Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā |
๓. นิเกฺขปกโณฺฑ
3. Nikkhepakaṇḍo
ติกนิเกฺขปกถา
Tikanikkhepakathā
๙๘๕. เอตฺตาวตา กุสลตฺติโก สเพฺพสํ กุสลาทิธมฺมานํ ปทภาชนนเยน วิตฺถาริโต โหติฯ ยสฺมา ปน ยฺวายํ กุสลตฺติกสฺส วิภชนนโย วุโตฺต, เสสติกทุกานมฺปิ เอเสว วิภชนนโย โหติ – ยถา หิ เอตฺถ, เอวํ ‘กตเม ธมฺมา สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา? ยสฺมิํ สมเย กามาวจรํ กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ โสมนสฺสสหคตํ ญาณสมฺปยุตฺตํ รูปารมฺมณํ วา…เป.… เย วา ปน ตสฺมิํ สมเย อเญฺญปิ อตฺถิ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนา อรูปิโน ธมฺมา ฐเปตฺวา เวทนาขนฺธํ, อิเม ธมฺมา สุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา’ติอาทินา อนุกฺกเมน สพฺพติกทุเกสุ สกฺกา ปณฺฑิเตหิ วิภาชนนยํ สลฺลเกฺขตุํ – ตสฺมา ตํ วิตฺถารเทสนํ นิกฺขิปิตฺวา, อเญฺญน นาติสเงฺขปนาติวิตฺถารนเยน สพฺพติกทุกธมฺมวิภาคํ ทเสฺสตุํ กตเม ธมฺมา กุสลาติ นิเกฺขปกณฺฑํ อารทฺธํฯ จิตฺตุปฺปาทกณฺฑญฺหิ วิตฺถารเทสนา, อฎฺฐกถากณฺฑํ สเงฺขปเทสนาฯ อิทํ ปน นิเกฺขปกณฺฑํ จิตฺตุปฺปาทกณฺฑํ อุปาทาย สเงฺขโป, อฎฺฐกถากณฺฑํ อุปาทาย วิตฺถาโรติ สงฺขิตฺตวิตฺถารธาตุกํ โหติฯ ตยิทํ, วิตฺถารเทสนํ นิกฺขิปิตฺวา เทสิตตฺตาปิ, เหฎฺฐา วุตฺตการณวเสนาปิ, นิเกฺขปกณฺฑํ นามาติ เวทิตพฺพํฯ วุตฺตเญฺหตํ –
985. Ettāvatā kusalattiko sabbesaṃ kusalādidhammānaṃ padabhājananayena vitthārito hoti. Yasmā pana yvāyaṃ kusalattikassa vibhajananayo vutto, sesatikadukānampi eseva vibhajananayo hoti – yathā hi ettha, evaṃ ‘katame dhammā sukhāya vedanāya sampayuttā? Yasmiṃ samaye kāmāvacaraṃ kusalaṃ cittaṃ uppannaṃ hoti somanassasahagataṃ ñāṇasampayuttaṃ rūpārammaṇaṃ vā…pe… ye vā pana tasmiṃ samaye aññepi atthi paṭiccasamuppannā arūpino dhammā ṭhapetvā vedanākhandhaṃ, ime dhammā sukhāya vedanāya sampayuttā’tiādinā anukkamena sabbatikadukesu sakkā paṇḍitehi vibhājananayaṃ sallakkhetuṃ – tasmā taṃ vitthāradesanaṃ nikkhipitvā, aññena nātisaṅkhepanātivitthāranayena sabbatikadukadhammavibhāgaṃ dassetuṃ katame dhammā kusalāti nikkhepakaṇḍaṃ āraddhaṃ. Cittuppādakaṇḍañhi vitthāradesanā, aṭṭhakathākaṇḍaṃ saṅkhepadesanā. Idaṃ pana nikkhepakaṇḍaṃ cittuppādakaṇḍaṃ upādāya saṅkhepo, aṭṭhakathākaṇḍaṃ upādāya vitthāroti saṅkhittavitthāradhātukaṃ hoti. Tayidaṃ, vitthāradesanaṃ nikkhipitvā desitattāpi, heṭṭhā vuttakāraṇavasenāpi, nikkhepakaṇḍaṃ nāmāti veditabbaṃ. Vuttañhetaṃ –
มูลโต ขนฺธโต จาปิ, ทฺวารโต จาปิ ภูมิโต;
Mūlato khandhato cāpi, dvārato cāpi bhūmito;
อตฺถโต ธมฺมโต จาปิ, นามโต จาปิ ลิงฺคโต;
Atthato dhammato cāpi, nāmato cāpi liṅgato;
นิกฺขิปิตฺวา เทสิตตฺตา, นิเกฺขโปติ ปวุจฺจตีติฯ
Nikkhipitvā desitattā, nikkhepoti pavuccatīti.
อิทญฺหิ ตีณิ กุสลมูลานีติอาทินา นเยน มูลโต นิกฺขิปิตฺวา เทสิตํฯ ตํสมฺปยุโตฺต เวทนากฺขโนฺธติ ขนฺธโตฯ ตํสมุฎฺฐานํ กายกมฺมนฺติ ทฺวารโตฯ กายทฺวารปฺปวตฺตญฺหิ กมฺมํ กายกมฺมนฺติ วุจฺจติฯ สุขภูมิยํ, กามาวจเรติ ภูมิโต นิกฺขิปิตฺวา เทสิตํฯ ตตฺถ ตตฺถ อตฺถธมฺมนามลิงฺคานํ วเสน เทสิตตฺตา อตฺถาทีหิ นิกฺขิปิตฺวา เทสิตํ นามาติ เวทิตพฺพํฯ
Idañhi tīṇi kusalamūlānītiādinā nayena mūlato nikkhipitvā desitaṃ. Taṃsampayutto vedanākkhandhoti khandhato. Taṃsamuṭṭhānaṃ kāyakammanti dvārato. Kāyadvārappavattañhi kammaṃ kāyakammanti vuccati. Sukhabhūmiyaṃ, kāmāvacareti bhūmito nikkhipitvā desitaṃ. Tattha tattha atthadhammanāmaliṅgānaṃ vasena desitattā atthādīhi nikkhipitvā desitaṃ nāmāti veditabbaṃ.
ตตฺถ กุสลปทนิเทฺทเส ตาว ตีณีติ คณนปริเจฺฉโทฯ กุสลานิ จ ตานิ มูลานิ จ, กุสลานํ วา ธมฺมานํ เหตุปจฺจยปภวชนกสมุฎฺฐานนิพฺพตฺตกเฎฺฐน มูลานีติ กุสลมูลานิฯ เอวํ อตฺถวเสน ทเสฺสตฺวา อิทานิ นามวเสน ทเสฺสตุํ อโลโภ อโทโส อโมโหติ อาหฯ เอตฺตาวตา ยสฺมา มูเลน มุตฺตํ กุสลํ นาม นตฺถิ, ตสฺมา จตุภูมกกุสลํ ตีหิ มูเลหิ ปริยาทิยิตฺวา ทเสฺสสิ ธมฺมราชาฯ ตํสมฺปยุโตฺตติ เตหิ อโลภาทีหิ สมฺปยุโตฺตฯ ตตฺถ อโลเภน สมฺปยุเตฺต สงฺขารกฺขเนฺธ, อโทสาโมหาปิ อโลเภน สมฺปยุตฺตสงฺขารกฺขนฺธคณนํเยว คจฺฉนฺติฯ เสสทฺวยวเสน สมฺปโยเคปิ เอเสว นโยฯ อิติ จตุภูมกกุสลํ ปุน ตํสมฺปยุตฺตกจตุกฺขนฺธวเสน ปริยาทิยิตฺวา ทเสฺสสิ ธมฺมราชาฯ ตํสมุฎฺฐานนฺติ เตหิ อโลภาทีหิ สมุฎฺฐิตํฯ อิมินาปิ นเยน ตเทว จตุภูมิกกุสลํ ติณฺณํ กมฺมทฺวารานํ วเสน ปริยาทิยิตฺวา ทเสฺสสิ ธมฺมราชาฯ เอวํ ตาว กุสลํ ตีสุ ฐาเนสุ ปริยาทิยิตฺวา ทสฺสิตํฯ
Tattha kusalapadaniddese tāva tīṇīti gaṇanaparicchedo. Kusalāni ca tāni mūlāni ca, kusalānaṃ vā dhammānaṃ hetupaccayapabhavajanakasamuṭṭhānanibbattakaṭṭhena mūlānīti kusalamūlāni. Evaṃ atthavasena dassetvā idāni nāmavasena dassetuṃ alobho adoso amohoti āha. Ettāvatā yasmā mūlena muttaṃ kusalaṃ nāma natthi, tasmā catubhūmakakusalaṃ tīhi mūlehi pariyādiyitvā dassesi dhammarājā. Taṃsampayuttoti tehi alobhādīhi sampayutto. Tattha alobhena sampayutte saṅkhārakkhandhe, adosāmohāpi alobhena sampayuttasaṅkhārakkhandhagaṇanaṃyeva gacchanti. Sesadvayavasena sampayogepi eseva nayo. Iti catubhūmakakusalaṃ puna taṃsampayuttakacatukkhandhavasena pariyādiyitvā dassesi dhammarājā. Taṃsamuṭṭhānanti tehi alobhādīhi samuṭṭhitaṃ. Imināpi nayena tadeva catubhūmikakusalaṃ tiṇṇaṃ kammadvārānaṃ vasena pariyādiyitvā dassesi dhammarājā. Evaṃ tāva kusalaṃ tīsu ṭhānesu pariyādiyitvā dassitaṃ.
๙๘๖. อกุสเลปิ เอเสว นโยฯ ทฺวาทสนฺนญฺหิ อกุสลจิตฺตานํ เอกมฺปิ มูเลน มุตฺตํ นาม นตฺถีติ มูเลน ปริยาทิยิตฺวา ทเสฺสสิ ธมฺมราชาฯ ตํสมฺปยุตฺตจตุกฺขนฺธโต จ อุทฺธํ อกุสลํ นาม นตฺถีติ ตาเนว ทฺวาทส อกุสลจิตฺตานิ จตุกฺขนฺธวเสน ปริยาทิยิตฺวา ทเสฺสสิฯ ธมฺมราชา กายกมฺมาทิวเสน ปน เนสํ ปวตฺติสพฺภาวโต กมฺมทฺวารวเสน ปริยาทิยิตฺวา ทเสฺสสิ ธมฺมราชาฯ ยํ ปเนตฺถ ตเทกฎฺฐา จ กิเลสาติอาทิ วุตฺตํ, ตตฺถ เอกสฺมิํ จิเตฺต ปุคฺคเล วา ฐิตนฺติ ‘เอกฎฺฐํ’ฯ ตตฺถ เอกสฺมิํ จิเตฺต ฐิตํ สหเชกฎฺฐํ นาม โหติฯ เอกสฺมิํ ปุคฺคเล ฐิตํ ปหาเนกฎฺฐํ นามฯ เตน โลภาทินา อเญฺญน วา ตตฺถ ตตฺถ นิทฺทิเฎฺฐน สห เอกสฺมิํ ฐิตนฺติ ตเทกฎฺฐํฯ ตตฺถ ‘กตเม ธมฺมา สํกิลิฎฺฐสํกิเลสิกา? ตีณิ อกุสลมูลานิ – โลโภ โทโส โมโห, ตเทกฎฺฐา จ กิเลสา’ติ สํกิลิฎฺฐตฺติเก; ‘กตเม ธมฺมา หีนา? ตีณิ อกุสลมูลานิ – โลโภ โทโส โมโห, ตเทกฎฺฐา จ กิเลสา’ติ หีนตฺติเก ‘กตเม ธมฺมา อกุสลา? ตีณิ อกุสลมูลานิ – โลโภ โทโส โมโห, ตเทกฎฺฐา จ กิเลสา’ติ อิมสฺมิํ กุสลตฺติเก; ‘กตเม ธมฺมา สํกิลิฎฺฐา? ตีณิ อกุสลมูลานิ – โลโภ โทโส โมโห, ตเทกฎฺฐา จ กิเลสา’ติ กิเลสโคจฺฉเก ‘กตเม ธมฺมา สรณา? ตีณิ อกุสลมูลานิ – โลโภ โทโส โมโห, ตเทกฎฺฐา จ กิเลสาติ สรณทุเก’ติ – อิเมสุ เอตฺตเกสุ ฐาเนสุ ‘สหเชกฎฺฐํ’ อาคตํฯ
986. Akusalepi eseva nayo. Dvādasannañhi akusalacittānaṃ ekampi mūlena muttaṃ nāma natthīti mūlena pariyādiyitvā dassesi dhammarājā. Taṃsampayuttacatukkhandhato ca uddhaṃ akusalaṃ nāma natthīti tāneva dvādasa akusalacittāni catukkhandhavasena pariyādiyitvā dassesi. Dhammarājā kāyakammādivasena pana nesaṃ pavattisabbhāvato kammadvāravasena pariyādiyitvā dassesi dhammarājā. Yaṃ panettha tadekaṭṭhā ca kilesātiādi vuttaṃ, tattha ekasmiṃ citte puggale vā ṭhitanti ‘ekaṭṭhaṃ’. Tattha ekasmiṃ citte ṭhitaṃ sahajekaṭṭhaṃ nāma hoti. Ekasmiṃ puggale ṭhitaṃ pahānekaṭṭhaṃ nāma. Tena lobhādinā aññena vā tattha tattha niddiṭṭhena saha ekasmiṃ ṭhitanti tadekaṭṭhaṃ. Tattha ‘katame dhammā saṃkiliṭṭhasaṃkilesikā? Tīṇi akusalamūlāni – lobho doso moho, tadekaṭṭhā ca kilesā’ti saṃkiliṭṭhattike; ‘katame dhammā hīnā? Tīṇi akusalamūlāni – lobho doso moho, tadekaṭṭhā ca kilesā’ti hīnattike ‘katame dhammā akusalā? Tīṇi akusalamūlāni – lobho doso moho, tadekaṭṭhā ca kilesā’ti imasmiṃ kusalattike; ‘katame dhammā saṃkiliṭṭhā? Tīṇi akusalamūlāni – lobho doso moho, tadekaṭṭhā ca kilesā’ti kilesagocchake ‘katame dhammā saraṇā? Tīṇi akusalamūlāni – lobho doso moho, tadekaṭṭhā ca kilesāti saraṇaduke’ti – imesu ettakesu ṭhānesu ‘sahajekaṭṭhaṃ’ āgataṃ.
ทสฺสเนนปหาตพฺพตฺติเก ปน ‘อิมานิ ตีณิ สํโยชนานิ, ตเทกฎฺฐา จ กิเลสา’ติ, ทสฺสเนนปหาตพฺพเหตุกตฺติเกปิ ‘อิมานิ ตีณิ สํโยชนานิ, ตเทกฎฺฐา จ กิเลสา’ติ, ปุน ตเตฺถว ตีณิ สํโยชนานิ – สกฺกายทิฎฺฐิ วิจิกิจฺฉา สีลพฺพตปรามาโส, อิเม ธมฺมา ทสฺสเนนปหาตพฺพา; ตเทกโฎฺฐ โลโภ โทโส โมโห, อิเม ธมฺมา ทสฺสเนนปหาตพฺพเหตู; ตเทกฎฺฐา จ กิเลสา ตํสมฺปยุโตฺต เวทนาขโนฺธ…เป.… วิญฺญาณกฺขโนฺธ, ตํสมุฎฺฐานํ กายกมฺมํ วจีกมฺมํ มโนกมฺมํ, อิเม ธมฺมา ทสฺสเนนปหาตพฺพเหตุกาติ; สมฺมปฺปธานวิภเงฺค ‘‘ตตฺถ กตเม ปาปกา อกุสลา ธมฺมา? ตีณิ อกุสลมูลานิ – โลโภ โทโส โมโห, ตเทกฎฺฐา จ กิเลสา’’ติ (วิภ. ๓๙๑) – อิเมสุ ปน เอตฺตเกสุ ฐาเนสุ ‘ปหาเนกฎฺฐํ’ อาคตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Dassanenapahātabbattike pana ‘imāni tīṇi saṃyojanāni, tadekaṭṭhā ca kilesā’ti, dassanenapahātabbahetukattikepi ‘imāni tīṇi saṃyojanāni, tadekaṭṭhā ca kilesā’ti, puna tattheva tīṇi saṃyojanāni – sakkāyadiṭṭhi vicikicchā sīlabbataparāmāso, ime dhammā dassanenapahātabbā; tadekaṭṭho lobho doso moho, ime dhammā dassanenapahātabbahetū; tadekaṭṭhā ca kilesā taṃsampayutto vedanākhandho…pe… viññāṇakkhandho, taṃsamuṭṭhānaṃ kāyakammaṃ vacīkammaṃ manokammaṃ, ime dhammā dassanenapahātabbahetukāti; sammappadhānavibhaṅge ‘‘tattha katame pāpakā akusalā dhammā? Tīṇi akusalamūlāni – lobho doso moho, tadekaṭṭhā ca kilesā’’ti (vibha. 391) – imesu pana ettakesu ṭhānesu ‘pahānekaṭṭhaṃ’ āgatanti veditabbaṃ.
๙๘๗. อพฺยากตปทนิเทฺทโส อุตฺตานโตฺถเยวาติฯ อิมสฺมิํ ติเก ตีณิ ลกฺขณานิ ติโสฺส ปญฺญตฺติโย กสิณุคฺฆาฎิมากาสํ อชฎากาสํ อากิญฺจญฺญายตนสฺส อารมฺมณํ นิโรธสมาปตฺติ จ น ลพฺภตีติ วุตฺตํฯ
987. Abyākatapadaniddeso uttānatthoyevāti. Imasmiṃ tike tīṇi lakkhaṇāni tisso paññattiyo kasiṇugghāṭimākāsaṃ ajaṭākāsaṃ ākiñcaññāyatanassa ārammaṇaṃ nirodhasamāpatti ca na labbhatīti vuttaṃ.
๙๘๘. เวทนาตฺติกนิเทฺทเส สุขภูมิยนฺติ เอตฺถ ยถา ตมฺพภูมิ กณฺหภูมีติ ตมฺพกณฺหภูมิโยว วุจฺจนฺติ, เอวํ สุขมฺปิ สุขภูมิ นามฯ ยถา อุจฺฉุภูมิ สาลิภูมีติ อุจฺฉุสาลีนํ อุปฺปชฺชนฎฺฐานานิ วุจฺจนฺติ, เอวํ สุขสฺส อุปฺปชฺชนฎฺฐานํ จิตฺตมฺปิ สุขภูมิ นามฯ ตํ อิธ อธิเปฺปตํฯ ยสฺมา ปน สา กามาวจเร วา โหติ, รูปาวจราทีสุ วา, ตสฺมาสฺสา ตํ ปเภทํ ทเสฺสตุํ กามาวจเรติอาทิ วุตฺตํฯ สุขเวทนํ ฐเปตฺวาติ ยา สา สุขภูมิยํ สุขเวทนา, ตํ ฐเปตฺวาฯ ตํสมฺปยุโตฺตติ ตาย ฐปิตาย สุขเวทนาย สมฺปยุโตฺตฯ เสสปททฺวเยปิ อิมินาว นเยน อโตฺถ เวทิตโพฺพติฯ
988. Vedanāttikaniddese sukhabhūmiyanti ettha yathā tambabhūmi kaṇhabhūmīti tambakaṇhabhūmiyova vuccanti, evaṃ sukhampi sukhabhūmi nāma. Yathā ucchubhūmi sālibhūmīti ucchusālīnaṃ uppajjanaṭṭhānāni vuccanti, evaṃ sukhassa uppajjanaṭṭhānaṃ cittampi sukhabhūmi nāma. Taṃ idha adhippetaṃ. Yasmā pana sā kāmāvacare vā hoti, rūpāvacarādīsu vā, tasmāssā taṃ pabhedaṃ dassetuṃ kāmāvacaretiādi vuttaṃ. Sukhavedanaṃ ṭhapetvāti yā sā sukhabhūmiyaṃ sukhavedanā, taṃ ṭhapetvā. Taṃsampayuttoti tāya ṭhapitāya sukhavedanāya sampayutto. Sesapadadvayepi imināva nayena attho veditabboti.
อิมสฺมิํ ติเก ติโสฺส เวทนา, สพฺพํ รูปํ, นิพฺพานนฺติ อิทมฺปิ น ลพฺภติฯ อยญฺหิ ติโก กุสลตฺติเก จ อลพฺภมาเนหิ อิเมหิ จ ตีหิ โกฎฺฐาเสหิ มุตฺตโก นามฯ อิโต ปเรสุ ปน ติกทุเกสุ ปาฬิโต จ อตฺถโต จ ยํ วตฺตพฺพํ สิยา ตํ สพฺพํ ปทานุกฺกเมน มาติกากถายเญฺจว กุสลาทีนํ นิเทฺทเส จ วุตฺตเมวฯ ยํ ปน ยตฺถ วิเสสมตฺตํ ตเทว วกฺขามฯ
Imasmiṃ tike tisso vedanā, sabbaṃ rūpaṃ, nibbānanti idampi na labbhati. Ayañhi tiko kusalattike ca alabbhamānehi imehi ca tīhi koṭṭhāsehi muttako nāma. Ito paresu pana tikadukesu pāḷito ca atthato ca yaṃ vattabbaṃ siyā taṃ sabbaṃ padānukkamena mātikākathāyañceva kusalādīnaṃ niddese ca vuttameva. Yaṃ pana yattha visesamattaṃ tadeva vakkhāma.
๙๙๑. ตตฺถ วิปากตฺติเก ตาว กิญฺจาปิ อรูปธมฺมา วิย รูปธมฺมาปิ กมฺมสมุฎฺฐานา อตฺถิ, อนารมฺมณตฺตา ปน เต กมฺมสริกฺขกา น โหนฺตีติ สารมฺมณา อรูปธมฺมาว กมฺมสริกฺขกตฺตา วิปากาติ วุตฺตา, พีชสริกฺขกํ ผลํ วิยฯ สาลิพีชสฺมิญฺหิ วปิเต องฺกุรปตฺตาทีสุ นิกฺขเนฺตสุปิ สาลิผลนฺติ น วุจฺจติฯ ยทา ปน สาลิสีสํ ปกฺกํ โหติ ปริณตํ, ตทา พีชสริกฺขโก สาลิ เอว สาลิผลนฺติ วุจฺจติฯ องฺกุรปตฺตาทีนิ ปน พีชชาตานิ พีชโต นิพฺพตฺตานีติ วุจฺจนฺติ, เอวเมว รูปมฺปิ กมฺมชนฺติ วา อุปาทิณฺณนฺติ วา วตฺตุํ วฎฺฎติฯ
991. Tattha vipākattike tāva kiñcāpi arūpadhammā viya rūpadhammāpi kammasamuṭṭhānā atthi, anārammaṇattā pana te kammasarikkhakā na hontīti sārammaṇā arūpadhammāva kammasarikkhakattā vipākāti vuttā, bījasarikkhakaṃ phalaṃ viya. Sālibījasmiñhi vapite aṅkurapattādīsu nikkhantesupi sāliphalanti na vuccati. Yadā pana sālisīsaṃ pakkaṃ hoti pariṇataṃ, tadā bījasarikkhako sāli eva sāliphalanti vuccati. Aṅkurapattādīni pana bījajātāni bījato nibbattānīti vuccanti, evameva rūpampi kammajanti vā upādiṇṇanti vā vattuṃ vaṭṭati.
๙๙๔. อุปาทิณฺณตฺติเก กิญฺจาปิ ขีณาสวสฺส ขนฺธา ‘อมฺหากํ มาตุลเตฺถโร อมฺหากํ จูฬปิตุเตฺถโร’ติ วทนฺตานํ ปเรสํ อุปาทานสฺส ปจฺจยา โหนฺติ, มคฺคผลนิพฺพานานิ ปน อคฺคหิตานิ อปรามฎฺฐานิ อนุปาทิณฺณาเนวฯ ตานิ หิ, ยถา ทิวสํ สนฺตโตฺต อโยคุโฬ มกฺขิกานํ อภินิสีทนสฺส ปจฺจโย น โหติ, เอวเมว เตชุสฺสทตฺตา ตณฺหามานทิฎฺฐิวเสน คหณสฺส ปจฺจยา น โหนฺติฯ เตน วุตฺตํ – อิเม ธมฺมา อนุปาทิณฺณอนุปาทานิยาติฯ
994. Upādiṇṇattike kiñcāpi khīṇāsavassa khandhā ‘amhākaṃ mātulatthero amhākaṃ cūḷapitutthero’ti vadantānaṃ paresaṃ upādānassa paccayā honti, maggaphalanibbānāni pana aggahitāni aparāmaṭṭhāni anupādiṇṇāneva. Tāni hi, yathā divasaṃ santatto ayoguḷo makkhikānaṃ abhinisīdanassa paccayo na hoti, evameva tejussadattā taṇhāmānadiṭṭhivasena gahaṇassa paccayā na honti. Tena vuttaṃ – ime dhammā anupādiṇṇaanupādāniyāti.
๙๙๘. อสํกิลิฎฺฐอสํกิเลสิเกสุปิ เอเสว นโยฯ
998. Asaṃkiliṭṭhaasaṃkilesikesupi eseva nayo.
๑๐๐๐. วิตกฺกตฺติเก วิตกฺกสหชาเตน วิจาเรน สทฺธิํ กุสลตฺติเก อลพฺภมานาว น ลพฺภนฺติฯ
1000. Vitakkattike vitakkasahajātena vicārena saddhiṃ kusalattike alabbhamānāva na labbhanti.
๑๐๐๓. ปีติสหคตตฺติเก ปีติอาทโย อตฺตนา สหชาตธมฺมานํ ปีติสหคตาทิภาวํ ทตฺวา สยํ ปิฎฺฐิวฎฺฎกา ชาตาฯ อิมสฺมิญฺหิ ติเก เทฺว โทมนสฺสสหคตจิตฺตุปฺปาทา ทุกฺขสหคตํ กายวิญฺญาณํ อุเปกฺขาเวทนา รูปํ นิพฺพานนฺติ – อิทมฺปิ น ลพฺภติฯ อยญฺหิ ติโก กุสลตฺติเก จ อลพฺภมาเนหิ อิเมหิ จ ปญฺจหิ โกฎฺฐาเสหิ มุตฺตโก นามฯ
1003. Pītisahagatattike pītiādayo attanā sahajātadhammānaṃ pītisahagatādibhāvaṃ datvā sayaṃ piṭṭhivaṭṭakā jātā. Imasmiñhi tike dve domanassasahagatacittuppādā dukkhasahagataṃ kāyaviññāṇaṃ upekkhāvedanā rūpaṃ nibbānanti – idampi na labbhati. Ayañhi tiko kusalattike ca alabbhamānehi imehi ca pañcahi koṭṭhāsehi muttako nāma.
๑๐๐๖. ทสฺสเนนปหาตพฺพตฺติเก สโญฺญชนานีติ พนฺธนานิฯ สกฺกายทิฎฺฐีติ วิชฺชมานเฎฺฐน สติ ขนฺธปญฺจกสงฺขาเต กาเย; สยํ วา สตี ตสฺมิํ กาเย ทิฎฺฐีติ ‘สกฺกายทิฎฺฐิ’ฯ สีเลน สุชฺฌิตุํ สกฺกา, วเตน สุชฺฌิตุํ สกฺกา, สีลวเตหิ สุชฺฌิตุํ สกฺกาติ คหิตสมาทานํ ปน สีลพฺพตปรามาโส นามฯ
1006. Dassanenapahātabbattike saññojanānīti bandhanāni. Sakkāyadiṭṭhīti vijjamānaṭṭhena sati khandhapañcakasaṅkhāte kāye; sayaṃ vā satī tasmiṃ kāye diṭṭhīti ‘sakkāyadiṭṭhi’. Sīlena sujjhituṃ sakkā, vatena sujjhituṃ sakkā, sīlavatehi sujjhituṃ sakkāti gahitasamādānaṃ pana sīlabbataparāmāso nāma.
