Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สโมฺมหวิโนทนี-อฎฺฐกถา • Sammohavinodanī-aṭṭhakathā

    (๓.) ติกนิเทฺทสวณฺณนา

    (3.) Tikaniddesavaṇṇanā

    ๗๖๘. ติวิเธน ญาณวตฺถุนิเทฺทเส โยควิหิเตสูติ โยโค วุจฺจติ ปญฺญา; ปญฺญาวิหิเตสุ ปญฺญาปริณามิเตสูติ อโตฺถฯ กมฺมายตเนสูติ เอตฺถ กมฺมเมว กมฺมายตนํ; อถ วา กมฺมญฺจ ตํ อายตนญฺจ อาชีวาทีนนฺติปิ กมฺมายตนํฯ สิปฺปายตเนสุปิ เอเสว นโยฯ ตตฺถ ทุวิธํ กมฺมํ – หีนญฺจ อุกฺกฎฺฐญฺจฯ ตตฺถ หีนํ นาม วฑฺฒกีกมฺมํ, ปุปฺผฉฑฺฑกกมฺมนฺติ เอวมาทิฯ อุกฺกฎฺฐํ นาม กสิ, วณิชฺชา, โครกฺขนฺติ เอวมาทิฯ สิปฺปมฺปิ ทุวิธํ หีนญฺจ อุกฺกฎฺฐญฺจฯ ตตฺถ หีนํ สิปฺปํ นาม นฬการสิปฺปํ, เปสการสิปฺปํ, กุมฺภการสิปฺปํ, จมฺมการสิปฺปํ, นฺหาปิตสิปฺปนฺติ เอวมาทิฯ อุกฺกฎฺฐํ นาม สิปฺปํ มุทฺทา, คณนา, เลขญฺจาติ เอวมาทิ วิชฺชาว วิชฺชาฎฺฐานํฯ ตํ ธมฺมิกเมว คหิตํฯ นาคมณฺฑลปริตฺตสทิสํ, ผุธมนกมนฺตสทิสํ, สาลากิยํ , สลฺลกตฺติยนฺติอาทีนิ ปน เวชฺชสตฺถานิ ‘‘อิจฺฉามหํ, อาจริย, สิปฺปํ สิกฺขิตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๒๙) สิปฺปายตเน ปวิฎฺฐตฺตา น คหิตานิฯ

    768. Tividhena ñāṇavatthuniddese yogavihitesūti yogo vuccati paññā; paññāvihitesu paññāpariṇāmitesūti attho. Kammāyatanesūti ettha kammameva kammāyatanaṃ; atha vā kammañca taṃ āyatanañca ājīvādīnantipi kammāyatanaṃ. Sippāyatanesupi eseva nayo. Tattha duvidhaṃ kammaṃ – hīnañca ukkaṭṭhañca. Tattha hīnaṃ nāma vaḍḍhakīkammaṃ, pupphachaḍḍakakammanti evamādi. Ukkaṭṭhaṃ nāma kasi, vaṇijjā, gorakkhanti evamādi. Sippampi duvidhaṃ hīnañca ukkaṭṭhañca. Tattha hīnaṃ sippaṃ nāma naḷakārasippaṃ, pesakārasippaṃ, kumbhakārasippaṃ, cammakārasippaṃ, nhāpitasippanti evamādi. Ukkaṭṭhaṃ nāma sippaṃ muddā, gaṇanā, lekhañcāti evamādi vijjāva vijjāṭṭhānaṃ. Taṃ dhammikameva gahitaṃ. Nāgamaṇḍalaparittasadisaṃ, phudhamanakamantasadisaṃ, sālākiyaṃ , sallakattiyantiādīni pana vejjasatthāni ‘‘icchāmahaṃ, ācariya, sippaṃ sikkhitu’’nti (mahāva. 329) sippāyatane paviṭṭhattā na gahitāni.

