Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๒๕๒] ๒. ติลมุฎฺฐิชาตกวณฺณนา
[252] 2. Tilamuṭṭhijātakavaṇṇanā
อชฺชาปิ เม ตํ มนสีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต อญฺญตรํ โกธนํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ อญฺญตโร กิร, ภิกฺขุ, โกธโน อโหสิ อุปายาสพหุโล, อปฺปมฺปิ วุโตฺต สมาโน กุปฺปิ อภิสชฺชิ, โกปญฺจ โทสญฺจ อปฺปจฺจยญฺจ ปาตฺวากาสิฯ อเถกทิวสํ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ – ‘‘อาวุโส, อสุโก นาม ภิกฺขุ โกธโน อุปายาสพหุโล อุทฺธเน ปกฺขิตฺตโลณํ วิย ตฎตฎายโนฺต วิจรติ, เอวรูเป นิโกฺกธเน พุทฺธสาสเน ปพฺพชิโต สมาโน โกธมตฺตมฺปิ นิคฺคณฺหิตุํ น สโกฺกตี’’ติฯ สตฺถา เตสํ กถํ สุตฺวา เอกํ ภิกฺขุํ เปเสตฺวา ตํ ภิกฺขุํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ, ภิกฺขุ, โกธโน’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพปิ อยํ โกธโน อโหสี’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Ajjāpime taṃ manasīti idaṃ satthā jetavane viharanto aññataraṃ kodhanaṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. Aññataro kira, bhikkhu, kodhano ahosi upāyāsabahulo, appampi vutto samāno kuppi abhisajji, kopañca dosañca appaccayañca pātvākāsi. Athekadivasaṃ bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ – ‘‘āvuso, asuko nāma bhikkhu kodhano upāyāsabahulo uddhane pakkhittaloṇaṃ viya taṭataṭāyanto vicarati, evarūpe nikkodhane buddhasāsane pabbajito samāno kodhamattampi niggaṇhituṃ na sakkotī’’ti. Satthā tesaṃ kathaṃ sutvā ekaṃ bhikkhuṃ pesetvā taṃ bhikkhuṃ pakkosāpetvā ‘‘saccaṃ kira tvaṃ, bhikkhu, kodhano’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepi ayaṃ kodhano ahosī’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต ตสฺส ปุโตฺต พฺรหฺมทตฺตกุมาโร นาม อโหสิฯ โปราณกราชาโน จ อตฺตโน ปุเตฺต ‘‘เอวํ เอเต นิหตมานทปฺปา สีตุณฺหกฺขมา โลกจาริตฺตญฺญู จ ภวิสฺสนฺตี’’ติ อตฺตโน นคเร ทิสาปาโมกฺขอาจริเย วิชฺชมาเนปิ สิปฺปุคฺคหณตฺถาย ทูเร ติโรรฎฺฐํ เปเสนฺติ, ตสฺมา โสปิ ราชา โสฬสวสฺสุเทฺทสิกํ ปุตฺตํ ปโกฺกสาเปตฺวา เอกปฎลิกอุปาหนา จ ปณฺณจฺฉตฺตญฺจ กหาปณสหสฺสญฺจ ทตฺวา ‘‘ตาต, ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา สิปฺปํ อุคฺคณฺหา’’ติ เปเสสิฯ โส ‘‘สาธู’’ติ มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา นิกฺขมิตฺวา อนุปุเพฺพน ตกฺกสิลํ ปตฺวา อาจริยสฺส เคหํ ปุจฺฉิตฺวา อาจริเย มาณวกานํ สิปฺปํ วาเจตฺวา อุฎฺฐาย ฆรทฺวาเร จงฺกมเนฺต เคหํ คนฺตฺวา ยสฺมิํ ฐาเน ฐิโต อาจริยํ อทฺทส, ตเตฺถว อุปาหนา โอมุญฺจิตฺวา ฉตฺตญฺจ อปเนตฺวา อาจริยํ วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ โส ตสฺส กิลนฺตภาวํ ญตฺวา อาคนฺตุกสงฺคหํ กาเรสิฯ กุมาโร ภุตฺตโภชโน โถกํ วิสฺสมิตฺวา อาจริยํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิ, ‘‘กุโต อาคโตสิ, ตาตา’’ติ จ วุเตฺต ‘‘พาราณสิโต’’ติ อาหฯ ‘‘กสฺส ปุโตฺตสี’’ติ? ‘‘พาราณสิรโญฺญ’’ติฯ ‘‘เกนเตฺถนาคโตสี’’ติ? ‘‘สิปฺปํ อุคฺคณฺหตฺถายา’’ติฯ ‘‘กิํ เต อาจริยภาโค อาภโต, อุทาหุ ธมฺมเนฺตวาสิโก โหตุกาโมสี’’ติ? โส ‘‘อาจริยภาโค เม อาภโต’’ติ วตฺวา อาจริยสฺส ปาทมูเล สหสฺสตฺถวิกํ ฐเปตฺวา วนฺทิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente tassa putto brahmadattakumāro nāma ahosi. Porāṇakarājāno ca attano putte ‘‘evaṃ ete nihatamānadappā sītuṇhakkhamā lokacārittaññū ca bhavissantī’’ti attano nagare disāpāmokkhaācariye vijjamānepi sippuggahaṇatthāya dūre tiroraṭṭhaṃ pesenti, tasmā sopi rājā soḷasavassuddesikaṃ puttaṃ pakkosāpetvā ekapaṭalikaupāhanā ca paṇṇacchattañca kahāpaṇasahassañca datvā ‘‘tāta, takkasilaṃ gantvā sippaṃ uggaṇhā’’ti pesesi. So ‘‘sādhū’’ti mātāpitaro vanditvā nikkhamitvā anupubbena takkasilaṃ patvā ācariyassa gehaṃ pucchitvā ācariye māṇavakānaṃ sippaṃ vācetvā uṭṭhāya gharadvāre caṅkamante gehaṃ gantvā yasmiṃ ṭhāne ṭhito ācariyaṃ addasa, tattheva upāhanā omuñcitvā chattañca apanetvā ācariyaṃ vanditvā aṭṭhāsi. So tassa kilantabhāvaṃ ñatvā āgantukasaṅgahaṃ kāresi. Kumāro bhuttabhojano thokaṃ vissamitvā ācariyaṃ upasaṅkamitvā vanditvā aṭṭhāsi, ‘‘kuto āgatosi, tātā’’ti ca vutte ‘‘bārāṇasito’’ti āha. ‘‘Kassa puttosī’’ti? ‘‘Bārāṇasirañño’’ti. ‘‘Kenatthenāgatosī’’ti? ‘‘Sippaṃ uggaṇhatthāyā’’ti. ‘‘Kiṃ te ācariyabhāgo ābhato, udāhu dhammantevāsiko hotukāmosī’’ti? So ‘‘ācariyabhāgo me ābhato’’ti vatvā ācariyassa pādamūle sahassatthavikaṃ ṭhapetvā vandi.
ธมฺมเนฺตวาสิกา ทิวา อาจริยสฺส กมฺมํ กตฺวา รตฺติํ สิปฺปํ อุคฺคณฺหนฺติ, อาจริยภาคทายกา เคเห เชฎฺฐปุตฺตา วิย หุตฺวา สิปฺปเมว อุคฺคณฺหนฺติฯ ตสฺมา โสปิ อาจริโย สลฺลหุเกน สุภนกฺขเตฺตน กุมารสฺส สิปฺปํ ปฎฺฐเปสิฯ กุมาโรปิ สิปฺปํ อุคฺคณฺหโนฺต เอกทิวสํ อาจริเยน สทฺธิํ นฺหายิตุํ อคมาสิฯ อเถกา มหลฺลิกา อิตฺถี ติลานิ เสเต กตฺวา ปตฺถริตฺวา รกฺขมานา นิสีทิฯ กุมาโร เสตติเล ทิสฺวา ขาทิตุกาโม หุตฺวา เอกํ ติลมุฎฺฐิํ คเหตฺวา ขาทิ, มหลฺลิกา ‘‘ตณฺหาลุโก เอโส’’ติ กิญฺจิ อวตฺวา ตุณฺหี อโหสิฯ โส ปุนทิวเสปิ ตาย เวลาย ตเถว อกาสิ, สาปิ นํ น กิญฺจิ อาหฯ อิตโร ตติยทิวเสปิ ตเถวากาสิ, ตทา มหลฺลิกา ‘‘ทิสาปาโมโกฺข อาจริโย อตฺตโน อเนฺตวาสิเกหิ มํ วิลุมฺปาเปตี’’ติ พาหา ปคฺคยฺห กนฺทิฯ อาจริโย นิวตฺติตฺวา ‘‘กิํ เอตํ , อมฺมา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สามิ, อเนฺตวาสิโก เต มยา กตานํ เสตติลานํ อเชฺชกํ มุฎฺฐิํ ขาทิ, หิโยฺย เอกํ, ปเร เอกํ, นนุ เอวํ ขาทโนฺต มม สนฺตกํ สพฺพํ นาเสสฺสตี’’ติฯ ‘‘อมฺม, มา โรทิ, มูลํ เต ทาเปสฺสามี’’ติฯ ‘‘น เม, สามิ, มูเลนโตฺถ, ยถา ปเนส กุมาโร ปุน เอวํ น กโรติ, ตถา ตํ สิกฺขาเปหี’’ติฯ อาจริโย ‘‘เตน หิ ปสฺส, อมฺมา’’ติ ทฺวีหิ มาณเวหิ ตํ กุมารํ ทฺวีสุ หเตฺถสุ คาหาเปตฺวา เวฬุเปสิกํ คเหตฺวา ‘‘ปุน เอวรูปํ มา อกาสี’’ติ ติกฺขตฺตุํ ปิฎฺฐิยํ ปหริฯ กุมาโร อาจริยสฺส กุชฺฌิตฺวา รตฺตานิ อกฺขีนิ กตฺวา ปาทปิฎฺฐิโต ยาว เกสมตฺถกา โอโลเกสิฯ โสปิสฺส กุชฺฌิตฺวา โอโลกิตภาวํ อญฺญาสิฯ กุมาโร สิปฺปํ นิฎฺฐาเปตฺวา ‘‘อนุโยคํ ทตฺวา มาราเปตโพฺพ เอส มยา’’ติ เตน กตโทสํ หทเย ฐเปตฺวา คมนกาเล อาจริยํ วนฺทิตฺวา ‘‘ยทาหํ, อาจริย, พาราณสิรชฺชํ ปตฺวา ตุมฺหากํ สนฺติกํ เปเสสฺสามิ, ตทา ตุเมฺห อาคเจฺฉยฺยาถา’’ติ สสิเนโห วิย ปฎิญฺญํ คเหตฺวา ปกฺกามิฯ
Dhammantevāsikā divā ācariyassa kammaṃ katvā rattiṃ sippaṃ uggaṇhanti, ācariyabhāgadāyakā gehe jeṭṭhaputtā viya hutvā sippameva uggaṇhanti. Tasmā sopi ācariyo sallahukena subhanakkhattena kumārassa sippaṃ paṭṭhapesi. Kumāropi sippaṃ uggaṇhanto ekadivasaṃ ācariyena saddhiṃ nhāyituṃ agamāsi. Athekā mahallikā itthī tilāni sete katvā pattharitvā rakkhamānā nisīdi. Kumāro setatile disvā khāditukāmo hutvā ekaṃ tilamuṭṭhiṃ gahetvā khādi, mahallikā ‘‘taṇhāluko eso’’ti kiñci avatvā tuṇhī ahosi. So punadivasepi tāya velāya tatheva akāsi, sāpi naṃ na kiñci āha. Itaro tatiyadivasepi tathevākāsi, tadā mahallikā ‘‘disāpāmokkho ācariyo attano antevāsikehi maṃ vilumpāpetī’’ti bāhā paggayha kandi. Ācariyo nivattitvā ‘‘kiṃ etaṃ , ammā’’ti pucchi. ‘‘Sāmi, antevāsiko te mayā katānaṃ setatilānaṃ ajjekaṃ muṭṭhiṃ khādi, hiyyo ekaṃ, pare ekaṃ, nanu evaṃ khādanto mama santakaṃ sabbaṃ nāsessatī’’ti. ‘‘Amma, mā rodi, mūlaṃ te dāpessāmī’’ti. ‘‘Na me, sāmi, mūlenattho, yathā panesa kumāro puna evaṃ na karoti, tathā taṃ sikkhāpehī’’ti. Ācariyo ‘‘tena hi passa, ammā’’ti dvīhi māṇavehi taṃ kumāraṃ dvīsu hatthesu gāhāpetvā veḷupesikaṃ gahetvā ‘‘puna evarūpaṃ mā akāsī’’ti tikkhattuṃ piṭṭhiyaṃ pahari. Kumāro ācariyassa kujjhitvā rattāni akkhīni katvā pādapiṭṭhito yāva kesamatthakā olokesi. Sopissa kujjhitvā olokitabhāvaṃ aññāsi. Kumāro sippaṃ niṭṭhāpetvā ‘‘anuyogaṃ datvā mārāpetabbo esa mayā’’ti tena katadosaṃ hadaye ṭhapetvā gamanakāle ācariyaṃ vanditvā ‘‘yadāhaṃ, ācariya, bārāṇasirajjaṃ patvā tumhākaṃ santikaṃ pesessāmi, tadā tumhe āgaccheyyāthā’’ti sasineho viya paṭiññaṃ gahetvā pakkāmi.
โส พาราณสิํ ปตฺวา มาตาปิตโร วนฺทิตฺวา สิปฺปํ ทเสฺสสิฯ ราชา ‘‘ชีวมาเนน เม ปุโตฺต ทิโฎฺฐ, ชีวมาโนวสฺส รชฺชสิริํ ปสฺสามี’’ติ ปุตฺตํ รเชฺช ปติฎฺฐาเปสิฯ โส รชฺชสิริํ อนุภวมาโน อาจริเยน กตโทสํ สริตฺวา อุปฺปนฺนโกโธ ‘‘มาราเปสฺสามิ น’’นฺติ ปโกฺกสนตฺถาย อาจริยสฺส ทูตํ ปาเหสิฯ อาจริโย ‘‘ตรุณกาเล นํ สญฺญาเปตุํ น สกฺขิสฺสามี’’ติ อคนฺตฺวา ตสฺส รโญฺญ มชฺฌิมวยกาเล ‘‘อิทานิ นํ สญฺญาเปตุํ สกฺขิสฺสามี’’ติ คนฺตฺวา ราชทฺวาเร ฐตฺวา ‘‘ตกฺกสิลาจริโย อาคโต’’ติ อาโรจาเปสิฯ ราชา ตุโฎฺฐ พฺราหฺมณํ ปโกฺกสาเปตฺวา ตํ อตฺตโน สนฺติกํ อาคตํ ทิสฺวาว โกธํ อุปฺปาเทตฺวา รตฺตานิ อกฺขีนิ กตฺวา อมเจฺจ อามเนฺตตฺวา ‘‘โภ, อชฺชาปิ เม อาจริเยน ปหฎฎฺฐานํ รุชฺชติ, อาจริโย นลาเฎน มจฺจุํ อาทาย ‘มริสฺสามี’ติ อาคโต, อชฺชสฺส ชีวิตํ นตฺถี’’ติ วตฺวา ปุริมา เทฺว คาถา อโวจ –
So bārāṇasiṃ patvā mātāpitaro vanditvā sippaṃ dassesi. Rājā ‘‘jīvamānena me putto diṭṭho, jīvamānovassa rajjasiriṃ passāmī’’ti puttaṃ rajje patiṭṭhāpesi. So rajjasiriṃ anubhavamāno ācariyena katadosaṃ saritvā uppannakodho ‘‘mārāpessāmi na’’nti pakkosanatthāya ācariyassa dūtaṃ pāhesi. Ācariyo ‘‘taruṇakāle naṃ saññāpetuṃ na sakkhissāmī’’ti agantvā tassa rañño majjhimavayakāle ‘‘idāni naṃ saññāpetuṃ sakkhissāmī’’ti gantvā rājadvāre ṭhatvā ‘‘takkasilācariyo āgato’’ti ārocāpesi. Rājā tuṭṭho brāhmaṇaṃ pakkosāpetvā taṃ attano santikaṃ āgataṃ disvāva kodhaṃ uppādetvā rattāni akkhīni katvā amacce āmantetvā ‘‘bho, ajjāpi me ācariyena pahaṭaṭṭhānaṃ rujjati, ācariyo nalāṭena maccuṃ ādāya ‘marissāmī’ti āgato, ajjassa jīvitaṃ natthī’’ti vatvā purimā dve gāthā avoca –
๔.
4.
‘‘อชฺชาปิ เม ตํ มนสิ, ยํ มํ ตฺวํ ติลมุฎฺฐิยา;
‘‘Ajjāpi me taṃ manasi, yaṃ maṃ tvaṃ tilamuṭṭhiyā;
พาหาย มํ คเหตฺวาน, ลฎฺฐิยา อนุตาฬยิฯ
Bāhāya maṃ gahetvāna, laṭṭhiyā anutāḷayi.
๕.
5.
‘‘นนุ ชีวิเต น รมสิ, เยนาสิ พฺราหฺมณาคโต;
‘‘Nanu jīvite na ramasi, yenāsi brāhmaṇāgato;
ยํ มํ พาหา คเหตฺวาน, ติกฺขตฺตุํ อนุตาฬยี’’ติฯ
Yaṃ maṃ bāhā gahetvāna, tikkhattuṃ anutāḷayī’’ti.
ตตฺถ ยํ มํ พาหาย มนฺติ ทฺวีสุ ปเทสุ อุปโยควจนํ อนุตาฬนคหณาเปกฺขํฯ ยํ มํ ตฺวํ ติลมุฎฺฐิยา การณา อนุตาฬยิ, อนุตาเฬโนฺต จ มํ พาหาย คเหตฺวา อนุตาฬยิ, ตํ อนุตาฬนํ อชฺชาปิ เม มนสีติ อยเญฺหตฺถ อโตฺถฯ นนุ ชีวิเต น รมสีติ มเญฺญ ตฺวํ อตฺตโน ชีวิตมฺหิ นาภิรมสิฯ เยนาสิ พฺราหฺมณาคโตติ ยสฺมา พฺราหฺมณ อิธ มม สนฺติกํ อาคโตสิฯ ยํ มํ พาหา คเหตฺวานาติ ยํ มม พาหา คเหตฺวา, ยํ มํ พาหาย คเหตฺวาติปิ อโตฺถฯ ติกฺขตฺตุํ อนุตาฬยีติ ตโย วาเร เวฬุลฎฺฐิยา ตาเฬสิ, อชฺช ทานิ ตสฺส ผลํ วินฺทาหีติ นํ มรเณน สนฺตเชฺชโนฺต เอวมาหฯ
Tattha yaṃ maṃ bāhāya manti dvīsu padesu upayogavacanaṃ anutāḷanagahaṇāpekkhaṃ. Yaṃ maṃ tvaṃ tilamuṭṭhiyā kāraṇā anutāḷayi, anutāḷento ca maṃ bāhāya gahetvā anutāḷayi, taṃ anutāḷanaṃ ajjāpi me manasīti ayañhettha attho. Nanu jīvite na ramasīti maññe tvaṃ attano jīvitamhi nābhiramasi. Yenāsi brāhmaṇāgatoti yasmā brāhmaṇa idha mama santikaṃ āgatosi. Yaṃ maṃ bāhā gahetvānāti yaṃ mama bāhā gahetvā, yaṃ maṃ bāhāya gahetvātipi attho. Tikkhattuṃ anutāḷayīti tayo vāre veḷulaṭṭhiyā tāḷesi, ajja dāni tassa phalaṃ vindāhīti naṃ maraṇena santajjento evamāha.
ตํ สุตฺวา อาจริโย ตติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā ācariyo tatiyaṃ gāthamāha –
๖.
6.
‘‘อริโย อนริยํ กุพฺพนฺตํ, โย ทเณฺฑน นิเสธติ;
‘‘Ariyo anariyaṃ kubbantaṃ, yo daṇḍena nisedhati;
สาสนํ ตํ น ตํ เวรํ, อิติ นํ ปณฺฑิตา วิทู’’ติฯ
Sāsanaṃ taṃ na taṃ veraṃ, iti naṃ paṇḍitā vidū’’ti.
ตตฺถ อริโยติ สุนฺทราธิวจนเมตํฯ โส ปน อริโย จตุพฺพิโธ โหติ อาจารอริโย ทสฺสนอริโย ลิงฺคอริโย ปฎิเวธอริโยติฯ ตตฺถ มนุโสฺส วา โหตุ ติรจฺฉาโน วา, อริยาจาเร ฐิโต อาจารอริโย นามฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Tattha ariyoti sundarādhivacanametaṃ. So pana ariyo catubbidho hoti ācāraariyo dassanaariyo liṅgaariyo paṭivedhaariyoti. Tattha manusso vā hotu tiracchāno vā, ariyācāre ṭhito ācāraariyo nāma. Vuttampi cetaṃ –
‘‘อริยวตฺตสิ วกฺกงฺค, โย ปิณฺฑมปจายติ;
‘‘Ariyavattasi vakkaṅga, yo piṇḍamapacāyati;
จชามิ เต ตํ ภตฺตารํ, คจฺฉถูโภ ยถาสุข’’นฺติฯ (ชา. ๒.๒๑.๑๐๖);
Cajāmi te taṃ bhattāraṃ, gacchathūbho yathāsukha’’nti. (jā. 2.21.106);
รูเปน ปน อิริยาปเถน จ ปาสาทิเกน ทสฺสนีเยน สมนฺนาคโต ทสฺสนอริโย นามฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ –
Rūpena pana iriyāpathena ca pāsādikena dassanīyena samannāgato dassanaariyo nāma. Vuttampi cetaṃ –
‘‘อริยาวกาโสสิ ปสนฺนเนโตฺต, มเญฺญ ภวํ ปพฺพชิโต กุลมฺหา;
‘‘Ariyāvakāsosi pasannanetto, maññe bhavaṃ pabbajito kulamhā;
กถํ นุ จิตฺตานิ ปหาย โภเค, ปพฺพชิ นิกฺขมฺม ฆรา สปญฺญา’’ติฯ (ชา. ๒.๑๗.๑๔๓);
Kathaṃ nu cittāni pahāya bhoge, pabbaji nikkhamma gharā sapaññā’’ti. (jā. 2.17.143);
นิวาสนปารุปนลิงฺคคฺคหเณน ปน สมณสทิโส หุตฺวา วิจรโนฺต ทุสฺสีโลปิ ลิงฺคอริโย นามฯ ยํ สนฺธาย วุตฺตํ –
Nivāsanapārupanaliṅgaggahaṇena pana samaṇasadiso hutvā vicaranto dussīlopi liṅgaariyo nāma. Yaṃ sandhāya vuttaṃ –
‘‘ฉทนํ กตฺวาน สุพฺพตานํ, ปกฺขนฺที กุลทูสโก ปคโพฺภ;
‘‘Chadanaṃ katvāna subbatānaṃ, pakkhandī kuladūsako pagabbho;
มายาวี อสญฺญโต ปลาโป, ปติรูเปน จรํ ส มคฺคทูสี’’ติฯ
Māyāvī asaññato palāpo, patirūpena caraṃ sa maggadūsī’’ti.
พุทฺธาทโย ปน ปฎิเวธอริยา นามฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อริยา วุจฺจนฺติ พุทฺธา จ ปเจฺจกพุทฺธา จ พุทฺธสาวกา จา’’ติฯ เตสุ อิธ อาจารอริโยว อธิเปฺปโตฯ
Buddhādayo pana paṭivedhaariyā nāma. Tena vuttaṃ – ‘‘ariyā vuccanti buddhā ca paccekabuddhā ca buddhasāvakā cā’’ti. Tesu idha ācāraariyova adhippeto.
อนริยนฺติ ทุสฺสีลํ ปาปธมฺมํฯ กุพฺพนฺตนฺติ ปาณาติปาตาทิกํ ปญฺจวิธทุสฺสีลฺยกมฺมํ กโรนฺตํ, เอกเมว วา เอตํ อตฺถปทํ, อนริยํ หีนํ ลามกํ ปญฺจเวรภยกมฺมํ กโรนฺตํ ปุคฺคลํฯ โยติ ขตฺติยาทีสุ โย โกจิฯ ทเณฺฑนาติ เยน เกนจิ ปหรณเกนฯ นิเสธตีติ ‘‘มา ปุน เอวรูปํ กรี’’ติ ปหรโนฺต นิวาเรติฯ สาสนํ ตํ น ตํ เวรนฺติ ตํ, มหาราช, อกตฺตพฺพํ กโรเนฺต ปุตฺตธีตโร วา อเนฺตวาสิเก วา เอวํ ปหริตฺวา นิเสธนํ นาม อิมสฺมิํ โลเก สาสนํ อนุสิฎฺฐิ โอวาโท, น เวรํฯ อิติ นํ ปณฺฑิตา วิทูติ เอวเมตํ ปณฺฑิตา ชานนฺติฯ ตสฺมา, มหาราช, ตฺวมฺปิ เอวํ ชาน, น เอวรูเป ฐาเน เวรํ กาตุํ อรหสิฯ สเจ หิ ตฺวํ, มหาราช, มยา เอวํ สิกฺขาปิโต นาภวิสฺส, อถ คจฺฉเนฺต กาเล ปูวสกฺขลิอาทีนิ เจว ผลาผลาทีนิ จ หรโนฺต โจรกเมฺมสุ ปลุโทฺธ อนุปุเพฺพน สนฺธิเจฺฉทนปนฺถทูหนคามฆาตกาทีนิ กตฺวา ‘‘ราชาปราธิโก โจโร’’ติ สโหฑฺฒํ คเหตฺวา รโญฺญ ทสฺสิโต ‘‘คจฺฉถสฺส โทสานุรูปํ ทณฺฑํ อุปเนถา’’ติ ทณฺฑภยํ ปาปุณิสฺส, กุโต เต เอวรูปา สมฺปตฺติ อภวิสฺส, นนุ มํ นิสฺสาย อิทํ อิสฺสริยํ ตยา ลทฺธนฺติ เอวํ อาจริโย ราชานํ สญฺญาเปสิ ฯ ปริวาเรตฺวา ฐิตา อมจฺจาปิสฺส กถํ สุตฺวา ‘‘สจฺจํ, เทว, อิทํ อิสฺสริยํ ตุมฺหากํ อาจริยเสฺสว สนฺตก’’นฺติ อาหํสุฯ
Anariyanti dussīlaṃ pāpadhammaṃ. Kubbantanti pāṇātipātādikaṃ pañcavidhadussīlyakammaṃ karontaṃ, ekameva vā etaṃ atthapadaṃ, anariyaṃ hīnaṃ lāmakaṃ pañcaverabhayakammaṃ karontaṃ puggalaṃ. Yoti khattiyādīsu yo koci. Daṇḍenāti yena kenaci paharaṇakena. Nisedhatīti ‘‘mā puna evarūpaṃ karī’’ti paharanto nivāreti. Sāsanaṃ taṃ na taṃ veranti taṃ, mahārāja, akattabbaṃ karonte puttadhītaro vā antevāsike vā evaṃ paharitvā nisedhanaṃ nāma imasmiṃ loke sāsanaṃ anusiṭṭhi ovādo, na veraṃ. Iti naṃ paṇḍitāvidūti evametaṃ paṇḍitā jānanti. Tasmā, mahārāja, tvampi evaṃ jāna, na evarūpe ṭhāne veraṃ kātuṃ arahasi. Sace hi tvaṃ, mahārāja, mayā evaṃ sikkhāpito nābhavissa, atha gacchante kāle pūvasakkhaliādīni ceva phalāphalādīni ca haranto corakammesu paluddho anupubbena sandhicchedanapanthadūhanagāmaghātakādīni katvā ‘‘rājāparādhiko coro’’ti sahoḍḍhaṃ gahetvā rañño dassito ‘‘gacchathassa dosānurūpaṃ daṇḍaṃ upanethā’’ti daṇḍabhayaṃ pāpuṇissa, kuto te evarūpā sampatti abhavissa, nanu maṃ nissāya idaṃ issariyaṃ tayā laddhanti evaṃ ācariyo rājānaṃ saññāpesi . Parivāretvā ṭhitā amaccāpissa kathaṃ sutvā ‘‘saccaṃ, deva, idaṃ issariyaṃ tumhākaṃ ācariyasseva santaka’’nti āhaṃsu.
ตสฺมิํ ขเณ ราชา อาจริยสฺส คุณํ สลฺลเกฺขตฺวา ‘‘สพฺพิสฺสริยํ เต, อาจริย, ทมฺมิ, รชฺชํ ปฎิจฺฉา’’ติ อาหฯ อาจริโย ‘‘น เม, มหาราช, รเชฺชนโตฺถ’’ติ ปฎิกฺขิปิฯ ราชา ตกฺกสิลํ เปเสตฺวา อาจริยสฺส ปุตฺตทารํ อาหราเปตฺวา มหนฺตํ อิสฺสริยํ ทตฺวา ตเมว ปุโรหิตํ กตฺวา ปิตุฎฺฐาเน ฐเปตฺวา ตโสฺสวาเท ฐิโต ทานาทีนิ ปุญฺญานิ กตฺวา สคฺคปรายโณ อโหสิฯ
Tasmiṃ khaṇe rājā ācariyassa guṇaṃ sallakkhetvā ‘‘sabbissariyaṃ te, ācariya, dammi, rajjaṃ paṭicchā’’ti āha. Ācariyo ‘‘na me, mahārāja, rajjenattho’’ti paṭikkhipi. Rājā takkasilaṃ pesetvā ācariyassa puttadāraṃ āharāpetvā mahantaṃ issariyaṃ datvā tameva purohitaṃ katvā pituṭṭhāne ṭhapetvā tassovāde ṭhito dānādīni puññāni katvā saggaparāyaṇo ahosi.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน โกธโน ภิกฺขุ อนาคามิผเล ปติฎฺฐหิ, พหู ชนา โสตาปนฺนสกทาคามิอนาคามิโน อเหสุํฯ ‘‘ตทา ราชา โกธโน ภิกฺขุ อโหสิ, อาจริโย ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne kodhano bhikkhu anāgāmiphale patiṭṭhahi, bahū janā sotāpannasakadāgāmianāgāmino ahesuṃ. ‘‘Tadā rājā kodhano bhikkhu ahosi, ācariyo pana ahameva ahosi’’nti.
ติลมุฎฺฐิชาตกวณฺณนา ทุติยาฯ
Tilamuṭṭhijātakavaṇṇanā dutiyā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๕๒. ติลมุฎฺฐิชาตกํ • 252. Tilamuṭṭhijātakaṃ