๑๐๐๗. อิธาติ เทสาปเทเส นิปาโตฯ สฺวายํ กตฺถจิ โลกํ อุปาทาย วุจฺจติฯ ยถาห – ‘‘อิธ ตถาคโต โลเก อุปฺปชฺชตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๑๘๙)ฯ กตฺถจิ สาสนํฯ ยถาห – ‘‘อิเธว, ภิกฺขเว, สมโณ อิธ ทุติโย สมโณ’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๓๙; อ. นิ. ๔.๒๔๑)ฯ กตฺถจิ โอกาสํฯ ยถาห –
1007. Idhāti desāpadese nipāto. Svāyaṃ katthaci lokaṃ upādāya vuccati. Yathāha – ‘‘idha tathāgato loke uppajjatī’’ti (dī. ni. 1.189). Katthaci sāsanaṃ. Yathāha – ‘‘idheva, bhikkhave, samaṇo idha dutiyo samaṇo’’ti (ma. ni. 1.139; a. ni. 4.241). Katthaci okāsaṃ. Yathāha –
‘‘อิเธว ติฎฺฐมานสฺส, เทวภูตสฺส เม สโต;
‘‘Idheva tiṭṭhamānassa, devabhūtassa me sato;
ปุนรายุ จ เม ลโทฺธ, เอวํ ชานาหิ มาริสา’’ติฯ (ที. นิ. ๒.๓๖๙);
Punarāyu ca me laddho, evaṃ jānāhi mārisā’’ti. (dī. ni. 2.369);
กตฺถจิ ปทปูรณมตฺตเมวฯ ยถาห – ‘‘อิธาหํ, ภิกฺขเว, ภุตฺตาวี อสฺสํ ปวาริโต’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๐)ฯ อิธ ปน โลกํ อุปาทาย วุโตฺตติ เวทิตโพฺพฯ
Katthaci padapūraṇamattameva. Yathāha – ‘‘idhāhaṃ, bhikkhave, bhuttāvī assaṃ pavārito’’ti (ma. ni. 1.30). Idha pana lokaṃ upādāya vuttoti veditabbo.
อสฺสุตวา ปุถุชฺชโนติ เอตฺถ ปน ‘อาคมาธิคมาภาวา เญโยฺย อสฺสุตวา อิติ’ฯ ยสฺส หิ ขนฺธธาตุอายตนปจฺจยาการสติปฎฺฐานาทีสุ อุคฺคหปริปุจฺฉาวินิจฺฉยรหิตตฺตา ทิฎฺฐิปฎิเสธโก เนว ‘อาคโม’, ปฎิปตฺติยา อธิคนฺตพฺพสฺส อนธิคตตฺตา เนว ‘อธิคโม’ อตฺถิ, โส ‘อาคมาธิคมาภาวา เญโยฺย อสฺสุตวา อิติ’ฯ สฺวายํ –
Assutavā puthujjanoti ettha pana ‘āgamādhigamābhāvā ñeyyo assutavā iti’. Yassa hi khandhadhātuāyatanapaccayākārasatipaṭṭhānādīsu uggahaparipucchāvinicchayarahitattā diṭṭhipaṭisedhako neva ‘āgamo’, paṭipattiyā adhigantabbassa anadhigatattā neva ‘adhigamo’ atthi, so ‘āgamādhigamābhāvā ñeyyo assutavā iti’. Svāyaṃ –
ปุถูนํ ชนนาทีหิ, การเณหิ ปุถุชฺชโน;
Puthūnaṃ jananādīhi, kāraṇehi puthujjano;
ปุถุชฺชนโนฺตคธตฺตา, ปุถุวายํ ชโน อิติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๗; ม. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๕๑; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๒.๑.๑๓๐; จูฬนิ. อฎฺฐ. ๘๘; เนตฺติ. อฎฺฐ. ๕๖);
Puthujjanantogadhattā, puthuvāyaṃ jano iti. (dī. ni. aṭṭha. 1.7; ma. ni. aṭṭha. 1.2; a. ni. aṭṭha. 1.1.51; paṭi. ma. aṭṭha. 2.1.130; cūḷani. aṭṭha. 88; netti. aṭṭha. 56);
โส หิ ปุถูนํ นานปฺปการานํ กิเลสาทีนํ ชนนาทีหิ การเณหิ ปุถุชฺชโนฯ ยถาห – ‘‘ปุถุ กิเลเส ชเนนฺตีติ ปุถุชฺชนาฯ ปุถุ อวิหตสกฺกายทิฎฺฐิกาติ ปุถุชฺชนาฯ ปุถุ สตฺถารานํ มุขุโลฺลกิกาติ ปุถุชฺชนาฯ ปุถุ สพฺพคตีหิ อวุฎฺฐิตาติ ปุถุชฺชนาฯ ปุถุ นานาภิสงฺขาเร อภิสงฺขโรนฺตีติ ปุถุชฺชนาฯ ปุถุ นานาโอเฆหิ วุยฺหนฺตีติ ปุถุชฺชนาฯ ปุถุ นานาสนฺตาเปหิ สนฺตปฺปนฺตีติ ปุถุชฺชนาฯ ปุถุ นานาปริฬาเหหิ ปริฑยฺหนฺตีติ ปุถุชฺชนาฯ ปุถุ ปญฺจสุ กามคุเณสุ รตฺตา คิทฺธา คธิตา มุจฺฉิตา อโชฺฌสนฺนา ลคฺคา ลคฺคิตา ปลิพุทฺธาติ ปุถุชฺชนาฯ ปุถุ ปญฺจหิ นีวรเณหิ อาวุตา นิวุตา โอวุตา ปิหิตา ปฎิจฺฉนฺนา ปฎิกุชฺชิตาติ ปุถุชฺชนา’’ติ (มหานิ. ๙๔)ฯ ปุถูนํ วา คณนปถมตีตานํ อริยธมฺมปรมฺมุขานํ นีจธมฺมสมาจารานํ ชนานํ อโนฺตคธตฺตาปิ ปุถุชฺชนาฯ ปุถุ วา อยํ – วิสุํเยว สงฺขฺยํ คโต, วิสํสโฎฺฐ สีลสุตาทิคุณยุเตฺตหิ อริเยหิ – ชโนติปิ ปุถุชฺชโนฯ เอวเมเตหิ ‘อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน’ติ ทฺวีหิ ปเทหิ เย เต –
So hi puthūnaṃ nānappakārānaṃ kilesādīnaṃ jananādīhi kāraṇehi puthujjano. Yathāha – ‘‘puthu kilese janentīti puthujjanā. Puthu avihatasakkāyadiṭṭhikāti puthujjanā. Puthu satthārānaṃ mukhullokikāti puthujjanā. Puthu sabbagatīhi avuṭṭhitāti puthujjanā. Puthu nānābhisaṅkhāre abhisaṅkharontīti puthujjanā. Puthu nānāoghehi vuyhantīti puthujjanā. Puthu nānāsantāpehi santappantīti puthujjanā. Puthu nānāpariḷāhehi pariḍayhantīti puthujjanā. Puthu pañcasu kāmaguṇesu rattā giddhā gadhitā mucchitā ajjhosannā laggā laggitā palibuddhāti puthujjanā. Puthu pañcahi nīvaraṇehi āvutā nivutā ovutā pihitā paṭicchannā paṭikujjitāti puthujjanā’’ti (mahāni. 94). Puthūnaṃ vā gaṇanapathamatītānaṃ ariyadhammaparammukhānaṃ nīcadhammasamācārānaṃ janānaṃ antogadhattāpi puthujjanā. Puthu vā ayaṃ – visuṃyeva saṅkhyaṃ gato, visaṃsaṭṭho sīlasutādiguṇayuttehi ariyehi – janotipi puthujjano. Evametehi ‘assutavā puthujjano’ti dvīhi padehi ye te –
‘‘ทุเว ปุถุชฺชนา วุตฺตา, พุเทฺธนาทิจฺจพนฺธุนา;
‘‘Duve puthujjanā vuttā, buddhenādiccabandhunā;
อโนฺธ ปุถุชฺชโน เอโก, กลฺยาเณโก ปุถุชฺชโน’’ติฯ (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๗; อ. นิ. อฎฺฐ. ๑.๑.๕๑; ปฎิ. ม. อฎฺฐ. ๒.๑.๑๓๐; จูฬนิ. อฎฺฐ. ๘๘);
Andho puthujjano eko, kalyāṇeko puthujjano’’ti. (dī. ni. aṭṭha. 1.7; a. ni. aṭṭha. 1.1.51; paṭi. ma. aṭṭha. 2.1.130; cūḷani. aṭṭha. 88);
เทฺว ปุถุชฺชนา วุตฺตา, เตสุ อนฺธปุถุชฺชโน วุโตฺต โหตีติ เวทิตโพฺพฯ
Dve puthujjanā vuttā, tesu andhaputhujjano vutto hotīti veditabbo.
อริยานํ อทสฺสาวีติอาทีสุ อริยาติ อารกตฺตา กิเลเสหิ, อนเย น อิริยนโต, อเย อิริยนโต, สเทวเกน โลเกน จ อรณียโต พุทฺธา จ ปเจฺจกพุทฺธา จ พุทฺธสาวกา จ วุจฺจนฺติฯ พุทฺธา เอว วา อิธ อริยาฯ ยถาห – ‘‘สเทวเก, ภิกฺขเว, โลเก…เป.… ตถาคโต อริโยติ วุจฺจตี’’ติ (สํ. นิ. ๕.๑๐๙๘)ฯ
Ariyānaṃ adassāvītiādīsu ariyāti ārakattā kilesehi, anaye na iriyanato, aye iriyanato, sadevakena lokena ca araṇīyato buddhā ca paccekabuddhā ca buddhasāvakā ca vuccanti. Buddhā eva vā idha ariyā. Yathāha – ‘‘sadevake, bhikkhave, loke…pe… tathāgato ariyoti vuccatī’’ti (saṃ. ni. 5.1098).
สปฺปุริสาติ เอตฺถ ปน ปเจฺจกพุทฺธา ตถาคตสาวกา จ สปฺปุริสาติ เวทิตพฺพาฯ เต หิ โลกุตฺตรคุณโยเคน โสภนา ปุริสาติ สปฺปุริสาฯ สเพฺพว วา เอเต เทฺวธาปิ วุตฺตาฯ พุทฺธาปิ หิ อริยา จ สปฺปุริสา จ ปเจฺจกพุทฺธา พุทฺธสาวกาปิฯ ยถาห –
Sappurisāti ettha pana paccekabuddhā tathāgatasāvakā ca sappurisāti veditabbā. Te hi lokuttaraguṇayogena sobhanā purisāti sappurisā. Sabbeva vā ete dvedhāpi vuttā. Buddhāpi hi ariyā ca sappurisā ca paccekabuddhā buddhasāvakāpi. Yathāha –
‘‘โย เว กตญฺญู กตเวทิ ธีโร,
‘‘Yo ve kataññū katavedi dhīro,
กลฺยาณมิโตฺต ทฬฺหภตฺติ จ โหติ;
Kalyāṇamitto daḷhabhatti ca hoti;
ทุขิตสฺส สกฺกจฺจ กโรติ กิจฺจํ,
Dukhitassa sakkacca karoti kiccaṃ,
ตถาวิธํ สปฺปุริสํ วทนฺตี’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๗๘);
Tathāvidhaṃ sappurisaṃ vadantī’’ti. (jā. 2.17.78);
‘กลฺยาณมิโตฺต ทฬฺหภตฺติ จ โหตี’ติ เอตฺตาวตา หิ พุทฺธสาวโก วุโตฺตฯ กตญฺญุตาทีหิ ปเจฺจกพุทฺธา พุทฺธาติฯ อิทานิ โย เตสํ อริยานํ อทสฺสนสีโล, น จ ทสฺสเน สาธุการี, โส อริยานํ อทสฺสาวีติ เวทิตโพฺพฯ โส จกฺขุนา อทสฺสาวี ญาเณน อทสฺสาวีติ ทุวิโธฯ เตสุ ญาเณน อทสฺสาวี อิธ อธิเปฺปโตฯ มํสจกฺขุนา หิ ทิพฺพจกฺขุนา วา อริยา ทิฎฺฐาปิ อทิฎฺฐาว โหนฺติ, เตสํ จกฺขูนํ วณฺณมตฺตคฺคหณโต, น อริยภาวโคจรโตฯ โสณสิงฺคาลาทโยปิ จกฺขุนา อริเย ปสฺสนฺติ, น จ เต อริยานํ ทสฺสาวิโนฯ
‘Kalyāṇamitto daḷhabhatti ca hotī’ti ettāvatā hi buddhasāvako vutto. Kataññutādīhi paccekabuddhā buddhāti. Idāni yo tesaṃ ariyānaṃ adassanasīlo, na ca dassane sādhukārī, so ariyānaṃ adassāvīti veditabbo. So cakkhunā adassāvī ñāṇena adassāvīti duvidho. Tesu ñāṇena adassāvī idha adhippeto. Maṃsacakkhunā hi dibbacakkhunā vā ariyā diṭṭhāpi adiṭṭhāva honti, tesaṃ cakkhūnaṃ vaṇṇamattaggahaṇato, na ariyabhāvagocarato. Soṇasiṅgālādayopi cakkhunā ariye passanti, na ca te ariyānaṃ dassāvino.
ตตฺริทํ วตฺถุ – จิตฺตลปพฺพตวาสิโน กิร ขีณาสวเตฺถรสฺส อุปฎฺฐาโก วุฑฺฒปพฺพชิโต เอกทิวสํ เถเรน สทฺธิํ ปิณฺฑาย จริตฺวา เถรสฺส ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา ปิฎฺฐิโต อาคจฺฉโนฺต เถรํ ปุจฺฉิ – ‘อริยา นาม ภเนฺต กีทิสา’ติ? เถโร อาห – ‘อิเธกโจฺจ มหลฺลโก อริยานํ ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา วตฺตปฎิปตฺติํ กตฺวา สห จรโนฺตปิ เนว อริเย ชานาติ, เอวํทุชฺชานาวุโส, อริยา’ติฯ เอวํ วุเตฺตปิ โส เนว อญฺญาสิฯ ตสฺมา น จกฺขุนา ทสฺสนํ ‘ทสฺสนํ’, ญาณทสฺสนเมว ‘ทสฺสนํ’ฯ ยถาห – ‘‘กิํ เต วกฺกลิ อิมินา ปูติกาเยน ทิเฎฺฐน? โย โข, วกฺกลิ, ธมฺมํ ปสฺสติ, โส มํ ปสฺสตี’’ติ (สํ. นิ. ๓.๘๗)ฯ ตสฺมา จกฺขุนา ปสฺสโนฺตปิ, ญาเณน อริเยหิ ทิฎฺฐํ อนิจฺจาทิลกฺขณํ อปสฺสโนฺต, อริยาธิคตญฺจ ธมฺมํ อนธิคจฺฉโนฺต, อริยกรธมฺมานํ อริยภาวสฺส จ อทิฎฺฐตฺตา, ‘อริยานํ อทสฺสาวี’ติ เวทิตโพฺพฯ
Tatridaṃ vatthu – cittalapabbatavāsino kira khīṇāsavattherassa upaṭṭhāko vuḍḍhapabbajito ekadivasaṃ therena saddhiṃ piṇḍāya caritvā therassa pattacīvaraṃ gahetvā piṭṭhito āgacchanto theraṃ pucchi – ‘ariyā nāma bhante kīdisā’ti? Thero āha – ‘idhekacco mahallako ariyānaṃ pattacīvaraṃ gahetvā vattapaṭipattiṃ katvā saha carantopi neva ariye jānāti, evaṃdujjānāvuso, ariyā’ti. Evaṃ vuttepi so neva aññāsi. Tasmā na cakkhunā dassanaṃ ‘dassanaṃ’, ñāṇadassanameva ‘dassanaṃ’. Yathāha – ‘‘kiṃ te vakkali iminā pūtikāyena diṭṭhena? Yo kho, vakkali, dhammaṃ passati, so maṃ passatī’’ti (saṃ. ni. 3.87). Tasmā cakkhunā passantopi, ñāṇena ariyehi diṭṭhaṃ aniccādilakkhaṇaṃ apassanto, ariyādhigatañca dhammaṃ anadhigacchanto, ariyakaradhammānaṃ ariyabhāvassa ca adiṭṭhattā, ‘ariyānaṃ adassāvī’ti veditabbo.
อริยธมฺมสฺส อโกวิโทติ สติปฎฺฐานาทิเภเท อริยธเมฺม อกุสโลฯ อริยธเมฺม อวินีโตติ, เอตฺถ ปน
Ariyadhammassaakovidoti satipaṭṭhānādibhede ariyadhamme akusalo. Ariyadhamme avinītoti, ettha pana
ทุวิโธ วินโย นาม, เอกเมเกตฺถ ปญฺจธา;
Duvidho vinayo nāma, ekamekettha pañcadhā;
อภาวโต ตสฺส อยํ, อวินีโตติ วุจฺจติฯ
Abhāvato tassa ayaṃ, avinītoti vuccati.
อยญฺหิ สํวรวินโย ปหานวินโยติ ทุวิโธ วินโยฯ เอตฺถ จ ทุวิเธปิ วินเย เอกเมโก วินโย ปญฺจธา ภิชฺชติฯ สํวรวินโยปิ หิ สีลสํวโร สติสํวโร ญาณสํวโร ขนฺติสํวโร วีริยสํวโรติ ปญฺจวิโธฯ ปหานวินโยปิ ตทงฺคปหานํ วิกฺขมฺภนปหานํ สมุเจฺฉทปหานํ ปฎิปฺปสฺสทฺธิปหานํ นิสฺสรณปหานนฺติ ปญฺจวิโธฯ
Ayañhi saṃvaravinayo pahānavinayoti duvidho vinayo. Ettha ca duvidhepi vinaye ekameko vinayo pañcadhā bhijjati. Saṃvaravinayopi hi sīlasaṃvaro satisaṃvaro ñāṇasaṃvaro khantisaṃvaro vīriyasaṃvaroti pañcavidho. Pahānavinayopi tadaṅgapahānaṃ vikkhambhanapahānaṃ samucchedapahānaṃ paṭippassaddhipahānaṃ nissaraṇapahānanti pañcavidho.
ตตฺถ ‘‘อิมินา ปาติโมกฺขสํวเรน อุเปโต โหติ สมุเปโต’’ติ (วิภ. ๕๑๑) อยํ สีลสํวโรฯ ‘‘รกฺขติ จกฺขุนฺทฺริยํ, จกฺขุนฺทฺริเย สํวรํ อาปชฺชตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๒๑๓; ม. นิ. ๑.๒๙๕; สํ. นิ. ๔.๒๓๙; อ. นิ. ๓.๑๖) อยํ สติสํวโรฯ
Tattha ‘‘iminā pātimokkhasaṃvarena upeto hoti samupeto’’ti (vibha. 511) ayaṃ sīlasaṃvaro. ‘‘Rakkhati cakkhundriyaṃ, cakkhundriye saṃvaraṃ āpajjatī’’ti (dī. ni. 1.213; ma. ni. 1.295; saṃ. ni. 4.239; a. ni. 3.16) ayaṃ satisaṃvaro.
‘‘ยานิ โสตานิ โลกสฺมิํ, (อชิตาติ ภควา)
‘‘Yāni sotāni lokasmiṃ, (ajitāti bhagavā)
สติ เตสํ นิวารณํ;
Sati tesaṃ nivāraṇaṃ;
โสตานํ สํวรํ พฺรูมิ,
Sotānaṃ saṃvaraṃ brūmi,
ปญฺญาเยเต ปิธียเร’’ติฯ (สุ. นิ. ๑๐๔๑) –
Paññāyete pidhīyare’’ti. (su. ni. 1041) –
อยํ ญาณสํวโร นามฯ ‘‘ขโม โหติ สีตสฺส อุณฺหสฺสา’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๔; อ. นิ. ๔.๑๑๔; ๖.๕๘) อยํ ขนฺติสํวโรฯ ‘‘อุปฺปนฺนํ กามวิตกฺกํ นาธิวาเสตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๒๖; อ. นิ. ๔.๑๑๔; ๖.๕๘) อยํ วีริยสํวโรฯ สโพฺพปิ จายํ สํวโร ยถาสกํ สํวริตพฺพานํ วิเนตพฺพานญฺจ กายทุจฺจริตาทีนํ สํวรณโต สํวโร, วินยนโต วินโยติ วุจฺจติฯ เอวํ ตาว ‘สํวรวินโย’ ปญฺจธา ภิชฺชตีติ เวทิตโพฺพฯ
Ayaṃ ñāṇasaṃvaro nāma. ‘‘Khamo hoti sītassa uṇhassā’’ti (ma. ni. 1.24; a. ni. 4.114; 6.58) ayaṃ khantisaṃvaro. ‘‘Uppannaṃ kāmavitakkaṃ nādhivāsetī’’ti (ma. ni. 1.26; a. ni. 4.114; 6.58) ayaṃ vīriyasaṃvaro. Sabbopi cāyaṃ saṃvaro yathāsakaṃ saṃvaritabbānaṃ vinetabbānañca kāyaduccaritādīnaṃ saṃvaraṇato saṃvaro, vinayanato vinayoti vuccati. Evaṃ tāva ‘saṃvaravinayo’ pañcadhā bhijjatīti veditabbo.
ตถา ยํ นามรูปปริเจฺฉทาทีสุ วิปสฺสนาญาเณสุ ปฎิปกฺขภาวโต, ทีปาโลเกเนว ตมสฺส, เตน เตน วิปสฺสนาญาเณน ตสฺส ตสฺส อนตฺถสฺส ปหานํ, เสยฺยถิทํ – นามรูปววตฺถาเนน สกฺกายทิฎฺฐิยา, ปจฺจยปริคฺคเหน อเหตุวิสมเหตุทิฎฺฐีนํ, ตเสฺสว อปรภาเคน กงฺขาวิตรเณน กถํกถิภาวสฺส, กลาปสมฺมสเนน ‘อหํ มมา’ติ คาหสฺส, มคฺคามคฺคววตฺถาเนน อมเคฺค มคฺคสญฺญาย, อุทยทสฺสเนน อุเจฺฉททิฎฺฐิยา, วยทสฺสเนน สสฺสตทิฎฺฐิยา, ภยทสฺสเนน สภเย อภยสญฺญาย, อาทีนวทสฺสเนน อสฺสาทสญฺญาย, นิพฺพิทานุปสฺสนาย อภิรติสญฺญาย, มุจฺจิตุกมฺยตาญาเณน อมุจฺจิตุกามตาย, อุเปกฺขาญาเณน อนุเปกฺขาย, อนุโลเมน ธมฺมฎฺฐิติยํ นิพฺพาเน จ ปฎิโลมภาวสฺส, โคตฺรภุนา สงฺขารนิมิตฺตคฺคาหสฺส ปหานํ, เอตํ ‘ตทงฺคปหานํ’ นามฯ
Tathā yaṃ nāmarūpaparicchedādīsu vipassanāñāṇesu paṭipakkhabhāvato, dīpālokeneva tamassa, tena tena vipassanāñāṇena tassa tassa anatthassa pahānaṃ, seyyathidaṃ – nāmarūpavavatthānena sakkāyadiṭṭhiyā, paccayapariggahena ahetuvisamahetudiṭṭhīnaṃ, tasseva aparabhāgena kaṅkhāvitaraṇena kathaṃkathibhāvassa, kalāpasammasanena ‘ahaṃ mamā’ti gāhassa, maggāmaggavavatthānena amagge maggasaññāya, udayadassanena ucchedadiṭṭhiyā, vayadassanena sassatadiṭṭhiyā, bhayadassanena sabhaye abhayasaññāya, ādīnavadassanena assādasaññāya, nibbidānupassanāya abhiratisaññāya, muccitukamyatāñāṇena amuccitukāmatāya, upekkhāñāṇena anupekkhāya, anulomena dhammaṭṭhitiyaṃ nibbāne ca paṭilomabhāvassa, gotrabhunā saṅkhāranimittaggāhassa pahānaṃ, etaṃ ‘tadaṅgapahānaṃ’ nāma.
ยํ ปน อุปจารปฺปนาเภเทน สมาธินา ปวตฺติภาวนิวารณโต, ฆฎปฺปหาเรเนว อุทกปิเฎฺฐ เสวาลสฺส, เตสํ เตสํ นีวรณาทิธมฺมานํ ปหานํ, เอตํ ‘วิกฺขมฺภนปหานํ’ นามฯ ‘‘ยํ จตุนฺนํ อริยมคฺคานํ ภาวิตตฺตา ตํตํมคฺควโต อตฺตโน อตฺตโน สนฺตาเน ทิฎฺฐิคตานํ ปหานายา’’ติอาทินา (ธ. ส. ๒๗๗) นเยน วุตฺตสฺส สมุทยปกฺขิกสฺส กิเลสคณสฺส อจฺจนฺตํ อปฺปวตฺติภาเวน ปหานํ, อิทํ ‘สมุเจฺฉทปหานํ’ นามฯ ยํ ปน ผลกฺขเณ ปฎิปฺปสฺสทฺธตฺตํ กิเลสานํ, เอตํ ‘ปฎิปฺปสฺสทฺธิปหานํ’ นามฯ ยํ สพฺพสงฺขตนิสฺสฎตฺตา ปหีนสพฺพสงฺขตํ นิพฺพานํ, เอตํ ‘นิสฺสรณปหานํ’ นามฯ สพฺพมฺปิ เจตํ ปหานํ ยสฺมา จาคเฎฺฐน ปหานํ, วินยนเฎฺฐน วินโย, ตสฺมา ‘ปหานวินโย’ติ วุจฺจติฯ ตํตํปหานวโต วา ตสฺส ตสฺส วินยสฺส สมฺภวโตเปตํ ปหานวินโยติ วุจฺจติฯ เอวํ ปหานวินโยปิ ปญฺจธา ภิชฺชตีติ เวทิตโพฺพฯ
Yaṃ pana upacārappanābhedena samādhinā pavattibhāvanivāraṇato, ghaṭappahāreneva udakapiṭṭhe sevālassa, tesaṃ tesaṃ nīvaraṇādidhammānaṃ pahānaṃ, etaṃ ‘vikkhambhanapahānaṃ’ nāma. ‘‘Yaṃ catunnaṃ ariyamaggānaṃ bhāvitattā taṃtaṃmaggavato attano attano santāne diṭṭhigatānaṃ pahānāyā’’tiādinā (dha. sa. 277) nayena vuttassa samudayapakkhikassa kilesagaṇassa accantaṃ appavattibhāvena pahānaṃ, idaṃ ‘samucchedapahānaṃ’ nāma. Yaṃ pana phalakkhaṇe paṭippassaddhattaṃ kilesānaṃ, etaṃ ‘paṭippassaddhipahānaṃ’ nāma. Yaṃ sabbasaṅkhatanissaṭattā pahīnasabbasaṅkhataṃ nibbānaṃ, etaṃ ‘nissaraṇapahānaṃ’ nāma. Sabbampi cetaṃ pahānaṃ yasmā cāgaṭṭhena pahānaṃ, vinayanaṭṭhena vinayo, tasmā ‘pahānavinayo’ti vuccati. Taṃtaṃpahānavato vā tassa tassa vinayassa sambhavatopetaṃ pahānavinayoti vuccati. Evaṃ pahānavinayopi pañcadhā bhijjatīti veditabbo.
เอวมยํ สเงฺขปโต ทุวิโธ, เภทโต จ ทสวิโธ วินโย, ภินฺนสํวรตฺตา, ปหาตพฺพสฺส จ อปฺปหีนตฺตา, ยสฺมา เอตสฺส อสฺสุตวโต ปุถุชฺชนสฺส นตฺถิ, ตสฺมา อภาวโต ตสฺส, อยํ ‘อวินีโต’ติ วุจฺจตีติฯ เอส นโย สปฺปุริสานํ อทสฺสาวี สปฺปุริสธมฺมสฺส อโกวิโท สปฺปุริสธเมฺม อวินีโตติ เอตฺถาปิฯ นินฺนานากรณเญฺหตํ อตฺถโตฯ ยถาห – ‘‘เยว เต อริยา เตว เต สปฺปุริสา, เยว เต สปฺปุริสา เตว เต อริยาฯ โย เอว โส อริยานํ ธโมฺม โส เอว โส สปฺปุริสานํ ธโมฺม, โย เอว โส สปฺปุริสานํ ธโมฺม โส เอว โส อริยานํ ธโมฺมฯ เยว เต อริยวินยา เตว เต สปฺปุริสวินยา, เยว เต สปฺปุริสวินยา เตว เต อริยวินยาฯ อริเยติ วา สปฺปุริเสติ วา, อริยธเมฺมติ วา สปฺปุริสธเมฺมติ วา, อริยวินเยติ วา สปฺปุริสวินเยติ วา, เอเสเส เอเก เอกเฎฺฐ สเม สมภาเค ตชฺชาเต ตเญฺญวา’’ติฯ
Evamayaṃ saṅkhepato duvidho, bhedato ca dasavidho vinayo, bhinnasaṃvarattā, pahātabbassa ca appahīnattā, yasmā etassa assutavato puthujjanassa natthi, tasmā abhāvato tassa, ayaṃ ‘avinīto’ti vuccatīti. Esa nayo sappurisānaṃ adassāvī sappurisadhammassa akovido sappurisadhamme avinītoti etthāpi. Ninnānākaraṇañhetaṃ atthato. Yathāha – ‘‘yeva te ariyā teva te sappurisā, yeva te sappurisā teva te ariyā. Yo eva so ariyānaṃ dhammo so eva so sappurisānaṃ dhammo, yo eva so sappurisānaṃ dhammo so eva so ariyānaṃ dhammo. Yeva te ariyavinayā teva te sappurisavinayā, yeva te sappurisavinayā teva te ariyavinayā. Ariyeti vā sappuriseti vā, ariyadhammeti vā sappurisadhammeti vā, ariyavinayeti vā sappurisavinayeti vā, esese eke ekaṭṭhe same samabhāge tajjāte taññevā’’ti.
รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติ อิเธกโจฺจ รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ – ‘ยํ รูปํ โส อหํ, โย อหํ ตํ รูป’นฺติ รูปญฺจ อตฺตานญฺจ อทฺวยํ สมนุปสฺสติฯ ‘‘เสยฺยถาปิ นาม เตลปฺปทีปสฺส ฌายโต ยา อจฺจิ โส วโณฺณ, โย วโณฺณ สา อจฺจีติ อจฺจิญฺจ วณฺณญฺจ อทฺวยํ สมนุปสฺสติ,’’ เอวเมว อิเธกโจฺจ รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตีติ เอวํ รูปํ อตฺตาติ ทิฎฺฐิปสฺสนาย ปสฺสติฯ รูปวนฺตํ วา อตฺตานนฺติ ‘อรูปํ อตฺตา’ติ คเหตฺวา, ฉายาวนฺตํ รุกฺขํ วิย, ตํ รูปวนฺตํ สมนุปสฺสติฯ อตฺตนิ วา รูปนฺติ ‘อรูปเมว อตฺตา’ติ คเหตฺวา, ปุปฺผมฺหิ คนฺธํ วิย, อตฺตนิ รูปํ สมนุปสฺสติฯ รูปสฺมิํ วา อตฺตานนฺติ ‘อรูปเมว อตฺตา’ติ คเหตฺวา, กรณฺฑเก มณิํ วิย, อตฺตานํ รูปสฺมิํ สมนุปสฺสติฯ เวทนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
Rūpaṃ attato samanupassatīti idhekacco rūpaṃ attato samanupassati – ‘yaṃ rūpaṃ so ahaṃ, yo ahaṃ taṃ rūpa’nti rūpañca attānañca advayaṃ samanupassati. ‘‘Seyyathāpi nāma telappadīpassa jhāyato yā acci so vaṇṇo, yo vaṇṇo sā accīti acciñca vaṇṇañca advayaṃ samanupassati,’’ evameva idhekacco rūpaṃ attato samanupassatīti evaṃ rūpaṃ attāti diṭṭhipassanāya passati. Rūpavantaṃ vā attānanti ‘arūpaṃ attā’ti gahetvā, chāyāvantaṃ rukkhaṃ viya, taṃ rūpavantaṃ samanupassati. Attani vā rūpanti ‘arūpameva attā’ti gahetvā, pupphamhi gandhaṃ viya, attani rūpaṃ samanupassati. Rūpasmiṃvā attānanti ‘arūpameva attā’ti gahetvā, karaṇḍake maṇiṃ viya, attānaṃ rūpasmiṃ samanupassati. Vedanādīsupi eseva nayo.
ตตฺถ ‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’ติ สุทฺธรูปเมว อตฺตาติ กถิตํฯ ‘รูปวนฺตํ วา อตฺตานํ, อตฺตนิ วา รูปํ, รูปสฺมิํ วา อตฺตานํ; เวทนํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ… สญฺญํ… สงฺขาเร… วิญฺญาณํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’ติ อิเมสุ สตฺตสุ ฐาเนสุ ‘อรูปํ อตฺตา’ติ กถิตํฯ เวทนาวนฺตํ วา อตฺตานํ, อตฺตนิ วา เวทนํ, เวทนาย วา อตฺตานนฺติ เอวํ จตูสุ ขเนฺธสุ ติณฺณํ ติณฺณํ วเสน ทฺวาทสสุ ฐาเนสุ ‘รูปารูปมิสฺสโก อตฺตา’ กถิโตฯ ตตฺถ ‘รูปํ อตฺตโต สมนุปสฺสติ เวทนํ… สญฺญํ… สงฺขาเร… วิญฺญาณํ อตฺตโต สมนุปสฺสตี’ติ อิเมสุ ปญฺจสุ ฐาเนสุ อุเจฺฉททิฎฺฐิ กถิตาฯ อวเสเสสุ สสฺสตทิฎฺฐิฯ เอวเมตฺถ ปนฺนรส ภวทิฎฺฐิโย ปญฺจ วิภวทิฎฺฐิโย โหนฺติฯ ตา สพฺพาปิ มคฺคาวรณา, น สคฺคาวรณา, ปฐมมคฺควชฺฌาติ เวทิตพฺพาฯ
Tattha ‘rūpaṃ attato samanupassatī’ti suddharūpameva attāti kathitaṃ. ‘Rūpavantaṃ vā attānaṃ, attani vā rūpaṃ, rūpasmiṃ vā attānaṃ; vedanaṃ attato samanupassati… saññaṃ… saṅkhāre… viññāṇaṃ attato samanupassatī’ti imesu sattasu ṭhānesu ‘arūpaṃ attā’ti kathitaṃ. Vedanāvantaṃ vā attānaṃ, attani vā vedanaṃ, vedanāya vā attānanti evaṃ catūsu khandhesu tiṇṇaṃ tiṇṇaṃ vasena dvādasasu ṭhānesu ‘rūpārūpamissako attā’ kathito. Tattha ‘rūpaṃ attato samanupassati vedanaṃ… saññaṃ… saṅkhāre… viññāṇaṃ attato samanupassatī’ti imesu pañcasu ṭhānesu ucchedadiṭṭhi kathitā. Avasesesu sassatadiṭṭhi. Evamettha pannarasa bhavadiṭṭhiyo pañca vibhavadiṭṭhiyo honti. Tā sabbāpi maggāvaraṇā, na saggāvaraṇā, paṭhamamaggavajjhāti veditabbā.
๑๐๐๘. สตฺถริ กงฺขตีติ สตฺถุ สรีเร วา คุเณ วา อุภยตฺถ วา กงฺขติฯ สรีเร กงฺขมาโน ‘ทฺวตฺติํสวรลกฺขณปฎิมณฺฑิตํ นาม สรีรํ อตฺถิ นุ โข นตฺถี’ติ กงฺขติฯ คุเณ กงฺขมาโน ‘อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนชานนสมตฺถํ สพฺพญฺญุตญาณํ อตฺถิ นุ โข นตฺถี’ติ กงฺขติฯ อุภยตฺถ กงฺขมาโน ‘อสีติอนุพฺยญฺชนพฺยามปฺปภานุรญฺชิตาย สรีรนิปฺผตฺติยา สมนฺนาคโต สพฺพเญยฺยชานนสมตฺถํ สพฺพญฺญุตญฺญาณํ ปฎิวิชฺฌิตฺวา ฐิโต โลกตารโก พุโทฺธ นาม อตฺถิ นุ โข นตฺถี’ติ กงฺขติฯ อยญฺหิสฺส อตฺตภาเว คุเณ วา กงฺขนโต อุภยตฺถ กงฺขติ นามฯ วิจิกิจฺฉตีติ อารมฺมณํ นิเจฺฉตุํ อสโกฺกโนฺต กิจฺฉติ กิลมติฯ นาธิมุจฺจตีติ ตเตฺถว อธิโมกฺขํ น ลภติฯ น สมฺปสีทตีติ จิตฺตํ อนาวิลํ กตฺวา ปสีทิตุํ น สโกฺกติ, คุเณสุ นปฺปสีทติฯ
1008. Satthari kaṅkhatīti satthu sarīre vā guṇe vā ubhayattha vā kaṅkhati. Sarīre kaṅkhamāno ‘dvattiṃsavaralakkhaṇapaṭimaṇḍitaṃ nāma sarīraṃ atthi nu kho natthī’ti kaṅkhati. Guṇe kaṅkhamāno ‘atītānāgatapaccuppannajānanasamatthaṃ sabbaññutañāṇaṃ atthi nu kho natthī’ti kaṅkhati. Ubhayattha kaṅkhamāno ‘asītianubyañjanabyāmappabhānurañjitāya sarīranipphattiyā samannāgato sabbañeyyajānanasamatthaṃ sabbaññutaññāṇaṃ paṭivijjhitvā ṭhito lokatārako buddho nāma atthi nu kho natthī’ti kaṅkhati. Ayañhissa attabhāve guṇe vā kaṅkhanato ubhayattha kaṅkhati nāma. Vicikicchatīti ārammaṇaṃ nicchetuṃ asakkonto kicchati kilamati. Nādhimuccatīti tattheva adhimokkhaṃ na labhati. Na sampasīdatīti cittaṃ anāvilaṃ katvā pasīdituṃ na sakkoti, guṇesu nappasīdati.
ธเมฺม กงฺขตีติอาทีสุ ปน ‘กิเลเส ปชหนฺตา จตฺตาโร อริยมคฺคา, ปฎิปฺปสฺสทฺธกิเลสานิ จตฺตาริ สามญฺญผลานิ, มคฺคผลานํ อารมฺมณปจฺจยภูตํ อมตํ มหานิพฺพานํ นาม อตฺถิ นุ โข นตฺถี’ติ กงฺขโนฺตปิ ‘อยํ ธโมฺม นิยฺยานิโก นุ โข อนิยฺยานิโก’ติ กงฺขโนฺตปิ ธเมฺม กงฺขติ นามฯ ‘จตฺตาโร มคฺคฎฺฐกา จตฺตาโร ผลฎฺฐกาติ อิทํ สงฺฆรตนํ อตฺถิ นุ โข นตฺถี’ติ กงฺขโนฺตปิ, ‘อยํ สโงฺฆ สุปฺปฎิปโนฺน นุ โข ทุปฺปฎิปโนฺน’ติ กงฺขโนฺตปิ, ‘เอตสฺมิํ สงฺฆรตเน ทินฺนสฺส วิปากผลํ อตฺถิ นุ โข นตฺถี’ติ กงฺขโนฺตปิ สเงฺฆ กงฺขติ นามฯ ‘ติโสฺส ปน สิกฺขา อตฺถิ นุ โข นตฺถี’ติ กงฺขโนฺตปิ, ‘ติโสฺส สิกฺขา สิกฺขิตปจฺจเยน อานิสํโส อตฺถิ นุ โข นตฺถี’ติ กงฺขโนฺตปิ สิกฺขาย กงฺขติ นามฯ
Dhamme kaṅkhatītiādīsu pana ‘kilese pajahantā cattāro ariyamaggā, paṭippassaddhakilesāni cattāri sāmaññaphalāni, maggaphalānaṃ ārammaṇapaccayabhūtaṃ amataṃ mahānibbānaṃ nāma atthi nu kho natthī’ti kaṅkhantopi ‘ayaṃ dhammo niyyāniko nu kho aniyyāniko’ti kaṅkhantopi dhamme kaṅkhati nāma. ‘Cattāro maggaṭṭhakā cattāro phalaṭṭhakāti idaṃ saṅgharatanaṃ atthi nu kho natthī’ti kaṅkhantopi, ‘ayaṃ saṅgho suppaṭipanno nu kho duppaṭipanno’ti kaṅkhantopi, ‘etasmiṃ saṅgharatane dinnassa vipākaphalaṃ atthi nu kho natthī’ti kaṅkhantopi saṅghe kaṅkhati nāma. ‘Tisso pana sikkhā atthi nu kho natthī’ti kaṅkhantopi, ‘tisso sikkhā sikkhitapaccayena ānisaṃso atthi nu kho natthī’ti kaṅkhantopi sikkhāya kaṅkhati nāma.
ปุพฺพโนฺต วุจฺจติ อตีตานิ ขนฺธธาตายตนานิฯ อปรโนฺต อนาคตานิฯ ตตฺถ อตีเตสุ ขนฺธาทีสุ ‘อตีตานิ นุ โข, น นุ โข’ติ กงฺขโนฺต ปุพฺพเนฺต กงฺขติ นามฯ อนาคเตสุ ‘อนาคตานิ นุ โข, น นุ โข’ติ กงฺขโนฺต อปรเนฺต กงฺขติ นามฯ อุภยตฺถ กงฺขโนฺต ปุพฺพนฺตาปรเนฺต กงฺขติ นามฯ ‘ทฺวาทสปทิกํ ปจฺจยวฎฺฎํ อตฺถิ นุ โข นตฺถี’ติ กงฺขโนฺต อิทปฺปจฺจยตาปฎิจฺจสมุปฺปเนฺนสุ ธเมฺมสุ กงฺขติ นามฯ ตตฺรายํ วจนโตฺถ – อิเมสํ ชรามรณาทีนํ ปจฺจยา ‘อิทปฺปจฺจยา’ฯ อิทปฺปจฺจยานํ ภาโว ‘อิทปฺปจฺจยตา’ฯ อิทปฺปจฺจยา เอว วา ‘อิทปฺปจฺจยตา’; ชาติอาทีนเมตํ อธิวจนํฯ ชาติอาทีสุ ตํ ตํ ปฎิจฺจ อาคมฺม สมุปฺปนฺนาติ ‘ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนา’ฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – อิทปฺปจฺจยตาย จ ปฎิจฺจสมุปฺปเนฺนสุ จ ธเมฺมสุ กงฺขตีติฯ
Pubbanto vuccati atītāni khandhadhātāyatanāni. Aparanto anāgatāni. Tattha atītesu khandhādīsu ‘atītāni nu kho, na nu kho’ti kaṅkhanto pubbante kaṅkhati nāma. Anāgatesu ‘anāgatāni nu kho, na nu kho’ti kaṅkhanto aparante kaṅkhati nāma. Ubhayattha kaṅkhanto pubbantāparante kaṅkhati nāma. ‘Dvādasapadikaṃ paccayavaṭṭaṃ atthi nu kho natthī’ti kaṅkhanto idappaccayatāpaṭiccasamuppannesu dhammesu kaṅkhati nāma. Tatrāyaṃ vacanattho – imesaṃ jarāmaraṇādīnaṃ paccayā ‘idappaccayā’. Idappaccayānaṃ bhāvo ‘idappaccayatā’. Idappaccayā eva vā ‘idappaccayatā’; jātiādīnametaṃ adhivacanaṃ. Jātiādīsu taṃ taṃ paṭicca āgamma samuppannāti ‘paṭiccasamuppannā’. Idaṃ vuttaṃ hoti – idappaccayatāya ca paṭiccasamuppannesu ca dhammesu kaṅkhatīti.
๑๐๐๙. สีเลนาติ โคสีลาทินาฯ วเตนาติ โควตาทินาวฯ สีลพฺพเตนาติ ตทุภเยนฯ สุทฺธีติ กิเลสสุทฺธิ; ปรมตฺถสุทฺธิภูตํ วา นิพฺพานเมวฯ ตเทกฎฺฐาติ อิธ ปหาเนกฎฺฐํ ธุรํฯ อิมิสฺสา จ ปาฬิยา ทิฎฺฐิกิเลโส วิจิกิจฺฉากิเลโสติ เทฺวเยว อาคตาฯ โลโภ โทโส โมโห มาโน ถินํ อุทฺธจฺจํ อหิริกํ อโนตฺตปฺปนฺติ อิเม ปน อฎฺฐ อนาคตาฯ อาหริตฺวา ปน ทีเปตพฺพาฯ เอตฺถ หิ ทิฎฺฐิวิจิกิจฺฉาสุ ปหียมานาสุ อปายคมนีโย โลโภ โทโส โมโห มาโน ถินํ อุทฺธจฺจํ อหิริกํ อโนตฺตปฺปนฺติ สเพฺพปิเม ปหาเนกฎฺฐา หุตฺวา ปหียนฺติฯ สหเชกฎฺฐํ ปน อาหริตฺวา ทีเปตพฺพํฯ โสตาปตฺติมเคฺคน หิ จตฺตาริ ทิฎฺฐิสหคตานิ วิจิกิจฺฉาสหคตญฺจาติ ปญฺจ จิตฺตานิ ปหียนฺติฯ ตตฺถ ทฺวีสุ อสงฺขาริกทิฎฺฐิจิเตฺตสุ ปหียเนฺตสุ เตหิ สหชาโต โลโภ โมโห อุทฺธจฺจํ อหิริกํ อโนตฺตปฺปนฺติ อิเม กิเลสา สหเชกฎฺฐวเสน ปหียนฺติฯ เสสทิฎฺฐิกิเลโส จ วิจิกิจฺฉากิเลโส จ ปหาเนกฎฺฐวเสน ปหียนฺติฯ ทิฎฺฐิคตสมฺปยุตฺตสสงฺขาริกจิเตฺตสุปิ ปหียเนฺตสุ เตหิ สหชาโต โลโภ โมโห ถินํ อุทฺธจฺจํ อหิริกํ อโนตฺตปฺปนฺติ อิเม กิเลสา สหเชกฎฺฐวเสน ปหียนฺติฯ เสสทิฎฺฐิกิเลโส จ วิจิกิจฺฉากิเลโส จ ปหาเนกฎฺฐวเสน ปหียนฺติฯ เอวํ ปหาเนกฎฺฐสฺมิํเยว สหเชกฎฺฐํ ลพฺภตีติ อิทํ สหเชกฎฺฐํ อาหริตฺวา ทีปยิํสุฯ
1009. Sīlenāti gosīlādinā. Vatenāti govatādināva. Sīlabbatenāti tadubhayena. Suddhīti kilesasuddhi; paramatthasuddhibhūtaṃ vā nibbānameva. Tadekaṭṭhāti idha pahānekaṭṭhaṃ dhuraṃ. Imissā ca pāḷiyā diṭṭhikileso vicikicchākilesoti dveyeva āgatā. Lobho doso moho māno thinaṃ uddhaccaṃ ahirikaṃ anottappanti ime pana aṭṭha anāgatā. Āharitvā pana dīpetabbā. Ettha hi diṭṭhivicikicchāsu pahīyamānāsu apāyagamanīyo lobho doso moho māno thinaṃ uddhaccaṃ ahirikaṃ anottappanti sabbepime pahānekaṭṭhā hutvā pahīyanti. Sahajekaṭṭhaṃ pana āharitvā dīpetabbaṃ. Sotāpattimaggena hi cattāri diṭṭhisahagatāni vicikicchāsahagatañcāti pañca cittāni pahīyanti. Tattha dvīsu asaṅkhārikadiṭṭhicittesu pahīyantesu tehi sahajāto lobho moho uddhaccaṃ ahirikaṃ anottappanti ime kilesā sahajekaṭṭhavasena pahīyanti. Sesadiṭṭhikileso ca vicikicchākileso ca pahānekaṭṭhavasena pahīyanti. Diṭṭhigatasampayuttasasaṅkhārikacittesupi pahīyantesu tehi sahajāto lobho moho thinaṃ uddhaccaṃ ahirikaṃ anottappanti ime kilesā sahajekaṭṭhavasena pahīyanti. Sesadiṭṭhikileso ca vicikicchākileso ca pahānekaṭṭhavasena pahīyanti. Evaṃ pahānekaṭṭhasmiṃyeva sahajekaṭṭhaṃ labbhatīti idaṃ sahajekaṭṭhaṃ āharitvā dīpayiṃsu.
ตํสมฺปยุโตฺตติ เตหิ ตเทกเฎฺฐหิ อฎฺฐหิ กิเลเสหิ สมฺปยุโตฺตฯ วินิโพฺภคํ วา กตฺวา เตน โลเภน เตน โทเสนาติ เอวํ เอเกเกน สมฺปยุตฺตตา ทีเปตพฺพาฯ ตตฺถ โลเภ คหิเต, โมโห มาโน ถินํ อุทฺธจฺจํ อหิริกํ อโนตฺตปฺปนฺติ อยํ สงฺขารกฺขเนฺธ กิเลสคโณ โลภสมฺปยุโตฺต นามฯ โทเส คหิเต, โมโห ถินํ อุทฺธจฺจํ อหิริกํ อโนตฺตปฺปนฺติ อยํ กิเลสคโณ โทสสมฺปยุโตฺต นามฯ โมเห คหิเต, โลโภ โทโส มาโน ถินํ อุทฺธจฺจํ อหิริกํ อโนตฺตปฺปนฺติ อยํ กิเลสคโณ โมหสมฺปยุโตฺต นามฯ มาเน คหิเต, เตน สหุปฺปโนฺน โลโภ โมโห ถินํ อุทฺธจฺจํ อหิริกํ อโนตฺตปฺปนฺติ อยํ กิเลสคโณ มานสมฺปยุโตฺต นามฯ อิมินา อุปาเยน เตน ถิเนน เตน อุทฺธเจฺจน เตน อหิริเกน เตน อโนตฺตเปฺปน สมฺปยุโตฺต ตํสมฺปยุโตฺตติ โยชนา กาตพฺพาฯ ตํสมุฎฺฐานนฺติ เตน โลเภน…เป.… เตน อโนตฺตเปฺปน สมุฎฺฐิตนฺติ อโตฺถฯ
Taṃsampayuttoti tehi tadekaṭṭhehi aṭṭhahi kilesehi sampayutto. Vinibbhogaṃ vā katvā tena lobhena tena dosenāti evaṃ ekekena sampayuttatā dīpetabbā. Tattha lobhe gahite, moho māno thinaṃ uddhaccaṃ ahirikaṃ anottappanti ayaṃ saṅkhārakkhandhe kilesagaṇo lobhasampayutto nāma. Dose gahite, moho thinaṃ uddhaccaṃ ahirikaṃ anottappanti ayaṃ kilesagaṇo dosasampayutto nāma. Mohe gahite, lobho doso māno thinaṃ uddhaccaṃ ahirikaṃ anottappanti ayaṃ kilesagaṇo mohasampayutto nāma. Māne gahite, tena sahuppanno lobho moho thinaṃ uddhaccaṃ ahirikaṃ anottappanti ayaṃ kilesagaṇo mānasampayutto nāma. Iminā upāyena tena thinena tena uddhaccena tena ahirikena tena anottappena sampayutto taṃsampayuttoti yojanā kātabbā. Taṃsamuṭṭhānanti tena lobhena…pe… tena anottappena samuṭṭhitanti attho.
อิเม ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพาติ เอตฺถ ทสฺสนํ นาม โสตาปตฺติมโคฺค; เตน ปหาตพฺพาติ อโตฺถฯ ‘กสฺมา ปน โสตาปตฺติมโคฺค ทสฺสนํ นาม ชาโต’ติ? ‘ปฐมํ นิพฺพานทสฺสนโต’ฯ ‘นนุ โคตฺรภุ ปฐมตรํ ปสฺสตี’ติ ? ‘โน น ปสฺสติ; ทิสฺวาปิ กตฺตพฺพกิจฺจํ ปน น กโรติ, สํโยชนานํ อปฺปหานโตฯ ตสฺมา ปสฺสตี’ติ น วตฺตโพฺพฯ ยตฺถ กตฺถจิ ราชานํ ทิสฺวาปิ ปณฺณาการํ ทตฺวา กิจฺจนิปฺผตฺติยา อทิฎฺฐตฺตา ‘อชฺชาปิ ราชานํ น ปสฺสามี’ติ วทโนฺต เจตฺถ ชานปทปุริโส นิทสฺสนํฯ
Ime dhammā dassanena pahātabbāti ettha dassanaṃ nāma sotāpattimaggo; tena pahātabbāti attho. ‘Kasmā pana sotāpattimaggo dassanaṃ nāma jāto’ti? ‘Paṭhamaṃ nibbānadassanato’. ‘Nanu gotrabhu paṭhamataraṃ passatī’ti ? ‘No na passati; disvāpi kattabbakiccaṃ pana na karoti, saṃyojanānaṃ appahānato. Tasmā passatī’ti na vattabbo. Yattha katthaci rājānaṃ disvāpi paṇṇākāraṃ datvā kiccanipphattiyā adiṭṭhattā ‘ajjāpi rājānaṃ na passāmī’ti vadanto cettha jānapadapuriso nidassanaṃ.
๑๐๑๑. อวเสโส โลโภติ ทสฺสเนน ปหีนาวเสโสฯ โลโภ โทสโมเหสุปิ เอเสว นโยฯ ทสฺสเนน หิ อปายคมนียาว ปหีนาฯ เตหิ ปน อเญฺญ ทเสฺสตุํ อิทํ วุตฺตํฯ ‘ตเทกฎฺฐา’ติ เตหิ ปาฬิยํ อาคเตหิ ตีหิ กิเลเสหิ สมฺปโยคโตปิ ปหานโตปิ เอกฎฺฐา ปญฺจ กิเลสาฯ เนว ทสฺสเนน น ภาวนายาติ อิทํ สํโยชนาทีนํ วิย เตหิ มเคฺคหิ อปฺปหาตพฺพตํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ยํ ปน ‘‘โสตาปตฺติมคฺคญาเณน อภิสงฺขารวิญฺญาณสฺส นิโรเธน สตฺต ภเว ฐเปตฺวา อนมตเคฺค สํสารวเฎฺฎ เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ, นามญฺจ รูปญฺจ เอเตฺถเต นิรุชฺฌนฺตี’’ติอาทินา นเยน กุสลาทีนมฺปิ ปหานํ อนุญฺญาตํ, ตํ เตสํ มคฺคานํ อภาวิตตฺตา เย อุปฺปเชฺชยฺยุํ, เต อุปนิสฺสยปจฺจยานํ กิเลสานํ ปหีนตฺตา ปหีนาติ อิมํ ปริยายํ สนฺธาย วุตฺตนฺติ เวทิตพฺพํฯ
1011. Avaseso lobhoti dassanena pahīnāvaseso. Lobho dosamohesupi eseva nayo. Dassanena hi apāyagamanīyāva pahīnā. Tehi pana aññe dassetuṃ idaṃ vuttaṃ. ‘Tadekaṭṭhā’ti tehi pāḷiyaṃ āgatehi tīhi kilesehi sampayogatopi pahānatopi ekaṭṭhā pañca kilesā. Neva dassanena na bhāvanāyāti idaṃ saṃyojanādīnaṃ viya tehi maggehi appahātabbataṃ sandhāya vuttaṃ. Yaṃ pana ‘‘sotāpattimaggañāṇena abhisaṅkhāraviññāṇassa nirodhena satta bhave ṭhapetvā anamatagge saṃsāravaṭṭe ye uppajjeyyuṃ, nāmañca rūpañca etthete nirujjhantī’’tiādinā nayena kusalādīnampi pahānaṃ anuññātaṃ, taṃ tesaṃ maggānaṃ abhāvitattā ye uppajjeyyuṃ, te upanissayapaccayānaṃ kilesānaṃ pahīnattā pahīnāti imaṃ pariyāyaṃ sandhāya vuttanti veditabbaṃ.
๑๐๑๓. ทสฺสเนนปหาตพฺพเหตุกตฺติเก อิเม ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตุกาติ นิฎฺฐเปตฺวา, ปุน ‘ตีณิ สํโยชนานี’ติอาทิ ปหาตเพฺพ ทเสฺสตฺวา, ตเทกฎฺฐภาเวน เหตู เจว สเหตุเก จ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ตตฺถ ‘กิญฺจาปิ ทสฺสเนน ปหาตเพฺพสุ เหตูสุ โลภสหคโต โมโห โลเภน สเหตุโก โหติ, โทสสหคโต โมโห โทเสน, โลภโทสา จ โมเหนาติ ปหาตพฺพเหตุกปเทเปเต สงฺคหํ คจฺฉนฺติ, วิจิกิจฺฉาสหคโต ปน โมโห อญฺญสฺส สมฺปยุตฺตเหตุโน อภาเวน เหตุเยว, น สเหตุโกติ ตสฺส ปหานํ ทเสฺสตุํ อิเม ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตู’ติ วุตฺตํฯ
1013. Dassanenapahātabbahetukattike ime dhammā dassanena pahātabbahetukāti niṭṭhapetvā, puna ‘tīṇi saṃyojanānī’tiādi pahātabbe dassetvā, tadekaṭṭhabhāvena hetū ceva sahetuke ca dassetuṃ vuttaṃ. Tattha ‘kiñcāpi dassanena pahātabbesu hetūsu lobhasahagato moho lobhena sahetuko hoti, dosasahagato moho dosena, lobhadosā ca mohenāti pahātabbahetukapadepete saṅgahaṃ gacchanti, vicikicchāsahagato pana moho aññassa sampayuttahetuno abhāvena hetuyeva, na sahetukoti tassa pahānaṃ dassetuṃ ime dhammā dassanena pahātabbahetū’ti vuttaṃ.
๑๐๑๘. ทุติยปเท อุทฺธจฺจสหคตสฺส โมหสฺส ปหานํ ทเสฺสตุํ อิเม ธมฺมา ภาวนาย ปหาตพฺพเหตูติ วุตฺตํฯ โส หิ อตฺตนา สมฺปยุตฺตธเมฺม สเหตุเก กตฺวา ปิฎฺฐิวฎฺฎโก ชาโต, วิจิกิจฺฉาสหคโต วิย อญฺญสฺส สมฺปยุตฺตเหตุโน อภาวา ปหาตพฺพเหตุกปทํ น ภชติฯ ตติยปเท อวเสสา อกุสลาติ ปุน อกุสลคฺคหณํ วิจิกิจฺฉุทฺธจฺจสหคตานํ โมหานํ สงฺคหตฺถํ กตํฯ เต หิ สมฺปยุตฺตเหตุโน อภาวา ปหาตพฺพเหตุกา นาม น โหนฺติฯ
1018. Dutiyapade uddhaccasahagatassa mohassa pahānaṃ dassetuṃ ime dhammā bhāvanāya pahātabbahetūti vuttaṃ. So hi attanā sampayuttadhamme sahetuke katvā piṭṭhivaṭṭako jāto, vicikicchāsahagato viya aññassa sampayuttahetuno abhāvā pahātabbahetukapadaṃ na bhajati. Tatiyapade avasesā akusalāti puna akusalaggahaṇaṃ vicikicchuddhaccasahagatānaṃ mohānaṃ saṅgahatthaṃ kataṃ. Te hi sampayuttahetuno abhāvā pahātabbahetukā nāma na honti.
๑๐๒๙. ปริตฺตารมฺมณตฺติเก อารพฺภาติ อารมฺมณํ กตฺวาฯ สยญฺหิ ปริตฺตา วา โหนฺตุ มหคฺคตา วา, ปริตฺตธเมฺม อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปนฺนา ปริตฺตารมฺมณา, มหคฺคเต อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปนฺนา มหคฺคตารมฺมณา, อปฺปมาเณ อารมฺมณํ กตฺวา อุปฺปนฺนา อปฺปมาณารมฺมณาฯ เต ปน ปริตฺตาปิ โหนฺติ มหคฺคตาปิ อปฺปมาณาปิฯ
1029. Parittārammaṇattike ārabbhāti ārammaṇaṃ katvā. Sayañhi parittā vā hontu mahaggatā vā, parittadhamme ārammaṇaṃ katvā uppannā parittārammaṇā, mahaggate ārammaṇaṃ katvā uppannā mahaggatārammaṇā, appamāṇe ārammaṇaṃ katvā uppannā appamāṇārammaṇā. Te pana parittāpi honti mahaggatāpi appamāṇāpi.
๑๐๓๕. มิจฺฉตฺตตฺติเก อานนฺตริกานีติ อนนฺตราเยน ผลทายกานิ; มาตุฆาตกกมฺมาทีนเมตํ อธิวจนํฯ เตสุ หิ เอกสฺมิมฺปิ กเมฺม กเต ตํ ปฎิพาหิตฺวา อญฺญํ กมฺมํ อตฺตโน วิปากสฺส โอกาสํ กาตุํ น สโกฺกติฯ สิเนรุปฺปมาเณปิ หิ สุวณฺณถูเป กตฺวา จกฺกวาฬมตฺตํ วา รตนมยปาการํ วิหารํ กาเรตฺวา ตํ ปูเรตฺวา นิสินฺนสฺส พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส ยาวชีวํ จตฺตาโร ปจฺจเย ททโตปิ ตํ กมฺมํ เอเตสํ กมฺมานํ วิปากํ ปฎิพาเหตุํ น สโกฺกติ เอวฯ ยา จ มิจฺฉาทิฎฺฐิ นิยตาติ อเหตุกวาทอกิริยวาทนตฺถิกวาเทสุ อญฺญตราฯ ตญฺหิ คเหตฺวา ฐิตํ ปุคฺคลํ พุทฺธสตมฺปิ พุทฺธสหสฺสมฺปิ โพเธตุํ น สโกฺกติฯ
1035. Micchattattike ānantarikānīti anantarāyena phaladāyakāni; mātughātakakammādīnametaṃ adhivacanaṃ. Tesu hi ekasmimpi kamme kate taṃ paṭibāhitvā aññaṃ kammaṃ attano vipākassa okāsaṃ kātuṃ na sakkoti. Sineruppamāṇepi hi suvaṇṇathūpe katvā cakkavāḷamattaṃ vā ratanamayapākāraṃ vihāraṃ kāretvā taṃ pūretvā nisinnassa buddhappamukhassa saṅghassa yāvajīvaṃ cattāro paccaye dadatopi taṃ kammaṃ etesaṃ kammānaṃ vipākaṃ paṭibāhetuṃ na sakkoti eva. Yā ca micchādiṭṭhi niyatāti ahetukavādaakiriyavādanatthikavādesu aññatarā. Tañhi gahetvā ṭhitaṃ puggalaṃ buddhasatampi buddhasahassampi bodhetuṃ na sakkoti.
๑๐๓๘. มคฺคารมฺมณตฺติเก อริยมคฺคํ อารพฺภาติ โลกุตฺตรมคฺคํ อารมฺมณํ กตฺวาฯ เต ปน ปริตฺตาปิ โหนฺติ มหคฺคตาปิฯ
1038. Maggārammaṇattike ariyamaggaṃ ārabbhāti lokuttaramaggaṃ ārammaṇaṃ katvā. Te pana parittāpi honti mahaggatāpi.
๑๐๓๙. มคฺคเหตุกนิเทฺทเส ปฐมนเยน ปจฺจยเฎฺฐน เหตุนา มคฺคสมฺปยุตฺตานํ ขนฺธานํ สเหตุกภาโว ทสฺสิโตฯ ทุติยนเยน มคฺคภูเตน สมฺมาทิฎฺฐิสงฺขาเตน เหตุนา เสสมคฺคงฺคานํ สเหตุกภาโว ทสฺสิโตฯ ตติยนเยน มเคฺค อุปฺปนฺนเหตูหิ สมฺมาทิฎฺฐิยา สเหตุกภาโว ทสฺสิโตติ เวทิตโพฺพฯ
1039. Maggahetukaniddese paṭhamanayena paccayaṭṭhena hetunā maggasampayuttānaṃ khandhānaṃ sahetukabhāvo dassito. Dutiyanayena maggabhūtena sammādiṭṭhisaṅkhātena hetunā sesamaggaṅgānaṃ sahetukabhāvo dassito. Tatiyanayena magge uppannahetūhi sammādiṭṭhiyā sahetukabhāvo dassitoti veditabbo.
๑๐๔๐. อธิปติํ กริตฺวาติ อารมฺมณาธิปติํ กตฺวาฯ เต จ โข ปริตฺตธมฺมาว โหนฺติฯ อริยสาวกานญฺหิ อตฺตโน มคฺคํ ครุํ กตฺวา ปจฺจเวกฺขณกาเล อารมฺมณาธิปติ ลพฺภติฯ เจโตปริยญาเณน ปน อริยสาวโก ปรสฺส มคฺคํ ปจฺจเวกฺขมาโน ครุํ กโรโนฺตปิ อตฺตนา ปฎิวิทฺธมคฺคํ วิย ครุํ น กโรติฯ ‘ยมกปาฎิหาริยํ กโรนฺตํ ตถาคตํ ทิสฺวา ตสฺส มคฺคํ ครุํ กโรติ น กโรตี’ติ? กโรติ, น ปน อตฺตโน มคฺคํ วิยฯ อรหา น กิญฺจิ ธมฺมํ ครุํ กโรติ ฐเปตฺวา มคฺคํ ผลํ นิพฺพานนฺติฯ เอตฺถาปิ อยเมวโตฺถฯ วีมํสาธิปเตยฺยนฺติ อิทํ สหชาตาธิปติํ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ฉนฺทญฺหิ เชฎฺฐกํ กตฺวา มคฺคํ ภาเวนฺตสฺส ฉโนฺท อธิปติ นาม โหติ, น มโคฺคฯ เสสธมฺมาปิ ฉนฺทาธิปติโน นาม โหนฺติ, น มคฺคาธิปติโนฯ จิเตฺตปิ เอเสว นโยฯ วีมํสํ ปน เชฎฺฐกํ กตฺวา มคฺคํ ภาเวนฺตสฺส วีมํสาธิปติ เจว โหติ มโคฺค จาติฯ เสสธมฺมา มคฺคาธิปติโน นาม โหนฺติฯ วีริเยปิ เอเสว นโยฯ
1040. Adhipatiṃ karitvāti ārammaṇādhipatiṃ katvā. Te ca kho parittadhammāva honti. Ariyasāvakānañhi attano maggaṃ garuṃ katvā paccavekkhaṇakāle ārammaṇādhipati labbhati. Cetopariyañāṇena pana ariyasāvako parassa maggaṃ paccavekkhamāno garuṃ karontopi attanā paṭividdhamaggaṃ viya garuṃ na karoti. ‘Yamakapāṭihāriyaṃ karontaṃ tathāgataṃ disvā tassa maggaṃ garuṃ karoti na karotī’ti? Karoti, na pana attano maggaṃ viya. Arahā na kiñci dhammaṃ garuṃ karoti ṭhapetvā maggaṃ phalaṃ nibbānanti. Etthāpi ayamevattho. Vīmaṃsādhipateyyanti idaṃ sahajātādhipatiṃ dassetuṃ vuttaṃ. Chandañhi jeṭṭhakaṃ katvā maggaṃ bhāventassa chando adhipati nāma hoti, na maggo. Sesadhammāpi chandādhipatino nāma honti, na maggādhipatino. Cittepi eseva nayo. Vīmaṃsaṃ pana jeṭṭhakaṃ katvā maggaṃ bhāventassa vīmaṃsādhipati ceva hoti maggo cāti. Sesadhammā maggādhipatino nāma honti. Vīriyepi eseva nayo.
๑๐๔๑. อุปฺปนฺนตฺติกนิเทฺทเส ชาตาติ นิพฺพตฺตา, ปฎิลทฺธตฺตภาวาฯ ภูตาติอาทีนิ เตสํเยว เววจนานิฯ ชาตา เอว หิ ภาวปฺปตฺติยา ภูตาฯ ปจฺจยสํโยเค ชาตตฺตา สญฺชาตาฯ นิพฺพตฺติลกฺขณปฺปตฺตตฺตา นิพฺพตฺตาฯ อุปสเคฺคน ปน ปทํ วเฑฺฒตฺวา อภินิพฺพตฺตาติ วุตฺตาฯ ปากฎีภูตาติ ปาตุภูตาฯ ปุพฺพนฺตโต อุทฺธํ ปนฺนาติ อุปฺปนฺนาฯ อุปสเคฺคน ปทํ วเฑฺฒตฺวา สมุปฺปนฺนาติ วุตฺตาฯ นิพฺพตฺตเฎฺฐเนว อุทฺธํ ฐิตาติ อุฎฺฐิตาฯ ปจฺจยสํโยเค อุฎฺฐิตาติ สมุฎฺฐิตาฯ ปุน อุปฺปนฺนาติวจเน การณํ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อุปฺปนฺนํเสน สงฺคหิตาติ อุปฺปนฺนโกฎฺฐาเสน คณนํ คตาฯ รูปํ เวทนา สญฺญา สงฺขารา วิญฺญาณนฺติ อิทํ เนสํ สภาวทสฺสนํฯ ทุติยปทนิเทฺทโส วุตฺตปฎิเสธนเยน เวทิตโพฺพฯ ตติยปทนิเทฺทโส อุตฺตานโตฺถเยวฯ
1041. Uppannattikaniddese jātāti nibbattā, paṭiladdhattabhāvā. Bhūtātiādīni tesaṃyeva vevacanāni. Jātā eva hi bhāvappattiyā bhūtā. Paccayasaṃyoge jātattā sañjātā. Nibbattilakkhaṇappattattā nibbattā. Upasaggena pana padaṃ vaḍḍhetvā abhinibbattāti vuttā. Pākaṭībhūtāti pātubhūtā. Pubbantato uddhaṃ pannāti uppannā. Upasaggena padaṃ vaḍḍhetvā samuppannāti vuttā. Nibbattaṭṭheneva uddhaṃ ṭhitāti uṭṭhitā. Paccayasaṃyoge uṭṭhitāti samuṭṭhitā. Puna uppannātivacane kāraṇaṃ heṭṭhā vuttanayeneva veditabbaṃ. Uppannaṃsena saṅgahitāti uppannakoṭṭhāsena gaṇanaṃ gatā. Rūpaṃ vedanā saññā saṅkhārā viññāṇanti idaṃ nesaṃ sabhāvadassanaṃ. Dutiyapadaniddeso vuttapaṭisedhanayena veditabbo. Tatiyapadaniddeso uttānatthoyeva.
อยํ ปน ติโก ทฺวินฺนํ อทฺธานํ วเสน ปูเรตฺวา ทสฺสิโตฯ ลโทฺธกาสสฺส หิ กมฺมสฺส วิปาโก ทุวิโธ – ขณปฺปโตฺต, จ อปฺปโตฺต จฯ ตตฺถ ‘ขณปฺปโตฺต’ อุปฺปโนฺน นามฯ ‘อปฺปโตฺต’ จิตฺตานนฺตเร วา อุปฺปชฺชตุ, กปฺปสตสหสฺสาติกฺกเม วาฯ ธุวปจฺจยเฎฺฐน นตฺถิ นาม น โหติ, อุปฺปาทิโน ธมฺมา นาม ชาโตฯ ยถา หิ – ‘‘ติฎฺฐเตว สายํ, โปฎฺฐปาท, อรูปี อตฺตา สญฺญามโย ฯ อถ อิมสฺส ปุริสสฺส อญฺญา จ สญฺญา อุปฺปชฺชนฺติ อญฺญา จ สญฺญา นิรุชฺฌนฺตี’’ติ (ที. นิ. ๑.๔๑๙)ฯ เอตฺถ อารุเปฺป กามาวจรสญฺญาปวตฺติกาเล กิญฺจาปิ มูลภวงฺคสญฺญา นิรุทฺธา กามาวจรสญฺญาย ปน นิรุทฺธกาเล อวสฺสํ สา อุปฺปชฺชิสฺสตีติ อรูปสงฺขาโต อตฺตา นตฺถีติ สงฺขฺยํ อคนฺตฺวา ‘ติฎฺฐเตว’ นามาติ ชาโตฯ เอวเมว ลโทฺธกาสสฺส กมฺมสฺส วิปาโก ทุวิโธ…เป.… ธุวปจฺจยเฎฺฐน นตฺถิ นาม น โหติ, อุปฺปาทิโน ธมฺมา นาม ชาโตฯ
Ayaṃ pana tiko dvinnaṃ addhānaṃ vasena pūretvā dassito. Laddhokāsassa hi kammassa vipāko duvidho – khaṇappatto, ca appatto ca. Tattha ‘khaṇappatto’ uppanno nāma. ‘Appatto’ cittānantare vā uppajjatu, kappasatasahassātikkame vā. Dhuvapaccayaṭṭhena natthi nāma na hoti, uppādino dhammā nāma jāto. Yathā hi – ‘‘tiṭṭhateva sāyaṃ, poṭṭhapāda, arūpī attā saññāmayo . Atha imassa purisassa aññā ca saññā uppajjanti aññā ca saññā nirujjhantī’’ti (dī. ni. 1.419). Ettha āruppe kāmāvacarasaññāpavattikāle kiñcāpi mūlabhavaṅgasaññā niruddhā kāmāvacarasaññāya pana niruddhakāle avassaṃ sā uppajjissatīti arūpasaṅkhāto attā natthīti saṅkhyaṃ agantvā ‘tiṭṭhateva’ nāmāti jāto. Evameva laddhokāsassa kammassa vipāko duvidho…pe… dhuvapaccayaṭṭhena natthi nāma na hoti, uppādino dhammā nāma jāto.
ยทิ ปน อายูหิตํ กุสลากุสลกมฺมํ สพฺพํ วิปากํ ทเทยฺย, อญฺญสฺส โอกาโส น ภเวยฺยฯ ตํ ปน ทุวิธํ โหติ – ธุววิปากํ, อธุววิปากญฺจฯ ตตฺถ ปญฺจ อานนฺตริยกมฺมานิ, อฎฺฐ สมาปตฺติโย, จตฺตาโร อริยมคฺคาติ เอตํ ‘ธุววิปากํ’ นามฯ ตํ ปน ขณปฺปตฺตมฺปิ อตฺถิ, อปฺปตฺตมฺปิฯ ตตฺถ ‘ขณปฺปตฺตํ’ อุปฺปนฺนํ นามฯ ‘อปฺปตฺตํ’ อนุปฺปนฺนํ นามฯ ตสฺส วิปาโก จิตฺตานนฺตเร วา อุปฺปชฺชตุ กปฺปสตสหสฺสาติกฺกเม วาฯ ธุวปจฺจยเฎฺฐน อนุปฺปนฺนํ นาม น โหติ, อุปฺปาทิโน ธมฺมา นาม ชาตํฯ เมเตฺตยฺยโพธิสตฺตสฺส มโคฺค อนุปฺปโนฺน นาม, ผลํ อุปฺปาทิโน ธมฺมาเยว นาม ชาตํฯ
Yadi pana āyūhitaṃ kusalākusalakammaṃ sabbaṃ vipākaṃ dadeyya, aññassa okāso na bhaveyya. Taṃ pana duvidhaṃ hoti – dhuvavipākaṃ, adhuvavipākañca. Tattha pañca ānantariyakammāni, aṭṭha samāpattiyo, cattāro ariyamaggāti etaṃ ‘dhuvavipākaṃ’ nāma. Taṃ pana khaṇappattampi atthi, appattampi. Tattha ‘khaṇappattaṃ’ uppannaṃ nāma. ‘Appattaṃ’ anuppannaṃ nāma. Tassa vipāko cittānantare vā uppajjatu kappasatasahassātikkame vā. Dhuvapaccayaṭṭhena anuppannaṃ nāma na hoti, uppādino dhammā nāma jātaṃ. Metteyyabodhisattassa maggo anuppanno nāma, phalaṃ uppādino dhammāyeva nāma jātaṃ.
๑๐๔๔. อตีตตฺติกนิเทฺทเส อตีตาติ ขณตฺตยํ อติกฺกนฺตาฯ นิรุทฺธาติ นิโรธปฺปตฺตาฯ วิคตาติ วิภวํ คตา, วิคจฺฉิตา วาฯ วิปริณตาติ ปกติวิชหเนน วิปริณามํ คตาฯ นิโรธสงฺขาตํ อตฺถํ คตาติ อตฺถงฺคตาฯ อพฺภตฺถงฺคตาติ อุปสเคฺคน ปทํ วฑฺฒิตํฯ อุปฺปชฺชิตฺวา วิคตาติ นิพฺพตฺติตฺวา วิคจฺฉิตาฯ ปุน อตีตวจเน การณํ เหฎฺฐา วุตฺตเมวฯ ปรโต อนาคตาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อตีตํเสน สงฺคหิตาติ อตีตโกฎฺฐาเสน คณนํ คตาฯ กตเม เตติ? รูปํ เวทนา สญฺญา สงฺขารา วิญฺญาณํฯ ปรโต อนาคตาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
1044. Atītattikaniddese atītāti khaṇattayaṃ atikkantā. Niruddhāti nirodhappattā. Vigatāti vibhavaṃ gatā, vigacchitā vā. Vipariṇatāti pakativijahanena vipariṇāmaṃ gatā. Nirodhasaṅkhātaṃ atthaṃ gatāti atthaṅgatā. Abbhatthaṅgatāti upasaggena padaṃ vaḍḍhitaṃ. Uppajjitvā vigatāti nibbattitvā vigacchitā. Puna atītavacane kāraṇaṃ heṭṭhā vuttameva. Parato anāgatādīsupi eseva nayo. Atītaṃsena saṅgahitāti atītakoṭṭhāsena gaṇanaṃ gatā. Katame teti? Rūpaṃ vedanā saññā saṅkhārā viññāṇaṃ. Parato anāgatādīsupi eseva nayo.
๑๐๔๗. อตีตารมฺมณตฺติกนิเทฺทเส อตีเต ธเมฺม อารพฺภาติอาทีสุ ปริตฺตมหคฺคตาว ธมฺมา เวทิตพฺพาฯ เต หิ อตีตาทีนิ อารพฺภ อุปฺปชฺชนฺติฯ
1047. Atītārammaṇattikaniddese atīte dhamme ārabbhātiādīsu parittamahaggatāva dhammā veditabbā. Te hi atītādīni ārabbha uppajjanti.
๑๐๕๐. อชฺฌตฺตตฺติกนิเทฺทเส เตสํ เตสนฺติ ปททฺวเยน สพฺพสเตฺต ปริยาทิยติฯ อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตนฺติ อุภยํ นิยกชฺฌตฺตาธิวจนํฯ นิยตาติ อตฺตนิ ชาตาฯ ปาฎิปุคฺคลิกาติ ปาฎิเยกฺกสฺส ปาฎิเยกฺกสฺส ปุคฺคลสฺส สนฺตกาฯ อุปาทิณฺณาติ สรีรฎฺฐกาฯ เต หิ กมฺมนิพฺพตฺตา วา โหนฺตุ มา วา, อาทินฺนคหิตปรามฎฺฐวเสน ปน อิธ อุปาทิณฺณาติ วุตฺตาฯ
1050. Ajjhattattikaniddese tesaṃ tesanti padadvayena sabbasatte pariyādiyati. Ajjhattaṃ paccattanti ubhayaṃ niyakajjhattādhivacanaṃ. Niyatāti attani jātā. Pāṭipuggalikāti pāṭiyekkassa pāṭiyekkassa puggalassa santakā. Upādiṇṇāti sarīraṭṭhakā. Te hi kammanibbattā vā hontu mā vā, ādinnagahitaparāmaṭṭhavasena pana idha upādiṇṇāti vuttā.
๑๐๕๑. ปรสตฺตานนฺติ อตฺตานํ ฐเปตฺวา อวเสสสตฺตานํฯ ปรปุคฺคลานนฺติ ตเสฺสว เววจนํฯ เสสํ เหฎฺฐา วุตฺตสทิสเมวฯ ตทุภยนฺติ ตํ อุภยํฯ
1051. Parasattānanti attānaṃ ṭhapetvā avasesasattānaṃ. Parapuggalānanti tasseva vevacanaṃ. Sesaṃ heṭṭhā vuttasadisameva. Tadubhayanti taṃ ubhayaṃ.
๑๐๕๓. อชฺฌตฺตารมฺมณตฺติกสฺส ปฐมปเท ปริตฺตมหคฺคตา ธมฺมา เวทิตพฺพาฯ ทุติเย อปฺปมาณาปิฯ ตติเย ปริตฺตมหคฺคตาวฯ อปฺปมาณา ปน กาเลน พหิทฺธา กาเลน อชฺฌตฺตํ อารมฺมณํ น กโรนฺติฯ สนิทสฺสนตฺติกนิเทฺทโส อุตฺตาโนเยวาติฯ
1053. Ajjhattārammaṇattikassa paṭhamapade parittamahaggatā dhammā veditabbā. Dutiye appamāṇāpi. Tatiye parittamahaggatāva. Appamāṇā pana kālena bahiddhā kālena ajjhattaṃ ārammaṇaṃ na karonti. Sanidassanattikaniddeso uttānoyevāti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / ติกนิเกฺขปํ • Tikanikkhepaṃ
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā / ติกนิเกฺขปกถาวณฺณนา • Tikanikkhepakathāvaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā / ติกนิเกฺขปกถาวณฺณนา • Tikanikkhepakathāvaṇṇanā