    ตตฺถ เอโก ปณฺฑิโต มนุสฺสานํ ผาสุวิหารตฺถาย อตฺตโน จ ธมฺมตาย เคหปาสาทยานนาวาทีนิ อุปฺปาเทติฯ โส หิ ‘อิเม มนุสฺสา วสนฎฺฐาเนน วินา ทุกฺขิตา’ติ หิตกิริยาย ฐตฺวา ทีฆจตุรสฺสาทิเภทํ เคหํ อุปฺปาเทติ, สีตุณฺหปฎิฆาตตฺถาย เอกภูมิกทฺวิภูมิกาทิเภเท ปาสาเท กโรติ, ‘ยาเน อสติ อนุสญฺจรณํ นาม ทุกฺข’นฺติ ชงฺฆากิลมถปฎิวิโนทนตฺถาย วยฺหสกฎสนฺทมานิกาทีนิ อุปฺปาเทติ, ‘นาวาย อสติ สมุทฺทาทีสุ สญฺจาโร นาม นตฺถี’ติ นานปฺปการํ นาวํ อุปฺปาเทติฯ โส สพฺพเมฺปตํ เนว อเญฺญหิ กยิรมานํ ปสฺสติ, น กตํ อุคฺคณฺหาติ, น กเถนฺตานํ สุณาติ, อตฺตโน ปน ธมฺมตาย จินฺตาย กโรติฯ ปญฺญวตา หิ อตฺตโน ธมฺมตาย กตมฺปิ อเญฺญหิ อุคฺคณฺหิตฺวา กโรเนฺตหิ กตสทิสเมว โหติฯ อยํ ตาว หีนกเมฺม นโยฯ

    Tattha eko paṇḍito manussānaṃ phāsuvihāratthāya attano ca dhammatāya gehapāsādayānanāvādīni uppādeti. So hi ‘ime manussā vasanaṭṭhānena vinā dukkhitā’ti hitakiriyāya ṭhatvā dīghacaturassādibhedaṃ gehaṃ uppādeti, sītuṇhapaṭighātatthāya ekabhūmikadvibhūmikādibhede pāsāde karoti, ‘yāne asati anusañcaraṇaṃ nāma dukkha’nti jaṅghākilamathapaṭivinodanatthāya vayhasakaṭasandamānikādīni uppādeti, ‘nāvāya asati samuddādīsu sañcāro nāma natthī’ti nānappakāraṃ nāvaṃ uppādeti. So sabbampetaṃ neva aññehi kayiramānaṃ passati, na kataṃ uggaṇhāti, na kathentānaṃ suṇāti, attano pana dhammatāya cintāya karoti. Paññavatā hi attano dhammatāya katampi aññehi uggaṇhitvā karontehi katasadisameva hoti. Ayaṃ tāva hīnakamme nayo.

    อุกฺกฎฺฐกเมฺมปิ ‘กสิกเมฺม อสติ มนุสฺสานํ ชีวิตํ น ปวตฺตตี’ติ เอโก ปณฺฑิโต มนุสฺสานํ ผาสุวิหารตฺถาย ยุคนงฺคลาทีนิ กสิภณฺฑานิ อุปฺปาเทติ; ตถา นานปฺปการํ วาณิชกมฺมํ โครกฺขญฺจ อุปฺปาเทติฯ โส สพฺพเมฺปตํ เนว อเญฺญหิ กริยมานํ ปสฺสติ…เป.… กตสทิสเมว โหติฯ อยํ อุกฺกฎฺฐกเมฺม นโยฯ

    Ukkaṭṭhakammepi ‘kasikamme asati manussānaṃ jīvitaṃ na pavattatī’ti eko paṇḍito manussānaṃ phāsuvihāratthāya yuganaṅgalādīni kasibhaṇḍāni uppādeti; tathā nānappakāraṃ vāṇijakammaṃ gorakkhañca uppādeti. So sabbampetaṃ neva aññehi kariyamānaṃ passati…pe… katasadisameva hoti. Ayaṃ ukkaṭṭhakamme nayo.

    ทุวิเธปิ ปน สิปฺปายตเน เอโก ปณฺฑิโต มนุสฺสานํ ผาสุวิหารตฺถาย นฬการสิปฺปาทีนิ หีนสิปฺปานิ, หตฺถมุทฺทาย คณนสงฺขาตํ มุทฺทํ, อจฺฉินฺนกสงฺขาตํ คณนํ, มาติกาปฺปเภทกาทิเภทญฺจ เลขํ อุปฺปาเทติฯ โส สพฺพเมฺปตํ เนว อเญฺญหิ กริยมานํ ปสฺสติ…เป.… กตสทิสเมว โหติฯ อยํ สิปฺปายตเน นโยฯ

    Duvidhepi pana sippāyatane eko paṇḍito manussānaṃ phāsuvihāratthāya naḷakārasippādīni hīnasippāni, hatthamuddāya gaṇanasaṅkhātaṃ muddaṃ, acchinnakasaṅkhātaṃ gaṇanaṃ, mātikāppabhedakādibhedañca lekhaṃ uppādeti. So sabbampetaṃ neva aññehi kariyamānaṃ passati…pe… katasadisameva hoti. Ayaṃ sippāyatane nayo.

    เอกโจฺจ ปน ปณฺฑิโต อมนุสฺสสรีสปาทีหิ อุปทฺทุตานํ มนุสฺสานํ ติกิจฺฉนตฺถาย ธมฺมิกานิ นาคมณฺฑลมนฺตาทีนิ วิชฺชาฎฺฐานานิ อุปฺปาเทติ, ตานิ เนว อเญฺญหิ กริยมานานิ ปสฺสติ, น กตานิ อุคฺคณฺหาติ, น กเถนฺตานํ สุณาติ, อตฺตโน ปน ธมฺมตาย จินฺตาย กโรติฯ ปญฺญวตา หิ อตฺตโน ธมฺมตาย กตมฺปิ อเญฺญหิ อุคฺคณฺหิตฺวา กโรเนฺตหิ กตสทิสเมว โหติฯ

    Ekacco pana paṇḍito amanussasarīsapādīhi upaddutānaṃ manussānaṃ tikicchanatthāya dhammikāni nāgamaṇḍalamantādīni vijjāṭṭhānāni uppādeti, tāni neva aññehi kariyamānāni passati, na katāni uggaṇhāti, na kathentānaṃ suṇāti, attano pana dhammatāya cintāya karoti. Paññavatā hi attano dhammatāya katampi aññehi uggaṇhitvā karontehi katasadisameva hoti.

    กมฺมสฺสกตํ วาติ ‘‘อิทํ กมฺมํ สตฺตานํ สกํ, อิทํ โน สก’’นฺติ เอวํ ชานนญาณํฯ สจฺจานุโลมิกํ วาติ วิปสฺสนาญาณํฯ ตญฺหิ จตุนฺนํ สจฺจานํ อนุโลมนโต สจฺจานุโลมิกนฺติ วุจฺจติฯ อิทานิสฺส ปวตฺตนาการํ ทเสฺสตุํ รูปํ อนิจฺจนฺติ วาติอาทิ วุตฺตํฯ เอตฺถ จ อนิจฺจลกฺขณเมว อาคตํ, น ทุกฺขลกฺขณอนตฺตลกฺขณานิ, อตฺถวเสน ปน อาคตาเนวาติ ทฎฺฐพฺพานิ – ยญฺหิ อนิจฺจํ ตํ ทุกฺขํ, ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตาติฯ

    Kammassakataṃti ‘‘idaṃ kammaṃ sattānaṃ sakaṃ, idaṃ no saka’’nti evaṃ jānanañāṇaṃ. Saccānulomikaṃ vāti vipassanāñāṇaṃ. Tañhi catunnaṃ saccānaṃ anulomanato saccānulomikanti vuccati. Idānissa pavattanākāraṃ dassetuṃ rūpaṃ aniccanti vātiādi vuttaṃ. Ettha ca aniccalakkhaṇameva āgataṃ, na dukkhalakkhaṇaanattalakkhaṇāni, atthavasena pana āgatānevāti daṭṭhabbāni – yañhi aniccaṃ taṃ dukkhaṃ, yaṃ dukkhaṃ tadanattāti.

    ยํ เอวรูปินฺติ ยํ เอวํ เหฎฺฐา นิทฺทิฎฺฐสภาวํ อนุโลมิกํฯ ขนฺตินฺติอาทีนิ สพฺพานิ ปญฺญาเววจนาเนวฯ สา หิ เหฎฺฐา วุตฺตานํ กมฺมายตนาทีนํ ปญฺจนฺนํ การณานํ อปจฺจนีกทสฺสเนน อนุโลเมตีติ อนุโลมิกาฯ ตถา สตฺตานํ หิตจริยาย อนุโลเมติ, มคฺคสจฺจสฺส อนุโลเมติ, ปรมตฺถสจฺจสฺส นิพฺพานสฺส อนุโลมนโต อนุโลเมตีติปิ อนุโลมิกาฯ สพฺพานิปิ เอตานิ การณานิ ขมติ สหติ ทฎฺฐุํ สโกฺกตีติ ขนฺติ, ปสฺสตีติ ทิฎฺฐิ, โรเจตีติ รุจิ, มุทตีติ มุทิ, เปกฺขตีติ เปกฺขาฯ สเพฺพปิสฺสา เต กมฺมายตนาทโย ธมฺมา นิชฺฌานํ ขมนฺติ, วิเสสโต จ ปญฺจกฺขนฺธสงฺขาตา ธมฺมา ปุนปฺปุนํ อนิจฺจทุกฺขานตฺตวเสน นิชฺฌายมานา ตํ นิชฺฌานํ ขมนฺตีติ ธมฺมนิชฺฌานขนฺตี

    Yaṃ evarūpinti yaṃ evaṃ heṭṭhā niddiṭṭhasabhāvaṃ anulomikaṃ. Khantintiādīni sabbāni paññāvevacanāneva. Sā hi heṭṭhā vuttānaṃ kammāyatanādīnaṃ pañcannaṃ kāraṇānaṃ apaccanīkadassanena anulometīti anulomikā. Tathā sattānaṃ hitacariyāya anulometi, maggasaccassa anulometi, paramatthasaccassa nibbānassa anulomanato anulometītipi anulomikā. Sabbānipi etāni kāraṇāni khamati sahati daṭṭhuṃ sakkotīti khanti, passatīti diṭṭhi, rocetīti ruci, mudatīti mudi, pekkhatīti pekkhā. Sabbepissā te kammāyatanādayo dhammā nijjhānaṃ khamanti, visesato ca pañcakkhandhasaṅkhātā dhammā punappunaṃ aniccadukkhānattavasena nijjhāyamānā taṃ nijjhānaṃ khamantīti dhammanijjhānakhantī.

    ปรโต อสฺสุตฺวา ปฎิลภตีติ อญฺญสฺส อุปเทสวจนํ อสฺสุตฺวา สยเมว จิเนฺตโนฺต ปฎิลภติฯ อยํ วุจฺจตีติ อยํ จินฺตามยา ปญฺญา นาม วุจฺจติฯ สา ปเนสา น เยสํ เกสญฺจิ อุปฺปชฺชติ, อภิญฺญาตานํ ปน มหาสตฺตานเมว อุปฺปชฺชติฯ ตตฺถาปิ สจฺจานุโลมิกญาณํ ทฺวินฺนํเยว โพธิสตฺตานํ อุปฺปชฺชติฯ เสสปญฺญา สเพฺพสมฺปิ ปูริตปารมีนํ มหาปญฺญานํ อุปฺปชฺชตีติ เวทิตพฺพาฯ

    Parato assutvā paṭilabhatīti aññassa upadesavacanaṃ assutvā sayameva cintento paṭilabhati. Ayaṃ vuccatīti ayaṃ cintāmayā paññā nāma vuccati. Sā panesā na yesaṃ kesañci uppajjati, abhiññātānaṃ pana mahāsattānameva uppajjati. Tatthāpi saccānulomikañāṇaṃ dvinnaṃyeva bodhisattānaṃ uppajjati. Sesapaññā sabbesampi pūritapāramīnaṃ mahāpaññānaṃ uppajjatīti veditabbā.

    ปรโต สุตฺวา ปฎิลภตีติ เอตฺถ กมฺมายตนาทีนิ ปเรน กริยมานานิ วา กตานิ วา ทิสฺวาปิ ยสฺส กสฺสจิ กถยมานสฺส วจนํ สุตฺวาปิ อาจริยสฺส สนฺติเก อุคฺคเหตฺวาปิ ปฎิลทฺธา สพฺพา ปรโต สุตฺวาเยว ปฎิลทฺธา นามาติ เวทิตพฺพาฯ

    Paratosutvā paṭilabhatīti ettha kammāyatanādīni parena kariyamānāni vā katāni vā disvāpi yassa kassaci kathayamānassa vacanaṃ sutvāpi ācariyassa santike uggahetvāpi paṭiladdhā sabbā parato sutvāyeva paṭiladdhā nāmāti veditabbā.

    สมาปนฺนสฺสาติ สมาปตฺติสมงฺคิสฺส; อโนฺตสมาปตฺติยํ ปวตฺตา ปญฺญา ภาวนามยา นามาติ อโตฺถฯ

    Samāpannassāti samāpattisamaṅgissa; antosamāpattiyaṃ pavattā paññā bhāvanāmayā nāmāti attho.

