Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / เปตวตฺถุ-อฎฺฐกถา • Petavatthu-aṭṭhakathā

    ๕. ติโรกุฎฺฎเปตวตฺถุวณฺณนา

    5. Tirokuṭṭapetavatthuvaṇṇanā

    ติโรกุเฎฺฎสุ ติฎฺฐนฺตีติ อิทํ สตฺถา ราชคเห วิหรโนฺต สมฺพหุเล เปเต อารพฺภ กเถสิฯ

    Tirokuṭṭesutiṭṭhantīti idaṃ satthā rājagahe viharanto sambahule pete ārabbha kathesi.

    ตตฺรายํ วิตฺถารกถา – อิโต ทฺวานวุติกเปฺป กาสิ นาม นครํ อโหสิฯ ตตฺถ ชยเสโน นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺส สิริมา นาม เทวีฯ ตสฺสา กุจฺฉิยํ ผุโสฺส นาม โพธิสโตฺต นิพฺพตฺติตฺวา อนุปุเพฺพน สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌิฯ ชยเสโน ราชา ‘‘มม ปุโตฺต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมิตฺวา พุโทฺธ ชาโต, มยฺหเมว พุโทฺธ, มยฺหํ ธโมฺม, มยฺหํ สโงฺฆ’’ติ มมตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา สพฺพกาลํ สยเมว อุปฎฺฐหติ, น อเญฺญสํ โอกาสํ เทติฯ

    Tatrāyaṃ vitthārakathā – ito dvānavutikappe kāsi nāma nagaraṃ ahosi. Tattha jayaseno nāma rājā rajjaṃ kāresi. Tassa sirimā nāma devī. Tassā kucchiyaṃ phusso nāma bodhisatto nibbattitvā anupubbena sammāsambodhiṃ abhisambujjhi. Jayaseno rājā ‘‘mama putto mahābhinikkhamanaṃ nikkhamitvā buddho jāto, mayhameva buddho, mayhaṃ dhammo, mayhaṃ saṅgho’’ti mamattaṃ uppādetvā sabbakālaṃ sayameva upaṭṭhahati, na aññesaṃ okāsaṃ deti.

    ภควโต กนิฎฺฐภาตโร เวมาติกา ตโย ภาตโร จิเนฺตสุํ – ‘‘พุทฺธา นาม สพฺพโลก หิตตฺถาย อุปฺปชฺชนฺติ, น เอกเสฺสว อตฺถายฯ อมฺหากญฺจ ปิตา อเญฺญสํ โอกาสํ น เทติฯ กถํ นุ โข มยํ ลเภยฺยาม ภควนฺตํ อุปฎฺฐาตุํ ภิกฺขุสงฺฆญฺจา’’ติ? เตสํ เอตทโหสิ – ‘‘หนฺท มยํ กิญฺจิ อุปายํ กโรมา’’ติฯ เต ปจฺจนฺตํ กุปิตํ วิย การาเปสุํฯ ตโต ราชา ‘‘ปจฺจโนฺต กุปิโต’’ติ สุตฺวา ตโยปิ ปุเตฺต ปจฺจนฺตํ วูปสเมตุํ เปเสสิฯ เต คนฺตฺวา วูปสเมตฺวา อาคตาฯ ราชา ตุโฎฺฐ วรํ อทาสิ ‘‘ยํ อิจฺฉถ, ตํ คณฺหถา’’ติฯ เต ‘‘มยํ ภควนฺตํ อุปฎฺฐาตุํ อิจฺฉามา’’ติ อาหํสุฯ ราชา ‘‘เอตํ ฐเปตฺวา อญฺญํ คณฺหถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘มยํ อเญฺญน อนตฺถิกา’’ติ อาหํสุฯ เตน หิ ปริเจฺฉทํ กตฺวา คณฺหถาติฯ เต สตฺต วสฺสานิ ยาจิํสุฯ ราชา น อทาสิฯ เอวํ ‘‘ฉ, ปญฺจ, จตฺตาริ, ตีณิ, เทฺว, เอกํ, สตฺต มาเส, ฉ, ปญฺจ, จตฺตาโร’’ติ วตฺวา ยาว เตมาสํ ยาจิํสุฯ ตทา ราชา ‘‘คณฺหถา’’ติ อทาสิฯ

    Bhagavato kaniṭṭhabhātaro vemātikā tayo bhātaro cintesuṃ – ‘‘buddhā nāma sabbaloka hitatthāya uppajjanti, na ekasseva atthāya. Amhākañca pitā aññesaṃ okāsaṃ na deti. Kathaṃ nu kho mayaṃ labheyyāma bhagavantaṃ upaṭṭhātuṃ bhikkhusaṅghañcā’’ti? Tesaṃ etadahosi – ‘‘handa mayaṃ kiñci upāyaṃ karomā’’ti. Te paccantaṃ kupitaṃ viya kārāpesuṃ. Tato rājā ‘‘paccanto kupito’’ti sutvā tayopi putte paccantaṃ vūpasametuṃ pesesi. Te gantvā vūpasametvā āgatā. Rājā tuṭṭho varaṃ adāsi ‘‘yaṃ icchatha, taṃ gaṇhathā’’ti. Te ‘‘mayaṃ bhagavantaṃ upaṭṭhātuṃ icchāmā’’ti āhaṃsu. Rājā ‘‘etaṃ ṭhapetvā aññaṃ gaṇhathā’’ti āha. Te ‘‘mayaṃ aññena anatthikā’’ti āhaṃsu. Tena hi paricchedaṃ katvā gaṇhathāti. Te satta vassāni yāciṃsu. Rājā na adāsi. Evaṃ ‘‘cha, pañca, cattāri, tīṇi, dve, ekaṃ, satta māse, cha, pañca, cattāro’’ti vatvā yāva temāsaṃ yāciṃsu. Tadā rājā ‘‘gaṇhathā’’ti adāsi.

    เต ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา อาหํสุ – ‘‘อิจฺฉาม มยํ, ภเนฺต, ภควนฺตํ เตมาสํ อุปฎฺฐาตุํ, อธิวาเสตุ โน, ภเนฺต, ภควา อิมํ เตมาสํ วสฺสาวาส’’นฺติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ เต ตโย อตฺตโน ชนปเท นิยุตฺตกปุริสสฺส เลขํ เปเสสุํ ‘‘อิมํ เตมาสํ อเมฺหหิ ภควา อุปฎฺฐาตโพฺพ, วิหารํ อาทิํ กตฺวา สพฺพํ ภควโต อุปฎฺฐานสมฺภารํ สมฺปาเทหี’’ติฯ โส สพฺพํ สมฺปาเทตฺวา ปฎิเปเสสิฯ เต กาสายวตฺถนิวตฺถา หุตฺวา ปุริสสหเสฺสหิ เวยฺยาวจฺจกเรหิ ภควนฺตํ ภิกฺขุสงฺฆญฺจ สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐหมานา ชนปทํ เนตฺวา วิหารํ นิยฺยาเตตฺวา วสฺสํ วสาเปสุํฯ

    Te bhagavantaṃ upasaṅkamitvā āhaṃsu – ‘‘icchāma mayaṃ, bhante, bhagavantaṃ temāsaṃ upaṭṭhātuṃ, adhivāsetu no, bhante, bhagavā imaṃ temāsaṃ vassāvāsa’’nti. Adhivāsesi bhagavā tuṇhībhāvena. Te tayo attano janapade niyuttakapurisassa lekhaṃ pesesuṃ ‘‘imaṃ temāsaṃ amhehi bhagavā upaṭṭhātabbo, vihāraṃ ādiṃ katvā sabbaṃ bhagavato upaṭṭhānasambhāraṃ sampādehī’’ti. So sabbaṃ sampādetvā paṭipesesi. Te kāsāyavatthanivatthā hutvā purisasahassehi veyyāvaccakarehi bhagavantaṃ bhikkhusaṅghañca sakkaccaṃ upaṭṭhahamānā janapadaṃ netvā vihāraṃ niyyātetvā vassaṃ vasāpesuṃ.

    เตสํ ภณฺฑาคาริโก เอโก คหปติปุโตฺต สปชาปติโก สโทฺธ อโหสิ ปสโนฺนฯ โส พุทฺธปฺปมุขสฺส ภิกฺขุสงฺฆสฺส ทานวตฺตํ สกฺกจฺจํ อทาสิฯ ชนปเท นิยุตฺตกปุริโส ตํ คเหตฺวา ชานปเทหิ เอกาทสมเตฺตหิ ปุริสสหเสฺสหิ สทฺธิํ สกฺกจฺจเมว ทานํ ปวตฺตาเปสิฯ ตตฺถ เกจิ ชานปทา ปฎิหตจิตฺตา อเหสุํฯ เต ทานสฺส อนฺตรายํ กตฺวา เทยฺยธมฺมํ อตฺตนา ขาทิํสุ, ภตฺตสาลญฺจ อคฺคินา ทหิํสุฯ ปวาริตา ราชปุตฺตา ภควโต สกฺการํ กตฺวา ภควนฺตํ ปุรกฺขตฺวา ปิตุ สนฺติกเมว ปจฺจาคมิํสุฯ ตตฺถ คนฺตฺวา ภควา ปรินิพฺพายิฯ ราชปุตฺตา จ ชนปเท นิยุตฺตกปุริโส จ ภณฺฑาคาริโก จ อนุปุเพฺพน กาลํ กตฺวา สทฺธิํ ปริสาย สเคฺค อุปฺปชฺชิํสุ, ปฎิหตจิตฺตา ชนา นิรเย อุปฺปชฺชิํสุฯ เอวํ เตสํ อุภเยสํ ชนานํ สคฺคโต สคฺคํ นิรยโต นิรยํ อุปปชฺชนฺตานํ ทฺวานวุติกปฺปา วีติวตฺตาฯ

    Tesaṃ bhaṇḍāgāriko eko gahapatiputto sapajāpatiko saddho ahosi pasanno. So buddhappamukhassa bhikkhusaṅghassa dānavattaṃ sakkaccaṃ adāsi. Janapade niyuttakapuriso taṃ gahetvā jānapadehi ekādasamattehi purisasahassehi saddhiṃ sakkaccameva dānaṃ pavattāpesi. Tattha keci jānapadā paṭihatacittā ahesuṃ. Te dānassa antarāyaṃ katvā deyyadhammaṃ attanā khādiṃsu, bhattasālañca agginā dahiṃsu. Pavāritā rājaputtā bhagavato sakkāraṃ katvā bhagavantaṃ purakkhatvā pitu santikameva paccāgamiṃsu. Tattha gantvā bhagavā parinibbāyi. Rājaputtā ca janapade niyuttakapuriso ca bhaṇḍāgāriko ca anupubbena kālaṃ katvā saddhiṃ parisāya sagge uppajjiṃsu, paṭihatacittā janā niraye uppajjiṃsu. Evaṃ tesaṃ ubhayesaṃ janānaṃ saggato saggaṃ nirayato nirayaṃ upapajjantānaṃ dvānavutikappā vītivattā.

    อถ อิมสฺมิํ ภทฺทกเปฺป กสฺสปสฺส ภควโต กาเล เต ปฎิหตจิตฺตา ชนา เปเตสุ อุปฺปนฺนาฯ ตทา มนุสฺสา อตฺตโน อตฺตโน ญาตกานํ เปตานํ อตฺถาย ทานํ ทตฺวา อุทฺทิสนฺติ ‘‘อิทํ โน ญาตีนํ โหตู’’ติ, เต สมฺปตฺติํ ลภนฺติฯ อถ อิเมปิ เปตา ตํ ทิสฺวา กสฺสปํ สมฺมาสมฺพุทฺธํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิํสุ – ‘‘กิํ นุ โข, ภเนฺต, มยมฺปิ เอวรูปํ สมฺปตฺติํ ลเภยฺยามา’’ติ? ภควา อาห – ‘‘อิทานิ น ลภถ, อนาคเต ปน โคตโม นาม สมฺมาสมฺพุโทฺธ ภวิสฺสติ, ตสฺส ภควโต กาเล พิมฺพิสาโร นาม ราชา ภวิสฺสติ, โส ตุมฺหากํ อิโต ทฺวานวุติกเปฺป ญาติ อโหสิ, โส พุทฺธสฺส ทานํ ทตฺวา ตุมฺหากํ อุทฺทิสิสฺสติ, ตทา ลภิสฺสถา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต กิร เตสํ เปตานํ ตํ วจนํ ‘‘เสฺว ลภิสฺสถา’’ติ วุตฺตํ วิย อโหสิฯ

    Atha imasmiṃ bhaddakappe kassapassa bhagavato kāle te paṭihatacittā janā petesu uppannā. Tadā manussā attano attano ñātakānaṃ petānaṃ atthāya dānaṃ datvā uddisanti ‘‘idaṃ no ñātīnaṃ hotū’’ti, te sampattiṃ labhanti. Atha imepi petā taṃ disvā kassapaṃ sammāsambuddhaṃ upasaṅkamitvā pucchiṃsu – ‘‘kiṃ nu kho, bhante, mayampi evarūpaṃ sampattiṃ labheyyāmā’’ti? Bhagavā āha – ‘‘idāni na labhatha, anāgate pana gotamo nāma sammāsambuddho bhavissati, tassa bhagavato kāle bimbisāro nāma rājā bhavissati, so tumhākaṃ ito dvānavutikappe ñāti ahosi, so buddhassa dānaṃ datvā tumhākaṃ uddisissati, tadā labhissathā’’ti. Evaṃ vutte kira tesaṃ petānaṃ taṃ vacanaṃ ‘‘sve labhissathā’’ti vuttaṃ viya ahosi.

    ตโต เอกสฺมิํ พุทฺธนฺตเร วีติวเตฺต อมฺหากํ ภควา อุปฺปชฺชิฯ เตปิ ตโย ราชปุตฺตา ปุริสสหเสฺสน สทฺธิํ เทวโลกโต จวิตฺวา มคธรเฎฺฐ พฺราหฺมณกุเล อุปฺปชฺชิตฺวา อนุปุเพฺพน ตาปสปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา คยาสีเส ตโย ชฎิลา อเหสุํ, ชนปเท นิยุตฺตกปุริโส ราชา พิมฺพิสาโร อโหสิ, ภณฺฑาคาริโก คหปติปุโตฺต วิสาโข นาม เสฎฺฐิ อโหสิ, ตสฺส ปชาปติ ธมฺมทินฺนา นาม เสฎฺฐิธีตา อโหสิ, อวเสสา ปน ปริสา รโญฺญ เอว ปริวารา หุตฺวา นิพฺพตฺติํสุฯ

    Tato ekasmiṃ buddhantare vītivatte amhākaṃ bhagavā uppajji. Tepi tayo rājaputtā purisasahassena saddhiṃ devalokato cavitvā magadharaṭṭhe brāhmaṇakule uppajjitvā anupubbena tāpasapabbajjaṃ pabbajitvā gayāsīse tayo jaṭilā ahesuṃ, janapade niyuttakapuriso rājā bimbisāro ahosi, bhaṇḍāgāriko gahapatiputto visākho nāma seṭṭhi ahosi, tassa pajāpati dhammadinnā nāma seṭṭhidhītā ahosi, avasesā pana parisā rañño eva parivārā hutvā nibbattiṃsu.

    อมฺหากมฺปิ ภควา โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา สตฺตสตฺตาหํ อติกฺกมิตฺวา อนุปุเพฺพน พาราณสิํ อาคมฺม ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตตฺวา ปญฺจวคฺคิเย อาทิํ กตฺวา ยาว สหสฺสปริวาเร ตโย ชฎิเล วิเนตฺวา ราชคหํ อคมาสิฯ ตตฺถ จ ตทหุปสงฺกมนฺตํเยว ราชานํ พิมฺพิสารํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปสิ สทฺธิํ เอกาทสนหุเตหิ องฺคมคธวาสีหิ พฺราหฺมณคหปติเกหิฯ อถ รญฺญา สฺวาตนาย ภเตฺตน นิมนฺติโต อธิวาเสตฺวา ทุติยทิวเส มาณวกวเณฺณน สเกฺกน เทวานมิเนฺทน ปุรโต คจฺฉเนฺตน –

    Amhākampi bhagavā loke uppajjitvā sattasattāhaṃ atikkamitvā anupubbena bārāṇasiṃ āgamma dhammacakkaṃ pavattetvā pañcavaggiye ādiṃ katvā yāva sahassaparivāre tayo jaṭile vinetvā rājagahaṃ agamāsi. Tattha ca tadahupasaṅkamantaṃyeva rājānaṃ bimbisāraṃ sotāpattiphale patiṭṭhāpesi saddhiṃ ekādasanahutehi aṅgamagadhavāsīhi brāhmaṇagahapatikehi. Atha raññā svātanāya bhattena nimantito adhivāsetvā dutiyadivase māṇavakavaṇṇena sakkena devānamindena purato gacchantena –

    ‘‘ทโนฺต ทเนฺตหิ สห ปุราณชฎิเลหิ, วิปฺปมุโตฺต วิปฺปมุเตฺตหิ;

    ‘‘Danto dantehi saha purāṇajaṭilehi, vippamutto vippamuttehi;

    สิงฺคีนิกฺขสวโณฺณ, ราชคหํ ปาวิสิ ภควา’’ติฯ (มหาว. ๕๘) –

    Siṅgīnikkhasavaṇṇo, rājagahaṃ pāvisi bhagavā’’ti. (mahāva. 58) –

    เอวมาทีหิ คาถาหิ อภิตฺถวิยมาโน ราชคหํ ปวิสิตฺวา รโญฺญ นิเวสเน มหาทานํ สมฺปฎิจฺฉิฯ เต ปน เปตา ‘‘อิทานิ ราชา ทานํ อมฺหากํ อุทฺทิสิสฺสติ, อิทานิ อุทฺทิสิสฺสตี’’ติ อาสาย สมฺปริวาเรตฺวา อฎฺฐํสุฯ

    Evamādīhi gāthāhi abhitthaviyamāno rājagahaṃ pavisitvā rañño nivesane mahādānaṃ sampaṭicchi. Te pana petā ‘‘idāni rājā dānaṃ amhākaṃ uddisissati, idāni uddisissatī’’ti āsāya samparivāretvā aṭṭhaṃsu.

    ราชา ทานํ ทตฺวา ‘‘กตฺถ นุ โข ภควา วิหเรยฺยา’’ติ ภควโต วิหารฎฺฐานเมว จิเนฺตสิ, น ตํ ทานํ กสฺสจิ อุทฺทิสิฯ ตถา ตํ ทานํ อลภนฺตา เปตา ฉินฺนาสา หุตฺวา รตฺติยํ รโญฺญ นิเวสเน อติวิย ภิํสนกํ วิสฺสรมกํสุฯ ราชา ภยสนฺตาสสํเวคํ อาปชฺชิตฺวา วิภาตาย รตฺติยา ภควโต อาโรเจหิ – ‘‘เอวรูปํ สทฺทํ อโสฺสสิํ, กิํ นุ โข เม, ภเนฺต, ภวิสฺสตี’’ติ? ภควา ‘‘มา ภายิ, มหาราช, น เต กิญฺจิ ปาปกํ ภวิสฺสติ, อปิจ โข สนฺติ เต ปุราณญาตกา เปเตสุ อุปฺปนฺนาฯ เต เอกํ พุทฺธนฺตรํ ตเมว ปจฺจาสีสนฺตา ‘พุทฺธสฺส ทานํ ทตฺวา อมฺหากํ อุทฺทิสิสฺสตี’ติ วิจรนฺตา ตยา หิโยฺย ทานํ ทตฺวา น อุทฺทิสิตตฺตา ฉินฺนาสา หุตฺวา ตถารูปํ วิสฺสรมกํสู’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ อิทานิปิ, ภเนฺต, ทิเนฺน เต ลเภยฺยุ’’นฺติ? ‘‘อาม, มหาราชา’’ติฯ ‘‘เตน หิ, ภเนฺต, อธิวาเสตุ เม ภควา อชฺชตนาย ทานํ, เตสํ อุทฺทิสิสฺสามี’’ติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ

    Rājā dānaṃ datvā ‘‘kattha nu kho bhagavā vihareyyā’’ti bhagavato vihāraṭṭhānameva cintesi, na taṃ dānaṃ kassaci uddisi. Tathā taṃ dānaṃ alabhantā petā chinnāsā hutvā rattiyaṃ rañño nivesane ativiya bhiṃsanakaṃ vissaramakaṃsu. Rājā bhayasantāsasaṃvegaṃ āpajjitvā vibhātāya rattiyā bhagavato ārocehi – ‘‘evarūpaṃ saddaṃ assosiṃ, kiṃ nu kho me, bhante, bhavissatī’’ti? Bhagavā ‘‘mā bhāyi, mahārāja, na te kiñci pāpakaṃ bhavissati, apica kho santi te purāṇañātakā petesu uppannā. Te ekaṃ buddhantaraṃ tameva paccāsīsantā ‘buddhassa dānaṃ datvā amhākaṃ uddisissatī’ti vicarantā tayā hiyyo dānaṃ datvā na uddisitattā chinnāsā hutvā tathārūpaṃ vissaramakaṃsū’’ti āha. ‘‘Kiṃ idānipi, bhante, dinne te labheyyu’’nti? ‘‘Āma, mahārājā’’ti. ‘‘Tena hi, bhante, adhivāsetu me bhagavā ajjatanāya dānaṃ, tesaṃ uddisissāmī’’ti. Adhivāsesi bhagavā tuṇhībhāvena.

    ราชา นิเวสนํ คนฺตฺวา มหาทานํ ปฎิยาทาเปตฺวา ภควโต กาลํ อาโรจาเปสิ ฯ ภควา ราชเนฺตปุรํ คนฺตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิ สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆนฯ เต เปตา ‘‘อปิ นาม อชฺช ลเภยฺยามา’’ติ คนฺตฺวา ติโรกุฎฺฎาทีสุ อฎฺฐํสุฯ ภควา ตถา อกาสิ, ยถา เต สเพฺพว รโญฺญ อาปาถํ คตา อเหสุํฯ ราชา ทกฺขิโณทกํ เทโนฺต ‘‘อิทํ เม ญาตีนํ โหตู’’ติ อุทฺทิสิฯ ตาวเทว เปตานํ กมลกุวลยสญฺฉนฺนา โปกฺขรณิโย นิพฺพตฺติํสุฯ เต ตตฺถ นฺหตฺวา จ ปิวิตฺวา จ ปฎิปฺปสฺสทฺธทรถกิลมถปิปาสา สุวณฺณวณฺณา อเหสุํฯ ราชา ยาคุขชฺชโภชฺชานิ ทตฺวา อุทฺทิสิฯ เตสํ ตงฺขณเญฺญว ทิพฺพยาคุขชฺชโภชฺชานิ นิพฺพตฺติํสุฯ เต ตานิ ปริภุญฺชิตฺวา ปีณินฺทฺริยา อเหสุํฯ อถ วตฺถเสนาสนานิ ทตฺวา อุทฺทิสิฯ เตสํ ทิพฺพวตฺถปาสาทปจฺจตฺถรณเสยฺยาทิอลงฺการวิธโย นิพฺพตฺติํสุฯ สา จ เตสํ สมฺปตฺติ สพฺพาปิ ยถา รโญฺญ ปากฎา โหติ, ตถา ภควา อธิฎฺฐาสิฯ ราชา ตํ ทิสฺวา อติวิย อตฺตมโน อโหสิฯ ตโต ภควา ภุตฺตาวี ปวาริโต รโญฺญ พิมฺพิสารสฺส อนุโมทนตฺถํ ติโรกุฎฺฎเปตวตฺถุํ อภาสิ –

    Rājā nivesanaṃ gantvā mahādānaṃ paṭiyādāpetvā bhagavato kālaṃ ārocāpesi . Bhagavā rājantepuraṃ gantvā paññatte āsane nisīdi saddhiṃ bhikkhusaṅghena. Te petā ‘‘api nāma ajja labheyyāmā’’ti gantvā tirokuṭṭādīsu aṭṭhaṃsu. Bhagavā tathā akāsi, yathā te sabbeva rañño āpāthaṃ gatā ahesuṃ. Rājā dakkhiṇodakaṃ dento ‘‘idaṃ me ñātīnaṃ hotū’’ti uddisi. Tāvadeva petānaṃ kamalakuvalayasañchannā pokkharaṇiyo nibbattiṃsu. Te tattha nhatvā ca pivitvā ca paṭippassaddhadarathakilamathapipāsā suvaṇṇavaṇṇā ahesuṃ. Rājā yāgukhajjabhojjāni datvā uddisi. Tesaṃ taṅkhaṇaññeva dibbayāgukhajjabhojjāni nibbattiṃsu. Te tāni paribhuñjitvā pīṇindriyā ahesuṃ. Atha vatthasenāsanāni datvā uddisi. Tesaṃ dibbavatthapāsādapaccattharaṇaseyyādialaṅkāravidhayo nibbattiṃsu. Sā ca tesaṃ sampatti sabbāpi yathā rañño pākaṭā hoti, tathā bhagavā adhiṭṭhāsi. Rājā taṃ disvā ativiya attamano ahosi. Tato bhagavā bhuttāvī pavārito rañño bimbisārassa anumodanatthaṃ tirokuṭṭapetavatthuṃ abhāsi –

    ๑๔.

    14.

    ‘‘ติโรกุเฎฺฎสุ ติฎฺฐนฺติ, สนฺธิสิงฺฆาฎเกสุ จ;

    ‘‘Tirokuṭṭesu tiṭṭhanti, sandhisiṅghāṭakesu ca;

    ทฺวารพาหาสุ ติฎฺฐนฺติ, อาคนฺตฺวาน สกํ ฆรํฯ

    Dvārabāhāsu tiṭṭhanti, āgantvāna sakaṃ gharaṃ.

    ๑๕.

    15.

    ‘‘ปหูเต อนฺนปานมฺหิ, ขชฺชโภเชฺช อุปฎฺฐิเต;

    ‘‘Pahūte annapānamhi, khajjabhojje upaṭṭhite;

    น เตสํ โกจิ สรติ, สตฺตานํ กมฺมปจฺจยาฯ

    Na tesaṃ koci sarati, sattānaṃ kammapaccayā.

    ๑๖.

    16.

    ‘‘เอวํ ททนฺติ ญาตีนํ, เย โหนฺติ อนุกมฺปกา;

    ‘‘Evaṃ dadanti ñātīnaṃ, ye honti anukampakā;

    สุจิํ ปณีตํ กาเลน, กปฺปิยํ ปานโภชนํฯ

    Suciṃ paṇītaṃ kālena, kappiyaṃ pānabhojanaṃ.

    ๑๗.

    17.

    ‘‘อิทํ โว ญาตีนํ โหตุ, สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย;

    ‘‘Idaṃ vo ñātīnaṃ hotu, sukhitā hontu ñātayo;

    เต จ ตตฺถ สมาคนฺตฺวา, ญาติเปตา สมาคตา;

    Te ca tattha samāgantvā, ñātipetā samāgatā;

    ปหูเต อนฺนปานมฺหิ, สกฺกจฺจํ อนุโมทเรฯ

    Pahūte annapānamhi, sakkaccaṃ anumodare.

    ๑๘.

    18.

    ‘‘จิรํ ชีวนฺตุ โน ญาตี, เยสํ เหตุ ลภามเส;

    ‘‘Ciraṃ jīvantu no ñātī, yesaṃ hetu labhāmase;

    อมฺหากญฺจ กตา ปูชา, ทายกา จ อนิปฺผลาฯ

    Amhākañca katā pūjā, dāyakā ca anipphalā.

    ๑๙.

    19.

    ‘‘น หิ ตตฺถ กสิ อตฺถิ, โครเกฺขตฺถ น วิชฺชติ;

    ‘‘Na hi tattha kasi atthi, gorakkhettha na vijjati;

    วณิชฺชา ตาทิสี นตฺถิ, หิรเญฺญน กยากยํ;

    Vaṇijjā tādisī natthi, hiraññena kayākayaṃ;

    อิโต ทิเนฺนน ยาเปนฺติ, เปตา กาลคตา ตหิํฯ

    Ito dinnena yāpenti, petā kālagatā tahiṃ.

    ๒๐.

    20.

    ‘‘อุนฺนเม อุทกํ วุฎฺฐํ, ยถา นินฺนํ ปวตฺตติ;

    ‘‘Unname udakaṃ vuṭṭhaṃ, yathā ninnaṃ pavattati;

    เอวเมว อิโต ทินฺนํ, เปตานํ อุปกปฺปติฯ

    Evameva ito dinnaṃ, petānaṃ upakappati.

    ๒๑.

    21.

    ‘‘ยถา วาริวหา ปูรา, ปริปูเรนฺติ สาครํ;

    ‘‘Yathā vārivahā pūrā, paripūrenti sāgaraṃ;

    เอวเมว อิโต ทินฺนํ, เปตานํ อุปกปฺปติฯ

    Evameva ito dinnaṃ, petānaṃ upakappati.

    ๒๒.

    22.

    ‘‘อทาสิ เม อกาสิ เม, ญาติมิตฺตา สขา จ เม;

    ‘‘Adāsi me akāsi me, ñātimittā sakhā ca me;

    เปตานํ ทกฺขิณํ ทชฺชา, ปุเพฺพ กตมนุสฺสรํฯ

    Petānaṃ dakkhiṇaṃ dajjā, pubbe katamanussaraṃ.

    ๒๓.

    23.

    ‘‘น หิ รุณฺณํ วา โสโก วา, ยา จญฺญา ปริเทวนา;

    ‘‘Na hi ruṇṇaṃ vā soko vā, yā caññā paridevanā;

    น ตํ เปตานมตฺถาย, เอวํ ติฎฺฐนฺติ ญาตโยฯ

    Na taṃ petānamatthāya, evaṃ tiṭṭhanti ñātayo.

    ๒๔.

    24.

    ‘‘อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา, สงฺฆมฺหิ สุปฺปติฎฺฐิตา;

    ‘‘Ayañca kho dakkhiṇā dinnā, saṅghamhi suppatiṭṭhitā;

    ทีฆรตฺตํ หิตายสฺส, ฐานโส อุปกปฺปติฯ

    Dīgharattaṃ hitāyassa, ṭhānaso upakappati.

    ๒๕.

    25.

    ‘‘โส ญาติธโมฺม จ อยํ นิทสฺสิโต, เปตาน ปูชา จ กตา อุฬารา;

    ‘‘So ñātidhammo ca ayaṃ nidassito, petāna pūjā ca katā uḷārā;

    พลญฺจ ภิกฺขูนมนุปฺปทินฺนํ, ตุเมฺหหิ ปุญฺญํ ปหุตํ อนปฺปก’’นฺติฯ

    Balañca bhikkhūnamanuppadinnaṃ, tumhehi puññaṃ pahutaṃ anappaka’’nti.

    ๑๔. ตตฺถ ติโรกุเฎฺฎสูติ กุฎฺฎานํ ปรภาเคสุฯ ติฎฺฐนฺตีติ นิสชฺชาทิปฎิเกฺขปโต ฐานกปฺปนวจนเมตํ, เคหปาการกุฎฺฎานํ ทฺวารโต พหิ เอว ติฎฺฐนฺตีติ อโตฺถฯ สนฺธิสิงฺฆาฎเกสุ จาติ สนฺธีสุ จ สิงฺฆาฎเกสุ จฯ สนฺธีติ จตุโกฺกณรจฺฉา, ฆรสนฺธิภิตฺติสนฺธิอาโลกสนฺธิโยปิ วุจฺจนฺติฯ สิงฺฆาฎกาติ ติโกณรจฺฉาฯ ทฺวารพาหาสุ ติฎฺฐนฺตีติ นครทฺวารฆรทฺวารานํ พาหา นิสฺสาย ติฎฺฐนฺติฯ อาคนฺตฺวาน สกํ ฆรนฺติ สกฆรํ นาม ปุพฺพญาติฆรมฺปิ อตฺตนา สามิภาเวน อชฺฌาวุตฺถฆรมฺปิ, ตทุภยมฺปิ เต ยสฺมา สกฆรสญฺญาย อาคจฺฉนฺติ, ตสฺมา ‘‘อาคนฺตฺวาน สกํ ฆร’’นฺติ อาหฯ

    14. Tattha tirokuṭṭesūti kuṭṭānaṃ parabhāgesu. Tiṭṭhantīti nisajjādipaṭikkhepato ṭhānakappanavacanametaṃ, gehapākārakuṭṭānaṃ dvārato bahi eva tiṭṭhantīti attho. Sandhisiṅghāṭakesu cāti sandhīsu ca siṅghāṭakesu ca. Sandhīti catukkoṇaracchā, gharasandhibhittisandhiālokasandhiyopi vuccanti. Siṅghāṭakāti tikoṇaracchā. Dvārabāhāsu tiṭṭhantīti nagaradvāragharadvārānaṃ bāhā nissāya tiṭṭhanti. Āgantvāna sakaṃ gharanti sakagharaṃ nāma pubbañātigharampi attanā sāmibhāvena ajjhāvutthagharampi, tadubhayampi te yasmā sakagharasaññāya āgacchanti, tasmā ‘‘āgantvāna sakaṃ ghara’’nti āha.

    ๑๕. เอวํ ภควา ปุเพฺพ อนชฺฌาวุตฺถปุพฺพมฺปิ ปุพฺพญาติฆรตฺตา พิมฺพิสารนิเวสนํ สกฆรสญฺญาย อาคนฺตฺวา ติโรกุฎฺฎาทีสุ ฐิเต อิสฺสามจฺฉริยผลํ อนุภวเนฺต อติวิย ทุทฺทสิกวิรูปภยานกทสฺสเน พหู เปเต รโญฺญ ทเสฺสโนฺต ‘‘ติโรกุเฎฺฎสุ ติฎฺฐนฺตี’’ติ คาถํ วตฺวา ปุน เตหิ กตสฺส กมฺมสฺส ทารุณภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปหูเต อนฺนปานมฺหี’’ติ ทุติยคาถมาหฯ

    15. Evaṃ bhagavā pubbe anajjhāvutthapubbampi pubbañātigharattā bimbisāranivesanaṃ sakagharasaññāya āgantvā tirokuṭṭādīsu ṭhite issāmacchariyaphalaṃ anubhavante ativiya duddasikavirūpabhayānakadassane bahū pete rañño dassento ‘‘tirokuṭṭesu tiṭṭhantī’’ti gāthaṃ vatvā puna tehi katassa kammassa dāruṇabhāvaṃ dassento ‘‘pahūte annapānamhī’’ti dutiyagāthamāha.

    ตตฺถ ปหูเตติ อนปฺปเก พหุมฺหิ, ยาวทเตฺถติ อโตฺถ ฯ พ-การสฺส หิ ป-กาโร ลพฺภติ ‘‘ปหุ สโนฺต น ภรตี’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๙๘) วิยฯ เกจิ ปน ‘‘พหุเก’’ติ ปฐนฺติ, โส ปน ปมาทปาโฐฯ อนฺนปานมฺหีติ อเนฺน จ ปาเน จฯ ขชฺชโภเชฺชติ ขเชฺช จ โภเชฺช จฯ เอเตน อสิตปีตขายิตสายิตวเสน จตุพฺพิธมฺปิ อาหารํ ทเสฺสติฯ อุปฎฺฐิเตติ อุปคมฺม ฐิเต สชฺชิเต, ปฎิยเตฺตติ อโตฺถฯ น เตสํ โกจิ สรติ สตฺตานนฺติ เตสํ เปตฺติวิสเย อุปฺปนฺนานํ สตฺตานํ โกจิ มาตา วา ปิตา วา ปุโตฺต วา นตฺตา วา น สรติฯ กิํ การณา? กมฺมปจฺจยาติ, อตฺตนา กตสฺส อทานทานปฎิเสธนาทิเภทสฺส กทริยกมฺมสฺส การณภาวโตฯ ตญฺหิ กมฺมํ เตสํ ญาตีนํ สริตุํ น เทติฯ

    Tattha pahūteti anappake bahumhi, yāvadattheti attho . Ba-kārassa hi pa-kāro labbhati ‘‘pahu santo na bharatī’’tiādīsu (su. ni. 98) viya. Keci pana ‘‘bahuke’’ti paṭhanti, so pana pamādapāṭho. Annapānamhīti anne ca pāne ca. Khajjabhojjeti khajje ca bhojje ca. Etena asitapītakhāyitasāyitavasena catubbidhampi āhāraṃ dasseti. Upaṭṭhiteti upagamma ṭhite sajjite, paṭiyatteti attho. Na tesaṃ koci sarati sattānanti tesaṃ pettivisaye uppannānaṃ sattānaṃ koci mātā vā pitā vā putto vā nattā vā na sarati. Kiṃ kāraṇā? Kammapaccayāti, attanā katassa adānadānapaṭisedhanādibhedassa kadariyakammassa kāraṇabhāvato. Tañhi kammaṃ tesaṃ ñātīnaṃ sarituṃ na deti.

    ๑๖. เอวํ ภควา อนปฺปเกปิ อนฺนปานาทิมฺหิ วิชฺชมาเน ญาตีนํ ปจฺจาสีสนฺตานํ เปตานํ กมฺมผเลน ญาตกานํ อนุสฺสรณมตฺตสฺสาปิ อภาวํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ เปตฺติวิสยุปปเนฺน ญาตเก อุทฺทิสฺส รญฺญา ทินฺนทานํ ปสํสโนฺต ‘‘เอวํ ททนฺติ ญาตีน’’นฺติ ตติยคาถมาหฯ

    16. Evaṃ bhagavā anappakepi annapānādimhi vijjamāne ñātīnaṃ paccāsīsantānaṃ petānaṃ kammaphalena ñātakānaṃ anussaraṇamattassāpi abhāvaṃ dassetvā idāni pettivisayupapanne ñātake uddissa raññā dinnadānaṃ pasaṃsanto ‘‘evaṃ dadanti ñātīna’’nti tatiyagāthamāha.

    ตตฺถ เอวนฺติ อุปมาวจนํฯ ตสฺส ทฺวิธา สมฺพโนฺธ – เตสํ สตฺตานํ กมฺมปจฺจยา อสรเนฺตสุปิ เกสุจิ เกจิ ททนฺติ ญาตีนํ, เย เอวํ อนุกมฺปกา โหนฺตีติ จ, มหาราช, ยถา ตยา ทินฺนํ, เอวํ สุจิํ ปณีตํ กาเลน กปฺปิยํ ปานโภชนํ ททนฺติ ญาตีนํ, เย โหนฺติ อนุกมฺปกาติ จฯ ตตฺถ ททนฺตีติ เทนฺติ อุทฺทิสนฺติ นิยฺยาเตนฺติฯ ญาตีนนฺติ มาติโต จ ปิติโต จ สมฺพนฺธานํฯ เยติ เย เกจิ ปุตฺตาทโยฯ โหนฺตีติ ภวนฺติฯ อนุกมฺปกาติ อตฺถกามา หิเตสิโนฯ สุจินฺติ สุทฺธํ มโนหรํ ธมฺมิกญฺจฯ ปณีตนฺติ อุฬารํฯ กาเลนาติ ทกฺขิเณยฺยานํ ปริโภคโยคฺคกาเลน, ญาติเปตานํ วา ติโรกุฎฺฎาทีสุ อาคนฺตฺวา ฐิตกาเลนฯ กปฺปิยนฺติ อนุจฺฉวิกํ ปติรูปํ อริยานํ ปริโภคารหํฯ ปานโภชนนฺติ ปานญฺจ โภชนญฺจ, ตทุปเทเสน เจตฺถ สพฺพํ เทยฺยธมฺมํ วทติฯ

    Tattha evanti upamāvacanaṃ. Tassa dvidhā sambandho – tesaṃ sattānaṃ kammapaccayā asarantesupi kesuci keci dadanti ñātīnaṃ, ye evaṃ anukampakā hontīti ca, mahārāja, yathā tayā dinnaṃ, evaṃ suciṃ paṇītaṃ kālena kappiyaṃ pānabhojanaṃ dadanti ñātīnaṃ, ye honti anukampakāti ca. Tattha dadantīti denti uddisanti niyyātenti. Ñātīnanti mātito ca pitito ca sambandhānaṃ. Yeti ye keci puttādayo. Hontīti bhavanti. Anukampakāti atthakāmā hitesino. Sucinti suddhaṃ manoharaṃ dhammikañca. Paṇītanti uḷāraṃ. Kālenāti dakkhiṇeyyānaṃ paribhogayoggakālena, ñātipetānaṃ vā tirokuṭṭādīsu āgantvā ṭhitakālena. Kappiyanti anucchavikaṃ patirūpaṃ ariyānaṃ paribhogārahaṃ. Pānabhojananti pānañca bhojanañca, tadupadesena cettha sabbaṃ deyyadhammaṃ vadati.

    ๑๗. อิทานิ เยน ปกาเรน เตสํ เปตานํ ทินฺนํ นาม โหติ, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิทํ โว ญาตีนํ โหตุ, สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย’’ติ จตุตฺถคาถาย ปุพฺพฑฺฒํ อาหฯ ตํ ตติยคาถาย ปุพฺพเฑฺฒน สมฺพนฺธิตพฺพํ –

    17. Idāni yena pakārena tesaṃ petānaṃ dinnaṃ nāma hoti, taṃ dassento ‘‘idaṃ vo ñātīnaṃ hotu, sukhitā hontu ñātayo’’ti catutthagāthāya pubbaḍḍhaṃ āha. Taṃ tatiyagāthāya pubbaḍḍhena sambandhitabbaṃ –

    ‘‘เอวํ ททนฺติ ญาตีนํ, เย โหนฺติ อนุกมฺปกา;

    ‘‘Evaṃ dadanti ñātīnaṃ, ye honti anukampakā;

    อิทํ โว ญาตีนํ โหตุ, สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย’’ติฯ

    Idaṃ vo ñātīnaṃ hotu, sukhitā hontu ñātayo’’ti.

    เตน ‘‘อิทํ โว ญาตีนํ โหตูติ เอวํ ปกาเรน ททนฺติ, โน อญฺญถา’’ติ อาการเตฺถน เอวํสเทฺทน ทาตพฺพาการนิทสฺสนํ กตํ โหติฯ

    Tena ‘‘idaṃ vo ñātīnaṃ hotūti evaṃ pakārena dadanti, no aññathā’’ti ākāratthena evaṃsaddena dātabbākāranidassanaṃ kataṃ hoti.

    ตตฺถ อิทนฺติ เทยฺยธมฺมนิทสฺสนํฯ โวติ นิปาตมตฺตํ ‘‘เยหิ โว อริยา’’ติอาทีสุ (ม. นิ. ๑.๓๖) วิยฯ ญาตีนํ โหตูติ เปตฺติวิสเย อุปฺปนฺนานํ ญาตกานํ โหตุฯ ‘‘โน ญาตีน’’นฺติ จ ปฐนฺติ, อมฺหากํ ญาตีนนฺติ อโตฺถฯ สุขิตา โหนฺตุ ญาตโยติ เต เปตฺติวิสยูปปนฺนา ญาตโย อิทํ ผลํ ปจฺจนุภวนฺตา สุขิตา สุขปฺปตฺตา โหนฺตุฯ

    Tattha idanti deyyadhammanidassanaṃ. Voti nipātamattaṃ ‘‘yehi vo ariyā’’tiādīsu (ma. ni. 1.36) viya. Ñātīnaṃ hotūti pettivisaye uppannānaṃ ñātakānaṃ hotu. ‘‘No ñātīna’’nti ca paṭhanti, amhākaṃ ñātīnanti attho. Sukhitā hontu ñātayoti te pettivisayūpapannā ñātayo idaṃ phalaṃ paccanubhavantā sukhitā sukhappattā hontu.

    ยสฺมา ‘‘อิทํ โว ญาตีนํ โหตู’’ติ วุเตฺตปิ อเญฺญน กตกมฺมํ น อญฺญสฺส ผลทํ โหติ , เกวลํ ปน ตถา อุทฺทิสฺส ทียมานํ ตํ วตฺถุ ญาติเปตานํ กุสลกมฺมสฺส ปจฺจโย โหติ, ตสฺมา ยถา เตสํ ตสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ ตสฺมิํเยว ขเณ ผลนิพฺพตฺตกํ กุสลกมฺมํ โหติ, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เต จ ตโตฺถ’’ติอาทิมาหฯ

    Yasmā ‘‘idaṃ vo ñātīnaṃ hotū’’ti vuttepi aññena katakammaṃ na aññassa phaladaṃ hoti , kevalaṃ pana tathā uddissa dīyamānaṃ taṃ vatthu ñātipetānaṃ kusalakammassa paccayo hoti, tasmā yathā tesaṃ tasmiṃ vatthusmiṃ tasmiṃyeva khaṇe phalanibbattakaṃ kusalakammaṃ hoti, taṃ dassento ‘‘te ca tattho’’tiādimāha.

    ตตฺถ เตติ ญาติเปตาฯ ตตฺถาติ ยตฺถ ทานํ ทียติ, ตตฺถฯ สมาคนฺตฺวาติ ‘‘อิเม โน ญาตโย อมฺหากํ อตฺถาย ทานํ อุทฺทิสนฺตี’’ติ อนุโมทนตฺถํ ตตฺถ สมาคตา หุตฺวาฯ ปหูเต อนฺนปานมฺหีติ อตฺตโน อุทฺทิสฺส ทียมาเน ตสฺมิํ วตฺถุสฺมิํฯ สกฺกจฺจํ อนุโมทเรติ กมฺมผลํ อภิสทฺทหนฺตา จิตฺตีการํ อวิชหนฺตา อวิกฺขิตฺตจิตฺตา หุตฺวา ‘‘อิทํ โน ทานํ หิตาย สุขาย โหตู’’ติ โมทนฺติ อนุโมทนฺติ ปีติโสมนสฺสชาตา โหนฺติฯ

    Tattha teti ñātipetā. Tatthāti yattha dānaṃ dīyati, tattha. Samāgantvāti ‘‘ime no ñātayo amhākaṃ atthāya dānaṃ uddisantī’’ti anumodanatthaṃ tattha samāgatā hutvā. Pahūte annapānamhīti attano uddissa dīyamāne tasmiṃ vatthusmiṃ. Sakkaccaṃ anumodareti kammaphalaṃ abhisaddahantā cittīkāraṃ avijahantā avikkhittacittā hutvā ‘‘idaṃ no dānaṃ hitāya sukhāya hotū’’ti modanti anumodanti pītisomanassajātā honti.

    ๑๘. จิรํ ชีวนฺตูติ จิรํ ชีวิโน ทีฆายุกา โหนฺตุฯ โน ญาตีติ อมฺหากํ ญาตกาฯ เยสํ เหตูติ เยสํ การณา เย นิสฺสายฯ ลภามเสติ อีทิสํ สมฺปตฺติํ ปฎิลภามฯ อิทญฺหิ อุทฺทิสเนน ลทฺธสมฺปตฺติํ อนุภวนฺตานํ เปตานํ อตฺตโน ญาตีนํ โถมนาการทสฺสนํฯ เปตานญฺหิ อตฺตโน อนุโมทเนน, ทายกานํ อุทฺทิสเนน, อุกฺขิเณยฺยสมฺปตฺติยา จาติ ตีหิ อเงฺคหิ ทกฺขิณา ตงฺขณเญฺญว ผลนิพฺพตฺติกา โหติฯ ตตฺถ ทายกา วิเสสเหตุฯ เตนาห ‘‘เยสํ เหตุ ลภามเส’’ติฯ อมฺหากญฺจ กตา ปูชาติ ‘‘อิทํ โว ญาตีนํ โหตู’’ติ เอวํ อุทฺทิสเนฺตหิ ทายเกหิ อมฺหากญฺจ ปูชา กตา, เต ทายกา จ อนิปฺผลา ยสฺมิํ สนฺตาเน ปริจฺจาคมยํ กมฺมํ นิพฺพตฺตํ ตสฺส ตเตฺถว ผลทานโตฯ

    18.Ciraṃ jīvantūti ciraṃ jīvino dīghāyukā hontu. No ñātīti amhākaṃ ñātakā. Yesaṃ hetūti yesaṃ kāraṇā ye nissāya. Labhāmaseti īdisaṃ sampattiṃ paṭilabhāma. Idañhi uddisanena laddhasampattiṃ anubhavantānaṃ petānaṃ attano ñātīnaṃ thomanākāradassanaṃ. Petānañhi attano anumodanena, dāyakānaṃ uddisanena, ukkhiṇeyyasampattiyā cāti tīhi aṅgehi dakkhiṇā taṅkhaṇaññeva phalanibbattikā hoti. Tattha dāyakā visesahetu. Tenāha ‘‘yesaṃ hetu labhāmase’’ti. Amhākañca katā pūjāti ‘‘idaṃ vo ñātīnaṃ hotū’’ti evaṃ uddisantehi dāyakehi amhākañca pūjā katā, te dāyakā ca anipphalā yasmiṃ santāne pariccāgamayaṃ kammaṃ nibbattaṃ tassa tattheva phaladānato.

    เอตฺถาห – ‘‘กิํ ปน เปตฺติวิสยูปปนฺนา เอว ญาตี เหตุสมฺปตฺติโย ลภนฺติ, อุทาหุ อเญฺญปี’’ติ? น เจตฺถ อเมฺหหิ วตฺตพฺพํ, อตฺถิ ภควตา เอวํ พฺยากตตฺตาฯ วุตฺตเญฺหตํ –-

    Etthāha – ‘‘kiṃ pana pettivisayūpapannā eva ñātī hetusampattiyo labhanti, udāhu aññepī’’ti? Na cettha amhehi vattabbaṃ, atthi bhagavatā evaṃ byākatattā. Vuttañhetaṃ –-

    ‘‘มยมสฺสุ, โภ โคตม, พฺราหฺมณา นาม ทานานิ เทม, ปุญฺญานิ กโรม ‘อิทํ ทานํ เปตานํ ญาติสาโลหิตานํ อุปกปฺปตุ, อิทํ ทานํ เปตา ญาติสาโลหิตา ปริภุญฺชนฺตู’ติฯ กจฺจิ ตํ, โภ โคตม, ทานํ เปตานํ ญาติสาโลหิตานํ อุปกปฺปติ , กจฺจิ เต เปตา ญาติสาโลหิตา ตํ ทานํ ปริภุญฺชนฺตีติ? ฐาเน โข, พฺราหฺมณ, อุปกปฺปติ, โน อฎฺฐาเนติฯ

    ‘‘Mayamassu, bho gotama, brāhmaṇā nāma dānāni dema, puññāni karoma ‘idaṃ dānaṃ petānaṃ ñātisālohitānaṃ upakappatu, idaṃ dānaṃ petā ñātisālohitā paribhuñjantū’ti. Kacci taṃ, bho gotama, dānaṃ petānaṃ ñātisālohitānaṃ upakappati , kacci te petā ñātisālohitā taṃ dānaṃ paribhuñjantīti? Ṭhāne kho, brāhmaṇa, upakappati, no aṭṭhāneti.

    ‘‘กตมํ ปน, โภ โคตม, ฐานํ, กตมํ อฎฺฐานนฺติ? อิธ, พฺราหฺมณ, เอกโจฺจ ปาณาติปาตี โหติ…เป.… มิจฺฉาทิฎฺฐิโก โหติ, โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา นิรยํ อุปปชฺชติฯ โย เนรยิกานํ สตฺตานํ อาหาโร, เตน โส ตตฺถ ยาเปติ, เตน โส ตตฺถ ติฎฺฐติฯ อิทํ โข, พฺราหฺมณ, อฎฺฐานํ, ยตฺถ ฐิตสฺส ตํ ทานํ น อุปกปฺปติฯ

    ‘‘Katamaṃ pana, bho gotama, ṭhānaṃ, katamaṃ aṭṭhānanti? Idha, brāhmaṇa, ekacco pāṇātipātī hoti…pe… micchādiṭṭhiko hoti, so kāyassa bhedā paraṃ maraṇā nirayaṃ upapajjati. Yo nerayikānaṃ sattānaṃ āhāro, tena so tattha yāpeti, tena so tattha tiṭṭhati. Idaṃ kho, brāhmaṇa, aṭṭhānaṃ, yattha ṭhitassa taṃ dānaṃ na upakappati.

    ‘‘อิธ ปน, พฺราหฺมณ, เอกโจฺจ ปาณาติปาตี โหติ…เป.… มิจฺฉาทิฎฺฐิโก โหติ, โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ติรจฺฉานโยนิํ อุปปชฺชติฯ โย ติรจฺฉานโยนิกานํ สตฺตานํ อาหาโร, เตน โส ตตฺถ ยาเปติ, เตน โส ตตฺถ ติฎฺฐติฯ อิทมฺปิ โข, พฺราหฺมณ, อฎฺฐานํ, ยตฺถ ฐิตสฺส ตํ ทานํ น อุปกปฺปติฯ

    ‘‘Idha pana, brāhmaṇa, ekacco pāṇātipātī hoti…pe… micchādiṭṭhiko hoti, so kāyassa bhedā paraṃ maraṇā tiracchānayoniṃ upapajjati. Yo tiracchānayonikānaṃ sattānaṃ āhāro, tena so tattha yāpeti, tena so tattha tiṭṭhati. Idampi kho, brāhmaṇa, aṭṭhānaṃ, yattha ṭhitassa taṃ dānaṃ na upakappati.

    ‘‘อิธ ปน, พฺราหฺมณ, เอกโจฺจ ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติ…เป.… สมฺมาทิฎฺฐิโก โหติ, โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา มนุสฺสานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชติ…เป.… เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชติฯ โย เทวานํ อาหาโร, เตน โส ตตฺถ ยาเปติ, เตน โส ตตฺถ ติฎฺฐติฯ อิทมฺปิ โข, พฺราหฺมณ, อฎฺฐานํ, ยตฺถ ฐิตสฺส ตํ ทานํ น อุปกปฺปติฯ

    ‘‘Idha pana, brāhmaṇa, ekacco pāṇātipātā paṭivirato hoti…pe… sammādiṭṭhiko hoti, so kāyassa bhedā paraṃ maraṇā manussānaṃ sahabyataṃ upapajjati…pe… devānaṃ sahabyataṃ upapajjati. Yo devānaṃ āhāro, tena so tattha yāpeti, tena so tattha tiṭṭhati. Idampi kho, brāhmaṇa, aṭṭhānaṃ, yattha ṭhitassa taṃ dānaṃ na upakappati.

    ‘‘อิธ ปน, พฺราหฺมณ, เอกโจฺจ ปาณาติปาตี โหติ…เป.… มิจฺฉาทิฎฺฐิโก โหติ, โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เปตฺติวิสยํ อุปปชฺชติฯ โย เปตฺติวิสยิกานํ สตฺตานํ อาหาโร, เตน โส ตตฺถ ยาเปติ, เตน โส ตตฺถ ติฎฺฐติฯ ยํ วา ปนสฺส อิโต อนุปเวเจฺฉนฺติ มิตฺตามจฺจา วา ญาติสาโลหิตา วา, เตน โส ตตฺถ ยาเปติ, เตน โส ตตฺถ ติฎฺฐติฯ อิทํ โข, พฺราหฺมณ, ฐานํ, ยตฺถ ฐิตสฺส ตํ ทานํ อุปกปฺปตี’’ติฯ

    ‘‘Idha pana, brāhmaṇa, ekacco pāṇātipātī hoti…pe… micchādiṭṭhiko hoti, so kāyassa bhedā paraṃ maraṇā pettivisayaṃ upapajjati. Yo pettivisayikānaṃ sattānaṃ āhāro, tena so tattha yāpeti, tena so tattha tiṭṭhati. Yaṃ vā panassa ito anupavecchenti mittāmaccā vā ñātisālohitā vā, tena so tattha yāpeti, tena so tattha tiṭṭhati. Idaṃ kho, brāhmaṇa, ṭhānaṃ, yattha ṭhitassa taṃ dānaṃ upakappatī’’ti.

    ‘‘สเจ ปน, โภ โคตม, โส เปโต ญาติสาโลหิโต ตํ ฐานํ อนุปปโนฺน โหติ, โก ตํ ทานํ ปริภุญฺชตี’’ติ ? ‘‘อเญฺญปิสฺส, พฺราหฺมณ, เปตา ญาติสาโลหิตา ตํ ฐานํ อุปปนฺนา โหนฺติ, เต ตํ ทานํ ปริภุญฺชนฺตี’’ติฯ

    ‘‘Sace pana, bho gotama, so peto ñātisālohito taṃ ṭhānaṃ anupapanno hoti, ko taṃ dānaṃ paribhuñjatī’’ti ? ‘‘Aññepissa, brāhmaṇa, petā ñātisālohitā taṃ ṭhānaṃ upapannā honti, te taṃ dānaṃ paribhuñjantī’’ti.

    ‘‘สเจ ปน, โภ โคตม, โส เจว เปโต ญาติสาโลหิโต ตํ ฐานํ อนุปปโนฺน โหติ, อเญฺญปิสฺส เปตา ญาติสาโลหิตา ตํ ฐานํ อนุปปนฺนา โหนฺติ, โก ตํ ทานํ ปริภุญฺชตี’’ติ? ‘‘อฎฺฐานํ โข เอตํ, พฺราหฺมณ, อนวกาโส, ยํ ตํ ฐานํ วิวิตฺตํ อสฺส อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา ยทิทํ เปเตหิ ญาติสาโลหิเตหิ, อปิจ, พฺราหฺมณ, ทายโกปิ อนิปฺผโล’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๑๗๗)ฯ

    ‘‘Sace pana, bho gotama, so ceva peto ñātisālohito taṃ ṭhānaṃ anupapanno hoti, aññepissa petā ñātisālohitā taṃ ṭhānaṃ anupapannā honti, ko taṃ dānaṃ paribhuñjatī’’ti? ‘‘Aṭṭhānaṃ kho etaṃ, brāhmaṇa, anavakāso, yaṃ taṃ ṭhānaṃ vivittaṃ assa iminā dīghena addhunā yadidaṃ petehi ñātisālohitehi, apica, brāhmaṇa, dāyakopi anipphalo’’ti (a. ni. 10.177).

    ๑๙. อิทานิ เปตฺติวิสยูปปนฺนานํ ตตฺถ อญฺญสฺส กสิโครกฺขาทิโน สมฺปตฺติปฎิลาภการณสฺส อภาวํ อิโต ทิเนฺนน ยาปนญฺจ ทเสฺสตุํ ‘‘น หี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ

    19. Idāni pettivisayūpapannānaṃ tattha aññassa kasigorakkhādino sampattipaṭilābhakāraṇassa abhāvaṃ ito dinnena yāpanañca dassetuṃ ‘‘na hī’’tiādi vuttaṃ.

    ตตฺถ น หิ ตตฺถ กสิ อตฺถีติ ตสฺมิํ เปตฺติวิสเย กสิ น หิ อตฺถิ, ยํ นิสฺสาย เปตา สุเขน ชีเวยฺยุํฯ โครเกฺขตฺถ น วิชฺชตีติ เอตฺถ เปตฺติวิสเย น เกวลํ กสิเยว นตฺถิ, อถ โข โครกฺขาปิ น วิชฺชติ, ยํ นิสฺสาย เต สุเขน ชีเวยฺยุํฯ วณิชฺชา ตาทิสี นตฺถีติ วณิชฺชาปิ ตาทิสี นตฺถิ, ยา เตสํ สมฺปตฺติปฎิลาภเหตุ ภเวยฺยฯ หิรเญฺญน กยากยนฺติ หิรเญฺญน กยวิกฺกยมฺปิ ตตฺถ ตาทิสํ นตฺถิ, ยํ เตสํ สมฺปตฺติปฎิลาภเหตุ ภเวยฺยฯ อิเต ทิเนฺนน ยาเปนฺติ, เปตา กาลคตา ตหินฺติ เกวลํ ปน อิโต ญาตีหิ วา มิตฺตามเจฺจหิ วา ทิเนฺนน ยาเปนฺติ, อตฺตภาวํ ปวเตฺตนฺติฯ เปตาติ เปตฺติวิสยูปปนฺนา สตฺตาฯ กาลคตาติ อตฺตโน มรณกาเลน คตาฯ ‘‘กาลกตา’’ติ วา ปาโฐ, กตกาลา กตมรณา มรณํ สมฺปตฺตาฯ ตหินฺติ ตสฺมิํ เปตฺติวิสเยฯ

    Tattha na hi tattha kasi atthīti tasmiṃ pettivisaye kasi na hi atthi, yaṃ nissāya petā sukhena jīveyyuṃ. Gorakkhettha na vijjatīti ettha pettivisaye na kevalaṃ kasiyeva natthi, atha kho gorakkhāpi na vijjati, yaṃ nissāya te sukhena jīveyyuṃ. Vaṇijjā tādisī natthīti vaṇijjāpi tādisī natthi, yā tesaṃ sampattipaṭilābhahetu bhaveyya. Hiraññena kayākayanti hiraññena kayavikkayampi tattha tādisaṃ natthi, yaṃ tesaṃ sampattipaṭilābhahetu bhaveyya. Ite dinnena yāpenti, petā kālagatā tahinti kevalaṃ pana ito ñātīhi vā mittāmaccehi vā dinnena yāpenti, attabhāvaṃ pavattenti. Petāti pettivisayūpapannā sattā. Kālagatāti attano maraṇakālena gatā. ‘‘Kālakatā’’ti vā pāṭho, katakālā katamaraṇā maraṇaṃ sampattā. Tahinti tasmiṃ pettivisaye.

    ๒๐-๒๑. อิทานิ ยถาวุตฺตมตฺถํ อุปมาหิ ปกาเสตุํ ‘‘อุนฺนเม อุทกํ วุฎฺฐ’’นฺติ คาถาทฺวยมาหฯ ตสฺสโตฺถ – ยถา อุนฺนเม ถเล อุนฺนตปฺปเทเส เมเฆหิ อภิวุฎฺฐํ อุทกํ ยถา นินฺนํ ปวตฺตติ, โย ภูมิภาโค นิโนฺน โอณโต, ตํ อุปคจฺฉติ; เอวเมว อิโต ทินฺนํ ทานํ เปตานํ อุปกปฺปติ , ผลุปฺปตฺติยา วินิยุชฺชติฯ นินฺนมิว หิ อุทกปฺปวตฺติยา ฐานํ เปตโลโก ทานูปกปฺปนายฯ ยถาห – ‘‘อิทํ โข, พฺราหฺมณ, ฐานํ, ยตฺถ ฐิตสฺส ตํ ทานํ อุปกปฺปตี’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๑๗๗)ฯ ยถา จ กนฺทรปทรสาขปสาขกุโสพฺภมหาโสเพฺภ หิ โอคลิเตน อุทเกน วาริวหา มหานโชฺช ปูรา หุตฺวา สาครํ ปริปูเรนฺติ, เอวํ อิโต ทินฺนทานํ ปุเพฺพ วุตฺตนเยน เปตานํ อุปกปฺปตีติฯ

    20-21. Idāni yathāvuttamatthaṃ upamāhi pakāsetuṃ ‘‘unname udakaṃ vuṭṭha’’nti gāthādvayamāha. Tassattho – yathā unname thale unnatappadese meghehi abhivuṭṭhaṃ udakaṃ yathā ninnaṃ pavattati, yo bhūmibhāgo ninno oṇato, taṃ upagacchati; evameva ito dinnaṃ dānaṃ petānaṃ upakappati , phaluppattiyā viniyujjati. Ninnamiva hi udakappavattiyā ṭhānaṃ petaloko dānūpakappanāya. Yathāha – ‘‘idaṃ kho, brāhmaṇa, ṭhānaṃ, yattha ṭhitassa taṃ dānaṃ upakappatī’’ti (a. ni. 10.177). Yathā ca kandarapadarasākhapasākhakusobbhamahāsobbhe hi ogalitena udakena vārivahā mahānajjo pūrā hutvā sāgaraṃ paripūrenti, evaṃ ito dinnadānaṃ pubbe vuttanayena petānaṃ upakappatīti.

    ๒๒. ยสฺมา เปตา ‘‘อิโต กิญฺจิ ลภามา’’ติ อาสาภิภูตา ญาติฆรํ อาคนฺตฺวาปิ ‘‘อิทํ นาม โน เทถา’’ติ ยาจิตุํ น สโกฺกนฺติ, ตสฺมา เตสํ อิมานิ อนุสฺสรณวตฺถูนิ อนุสฺสรโนฺต กุลปุโตฺต ทกฺขิณํ ทชฺชาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อทาสิ เม’’ติ คาถมาหฯ

    22. Yasmā petā ‘‘ito kiñci labhāmā’’ti āsābhibhūtā ñātigharaṃ āgantvāpi ‘‘idaṃ nāma no dethā’’ti yācituṃ na sakkonti, tasmā tesaṃ imāni anussaraṇavatthūni anussaranto kulaputto dakkhiṇaṃ dajjāti dassento ‘‘adāsi me’’ti gāthamāha.

    ตสฺสโตฺถ – อิทํ นาม เม ธนํ วา ธญฺญํ วา อทาสิ, อิทํ นาม เม กิจฺจํ อตฺตนาเยว โยคํ อาปชฺชโนฺต อกาสิ, ‘‘อสุโก เม มาติโต วา ปิติโต วา สมฺพนฺธตฺตา ญาติ, สิเนหวเสน ตาณสมตฺถตาย มิโตฺต, อสุโก เม สหปํสุกีฬกสหาโย สขา’’ติ จ เอตํ สพฺพมนุสฺสรโนฺต เปตานํ ทกฺขิณํ ทชฺชา ทานํ นิยฺยาเตยฺยฯ ‘‘ทกฺขิณา ทชฺชา’’ติ วา ปาโฐ, เปตานํ ทกฺขิณา ทาตพฺพา, เตน ‘‘อทาสิ เม’’ติอาทินา นเยน ปุเพฺพ กตมนุสฺสรํ อนุสฺสรตาติ วุตฺตํ โหติฯ กรณเตฺถ หิ อิทํ ปจฺจตฺตวจนํฯ

    Tassattho – idaṃ nāma me dhanaṃ vā dhaññaṃ vā adāsi, idaṃ nāma me kiccaṃ attanāyeva yogaṃ āpajjanto akāsi, ‘‘asuko me mātito vā pitito vā sambandhattā ñāti, sinehavasena tāṇasamatthatāya mitto, asuko me sahapaṃsukīḷakasahāyo sakhā’’ti ca etaṃ sabbamanussaranto petānaṃ dakkhiṇaṃ dajjā dānaṃ niyyāteyya. ‘‘Dakkhiṇā dajjā’’ti vā pāṭho, petānaṃ dakkhiṇā dātabbā, tena ‘‘adāsi me’’tiādinā nayena pubbe katamanussaraṃ anussaratāti vuttaṃ hoti. Karaṇatthe hi idaṃ paccattavacanaṃ.

    ๒๓-๒๔. เย ปน สตฺตา ญาติมรเณน รุณฺณโสกาทิปรา เอว หุตฺวา ติฎฺฐนฺติ, น เตสํ อตฺถาย กิญฺจิ เทนฺติ, เตสํ ตํ รุณฺณโสกาทิ เกวลํ อตฺตปริตาปนมตฺตเมว โหติ, ตํ น เปตานํ กญฺจิ อตฺถํ สาเธตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘น หิ รุณฺณํ วา’’ติ คาถํ วตฺวา ปุน มคธราเชน ทินฺนทกฺขิณาย สาตฺถกภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘อยญฺจ โข’’ติ คาถมาหฯ เตสํ อโตฺถ เหฎฺฐา วุโตฺตเยวฯ

    23-24. Ye pana sattā ñātimaraṇena ruṇṇasokādiparā eva hutvā tiṭṭhanti, na tesaṃ atthāya kiñci denti, tesaṃ taṃ ruṇṇasokādi kevalaṃ attaparitāpanamattameva hoti, taṃ na petānaṃ kañci atthaṃ sādhetīti dassento ‘‘na hi ruṇṇaṃ vā’’ti gāthaṃ vatvā puna magadharājena dinnadakkhiṇāya sātthakabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘ayañca kho’’ti gāthamāha. Tesaṃ attho heṭṭhā vuttoyeva.

    ๒๕. อิทานิ ยสฺมา อิมํ ทกฺขิณํ เทเนฺตน รญฺญา ญาตีนํ ญาตีหิ กตฺตพฺพกิจฺจกรเณน ญาติธโมฺม นิทสฺสิโต, พหุชนสฺส ปากโฎ กโต, นิทสฺสนํ ปากฎํ กตํ ‘‘ตุเมฺหหิปิ เอวเมว ญาตีสุ ญาติธโมฺม ปริปูเรตโพฺพ’’ติฯ เต จ เปเต ทิพฺพสมฺปตฺติํ อธิคเมเนฺตน เปตานํ ปูชา กตา อุฬารา , พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ อนฺนปานาทีหิ สนฺตเปฺปเนฺตน ภิกฺขูนํ พลํ อนุปฺปทินฺนํ, อนุกมฺปาทิคุณปริวารญฺจ จาคเจตนํ นิพฺพเตฺตเนฺตน อนปฺปกํ ปุญฺญํ ปสุตํ, ตสฺมา ภควา อิเมหิ ยถาภุจฺจคุเณหิ ราชานํ สมฺปหํเสโนฺต ‘‘โส ญาติธโมฺม’’ติ โอสานคาถมาหฯ

    25. Idāni yasmā imaṃ dakkhiṇaṃ dentena raññā ñātīnaṃ ñātīhi kattabbakiccakaraṇena ñātidhammo nidassito, bahujanassa pākaṭo kato, nidassanaṃ pākaṭaṃ kataṃ ‘‘tumhehipi evameva ñātīsu ñātidhammo paripūretabbo’’ti. Te ca pete dibbasampattiṃ adhigamentena petānaṃ pūjā katā uḷārā , buddhappamukhaṃ bhikkhusaṅghaṃ annapānādīhi santappentena bhikkhūnaṃ balaṃ anuppadinnaṃ, anukampādiguṇaparivārañca cāgacetanaṃ nibbattentena anappakaṃ puññaṃ pasutaṃ, tasmā bhagavā imehi yathābhuccaguṇehi rājānaṃ sampahaṃsento ‘‘so ñātidhammo’’ti osānagāthamāha.

    ตตฺถ ญาติธโมฺมติ ญาตีหิ ญาตีนํ กตฺตพฺพกรณํฯ อุฬาราติ ผีตา สมิทฺธาฯ พลนฺติ กายพลํฯ ปสุตนฺติ อุปจิตํฯ เอตฺถ จ ‘‘โส ญาติธโมฺม จ อยํ นิทสฺสิโต’’ติ เอเตน ภควา ราชานํ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสสิฯ ญาติธมฺมทสฺสนเญฺหตฺถ สนฺทสฺสนํฯ ‘‘เปตาน ปูชา จ กตา อุฬารา’’ติ อิมินา สมาทเปสิฯ ‘‘อุฬารา’’ติ ปสํสนเญฺหตฺถ ปุนปฺปุนํ ปูชากรเณ สมาทปนํฯ ‘‘พลญฺจ ภิกฺขูนมนุปฺปทินฺน’’นฺติ อิมินา สมุเตฺตเชสิฯ ภิกฺขูนํ พลานุปฺปทานเญฺหตฺถ เอวํวิธานํ พลานุปฺปทาเน อุสฺสาหวฑฺฒเนน สมุเตฺตชนํฯ ‘‘ตุเมฺหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปก’’นฺติ อิมินา สมฺปหํเสสิฯ ปุญฺญปสวนกิตฺตนเญฺหตฺถ ตสฺส ยถาภุจฺจคุณสํวณฺณนภาเวน สมฺปหํสนนฺติ เอวเมตฺถ โยชนา เวทิตพฺพาฯ

    Tattha ñātidhammoti ñātīhi ñātīnaṃ kattabbakaraṇaṃ. Uḷārāti phītā samiddhā. Balanti kāyabalaṃ. Pasutanti upacitaṃ. Ettha ca ‘‘so ñātidhammo ca ayaṃ nidassito’’ti etena bhagavā rājānaṃ dhammiyā kathāya sandassesi. Ñātidhammadassanañhettha sandassanaṃ. ‘‘Petāna pūjā ca katā uḷārā’’ti iminā samādapesi. ‘‘Uḷārā’’ti pasaṃsanañhettha punappunaṃ pūjākaraṇe samādapanaṃ. ‘‘Balañca bhikkhūnamanuppadinna’’nti iminā samuttejesi. Bhikkhūnaṃ balānuppadānañhettha evaṃvidhānaṃ balānuppadāne ussāhavaḍḍhanena samuttejanaṃ. ‘‘Tumhehi puññaṃ pasutaṃ anappaka’’nti iminā sampahaṃsesi. Puññapasavanakittanañhettha tassa yathābhuccaguṇasaṃvaṇṇanabhāvena sampahaṃsananti evamettha yojanā veditabbā.

    เทสนาปริโยสาเน จ เปตฺติวิสยูปปตฺติอาทีนวสํวณฺณเนน สํวิคฺคหทยานํ โยนิโส ปทหตํ จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิฯ ทุติยทิวเสปิ เทวมนุสฺสานํ อิทเมว ติโรกุฎฺฎเทสนํ เทเสสิฯ เอวํ ยาว สตฺต ทิวสา ตาทิโสว ธมฺมาภิสมโย อโหสีติฯ

    Desanāpariyosāne ca pettivisayūpapattiādīnavasaṃvaṇṇanena saṃviggahadayānaṃ yoniso padahataṃ caturāsītiyā pāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosi. Dutiyadivasepi devamanussānaṃ idameva tirokuṭṭadesanaṃ desesi. Evaṃ yāva satta divasā tādisova dhammābhisamayo ahosīti.

    ติโรกุฎฺฎเปตวตฺถุวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Tirokuṭṭapetavatthuvaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / เปตวตฺถุปาฬิ • Petavatthupāḷi / ๕. ติโรกุฎฺฎเปตวตฺถุ • 5. Tirokuṭṭapetavatthu


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact