ti iminā ca pariyāyena viññātā, tesaṃ vasena evaṃ vuttaṃ. Ettha ca paṭhamo attho saṅkhatāsaṅkhatadhammavasena vutto, dutiyo saṅkhatavasena, tatiyo saṅkhatāsaṅkhatapaññattidhammavasenāti daṭṭhabbaṃ.
กุสลปฎิเสธนํ กุสลาภาโว เอวฯ อภาโว หิ สตฺตาปฎิเสโธติฯ ธโมฺมติ สภาวธโมฺมฯ อกุสลวจเนน น โกจิ อโตฺถ สภาวธมฺมสฺส อโพธกตฺตาติ อธิปฺปาโยฯ อถ สิยา อกุสลวจเนน โกจิ อโตฺถ อสภาวธมฺมโพธกเตฺตปิ ‘‘ปญฺญตฺติธมฺมา’’ติอาทีสุ วิย, เอวํ สติ ‘‘อนพฺยากตา’’ติ จ วตฺตพฺพํ สิยา, ตโต จายํ จตุโกฺก อาปชฺชติ, น ติโกฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ทุกจตุกฺกภาโว อนพฺยากตโวหาโร จ นตฺถิ, โส จ วุตฺตนเยน อภาวมตฺตวจเน อาปชฺชติ, ตสฺมาฯ สภาวธารณาทีติ อาทิ-สเทฺทน ‘‘ธารียนฺติ ปจฺจเยหี’’ติ อยมโตฺถ สงฺคหิโตฯ เญยฺยปริยาเยน ปน ธมฺม-สเทฺทนายํ โทโสติ นนุ อเญยฺยปริยาเยปิ ธมฺม-สเทฺท น โกจิ โทโสติ? น, วุตฺตโทสานติวตฺตนโตฯ
Kusalapaṭisedhanaṃ kusalābhāvo eva. Abhāvo hi sattāpaṭisedhoti. Dhammoti sabhāvadhammo. Akusalavacanena na koci attho sabhāvadhammassa abodhakattāti adhippāyo. Atha siyā akusalavacanena koci attho asabhāvadhammabodhakattepi ‘‘paññattidhammā’’tiādīsu viya, evaṃ sati ‘‘anabyākatā’’ti ca vattabbaṃ siyā, tato cāyaṃ catukko āpajjati, na tiko. Tasmāti yasmā dukacatukkabhāvo anabyākatavohāro ca natthi, so ca vuttanayena abhāvamattavacane āpajjati, tasmā. Sabhāvadhāraṇādīti ādi-saddena ‘‘dhārīyanti paccayehī’’ti ayamattho saṅgahito. Ñeyyapariyāyena pana dhamma-saddenāyaṃ dosoti nanu añeyyapariyāyepi dhamma-sadde na koci dosoti? Na, vuttadosānativattanato.
ปาริเสเสนาติ เอตฺถ นนุ อยมกาโร น-อตฺถตฺตยเสฺสว โชตโก, อถ โข ‘‘อเหตุกา ธมฺมา, อภิกฺขุโก อาวาโส’’ติ ตํโยคนิวตฺติยา, ‘‘อปฺปจฺจยา ธมฺมา’’ติ ตํสมฺพนฺธิภาวนิวตฺติยาฯ ปจฺจยุปฺปนฺนญฺหิ ปจฺจยสมฺพนฺธีติ อปฺปจฺจยุปฺปนฺนตฺตา อสมฺพนฺธิตา เอตฺถ โชตียติฯ ‘‘อนิทสฺสนา ธมฺมา’’ติ ตํสภาวนิวตฺติยาฯ นิทสฺสนญฺหิ ทฎฺฐพฺพตาฯ อถ จกฺขุวิญฺญาณํ นิทสฺสนํ, ตคฺคยฺหภาวนิวตฺติยา, ตถา ‘‘อนาสวา ธมฺมา’’ติฯ ‘‘อปฺปฎิฆา ธมฺมา อนารมฺมณา ธมฺมา’’ติ ตํกิจฺจนิวตฺติยาฯ ‘‘อรูปิโน ธมฺมา อเจตสิกา ธมฺมา’’ติ ตพฺภาวนิวตฺติยาฯ ตทญฺญตา หิ เอตฺถ ปกาสียติฯ ‘‘อมนุโสฺส’’ติ ตพฺภาวมตฺตนิวตฺติยาฯ มนุสฺสตฺตมตฺตํ นตฺถิ อญฺญํ สมานนฺติ สทิสตา เหตฺถ สูจิยติฯ ‘‘อสมโณ สมณปฎิโญฺญ อปุโตฺต’’ติ ตํสมฺภาวนคุณนิวตฺติยาฯ ครหา หิ เอตฺถ ญายติฯ ‘‘กจฺจิ นุ โภโต อนามยา, อนุทรา กญฺญา’’ติ ตทปฺปภาวนิวตฺติยาฯ ‘‘อนุปฺปนฺนา ธมฺมา’’ติ ตํสทิสภาวนิวตฺติยาฯ อตีตานญฺหิ อุปฺปนฺนปุพฺพตฺตา อุปาทิธมฺมานญฺจ ปจฺจเยกเทสนิปฺผตฺติยา อารทฺธุปฺปาทภาวโต กาลวินิมุตฺตสฺส จ วิชฺชมานตฺตา อุปฺปนฺนานุกูลตา, ปเคว ปจฺจุปฺปนฺนานนฺติ ตพฺพิธุรภาโว เอตฺถ วิญฺญายติฯ ‘‘อเสกฺขา ธมฺมา’’ติ ตทปริโยสานนิวตฺติยาฯ ตํนิฎฺฐานเญฺหตฺถ ปกาสียตีติ เอวมเนเกสํ อตฺถานํ โชตโก, ตตฺถ กิํ วุจฺจเต อตฺถทฺวยเมว วตฺวา ปาริเสเสนาติ? อิตเรสํ เอตฺถ สุวิทูรภาวโตฯ น หิ กุสลวิปฺปยุตฺตาทีนํ ธมฺมานํ อกุสลภาโว ยุชฺชติฯ
Pārisesenāti ettha nanu ayamakāro na-atthattayasseva jotako, atha kho ‘‘ahetukā dhammā, abhikkhuko āvāso’’ti taṃyoganivattiyā, ‘‘appaccayā dhammā’’ti taṃsambandhibhāvanivattiyā. Paccayuppannañhi paccayasambandhīti appaccayuppannattā asambandhitā ettha jotīyati. ‘‘Anidassanā dhammā’’ti taṃsabhāvanivattiyā. Nidassanañhi daṭṭhabbatā. Atha cakkhuviññāṇaṃ nidassanaṃ, taggayhabhāvanivattiyā, tathā ‘‘anāsavā dhammā’’ti. ‘‘Appaṭighā dhammā anārammaṇā dhammā’’ti taṃkiccanivattiyā. ‘‘Arūpino dhammā acetasikā dhammā’’ti tabbhāvanivattiyā. Tadaññatā hi ettha pakāsīyati. ‘‘Amanusso’’ti tabbhāvamattanivattiyā. Manussattamattaṃ natthi aññaṃ samānanti sadisatā hettha sūciyati. ‘‘Asamaṇo samaṇapaṭiñño aputto’’ti taṃsambhāvanaguṇanivattiyā. Garahā hi ettha ñāyati. ‘‘Kacci nu bhoto anāmayā, anudarā kaññā’’ti tadappabhāvanivattiyā. ‘‘Anuppannā dhammā’’ti taṃsadisabhāvanivattiyā. Atītānañhi uppannapubbattā upādidhammānañca paccayekadesanipphattiyā āraddhuppādabhāvato kālavinimuttassa ca vijjamānattā uppannānukūlatā, pageva paccuppannānanti tabbidhurabhāvo ettha viññāyati. ‘‘Asekkhā dhammā’’ti tadapariyosānanivattiyā. Taṃniṭṭhānañhettha pakāsīyatīti evamanekesaṃ atthānaṃ jotako, tattha kiṃ vuccate atthadvayameva vatvā pārisesenāti? Itaresaṃ ettha suvidūrabhāvato. Na hi kusalavippayuttādīnaṃ dhammānaṃ akusalabhāvo yujjati.
อกุสลสทฺทสฺส อุจฺจารณานนฺตรํ วิเนยฺยานํ กุสลปฎิปกฺขภูเต อเตฺถ ปฎิปตฺติภาวโต ตตฺถ นิรุฬฺหตา ทฎฺฐพฺพาฯ ‘‘วิรุทฺธสภาวตฺตา’’ติ วุตฺตํ กิจฺจวิโรธาทีนมฺปิ ตทโนฺตคธตฺตา, วิรุทฺธสภาวเตฺตปิ วินาสกวินาสิตพฺพภาโว กุสลากุสเลสุ นิยโตติ ทเสฺสตุํ ‘‘ตปฺปเหยฺยภาวโต’’ติ อาหฯ อิตรถา กุสลานมฺปิ อกุสเลหิ ปหาตพฺพภาเว อจฺจนฺตํ สมุจฺฉินฺนกุสลมูลตฺตา อปายปูรกา เอว สตฺตา สิยุํฯ ยํ ปน ‘‘ธมฺมาปิ โว, ภิกฺขเว, ปหาตพฺพา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๔๐) วุตฺตํ, ตํ ‘‘รูปํ, ภิกฺขเว, น ตุมฺหากํ, ตํ ปชหถา’’ติอาทีสุ (สํ. นิ. ๓.๓๓) วิย ตทารมฺมณสํกิเลสปฺปหานวเสน ปริยาเยน วุตฺตํฯ ยถาห ‘‘น หิ กุสลา อกุสเลหิ ปหาตพฺพา’’ติ (ธ. ส. มูลฎี ๑)ฯ
Akusalasaddassa uccāraṇānantaraṃ vineyyānaṃ kusalapaṭipakkhabhūte atthe paṭipattibhāvato tattha niruḷhatā daṭṭhabbā. ‘‘Viruddhasabhāvattā’’ti vuttaṃ kiccavirodhādīnampi tadantogadhattā, viruddhasabhāvattepi vināsakavināsitabbabhāvo kusalākusalesu niyatoti dassetuṃ ‘‘tappaheyyabhāvato’’ti āha. Itarathā kusalānampi akusalehi pahātabbabhāve accantaṃ samucchinnakusalamūlattā apāyapūrakā eva sattā siyuṃ. Yaṃ pana ‘‘dhammāpi vo, bhikkhave, pahātabbā’’ti (ma. ni. 1.240) vuttaṃ, taṃ ‘‘rūpaṃ, bhikkhave, na tumhākaṃ, taṃ pajahathā’’tiādīsu (saṃ. ni. 3.33) viya tadārammaṇasaṃkilesappahānavasena pariyāyena vuttaṃ. Yathāha ‘‘na hi kusalā akusalehi pahātabbā’’ti (dha. sa. mūlaṭī 1).
ผสฺสาทิวจเนหิ ตํนิเทฺทสภูเตหิฯ ตพฺพจนียภาเวนาติ เตหิ ‘‘สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธมฺมา’’ติอาทิวจเนหิ อภิเธยฺยภาเวนฯ ยถา อนวชฺชสุขวิปากาทิอตฺถา กุสลาทิวจเนหิ, เอวํ อวิปากตฺถา อพฺยากตวจเนน โพธิตา เอวาติ อาห ‘‘อพฺยากตวจเนเนว จา’’ติฯ การณํ อวตฺวาติ อิธ วุตฺตภาเวน อนุวตฺตมานตฺตาติ การณํ อวตฺวาฯ อญฺญา…เป.… นิวาเรตโพฺพติ เอเตน กุสลากุสลสทฺทา วิย กุสลากุสลสภาวานํ ตทุภยวิปรีตสภาวานํ ธมฺมานํ อพฺยากตสโทฺท โพธโกติ ทเสฺสติฯ น หิ อวิปากวจนํ วุตฺตํ, อกุสลวจนญฺจ อวุตฺตํฯ ยโต อวิปากวจนสฺส อธิกตภาโว อกุสลสฺส จ ตพฺพจนียภาเวน อกถิตภาโว สิยา, ตสฺมา น อกุสลานํ อพฺยากตตาติ อยํ อกุสลานํ อนพฺยากตภาเว โยชนาฯ
Phassādivacanehi taṃniddesabhūtehi. Tabbacanīyabhāvenāti tehi ‘‘sukhāya vedanāya sampayuttā dhammā’’tiādivacanehi abhidheyyabhāvena. Yathā anavajjasukhavipākādiatthā kusalādivacanehi, evaṃ avipākatthā abyākatavacanena bodhitā evāti āha ‘‘abyākatavacaneneva cā’’ti. Kāraṇaṃ avatvāti idha vuttabhāvena anuvattamānattāti kāraṇaṃ avatvā. Aññā…pe… nivāretabboti etena kusalākusalasaddā viya kusalākusalasabhāvānaṃ tadubhayaviparītasabhāvānaṃ dhammānaṃ abyākatasaddo bodhakoti dasseti. Na hi avipākavacanaṃ vuttaṃ, akusalavacanañca avuttaṃ. Yato avipākavacanassa adhikatabhāvo akusalassa ca tabbacanīyabhāvena akathitabhāvo siyā, tasmā na akusalānaṃ abyākatatāti ayaṃ akusalānaṃ anabyākatabhāve yojanā.
ตํ ปริหริตุนฺติ อพฺยากตนิวตฺตนมาหฯ ยทิ เอวํ ‘‘สุขวิปากานวชฺชา’’ติ วตฺตพฺพํฯ อนวชฺชา หิ พฺยภิจาริตาย วิเสสิตพฺพาติ? น, สุขวิปากวจนสฺส วิเสสนภาเวน อคฺคหิตตฺตาฯ สุขวิปากวจเนน หิ กุสลภาเว สมโตฺต วิญฺญายติ, อนวชฺชวจนํ ปเนตฺถ กุสลานํ อครหิตพฺพตาสงฺขาตํ กญฺจิ วิเสสมาหฯ เตเนว จ ตสฺส วิเสสนภาเวน วุตฺตสฺส ปวตฺติสุขตาทิทสฺสนภาวํ สยเมว วกฺขตีติฯ มโนสมาจารวิเสสภูตา ผลธมฺมา วิเสเสน ปฎิปฺปสฺสทฺธาวชฺชา นาม โหนฺตีติ สมาจารตฺตยวเสน ตสฺมิํ สุเตฺต อนวชฺชธมฺมานํ วุตฺตตฺตา จ เต อนวเสสโต สงฺคเหตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘วิรหิตาวชฺชมตฺตา’’ติ วุตฺตํฯ อวชฺชวินาสนภาโว ทสฺสิโต กณฺหสุกฺกธมฺมานํ วชฺฌฆาตกภาวสฺส นิยตตฺตาฯ สวิปากตา วิปากธมฺมตาฯ สุโข วิปาโก เอเตสนฺติ สุขวิปากาติ อิมินา สมาเสน กุสลานํ สุขวิปากวนฺตตา วุตฺตาฯ สา จ เนสํ น ตํสมงฺคิตาย อสหวตฺตนโตติ ตทุปฺปาทนสมตฺถตาติ วิญฺญายตีติ วุตฺตํ ‘‘สุขวิปากวิปจฺจนสภาวํ ทเสฺสตี’’ติฯ ยุตฺตเมตนฺติ ปรมตฺถโต เภทาภาเวปิ ยถาวุตฺตวจนวจนียภาวสงฺขาโต เภโท ตสฺมิํ อภิเธยฺยตฺถภูเต วตฺถุสฺมิํ อุปจาเรน โหตีติ ยุตฺตเมตฺถ ลกฺขณลกฺขิตพฺพภาเวน เภทวจนํฯ ภวติ หิ สทฺทตฺถวิเสสมเตฺตนปิ อภิเนฺน วตฺถุสฺมิํ เภทวจนํ ยถา ‘‘สิลาปุตฺตกสฺส สรีร’’นฺติฯ
Taṃ pariharitunti abyākatanivattanamāha. Yadi evaṃ ‘‘sukhavipākānavajjā’’ti vattabbaṃ. Anavajjā hi byabhicāritāya visesitabbāti? Na, sukhavipākavacanassa visesanabhāvena aggahitattā. Sukhavipākavacanena hi kusalabhāve samatto viññāyati, anavajjavacanaṃ panettha kusalānaṃ agarahitabbatāsaṅkhātaṃ kañci visesamāha. Teneva ca tassa visesanabhāvena vuttassa pavattisukhatādidassanabhāvaṃ sayameva vakkhatīti. Manosamācāravisesabhūtā phaladhammā visesena paṭippassaddhāvajjā nāma hontīti samācārattayavasena tasmiṃ sutte anavajjadhammānaṃ vuttattā ca te anavasesato saṅgahetvā dassetuṃ ‘‘virahitāvajjamattā’’ti vuttaṃ. Avajjavināsanabhāvo dassito kaṇhasukkadhammānaṃ vajjhaghātakabhāvassa niyatattā. Savipākatā vipākadhammatā. Sukho vipāko etesanti sukhavipākāti iminā samāsena kusalānaṃ sukhavipākavantatā vuttā. Sā ca nesaṃ na taṃsamaṅgitāya asahavattanatoti taduppādanasamatthatāti viññāyatīti vuttaṃ ‘‘sukhavipākavipaccanasabhāvaṃ dassetī’’ti. Yuttametanti paramatthato bhedābhāvepi yathāvuttavacanavacanīyabhāvasaṅkhāto bhedo tasmiṃ abhidheyyatthabhūte vatthusmiṃ upacārena hotīti yuttamettha lakkhaṇalakkhitabbabhāvena bhedavacanaṃ. Bhavati hi saddatthavisesamattenapi abhinne vatthusmiṃ bhedavacanaṃ yathā ‘‘silāputtakassa sarīra’’nti.
วินาปิ ภาวาภิธายินา สเทฺทน ภาวปฺปธาโน นิเทฺทโส โหตีติ วุตฺตํ ‘‘อนวชฺชวจเนน อนวชฺชตฺตํ อาหา’’ติฯ เอวเญฺจตฺถ ปทวิคฺคโห คเหตโพฺพ – น อวชฺชํ อนวชฺชํ, อวชฺชปฎิปกฺขตาย อครหิตพฺพสภาโวฯ สุโข วิปาโก อสฺสาติ สุขวิปากํ, สุขวิปากวิปจฺจนสมตฺถตาฯ อนวชฺชญฺจ ตํ สุขวิปากญฺจาติ อนวชฺชสุขวิปากํ, ตํ ลกฺขณํ เอเตสนฺติ อนวชฺชสุขวิปากลกฺขณาฯ อถ วา ปุเพฺพ วิย อนวชฺชํ, วิปจฺจนํ วิปาโก, สุขสฺส วิปาโก สุขวิปาโก, อนวชฺชญฺจ สุขวิปาโก จ อนวชฺชสุขวิปากํ เอกตฺตวเสนฯ ตํ ลกฺขณํ เอเตสนฺติ อนวชฺชสุขวิปากลกฺขณาฯ กิํ ปเนตฺถ การณํ ปททฺวยปริคฺคเห, นนุ เอเกเนว ปเทน อิฎฺฐปฺปสิทฺธิฯ ยทิปิ ‘‘อวชฺชรหิตํ อนวชฺช’’นฺติ อิมสฺมิํ ปน ปเกฺข อพฺยากตนิวตฺตนตฺถํ สุขวิปากคฺคหณํ กตฺตพฺพํ สิยา, สุขวิปากคฺคหเณ ปน กเต อนวชฺชคฺคหณํ น กตฺตพฺพเมวฯ ‘‘อวชฺชปฎิปกฺขา อนวชฺชา’’ติ เอตสฺมิํ ปน ปเกฺข สุขวิปากคฺคหณญฺจาติ โจทนํ มนสิ กตฺวา อาห ‘‘ตตฺถ อนวชฺชวจเนนา’’ติอาทิฯ เตน ปวตฺติสุขสุขวิปากตาอตฺตสุทฺธิวิสุทฺธวิปากตาอกุสลอพฺยากตสภาวนิวตฺติรสปจฺจุปฎฺฐานปทฎฺฐานวิเสสทีปนโต เอวํ วิปุลปฺปโยชนโตฺถ ปททฺวยปริคฺคโหติ ทเสฺสติฯ สุข-สทฺทสฺส อิฎฺฐปริยายตา วิย ‘‘นิพฺพานปรมํ สุขํ (ธ. ป. ๒๐๓-๒๐๔), สุขา วิราคตา โลเก (อุทา. ๑๑), เตสํ วูปสโม สุโข’’ติอาทีสุ (ที. นิ. ๒.๒๒๑, ๒๗๒) สงฺขารทุกฺขูปสมปริยายตาปิ วิชฺชติ, ตํอวิปากตาย ปน อิธ สุขวิปากภาโว น สกฺกา วตฺตุนฺติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘สงฺขา…เป.… นตฺถี’’ติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – เตภูมกกุสลานมฺปิ วิวฎฺฎสนฺนิสฺสยภาเวน ปวตฺติสภาวตฺตา กิญฺจาปิ สเพฺพ กุสลา สงฺขารทุกฺขูปสมสุขนิปฺผาทกา สมฺภวนฺติ, ยถาวุตฺตสุขสฺส ปน อวิปากภาวโต น เอเตน ปเทน กุสลานํ สุขวิปากตา สมฺภวตีติฯ วิปกฺกภาวมาปเนฺนสุ อรูปธเมฺมสุ นิรุฬฺหตฺตา วิปาก-สทฺทสฺส ‘‘ยทิ ปนา’’ติ สาสงฺกํ วทติฯ
Vināpi bhāvābhidhāyinā saddena bhāvappadhāno niddeso hotīti vuttaṃ ‘‘anavajjavacanena anavajjattaṃ āhā’’ti. Evañcettha padaviggaho gahetabbo – na avajjaṃ anavajjaṃ, avajjapaṭipakkhatāya agarahitabbasabhāvo. Sukho vipāko assāti sukhavipākaṃ, sukhavipākavipaccanasamatthatā. Anavajjañca taṃ sukhavipākañcāti anavajjasukhavipākaṃ, taṃ lakkhaṇaṃ etesanti anavajjasukhavipākalakkhaṇā. Atha vā pubbe viya anavajjaṃ, vipaccanaṃ vipāko, sukhassa vipāko sukhavipāko, anavajjañca sukhavipāko ca anavajjasukhavipākaṃ ekattavasena. Taṃ lakkhaṇaṃ etesanti anavajjasukhavipākalakkhaṇā. Kiṃ panettha kāraṇaṃ padadvayapariggahe, nanu ekeneva padena iṭṭhappasiddhi. Yadipi ‘‘avajjarahitaṃ anavajja’’nti imasmiṃ pana pakkhe abyākatanivattanatthaṃ sukhavipākaggahaṇaṃ kattabbaṃ siyā, sukhavipākaggahaṇe pana kate anavajjaggahaṇaṃ na kattabbameva. ‘‘Avajjapaṭipakkhā anavajjā’’ti etasmiṃ pana pakkhe sukhavipākaggahaṇañcāti codanaṃ manasi katvā āha ‘‘tattha anavajjavacanenā’’tiādi. Tena pavattisukhasukhavipākatāattasuddhivisuddhavipākatāakusalaabyākatasabhāvanivattirasapaccupaṭṭhānapadaṭṭhānavisesadīpanato evaṃ vipulappayojanattho padadvayapariggahoti dasseti. Sukha-saddassa iṭṭhapariyāyatā viya ‘‘nibbānaparamaṃ sukhaṃ (dha. pa. 203-204), sukhā virāgatā loke (udā. 11), tesaṃ vūpasamo sukho’’tiādīsu (dī. ni. 2.221, 272) saṅkhāradukkhūpasamapariyāyatāpi vijjati, taṃavipākatāya pana idha sukhavipākabhāvo na sakkā vattunti dassento āha ‘‘saṅkhā…pe… natthī’’ti. Idaṃ vuttaṃ hoti – tebhūmakakusalānampi vivaṭṭasannissayabhāvena pavattisabhāvattā kiñcāpi sabbe kusalā saṅkhāradukkhūpasamasukhanipphādakā sambhavanti, yathāvuttasukhassa pana avipākabhāvato na etena padena kusalānaṃ sukhavipākatā sambhavatīti. Vipakkabhāvamāpannesu arūpadhammesu niruḷhattā vipāka-saddassa ‘‘yadi panā’’ti sāsaṅkaṃ vadati.
ยถาสมฺภวนฺติ สห อวเชฺชนาติ สาวชฺชา, ครหิตพฺพภาวยุตฺตาฯ เตน เนสํ ครหิตพฺพสภาวํ ทเสฺสติฯ อเญฺญปิ อตฺถิ ทุกฺขภาเวน ครหิตพฺพสภาวา อกุสลวิปากาติ สาวชฺชวจนมเตฺตน เตสมฺปิ อกุสลตาปตฺติโทสํ ทิสฺวา ตํ ปริหริตุํ ทุกฺขวิปากวจนมาหฯ อวชฺช-สโทฺท วา ราคาทีสุ เอกนฺตากุสเลสุ นิรุโฬฺหติ ตํสหวตฺติธมฺมานํ เอว สาวชฺชภาเว กุสลาพฺยากเตหิ อกุสลานํ วิเสโส สาวชฺชวจเนเนว ทสฺสิโตฯ อพฺยากเตหิ ปน วิสิฎฺฐํ กุสลากุสลานํ สาธารณํ สวิปากตาลกฺขณนฺติ ตสฺมิํ ลกฺขเณ วิเสสทสฺสนตฺถํ ทุกฺขวิปากลกฺขณํ วุตฺตํฯ อิโต ปรํ ‘‘ทุโกฺข วิปาโก เอเตสนฺติ ทุกฺขวิปากา’’ติอาทินา สุขวิปากอนวชฺชกุสลปทานํ ฐาเน ทุกฺขวิปากสาวชฺชอกุสลปทานิ ฐเปตฺวา ยถาวุตฺตนเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพ ฯ โยชนา จ สาวชฺชวจเนน อกุสลานํ ปวตฺติทุกฺขตํ ทเสฺสติ, ทุกฺขวิปากวจเนน วิปากทุกฺขตํฯ ปุริมญฺหิ อตฺตโน ปวตฺติสภาววเสน ลกฺขณวจนํ, ปจฺฉิมํ กาลนฺตเร วิปากุปฺปาทนสมตฺถตายาติฯ ตถา ปุริเมน อกุสลานํ อวิสุทฺธสภาวตํ ทเสฺสติ, ปจฺฉิเมน อวิสุทฺธวิปากตํฯ ปุริเมน จ อกุสเล กุสลสภาวโต นิวเตฺตติ, ปจฺฉิเมน อพฺยากตสภาวโต สวิปากตฺตทีปกตฺตา ปจฺฉิมสฺสฯ ปุริเมน วา อวชฺชวนฺตตาทสฺสนโต กิจฺจเฎฺฐน รเสน อนตฺถชนนรสตํ ทเสฺสติ, ปจฺฉิเมน สมฺปตฺติอเตฺถน อนิฎฺฐวิปากรสตํฯ ปุริเมน จ อุปฎฺฐานาการเฎฺฐน ปจฺจุปฎฺฐาเนน สํกิเลสปจฺจุปฎฺฐานตํ, ปจฺฉิเมน ผลเฎฺฐน ทุกฺขวิปากปจฺจุปฎฺฐานตํฯ ปุริเมน จ อโยนิโสมนสิการํ อกุสลานํ ปทฎฺฐานํ ปกาเสติฯ ตโต หิ เต สาวชฺชา ชาตาติฯ ปจฺฉิเมน อกุสลานํ อเญฺญสํ ปทฎฺฐานภาวํ วิภาเวติฯ เต หิ ทุกฺขวิปากสฺส การณํ โหตีติฯ เอตฺถ จ ทุกฺข-สโทฺท อนิฎฺฐปริยายวจนนฺติ เวทิตพฺพํฯ อนิฎฺฐจตุกฺขนฺธวิปากา หิ อกุสลา, น ทุกฺขเวทนาวิปากาวฯ วิปาก-สทฺทสฺส ผลปริยายภาเว ปน นิสฺสนฺทวิปาเกน อนิฎฺฐรูเปนปิ ทุกฺขวิปากตา โยเชตพฺพาฯ วิปากธมฺมตาปฎิเสธวเสน อพฺยากตานํ อวิปากลกฺขณาติ ลกฺขณํ วุตฺตนฺติ ตทตฺถํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อวิปาการหสภาวา’’ติ อาหฯ เอวํปการานนฺติ อภิญฺญาทิเก สงฺคณฺหาติฯ
Yathāsambhavanti saha avajjenāti sāvajjā, garahitabbabhāvayuttā. Tena nesaṃ garahitabbasabhāvaṃ dasseti. Aññepi atthi dukkhabhāvena garahitabbasabhāvā akusalavipākāti sāvajjavacanamattena tesampi akusalatāpattidosaṃ disvā taṃ pariharituṃ dukkhavipākavacanamāha. Avajja-saddo vā rāgādīsu ekantākusalesu niruḷhoti taṃsahavattidhammānaṃ eva sāvajjabhāve kusalābyākatehi akusalānaṃ viseso sāvajjavacaneneva dassito. Abyākatehi pana visiṭṭhaṃ kusalākusalānaṃ sādhāraṇaṃ savipākatālakkhaṇanti tasmiṃ lakkhaṇe visesadassanatthaṃ dukkhavipākalakkhaṇaṃ vuttaṃ. Ito paraṃ ‘‘dukkho vipāko etesanti dukkhavipākā’’tiādinā sukhavipākaanavajjakusalapadānaṃ ṭhāne dukkhavipākasāvajjaakusalapadāni ṭhapetvā yathāvuttanayena attho veditabbo . Yojanā ca sāvajjavacanena akusalānaṃ pavattidukkhataṃ dasseti, dukkhavipākavacanena vipākadukkhataṃ. Purimañhi attano pavattisabhāvavasena lakkhaṇavacanaṃ, pacchimaṃ kālantare vipākuppādanasamatthatāyāti. Tathā purimena akusalānaṃ avisuddhasabhāvataṃ dasseti, pacchimena avisuddhavipākataṃ. Purimena ca akusale kusalasabhāvato nivatteti, pacchimena abyākatasabhāvato savipākattadīpakattā pacchimassa. Purimena vā avajjavantatādassanato kiccaṭṭhena rasena anatthajananarasataṃ dasseti, pacchimena sampattiatthena aniṭṭhavipākarasataṃ. Purimena ca upaṭṭhānākāraṭṭhena paccupaṭṭhānena saṃkilesapaccupaṭṭhānataṃ, pacchimena phalaṭṭhena dukkhavipākapaccupaṭṭhānataṃ. Purimena ca ayonisomanasikāraṃ akusalānaṃ padaṭṭhānaṃ pakāseti. Tato hi te sāvajjā jātāti. Pacchimena akusalānaṃ aññesaṃ padaṭṭhānabhāvaṃ vibhāveti. Te hi dukkhavipākassa kāraṇaṃ hotīti. Ettha ca dukkha-saddo aniṭṭhapariyāyavacananti veditabbaṃ. Aniṭṭhacatukkhandhavipākā hi akusalā, na dukkhavedanāvipākāva. Vipāka-saddassa phalapariyāyabhāve pana nissandavipākena aniṭṭharūpenapi dukkhavipākatā yojetabbā. Vipākadhammatāpaṭisedhavasena abyākatānaṃ avipākalakkhaṇāti lakkhaṇaṃ vuttanti tadatthaṃ dassento ‘‘avipākārahasabhāvā’’ti āha. Evaṃpakārānanti abhiññādike saṅgaṇhāti.
ฉหิ ปเทหิ ติเกสุ, จตูหิ ทุเกสุ ยถากฺกมํ ฉ จตฺตาโร อตฺถา วุตฺตาฯ ฉกฺกภาโว น ภวิสฺสตีติ เอเตน จตุกฺกภาวาภาโว ทสฺสิตนยตฺตา โจทิโตเยวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ อตฺถเภโท อุปปชฺชตีติ กสฺมา เอวํ วุตฺตํ, นนุ ตีหิ ธมฺมสเทฺทหิ วุจฺจมาโน สภาวธารณาทิอเตฺถน อภิโนฺน เอว โส อโตฺถติ? น, ชาติอาทิเภเทน เภทสพฺภาวโตฯ เภทกา หิ ชาติอาทโยฯ มาสปทตฺถตายาติ มาส-สทฺทาภิเธยฺยภาเวนฯ ตพฺพจนียภินฺนตฺถานนฺติ เตหิ กาลสทฺทาทีหิ วตฺตพฺพานํ วิสิฎฺฐตฺถานํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ยถา กาลสทฺทาทิอภิเธยฺยานํ กาลาทิอตฺถานํ ภินฺนสภาวานมฺปิ มาส-สทฺทาภิเธยฺยภาเวน อเภโท, เอวํ ชาติอาทิเภเทน ภินฺนานมฺปิ เตสํ ติณฺณํ ทฺวินฺนญฺจ อตฺถานํ ธมฺม-สทฺทาภิเธยฺยภาเวน นตฺถิ เภโท’’ติฯ วินิ…เป.… มานาติ ธมฺม-สทฺทสฺส รูปาเภเทปิ เภทการณมาหฯ ภินฺนชาติยตฺถวจนียตาย หิ ตเสฺสวตฺถเภโทติฯ
Chahi padehi tikesu, catūhi dukesu yathākkamaṃ cha cattāro atthā vuttā. Chakkabhāvo na bhavissatīti etena catukkabhāvābhāvo dassitanayattā coditoyevāti daṭṭhabbaṃ. Atthabhedo upapajjatīti kasmā evaṃ vuttaṃ, nanu tīhi dhammasaddehi vuccamāno sabhāvadhāraṇādiatthena abhinno eva so atthoti? Na, jātiādibhedena bhedasabbhāvato. Bhedakā hi jātiādayo. Māsapadatthatāyāti māsa-saddābhidheyyabhāvena. Tabbacanīyabhinnatthānanti tehi kālasaddādīhi vattabbānaṃ visiṭṭhatthānaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘yathā kālasaddādiabhidheyyānaṃ kālādiatthānaṃ bhinnasabhāvānampi māsa-saddābhidheyyabhāvena abhedo, evaṃ jātiādibhedena bhinnānampi tesaṃ tiṇṇaṃ dvinnañca atthānaṃ dhamma-saddābhidheyyabhāvena natthi bhedo’’ti. Vini…pe… mānāti dhamma-saddassa rūpābhedepi bhedakāraṇamāha. Bhinnajātiyatthavacanīyatāya hi tassevatthabhedoti.
สาเธตุนฺติ โพเธตุํฯ โหตุ อสมฺพโนฺธ, กา โน หานีติ กทาจิ วเทยฺยาติ อาสงฺกาย อาห ‘‘ปุพฺพา…เป.… นาม โหนฺตี’’ติฯ โส จาติ สภาวธารณปจฺจยธริยมานตาสงฺขาโต อโตฺถ น สกฺกา วตฺตุนฺติ ยถาวุตฺตสฺส อภาวสฺส อเปกฺขาวุตฺติตาย วุตฺตํฯ น หิ อเปกฺขาวุตฺติโน อนฺตเรน อเปกฺขิตพฺพํ ลภนฺติฯ สติปิ สภาวธารณาทิอตฺถสามเญฺญ กุสลชาติอาทิวิสิฎฺฐเสฺสว ตสฺส อิธ อธิเปฺปตตฺตา เอกตฺถตา น อนุญฺญาตาติ วุตฺตํ, วจนสิเลสวเสน วาฯ อถ วาติอาทินา ติณฺณํ ธมฺมสทฺทานํ อภาวตฺตํ อสมฺปฎิจฺฉโนฺต นานตฺถตาภาวโทสํ ปริหรติฯ
Sādhetunti bodhetuṃ. Hotu asambandho, kā no hānīti kadāci vadeyyāti āsaṅkāya āha ‘‘pubbā…pe… nāma hontī’’ti. So cāti sabhāvadhāraṇapaccayadhariyamānatāsaṅkhāto attho na sakkā vattunti yathāvuttassa abhāvassa apekkhāvuttitāya vuttaṃ. Na hi apekkhāvuttino antarena apekkhitabbaṃ labhanti. Satipi sabhāvadhāraṇādiatthasāmaññe kusalajātiādivisiṭṭhasseva tassa idha adhippetattā ekatthatā na anuññātāti vuttaṃ, vacanasilesavasena vā. Atha vātiādinā tiṇṇaṃ dhammasaddānaṃ abhāvattaṃ asampaṭicchanto nānatthatābhāvadosaṃ pariharati.
ญาปกเหตุภาวโต อุปปตฺติ อิธ การณนฺติ วุตฺตาติ อาห ‘‘การณํ นาม ยุตฺตี’’ติฯ ปุนรุตฺตีติอาทินา นนุ ‘‘กุสลาทีนมฺปิ เอกตฺตํ อาปชฺชตี’’ติ วุตฺตตฺตา เอกตฺตาปตฺติปิ วตฺตพฺพาติ ? สจฺจํ วตฺตพฺพา, สา ปน อภาวาปตฺติยํ เอว อโนฺตคธา นานตฺตาภาวโจทนาสามเญฺญนฯ เภทาเภทนิพนฺธนตฺตา วิเสสนวิเสสิตพฺพภาวสฺส โส อจฺจนฺตมภิเนฺนสุ นิยเมน นตฺถีติ วิเสสนวิเสสิตพฺพาภาเวน อจฺจนฺตาเภทํ ทเสฺสติ, น ปน อจฺจนฺตํ อภิเนฺนสุเยว วิเสสนวิเสสิตพฺพาภาวํฯ อถ วา อจฺจนฺตํ อภิเนฺนสุ อวิวฎสทฺทตฺถวิวรณตฺถํ ปวตฺตาฯ กสฺมา? วิเสสนวิเสสิตพฺพาภาวโตติ เอวํ โยชนา กาตพฺพาฯ อมิตฺตํ อภิภวิตุํ สกฺกุณาตีติ สโกฺก, อินฺทตีติ อิโนฺท, ปุริเม ททาตีติ ปุรินฺทโทติ เอวํ กิริยาคุณาทิปริคฺคหวิเสเสนฯ
Ñāpakahetubhāvato upapatti idha kāraṇanti vuttāti āha ‘‘kāraṇaṃ nāma yuttī’’ti. Punaruttītiādinā nanu ‘‘kusalādīnampi ekattaṃ āpajjatī’’ti vuttattā ekattāpattipi vattabbāti ? Saccaṃ vattabbā, sā pana abhāvāpattiyaṃ eva antogadhā nānattābhāvacodanāsāmaññena. Bhedābhedanibandhanattā visesanavisesitabbabhāvassa so accantamabhinnesu niyamena natthīti visesanavisesitabbābhāvena accantābhedaṃ dasseti, na pana accantaṃ abhinnesuyeva visesanavisesitabbābhāvaṃ. Atha vā accantaṃ abhinnesu avivaṭasaddatthavivaraṇatthaṃ pavattā. Kasmā? Visesanavisesitabbābhāvatoti evaṃ yojanā kātabbā. Amittaṃ abhibhavituṃ sakkuṇātīti sakko, indatīti indo, purime dadātīti purindadoti evaṃ kiriyāguṇādipariggahavisesena.
เภทาเภทวเนฺตสูติ วิเสสสามญฺญวเนฺตสุฯ นีล-สโทฺท หิ อุปฺปลสทฺทสมาโยโค รตฺตุปฺปลเสตุปฺปลาทิอุปฺปลชาติสามญฺญโต วินิวเตฺตตฺวา นีลคุณยุตฺตเมว อุปฺปลชาติวิเสสํ โชเตติฯ อุปฺปล-สโทฺทปิ นีล-สทฺทสมายุโตฺต ภมรงฺคารโกกิลาทิคตนีลคุณสามญฺญโต อวจฺฉินฺทิตฺวา อุปฺปลวตฺถุคตเมว นีลคุณํ ปกาเสตีติ วิเสสตฺถสามญฺญตฺถยุตฺตตา ปททฺวยสฺส ทฎฺฐพฺพาฯ อิมินา นเยน อิตรตฺราปิ เภทาเภทวนฺตตา โยเชตพฺพาฯ ตาย ตาย อนุมติยาติ เตน เตน สเงฺกเตนฯ เต เต โวหาราติ อจฺจนฺตํ อภิเนฺน อเตฺถ ปริยายภาเวน อจฺจนฺตํ ภิเนฺน ยถาสกํ อตฺถวิวรณภาเวน เภทาเภทวเนฺต วิเสสนวิเสสิตพฺพภาเวน ตา ตา สมญฺญา ปญฺญตฺติโย สิทฺธาติ อโตฺถ ฯ สมาเนติ เอกสฺมิํฯ กุสลาทิภาวนฺติ กุจฺฉิตสลนาทิภาวํฯ อภิธานโตฺถปิ หิ อนวชฺชสุขวิปากาทิอภิเธยฺยโตฺถ วิย สภาวธารณาทิสามญฺญตฺถํ วิเสเสตีติฯ
Bhedābhedavantesūti visesasāmaññavantesu. Nīla-saddo hi uppalasaddasamāyogo rattuppalasetuppalādiuppalajātisāmaññato vinivattetvā nīlaguṇayuttameva uppalajātivisesaṃ joteti. Uppala-saddopi nīla-saddasamāyutto bhamaraṅgārakokilādigatanīlaguṇasāmaññato avacchinditvā uppalavatthugatameva nīlaguṇaṃ pakāsetīti visesatthasāmaññatthayuttatā padadvayassa daṭṭhabbā. Iminā nayena itaratrāpi bhedābhedavantatā yojetabbā. Tāya tāya anumatiyāti tena tena saṅketena. Te te vohārāti accantaṃ abhinne atthe pariyāyabhāvena accantaṃ bhinne yathāsakaṃ atthavivaraṇabhāvena bhedābhedavante visesanavisesitabbabhāvena tā tā samaññā paññattiyo siddhāti attho . Samāneti ekasmiṃ. Kusalādibhāvanti kucchitasalanādibhāvaṃ. Abhidhānatthopi hi anavajjasukhavipākādiabhidheyyattho viya sabhāvadhāraṇādisāmaññatthaṃ visesetīti.
เอตฺถาห ‘‘กิํ ปน การณํ ติกา เอว ปฐมํ วุตฺตา, น ทุกา, ติเกสุปิ กุสลตฺติโกว, น อโญฺญ’’ติ? วุจฺจเต – สุขคฺคหณโต อปฺปเภทโต จ ติกา เอว ปฐมํ วุตฺตาฯ ยสฺมา ติเกหิ โพธิเต กุสลาทิเภเท ตพฺพิภาคภินฺนา เหตุอาทโย วุจฺจมานา สุวิเญฺญยฺยา โหนฺติฯ ตถา หิ ‘‘ตโย กุสลเหตู’’ติอาทินา กุสลาทิมุเขน เหตุอาทโย วิภตฺตา, กติปยเภทา จ ติกา ทฺวาวีสติปริมาณตฺตาฯ
Etthāha ‘‘kiṃ pana kāraṇaṃ tikā eva paṭhamaṃ vuttā, na dukā, tikesupi kusalattikova, na añño’’ti? Vuccate – sukhaggahaṇato appabhedato ca tikā eva paṭhamaṃ vuttā. Yasmā tikehi bodhite kusalādibhede tabbibhāgabhinnā hetuādayo vuccamānā suviññeyyā honti. Tathā hi ‘‘tayo kusalahetū’’tiādinā kusalādimukhena hetuādayo vibhattā, katipayabhedā ca tikā dvāvīsatiparimāṇattā.
เตสุ ปน สพฺพสงฺคหอสงฺกรอาทิกลฺยาณภาเวน ปฐมํ กุสลตฺติกํ วุตฺตํฯ นิรวเสสา หิ รูปารูปธมฺมา กุสลตฺติเกน สงฺคหิตา, น ตถา เวทนาตฺติกาทีหิฯ นนุ วิปากตฺติกาทีหิปิ นิรวเสสา ธมฺมา สงฺคหิตาติ? สจฺจเมตํ, เตสุ ปน อนวชฺชสาวชฺชธมฺมา น อสงฺกรโต วุตฺตา ยถา กุสลตฺติเกฯ นนุ จ สํกิลิฎฺฐสํกิเลสิกตฺติกาทีสุปิ เต อสงฺกรโต วุตฺตาติ? เอวเมตํ, เต ปน อกลฺยาณภูเต ปาปธเมฺม อาทิํ กตฺวา วุตฺตา, น เอวมยํฯ อยํ ปน กลฺยาณภูเต ปุชฺชภวปรินิพฺพุตินิปฺผาทเก ปุญฺญธเมฺม อาทิํ กตฺวา วุโตฺตฯ อิติ ภควา สณฺหสุขุมํ รูปารูปเทสนํ อารภโนฺต สพฺพสงฺคหอสงฺกรอาทิกลฺยาณคุณโยคโต ปฐมํ กุสลตฺติกํ เทเสติ, กิญฺจ ตทญฺญตฺติกานํ สุขคฺคหณโตฯ ตถา หิ กุสลตฺติกมุเขน ‘‘กามาวจรกุสลโต จตฺตาโร โสมนสฺสสหคตจิตฺตุปฺปาทา’’ติอาทินา เวทนาตฺติกาทโย วิภตฺตาติฯ
Tesu pana sabbasaṅgahaasaṅkaraādikalyāṇabhāvena paṭhamaṃ kusalattikaṃ vuttaṃ. Niravasesā hi rūpārūpadhammā kusalattikena saṅgahitā, na tathā vedanāttikādīhi. Nanu vipākattikādīhipi niravasesā dhammā saṅgahitāti? Saccametaṃ, tesu pana anavajjasāvajjadhammā na asaṅkarato vuttā yathā kusalattike. Nanu ca saṃkiliṭṭhasaṃkilesikattikādīsupi te asaṅkarato vuttāti? Evametaṃ, te pana akalyāṇabhūte pāpadhamme ādiṃ katvā vuttā, na evamayaṃ. Ayaṃ pana kalyāṇabhūte pujjabhavaparinibbutinipphādake puññadhamme ādiṃ katvā vutto. Iti bhagavā saṇhasukhumaṃ rūpārūpadesanaṃ ārabhanto sabbasaṅgahaasaṅkaraādikalyāṇaguṇayogato paṭhamaṃ kusalattikaṃ deseti, kiñca tadaññattikānaṃ sukhaggahaṇato. Tathā hi kusalattikamukhena ‘‘kāmāvacarakusalato cattāro somanassasahagatacittuppādā’’tiādinā vedanāttikādayo vibhattāti.
กุสลตฺติเกปิ จ ปธานปาสํสอุภยหิตภาวโต กุสลา ธมฺมา ปฐมํ วุตฺตาฯ กุสลา หิ ธมฺมา สุขวิปากตฺตา สพฺพสงฺขตธมฺมานํ อุตฺตมา อวชฺชวิธมนโต วิญฺญุปฺปสตฺถา อิธโลกปรโลเกสุ อตฺถาวหา นิสฺสรณาวหา จ, ตสฺมา ปธานาทิภาเวน ปฐมํ วุตฺตา, ตปฺปฎิปกฺขตฺตา ตทนนฺตรํ อกุสลา, ตทุภยวิปรีตสภาวา ตทนนฺตรํ อพฺยากตา วุตฺตาฯ กุสลวเสน วา อสฺสาโท, อกุสลวเสน อาทีนโว, อพฺยากตธเมฺมสุ นิพฺพานวเสน นิสฺสรณนฺติ อิมินา อสฺสาทาทิกฺกเมน, กุสเลสุ ปติฎฺฐาย ปณฺฑิตา อกุสเล ปชหนฺตา อพฺยากตธมฺมภูตมคฺคผลํ นิพฺพานญฺจ สจฺฉิกโรนฺตีติ อิมินา วา ปฎิปตฺติกฺกเมน อยมนุปุพฺพี ฐปิตาติ เวทิตพฺพาฯ
Kusalattikepi ca padhānapāsaṃsaubhayahitabhāvato kusalā dhammā paṭhamaṃ vuttā. Kusalā hi dhammā sukhavipākattā sabbasaṅkhatadhammānaṃ uttamā avajjavidhamanato viññuppasatthā idhalokaparalokesu atthāvahā nissaraṇāvahā ca, tasmā padhānādibhāvena paṭhamaṃ vuttā, tappaṭipakkhattā tadanantaraṃ akusalā, tadubhayaviparītasabhāvā tadanantaraṃ abyākatā vuttā. Kusalavasena vā assādo, akusalavasena ādīnavo, abyākatadhammesu nibbānavasena nissaraṇanti iminā assādādikkamena, kusalesu patiṭṭhāya paṇḍitā akusale pajahantā abyākatadhammabhūtamaggaphalaṃ nibbānañca sacchikarontīti iminā vā paṭipattikkamena ayamanupubbī ṭhapitāti veditabbā.
กสฺมา ปเนตฺถ เสกฺขตฺติกาทีสุ วิย สรูปโต ปุริมปททฺวยปฎิเกฺขปวเสน ตติยปทํ น วุตฺตํ ‘‘เนวกุสลา นากุสลา’’ติ? วิเสสทีปนตฺถํฯ ยถา หิ เสกฺขาเสกฺขสภาเวสุ ธเมฺมสุ โกจิปิ ธโมฺม ตทุภยสภาเวน เกนจิปิ ปริยาเยน กทาจิ อพฺยากรณีโย นาม นตฺถีติ เสกฺขตฺติเก ปททฺวยปฎิเกฺขปวเสน ‘‘เนวเสกฺขา นาเสกฺขา’’เตฺวว วุตฺตํ, น เอวํ อิธฯ อิธ ปน กุสลสภาวา เอว ธมฺมา อคฺคผลุปฺปตฺติยา ตถา น พฺยากรณียา โหนฺตีติ อิมสฺส วิเสสสฺส ทีปนตฺถํ ‘‘อพฺยากตา’’ติ วุตฺตํฯ วจนมเตฺต เอว วา อิทํ นานากรณํ ‘‘อพฺยากตา เนวกุสลา นากุสลา’’ติ พฺยากต-สเทฺทน กุสลากุสลานํ โพธิตตฺตาติฯ
Kasmā panettha sekkhattikādīsu viya sarūpato purimapadadvayapaṭikkhepavasena tatiyapadaṃ na vuttaṃ ‘‘nevakusalā nākusalā’’ti? Visesadīpanatthaṃ. Yathā hi sekkhāsekkhasabhāvesu dhammesu kocipi dhammo tadubhayasabhāvena kenacipi pariyāyena kadāci abyākaraṇīyo nāma natthīti sekkhattike padadvayapaṭikkhepavasena ‘‘nevasekkhā nāsekkhā’’tveva vuttaṃ, na evaṃ idha. Idha pana kusalasabhāvā eva dhammā aggaphaluppattiyā tathā na byākaraṇīyā hontīti imassa visesassa dīpanatthaṃ ‘‘abyākatā’’ti vuttaṃ. Vacanamatte eva vā idaṃ nānākaraṇaṃ ‘‘abyākatā nevakusalā nākusalā’’ti byākata-saddena kusalākusalānaṃ bodhitattāti.
เอตฺถ จ อกุสเลสุ ตณฺหาย สพฺพากุสเลหิ, เตภูมกกุสลากุสเลหิ วา สมุทยสจฺจํ, ตํตํอวสิฎฺฐเตภูมกธเมฺมหิ ทุกฺขสจฺจํ, โลกุตฺตรกุสเลน มคฺคสจฺจํ, อวสิฎฺฐอพฺยากตวิเสเสน นิโรธสจฺจํ ทสฺสิตํ โหติฯ ตตฺถ สมุทเยน อสฺสาโท, ทุเกฺขน อาทีนโว, มคฺคนิโรเธหิ นิสฺสรณํฯ กิญฺจาปิ นามรูปปริเจฺฉทภาวโต สภาวธมฺมนิทฺธารณปธานา อภิธมฺมกถา, เตสํ ปน กุสลาทิวิเสเส นิทฺธาริเต ตสฺส อุปสมฺปาเทตพฺพตาทิปิ อตฺถโต วุตฺตเมว โหติฯ อกุสลานํ ธมฺมานํ ปหานาย กุสลานํ ธมฺมานํ อุปสมฺปทาย ‘‘สพฺพปาปสฺส อกรณํ, กุสลสฺส อุปสมฺปทา’’ติ (ธ. ป. ๑๘๓; ที. นิ. ๒.๙๐) เอวมาทิวจนโต หิ กุสลาทีนํ อุปสมฺปาทนาทิทสฺสนปรํ ภควโต สาสนํ, ตสฺมา กุสลานํ อุปสมฺปาทนํ อกุสลานํ ปหานญฺจ อุปาโย, อพฺยากตวิเสสสฺส สจฺฉิกิริยา ผลํ, กุสลาทีนํ อุปสมฺปาทนาทิอตฺถา เทสนา อาณตฺตีติ อยํ เทสนาหาโรฯ
Ettha ca akusalesu taṇhāya sabbākusalehi, tebhūmakakusalākusalehi vā samudayasaccaṃ, taṃtaṃavasiṭṭhatebhūmakadhammehi dukkhasaccaṃ, lokuttarakusalena maggasaccaṃ, avasiṭṭhaabyākatavisesena nirodhasaccaṃ dassitaṃ hoti. Tattha samudayena assādo, dukkhena ādīnavo, magganirodhehi nissaraṇaṃ. Kiñcāpi nāmarūpaparicchedabhāvato sabhāvadhammaniddhāraṇapadhānā abhidhammakathā, tesaṃ pana kusalādivisese niddhārite tassa upasampādetabbatādipi atthato vuttameva hoti. Akusalānaṃ dhammānaṃ pahānāya kusalānaṃ dhammānaṃ upasampadāya ‘‘sabbapāpassa akaraṇaṃ, kusalassa upasampadā’’ti (dha. pa. 183; dī. ni. 2.90) evamādivacanato hi kusalādīnaṃ upasampādanādidassanaparaṃ bhagavato sāsanaṃ, tasmā kusalānaṃ upasampādanaṃ akusalānaṃ pahānañca upāyo, abyākatavisesassa sacchikiriyā phalaṃ, kusalādīnaṃ upasampādanādiatthā desanā āṇattīti ayaṃ desanāhāro.
อาโรคฺยเฎฺฐน อนวชฺชเฎฺฐน โกสลฺยสมฺภูตเฎฺฐน จ กุสลา, ตปฺปฎิปกฺขโต อกุสลา, ตทุภยวิปรีตโต อพฺยากตา, สภาวธารณาทิอเตฺถน ธมฺมาติ อนุปทวิจินนํ วิจโย หาโรฯ
Ārogyaṭṭhena anavajjaṭṭhena kosalyasambhūtaṭṭhena ca kusalā, tappaṭipakkhato akusalā, tadubhayaviparītato abyākatā, sabhāvadhāraṇādiatthena dhammāti anupadavicinanaṃ vicayo hāro.
ปุชฺชภวผลปรินิพฺพุตินิปฺผตฺติ กุสเลหีติ ยุชฺชติ สุขวิปากตฺตา, อปายทุกฺขสํสารทุกฺขุปฺปตฺติ อกุสเลหีติ ยุชฺชติ อนิฎฺฐผลตฺตา, ตทุภยผลานํ อนุปฺปตฺติ อพฺยากเตหีติ ยุชฺชติ อวิปากธมฺมตฺตาติ อยํ ยุตฺติ หาโรฯ
Pujjabhavaphalaparinibbutinipphatti kusalehīti yujjati sukhavipākattā, apāyadukkhasaṃsāradukkhuppatti akusalehīti yujjati aniṭṭhaphalattā, tadubhayaphalānaṃ anuppatti abyākatehīti yujjati avipākadhammattāti ayaṃ yutti hāro.
กุสลา ธมฺมา สุขวิปากสฺส ปทฎฺฐานํ, อกุสลา ทุกฺขวิปากสฺส, อพฺยากตา กุสลากุสลาพฺยากตธมฺมานนฺติ อยํ ปทฎฺฐาโน หาโรฯ
Kusalā dhammā sukhavipākassa padaṭṭhānaṃ, akusalā dukkhavipākassa, abyākatā kusalākusalābyākatadhammānanti ayaṃ padaṭṭhāno hāro.
กุสลคฺคหเณน เย อนวชฺชสุขวิปากา สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา วิปากธมฺมธมฺมา อนุปาทินฺนุปาทานิยา อนุปาทินฺนอนุปาทานิยา…เป.… อรณา ธมฺมา, เต โพธิตา ภวนฺติ กุสลลกฺขเณน เอกลกฺขณตฺตาฯ ตถา อกุสลคฺคหเณน เย สาวชฺชทุกฺขวิปากา สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ทุกฺขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา วิปากธมฺมธมฺมา อนุปาทินฺนุปาทานิยา สํกิลิฎฺฐสํกิเลสิกา…เป.… สรณา ธมฺมา, เต โพธิตา ภวนฺติ อกุสลลกฺขเณน เอกลกฺขณตฺตาฯ ตถา อพฺยากตคฺคหเณน เย อวิปาการหา สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ทุกฺขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา วิปากา ธมฺมา เนววิปากนวิปากธมฺมธมฺมา อุปาทินฺนุปาทานิยา อนุปาทินฺนุปาทานิยา อนุปาทินฺนอนุปาทานิยา…เป.… อรณา ธมฺมา, เต โพธิตา ภวนฺติ อพฺยากตลกฺขเณน เอกลกฺขณตฺตาติ อยํ ลกฺขโณ หาโรฯ
Kusalaggahaṇena ye anavajjasukhavipākā sukhāya vedanāya sampayuttā adukkhamasukhāya vedanāya sampayuttā vipākadhammadhammā anupādinnupādāniyā anupādinnaanupādāniyā…pe… araṇā dhammā, te bodhitā bhavanti kusalalakkhaṇena ekalakkhaṇattā. Tathā akusalaggahaṇena ye sāvajjadukkhavipākā sukhāya vedanāya sampayuttā dukkhāya vedanāya sampayuttā adukkhamasukhāya vedanāya sampayuttā vipākadhammadhammā anupādinnupādāniyā saṃkiliṭṭhasaṃkilesikā…pe… saraṇā dhammā, te bodhitā bhavanti akusalalakkhaṇena ekalakkhaṇattā. Tathā abyākataggahaṇena ye avipākārahā sukhāya vedanāya sampayuttā dukkhāya vedanāya sampayuttā adukkhamasukhāya vedanāya sampayuttā vipākā dhammā nevavipākanavipākadhammadhammā upādinnupādāniyā anupādinnupādāniyā anupādinnaanupādāniyā…pe… araṇā dhammā, te bodhitā bhavanti abyākatalakkhaṇena ekalakkhaṇattāti ayaṃ lakkhaṇo hāro.
‘‘กุจฺฉิเต ปาปธเมฺม สลยนฺตี’’ติอาทินา นิรุตฺติ เวทิตพฺพา, กุสลาทิมุเขน รูปารูปธเมฺม ปริคฺคเหตฺวา วิสุทฺธิปรมฺปราย ‘‘กถํ นุ โข สตฺตา อนุปาทิเสสนิพฺพานภาคิโน ภเวยฺยุ’’นฺติ อยเมตฺถ ภควโต อธิปฺปาโย, นิทานํ อสาธารณโต กุสลาทิเภเทน พุชฺฌนกสตฺตาฯ สาธารณโต ปน ปากฎเมวฯ ปฐมํ กุสลตฺติกสฺส เทสนา วิจาริตาเยวาติ อยํ จตุพฺยูโห หาโรฯ
‘‘Kucchite pāpadhamme salayantī’’tiādinā nirutti veditabbā, kusalādimukhena rūpārūpadhamme pariggahetvā visuddhiparamparāya ‘‘kathaṃ nu kho sattā anupādisesanibbānabhāgino bhaveyyu’’nti ayamettha bhagavato adhippāyo, nidānaṃ asādhāraṇato kusalādibhedena bujjhanakasattā. Sādhāraṇato pana pākaṭameva. Paṭhamaṃ kusalattikassa desanā vicāritāyevāti ayaṃ catubyūho hāro.
กุสลคฺคหเณน กลฺยาณมิตฺตปริคฺคโห โยนิโสมนสิการปริคฺคโห จฯ ตตฺถ ปฐเมน สกลํ พฺรหฺมจริยมาวตฺตติ, ทุติเยน จ โยนิโสมนสิการมูลกา ธมฺมาฯ อกุสลคฺคหเณน วุตฺตวิปริยาเยน โยเชตพฺพํฯ อพฺยากตคฺคหเณน ปน สกลสํกิเลสโวทานปโกฺข ยถารหมาวตฺตตีติ อยํ อาวโตฺต หาโรฯ
Kusalaggahaṇena kalyāṇamittapariggaho yonisomanasikārapariggaho ca. Tattha paṭhamena sakalaṃ brahmacariyamāvattati, dutiyena ca yonisomanasikāramūlakā dhammā. Akusalaggahaṇena vuttavipariyāyena yojetabbaṃ. Abyākataggahaṇena pana sakalasaṃkilesavodānapakkho yathārahamāvattatīti ayaṃ āvatto hāro.
ตตฺถ กุสลา ภูมิโต จตุธา วิภตฺตา, สมฺปยุตฺตปวตฺติอาการาทิโต ปน อเนกธาฯ อกุสลา ภูมิโต เอกธา วิภตฺตา, สมฺปยุตฺตาทิโต อเนกธาฯ อพฺยากตา ปน วิปากกิริยรูปนิพฺพานวเสน จตุธา ภูมิสมฺปยุตฺตาทิโต อเนกธา จ วิภตฺตาติ อยํ วิภตฺติ หาโรฯ
Tattha kusalā bhūmito catudhā vibhattā, sampayuttapavattiākārādito pana anekadhā. Akusalā bhūmito ekadhā vibhattā, sampayuttādito anekadhā. Abyākatā pana vipākakiriyarūpanibbānavasena catudhā bhūmisampayuttādito anekadhā ca vibhattāti ayaṃ vibhatti hāro.
กุสลา ธมฺมา อกุสลานํ ตทงฺคาทิปฺปหานาย วีติกฺกมาทิปฺปหานาย จ สํวตฺตนฺติ, อกุสลา ธมฺมา กุสลานํ อนุปสมฺปชฺชนาย, อพฺยากเตสุ อสงฺขตธาตุ สพฺพสงฺขตนิสฺสรณายาติ อยํ ปริวโตฺต หาโรฯ
Kusalā dhammā akusalānaṃ tadaṅgādippahānāya vītikkamādippahānāya ca saṃvattanti, akusalā dhammā kusalānaṃ anupasampajjanāya, abyākatesu asaṅkhatadhātu sabbasaṅkhatanissaraṇāyāti ayaṃ parivatto hāro.
กุสลา อนวชฺชา ปุญฺญานีติ ปริยายวจนํ, อกุสลา สาวชฺชา อปุญฺญานีติ ปริยาย วจนํ, อพฺยากตา อวิปาการหา เนวอาจยคามี นอปจยคามีโนติ ปริยายวจนนฺติ อยํ เววจโน หาโรฯ
Kusalā anavajjā puññānīti pariyāyavacanaṃ, akusalā sāvajjā apuññānīti pariyāya vacanaṃ, abyākatā avipākārahā nevaācayagāmī naapacayagāmīnoti pariyāyavacananti ayaṃ vevacano hāro.
กุสลาทโย ‘‘ยสฺมิํ สมเย’’ติอาทินา ปภวภูมิเววจนปญฺญตฺติวเสน ยถาสมฺภวํ ปริญฺญาทิปญฺญตฺติวเสน จ ปญฺญตฺตาติ อยํ ปญฺญตฺติ หาโรฯ
Kusalādayo ‘‘yasmiṃ samaye’’tiādinā pabhavabhūmivevacanapaññattivasena yathāsambhavaṃ pariññādipaññattivasena ca paññattāti ayaṃ paññatti hāro.
อกุสลานํ กุจฺฉิตานํ ปาปธมฺมานํ สลนํ กุสานํ วิย กุสานํ วา ราคาทีนํ ลวนํ เอวํธมฺมตาติ อยํ ปฎิจฺจสมุปฺปาทมุเขน อวตรณํ, ตถา กุเสน ลาตพฺพา โกสลฺลสมฺภูตา จาติ ปจฺจยปฎิพทฺธวุตฺติตาย ปฎิจฺจสมุปฺปาท…เป.… อวตรณํ, ปจฺจยปฎิพทฺธวุตฺติตาย วา อาทิอนฺตวนฺตา อนิจฺจนฺติกา จาติ อนิจฺจตามุเขน อวตรณํ, อนิจฺจตา เอว อุทยพฺพยปฎิปีฬิตตาย ทุกฺขาติ ทุกฺขตามุเขน อวตรณํ, นิสฺสตฺตนิชฺชีวเฎฺฐน ธมฺมาติ อพฺยาปารโต สุญฺญตามุเขน อวตรณํ, เอวํ กุสลาติ จตฺตาโร ขนฺธา ทฺวายตนานิ เทฺว ธาตุโยติอาทินา ขนฺธายตนธาตาทิมุเขนปิ อวตรณํ เวทิตพฺพํฯ อิมินา นเยน อกุสลาพฺยากเตสุปิ อวตรณํ ทเสฺสตพฺพนฺติ อยํ อวตรโณ หาโรฯ
Akusalānaṃ kucchitānaṃ pāpadhammānaṃ salanaṃ kusānaṃ viya kusānaṃ vā rāgādīnaṃ lavanaṃ evaṃdhammatāti ayaṃ paṭiccasamuppādamukhena avataraṇaṃ, tathā kusena lātabbā kosallasambhūtā cāti paccayapaṭibaddhavuttitāya paṭiccasamuppāda…pe… avataraṇaṃ, paccayapaṭibaddhavuttitāya vā ādiantavantā aniccantikā cāti aniccatāmukhena avataraṇaṃ, aniccatā eva udayabbayapaṭipīḷitatāya dukkhāti dukkhatāmukhena avataraṇaṃ, nissattanijjīvaṭṭhena dhammāti abyāpārato suññatāmukhena avataraṇaṃ, evaṃ kusalāti cattāro khandhā dvāyatanāni dve dhātuyotiādinā khandhāyatanadhātādimukhenapi avataraṇaṃ veditabbaṃ. Iminā nayena akusalābyākatesupi avataraṇaṃ dassetabbanti ayaṃ avataraṇo hāro.
กุสลาติ อารโมฺภ, ธมฺมาติ ปทสุทฺธิ, โน อารมฺภสุทฺธิฯ ตถา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตาติ, ธมฺมาติ ปน ปทสุทฺธิ อารมฺภสุทฺธิ จาติ อยํ โสธโน หาโรฯ
Kusalāti ārambho, dhammāti padasuddhi, no ārambhasuddhi. Tathā akusalā dhammā abyākatāti, dhammāti pana padasuddhi ārambhasuddhi cāti ayaṃ sodhano hāro.
ธมฺมาติ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ, ตํ อวิกเปฺปตฺวา วิเสสวจนํ กุสลากุสลาพฺยากตาติฯ ตถา กุสลา ธมฺมาติ สามญฺญโต อธิฎฺฐานํ, ตํ อวิกเปฺปตฺวา กามาวจรํ โสมนสฺสสหคตนฺติอาทิ วิเสสวจนํฯ อกุสลา ธมฺมาติอาทีสุปิ เอเสว นโยติ อยํ อธิฎฺฐาโน หาโรฯ
Dhammāti sāmaññato adhiṭṭhānaṃ, taṃ avikappetvā visesavacanaṃ kusalākusalābyākatāti. Tathā kusalā dhammāti sāmaññato adhiṭṭhānaṃ, taṃ avikappetvā kāmāvacaraṃ somanassasahagatantiādi visesavacanaṃ. Akusalā dhammātiādīsupi eseva nayoti ayaṃ adhiṭṭhāno hāro.
กุสลานํ ธมฺมานํ นวโม ขโณ จตฺตาริ จ สมฺปตฺติจกฺกานิ โยนิโสมนสิกาโร เอว วา เหตุ, วุตฺตวิปริยาเยน อกุสลานํ ธมฺมานํ เหตุ, กุสลากุสลา ธมฺมา ยถาสมฺภวํ อพฺยากตานํ ธมฺมานํ เหตูติ อยํ ปริกฺขาโร หาโรฯ
Kusalānaṃ dhammānaṃ navamo khaṇo cattāri ca sampatticakkāni yonisomanasikāro eva vā hetu, vuttavipariyāyena akusalānaṃ dhammānaṃ hetu, kusalākusalā dhammā yathāsambhavaṃ abyākatānaṃ dhammānaṃ hetūti ayaṃ parikkhāro hāro.
กุสลาติ ปริเญฺญยฺยคฺคหณเญฺจว ภาเวตพฺพคฺคหณญฺจฯ อกุสลาติ ปริเญฺญยฺยคฺคหณเญฺจว ปหาตพฺพคฺคหณญฺจฯ อพฺยากตาติ ปริเญฺญยฺยคฺคหณเญฺจว สจฺฉิกาตพฺพคฺคหณญฺจฯ ธมฺมาติ ปริญฺญาทีนํ ปวตฺตนาการคฺคหณํฯ เตน ปริเญฺญยฺยปฺปหานภาวนาสจฺฉิกรณานิ ทีปิตานีติ ตทงฺคาทิวีติกฺกมาทิปฺปหานานิ โลกิยโลกุตฺตรา จ ภาวนา ทสฺสิตาติ อยํ สมาโรปโน หาโรฯ
Kusalāti pariññeyyaggahaṇañceva bhāvetabbaggahaṇañca. Akusalāti pariññeyyaggahaṇañceva pahātabbaggahaṇañca. Abyākatāti pariññeyyaggahaṇañceva sacchikātabbaggahaṇañca. Dhammāti pariññādīnaṃ pavattanākāraggahaṇaṃ. Tena pariññeyyappahānabhāvanāsacchikaraṇāni dīpitānīti tadaṅgādivītikkamādippahānāni lokiyalokuttarā ca bhāvanā dassitāti ayaṃ samāropano hāro.
กามเญฺจตํ อวิเสสโต สภาวธมฺมกถนํ, วิเสสวโนฺต ปน ธมฺมา วิเสสโต นิทฺธาริตาฯ ตถา หิ จิเตฺตเนว สมโย นิยมิโต, ตสฺมา กุสลคฺคหเณน วิเสสโต สาธิฎฺฐาโน สมโถ วิปสฺสนา จ ทสฺสิตาติฯ ตถา ตปฺปฎิปกฺขโต อกุสลคฺคหเณน สาธิฎฺฐานา ตณฺหา อวิชฺชา จ , อพฺยากตคฺคหเณน สปริวารา เจโตวิมุตฺติ ปญฺญาวิมุตฺติ จาติ อยํ นนฺทิยาวตฺตสฺส นยสฺส ภูมิฯ
Kāmañcetaṃ avisesato sabhāvadhammakathanaṃ, visesavanto pana dhammā visesato niddhāritā. Tathā hi citteneva samayo niyamito, tasmā kusalaggahaṇena visesato sādhiṭṭhāno samatho vipassanā ca dassitāti. Tathā tappaṭipakkhato akusalaggahaṇena sādhiṭṭhānā taṇhā avijjā ca , abyākataggahaṇena saparivārā cetovimutti paññāvimutti cāti ayaṃ nandiyāvattassa nayassa bhūmi.
ตถา กุสลคฺคหเณน มูลภาววิเสสโต ตีณิ กุสลมูลานิ, เตสุ จ อโทเสน สีลกฺขโนฺธ, อโลเภน สมาธิกฺขโนฺธ, อโมเหน ปญฺญากฺขโนฺธ นียติฯ ตถา อกุสลคฺคหเณน ตีณิ อกุสลมูลานิ, เตสุ จ โลเภน ตเทกฎฺฐา อกุสลา ธมฺมาฯ ตถา โทสโมเหหิ ตํตเทกฎฺฐาฯ อพฺยากตคฺคหเณน อปฺปณิหิตานิมิตฺตสุญฺญตา นียนฺตีติ อยํ ติปุกฺขลสฺส นยสฺส ภูมิฯ
Tathā kusalaggahaṇena mūlabhāvavisesato tīṇi kusalamūlāni, tesu ca adosena sīlakkhandho, alobhena samādhikkhandho, amohena paññākkhandho nīyati. Tathā akusalaggahaṇena tīṇi akusalamūlāni, tesu ca lobhena tadekaṭṭhā akusalā dhammā. Tathā dosamohehi taṃtadekaṭṭhā. Abyākataggahaṇena appaṇihitānimittasuññatā nīyantīti ayaṃ tipukkhalassa nayassa bhūmi.
ตถา กุสลคฺคหเณน ยโต โกสลฺลโต สมฺภูตา กุสลา, ตํ ปญฺญินฺทฺริยํฯ ตํสหชาตา ตทุปนิสฺสยา จ สทฺทหนุสฺสหนาปิลาปาวิเกฺขปา สทฺธินฺทฺริยาทีนิฯ เตหิ จ สเพฺพ สทฺธมฺมา โพธิตา ภวนฺติฯ อกุสลคฺคหเณน อโกสลฺลปฎิจฺฉาทิตาทีนเวสุ กายเวทนาจิตฺตธเมฺมสุ สุภสุขนิจฺจอตฺตาภินิเวสภูตา จตฺตาโร วิปลฺลาสาฯ อพฺยากตคฺคหเณน ยถาวุตฺตอินฺทฺริยปจฺจยานิ ยถาวุตฺตวิปลฺลาสปฺปหานภูตานิ จ จตฺตาริ สามญฺญผลานิ โพธิตานีติ อยํ สีหวิกฺกีฬิตสฺส นยสฺส ภูมีติ อิเม ตโย อตฺถนยาฯ
Tathā kusalaggahaṇena yato kosallato sambhūtā kusalā, taṃ paññindriyaṃ. Taṃsahajātā tadupanissayā ca saddahanussahanāpilāpāvikkhepā saddhindriyādīni. Tehi ca sabbe saddhammā bodhitā bhavanti. Akusalaggahaṇena akosallapaṭicchāditādīnavesu kāyavedanācittadhammesu subhasukhaniccaattābhinivesabhūtā cattāro vipallāsā. Abyākataggahaṇena yathāvuttaindriyapaccayāni yathāvuttavipallāsappahānabhūtāni ca cattāri sāmaññaphalāni bodhitānīti ayaṃ sīhavikkīḷitassa nayassa bhūmīti ime tayo atthanayā.
เตหิ จ สิเทฺธหิ เทฺว กมฺมนยาปิ สิทฺธา โหนฺตีติฯ อยํ ติโก สพฺพธมฺมสงฺคหิตสพฺพภาคิโย เวทิตโพฺพติ อิทํ สาสนปฎฺฐานํฯ
Tehi ca siddhehi dve kammanayāpi siddhā hontīti. Ayaṃ tiko sabbadhammasaṅgahitasabbabhāgiyo veditabboti idaṃ sāsanapaṭṭhānaṃ.
อยํ ตาว เนตฺตินเยน กุสลตฺติกวณฺณนาฯ
Ayaṃ tāva nettinayena kusalattikavaṇṇanā.
เอวํ เวทนาตฺติกาทีสุปิ ยถาสมฺภวํ จตุสจฺจนิทฺธารณาทิวิธินา โสฬส หารา ปญฺจ นยา นิทฺทิสิตพฺพา, อติวิตฺถารภเยน ปน น วิตฺถารยามฯ สกฺกา หิ อิมินา นเยน เตสุ เตสุ ติกทุเกสุ ตํตํหารนยโยชนานุรูปธมฺมนิทฺธารณวเสน เต เต หารนยา วิญฺญุนา นิทฺทิสิตุนฺติฯ
Evaṃ vedanāttikādīsupi yathāsambhavaṃ catusaccaniddhāraṇādividhinā soḷasa hārā pañca nayā niddisitabbā, ativitthārabhayena pana na vitthārayāma. Sakkā hi iminā nayena tesu tesu tikadukesu taṃtaṃhāranayayojanānurūpadhammaniddhāraṇavasena te te hāranayā viññunā niddisitunti.
๒. ตญฺจ สุขินฺทฺริยํ สุขเวทนา เอว โหติ สามญฺญสฺส เภทปริยาทานโต, เภทสฺส จ สามญฺญปริจฺจาคโตติ อธิปฺปาโยฯ ยสฺมา ปน วิเสสสามญฺญานิ อวยวสมุทายา วิย อญฺญมญฺญโต ภินฺนานิ, ตสฺมา ‘‘น ปน…เป.… สมานตฺถตฺตา’’ติ วุตฺตํฯ อิทานิ ตเมว เนสํ ภินฺนตตฺวํ ‘‘อยญฺหี’’ติอาทินา วิวรติฯ ตนฺติ สุขเหตูนํ การณํฯ เตน สุขสฺส การณํ สุขเหตุ, สุขสฺส การณการณํ สุขมูลนฺติ ทเสฺสติฯ สุขเหตูนนฺติ เอตฺถ เหตุ-สเทฺทน การณภาวสามญฺญโต เหตุปจฺจยา สงฺคหิตาติ อาห ‘‘ปุญฺญปสฺสทฺธิอาทีน’’นฺติฯ เอตฺถ จ สุขมูลสุขเหตูสุ ผลูปจาเรน, สุขารมฺมณสุขปจฺจยฎฺฐาเนสุ สุขสหจริยาย, อพฺยาปชฺชนิพฺพาเนสุ ทุกฺขาปคมภาเวน สุขปริยาโย วุโตฺตติ ทฎฺฐโพฺพฯ อิฎฺฐาสูติ สุขุเปกฺขานํ วิปริณามาญฺญาณสงฺขารทุกฺขตาย อนิฎฺฐภาโวปิ อตฺถีติ วิเสเสติฯ อุเปกฺขเมว วา อเปกฺขิตฺวา วิเสสนํ กตํฯ สา หิ อกุสลวิปากภูตา อนิฎฺฐาปิ อตฺถีติฯ เอวมาทีสูติ อาทิ-สเทฺทน ‘‘โสวคฺคิกํ สุขวิปาก’’นฺติ (ที. นิ. ๑.๑๖๓) เอวมาทิํ สงฺคณฺหาติฯ อิฎฺฐปริยาโย หิ เอตฺถ สุข-สโทฺทติฯ
2. Tañca sukhindriyaṃ sukhavedanā eva hoti sāmaññassa bhedapariyādānato, bhedassa ca sāmaññapariccāgatoti adhippāyo. Yasmā pana visesasāmaññāni avayavasamudāyā viya aññamaññato bhinnāni, tasmā ‘‘na pana…pe… samānatthattā’’ti vuttaṃ. Idāni tameva nesaṃ bhinnatatvaṃ ‘‘ayañhī’’tiādinā vivarati. Tanti sukhahetūnaṃ kāraṇaṃ. Tena sukhassa kāraṇaṃ sukhahetu, sukhassa kāraṇakāraṇaṃ sukhamūlanti dasseti. Sukhahetūnanti ettha hetu-saddena kāraṇabhāvasāmaññato hetupaccayā saṅgahitāti āha ‘‘puññapassaddhiādīna’’nti. Ettha ca sukhamūlasukhahetūsu phalūpacārena, sukhārammaṇasukhapaccayaṭṭhānesu sukhasahacariyāya, abyāpajjanibbānesu dukkhāpagamabhāvena sukhapariyāyo vuttoti daṭṭhabbo. Iṭṭhāsūti sukhupekkhānaṃ vipariṇāmāññāṇasaṅkhāradukkhatāya aniṭṭhabhāvopi atthīti viseseti. Upekkhameva vā apekkhitvā visesanaṃ kataṃ. Sā hi akusalavipākabhūtā aniṭṭhāpi atthīti. Evamādīsūti ādi-saddena ‘‘sovaggikaṃ sukhavipāka’’nti (dī. ni. 1.163) evamādiṃ saṅgaṇhāti. Iṭṭhapariyāyo hi ettha sukha-saddoti.
สงฺขารทุกฺขาทีสูติ เอตฺถ อาทิ-สเทฺทน ‘‘ฐิติสุขํ วิปริณามทุกฺขํ, อกุสลํ กายกมฺมํ ทุกฺขุทฺรยํ ทุกฺขวิปาก’’นฺติอาทิเก สงฺคณฺหาติฯ ยถากฺกมํ สุขเวทนา ทุกฺขอนิฎฺฐปริยาโย หิ เอตฺถ ทุกฺข-สโทฺทติฯ ทุกฺขเวทนาทุกฺขวตฺถุอาทีสุ ทุกฺขสทฺทปฺปวตฺติ วุตฺตนเยเนว โยเชตพฺพาฯ วิปากาวิปากเภทาย สพฺพายปิ สุขเวทนาย วเสน ลกฺขณสฺส วุตฺตตฺตา ตทุภยานุกูลมตฺถํ วิวรโนฺต ‘‘สภาวโต’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ วิปากา สภาวโต อิฎฺฐสฺส อนุภวนลกฺขณาฯ อิตรา สภาวโต สงฺกปฺปโต จ อิฎฺฐสฺส อิฎฺฐาการสฺส วา อนุภวนลกฺขณาติ ทฎฺฐพฺพํฯ
Saṅkhāradukkhādīsūti ettha ādi-saddena ‘‘ṭhitisukhaṃ vipariṇāmadukkhaṃ, akusalaṃ kāyakammaṃ dukkhudrayaṃ dukkhavipāka’’ntiādike saṅgaṇhāti. Yathākkamaṃ sukhavedanā dukkhaaniṭṭhapariyāyo hi ettha dukkha-saddoti. Dukkhavedanādukkhavatthuādīsu dukkhasaddappavatti vuttanayeneva yojetabbā. Vipākāvipākabhedāya sabbāyapi sukhavedanāya vasena lakkhaṇassa vuttattā tadubhayānukūlamatthaṃ vivaranto ‘‘sabhāvato’’tiādimāha. Tattha vipākā sabhāvato iṭṭhassa anubhavanalakkhaṇā. Itarā sabhāvato saṅkappato ca iṭṭhassa iṭṭhākārassa vā anubhavanalakkhaṇāti daṭṭhabbaṃ.
อสมานปจฺจเยหิ เอกชฺฌํ อุปฺปตฺติโต สมานปจฺจเยหิ เอกชฺฌํ อุปฺปตฺติ สาติสยาติ อุกฺกํสคติวิชานนวเสน ‘‘สมานปจฺจเยหิ สหุปฺปตฺติกาติ อโตฺถ’’ติ วุตฺตํฯ อถ วา อุปฺปชฺชนํ อุปฺปาโท, อุปฺปชฺชติ เอตสฺมาติ อุปฺปาโทติ ทุวิโธปิ อุปฺปาโท เอกุปฺปาทาติ เอตฺถ เอกเสสนเยน สงฺคหิโตติ อิมินา อธิปฺปาเยน ‘‘สมา…เป.… อโตฺถ’’ติ วุตฺตํ สิยาฯ เตน ตานิ เอกวตฺถุกานีติ เอตสฺส จ ‘‘กเปฺปนฺตสฺสา’’ติอาทินา สมฺพโนฺธฯ ตตฺถ ปุริมวิกเปฺป เอกํ วตฺถุ นิสฺสโย เอเตสนฺติ โยชนา, น เอกํเยว วตฺถูติฯ เอเกกภูตสฺส ภูตตฺตยนิสฺสิตตฺตา จตุภูตนิสฺสิตตฺตา จ อุปาทารูปานํฯ ทุติยวิกเปฺป ปน เอกํเยว วตฺถุ เอเตสุ นิสฺสิตนฺติ โยชนาฯ นิสฺสยนิสฺสิตตาสงฺขาตอุปกาโรปกตฺตพฺพภาวทีปนํ เอกวตฺถุกวจนนฺติ ทุติยวิกเปฺป มหาภูตวเสน โยชนา กตาฯ อิตรถา เอกํ วตฺถุ เอเตสูติ สมาสตฺถภาเวน อุปาทารูปานมฺปิ ปริคฺคโห วตฺตโพฺพ สิยาฯ ปญฺจวิญฺญาณสมฺปฎิจฺฉนานนฺติ อิทํ นิทสฺสนนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ กิริยมโนธาตุจกฺขุวิญฺญาณาทโยปิ หิ เอการมฺมณาภินฺนวตฺถุกา จาติ ปากโฎยมโตฺถติฯ สนฺตีรณาทีนนฺติ อาทิ-สเทฺทน โวฎฺฐพฺพนชวนตทารมฺมณานิ สงฺคยฺหนฺติ, เอตานิ จ สมฺปฎิจฺฉนาทีนิ จุติอาสนฺนานิ อิธาธิเปฺปตานีติ ทฎฺฐพฺพํฯ ตานิ หิ ตทุทฺธํ กมฺมชรูปสฺส อนุปฺปตฺติโต เอกสฺมิํเยว หทยวตฺถุสฺมิํ วตฺตนฺติ, อิตรานิ ปน ปุริมปุริมจิตฺตกฺขณุปฺปเนฺน หทยวตฺถุสฺมิํ อุตฺตรุตฺตรานิ ปวตฺตนฺตีติฯ ฉสุ วา วตฺถูสุ เอกํ หทยวตฺถุเยว วตฺถุ เอเตสนฺติ เอวํ ปน อเตฺถ สติ จุติอาสนฺนโต อิตเรสํ สมฺปฎิจฺฉนาทีนํ คหณํ สิยาติ ญาตพฺพํฯ
Asamānapaccayehi ekajjhaṃ uppattito samānapaccayehi ekajjhaṃ uppatti sātisayāti ukkaṃsagativijānanavasena ‘‘samānapaccayehi sahuppattikāti attho’’ti vuttaṃ. Atha vā uppajjanaṃ uppādo, uppajjati etasmāti uppādoti duvidhopi uppādo ekuppādāti ettha ekasesanayena saṅgahitoti iminā adhippāyena ‘‘samā…pe… attho’’ti vuttaṃ siyā. Tena tāni ekavatthukānīti etassa ca ‘‘kappentassā’’tiādinā sambandho. Tattha purimavikappe ekaṃ vatthu nissayo etesanti yojanā, na ekaṃyeva vatthūti. Ekekabhūtassa bhūtattayanissitattā catubhūtanissitattā ca upādārūpānaṃ. Dutiyavikappe pana ekaṃyeva vatthu etesu nissitanti yojanā. Nissayanissitatāsaṅkhātaupakāropakattabbabhāvadīpanaṃ ekavatthukavacananti dutiyavikappe mahābhūtavasena yojanā katā. Itarathā ekaṃ vatthu etesūti samāsatthabhāvena upādārūpānampi pariggaho vattabbo siyā. Pañcaviññāṇasampaṭicchanānanti idaṃ nidassananti daṭṭhabbaṃ. Kiriyamanodhātucakkhuviññāṇādayopi hi ekārammaṇābhinnavatthukā cāti pākaṭoyamatthoti. Santīraṇādīnanti ādi-saddena voṭṭhabbanajavanatadārammaṇāni saṅgayhanti, etāni ca sampaṭicchanādīni cutiāsannāni idhādhippetānīti daṭṭhabbaṃ. Tāni hi taduddhaṃ kammajarūpassa anuppattito ekasmiṃyeva hadayavatthusmiṃ vattanti, itarāni pana purimapurimacittakkhaṇuppanne hadayavatthusmiṃ uttaruttarāni pavattantīti. Chasu vā vatthūsu ekaṃ hadayavatthuyeva vatthu etesanti evaṃ pana atthe sati cutiāsannato itaresaṃ sampaṭicchanādīnaṃ gahaṇaṃ siyāti ñātabbaṃ.
เอตฺถาห – ‘‘กสฺมา ปเนตฺถ กุสลตฺติกานนฺตรํ เวทนาตฺติโกว วุโตฺต’’ติ? กิสฺมิํ ปน วุจฺจมาเน อยมนุโยโค น สิยา, อปิจ อวยวานํ อเนกเภทตาทสฺสนตฺถา ติกนฺตรเทสนาฯ สมฺมาสมฺพุเทฺธน หิ กุสลตฺติเกน สพฺพธมฺมานํ ติธา วิภาคํ ทเสฺสตฺวา ปุน ตทวยวานํ กุสลาทีนมฺปิ อเนกเภทภินฺนตํ ทเสฺสเนฺตน เตสํ เวทนาสมฺปโยควิภาควิภาวนตฺถํ ‘‘สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา’’ติ วุตฺตํฯ กุสลา หิ ธมฺมา สิยา สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา, สิยา อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตาฯ อกุสลา ธมฺมา สิยา สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา, สิยา ทุกฺขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา, สิยา อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา, ตถา อพฺยากตา สมฺปโยคารหาติฯ เอวํ กุสลาทิธมฺมานํ ปเจฺจกํ เวทนาเภเทน วิภาคทสฺสนตฺถํ กุสลตฺติกานนฺตรํ เวทนาตฺติกํ วตฺวา อิทานิ สุขสมฺปยุตฺตาทีนํ ปเจฺจกํ วิปากาทิเภทภินฺนตํ ทเสฺสตุํ เวทนาตฺติกานนฺตรํ วิปากตฺติโก วุโตฺตฯ สุขสมฺปยุตฺตา หิ ธมฺมา สิยา วิปากา, สิยา วิปากธมฺมธมฺมา, สิยา เนววิปากนวิปากธมฺมธมฺมาฯ ตถา อทุกฺขมสุขสมฺปยุตฺตา, ทุกฺขสมฺปยุตฺตา ปน สิยา วิปากา, สิยา วิปากธมฺมธมฺมาติ อิมินา นเยน อวเสสตฺติกานํ ทุกานญฺจ ตสฺส ตสฺส อนนฺตรวจเน ปโยชนํ วิภาเวตพฺพํฯ
Etthāha – ‘‘kasmā panettha kusalattikānantaraṃ vedanāttikova vutto’’ti? Kismiṃ pana vuccamāne ayamanuyogo na siyā, apica avayavānaṃ anekabhedatādassanatthā tikantaradesanā. Sammāsambuddhena hi kusalattikena sabbadhammānaṃ tidhā vibhāgaṃ dassetvā puna tadavayavānaṃ kusalādīnampi anekabhedabhinnataṃ dassentena tesaṃ vedanāsampayogavibhāgavibhāvanatthaṃ ‘‘sukhāya vedanāya sampayuttā’’ti vuttaṃ. Kusalā hi dhammā siyā sukhāya vedanāya sampayuttā, siyā adukkhamasukhāya vedanāya sampayuttā. Akusalā dhammā siyā sukhāya vedanāya sampayuttā, siyā dukkhāya vedanāya sampayuttā, siyā adukkhamasukhāya vedanāya sampayuttā, tathā abyākatā sampayogārahāti. Evaṃ kusalādidhammānaṃ paccekaṃ vedanābhedena vibhāgadassanatthaṃ kusalattikānantaraṃ vedanāttikaṃ vatvā idāni sukhasampayuttādīnaṃ paccekaṃ vipākādibhedabhinnataṃ dassetuṃ vedanāttikānantaraṃ vipākattiko vutto. Sukhasampayuttā hi dhammā siyā vipākā, siyā vipākadhammadhammā, siyā nevavipākanavipākadhammadhammā. Tathā adukkhamasukhasampayuttā, dukkhasampayuttā pana siyā vipākā, siyā vipākadhammadhammāti iminā nayena avasesattikānaṃ dukānañca tassa tassa anantaravacane payojanaṃ vibhāvetabbaṃ.
๓. วิปากนิรุตฺติญฺจ ลภนฺตีติ เตสุ วิปากสทฺทสฺส นิรุฬฺหตํ ทเสฺสติฯ สุกฺกกณฺหาทีติ อาทิ-สเทฺทน อกณฺหอสุกฺกผสฺสาทิภาโว ปริคฺคหิโตฯ สติ ปน ปาก-สทฺทสฺส ผลปริยายภาเว รูปํ วิย น นิหีโน ปกฺกํ วิย วิสิโฎฺฐ ปาโกติ วิปาโกติ เอวํ วา เอตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ สพฺยาปารตาติ สอุสฺสาหตาฯ สนฺตาเน สพฺยาปารตาติ เอเตน จิตฺตปฺปโยคสงฺขาเตน กิริยาภาเวน วิปากธมฺมานํ สนฺตานวิเสสมาห ‘‘ยโต ยสฺมิํ จิตฺตุปฺปาเท กุสลากุสลา เจตนา, ตํสนฺตาเน เอว ตสฺสา วิปากุปฺปตฺตี’’ติฯ เอตฺถ จ ‘‘สพฺยาปารตา’’ติ เอเตน อาวชฺชนทฺวยํ วิปากญฺจ นิวเตฺตติ, ‘‘อนุปจฺฉินฺนาวิชฺชาตณฺหามาเน’’ติ อิมินา อวสิฎฺฐํ กิริยํ นิวเตฺตติฯ อุภเยนปิ อนุสยสหายสอุสฺสาหตาลกฺขณา วิปากธมฺมธมฺมาติ ทเสฺสติฯ โลกุตฺตรกุสลานมฺปิ หิ อนุสยา อุปนิสฺสยา โหนฺติ, ยโต ‘‘กตเม ธมฺมา กุสลา? ยสฺมิํ สมเย โลกุตฺตรํ…เป.… ตสฺมิํ สมเย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติอาทินา (วิภ. ๓๔๒) อริยมคฺคเจตนาย อวิชฺชาอุปนิสฺสยตา ปฎิจฺจสมุปฺปาทวิภเงฺค ปกาสิตาฯ นิรุสฺสาหสนฺตภาวลกฺขณา วิปากา, อุภยวิปรีตลกฺขณา เนววิปากนวิปากธมฺมธมฺมาติฯ
3. Vipākaniruttiñca labhantīti tesu vipākasaddassa niruḷhataṃ dasseti. Sukkakaṇhādīti ādi-saddena akaṇhaasukkaphassādibhāvo pariggahito. Sati pana pāka-saddassa phalapariyāyabhāve rūpaṃ viya na nihīno pakkaṃ viya visiṭṭho pākoti vipākoti evaṃ vā ettha attho daṭṭhabbo. Sabyāpāratāti saussāhatā. Santāne sabyāpāratāti etena cittappayogasaṅkhātena kiriyābhāvena vipākadhammānaṃ santānavisesamāha ‘‘yato yasmiṃ cittuppāde kusalākusalā cetanā, taṃsantāne eva tassā vipākuppattī’’ti. Ettha ca ‘‘sabyāpāratā’’ti etena āvajjanadvayaṃ vipākañca nivatteti, ‘‘anupacchinnāvijjātaṇhāmāne’’ti iminā avasiṭṭhaṃ kiriyaṃ nivatteti. Ubhayenapi anusayasahāyasaussāhatālakkhaṇā vipākadhammadhammāti dasseti. Lokuttarakusalānampi hi anusayā upanissayā honti, yato ‘‘katame dhammā kusalā? Yasmiṃ samaye lokuttaraṃ…pe… tasmiṃ samaye avijjāpaccayā saṅkhārā’’tiādinā (vibha. 342) ariyamaggacetanāya avijjāupanissayatā paṭiccasamuppādavibhaṅge pakāsitā. Nirussāhasantabhāvalakkhaṇā vipākā, ubhayaviparītalakkhaṇā nevavipākanavipākadhammadhammāti.
อภิญฺญาทิกุสลานนฺติ อาทิ-สเทฺทน ‘‘อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก’’ติ (ปฎิ. ม. ๑.๒๓๔) อิมินา ติเกน สงฺคหิตํ คติอุปธิกาลปโยคาภาเวน อวิปากํ ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ อุปปชฺชเวทนียญฺจ สงฺคณฺหาติฯ อปราปริยเวทนียํ ปน สํสารปฺปวตฺติยํ อโหสิกมฺมาทิภาวํ น ภชติฯ ภาวนาย ปหาตพฺพาทีติ อาทิ-สเทฺทน ทสฺสเนน ปหาตพฺพํ สงฺคณฺหาติฯ อุภยมฺปิ ‘‘วิปากานุปฺปาทเน’’ติ วจนโต คติอุปธิกาลปโยคาภาเวน อนุปฺปนฺนวิปากเมว อธิเปฺปตํ ภาวนาย ปหาตพฺพสฺสปิ ปวตฺติวิปากสฺส อนุชานนโตฯ เยสํ ปน ภาวนาย ปหาตพฺพา อวิปากา, เตสํ มเตน อาทิ-สเทฺทน ทสฺสเนน ปหาตพฺพสฺส อโหสิกมฺมนฺติ เอวํปการเสฺสว ปริคฺคโหติ เวทิตพฺพํฯ
Abhiññādikusalānanti ādi-saddena ‘‘ahosi kammaṃ nāhosi kammavipāko’’ti (paṭi. ma. 1.234) iminā tikena saṅgahitaṃ gatiupadhikālapayogābhāvena avipākaṃ diṭṭhadhammavedanīyaṃ upapajjavedanīyañca saṅgaṇhāti. Aparāpariyavedanīyaṃ pana saṃsārappavattiyaṃ ahosikammādibhāvaṃ na bhajati. Bhāvanāya pahātabbādīti ādi-saddena dassanena pahātabbaṃ saṅgaṇhāti. Ubhayampi ‘‘vipākānuppādane’’ti vacanato gatiupadhikālapayogābhāvena anuppannavipākameva adhippetaṃ bhāvanāya pahātabbassapi pavattivipākassa anujānanato. Yesaṃ pana bhāvanāya pahātabbā avipākā, tesaṃ matena ādi-saddena dassanena pahātabbassa ahosikammanti evaṃpakārasseva pariggahoti veditabbaṃ.
๔. ‘‘กถมาทินฺนา’’ติ อยมฺปิ ปโญฺห ลพฺภติฯ ‘‘ผลภาเวนา’’ติ หิ อาทานปฺปการวจนํฯ เกสญฺจิ โคตฺรภุปจฺจเวกฺขณาทีนํ อุเปตกิริยภูตานํ ตํกตฺตุภูตานญฺจ อตฺถานํ อุเปตพฺพสมฺพนฺธภาวโต ตทภิธายิโนปิ สทฺทา สมฺพนฺธา เอวาติ ‘‘อุเปตสทฺทสมฺพนฺธินา’’ติ วุตฺตํฯ อุเปตนฺติ หิ อุเปตพฺพเตฺถ วุจฺจมาเน อวสฺสํ อุเปตกิริยา อุเปตา จ ญายตีติฯ ‘‘รูปธาตุยา โข ปน, คหปติ, โย ฉโนฺท โย ราโค ยา นนฺที ยา ตณฺหา เย อุปยุปาทานา, เจตโส อธิฎฺฐานา อภินิเวสา อนุสยา’’ติอาทีสุ ‘‘อุปโย’’ติ ตณฺหาทิฎฺฐิโย อธิเปฺปตาติ อาห ‘‘อุปย…เป.… ทิฎฺฐีหี’’ติฯ ยถาสมฺภวนฺติ ‘‘อารมฺมณกรณวเสนา’’ติอาทินา อฎฺฐกถายํ วุตฺตอเตฺถสุ โย โย สมฺภวติ โยเชตุํ, โส โสติ อโตฺถฯ น วจนานุปุเพฺพนาติ ‘‘กิํ ปน ตํ อุเปต’’นฺติอาทินา วุตฺตวจนานุปุเพฺพน น โยเชตโพฺพฯ สพฺพปจฺจยุปฺปนฺนานนฺติ สพฺพเตภูมกปจฺจยุปฺปนฺนานํฯ นาปชฺชติ สามญฺญโชตนาย วิเสเส อวฎฺฐานโต วิเสสตฺถินา จ วิเสโส อนุปยุชฺชตีติ ตํ ปน วิเสสํ วุตฺตปฺปการํ นิยเมตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘โพธเนยฺยา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ
4. ‘‘Kathamādinnā’’ti ayampi pañho labbhati. ‘‘Phalabhāvenā’’ti hi ādānappakāravacanaṃ. Kesañci gotrabhupaccavekkhaṇādīnaṃ upetakiriyabhūtānaṃ taṃkattubhūtānañca atthānaṃ upetabbasambandhabhāvato tadabhidhāyinopi saddā sambandhā evāti ‘‘upetasaddasambandhinā’’ti vuttaṃ. Upetanti hi upetabbatthe vuccamāne avassaṃ upetakiriyā upetā ca ñāyatīti. ‘‘Rūpadhātuyā kho pana, gahapati, yo chando yo rāgo yā nandī yā taṇhā ye upayupādānā, cetaso adhiṭṭhānā abhinivesā anusayā’’tiādīsu ‘‘upayo’’ti taṇhādiṭṭhiyo adhippetāti āha ‘‘upaya…pe… diṭṭhīhī’’ti. Yathāsambhavanti ‘‘ārammaṇakaraṇavasenā’’tiādinā aṭṭhakathāyaṃ vuttaatthesu yo yo sambhavati yojetuṃ, so soti attho. Na vacanānupubbenāti ‘‘kiṃ pana taṃ upeta’’ntiādinā vuttavacanānupubbena na yojetabbo. Sabbapaccayuppannānanti sabbatebhūmakapaccayuppannānaṃ. Nāpajjati sāmaññajotanāya visese avaṭṭhānato visesatthinā ca viseso anupayujjatīti taṃ pana visesaṃ vuttappakāraṃ niyametvā dassetuṃ ‘‘bodhaneyyā’’tiādi vuttaṃ.
อุเปตํ ทีเปตีติ ยถา ‘‘ปาจริโย’’ติ เอตฺถ ปคโต อาจริโย ปาจริโยติ ป-สโทฺท ปคตํ ทีเปติ, เอวํ อุป-สโทฺท อุเปตํ ทีเปติ เอว, น เจตฺถ คตาทิอตฺถานํ เอกเนฺตน ปจฺจตฺตวจนโยโค อิจฺฉิโตติฯ อติสโทฺท วิยาติ จ อิทํ สสาธนกิริยาทีปนสามเญฺญน วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ปจฺจยภาเวนาติ เอเตน ปุริมนิพฺพตฺติํ วิเสเสติฯ เตน สหชาตสฺสปิ อุปาทานสฺส สงฺคโห กโต โหติฯ สหชาโตปิ หิ ธโมฺม ปจฺจยภูโต ปุริมนิปฺผโนฺน วิย โวหรียติ ยถา ‘‘เอกํ มหาภูตํ ปฎิจฺจ ตโย มหาภูตา’’ติ, ‘‘เอกํ ขนฺธํ ปฎิจฺจ ตโย ขนฺธา’’ติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๕๓) จฯ ธาตุกถายํ ปกาสิตนฺติ ‘‘อุปปตฺติภโว ปญฺจหิ ขเนฺธหิ เอกาทสหายตเนหิ สตฺตรสหิ ธาตูหิ สงฺคหิโตฯ กติหิ อสงฺคหิโตฯ น เกหิจิ ขเนฺธหิ เอเกนายตเนน เอกาย ธาตุยา อสงฺคหิโต’’ติ (ธาตุ. ๖๗) เอวมาทิํ สนฺธายาหฯ ตสฺมา เอวาติ อุปาทินฺนสทฺทานเปกฺขตฺตา เอวฯ อวิเสเสตฺวาติ อุปาทินฺนานุปาทินฺนวิเสสํ อกตฺวาฯ อุปาทานานํ อารมฺมณภาวานติวตฺตนโต อุปาทาเนหิ อุปาทาตพฺพาติ วา อุปาทานิยา, อุปาทาตุํ วา อรหนฺตีติ อุปาทานิยา, อุปาทาเน นิยุตฺตาติ วา อุปาทานิยา ก-การสฺส ย-การํ กตฺวาติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพติฯ
Upetaṃ dīpetīti yathā ‘‘pācariyo’’ti ettha pagato ācariyo pācariyoti pa-saddo pagataṃ dīpeti, evaṃ upa-saddo upetaṃ dīpeti eva, na cettha gatādiatthānaṃ ekantena paccattavacanayogo icchitoti. Atisaddo viyāti ca idaṃ sasādhanakiriyādīpanasāmaññena vuttanti daṭṭhabbaṃ. Paccayabhāvenāti etena purimanibbattiṃ viseseti. Tena sahajātassapi upādānassa saṅgaho kato hoti. Sahajātopi hi dhammo paccayabhūto purimanipphanno viya voharīyati yathā ‘‘ekaṃ mahābhūtaṃ paṭicca tayo mahābhūtā’’ti, ‘‘ekaṃ khandhaṃ paṭicca tayo khandhā’’ti (paṭṭhā. 1.1.53) ca. Dhātukathāyaṃ pakāsitanti ‘‘upapattibhavo pañcahi khandhehi ekādasahāyatanehi sattarasahi dhātūhi saṅgahito. Katihi asaṅgahito. Na kehici khandhehi ekenāyatanena ekāya dhātuyā asaṅgahito’’ti (dhātu. 67) evamādiṃ sandhāyāha. Tasmā evāti upādinnasaddānapekkhattā eva. Avisesetvāti upādinnānupādinnavisesaṃ akatvā. Upādānānaṃ ārammaṇabhāvānativattanato upādānehi upādātabbāti vā upādāniyā, upādātuṃ vā arahantīti upādāniyā, upādāne niyuttāti vā upādāniyā ka-kārassa ya-kāraṃ katvāti evamettha attho daṭṭhabboti.
๕. วิพาธนํ ปีฬนํ กิลมนํ อุปตาโป ปริฬาโห อปฺปสฺสทฺธิภาโวฯ วิทูสิตา มลีนา จ ยโต เกจิ อกิเลสสภาวาปิ อนิฎฺฐผลา คารยฺหา จ ชาตาฯ
5. Vibādhanaṃ pīḷanaṃ kilamanaṃ upatāpo pariḷāho appassaddhibhāvo. Vidūsitā malīnā ca yato keci akilesasabhāvāpi aniṭṭhaphalā gārayhā ca jātā.
๖. ‘‘สีลมตฺตกํ, ปรํ วิย มตฺตายา’’ติอาทีสุ มตฺตา-สทฺทสฺส ปมาณวาจกตา ทฎฺฐพฺพาฯ มริยาทวาจโก วา มตฺตา-สโทฺทฯ วิจาโร เหตฺถ ฌานเงฺคสุ เหฎฺฐิมมริยาโท, น ปฐมชฺฌานอุปจารชฺฌาเนสุ วิย วิตโกฺกฯ สา ปน วิจารมริยาทตา วิตกฺกาภาเวน เอเตสํ ชาตาติ อวิตกฺกคฺคหณํ กตํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อวิตกฺกา หุตฺวา วิจารมริยาทฌานเงฺคสุ วิจารเหฎฺฐิมโกฎิกาติฯ อถ วา อีสทโตฺถ มตฺตา-สโทฺท ‘‘มตฺตาสุขปริจฺจาคา’’ติอาทีสุ (ธ. ป. ๒๙๐) วิยฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ – วิตกฺกรหิตา ภาวนาย อติสุขุมภูตวิจารตฺตา อีสํ วิจารา จ อวิตกฺกวิจารมตฺตาติฯ น หิ อิโต ปรํ วิจาโร อตฺถีติฯ ยทิ วิตกฺกวิเสสรหิตา วิจารมตฺตา, เอวํ สเนฺต อวิตกฺกวจนํ กิมตฺถิยนฺติ อาห ‘‘วิจารมตฺตวจเนนา’’ติอาทิฯ ยทิ วิจารมตฺตโต อเญฺญสมฺปิ อวิตกฺกานํ อตฺถิภาวโชตนตฺถํ อวิตกฺกวจนํ, อวิตกฺกา จ วิจารมตฺตา อวิจาราติ นิวเตฺตตพฺพา คเหตพฺพา จ, เอวํ สติ วิจารมตฺตา วิเสสนํ, อวิตกฺกา วิเสสิตพฺพาติ วิจารมตฺตาวิตกฺกาติ วตฺตพฺพนฺติ โจทนํ มนสิ กตฺวา อาห ‘‘วิเสสนวิเสสิตพฺพภาโว’’ติอาทิฯ ยถากามนฺติ วตฺตุอิจฺฉานุรูปํ ฯ เยน เยน หิ ปกาเรน ธเมฺมสุ นิวเตฺตตพฺพคเหตพฺพภาวา ลพฺภนฺติ, เตน เตน ปกาเรน วิเสสนวิเสสิตพฺพภาโว สมฺภวตีติฯ ปทานํ อนุกฺกโม ปทานุกฺกโมฯ
6. ‘‘Sīlamattakaṃ, paraṃ viya mattāyā’’tiādīsu mattā-saddassa pamāṇavācakatā daṭṭhabbā. Mariyādavācako vā mattā-saddo. Vicāro hettha jhānaṅgesu heṭṭhimamariyādo, na paṭhamajjhānaupacārajjhānesu viya vitakko. Sā pana vicāramariyādatā vitakkābhāvena etesaṃ jātāti avitakkaggahaṇaṃ kataṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – avitakkā hutvā vicāramariyādajhānaṅgesu vicāraheṭṭhimakoṭikāti. Atha vā īsadattho mattā-saddo ‘‘mattāsukhapariccāgā’’tiādīsu (dha. pa. 290) viya. Ayañhettha attho – vitakkarahitā bhāvanāya atisukhumabhūtavicārattā īsaṃ vicārā ca avitakkavicāramattāti. Na hi ito paraṃ vicāro atthīti. Yadi vitakkavisesarahitā vicāramattā, evaṃ sante avitakkavacanaṃ kimatthiyanti āha ‘‘vicāramattavacanenā’’tiādi. Yadi vicāramattato aññesampi avitakkānaṃ atthibhāvajotanatthaṃ avitakkavacanaṃ, avitakkā ca vicāramattā avicārāti nivattetabbā gahetabbā ca, evaṃ sati vicāramattā visesanaṃ, avitakkā visesitabbāti vicāramattāvitakkāti vattabbanti codanaṃ manasi katvā āha ‘‘visesanavisesitabbabhāvo’’tiādi. Yathākāmanti vattuicchānurūpaṃ . Yena yena hi pakārena dhammesu nivattetabbagahetabbabhāvā labbhanti, tena tena pakārena visesanavisesitabbabhāvo sambhavatīti. Padānaṃ anukkamo padānukkamo.
อวิตกฺกา สวิตกฺกา จ สวิจารา อวิจารา จาติ อวิตกฺกาสวิจารา สวิตกฺกา อวิจาราติ โยเชตพฺพํฯ อุภเยกเทสทสฺสนมฺปิ อุภยทสฺสนนฺติ อธิปฺปาเยน ‘‘ยทิ สวิตกฺกสวิจารา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อิตรมฺปิ ปกาเสตุนฺติ อิทํ ยถา สวิตกฺกสวิจาเรสุ จิตฺตุปฺปาเทสุ วิตโกฺก อวิตกฺกสวิจารตาย ‘‘อวิตกฺกวิจารมโตฺต’’ติ วุโตฺต, เอวํ ยถาวุตฺตจิตฺตุปฺปาเทสุ วิจาโร ‘‘สวิตกฺกอวิจาโร’’ติ สกฺกา วิญฺญาตุนฺติ อิมมตฺถํ สนฺธาย วุตฺตํฯ วิตกฺกาภาเวน เอเต วิจารมตฺตาติ อยมฺปิ อโตฺถ วิเสสนิวตฺติอตฺถํเยว มตฺตา-สทฺทํ คเหตฺวา วุโตฺตฯ วิจารมตฺตาติ หิ วิจารมตฺตวโนฺตติ วิญฺญายมานตฺตา ตทญฺญวิเสสวิรหสามญฺญโต นิวเตฺตตฺวา วิตกฺกวิเสสวิรหสงฺขาเต อวิตกฺก-สโทฺท สนฺนิธาปิโต วิเสเสติ ทุติยชฺฌานธเมฺมติฯ ยถาห ‘‘น วิจารโต’’ติอาทิฯ
Avitakkā savitakkā ca savicārā avicārā cāti avitakkāsavicārā savitakkā avicārāti yojetabbaṃ. Ubhayekadesadassanampi ubhayadassananti adhippāyena ‘‘yadi savitakkasavicārā’’tiādi vuttaṃ. Itarampi pakāsetunti idaṃ yathā savitakkasavicāresu cittuppādesu vitakko avitakkasavicāratāya ‘‘avitakkavicāramatto’’ti vutto, evaṃ yathāvuttacittuppādesu vicāro ‘‘savitakkaavicāro’’ti sakkā viññātunti imamatthaṃ sandhāya vuttaṃ. Vitakkābhāvena ete vicāramattāti ayampi attho visesanivattiatthaṃyeva mattā-saddaṃ gahetvā vutto. Vicāramattāti hi vicāramattavantoti viññāyamānattā tadaññavisesavirahasāmaññato nivattetvā vitakkavisesavirahasaṅkhāte avitakka-saddo sannidhāpito viseseti dutiyajjhānadhammeti. Yathāha ‘‘na vicārato’’tiādi.
๗. เวทยมานาติ อนุภวมานาฯ สุขากาเรติ อิฎฺฐากาเร, อิฎฺฐานุภวนากาเร วาฯ อุทาสินาติ นติอปนติรหิตาฯ สุขทุกฺขานํ อวิรุทฺธา เตสํ พฺยวธายิกาภาวโตฯ สุขทุกฺขานิ วิย หิ สุขทุกฺขานํ อนนฺตรํ ปวตฺตนโต พฺยวธายิกาภูตา น เตหิ วิรุชฺฌติ, น ปน สุขทุกฺขานิ อนนฺตราปวตฺติโตฯ ‘‘อุปปตฺติโต อิกฺขตีติ อุเปกฺขา’’ติ อยํ ปนโตฺถ อิธ อุเปกฺขา-สทฺทสฺส สพฺพุเปกฺขาปริยาทานโต น วุโตฺตฯ น หิ โลภสมฺปยุตฺตาทิอุเปกฺขา อุปปตฺติโต อิกฺขตีติฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ปีติสหคตาเยว น สุขสหคตา, สุขสหคตาปิ น ปีติสหคตา เอวาติ ปีติสหคตา สุขสหคตา จ อญฺญมญฺญํ ภินฺนา, ตสฺมาฯ สติปิ สุขสหคตานํ เยภุเยฺยน ปีติสหคตภาเว เยน สุเขน สมนฺนาคตา สุขสหคตา เอว โหนฺติ, น ปีติสหคตา, ตํ สุขํ นิปฺปีติกสุขนฺติ อยํ วิเสโส อิมินา ติเกน ทสฺสิโตติ อิมมตฺถํ วิภาเวโนฺต ‘‘ปีติสหคตาติ วตฺวา’’ติอาทิมาหฯ
7. Vedayamānāti anubhavamānā. Sukhākāreti iṭṭhākāre, iṭṭhānubhavanākāre vā. Udāsināti natiapanatirahitā. Sukhadukkhānaṃ aviruddhā tesaṃ byavadhāyikābhāvato. Sukhadukkhāni viya hi sukhadukkhānaṃ anantaraṃ pavattanato byavadhāyikābhūtā na tehi virujjhati, na pana sukhadukkhāni anantarāpavattito. ‘‘Upapattito ikkhatīti upekkhā’’ti ayaṃ panattho idha upekkhā-saddassa sabbupekkhāpariyādānato na vutto. Na hi lobhasampayuttādiupekkhā upapattito ikkhatīti. Tasmāti yasmā pītisahagatāyeva na sukhasahagatā, sukhasahagatāpi na pītisahagatā evāti pītisahagatā sukhasahagatā ca aññamaññaṃ bhinnā, tasmā. Satipi sukhasahagatānaṃ yebhuyyena pītisahagatabhāve yena sukhena samannāgatā sukhasahagatā eva honti, na pītisahagatā, taṃ sukhaṃ nippītikasukhanti ayaṃ viseso iminā tikena dassitoti imamatthaṃ vibhāvento ‘‘pītisahagatāti vatvā’’tiādimāha.
สิโทฺธติ สาวเสสํ นิรวเสสญฺจ สุขปีติโย สงฺคเหตฺวา ปวเตฺตหิ ปฐมทุติยปเทหิ โย ปีติสหคโต ธมฺมวิเสโส, ตํ สุขํ, โย จ สุขสหคโต ธมฺมวิเสโส, สา ปีตีติ สติปิ อญฺญมญฺญํ สํสฎฺฐภาเว ปทนฺตรสงฺคหิตภาวทีปนโตสิโทฺธ ญาโต วิทิโตติ อโตฺถฯ ‘‘จตุตฺถชฺฌานสุขํ อติปณีตสุขนฺติ โอฬาริกงฺคโต นีหริตฺวา ตสฺส ปณีตภาวํ ทเสฺสตุํ อยํ ติโก วุโตฺต’’ติ เกจิ วทนฺติ, ตเทตํ สเพฺพสํ สุขเวทนาสมฺปยุตฺตธมฺมานํ อิธ ‘‘สุขสหคตา’’ติ วุตฺตตฺตา วิจาเรตพฺพํฯ ตถา หิ ‘‘สุขภูมิยํ กามาวจเร’’ติอาทินา (ธ. ส. ๑๒๘๓) ‘‘กามาวจรกุสลโต จตฺตาโร โสมนสฺสสหคตจิตฺตุปฺปาทา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๑๕๙๘) จ นิเทฺทโส ปวโตฺตติฯ
Siddhoti sāvasesaṃ niravasesañca sukhapītiyo saṅgahetvā pavattehi paṭhamadutiyapadehi yo pītisahagato dhammaviseso, taṃ sukhaṃ, yo ca sukhasahagato dhammaviseso, sā pītīti satipi aññamaññaṃ saṃsaṭṭhabhāve padantarasaṅgahitabhāvadīpanatosiddho ñāto viditoti attho. ‘‘Catutthajjhānasukhaṃ atipaṇītasukhanti oḷārikaṅgato nīharitvā tassa paṇītabhāvaṃ dassetuṃ ayaṃ tiko vutto’’ti keci vadanti, tadetaṃ sabbesaṃ sukhavedanāsampayuttadhammānaṃ idha ‘‘sukhasahagatā’’ti vuttattā vicāretabbaṃ. Tathā hi ‘‘sukhabhūmiyaṃ kāmāvacare’’tiādinā (dha. sa. 1283) ‘‘kāmāvacarakusalato cattāro somanassasahagatacittuppādā’’tiādinā (dha. sa. 1598) ca niddeso pavattoti.
๘. นิพฺพานารมฺมณตํ สนฺธายาห, น นิพฺพานปฎิวิชฺฌนํ, อิตรถา โคตฺรภุสฺส ทสฺสนภาวาปตฺติ อโจทนียา สิยาติ อธิปฺปาโยฯ นนุ จ ทิสฺวา กตฺตพฺพกิจฺจกรเณน โสตาปตฺติมโคฺคว ทสฺสนนฺติ อุกฺกํสคติวิชานเนน นิพฺพานสฺส ปฎิวิชฺฌนเมว ทสฺสนนฺติ โคตฺรภุสฺส ทสฺสนภาวาปตฺติ น โจเทตพฺพาวาติ? น, ทสฺสนสามญฺญเสฺสว สุยฺยมานตฺตา ทสฺสนกตฺตพฺพกิจฺจกรณานญฺจ เภเทน วุตฺตตฺตาฯ ตตฺถ ยทิปิ ‘‘ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา อาสวา ปริกฺขีณา โหนฺตี’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๒.๑๘๒) วิย อภินฺนกาลสฺสปิ ภินฺนกาลสฺส วิย เภโทปจารทสฺสนโต เภทวจนํ ยุตฺตํ, ทสฺสนวิเสเส ปน อธิเปฺปเต ทสฺสนสามญฺญวจนํ น กตฺตพฺพนฺติ ทสฺสนสามญฺญมตฺตํ คเหตฺวา โจทนา กตาติ ‘‘นิพฺพานารมฺมณตํ สนฺธายาหา’’ติ วุตฺตํฯ ทุติยตติยมคฺคานมฺปิ ธมฺมจกฺขุปริยายสพฺภาวโต ‘‘ภาวนาภาวํ อปฺปตฺต’’นฺติ วุตฺตํฯ ตตฺถ ภาวนา วฑฺฒนาฯ สา จ พหุลํ อุปฺปตฺติยา โหตีติ อาห ‘‘ปุนปฺปุนํ นิพฺพตฺตเนนา’’ติฯ ตถา หิ สตีติ ‘‘อุภยปฎิเกฺขปวเสนา’’ติ ปทสฺส ทสฺสนภาวนาปฎิเกฺขปวเสนาติ อเตฺถ สติฯ นนุ โลกิยสมถวิปสฺสนาปิ ยถาพลํ กามจฺฉนฺทาทีนํ ปหายกา, ตตฺร กถมิทํ วุตฺตํ, น จ อโญฺญ ปหายโก อตฺถีติ โจทนํ สนฺธายาห ‘‘อเญฺญหี’’ติอาทิฯ
8. Nibbānārammaṇataṃ sandhāyāha, na nibbānapaṭivijjhanaṃ, itarathā gotrabhussa dassanabhāvāpatti acodanīyā siyāti adhippāyo. Nanu ca disvā kattabbakiccakaraṇena sotāpattimaggova dassananti ukkaṃsagativijānanena nibbānassa paṭivijjhanameva dassananti gotrabhussa dassanabhāvāpatti na codetabbāvāti? Na, dassanasāmaññasseva suyyamānattā dassanakattabbakiccakaraṇānañca bhedena vuttattā. Tattha yadipi ‘‘paññāya cassa disvā āsavā parikkhīṇā hontī’’tiādīsu (ma. ni. 2.182) viya abhinnakālassapi bhinnakālassa viya bhedopacāradassanato bhedavacanaṃ yuttaṃ, dassanavisese pana adhippete dassanasāmaññavacanaṃ na kattabbanti dassanasāmaññamattaṃ gahetvā codanā katāti ‘‘nibbānārammaṇataṃ sandhāyāhā’’ti vuttaṃ. Dutiyatatiyamaggānampi dhammacakkhupariyāyasabbhāvato ‘‘bhāvanābhāvaṃ appatta’’nti vuttaṃ. Tattha bhāvanā vaḍḍhanā. Sā ca bahulaṃ uppattiyā hotīti āha ‘‘punappunaṃ nibbattanenā’’ti. Tathā hi satīti ‘‘ubhayapaṭikkhepavasenā’’ti padassa dassanabhāvanāpaṭikkhepavasenāti atthe sati. Nanu lokiyasamathavipassanāpi yathābalaṃ kāmacchandādīnaṃ pahāyakā, tatra kathamidaṃ vuttaṃ, na ca añño pahāyako atthīti codanaṃ sandhāyāha ‘‘aññehī’’tiādi.
๙. อปฺปหาตพฺพเหตุมเตฺตสูติ อปฺปหาตพฺพเหตุกมเตฺตสุฯ สโพฺพ กุสลาพฺยากตธโมฺม ยถาธิเปฺปตโตฺถฯ สมาโส น อุปปชฺชติ อสมตฺถภาวโตฯ เยสนฺติ เย ตติยราสิภาเวน วุตฺตา ธมฺมา, อโตฺถ เตสํฯ อุภินฺนนฺติ วิสุํ วิสุํ โยเชตพฺพตาย เทฺว ปหาตพฺพเหตุสทฺทาติ กตฺวา วุตฺตํฯ เอตนฺติ ‘‘เนวทสฺสเนน นภาวนาย ปหาตโพฺพ เหตุ เอเตสํ อตฺถี’’ติ เอตํ วจนํฯ เตหิ ทสฺสนภาวนาปเทหิ ยุเตฺตน ปหาตพฺพเหตุกปเทนฯ เอวญฺจ กตฺวาติ เอวํ ทสฺสนภาวนาปเทหิ ปหาตพฺพเหตุกปทสฺส วิสุํ วิสุํ โยชนโตฯ เอวญฺหิ ปุริมปททฺวย…เป.… ทสฺสนเมตํ โหตีติฯ เอวนฺติ ทสฺสนภาวนาหิ นปหาตโพฺพ เหตุ เอเตสนฺติ เอวํ อเตฺถ สติฯ ‘‘เหตุ…เป.… สิยา’’ติ เอตสฺส ‘‘ปุริมสฺมิญฺหิ อเตฺถ’’ติอาทินา อเหตุกานํ อคฺคหิตภาวทสฺสนวเสน อตฺถํ วตฺวา อิทานิ ‘‘อถ วา’’ติอาทินา ทุติยเสฺสว อตฺถสฺส ยุตฺตภาวํ วิภาเวโนฺต ‘‘คเหตพฺพตฺถเสฺสวา’’ติอาทิมาหฯ โส หิ ‘‘เอวมโตฺถ คเหตโพฺพ’’ติ วุตฺตตฺตา คเหตพฺพโตฺถฯ
9. Appahātabbahetumattesūti appahātabbahetukamattesu. Sabbo kusalābyākatadhammo yathādhippetattho. Samāso na upapajjati asamatthabhāvato. Yesanti ye tatiyarāsibhāvena vuttā dhammā, attho tesaṃ. Ubhinnanti visuṃ visuṃ yojetabbatāya dve pahātabbahetusaddāti katvā vuttaṃ. Etanti ‘‘nevadassanena nabhāvanāya pahātabbo hetu etesaṃ atthī’’ti etaṃ vacanaṃ. Tehi dassanabhāvanāpadehi yuttena pahātabbahetukapadena. Evañca katvāti evaṃ dassanabhāvanāpadehi pahātabbahetukapadassa visuṃ visuṃ yojanato. Evañhi purimapadadvaya…pe… dassanametaṃ hotīti. Evanti dassanabhāvanāhi napahātabbo hetu etesanti evaṃ atthe sati. ‘‘Hetu…pe… siyā’’ti etassa ‘‘purimasmiñhi atthe’’tiādinā ahetukānaṃ aggahitabhāvadassanavasena atthaṃ vatvā idāni ‘‘atha vā’’tiādinā dutiyasseva atthassa yuttabhāvaṃ vibhāvento ‘‘gahetabbatthassevā’’tiādimāha. So hi ‘‘evamattho gahetabbo’’ti vuttattā gahetabbattho.
๑๐. อญฺญถาติ อารมฺมณกรณมเตฺต อธิเปฺปเตฯ กถํ ปเนตํ ชานิตพฺพํ ‘‘อารมฺมณํ กตฺวาติ เอเตน จตุกิจฺจสาธกํ อารมฺมณกรณํ วุจฺจตี’’ติ? สามญฺญโชตนาย วิเสเส อวฎฺฐานโต อริยมคฺคธมฺมานํเยว จ อปจยคามิภาวโตฯ ‘‘จตฺตาโร มคฺคา อปริยาปนฺนา อปจยคามิโน’’ติ (ธ. ส. ๑๐๒๑) หิ วุตฺตํฯ เตเนวาห ‘‘อริยมคฺคานํ เอตํ อธิวจน’’นฺติฯ เอเตเนว วา วิเสสุปลกฺขณเหตุภูเตน วจเนน ยถาวุโตฺต อารมฺมณกรณวิเสโส วิญฺญายติฯ อุกฺกํสคติวิชานเนน วา อยมโตฺถ เวทิตโพฺพฯ ปจฺจเวกฺขณาทีนนฺติ โวทานาทโย สงฺคณฺหาติฯ เหตุภาเวนาติ สมฺปาปกเหตุภาเวนฯ ญาปโก การโก สมฺปาปโกติ ติวิโธ หิ เหตุ, ตถา ญาเปตพฺพาทิภาเวน ผลํฯ ยถา นิรยาทิมนุสฺสภาวาทิคามิปฎิปทาภาวโต อกุสลโลกิยกุสลจิตฺตุปฺปาทา ‘‘อาจยคามิโน ธมฺมา’’ติ วุตฺตา, น มิจฺฉาทิฎฺฐิอาทิโลกิยสมฺมาทิฎฺฐิอาทิธมฺมา เอว, เอวํ นิพฺพานคามิปฎิปทาภาวโต โลกุตฺตรกุสลจิตฺตุปฺปาทา ‘‘อปจยคามิโน’’ติ ทฎฺฐพฺพา, น อริยมคฺคธมฺมา เอวาติ อิมมตฺถํ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘ปุริมปจฺฉิมาน’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ อริยมคฺคเสฺสว นิพฺพานคามิปฎิปทาภาโว ปริพฺยโตฺตติ ตเสฺสว อปจยคามิภาโว ยุโตฺต, ตทนุวตฺตกตฺตา ปน เสสธเมฺม สงฺคเหตฺวา วุตฺตํฯ อปจเย ทุกฺขปริชานนาทินา สาติสยํ คมนํ เยสเนฺต อปจยคามิโนติ ‘‘มคฺคา เอว อปจยคามิโน’’ติ วุตฺตํฯ ปุริมปจฺฉิมานนฺติ จ อิมสฺมิํ ติเก ปฐมปททุติยปทสงฺคหิตานํ อตฺถานนฺติ อโตฺถฯ ‘‘ชยํ เวรํ ปสวติ (ธ. ป. ๒๐๑), จรํ วา ยทิ วา ติฎฺฐ’’นฺติอาทีสุ (อิติวุ. ๘๖, ๑๑๐; สุ. นิ. ๑๙๕) วิย สานุนาสิโก อาจย-สโทฺทติ ‘‘อนุนาสิกโลโป กโต’’ติ วุตฺตํฯ เอตฺถ จ ‘‘อาจิน’’นฺติ วตฺตเพฺพ ‘‘อาจย’’นฺติ พฺยตฺตยวเสน วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ อาจยา หุตฺวา คจฺฉนฺตีติ เอเตน อปจินนฺตีติ อปจยา, อปจยา หุตฺวา คจฺฉนฺติ ปวตฺตนฺตีติ อยมโตฺถ นยโต ทสฺสิโตติ ทฎฺฐพฺพํฯ
10. Aññathāti ārammaṇakaraṇamatte adhippete. Kathaṃ panetaṃ jānitabbaṃ ‘‘ārammaṇaṃ katvāti etena catukiccasādhakaṃ ārammaṇakaraṇaṃ vuccatī’’ti? Sāmaññajotanāya visese avaṭṭhānato ariyamaggadhammānaṃyeva ca apacayagāmibhāvato. ‘‘Cattāro maggā apariyāpannā apacayagāmino’’ti (dha. sa. 1021) hi vuttaṃ. Tenevāha ‘‘ariyamaggānaṃ etaṃ adhivacana’’nti. Eteneva vā visesupalakkhaṇahetubhūtena vacanena yathāvutto ārammaṇakaraṇaviseso viññāyati. Ukkaṃsagativijānanena vā ayamattho veditabbo. Paccavekkhaṇādīnanti vodānādayo saṅgaṇhāti. Hetubhāvenāti sampāpakahetubhāvena. Ñāpako kārako sampāpakoti tividho hi hetu, tathā ñāpetabbādibhāvena phalaṃ. Yathā nirayādimanussabhāvādigāmipaṭipadābhāvato akusalalokiyakusalacittuppādā ‘‘ācayagāmino dhammā’’ti vuttā, na micchādiṭṭhiādilokiyasammādiṭṭhiādidhammā eva, evaṃ nibbānagāmipaṭipadābhāvato lokuttarakusalacittuppādā ‘‘apacayagāmino’’ti daṭṭhabbā, na ariyamaggadhammā evāti imamatthaṃ dassento āha ‘‘purimapacchimāna’’ntiādi. Tattha ariyamaggasseva nibbānagāmipaṭipadābhāvo paribyattoti tasseva apacayagāmibhāvo yutto, tadanuvattakattā pana sesadhamme saṅgahetvā vuttaṃ. Apacaye dukkhaparijānanādinā sātisayaṃ gamanaṃ yesante apacayagāminoti ‘‘maggā eva apacayagāmino’’ti vuttaṃ. Purimapacchimānanti ca imasmiṃ tike paṭhamapadadutiyapadasaṅgahitānaṃ atthānanti attho. ‘‘Jayaṃ veraṃ pasavati (dha. pa. 201), caraṃ vā yadi vā tiṭṭha’’ntiādīsu (itivu. 86, 110; su. ni. 195) viya sānunāsiko ācaya-saddoti ‘‘anunāsikalopo kato’’ti vuttaṃ. Ettha ca ‘‘ācina’’nti vattabbe ‘‘ācaya’’nti byattayavasena vuttanti daṭṭhabbaṃ. Ācayā hutvā gacchantīti etena apacinantīti apacayā, apacayā hutvā gacchanti pavattantīti ayamattho nayato dassitoti daṭṭhabbaṃ.
๑๑. โลกิเยสุ อเสกฺขภาวานาปตฺติ ทฎฺฐพฺพาติ กสฺมา เอวํ วุตฺตํ, นนุ –
11. Lokiyesuasekkhabhāvānāpatti daṭṭhabbāti kasmā evaṃ vuttaṃ, nanu –
‘‘สิกฺขตีติ โข ภิกฺขุ ตสฺมา เสโกฺขติ วุจฺจติฯ กิญฺจ สิกฺขติ, อธิสีลมฺปิ สิกฺขติ อธิจิตฺตมฺปิ สิกฺขติ อธิปญฺญมฺปิ สิกฺขติฯ สิกฺขตีติ โข ภิกฺขุ ตสฺมา เสโกฺขติ วุจฺจติ (อ. นิ. ๓.๘๖)ฯ โยปิ กลฺยาณปุถุชฺชโน อนุโลมปฎิปทาย ปริปูรการี สีลสมฺปโนฺน อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โภชเน มตฺตญฺญู ชาคริยานุโยคมนุยุโตฺต ปุพฺพรตฺตาปรรตฺตํ โพธิปกฺขิยานํ ธมฺมานํ ภาวนานุโยคมนุยุโตฺต วิหรติ ‘อชฺช วา เสฺว วา อญฺญตรํ สามญฺญผลํ อธิคมิสฺสามี’ติ, โสปิ สิกฺขตีติ เสโกฺข’’ติ –
‘‘Sikkhatīti kho bhikkhu tasmā sekkhoti vuccati. Kiñca sikkhati, adhisīlampi sikkhati adhicittampi sikkhati adhipaññampi sikkhati. Sikkhatīti kho bhikkhu tasmā sekkhoti vuccati (a. ni. 3.86). Yopi kalyāṇaputhujjano anulomapaṭipadāya paripūrakārī sīlasampanno indriyesu guttadvāro bhojane mattaññū jāgariyānuyogamanuyutto pubbarattāpararattaṃ bodhipakkhiyānaṃ dhammānaṃ bhāvanānuyogamanuyutto viharati ‘ajja vā sve vā aññataraṃ sāmaññaphalaṃ adhigamissāmī’ti, sopi sikkhatīti sekkho’’ti –
วจนโต ยถาวุตฺตกลฺยาณปุถุชฺชนสฺสปิ สีลาทิธมฺมา เสกฺขาติ วุจฺจนฺตีติ? น, ปริยายภาวโตฯ นิปฺปริยาเยน หิ เสกฺขาเสกฺขภาโว ยถาสมฺภวํ มคฺคผลธเมฺมสุ เอวาติ โลกิเยสุ เสกฺขภาวาสงฺกาภาวโต อเสกฺขภาวานาปตฺติ วุตฺตาฯ เตเนวาห ‘‘สีลสมาธี’’ติอาทิฯ อรหตฺตผลธมฺมาปิ สิกฺขาผลภาเวน ปวตฺตนโต เหฎฺฐิมผลธมฺมา วิย สิกฺขาสุ ชาตาติอาทิอเตฺถหิ เสกฺขา สิยุํ, เหฎฺฐิมผลธมฺมาปิ วา สิกฺขาผลภาเวน ปวตฺตนโต อรหตฺตผลธมฺมา วิย อเสกฺขาติ โจทนํ มนสิกตฺวา ‘‘ปรินิฎฺฐิตสิกฺขากิจฺจตฺตา’’ติ วุตฺตํ, ตถา ‘‘เหฎฺฐิมผเลสุ ปนา’’ติอาทิฯ ‘‘ตํ เอว สาลิํ ภุญฺชามิ, สา เอว ติตฺติรี, ตานิ เอว โอสธานี’’ติอาทีสุ ตํสทิเสสุ ตโพฺพหาโร ทฎฺฐโพฺพฯ เอเตน จ เสกฺขสทิสา อเสกฺขา ยถา ‘‘อมนุโสฺส’’ติ วุตฺตํ โหตีติ อเญฺญฯ อญฺญตฺถ ‘‘อริฎฺฐ’’นฺติอาทีสุ วุทฺธิอเตฺถปิ อ-กาโร ทิสฺสตีติ วุทฺธิปฺปตฺตา เสกฺขา อเสกฺขาติ อยมฺปิ อโตฺถ วุโตฺตฯ
Vacanato yathāvuttakalyāṇaputhujjanassapi sīlādidhammā sekkhāti vuccantīti? Na, pariyāyabhāvato. Nippariyāyena hi sekkhāsekkhabhāvo yathāsambhavaṃ maggaphaladhammesu evāti lokiyesu sekkhabhāvāsaṅkābhāvato asekkhabhāvānāpatti vuttā. Tenevāha ‘‘sīlasamādhī’’tiādi. Arahattaphaladhammāpi sikkhāphalabhāvena pavattanato heṭṭhimaphaladhammā viya sikkhāsu jātātiādiatthehi sekkhā siyuṃ, heṭṭhimaphaladhammāpi vā sikkhāphalabhāvena pavattanato arahattaphaladhammā viya asekkhāti codanaṃ manasikatvā ‘‘pariniṭṭhitasikkhākiccattā’’ti vuttaṃ, tathā ‘‘heṭṭhimaphalesu panā’’tiādi. ‘‘Taṃ eva sāliṃ bhuñjāmi, sā eva tittirī, tāni eva osadhānī’’tiādīsu taṃsadisesu tabbohāro daṭṭhabbo. Etena ca sekkhasadisā asekkhā yathā ‘‘amanusso’’ti vuttaṃ hotīti aññe. Aññattha ‘‘ariṭṭha’’ntiādīsu vuddhiatthepi a-kāro dissatīti vuddhippattā sekkhā asekkhāti ayampi attho vutto.
๑๒. กิเลสวิกฺขมฺภนสมตฺถตายาติ อิทํ นิทสฺสนมตฺตํ ทฎฺฐพฺพํฯ วิตกฺกาทิวิกฺขมฺภนสมตฺถตาปิ เหตฺถ ลพฺภตีติฯ อกุสลวิทฺธํสนรสตฺตา วา กุสลานํ ตตฺถ สาติสยกิจฺจยุตฺตตํ ปริตฺตธเมฺมหิ มหคฺคตานํ ปกาเสตุํ ‘‘กิเลสวิกฺขมฺภนสมตฺถตายา’’ติ วุตฺตํฯ วิปากกิริเยสุ ทีฆสนฺตานตาว, น กิเลสวิกฺขมฺภนสมตฺถตา วิปุลผลตา จาติ อโตฺถฯ ‘‘วิปุลํ ผลํ วิปุลผล’’นฺติ เอวํ ปน อเตฺถ คยฺหมาเน วิปาเกสุปิ วิปุลผลตา ลพฺภเตวฯ โสปิ เอกเสสนเยน อฎฺฐกถายํ วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ มหเนฺตหิ คตา ปฎิปนฺนาติ อยํ ปนโตฺถ ติณฺณมฺปิ สาธารโณติฯ คุณโต อยํ เอตฺตโกติ สตฺตานํ ปมาณํ กโรนฺตา วิย ปวตฺตนฺตีติ โอฬาริกา กิเลสา ‘‘ปมาณกรา’’ติ วุตฺตาฯ เตหิ ปริโต ขณฺฑิตา ปริจฺฉินฺนาติ ปริตฺตาฯ สติปิ เกหิจิ ปริจฺฉินฺนเตฺต มหาปมาณภาเวน คตา ปวตฺตาติ มหคฺคตา ฯ ปริเจฺฉทกรานํ กิเลสานํ สุขุมานมฺปิ อโคจรภาวโต เตหิ น กถญฺจิปิ ปริจฺฉินฺนา วีติกฺกนฺตาติ อปริจฺฉินฺนา อปฺปมาณา, ยโต เต ‘‘อปริยาปนฺนา’’ติปิ วุจฺจนฺติฯ
12. Kilesavikkhambhanasamatthatāyāti idaṃ nidassanamattaṃ daṭṭhabbaṃ. Vitakkādivikkhambhanasamatthatāpi hettha labbhatīti. Akusalaviddhaṃsanarasattā vā kusalānaṃ tattha sātisayakiccayuttataṃ parittadhammehi mahaggatānaṃ pakāsetuṃ ‘‘kilesavikkhambhanasamatthatāyā’’ti vuttaṃ. Vipākakiriyesu dīghasantānatāva, na kilesavikkhambhanasamatthatā vipulaphalatā cāti attho. ‘‘Vipulaṃ phalaṃ vipulaphala’’nti evaṃ pana atthe gayhamāne vipākesupi vipulaphalatā labbhateva. Sopi ekasesanayena aṭṭhakathāyaṃ vuttoti veditabbo. Mahantehi gatā paṭipannāti ayaṃ panattho tiṇṇampi sādhāraṇoti. Guṇato ayaṃ ettakoti sattānaṃ pamāṇaṃ karontā viya pavattantīti oḷārikā kilesā ‘‘pamāṇakarā’’ti vuttā. Tehi parito khaṇḍitā paricchinnāti parittā. Satipi kehici paricchinnatte mahāpamāṇabhāvena gatā pavattāti mahaggatā. Paricchedakarānaṃ kilesānaṃ sukhumānampi agocarabhāvato tehi na kathañcipi paricchinnā vītikkantāti aparicchinnā appamāṇā, yato te ‘‘apariyāpannā’’tipi vuccanti.
๑๔. ติตฺติํ น ชเนนฺติ สนฺตตรตาย อเสจนกภาวโตฯ เอตฺถ จ ‘‘ปมาณกเรหี’’ติอาทิโก อตฺถวิกโปฺป ‘‘อตปฺปกเตฺถนา’’ติอาทิกาย หีนตฺติกปทวณฺณนาย ปรโต พหูสุ โปตฺถเกสุ ลิขียติ, ยถาฐาเน เอว ปน อาเนตฺวา วตฺตโพฺพฯ
14. Tittiṃ na janenti santataratāya asecanakabhāvato. Ettha ca ‘‘pamāṇakarehī’’tiādiko atthavikappo ‘‘atappakatthenā’’tiādikāya hīnattikapadavaṇṇanāya parato bahūsu potthakesu likhīyati, yathāṭhāne eva pana ānetvā vattabbo.
๑๕. โลกิยสาธุชเนหิปิ อติชิคุจฺฉนีเยสุ อานนฺตริยกมฺมนตฺถิกวาทาทีสุ ปวตฺติ วินา วิปลฺลาสพลวภาเวน น โหตีติ ‘‘วิปริยาสทฬฺหตายา’’ติ วุตฺตํฯ เอเตนาติ ‘‘วิปากทาเน สตี’’ติอาทินา สติปิ กาลนิยเม วิปากุปฺปาทเน สาสงฺกวจเนนฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ยถาวุตฺตนเยน นิยตตาย อติปฺปสโงฺค ทุนฺนิวาโร, ตสฺมาฯ พลวตา…เป.… ปวตฺตีติ เอเตน อสมานชาติเกน อนิวตฺตนียวิปากตํ, สมานชาติเกน จ วิปากานุปฺปาทเนปิ อนนฺตรํ วิปากุปฺปาทนสมตฺถตาย อวิหนฺตพฺพตํ อนนฺตริกานํ ทเสฺสติฯ ยโต เตสํ วิปากธมฺมตา วิย สภาวสิทฺธา นิยตานนฺตริยตาฯ อญฺญสฺส…เป.… ทานโตติ อิมินาปิ อสมานชาติกาทีหิ อนิวตฺตนียผลตํ เอว วิภาเวติฯ
15. Lokiyasādhujanehipi atijigucchanīyesu ānantariyakammanatthikavādādīsu pavatti vinā vipallāsabalavabhāvena na hotīti ‘‘vipariyāsadaḷhatāyā’’ti vuttaṃ. Etenāti ‘‘vipākadāne satī’’tiādinā satipi kālaniyame vipākuppādane sāsaṅkavacanena. Tasmāti yasmā yathāvuttanayena niyatatāya atippasaṅgo dunnivāro, tasmā. Balavatā…pe… pavattīti etena asamānajātikena anivattanīyavipākataṃ, samānajātikena ca vipākānuppādanepi anantaraṃ vipākuppādanasamatthatāya avihantabbataṃ anantarikānaṃ dasseti. Yato tesaṃ vipākadhammatā viya sabhāvasiddhā niyatānantariyatā. Aññassa…pe… dānatoti imināpi asamānajātikādīhi anivattanīyaphalataṃ eva vibhāveti.
โจทโก อธิปฺปายํ อชานโนฺต ‘‘นนู’’ติอาทินา อติปฺปสงฺคเมว โจเทติฯ อิตโร ‘‘นาปชฺชตี’’ติอาทินา อตฺตโน อธิปฺปายํ วิวรติฯ เอกเนฺตติ อวสฺสมฺภาวินิฯ สนฺนิยตตฺตาติ สมฺปาทเน ชนเน นิยตภาวโตฯ อุปรตา อวิปจฺจนสภาวาสงฺกา เยสุ ตานิ อุปรตาวิปจฺจ…เป.… สงฺกานิ, ตพฺภาโว อุป…เป.… สงฺกตฺตํ, ตสฺมาฯ ‘‘น สมตฺถตาวิฆาตตฺตาติ พลวตาปิ อานนฺตริเยน อนุปหนฺตพฺพตํ อาหฯ อุปตฺถมฺภกานิ อนุพลปฺปทายกานิ โหนฺติ อุปฺปตฺติยา สนฺตานสฺส วิเสสิตตฺตาฯ เตน เนสํ วิปากานุปฺปาทเนปิ อโมฆวุตฺติตํ อาหฯ
Codako adhippāyaṃ ajānanto ‘‘nanū’’tiādinā atippasaṅgameva codeti. Itaro ‘‘nāpajjatī’’tiādinā attano adhippāyaṃ vivarati. Ekanteti avassambhāvini. Sanniyatattāti sampādane janane niyatabhāvato. Uparatā avipaccanasabhāvāsaṅkā yesu tāni uparatāvipacca…pe… saṅkāni, tabbhāvo upa…pe… saṅkattaṃ, tasmā. ‘‘Na samatthatāvighātattāti balavatāpi ānantariyena anupahantabbataṃ āha. Upatthambhakāni anubalappadāyakāni honti uppattiyā santānassa visesitattā. Tena nesaṃ vipākānuppādanepi amoghavuttitaṃ āha.
๑๖. มคฺคกิจฺจํ ปริญฺญาทิฯ อฎฺฐงฺคิกมคฺคสมฺมาทิฎฺฐิมคฺคสมฺปยุตฺตาโลภาโทสสงฺขาเตหิ มคฺคเหตูหิ มคฺคสมฺปยุตฺตขนฺธเสสมคฺคงฺคสมฺมาทิฎฺฐีนํ สเหตุกภาวทสฺสนโต ติณฺณํ นยานํ อสงฺคหิตสงฺคณฺหนวเสนาติ วุตฺตํฯ เหตุพหุตาวเสนาติ พหุเหตุกสฺส ปฐมนยสฺส อนนฺตรํ พหุเหตุกตาสามเญฺญน นิเกฺขปกณฺฑปาฬิยํ ตติยํ วุตฺตนโย อิธ อฎฺฐกถายํ ทุติยํ วุโตฺตฯ ยถาสกํ ปจฺจเยหิ ปวตฺตมาเนสุ นิรีหเกสุ ธเมฺมสุ เกสญฺจิ อนุวตฺตนียภาโว น เกวลํ ธมฺมสภาวโตเยว, อถ โข ปุริมธมฺมานํ ปวตฺติวิเสเสนปิ โหตีติ อาห ‘‘ปุพฺพาภิสงฺขารวเสนา’’ติฯ ปวตฺติวิเสโส หิ ปุริมปุริมานํ จิตฺตเจตสิกานํ อุตฺตรุตฺตเรสุ วิเสสาธานํ ภาวนาปุพฺพาภิสงฺขาโรติฯ อนุวตฺตยมาโนติ ครุการยมาโนฯ อุทาหรณวเสนาติ นิทสฺสนวเสน, น นิรวเสสทสฺสนวเสนฯ ยสฺมา ปนาติอาทินา ยถาวุตฺตํ อตฺถํ ปาฐนฺตเรน สาเธติฯ ตตฺถ หิ อธิปติปจฺจยสฺส ปจฺจนีเย ฐิตตฺตา มโคฺค อธิปติ มคฺคาธิปตีติ อยมโตฺถ ลพฺภตีติฯ สมานสทฺทตฺถวเสนาติ สติปิ อญฺญปทตฺถสมานาธิกรณสมาสตฺถเภเท มคฺคาธิปติสทฺทตฺถเภทาภาวํ สนฺธาย วุตฺตํฯ
16. Maggakiccaṃ pariññādi. Aṭṭhaṅgikamaggasammādiṭṭhimaggasampayuttālobhādosasaṅkhātehi maggahetūhi maggasampayuttakhandhasesamaggaṅgasammādiṭṭhīnaṃ sahetukabhāvadassanato tiṇṇaṃ nayānaṃ asaṅgahitasaṅgaṇhanavasenāti vuttaṃ. Hetubahutāvasenāti bahuhetukassa paṭhamanayassa anantaraṃ bahuhetukatāsāmaññena nikkhepakaṇḍapāḷiyaṃ tatiyaṃ vuttanayo idha aṭṭhakathāyaṃ dutiyaṃ vutto. Yathāsakaṃ paccayehi pavattamānesu nirīhakesu dhammesu kesañci anuvattanīyabhāvo na kevalaṃ dhammasabhāvatoyeva, atha kho purimadhammānaṃ pavattivisesenapi hotīti āha ‘‘pubbābhisaṅkhāravasenā’’ti. Pavattiviseso hi purimapurimānaṃ cittacetasikānaṃ uttaruttaresu visesādhānaṃ bhāvanāpubbābhisaṅkhāroti. Anuvattayamānoti garukārayamāno. Udāharaṇavasenāti nidassanavasena, na niravasesadassanavasena. Yasmā panātiādinā yathāvuttaṃ atthaṃ pāṭhantarena sādheti. Tattha hi adhipatipaccayassa paccanīye ṭhitattā maggo adhipati maggādhipatīti ayamattho labbhatīti. Samānasaddatthavasenāti satipi aññapadatthasamānādhikaraṇasamāsatthabhede maggādhipatisaddatthabhedābhāvaṃ sandhāya vuttaṃ.
๑๗. อุปฺปนฺน-สโทฺท อุปฺปาทาทิํ ปฎิปชฺชมาโน, ปตฺวา วิคโต จาติ ทุวิเธสุ อเตฺถสุ อุภเยสมฺปิ วาจโก, น ปุริมานํเยวาติ ตมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘อนุปฺปนฺนา’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ อุปฺปนฺนภาโว อุปฺปาทาทิปฺปตฺตตาฯ เตน อตีตาปิ สงฺคหิตา โหนฺติฯ เตเนวาห ‘‘สโพฺพ อุปฺปนฺนภาโว’’ติฯ อุปฺปนฺนธมฺมภาโว ‘‘อุปฺปนฺนา ธมฺมา’’ติ ปเทน คหิตธมฺมภาโว, วตฺตมานธมฺมภาโวติ อโตฺถฯ โย วา อุปฺปาทาทิปฺปโตฺต อตฺตโน จ สภาวํ ธาเรติ ปจฺจเยหิ จ ธารียติ, โส อุปฺปนฺนธโมฺมติ ปจฺจุปฺปนฺนภาโว อุปฺปนฺนธมฺมภาโวติ เอวเมตฺถ อโตฺถ ทฎฺฐโพฺพฯ อุปฺปนฺนธเมฺม วตฺวา ‘‘อนุปฺปนฺนา’’ติ วจนํ น ยถาธิคตปฎิเสธนนฺติ กถมิทํ ปเจฺจตพฺพนฺติ อาห ‘‘ยทิ หี’’ติอาทิฯ เกจิ ปเนตฺถ ‘‘อุปฺปนฺนาติ ปเทน อตีตาปิ สงฺคหิตาฯ ยทิ น สงฺคหิตา, นิพฺพานํ วิย เตปิ นวตฺตพฺพาติ วตฺตพฺพํ สิยา , น จ ตถา วุตฺต’’นฺติ วทนฺติ, ตํ ปน เตสํ มติมตฺตเมวฯ อยํ ปน ติโก ทฺวินฺนํ อทฺธานํ วเสน ปูเรตฺวา ทสฺสิโตติ อฎฺฐกถายํ วกฺขตีติฯ เอวํ สเนฺต กสฺมา อตีตา นวตฺตพฺพาติ น วุตฺตาติ? ธมฺมวเสน อสงฺคหิตตฺตาภาวโตฯ ธมฺมวเสน หิ อสงฺคหิตํ นิพฺพานํ ตตฺถ นวตฺตพฺพํ ชาตํ, น จ นิโยคโต อตีตา นาม ธมฺมา เกจิ อตฺถิ, เย อิธ อสงฺคหิตตฺตา นวตฺตพฺพา สิยุนฺติฯ ผลนิพฺพตฺติโต การณสฺส ปุเรตรํ นิพฺพตฺติ อิธ ปรินิฎฺฐิตสเทฺทน วุจฺจติ, น ตสฺส หุตฺวา วิคตภาโวติ อาห ‘‘อนาคเต วา’’ติฯ ยโต เมเตฺตยฺยสฺส ภควโต อุปฺปชฺชนกผลมฺปิ ‘‘อุปฺปาที’’ติ วุจฺจติฯ
17. Uppanna-saddo uppādādiṃ paṭipajjamāno, patvā vigato cāti duvidhesu atthesu ubhayesampi vācako, na purimānaṃyevāti tamatthaṃ dassetuṃ ‘‘anuppannā’’tiādimāha. Tattha uppannabhāvo uppādādippattatā. Tena atītāpi saṅgahitā honti. Tenevāha ‘‘sabbo uppannabhāvo’’ti. Uppannadhammabhāvo ‘‘uppannā dhammā’’ti padena gahitadhammabhāvo, vattamānadhammabhāvoti attho. Yo vā uppādādippatto attano ca sabhāvaṃ dhāreti paccayehi ca dhārīyati, so uppannadhammoti paccuppannabhāvo uppannadhammabhāvoti evamettha attho daṭṭhabbo. Uppannadhamme vatvā ‘‘anuppannā’’ti vacanaṃ na yathādhigatapaṭisedhananti kathamidaṃ paccetabbanti āha ‘‘yadi hī’’tiādi. Keci panettha ‘‘uppannāti padena atītāpi saṅgahitā. Yadi na saṅgahitā, nibbānaṃ viya tepi navattabbāti vattabbaṃ siyā , na ca tathā vutta’’nti vadanti, taṃ pana tesaṃ matimattameva. Ayaṃ pana tiko dvinnaṃ addhānaṃ vasena pūretvā dassitoti aṭṭhakathāyaṃ vakkhatīti. Evaṃ sante kasmā atītā navattabbāti na vuttāti? Dhammavasena asaṅgahitattābhāvato. Dhammavasena hi asaṅgahitaṃ nibbānaṃ tattha navattabbaṃ jātaṃ, na ca niyogato atītā nāma dhammā keci atthi, ye idha asaṅgahitattā navattabbā siyunti. Phalanibbattito kāraṇassa puretaraṃ nibbatti idha pariniṭṭhitasaddena vuccati, na tassa hutvā vigatabhāvoti āha ‘‘anāgate vā’’ti. Yato metteyyassa bhagavato uppajjanakaphalampi ‘‘uppādī’’ti vuccati.
๒๐. ยสฺส ฌานา วุฎฺฐหิตฺวาติอาทินา ‘‘เตนานนฺทา’’ติอาทิปาฬิยา เหฎฺฐาปาฬิํ อตฺถวเสน ทเสฺสติฯ อยญฺหิ ตตฺถ ปาฬิ –
20. Yassa jhānā vuṭṭhahitvātiādinā ‘‘tenānandā’’tiādipāḷiyā heṭṭhāpāḷiṃ atthavasena dasseti. Ayañhi tattha pāḷi –
‘‘กถญฺจานนฺท , ภิกฺขุ อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ สณฺฐเปติ สนฺนิสาเทติ เอโกทิํ กโรติ สมาทหติฯ อิธานนฺท, ภิกฺขุ วิวิเจฺจว…เป.… จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ เอวํ โข…เป.… สมาทหติฯ โส อชฺฌตฺตํ สุญฺญตํ มนสิ กโรติ, ตสฺส อชฺฌตฺตํ สุญฺญตํ มนสิกโรโต สุญฺญตาย จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ…เป.… มุจฺจติฯ เอวํ สนฺตเมตํ, อานนฺท, ภิกฺขุ เอวํ สมฺปชานาติ อชฺฌตฺตํ โข เม สุญฺญตํ มนสิกโรโต อชฺฌตฺตํ สุญฺญตาย จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ…เป.… มุจฺจตีติ, อิติห ตตฺถ สมฺปชาโน โหติฯ โส พหิทฺธา สุญฺญตํ…เป.… อชฺฌตฺตพหิทฺธา สุญฺญตํ…เป.… โส อาเนญฺชํ มนสิ กโรติ, ตสฺส อาเนญฺชํ มนสิกโรโต อาเนญฺชาย จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติ…เป.… มุจฺจตีติ, อิติห ตตฺถ สมฺปชาโน โหติฯ เตนานนฺท, ภิกฺขุนา’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๘๘)ฯ
‘‘Kathañcānanda , bhikkhu ajjhattameva cittaṃ saṇṭhapeti sannisādeti ekodiṃ karoti samādahati. Idhānanda, bhikkhu vivicceva…pe… catutthaṃ jhānaṃ upasampajja viharati. Evaṃ kho…pe… samādahati. So ajjhattaṃ suññataṃ manasi karoti, tassa ajjhattaṃ suññataṃ manasikaroto suññatāya cittaṃ na pakkhandati…pe… muccati. Evaṃ santametaṃ, ānanda, bhikkhu evaṃ sampajānāti ajjhattaṃ kho me suññataṃ manasikaroto ajjhattaṃ suññatāya cittaṃ na pakkhandati…pe… muccatīti, itiha tattha sampajāno hoti. So bahiddhā suññataṃ…pe… ajjhattabahiddhā suññataṃ…pe… so āneñjaṃ manasi karoti, tassa āneñjaṃ manasikaroto āneñjāya cittaṃ na pakkhandati…pe… muccatīti, itiha tattha sampajāno hoti. Tenānanda, bhikkhunā’’ti (ma. ni. 3.188).
ตตฺถ อชฺฌตฺตสุญฺญตาทีสูติ อชฺฌตฺตํ พหิทฺธา อชฺฌตฺตพหิทฺธา จ สุญฺญตาย อาเนเญฺช จฯ ปฐมชฺฌานาทิสมาธินิมิเตฺตติ ปาทกภูตปฐมชฺฌานาทิสมาธินิมิเตฺตฯ อปคุณปาทกชฺฌานโต วุฎฺฐิตสฺส หิ อชฺฌตฺตํ สุญฺญตํ มนสิกโรโต ตตฺถ จิตฺตํ น ปกฺขนฺทติฯ ตโต ‘‘ปรสฺส สนฺตาเน นุ โข กถ’’นฺติ พหิทฺธา มนสิ กโรติ, ตตฺถปิ น ปกฺขนฺทติฯ ตโต ‘‘กาเลน อตฺตโน สนฺตาเน, กาเลน ปรสฺส สนฺตาเน นุ โข กถ’’นฺติ อชฺฌตฺตพหิทฺธา มนสิ กโรติ, ตตฺถปิ น ปกฺขนฺทติฯ ตโต อุภโตภาควิมุโตฺต โหตุกาโม ‘‘อรูปสมาปตฺติยํ นุ โข กถ’’นฺติ อาเนญฺชํ มนสิ กโรติ, ตตฺถปิ น ปกฺขนฺทติฯ ‘‘อิทานิ เม จิตฺตํ น ปกฺขนฺทตี’’ติ วิสฺสฎฺฐวีริเยน น ภวิตพฺพํ, ปาทกชฺฌานเมว ปน สาธุกํ ปุนปฺปุนํ มนสิ กาตพฺพํ, เอวมสฺส รุกฺขํ ฉินฺทโต ผรสุมฺหิ อวหเนฺต ปุนปฺปุนํ นิสิตนิสิตํ กาเรตฺวา ฉินฺทนฺตสฺส ฉิเชฺช ผรสุ วิย กมฺมฎฺฐาเน มนสิกาโร วหตีติ ทเสฺสตุํ ‘‘ตสฺมิํเยวา’’ติอาทิ วุตฺตนฺติฯ
Tattha ajjhattasuññatādīsūti ajjhattaṃ bahiddhā ajjhattabahiddhā ca suññatāya āneñje ca. Paṭhamajjhānādisamādhinimitteti pādakabhūtapaṭhamajjhānādisamādhinimitte. Apaguṇapādakajjhānato vuṭṭhitassa hi ajjhattaṃ suññataṃ manasikaroto tattha cittaṃ na pakkhandati. Tato ‘‘parassa santāne nu kho katha’’nti bahiddhā manasi karoti, tatthapi na pakkhandati. Tato ‘‘kālena attano santāne, kālena parassa santāne nu kho katha’’nti ajjhattabahiddhā manasi karoti, tatthapi na pakkhandati. Tato ubhatobhāgavimutto hotukāmo ‘‘arūpasamāpattiyaṃ nu kho katha’’nti āneñjaṃ manasi karoti, tatthapi na pakkhandati. ‘‘Idāni me cittaṃ na pakkhandatī’’ti vissaṭṭhavīriyena na bhavitabbaṃ, pādakajjhānameva pana sādhukaṃ punappunaṃ manasi kātabbaṃ, evamassa rukkhaṃ chindato pharasumhi avahante punappunaṃ nisitanisitaṃ kāretvā chindantassa chijje pharasu viya kammaṭṭhāne manasikāro vahatīti dassetuṃ ‘‘tasmiṃyevā’’tiādi vuttanti.
อตฺถโต จ อสมานตฺตาติ อิทํ กสฺมา วุตฺตํฯ นนุ เยสุ อเตฺถสุ อชฺฌตฺต-สโทฺท วตฺตติ, เต สเพฺพ ทเสฺสตฺวา อิธาธิเปฺปตตฺถนิทฺธารณตฺถํ อตฺถุทฺธารวเสเนตํ วุตฺตํฯ จกฺขาทีสุ จ อชฺฌตฺติก-สโทฺท อชฺฌตฺตานํ อพฺภนฺตรตาวิเสสมุปาทาย ปวตฺตติ, ยโต เต อชฺฌตฺตอชฺฌตฺตาติ วุจฺจนฺติฯ อปิจ ‘‘ฉ อชฺฌตฺติกานี’’ติ อิทํ อชฺฌตฺติก-สทฺทสฺส จกฺขาทีนํ อชฺฌตฺตภาววิภาวนสพฺภาวโต อิธ อุทาหรณวเสน วุตฺตํฯ เตเนว หิ อฎฺฐกถายํ อชฺฌตฺติกทุเก ‘‘อชฺฌตฺตาว อชฺฌตฺติกา’’ติ วุตฺตํฯ เอวญฺจ สติ น เอตฺถ สทฺทโต อสมานตาปิ สิยา, ตสฺมาเยว ยถาวุตฺตโจทนํ วิโสเธโนฺต ‘‘อยํ ปเนตฺถา’’ติอาทิมาหฯ เตนาติ ตสฺมาฯ ตํวาจกสฺสาติ อชฺฌตฺตชฺฌตฺตวาจกสฺส สกฺกา วตฺตุํ ตทตฺถสฺส อชฺฌตฺตภาวสพฺภาวโตฯ
Atthato ca asamānattāti idaṃ kasmā vuttaṃ. Nanu yesu atthesu ajjhatta-saddo vattati, te sabbe dassetvā idhādhippetatthaniddhāraṇatthaṃ atthuddhāravasenetaṃ vuttaṃ. Cakkhādīsu ca ajjhattika-saddo ajjhattānaṃ abbhantaratāvisesamupādāya pavattati, yato te ajjhattaajjhattāti vuccanti. Apica ‘‘cha ajjhattikānī’’ti idaṃ ajjhattika-saddassa cakkhādīnaṃ ajjhattabhāvavibhāvanasabbhāvato idha udāharaṇavasena vuttaṃ. Teneva hi aṭṭhakathāyaṃ ajjhattikaduke ‘‘ajjhattāva ajjhattikā’’ti vuttaṃ. Evañca sati na ettha saddato asamānatāpi siyā, tasmāyeva yathāvuttacodanaṃ visodhento ‘‘ayaṃ panetthā’’tiādimāha. Tenāti tasmā. Taṃvācakassāti ajjhattajjhattavācakassa sakkā vattuṃ tadatthassa ajjhattabhāvasabbhāvato.
‘‘น โข, อานนฺท, ภิกฺขุ โสภติ สงฺคณิการาโม สงฺคณิการโต สงฺคณิการามตํ อนุยุโตฺต’’ติอาทินา (ม. นิ. ๓.๑๘๖) ปพฺพชิตาสารุปฺปสฺส เนกฺขมฺมสุขาทินิกามลาภิตาย อภาวสฺส จ ทสฺสเนน สงฺคณิการามตาย, ‘‘นาหํ, อานนฺท, เอกํ รูปมฺปิ สมนุปสฺสามิ, ยตฺถ รตฺตสฺส ยถาภิรตสฺส รูปสฺส วิปริณามญฺญถาภาวา น อุปฺปเชฺชยฺยุํ โสกปริ…เป.… อุปายาสา’’ติ (ม. นิ. ๓.๑๘๖) เอวํ รูปาทิรติยา จ อาทีนวํ วตฺวา สเจ โกจิ ทุปฺปญฺญชาติโก ปพฺพชิโต วเทยฺย ‘‘สมฺมาสมฺพุโทฺธ เขเตฺต ปวิฎฺฐา คาวิโย วิย อเมฺหเยว คณโต นีหรติ, เอกีภาเว นิโยเชติ, สยํ ปน ราชราชมหามตฺตาทีหิ ปริวุโต วิหรตี’’ติ, ตสฺส วจโนกาสุปเจฺฉทนตฺถํ จกฺกวาฬปริยนฺตาย ปริสาย มเชฺฌ นิสิโนฺนปิ ตถาคโต เอกโกวาติ ทสฺสนตฺถํ ‘‘อยํ โข ปนา’’ติ เทสนา อารทฺธาติ อาห ‘‘ตปฺปฎิปกฺขวิหารทสฺสนตฺถ’’นฺติฯ ตตฺถ สพฺพนิมิตฺตานนฺติ รูปาทีนํ สงฺขตนิมิตฺตานํ ฯ อชฺฌตฺตนฺติ วิสยชฺฌตฺตํฯ สุญฺญตนฺติ อนตฺตานุปสฺสนานุภาวนิพฺพตฺตผลสมาปตฺติํฯ เตเนวาห ‘‘อชฺฌตฺต’’นฺติอาทิฯ ตตฺถ ทุติเย วิกเปฺป ฐาน-สโทฺท การณปริยาโย ทฎฺฐโพฺพฯ สจฺจกสุเตฺตนาติ มหาสจฺจกสุเตฺตนฯ ตตฺถ หิ –
‘‘Na kho, ānanda, bhikkhu sobhati saṅgaṇikārāmo saṅgaṇikārato saṅgaṇikārāmataṃ anuyutto’’tiādinā (ma. ni. 3.186) pabbajitāsāruppassa nekkhammasukhādinikāmalābhitāya abhāvassa ca dassanena saṅgaṇikārāmatāya, ‘‘nāhaṃ, ānanda, ekaṃ rūpampi samanupassāmi, yattha rattassa yathābhiratassa rūpassa vipariṇāmaññathābhāvā na uppajjeyyuṃ sokapari…pe… upāyāsā’’ti (ma. ni. 3.186) evaṃ rūpādiratiyā ca ādīnavaṃ vatvā sace koci duppaññajātiko pabbajito vadeyya ‘‘sammāsambuddho khette paviṭṭhā gāviyo viya amheyeva gaṇato nīharati, ekībhāve niyojeti, sayaṃ pana rājarājamahāmattādīhi parivuto viharatī’’ti, tassa vacanokāsupacchedanatthaṃ cakkavāḷapariyantāya parisāya majjhe nisinnopi tathāgato ekakovāti dassanatthaṃ ‘‘ayaṃ kho panā’’ti desanā āraddhāti āha ‘‘tappaṭipakkhavihāradassanattha’’nti. Tattha sabbanimittānanti rūpādīnaṃ saṅkhatanimittānaṃ . Ajjhattanti visayajjhattaṃ. Suññatanti anattānupassanānubhāvanibbattaphalasamāpattiṃ. Tenevāha ‘‘ajjhatta’’ntiādi. Tattha dutiye vikappe ṭhāna-saddo kāraṇapariyāyo daṭṭhabbo. Saccakasuttenāti mahāsaccakasuttena. Tattha hi –
‘‘อภิชานามิ โข ปนาหํ, อคฺคิเวสฺสน, อเนกสตาย ปริสาย ธมฺมํ เทเสตา, อปิสฺสุ มํ เอกเมโก เอวํ มญฺญติ ‘มเมวารพฺภ สมโณ โคตโม ธมฺมํ เทเสตี’ติฯ น โข ปเนตํ, อคฺคิเวสฺสน, เอวํ ทฎฺฐพฺพํฯ ยาวเทว วิญฺญาปนตฺถาย ตถาคโต ปเรสํ ธมฺมํ เทเสตีติฯ โส โข อหํ, อคฺคิเวสฺสน, ตสฺสาเยว กถาย ปริโยสาเน ตสฺมิํเยว ปุริมสฺมิํ สมาธินิมิเตฺต อชฺฌตฺตเมว จิตฺตํ สณฺฐเปมิ สนฺนิสาเทมิ, เอโกทิํ กโรมิ, สมาทหามิ ‘เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ วิหรามี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๘๗) –
‘‘Abhijānāmi kho panāhaṃ, aggivessana, anekasatāya parisāya dhammaṃ desetā, apissu maṃ ekameko evaṃ maññati ‘mamevārabbha samaṇo gotamo dhammaṃ desetī’ti. Na kho panetaṃ, aggivessana, evaṃ daṭṭhabbaṃ. Yāvadeva viññāpanatthāya tathāgato paresaṃ dhammaṃ desetīti. So kho ahaṃ, aggivessana, tassāyeva kathāya pariyosāne tasmiṃyeva purimasmiṃ samādhinimitte ajjhattameva cittaṃ saṇṭhapemi sannisādemi, ekodiṃ karomi, samādahāmi ‘yena sudaṃ niccakappaṃ viharāmī’’ti (ma. ni. 1.387) –
อาคตนฺติฯ
Āgatanti.
๒๒. อเญฺญหิ อนิทสฺสเนหิ อญฺญํ วิย กตฺวา ยถา ‘‘สิลาปุตฺตกสฺส สรีร’’นฺติฯ ธมฺมสภาวสามเญฺญนาติอาทินา กิญฺจาปิ รูปายตนโต อโญฺญ นิทสฺสนภาโว นาม นตฺถิ, ธมฺมสภาโว ปน อตฺถิฯ ตโต จ รูปายตนสฺส วิเสโส นิทสฺสนภาเวน กโตติ ตทญฺญธมฺมวิเสสกโร นิทสฺสนภาโว รูปายตนโต อนโญฺญปิ อโญฺญ วิย กตฺวา อุปจริโตติ ทเสฺสติฯ อตฺถวิเสโส สามญฺญวิเสสตฺถเภโทฯ สยํ สมฺปตฺตานํ โผฎฺฐพฺพธมฺมานํ, นิสฺสยวเสน สมฺปตฺตานํ ฆานชิวฺหากายานํ คนฺธรสานญฺจ, อิตเรสํ อสมฺปตฺตานํฯ อญฺญมญฺญปตนํ อญฺญมญฺญสฺส โยคฺยเทเส อวฎฺฐานํ, เยน ปฎิหนนภาเวนฯ พฺยาปาราทีติ จิตฺตกิริยาวาโยธาตุวิปฺผารวเสน อกฺขิปฎลาทีนํ เหฎฺฐา อุปริ จ สํสีทนลงฺฆนาทิปฺปวตฺติมาหฯ วิการุปฺปตฺติ วิสทิสุปฺปตฺติ, วิสยสฺส อิฎฺฐานิฎฺฐภาเวน อนุคฺคโห อุปฆาโต จาติ อโตฺถฯ
22. Aññehi anidassanehi aññaṃ viya katvā yathā ‘‘silāputtakassa sarīra’’nti. Dhammasabhāvasāmaññenātiādinā kiñcāpi rūpāyatanato añño nidassanabhāvo nāma natthi, dhammasabhāvo pana atthi. Tato ca rūpāyatanassa viseso nidassanabhāvena katoti tadaññadhammavisesakaro nidassanabhāvo rūpāyatanato anaññopi añño viya katvā upacaritoti dasseti. Atthaviseso sāmaññavisesatthabhedo. Sayaṃ sampattānaṃ phoṭṭhabbadhammānaṃ, nissayavasena sampattānaṃ ghānajivhākāyānaṃ gandharasānañca, itaresaṃ asampattānaṃ. Aññamaññapatanaṃ aññamaññassa yogyadese avaṭṭhānaṃ, yena paṭihananabhāvena. Byāpārādīti cittakiriyāvāyodhātuvipphāravasena akkhipaṭalādīnaṃ heṭṭhā upari ca saṃsīdanalaṅghanādippavattimāha. Vikāruppatti visadisuppatti, visayassa iṭṭhāniṭṭhabhāvena anuggaho upaghāto cāti attho.
ติกมาติกาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Tikamātikāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / ๑. ติกมาติกา • 1. Tikamātikā
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā / ติกมาติกาปทวณฺณนา • Tikamātikāpadavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā / ติกมาติกาปทวณฺณนา • Tikamātikāpadavaṇṇanā