    ๗๖๙. ทานํ อารพฺภาติ ทานํ ปฎิจฺจ; ทานเจตนาปจฺจยาติ อโตฺถฯ ทานาธิคจฺฉาติ ทานํ อธิคจฺฉนฺตสฺส; ปาปุณนฺตสฺสาติ อโตฺถฯ ยา อุปฺปชฺชตีติ ยา เอวํ ทานเจตนาสมฺปยุตฺตา ปญฺญา อุปฺปชฺชติ, อยํ ทานมยา ปญฺญา นามฯ สา ปเนสา ‘ทานํ ทสฺสามี’ติ จิเนฺตนฺตสฺส, ทานํ เทนฺตสฺส, ทานํ ทตฺวา ตํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส ปุพฺพเจตนา, มุญฺจเจตนา, อปรเจตนาติ ติวิเธน อุปฺปชฺชติฯ

    769. Dānaṃārabbhāti dānaṃ paṭicca; dānacetanāpaccayāti attho. Dānādhigacchāti dānaṃ adhigacchantassa; pāpuṇantassāti attho. Yā uppajjatīti yā evaṃ dānacetanāsampayuttā paññā uppajjati, ayaṃ dānamayā paññā nāma. Sā panesā ‘dānaṃ dassāmī’ti cintentassa, dānaṃ dentassa, dānaṃ datvā taṃ paccavekkhantassa pubbacetanā, muñcacetanā, aparacetanāti tividhena uppajjati.

    สีลํ อารพฺภ สีลาธิคจฺฉาติ อิธาปิ สีลเจตนาสมฺปยุตฺตาว สีลมยา ปญฺญาติ อธิเปฺปตาฯ อยมฺปิ ‘สีลํ ปูเรสฺสามี’ติ จิเนฺตนฺตสฺส, สีลํ ปูเรนฺตสฺส, สีลํ ปูเรตฺวา ตํ ปจฺจเวกฺขนฺตสฺส ปุพฺพเจตนา, มุญฺจเจตนา, อปรเจตนาติ ติวิเธเนว อุปฺปชฺชติฯ ภาวนามยา เหฎฺฐา วุตฺตาเยวฯ

    Sīlaṃ ārabbha sīlādhigacchāti idhāpi sīlacetanāsampayuttāva sīlamayā paññāti adhippetā. Ayampi ‘sīlaṃ pūressāmī’ti cintentassa, sīlaṃ pūrentassa, sīlaṃ pūretvā taṃ paccavekkhantassa pubbacetanā, muñcacetanā, aparacetanāti tividheneva uppajjati. Bhāvanāmayā heṭṭhā vuttāyeva.

    ๗๗๐. อธิสีลปญฺญาทีสุ สีลาทีนิ ทุวิเธน เวทิตพฺพานิ – สีลํ, อธิสีลํ; จิตฺตํ, อธิจิตฺตํ; ปญฺญา, อธิปญฺญาติฯ ตตฺถ ‘‘อุปฺปาทา วา ตถาคตานํ อนุปฺปาทา วา ตถาคตานํ ฐิตาว สา ธาตุ ธมฺมฎฺฐิตตา ธมฺมนิยามตา’’ติ (สํ. นิ. ๒.๒๐; อ. นิ. ๓.๑๓๗) อิมาย ตนฺติยา สงฺคหิตวเสน ปญฺจปิ สีลานิ ทสปิ สีลานิ สีลํ นามฯ ตญฺหิ ตถาคเต อุปฺปเนฺนปิ อนุปฺปเนฺนปิ โหติฯ อนุปฺปเนฺน เก ปญฺญาเปนฺตีติ? ตาปสปริพฺพาชกา, สพฺพญฺญุโพธิสตฺตา, จกฺกวตฺติราชาโน จ ปญฺญาเปนฺติฯ อุปฺปเนฺน สมฺมาสมฺพุเทฺธ ภิกฺขุสโงฺฆ, ภิกฺขุนีสโงฺฆ, อุปาสกา, อุปาสิกาโย จ ปญฺญาเปนฺติฯ ปาติโมกฺขสํวรสีลํ ปน สพฺพสีเลหิ อธิกํ อุปฺปเนฺนเยว ตถาคเต อุปฺปชฺชติ, โน อนุปฺปเนฺนฯ สพฺพญฺญุพุทฺธาเยว จ นํ ปญฺญาเปนฺติฯ ‘‘อิมสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ วีติกฺกเม อิทํ นาม โหตี’’ติ ปญฺญาปนญฺหิ อเญฺญสํ อวิสโย, พุทฺธานํเยว เอส วิสโย, พุทฺธานํ พลํฯ อิติ ยสฺมา ปาติโมกฺขสํวโร อธิสีลํ, ตสฺมา ตํ อธิสีลปญฺญํ ทเสฺสตุํ ปาติโมกฺขสํวรํ สํวรนฺตสฺสาติอาทิ วุตฺตํฯ

    770. Adhisīlapaññādīsu sīlādīni duvidhena veditabbāni – sīlaṃ, adhisīlaṃ; cittaṃ, adhicittaṃ; paññā, adhipaññāti. Tattha ‘‘uppādā vā tathāgatānaṃ anuppādā vā tathāgatānaṃ ṭhitāva sā dhātu dhammaṭṭhitatā dhammaniyāmatā’’ti (saṃ. ni. 2.20; a. ni. 3.137) imāya tantiyā saṅgahitavasena pañcapi sīlāni dasapi sīlāni sīlaṃ nāma. Tañhi tathāgate uppannepi anuppannepi hoti. Anuppanne ke paññāpentīti? Tāpasaparibbājakā, sabbaññubodhisattā, cakkavattirājāno ca paññāpenti. Uppanne sammāsambuddhe bhikkhusaṅgho, bhikkhunīsaṅgho, upāsakā, upāsikāyo ca paññāpenti. Pātimokkhasaṃvarasīlaṃ pana sabbasīlehi adhikaṃ uppanneyeva tathāgate uppajjati, no anuppanne. Sabbaññubuddhāyeva ca naṃ paññāpenti. ‘‘Imasmiṃ vatthusmiṃ vītikkame idaṃ nāma hotī’’ti paññāpanañhi aññesaṃ avisayo, buddhānaṃyeva esa visayo, buddhānaṃ balaṃ. Iti yasmā pātimokkhasaṃvaro adhisīlaṃ, tasmā taṃ adhisīlapaññaṃ dassetuṃ pātimokkhasaṃvaraṃ saṃvarantassātiādi vuttaṃ.

    เหฎฺฐา วุตฺตาย เอว ปน ตนฺติยา สงฺคหิตวเสน วฎฺฎปาทิกา อฎฺฐ สมาปตฺติโย จิตฺตํ นามฯ ตญฺหิ ตถาคเต อุปฺปเนฺนปิ โหติ อนุปฺปเนฺนปิฯ อนุปฺปเนฺน เก นิพฺพเตฺตนฺตีติ? ตาปสปริพฺพาชกา เจว สพฺพญฺญุโพธิสตฺตา จ จกฺกวตฺติราชาโน จฯ อุปฺปเนฺน ภควติ วิเสสตฺถิกา ภิกฺขุอาทโยปิ นิพฺพเตฺตนฺติเยวฯ วิปสฺสนาปาทิกา ปน อฎฺฐ สมาปตฺติโย สพฺพจิเตฺตหิ อธิกา, อุปฺปเนฺนเยว ตถาคเต อุปฺปชฺชนฺติ, โน อนุปฺปเนฺนฯ สพฺพญฺญุพุทฺธา เอว จ เอตา ปญฺญาเปนฺติ ฯ อิติ ยสฺมา อฎฺฐ สมาปตฺติโย อธิจิตฺตํ, ตสฺมา อธิจิตฺตปญฺญํ ทเสฺสตุํ รูปาวจรารูปาวจรสมาปตฺติํ สมาปชฺชนฺตสฺสาติอาทิ วุตฺตํฯ

    Heṭṭhā vuttāya eva pana tantiyā saṅgahitavasena vaṭṭapādikā aṭṭha samāpattiyo cittaṃ nāma. Tañhi tathāgate uppannepi hoti anuppannepi. Anuppanne ke nibbattentīti? Tāpasaparibbājakā ceva sabbaññubodhisattā ca cakkavattirājāno ca. Uppanne bhagavati visesatthikā bhikkhuādayopi nibbattentiyeva. Vipassanāpādikā pana aṭṭha samāpattiyo sabbacittehi adhikā, uppanneyeva tathāgate uppajjanti, no anuppanne. Sabbaññubuddhā eva ca etā paññāpenti . Iti yasmā aṭṭha samāpattiyo adhicittaṃ, tasmā adhicittapaññaṃ dassetuṃ rūpāvacarārūpāvacarasamāpattiṃ samāpajjantassātiādi vuttaṃ.

    เหฎฺฐา วุตฺตาย เอว ปน ตนฺติยา สงฺคหิตวเสน กมฺมสฺสกตญาณํ ปญฺญา นามฯ ตญฺหิ ตถาคเต อุปฺปเนฺนปิ โหติ อนุปฺปเนฺนปิฯ อนุปฺปเนฺน เวลามทานเวสฺสนฺตรทานาทิวเสน อุปฺปชฺชติ; อุปฺปเนฺน เตน ญาเณน มหาทานํ ปวเตฺตนฺตานํ ปมาณํ นตฺถิฯ มคฺคผลปญฺญา ปน สพฺพปญฺญาหิ อธิกา, อุปฺปเนฺนเยว ตถาคเต วิตฺถาริกา หุตฺวา ปวตฺตติ, โน อนุปฺปเนฺนฯ อิติ ยสฺมา มคฺคผลปญฺญา อธิปญฺญา, ตสฺมา อติเรกปญฺญาย ปญฺญํ ทเสฺสตุํ จตูสุ มเคฺคสูติอาทิ วุตฺตํฯ

    Heṭṭhā vuttāya eva pana tantiyā saṅgahitavasena kammassakatañāṇaṃ paññā nāma. Tañhi tathāgate uppannepi hoti anuppannepi. Anuppanne velāmadānavessantaradānādivasena uppajjati; uppanne tena ñāṇena mahādānaṃ pavattentānaṃ pamāṇaṃ natthi. Maggaphalapaññā pana sabbapaññāhi adhikā, uppanneyeva tathāgate vitthārikā hutvā pavattati, no anuppanne. Iti yasmā maggaphalapaññā adhipaññā, tasmā atirekapaññāya paññaṃ dassetuṃ catūsu maggesūtiādi vuttaṃ.

    ตตฺถ สิยา – สีลํ, อธิสีลํ; จิตฺตํ, อธิจิตฺตํ; ปญฺญา, อธิปญฺญาติ อิเมสุ ฉสุ โกฎฺฐาเสสุ วิปสฺสนา ปญฺญา กตรสนฺนิสฺสิตาติ? อธิปญฺญาสนฺนิสฺสิตาฯ ตสฺมา ยถา โอมกตรปฺปมาณํ ฉตฺตํ วา ธชํ วา อุปาทาย อติเรกปฺปมาณํ อติฉตฺตํ อติธโชติ วุจฺจติ, เอวมิทมฺปิ ปญฺจสีลํ ทสสีลํ อุปาทาย ปาติโมกฺขสํวรสีลํ ‘อธิสีลํ’ นาม; วฎฺฎปาทิกา อฎฺฐ สมาปตฺติโย อุปาทาย วิปสฺสนาปาทิกา อฎฺฐ สมาปตฺติโย ‘อธิจิตฺตํ’ นาม, กมฺมสฺสกตปญฺญํ อุปาทาย วิปสฺสนาปญฺญา จ มคฺคปญฺญา จ ผลปญฺญา จ ‘อธิปญฺญา’ นามาติ เวทิตพฺพาฯ

    Tattha siyā – sīlaṃ, adhisīlaṃ; cittaṃ, adhicittaṃ; paññā, adhipaññāti imesu chasu koṭṭhāsesu vipassanā paññā katarasannissitāti? Adhipaññāsannissitā. Tasmā yathā omakatarappamāṇaṃ chattaṃ vā dhajaṃ vā upādāya atirekappamāṇaṃ atichattaṃ atidhajoti vuccati, evamidampi pañcasīlaṃ dasasīlaṃ upādāya pātimokkhasaṃvarasīlaṃ ‘adhisīlaṃ’ nāma; vaṭṭapādikā aṭṭha samāpattiyo upādāya vipassanāpādikā aṭṭha samāpattiyo ‘adhicittaṃ’ nāma, kammassakatapaññaṃ upādāya vipassanāpaññā ca maggapaññā ca phalapaññā ca ‘adhipaññā’ nāmāti veditabbā.

    ๗๗๑. อายโกสลฺลาทินิเทฺทเส ยสฺมา อาโยติ วุฑฺฒิ, สา อนตฺถหานิโต อตฺถุปฺปตฺติโต จ ทุวิธา; อปาโยติ อวุฑฺฒิ, สาปิ อตฺถหานิโต อนตฺถุปฺปตฺติโต จ ทุวิธา; ตสฺมา ตํ ทเสฺสตุํ อิเม ธเมฺม มนสิกโรโตติอาทิ วุตฺตํฯ อิทํ วุจฺจตีติ ยา อิเมสํ อกุสลธมฺมานํ อนุปฺปตฺติปฺปหาเนสุ กุสลธมฺมานญฺจ อุปฺปตฺติฎฺฐิตีสุ ปญฺญา – อิทํ อายโกสลฺลํ นาม วุจฺจติฯ ยา ปเนสา กุสลธมฺมานํ อนุปฺปชฺชนนิรุชฺฌเนสุ อกุสลธมฺมานญฺจ อุปฺปตฺติฎฺฐิตีสุ ปญฺญา – อิทํ อปายโกสลฺลํ นามาติ อโตฺถฯ อายโกสลฺลํ ตาว ปญฺญา โหตุ; อปายโกสลฺลํ กถํ ปญฺญา นาม ชาตาติ? ปญฺญวาเยว หิ ‘มยฺหํ เอวํ มนสิกโรโต อนุปฺปนฺนา กุสลา ธมฺมา นุปฺปชฺชนฺติ อุปฺปนฺนา จ นิรุชฺฌนฺติ; อนุปฺปนฺนา อกุสลา ธมฺมา อุปฺปชฺชนฺติ, อุปฺปนฺนา ปวฑฺฒนฺตี’ติ ปชานาติฯ โส เอวํ ญตฺวา อนุปฺปนฺนานํ อกุสลานํ ธมฺมานํ อุปฺปชฺชิตุํ น เทติ, อุปฺปเนฺน ปชหติ; อนุปฺปเนฺน กุสเล อุปฺปาเทติ, อุปฺปเนฺน ภาวนาปาริปูริํ ปาเปติฯ เอวํ อปายโกสลฺลมฺปิ ปญฺญา เอวาติ เวทิตพฺพํฯ สพฺพาปิ ตตฺรูปายา ปญฺญา อุปายโกสลฺลนฺติ อิทํ ปน อจฺจายิกกิเจฺจ วา ภเย วา อุปฺปเนฺน ตสฺส ติกิจฺฉนตฺถํ ฐานุปฺปตฺติยการณชานนวเสเนว เวทิตพฺพํฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานตฺถเมวาติฯ

    771. Āyakosallādiniddese yasmā āyoti vuḍḍhi, sā anatthahānito atthuppattito ca duvidhā; apāyoti avuḍḍhi, sāpi atthahānito anatthuppattito ca duvidhā; tasmā taṃ dassetuṃ ime dhamme manasikarototiādi vuttaṃ. Idaṃ vuccatīti yā imesaṃ akusaladhammānaṃ anuppattippahānesu kusaladhammānañca uppattiṭṭhitīsu paññā – idaṃ āyakosallaṃ nāma vuccati. Yā panesā kusaladhammānaṃ anuppajjananirujjhanesu akusaladhammānañca uppattiṭṭhitīsu paññā – idaṃ apāyakosallaṃ nāmāti attho. Āyakosallaṃ tāva paññā hotu; apāyakosallaṃ kathaṃ paññā nāma jātāti? Paññavāyeva hi ‘mayhaṃ evaṃ manasikaroto anuppannā kusalā dhammā nuppajjanti uppannā ca nirujjhanti; anuppannā akusalā dhammā uppajjanti, uppannā pavaḍḍhantī’ti pajānāti. So evaṃ ñatvā anuppannānaṃ akusalānaṃ dhammānaṃ uppajjituṃ na deti, uppanne pajahati; anuppanne kusale uppādeti, uppanne bhāvanāpāripūriṃ pāpeti. Evaṃ apāyakosallampi paññā evāti veditabbaṃ. Sabbāpi tatrūpāyā paññā upāyakosallanti idaṃ pana accāyikakicce vā bhaye vā uppanne tassa tikicchanatthaṃ ṭhānuppattiyakāraṇajānanavaseneva veditabbaṃ. Sesaṃ sabbattha uttānatthamevāti.

    ติกนิเทฺทสวณฺณนาฯ

    Tikaniddesavaṇṇanā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / วิภงฺคปาฬิ • Vibhaṅgapāḷi / ๑๖. ญาณวิภโงฺค • 16. Ñāṇavibhaṅgo

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-มูลฎีกา • Vibhaṅga-mūlaṭīkā / ๑๖. ญาณวิภโงฺค • 16. Ñāṇavibhaṅgo

    ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / วิภงฺค-อนุฎีกา • Vibhaṅga-anuṭīkā / ๑๖. ญาณวิภโงฺค • 16. Ñāṇavibhaṅgo


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact