Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ขุทฺทกปาฐ-อฎฺฐกถา • Khuddakapāṭha-aṭṭhakathā |
๗. ติโรกุฎฺฎสุตฺตวณฺณนา
7. Tirokuṭṭasuttavaṇṇanā
นิเกฺขปปฺปโยชนํ
Nikkhepappayojanaṃ
อิทานิ ‘‘ติโรกุเฎฺฎสุ ติฎฺฐนฺตี’’ติอาทินา รตนสุตฺตานนฺตรํ นิกฺขิตฺตสฺส ติโรกุฎฺฎสุตฺตสฺส อตฺถวณฺณนากฺกโม อนุปฺปโตฺต, ตสฺส อิธ นิเกฺขปปฺปโยชนํ วตฺวา อตฺถวณฺณนํ กริสฺสามฯ
Idāni ‘‘tirokuṭṭesu tiṭṭhantī’’tiādinā ratanasuttānantaraṃ nikkhittassa tirokuṭṭasuttassa atthavaṇṇanākkamo anuppatto, tassa idha nikkhepappayojanaṃ vatvā atthavaṇṇanaṃ karissāma.
ตตฺถ อิทญฺหิ ติโรกุฎฺฎํ อิมินา อนุกฺกเมน ภควตา อวุตฺตมฺปิ ยายํ อิโต ปุเพฺพ นานปฺปกาเรน กุสลกมฺมปฎิปตฺติ ทสฺสิตา, ตตฺถ ปมาทํ อาปชฺชมาโน นิรยติรจฺฉานโยนีหิ วิสิฎฺฐตเรปิ ฐาเน อุปฺปชฺชมาโน ยสฺมา เอวรูเปสุ เปเตสุ อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา น เอตฺถ ปมาโท กรณีโยติ ทสฺสนตฺถํ, เยหิ จ ภูเตหิ อุปทฺทุตาย เวสาลิยา อุปทฺทววูปสมนตฺถํ รตนสุตฺตํ วุตฺตํ, เตสุ เอกจฺจานิ เอวรูปานีติ ทสฺสนตฺถํ วา วุตฺตนฺติฯ
Tattha idañhi tirokuṭṭaṃ iminā anukkamena bhagavatā avuttampi yāyaṃ ito pubbe nānappakārena kusalakammapaṭipatti dassitā, tattha pamādaṃ āpajjamāno nirayatiracchānayonīhi visiṭṭhatarepi ṭhāne uppajjamāno yasmā evarūpesu petesu uppajjati, tasmā na ettha pamādo karaṇīyoti dassanatthaṃ, yehi ca bhūtehi upaddutāya vesāliyā upaddavavūpasamanatthaṃ ratanasuttaṃ vuttaṃ, tesu ekaccāni evarūpānīti dassanatthaṃ vā vuttanti.
อิทมสฺส อิธ นิเกฺขปปฺปโยชนํ เวทิตพฺพํฯ
Idamassa idha nikkhepappayojanaṃ veditabbaṃ.
อนุโมทนากถา
Anumodanākathā
ยสฺมา ปนสฺส อตฺถวณฺณนา –
Yasmā panassa atthavaṇṇanā –
‘‘เยน ยตฺถ ยทา ยสฺมา, ติโรกุฎฺฎํ ปกาสิตํ;
‘‘Yena yattha yadā yasmā, tirokuṭṭaṃ pakāsitaṃ;
ปกาเสตฺวาน ตํ สพฺพํ, กยิรมานา ยถากฺกมํ;
Pakāsetvāna taṃ sabbaṃ, kayiramānā yathākkamaṃ;
สุกตา โหติ ตสฺมาหํ, กริสฺสามิ ตเถว ตํ’’ฯ
Sukatā hoti tasmāhaṃ, karissāmi tatheva taṃ’’.
เกน ปเนตํ ปกาสิตํ, กตฺถ กทา กสฺมา จาติ? วุจฺจเต – ภควตา ปกาสิตํ, ตํ โข ปน ราชคเห ทุติยทิวเส รโญฺญ มาคธสฺส อนุโมทนตฺถํฯ อิมสฺส จตฺถสฺส วิภาวนตฺถํ อยเมตฺถ วิตฺถารกถา กเถตพฺพา –
Kena panetaṃ pakāsitaṃ, kattha kadā kasmā cāti? Vuccate – bhagavatā pakāsitaṃ, taṃ kho pana rājagahe dutiyadivase rañño māgadhassa anumodanatthaṃ. Imassa catthassa vibhāvanatthaṃ ayamettha vitthārakathā kathetabbā –
อิโต ทฺวานวุติกเปฺป กาสิ นาม นครํ อโหสิฯ ตตฺถ ชยเสโน นาม ราชาฯ ตสฺส สิริมา นาม เทวี, ตสฺสา กุจฺฉิยํ ผุโสฺส นาม โพธิสโตฺต นิพฺพตฺติตฺวา อนุปุเพฺพน สมฺมาสโมฺพธิํ อภิสมฺพุชฺฌิฯ ชยเสโน ราชา ‘‘มม ปุโตฺต อภินิกฺขมิตฺวา พุโทฺธ ชาโต, มยฺหเมว พุโทฺธ, มยฺหํ ธโมฺม, มยฺหํ สโงฺฆ’’ติ มมตฺตํ อุปฺปาเทตฺวา สพฺพกาลํ สยเมว อุปฎฺฐหติ, น อเญฺญสํ โอกาสํ เทติฯ
Ito dvānavutikappe kāsi nāma nagaraṃ ahosi. Tattha jayaseno nāma rājā. Tassa sirimā nāma devī, tassā kucchiyaṃ phusso nāma bodhisatto nibbattitvā anupubbena sammāsambodhiṃ abhisambujjhi. Jayaseno rājā ‘‘mama putto abhinikkhamitvā buddho jāto, mayhameva buddho, mayhaṃ dhammo, mayhaṃ saṅgho’’ti mamattaṃ uppādetvā sabbakālaṃ sayameva upaṭṭhahati, na aññesaṃ okāsaṃ deti.
ภควโต กนิฎฺฐภาตโร เวมาติกา ตโย ภาตโร จิเนฺตสุํ – ‘‘พุทฺธา นาม สพฺพโลกหิตาย อุปฺปชฺชนฺติ, น เจกเสฺสวตฺถาย, อมฺหากญฺจ ปิตา อเญฺญสํ โอกาสํ น เทติ, กถํ นุ มยํ ลเภยฺยาม ภควนฺตํ อุปฎฺฐาตุ’’นฺติฯ เตสํ เอตทโหสิ – ‘‘หนฺท มยํ กิญฺจิ อุปายํ กโรมา’’ติฯ เต ปจฺจนฺตํ กุปิตํ วิย การาเปสุํฯ ตโต ราชา ‘‘ปจฺจโนฺต กุปิโต’’ติ สุตฺวา ตโยปิ ปุเตฺต ปจฺจนฺตวูปสมนตฺถํ เปเสสิฯ เต วูปสเมตฺวา อาคตา, ราชา ตุโฎฺฐ วรํ อทาสิ ‘‘ยํ อิจฺฉถ, ตํ คณฺหถา’’ติฯ เต ‘‘มยํ ภควนฺตํ อุปฎฺฐาตุํ อิจฺฉามา’’ติ อาหํสุฯ ราชา ‘‘เอตํ ฐเปตฺวา อญฺญํ คณฺหถา’’ติ อาหฯ เต ‘‘มยํ อเญฺญน อนตฺถิกา’’ติ อาหํสุฯ เตน หิ ปริเจฺฉทํ กตฺวา คณฺหถาติฯ เต สตฺต วสฺสานิ ยาจิํสุ, ราชา น อทาสิฯ เอวํ ฉ, ปญฺจ, จตฺตาริ, ตีณิ, เทฺว, เอกํ, สตฺต มาสานิ, ฉ, ปญฺจ, จตฺตารีติ ยาว เตมาสํ ยาจิํสุฯ ราชา ‘‘คณฺหถา’’ติ อทาสิฯ
Bhagavato kaniṭṭhabhātaro vemātikā tayo bhātaro cintesuṃ – ‘‘buddhā nāma sabbalokahitāya uppajjanti, na cekassevatthāya, amhākañca pitā aññesaṃ okāsaṃ na deti, kathaṃ nu mayaṃ labheyyāma bhagavantaṃ upaṭṭhātu’’nti. Tesaṃ etadahosi – ‘‘handa mayaṃ kiñci upāyaṃ karomā’’ti. Te paccantaṃ kupitaṃ viya kārāpesuṃ. Tato rājā ‘‘paccanto kupito’’ti sutvā tayopi putte paccantavūpasamanatthaṃ pesesi. Te vūpasametvā āgatā, rājā tuṭṭho varaṃ adāsi ‘‘yaṃ icchatha, taṃ gaṇhathā’’ti. Te ‘‘mayaṃ bhagavantaṃ upaṭṭhātuṃ icchāmā’’ti āhaṃsu. Rājā ‘‘etaṃ ṭhapetvā aññaṃ gaṇhathā’’ti āha. Te ‘‘mayaṃ aññena anatthikā’’ti āhaṃsu. Tena hi paricchedaṃ katvā gaṇhathāti. Te satta vassāni yāciṃsu, rājā na adāsi. Evaṃ cha, pañca, cattāri, tīṇi, dve, ekaṃ, satta māsāni, cha, pañca, cattārīti yāva temāsaṃ yāciṃsu. Rājā ‘‘gaṇhathā’’ti adāsi.
เต วรํ ลภิตฺวา ปรมตุฎฺฐา ภควนฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา วนฺทิตฺวา อาหํสุ – ‘‘อิจฺฉาม มยํ, ภเนฺต, ภควนฺตํ เตมาสํ อุปฎฺฐาตุํ, อธิวาเสตุ โน, ภเนฺต , ภควา อิมํ เตมาสํ วสฺสาวาส’’นฺติฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวนฯ ตโต เต อตฺตโน ชนปเท นิยุตฺตกปุริสสฺส เลขํ เปเสสุํ ‘‘อิมํ เตมาสํ อเมฺหหิ ภควา อุปฎฺฐาตโพฺพ, วิหารํ อาทิํ กตฺวา สพฺพํ ภควโต อุปฎฺฐานสมฺภารํ กโรหี’’ติฯ โส ตํ สพฺพํ สมฺปาเทตฺวา ปฎินิเวเทสิฯ เต กาสายวตฺถนิวตฺถา หุตฺวา อฑฺฒเตเยฺยหิ ปุริสสหเสฺสหิ เวยฺยาวจฺจกเรหิ ภควนฺตํ สกฺกจฺจํ อุปฎฺฐหมานา ชนปทํ เนตฺวา วิหารํ นิยฺยาเตตฺวา วสาเปสุํฯ
Te varaṃ labhitvā paramatuṭṭhā bhagavantaṃ upasaṅkamitvā vanditvā āhaṃsu – ‘‘icchāma mayaṃ, bhante, bhagavantaṃ temāsaṃ upaṭṭhātuṃ, adhivāsetu no, bhante , bhagavā imaṃ temāsaṃ vassāvāsa’’nti. Adhivāsesi bhagavā tuṇhībhāvena. Tato te attano janapade niyuttakapurisassa lekhaṃ pesesuṃ ‘‘imaṃ temāsaṃ amhehi bhagavā upaṭṭhātabbo, vihāraṃ ādiṃ katvā sabbaṃ bhagavato upaṭṭhānasambhāraṃ karohī’’ti. So taṃ sabbaṃ sampādetvā paṭinivedesi. Te kāsāyavatthanivatthā hutvā aḍḍhateyyehi purisasahassehi veyyāvaccakarehi bhagavantaṃ sakkaccaṃ upaṭṭhahamānā janapadaṃ netvā vihāraṃ niyyātetvā vasāpesuṃ.
เตสํ ภณฺฑาคาริโก เอโก คหปติปุโตฺต สปชาปติโก สโทฺธ อโหสิ ปสโนฺนฯ โส พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส ทานวตฺตํ สกฺกจฺจํ อทาสิฯ ชนปเท นิยุตฺตกปุริโส ตํ คเหตฺวา ชานปเทหิ เอกาทสมเตฺตหิ ปุริสสหเสฺสหิ สทฺธิํ สกฺกจฺจเมว ทานํ ปวตฺตาเปสิฯ ตตฺถ เกจิ ชานปทา ปฎิหตจิตฺตา อเหสุํฯ เต ทานสฺส อนฺตรายํ กตฺวา เทยฺยธเมฺม อตฺตนา ขาทิํสุ, ภตฺตสาลญฺจ อคฺคินา ทหิํสุฯ ปวาริเต ราชปุตฺตา ภควโต มหนฺตํ สกฺการํ กตฺวา ภควนฺตํ ปุรกฺขตฺวา ปิตุโน สกาสเมว อคมํสุฯ ตตฺถ คนฺตฺวา เอว ภควา ปรินิพฺพายิฯ ราชา จ ราชปุตฺตา จ ชนปเท นิยุตฺตกปุริโส จ ภณฺฑาคาริโก จ อนุปุเพฺพน กาลํ กตฺวา สทฺธิํ ปริสาย สเคฺค อุปฺปชฺชิํสุ, ปฎิหตจิตฺตชนา นิรเยสุ นิพฺพตฺติํสุฯ เอวํ เตสํ ทฺวินฺนํ คณานํ สคฺคโต สคฺคํ, นิรยโต นิรยํ อุปปชฺชนฺตานํ ทฺวานวุติกปฺปา วีติวตฺตาฯ
Tesaṃ bhaṇḍāgāriko eko gahapatiputto sapajāpatiko saddho ahosi pasanno. So buddhappamukhassa saṅghassa dānavattaṃ sakkaccaṃ adāsi. Janapade niyuttakapuriso taṃ gahetvā jānapadehi ekādasamattehi purisasahassehi saddhiṃ sakkaccameva dānaṃ pavattāpesi. Tattha keci jānapadā paṭihatacittā ahesuṃ. Te dānassa antarāyaṃ katvā deyyadhamme attanā khādiṃsu, bhattasālañca agginā dahiṃsu. Pavārite rājaputtā bhagavato mahantaṃ sakkāraṃ katvā bhagavantaṃ purakkhatvā pituno sakāsameva agamaṃsu. Tattha gantvā eva bhagavā parinibbāyi. Rājā ca rājaputtā ca janapade niyuttakapuriso ca bhaṇḍāgāriko ca anupubbena kālaṃ katvā saddhiṃ parisāya sagge uppajjiṃsu, paṭihatacittajanā nirayesu nibbattiṃsu. Evaṃ tesaṃ dvinnaṃ gaṇānaṃ saggato saggaṃ, nirayato nirayaṃ upapajjantānaṃ dvānavutikappā vītivattā.
อถ อิมสฺมิํ ภทฺทกเปฺป กสฺสปพุทฺธสฺส กาเล เต ปฎิหตจิตฺตชนา เปเตสุ อุปฺปนฺนาฯ ตทา มนุสฺสา อตฺตโน ญาตกานํ เปตานํ อตฺถาย ทานํ ทตฺวา อุทฺทิสนฺติ ‘‘อิทํ อมฺหากํ ญาตีนํ โหตู’’ติฯ เต สมฺปตฺติํ ลภนฺติฯ อถ อิเมปิ เปตา ตํ ทิสฺวา ภควนฺตํ กสฺสปํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิํสุ – ‘‘กิํ นุ โข, ภเนฺต, มยมฺปิ เอวรูปํ สมฺปตฺติํ ลเภยฺยามา’’ติ? ภควา อาห – ‘‘อิทานิ น ลภถ , อปิจ อนาคเต โคตโม นาม พุโทฺธ ภวิสฺสติ, ตสฺส ภควโต กาเล พิมฺพิสาโร นาม ราชา ภวิสฺสติ, โส ตุมฺหากํ อิโต ทฺวานวุติกเปฺป ญาติ อโหสิ, โส พุทฺธสฺส ทานํ ทตฺวา ตุมฺหากํ อุทฺทิสิสฺสติ, ตทา ลภิสฺสถา’’ติฯ เอวํ วุเตฺต กิร เตสํ เปตานํ ตํ วจนํ ‘‘เสฺว ลภิสฺสถา’’ติ วุตฺตํ วิย อโหสิฯ
Atha imasmiṃ bhaddakappe kassapabuddhassa kāle te paṭihatacittajanā petesu uppannā. Tadā manussā attano ñātakānaṃ petānaṃ atthāya dānaṃ datvā uddisanti ‘‘idaṃ amhākaṃ ñātīnaṃ hotū’’ti. Te sampattiṃ labhanti. Atha imepi petā taṃ disvā bhagavantaṃ kassapaṃ upasaṅkamitvā pucchiṃsu – ‘‘kiṃ nu kho, bhante, mayampi evarūpaṃ sampattiṃ labheyyāmā’’ti? Bhagavā āha – ‘‘idāni na labhatha , apica anāgate gotamo nāma buddho bhavissati, tassa bhagavato kāle bimbisāro nāma rājā bhavissati, so tumhākaṃ ito dvānavutikappe ñāti ahosi, so buddhassa dānaṃ datvā tumhākaṃ uddisissati, tadā labhissathā’’ti. Evaṃ vutte kira tesaṃ petānaṃ taṃ vacanaṃ ‘‘sve labhissathā’’ti vuttaṃ viya ahosi.
อถ เอกสฺมิํ พุทฺธนฺตเร วีติวเตฺต อมฺหากํ ภควา โลเก อุปฺปชฺชิฯ เตปิ ตโย ราชปุตฺตา เตหิ อฑฺฒเตเยฺยหิ ปุริสสหเสฺสหิ สทฺธิํ เทวโลกา จวิตฺวา มคธรเฎฺฐ พฺราหฺมณกุเล อุปฺปชฺชิตฺวา อนุปุเพฺพน อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา คยาสีเส ตโย ชฎิลา อเหสุํ, ชนปเท นิยุตฺตกปุริโส, ราชา อโหสิ พิมฺพิสาโร, ภณฺฑาคาริโก, คหปติ วิสาโข นาม มหาเสฎฺฐิ อโหสิ, ตสฺส ปชาปติ ธมฺมทินฺนา นาม เสฎฺฐิธีตา อโหสิฯ เอวํ สพฺพาปิ อวเสสา ปริสา รโญฺญ เอว ปริวารา หุตฺวา นิพฺพตฺตาฯ
Atha ekasmiṃ buddhantare vītivatte amhākaṃ bhagavā loke uppajji. Tepi tayo rājaputtā tehi aḍḍhateyyehi purisasahassehi saddhiṃ devalokā cavitvā magadharaṭṭhe brāhmaṇakule uppajjitvā anupubbena isipabbajjaṃ pabbajitvā gayāsīse tayo jaṭilā ahesuṃ, janapade niyuttakapuriso, rājā ahosi bimbisāro, bhaṇḍāgāriko, gahapati visākho nāma mahāseṭṭhi ahosi, tassa pajāpati dhammadinnā nāma seṭṭhidhītā ahosi. Evaṃ sabbāpi avasesā parisā rañño eva parivārā hutvā nibbattā.
อมฺหากํ ภควา โลเก อุปฺปชฺชิตฺวา สตฺตสตฺตาหํ อติกฺกมิตฺวา อนุปุเพฺพน พาราณสิํ อาคมฺม ธมฺมจกฺกํ ปวเตฺตตฺวา ปญฺจวคฺคิเย อาทิํ กตฺวา ยาว อฑฺฒเตยฺยสหสฺสปริวาเร ตโย ชฎิเล วิเนตฺวา ราชคหํ อคมาสิฯ ตตฺถ จ ตทหุปสงฺกมนฺตํเยว ราชานํ พิมฺพิสารํ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐาเปสิ เอกาทสนวุเตหิ มาคธเกหิ พฺราหฺมณคหปติเกหิ สทฺธิํฯ อถ รญฺญา สฺวาตนาย ภเตฺตน นิมนฺติโต ภควา อธิวาเสตฺวา ทุติยทิวเส สเกฺกน เทวานมิเนฺทน ปุรโต ปุรโต คจฺฉเนฺตน –
Amhākaṃ bhagavā loke uppajjitvā sattasattāhaṃ atikkamitvā anupubbena bārāṇasiṃ āgamma dhammacakkaṃ pavattetvā pañcavaggiye ādiṃ katvā yāva aḍḍhateyyasahassaparivāre tayo jaṭile vinetvā rājagahaṃ agamāsi. Tattha ca tadahupasaṅkamantaṃyeva rājānaṃ bimbisāraṃ sotāpattiphale patiṭṭhāpesi ekādasanavutehi māgadhakehi brāhmaṇagahapatikehi saddhiṃ. Atha raññā svātanāya bhattena nimantito bhagavā adhivāsetvā dutiyadivase sakkena devānamindena purato purato gacchantena –
‘‘ทโนฺต ทเนฺตหิ สห ปุราณชฎิเลหิ, วิปฺปมุโตฺต วิปฺปมุเตฺตหิ;
‘‘Danto dantehi saha purāṇajaṭilehi, vippamutto vippamuttehi;
สิงฺคีนิกฺขสวโณฺณ, ราชคหํ ปาวิสิ ภควา’’ติฯ (มหาว. ๕๘) –
Siṅgīnikkhasavaṇṇo, rājagahaṃ pāvisi bhagavā’’ti. (mahāva. 58) –
เอวมาทีหิ คาถาหิ อภิตฺถวิยมาโน ราชคหํ ปวิสิตฺวา รโญฺญ นิเวสเน มหาทานํ สมฺปฎิจฺฉิฯ เต เปตา ‘‘อิทานิ ราชา อมฺหากํ ทานํ อุทฺทิสิสฺสติ, อิทานิ อุทฺทิสิสฺสตี’’ติ อาสาย ปริวาเรตฺวา อฎฺฐํสุฯ
Evamādīhi gāthāhi abhitthaviyamāno rājagahaṃ pavisitvā rañño nivesane mahādānaṃ sampaṭicchi. Te petā ‘‘idāni rājā amhākaṃ dānaṃ uddisissati, idāni uddisissatī’’ti āsāya parivāretvā aṭṭhaṃsu.
ราชา ทานํ ทตฺวา ‘‘กตฺถ นุ โข ภควา วิหเรยฺยา’’ติ ภควโต วิหารฎฺฐานเมว จิเนฺตสิ, น ตํ ทานํ กสฺสจิ อุทฺทิสิฯ เปตา ฉินฺนาสา หุตฺวา รตฺติํ รโญฺญ นิเวสเน อติวิย ภิํสนกํ วิสฺสรมกํสุฯ ราชา ภยสํเวคสนฺตาสมาปชฺชิ, ตโต ปภาตาย รตฺติยา ภควโต อาโรเจสิ – ‘‘เอวรูปํ สทฺทมโสฺสสิํ, กิํ นุ โข เม, ภเนฺต, ภวิสฺสตี’’ติฯ ภควา อาห – ‘‘มา ภายิ, มหาราช, น เต กิญฺจิ ปาปกํ ภวิสฺสติ, อปิจ โข เต ปุราณญาตกา เปเตสุ อุปฺปนฺนา สนฺติ, เต เอกํ พุทฺธนฺตรํ ตเมว ปจฺจาสีสมานา วิจรนฺติ ‘พุทฺธสฺส ทานํ ทตฺวา อมฺหากํ อุทฺทิสิสฺสตี’ติ , น เตสํ ตฺวํ หิโยฺย อุทฺทิสิ, เต ฉินฺนาสา ตถารูปํ วิสฺสรมกํสู’’ติฯ
Rājā dānaṃ datvā ‘‘kattha nu kho bhagavā vihareyyā’’ti bhagavato vihāraṭṭhānameva cintesi, na taṃ dānaṃ kassaci uddisi. Petā chinnāsā hutvā rattiṃ rañño nivesane ativiya bhiṃsanakaṃ vissaramakaṃsu. Rājā bhayasaṃvegasantāsamāpajji, tato pabhātāya rattiyā bhagavato ārocesi – ‘‘evarūpaṃ saddamassosiṃ, kiṃ nu kho me, bhante, bhavissatī’’ti. Bhagavā āha – ‘‘mā bhāyi, mahārāja, na te kiñci pāpakaṃ bhavissati, apica kho te purāṇañātakā petesu uppannā santi, te ekaṃ buddhantaraṃ tameva paccāsīsamānā vicaranti ‘buddhassa dānaṃ datvā amhākaṃ uddisissatī’ti , na tesaṃ tvaṃ hiyyo uddisi, te chinnāsā tathārūpaṃ vissaramakaṃsū’’ti.
โส อาห ‘‘อิทานิ ปน, ภเนฺต, ทิเนฺน ลเภยฺยุ’’นฺติ? ‘‘อาม, มหาราชา’’ติฯ ‘‘เตน หิ เม, ภเนฺต, อธิวาเสตุ ภควา อชฺชตนาย ทานํ, เตสํ อุทฺทิสิสฺสามี’’ติ? ภควา อธิวาเสสิฯ ราชา นิเวสนํ คนฺตฺวา มหาทานํ ปฎิยาเทตฺวา ภควโต กาลํ อาโรจาเปสิฯ ภควา ราชเนฺตปุรํ คนฺตฺวา ปญฺญเตฺต อาสเน นิสีทิ สทฺธิํ ภิกฺขุสเงฺฆนฯ เตปิ โข เปตา ‘‘อปิ นาม อชฺช ลเภยฺยามา’’ติ คนฺตฺวา ติโรกุฎฺฎาทีสุ อฎฺฐํสุฯ ภควา ตถา อกาสิ, ยถา เต สเพฺพว รโญฺญ ปากฎา อเหสุํฯ ราชา ทกฺขิโณทกํ เทโนฺต ‘‘อิทํ เม ญาตีนํ โหตู’’ติ อุทฺทิสิ, ตงฺขณเญฺญว เตสํ เปตานํ ปทุมสญฺฉนฺนา โปกฺขรณิโย นิพฺพตฺติํสุฯ เต ตตฺถ นฺหตฺวา จ ปิวิตฺวา จ ปฎิปฺปสฺสทฺธทรถกิลมถปิปาสา สุวณฺณวณฺณา อเหสุํฯ ราชา ยาคุขชฺชกโภชนานิ ทตฺวา อุทฺทิสิ, ตงฺขณเญฺญว เตสํ ทิพฺพยาคุขชฺชกโภชนานิ นิพฺพตฺติํสุฯ เต ตานิ ปริภุญฺชิตฺวา ปีณินฺทฺริยา อเหสุํฯ อถ วตฺถเสนาสนานิ ทตฺวา อุทฺทิสิฯ เตสํ ทิพฺพวตฺถทิพฺพยานทิพฺพปาสาททิพฺพปจฺจตฺถรณทิพฺพเสยฺยาทิอลงฺการวิธโย นิพฺพตฺติํสุฯ สาปิ เตสํ สมฺปตฺติ ยถา สพฺพาว ปากฎา โหติ, ตถา ภควา อธิฎฺฐาสิฯ ราชา อติวิย อตฺตมโน อโหสิฯ ตโต ภควา ภุตฺตาวี ปวาริโต รโญฺญ มาคธสฺส อนุโมทนตฺถํ ‘‘ติโรกุเฎฺฎสุ ติฎฺฐนฺตี’’ติ อิมา คาถา อภาสิฯ
So āha ‘‘idāni pana, bhante, dinne labheyyu’’nti? ‘‘Āma, mahārājā’’ti. ‘‘Tena hi me, bhante, adhivāsetu bhagavā ajjatanāya dānaṃ, tesaṃ uddisissāmī’’ti? Bhagavā adhivāsesi. Rājā nivesanaṃ gantvā mahādānaṃ paṭiyādetvā bhagavato kālaṃ ārocāpesi. Bhagavā rājantepuraṃ gantvā paññatte āsane nisīdi saddhiṃ bhikkhusaṅghena. Tepi kho petā ‘‘api nāma ajja labheyyāmā’’ti gantvā tirokuṭṭādīsu aṭṭhaṃsu. Bhagavā tathā akāsi, yathā te sabbeva rañño pākaṭā ahesuṃ. Rājā dakkhiṇodakaṃ dento ‘‘idaṃ me ñātīnaṃ hotū’’ti uddisi, taṅkhaṇaññeva tesaṃ petānaṃ padumasañchannā pokkharaṇiyo nibbattiṃsu. Te tattha nhatvā ca pivitvā ca paṭippassaddhadarathakilamathapipāsā suvaṇṇavaṇṇā ahesuṃ. Rājā yāgukhajjakabhojanāni datvā uddisi, taṅkhaṇaññeva tesaṃ dibbayāgukhajjakabhojanāni nibbattiṃsu. Te tāni paribhuñjitvā pīṇindriyā ahesuṃ. Atha vatthasenāsanāni datvā uddisi. Tesaṃ dibbavatthadibbayānadibbapāsādadibbapaccattharaṇadibbaseyyādialaṅkāravidhayo nibbattiṃsu. Sāpi tesaṃ sampatti yathā sabbāva pākaṭā hoti, tathā bhagavā adhiṭṭhāsi. Rājā ativiya attamano ahosi. Tato bhagavā bhuttāvī pavārito rañño māgadhassa anumodanatthaṃ ‘‘tirokuṭṭesu tiṭṭhantī’’ti imā gāthā abhāsi.
เอตฺตาวตา จ ‘‘เยน ยตฺถ ยทา ยสฺมา, ติโรกุฎฺฎํ ปกาสิตํ, ปกาเสตฺวาน ตํ สพฺพ’’นฺติ อยํ มาติกา สเงฺขปโต วิตฺถารโต จ วิภตฺตา โหติฯ
Ettāvatā ca ‘‘yena yattha yadā yasmā, tirokuṭṭaṃ pakāsitaṃ, pakāsetvāna taṃ sabba’’nti ayaṃ mātikā saṅkhepato vitthārato ca vibhattā hoti.
ปฐมคาถาวณฺณนา
Paṭhamagāthāvaṇṇanā
๑. อิทานิ อิมสฺส ติโรกุฎฺฎสฺส ยถากฺกมํ อตฺถวณฺณนํ กริสฺสามฯ เสยฺยถิทํ – ปฐมคาถาย ตาว ติโรกุฎฺฎาติ กุฎฺฎานํ ปรภาคา วุจฺจนฺติฯ ติฎฺฐนฺตีติ นิสชฺชาทิปฺปฎิเกฺขปโต ฐานกปฺปนวจนเมตํฯ เตน ยถา ปาการปรภาคํ ปพฺพตปรภาคญฺจ คจฺฉนฺตํ ‘‘ติโรปาการํ ติโรปพฺพตํ อสชฺชมาโน คจฺฉตี’’ติ วทนฺติ, เอวมิธาปิ กุฎฺฎสฺส ปรภาเคสุ ติฎฺฐเนฺต ‘‘ติโรกุเฎฺฎสุ ติฎฺฐนฺตี’’ติ อาหฯ สนฺธิสิงฺฆาฎเกสุ จาติ เอตฺถ สนฺธิโยติ จตุโกฺกณรจฺฉา วุจฺจนฺติ ฆรสนฺธิภิตฺติสนฺธิอาโลกสนฺธิโย จาปิฯ สิงฺฆาฎกาติ ติโกณรจฺฉา วุจฺจนฺติ, ตเทกชฺฌํ กตฺวา ปุริเมน สทฺธิํ สงฺฆเฎโนฺต ‘‘สนฺธิสิงฺฆาฎเกสุ จา’’ติ อาหฯ ทฺวารพาหาสุ ติฎฺฐนฺตีติ นครทฺวารฆรทฺวารานํ พาหา นิสฺสาย ติฎฺฐนฺติฯ อาคนฺตฺวาน สกํ ฆรนฺติ เอตฺถ สกํ ฆรํ นาม ปุพฺพญาติฆรมฺปิ อตฺตนา สามิกภาเวน อชฺฌาวุตฺถปุพฺพฆรมฺปิฯ ตทุภยมฺปิ ยสฺมา เต สกฆรสญฺญาย อาคจฺฉนฺติ, ตสฺมา ‘‘อาคนฺตฺวาน สกํ ฆร’’นฺติ อาหฯ
1. Idāni imassa tirokuṭṭassa yathākkamaṃ atthavaṇṇanaṃ karissāma. Seyyathidaṃ – paṭhamagāthāya tāva tirokuṭṭāti kuṭṭānaṃ parabhāgā vuccanti. Tiṭṭhantīti nisajjādippaṭikkhepato ṭhānakappanavacanametaṃ. Tena yathā pākāraparabhāgaṃ pabbataparabhāgañca gacchantaṃ ‘‘tiropākāraṃ tiropabbataṃ asajjamāno gacchatī’’ti vadanti, evamidhāpi kuṭṭassa parabhāgesu tiṭṭhante ‘‘tirokuṭṭesu tiṭṭhantī’’ti āha. Sandhisiṅghāṭakesu cāti ettha sandhiyoti catukkoṇaracchā vuccanti gharasandhibhittisandhiālokasandhiyo cāpi. Siṅghāṭakāti tikoṇaracchā vuccanti, tadekajjhaṃ katvā purimena saddhiṃ saṅghaṭento ‘‘sandhisiṅghāṭakesu cā’’ti āha. Dvārabāhāsu tiṭṭhantīti nagaradvāragharadvārānaṃ bāhā nissāya tiṭṭhanti. Āgantvāna sakaṃ gharanti ettha sakaṃ gharaṃ nāma pubbañātigharampi attanā sāmikabhāvena ajjhāvutthapubbagharampi. Tadubhayampi yasmā te sakagharasaññāya āgacchanti, tasmā ‘‘āgantvāna sakaṃ ghara’’nti āha.
ทุติยคาถาวณฺณนา
Dutiyagāthāvaṇṇanā
๒. เอวํ ภควา ปุเพฺพ อนชฺฌาวุตฺถปุพฺพมฺปิ ปุพฺพญาติฆรํ พิมฺพิสารนิเวสนํ สกฆรสญฺญาย อาคนฺตฺวา ติโรกุฎฺฎสนฺธิสิงฺฆาฎกทฺวารพาหาสุ ฐิเต อิสฺสามจฺฉริยผลํ อนุภวเนฺต, อเปฺปกเจฺจ ทีฆมสฺสุเกสวิการธเร อนฺธการมุเข สิถิลพนฺธนวิลมฺพมานกิสผรุสกาฬกงฺคปจฺจเงฺค ตตฺถ ตตฺถ ฐิตวนทาหทฑฺฒตาลรุกฺขสทิเส, อเปฺปกเจฺจ ชิฆจฺฉาปิปาสารณินิมฺมถเนน อุทรโต อุฎฺฐาย มุขโต วินิจฺฉรนฺตาย อคฺคิชาลาย ปริฑยฺหมานสรีเร, อเปฺปกเจฺจ สูจิฉิทฺทาณุมตฺตกณฺฐพิลตาย ปพฺพตาการกุจฺฉิตาย จ ลทฺธมฺปิ ปานโภชนํ ยาวทตฺถํ ภุญฺชิตุํ อสมตฺถตาย ขุปฺปิปาสาปเรเต อญฺญํ รสมวินฺทมาเน, อเปฺปกเจฺจ อญฺญมญฺญสฺส อเญฺญสํ วา สตฺตานํ ปภินฺนคณฺฑปิฬกมุขา ปคฺฆริตรุธิรปุพฺพลสิกาทิํ ลทฺธา อมตมิว สายมาเน อติวิย ทุทฺทสิกวิรูปภยานกสรีเร พหู เปเต รโญฺญ นิทเสฺสโนฺต –
2. Evaṃ bhagavā pubbe anajjhāvutthapubbampi pubbañātigharaṃ bimbisāranivesanaṃ sakagharasaññāya āgantvā tirokuṭṭasandhisiṅghāṭakadvārabāhāsu ṭhite issāmacchariyaphalaṃ anubhavante, appekacce dīghamassukesavikāradhare andhakāramukhe sithilabandhanavilambamānakisapharusakāḷakaṅgapaccaṅge tattha tattha ṭhitavanadāhadaḍḍhatālarukkhasadise, appekacce jighacchāpipāsāraṇinimmathanena udarato uṭṭhāya mukhato viniccharantāya aggijālāya pariḍayhamānasarīre, appekacce sūcichiddāṇumattakaṇṭhabilatāya pabbatākārakucchitāya ca laddhampi pānabhojanaṃ yāvadatthaṃ bhuñjituṃ asamatthatāya khuppipāsāparete aññaṃ rasamavindamāne, appekacce aññamaññassa aññesaṃ vā sattānaṃ pabhinnagaṇḍapiḷakamukhā paggharitarudhirapubbalasikādiṃ laddhā amatamiva sāyamāne ativiya duddasikavirūpabhayānakasarīre bahū pete rañño nidassento –
‘‘ติโรกุเฎฺฎสุ ติฎฺฐนฺติ, สนฺธิสิงฺฆาฎเกสุ จ;
‘‘Tirokuṭṭesu tiṭṭhanti, sandhisiṅghāṭakesu ca;
ทฺวารพาหาสุ ติฎฺฐนฺติ, อาคนฺตฺวาน สกํ ฆร’’นฺติฯ –
Dvārabāhāsu tiṭṭhanti, āgantvāna sakaṃ ghara’’nti. –
วตฺวา ปุน เตหิ กตสฺส กมฺมสฺส ทารุณภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ปหูเต อนฺนปานมฺหี’’ติ ทุติยคาถมาหฯ
Vatvā puna tehi katassa kammassa dāruṇabhāvaṃ dassento ‘‘pahūte annapānamhī’’ti dutiyagāthamāha.
ตตฺถ ปหูเตติ อนปฺปเก พหุมฺหิ, ยาวทตฺถิเกติ วุตฺตํ โหติฯ ภ-การสฺส หิ ห-กาโร ลพฺภติ ‘‘ปหุ สโนฺต น ภรตี’’ติอาทีสุ (สุ. นิ. ๙๘) วิยฯ เกจิ ปน ‘‘พหูเต’’ อิติ จ ‘‘พหูเก’’ อิติ จ ปฐนฺติฯ ปมาทปาฐา เอเต ฯ อเนฺน จ ปานมฺหิ จ อนฺนปานมฺหิฯ ขเชฺช จ โภเชฺช จ ขชฺชโภเชฺช, เอเตน อสิตปีตขายิตสายิตวเสน จตุพฺพิธํ อาหารํ ทเสฺสติฯ อุปฎฺฐิเตติ อุปคมฺม ฐิเต, สชฺชิเต ปฎิยเตฺต สโมหิเตติ วุตฺตํ โหติฯ น เตสํ โกจิ สรติ, สตฺตานนฺติ เตสํ เปตฺติวิสเย อุปฺปนฺนานํ สตฺตานํ โกจิ มาตา วา ปิตา วา ปุโตฺต วา น สรติฯ กิํ การณา? กมฺมปจฺจยา, อตฺตนา กตสฺส อทานทานปฺปฎิเสธนาทิเภทสฺส กทริยกมฺมสฺส ปจฺจยาฯ ตญฺหิ เตสํ กมฺมํ ญาตีนํ สริตุํ น เทติฯ
Tattha pahūteti anappake bahumhi, yāvadatthiketi vuttaṃ hoti. Bha-kārassa hi ha-kāro labbhati ‘‘pahu santo na bharatī’’tiādīsu (su. ni. 98) viya. Keci pana ‘‘bahūte’’ iti ca ‘‘bahūke’’ iti ca paṭhanti. Pamādapāṭhā ete . Anne ca pānamhi ca annapānamhi. Khajje ca bhojje ca khajjabhojje, etena asitapītakhāyitasāyitavasena catubbidhaṃ āhāraṃ dasseti. Upaṭṭhiteti upagamma ṭhite, sajjite paṭiyatte samohiteti vuttaṃ hoti. Na tesaṃ koci sarati, sattānanti tesaṃ pettivisaye uppannānaṃ sattānaṃ koci mātā vā pitā vā putto vā na sarati. Kiṃ kāraṇā? Kammapaccayā, attanā katassa adānadānappaṭisedhanādibhedassa kadariyakammassa paccayā. Tañhi tesaṃ kammaṃ ñātīnaṃ sarituṃ na deti.
ตติยคาถาวณฺณนา
Tatiyagāthāvaṇṇanā
๓. เอวํ ภควา อนปฺปเกปิ อนฺนปานาทิมฺหิ ปจฺจุปฎฺฐิเต ‘‘อปิ นาม อเมฺห อุทฺทิสฺส กิญฺจิ ทเทยฺยุ’’นฺติ ญาตี ปจฺจาสีสนฺตานํ วิจรตํ เตสํ เปตานํ เตหิ กตสฺส อติกฎุกวิปากกรสฺส กมฺมสฺส ปจฺจเยน กสฺสจิ ญาติโน อนุสฺสรณมตฺตาภาวํ ทเสฺสโนฺต –
3. Evaṃ bhagavā anappakepi annapānādimhi paccupaṭṭhite ‘‘api nāma amhe uddissa kiñci dadeyyu’’nti ñātī paccāsīsantānaṃ vicarataṃ tesaṃ petānaṃ tehi katassa atikaṭukavipākakarassa kammassa paccayena kassaci ñātino anussaraṇamattābhāvaṃ dassento –
‘‘ปหูเต อนฺนปานมฺหิ, ขชฺชโภเชฺช อุปฎฺฐิเต;
‘‘Pahūte annapānamhi, khajjabhojje upaṭṭhite;
น เตสํ โกจิ สรติ, สตฺตานํ กมฺมปจฺจยา’’ติฯ –
Na tesaṃ koci sarati, sattānaṃ kammapaccayā’’ti. –
วตฺวา ปุน รโญฺญ เปตฺติวิสยูปปเนฺน ญาตเก อุทฺทิสฺส ทินฺนํ ทานํ ปสํสโนฺต ‘‘เอวํ ททนฺติ ญาตีน’’นฺติ ตติยคาถมาหฯ
Vatvā puna rañño pettivisayūpapanne ñātake uddissa dinnaṃ dānaṃ pasaṃsanto ‘‘evaṃ dadanti ñātīna’’nti tatiyagāthamāha.
ตตฺถ เอวนฺติ อุปมาวจนํฯ ตสฺส ทฺวิธา สมฺพโนฺธ – เตสํ สตฺตานํ กมฺมปจฺจยา อสรเนฺตปิ กิสฺมิญฺจิ ททนฺติ, ญาตีนํ, เย เอวํ อนุกมฺปกา โหนฺตีติ จ ยถา ตยา, มหาราช, ทินฺนํ, เอวํ สุจิํ ปณีตํ กาเลน กปฺปิยํ ปานโภชนํ ททนฺติ ญาตีนํ, เย โหนฺติ อนุกมฺปกาติ จฯ ททนฺตีติ เทนฺติ อุทฺทิสนฺติ นิยฺยาเตนฺติฯ ญาตีนนฺติ มาติโต จ ปิติโต จ สมฺพนฺธานํฯ เยติ เย เกจิ ปุตฺตา วา ธีตโร วา ภาตโร วา โหนฺตีติ ภวนฺติฯ อนุกมฺปกาติ อตฺถกามา หิเตสิโนฯ สุจินฺติ วิมลํ ทสฺสเนยฺยํ มโนรมํ ธมฺมิกํ ธมฺมลทฺธํฯ ปณีตนฺติ อุตฺตมํ เสฎฺฐํฯ กาเลนาติ ญาติเปตานํ ติโรกุฎฺฎาทีสุ อาคนฺตฺวา ฐิตกาเลนฯ กปฺปิยนฺติ อนุจฺฉวิกํ ปติรูปํ อริยานํ ปริโภคารหํฯ ปานโภชนนฺติ ปานญฺจ โภชนญฺจฯ อิธ ปานโภชนมุเขน สโพฺพปิ เทยฺยธโมฺม อธิเปฺปโตฯ
Tattha evanti upamāvacanaṃ. Tassa dvidhā sambandho – tesaṃ sattānaṃ kammapaccayā asarantepi kismiñci dadanti, ñātīnaṃ, ye evaṃ anukampakā hontīti ca yathā tayā, mahārāja, dinnaṃ, evaṃ suciṃ paṇītaṃ kālena kappiyaṃ pānabhojanaṃ dadanti ñātīnaṃ, ye honti anukampakāti ca. Dadantīti denti uddisanti niyyātenti. Ñātīnanti mātito ca pitito ca sambandhānaṃ. Yeti ye keci puttā vā dhītaro vā bhātaro vā hontīti bhavanti. Anukampakāti atthakāmā hitesino. Sucinti vimalaṃ dassaneyyaṃ manoramaṃ dhammikaṃ dhammaladdhaṃ. Paṇītanti uttamaṃ seṭṭhaṃ. Kālenāti ñātipetānaṃ tirokuṭṭādīsu āgantvā ṭhitakālena. Kappiyanti anucchavikaṃ patirūpaṃ ariyānaṃ paribhogārahaṃ. Pānabhojananti pānañca bhojanañca. Idha pānabhojanamukhena sabbopi deyyadhammo adhippeto.
จตุตฺถคาถาปุพฺพทฺธวณฺณนา
Catutthagāthāpubbaddhavaṇṇanā
๔. เอวํ ภควา รญฺญา มาคเธน เปตภูตานํ ญาตีนํ อนุกมฺปาย ทินฺนํ ปานโภชนํ ปสํสโนฺต –
4. Evaṃ bhagavā raññā māgadhena petabhūtānaṃ ñātīnaṃ anukampāya dinnaṃ pānabhojanaṃ pasaṃsanto –
‘‘เอวํ ททนฺติ ญาตีนํ, เย โหนฺติ อนุกมฺปกา;
‘‘Evaṃ dadanti ñātīnaṃ, ye honti anukampakā;
สุจิํ ปณีตํ กาเลน, กปฺปิยํ ปานโภชน’’นฺติฯ –
Suciṃ paṇītaṃ kālena, kappiyaṃ pānabhojana’’nti. –
วตฺวา ปุน เยน ปกาเรน ทินฺนํ เตสํ โหติ, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิทํ โว ญาตีนํ โหตู’’ติ จตุตฺถคาถาย ปุพฺพทฺธมาห ตํ ตติยคาถาย ปุพฺพเทฺธน สมฺพนฺธิตพฺพํ –
Vatvā puna yena pakārena dinnaṃ tesaṃ hoti, taṃ dassento ‘‘idaṃ vo ñātīnaṃ hotū’’ti catutthagāthāya pubbaddhamāha taṃ tatiyagāthāya pubbaddhena sambandhitabbaṃ –
‘‘เอวํ ททนฺติ ญาตีนํ, เย โหนฺติ อนุกมฺปกา ;
‘‘Evaṃ dadanti ñātīnaṃ, ye honti anukampakā ;
อิทํ โว ญาตีนํ โหตุ, สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย’’ติฯ
Idaṃ vo ñātīnaṃ hotu, sukhitā hontu ñātayo’’ti.
เตน ‘‘อิทํ โว ญาตีนํ โหตูติ เอวํ ททนฺติ, โน อญฺญถา’’ติ เอตฺถ อาการเตฺถน เอวํสเทฺทน ทาตพฺพาการนิทสฺสนํ กตํ โหติฯ
Tena ‘‘idaṃ vo ñātīnaṃ hotūti evaṃ dadanti, no aññathā’’ti ettha ākāratthena evaṃsaddena dātabbākāranidassanaṃ kataṃ hoti.
ตตฺถ อิทนฺติ เทยฺยธมฺมนิทสฺสนํฯ โวติ ‘‘กจฺจิ ปน โว อนุรุทฺธา สมคฺคา สโมฺมทมานา’’ติ จ (ม. นิ. ๑.๓๒๖; มหาว. ๔๖๖), ‘‘เยหิ โว อริยา’’ติ จ เอวมาทีสุ วิย เกวลํ นิปาตมตฺตํ, น สามิวจนํฯ ญาตีนํ โหตูติ เปตฺติวิสเย อุปฺปนฺนานํ ญาตกานํ โหตุฯ สุขิตา โหนฺตุ ญาตโยติ เต เปตฺติวิสยูปปนฺนา ญาตโย อิทํ ปจฺจนุภวนฺตา สุขิตา โหนฺตูติฯ
Tattha idanti deyyadhammanidassanaṃ. Voti ‘‘kacci pana vo anuruddhā samaggā sammodamānā’’ti ca (ma. ni. 1.326; mahāva. 466), ‘‘yehi vo ariyā’’ti ca evamādīsu viya kevalaṃ nipātamattaṃ, na sāmivacanaṃ. Ñātīnaṃ hotūti pettivisaye uppannānaṃ ñātakānaṃ hotu. Sukhitā hontu ñātayoti te pettivisayūpapannā ñātayo idaṃ paccanubhavantā sukhitā hontūti.
จตุตฺถคาถาปรทฺธปญฺจมคาถาปุพฺพทฺธวณฺณนา
Catutthagāthāparaddhapañcamagāthāpubbaddhavaṇṇanā
๔-๕. เอวํ ภควา เยน ปกาเรน เปตฺติวิสยูปปนฺนานํ ญาตีนํ ทาตพฺพํ, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อิทํ โว ญาตีนํ โหตุ, สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย’’ติ วตฺวา ปุน ยสฺมา ‘‘อิทํ โว ญาตีนํ โหตู’’ติ วุเตฺตปิ น อเญฺญน กตํ กมฺมํ อญฺญสฺส ผลทํ โหติ, เกวลนฺตุ ตถา อุทฺทิสฺส ทิยฺยมานํ ตํ วตฺถุ ญาตีนํ กุสลกมฺมสฺส ปจฺจโย โหติฯ ตสฺมา ยถา เตสํ ตสฺมิํเยว วตฺถุสฺมิํ ตงฺขเณ ผลนิพฺพตฺตกํ กุสลกมฺมํ โหติ, ตํ ทเสฺสโนฺต ‘‘เต จ ตตฺถา’’ติ จตุตฺถคาถาย ปจฺฉิมทฺธํ ‘‘ปหูเต อนฺนปานมฺหี’’ติ ปญฺจมคาถาย ปุพฺพทฺธญฺจ อาหฯ
4-5. Evaṃ bhagavā yena pakārena pettivisayūpapannānaṃ ñātīnaṃ dātabbaṃ, taṃ dassento ‘‘idaṃ vo ñātīnaṃ hotu, sukhitā hontu ñātayo’’ti vatvā puna yasmā ‘‘idaṃ vo ñātīnaṃ hotū’’ti vuttepi na aññena kataṃ kammaṃ aññassa phaladaṃ hoti, kevalantu tathā uddissa diyyamānaṃ taṃ vatthu ñātīnaṃ kusalakammassa paccayo hoti. Tasmā yathā tesaṃ tasmiṃyeva vatthusmiṃ taṅkhaṇe phalanibbattakaṃ kusalakammaṃ hoti, taṃ dassento ‘‘te ca tatthā’’ti catutthagāthāya pacchimaddhaṃ ‘‘pahūte annapānamhī’’ti pañcamagāthāya pubbaddhañca āha.
เตสํ อโตฺถ – เต ญาติเปตา ยตฺถ ตํ ทานํ ทียติ, ตตฺถ สมนฺตโต อาคนฺตฺวา สมาคนฺตฺวา, สโมธาย วา เอกชฺฌํ หุตฺวาติ วุตฺตํ โหติ, สมฺมา อาคตา สมาคตา ‘‘อิเม โน ญาตโย อมฺหากํ อตฺถาย ทานํ อุทฺทิสิสฺสนฺตี’’ติ เอตทตฺถํ สมฺมา อาคตา หุตฺวาติ วุตฺตํ โหติฯ ปหูเต อนฺนปานมฺหีติ ตสฺมิํ อตฺตโน อุทฺทิสฺสมาเน ปหูเต อนฺนปานมฺหิฯ สกฺกจฺจํ อนุโมทเรติ อภิสทฺทหนฺตา กมฺมผลํ อวิชหนฺตา จิตฺตีการํ อวิกฺขิตฺตจิตฺตา หุตฺวา ‘‘อิทํ โน ทานํ หิตาย สุขาย โหตู’’ติ โมทนฺติ อนุโมทนฺติ, ปีติโสมนสฺสชาตา โหนฺตีติฯ
Tesaṃ attho – te ñātipetā yattha taṃ dānaṃ dīyati, tattha samantato āgantvā samāgantvā, samodhāya vā ekajjhaṃ hutvāti vuttaṃ hoti, sammā āgatā samāgatā ‘‘ime no ñātayo amhākaṃ atthāya dānaṃ uddisissantī’’ti etadatthaṃ sammā āgatā hutvāti vuttaṃ hoti. Pahūte annapānamhīti tasmiṃ attano uddissamāne pahūte annapānamhi. Sakkaccaṃ anumodareti abhisaddahantā kammaphalaṃ avijahantā cittīkāraṃ avikkhittacittā hutvā ‘‘idaṃ no dānaṃ hitāya sukhāya hotū’’ti modanti anumodanti, pītisomanassajātā hontīti.
ปญฺจมคาถาปรทฺธฉฎฺฐคาถาปุพฺพทฺธวณฺณนา
Pañcamagāthāparaddhachaṭṭhagāthāpubbaddhavaṇṇanā
๕-๖. เอวํ ภควา ยถา เปตฺติวิสยูปปนฺนานํ ตงฺขเณ ผลนิพฺพตฺตกํ กุสลํ กมฺมํ โหติ, ตํ ทเสฺสโนฺต –
5-6. Evaṃ bhagavā yathā pettivisayūpapannānaṃ taṅkhaṇe phalanibbattakaṃ kusalaṃ kammaṃ hoti, taṃ dassento –
‘‘เต จ ตตฺถ สมาคนฺตฺวา, ญาติเปตา สมาคตา;
‘‘Te ca tattha samāgantvā, ñātipetā samāgatā;
ปหูเต อนฺนปานมฺหิ, สกฺกจฺจํ อนุโมทเร’’ติฯ –
Pahūte annapānamhi, sakkaccaṃ anumodare’’ti. –
วตฺวา ปุน ญาตเก นิสฺสาย นิพฺพตฺตกุสลกมฺมผลํ ปจฺจนุโภนฺตานํ เตสํ ญาตี อารพฺภ โถมนาการํ ทเสฺสโนฺต ‘‘จิรํ ชีวนฺตู’’ติ ปญฺจมคาถาย ปจฺฉิมทฺธํ ‘‘อมฺหากญฺจ กตา ปูชา’’ติ ฉฎฺฐคาถาย ปุพฺพทฺธญฺจ อาหฯ
Vatvā puna ñātake nissāya nibbattakusalakammaphalaṃ paccanubhontānaṃ tesaṃ ñātī ārabbha thomanākāraṃ dassento ‘‘ciraṃ jīvantū’’ti pañcamagāthāya pacchimaddhaṃ ‘‘amhākañca katā pūjā’’ti chaṭṭhagāthāya pubbaddhañca āha.
เตสํ อโตฺถ – จิรํ ชีวนฺตูติ จิรชีวิโน ทีฆายุกา โหนฺตุฯ โน ญาตีติ อมฺหากํ ญาตกาฯ เยสํ เหตูติ เย นิสฺสาย เยสํ การณาฯ ลภามเสติ ลภามฯ อตฺตนา ตงฺขณํ ปฎิลทฺธสมฺปตฺติํ อปทิสนฺตา ภณนฺติฯ เปตานญฺหิ อตฺตโน อนุโมทเนน, ทายกานํ อุเทฺทเสน, ทกฺขิเณยฺยสมฺปทาย จาติ ตีหิ อเงฺคหิ ทกฺขิณา สมิชฺฌติ, ตงฺขเณ ผลนิพฺพตฺติกา โหติฯ ตตฺถ ทายกา วิเสสเหตุฯ เตนาหํสุ ‘‘เยสํ เหตุ ลภามเส’’ติฯ อมฺหากญฺจ กตา ปูชาติ ‘‘อิทํ โว ญาตีนํ โหตู’’ติ เอวํ อิมํ ทานํ อุทฺทิสเนฺตหิ อมฺหากญฺจ ปูชา กตาฯ ทายกา จ อนิปฺผลาติ ยมฺหิ สนฺตาเน ปริจฺจาคมยํ กมฺมํ กตํ, ตสฺส ตเตฺถว ผลทานโต ทายกา จ อนิปฺผลาติฯ
Tesaṃ attho – ciraṃ jīvantūti cirajīvino dīghāyukā hontu. No ñātīti amhākaṃ ñātakā. Yesaṃ hetūti ye nissāya yesaṃ kāraṇā. Labhāmaseti labhāma. Attanā taṅkhaṇaṃ paṭiladdhasampattiṃ apadisantā bhaṇanti. Petānañhi attano anumodanena, dāyakānaṃ uddesena, dakkhiṇeyyasampadāya cāti tīhi aṅgehi dakkhiṇā samijjhati, taṅkhaṇe phalanibbattikā hoti. Tattha dāyakā visesahetu. Tenāhaṃsu ‘‘yesaṃ hetu labhāmase’’ti. Amhākañca katā pūjāti ‘‘idaṃ vo ñātīnaṃ hotū’’ti evaṃ imaṃ dānaṃ uddisantehi amhākañca pūjā katā. Dāyakā ca anipphalāti yamhi santāne pariccāgamayaṃ kammaṃ kataṃ, tassa tattheva phaladānato dāyakā ca anipphalāti.
เอตฺถาห – ‘‘กิํ ปน เปตฺติวิสยูปปนฺนา เอว ญาตโย ลภนฺติ, อุทาหุ อเญฺญปิ ลภนฺตี’’ติ ? วุจฺจเต – ภควตา เอเวตํ พฺยากตํ ชาณุโสฺสณินา พฺราหฺมเณน ปุเฎฺฐน, กิเมตฺถ อเมฺหหิ วตฺตพฺพํ อตฺถิฯ วุตฺตํ เหตํ –
Etthāha – ‘‘kiṃ pana pettivisayūpapannā eva ñātayo labhanti, udāhu aññepi labhantī’’ti ? Vuccate – bhagavatā evetaṃ byākataṃ jāṇussoṇinā brāhmaṇena puṭṭhena, kimettha amhehi vattabbaṃ atthi. Vuttaṃ hetaṃ –
‘‘มยมสฺสุ, โภ โคตม, พฺราหฺมณา นาม ทานานิ เทม, สทฺธานิ กโรม ‘อิทํ ทานํ เปตานํ ญาติสาโลหิตานํ อุปกปฺปตุ, อิทํ ทานํ เปตา ญาติสาโลหิตา ปริภุญฺชนฺตู’ติ, กจฺจิ ตํ, โภ โคตม, ทานํ เปตานํ ญาติสาโลหิตานํ อุปกปฺปติ, กจฺจิ เต เปตา ญาติสาโลหิตา ตํ ทานํ ปริภุญฺชนฺตีติฯ ฐาเน โข, พฺราหฺมณ, อุปกปฺปติ, โน อฎฺฐาเนติฯ
‘‘Mayamassu, bho gotama, brāhmaṇā nāma dānāni dema, saddhāni karoma ‘idaṃ dānaṃ petānaṃ ñātisālohitānaṃ upakappatu, idaṃ dānaṃ petā ñātisālohitā paribhuñjantū’ti, kacci taṃ, bho gotama, dānaṃ petānaṃ ñātisālohitānaṃ upakappati, kacci te petā ñātisālohitā taṃ dānaṃ paribhuñjantīti. Ṭhāne kho, brāhmaṇa, upakappati, no aṭṭhāneti.
‘‘กตมํ ปน ตํ, โภ โคตม, ฐานํ, กตมํ อฎฺฐานนฺติ? อิธ, พฺราหฺมณ, เอกโจฺจ ปาณาติปาตี โหติ…เป.… มิจฺฉาทิฎฺฐิโก โหติ, โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา นิรยํ อุปปชฺชติฯ โย เนรยิกานํ สตฺตานํ อาหาโร, เตน โส ตตฺถ ยาเปติ, เตน โส ตตฺถ ติฎฺฐติฯ อิทํ โข, พฺราหฺมณ, อฎฺฐานํ, ยตฺถ ฐิตสฺส ตํ ทานํ น อุปกปฺปติฯ
‘‘Katamaṃ pana taṃ, bho gotama, ṭhānaṃ, katamaṃ aṭṭhānanti? Idha, brāhmaṇa, ekacco pāṇātipātī hoti…pe… micchādiṭṭhiko hoti, so kāyassa bhedā paraṃ maraṇā nirayaṃ upapajjati. Yo nerayikānaṃ sattānaṃ āhāro, tena so tattha yāpeti, tena so tattha tiṭṭhati. Idaṃ kho, brāhmaṇa, aṭṭhānaṃ, yattha ṭhitassa taṃ dānaṃ na upakappati.
‘‘อิธ ปน, พฺราหฺมณ, เอกโจฺจ ปาณาติปาตี โหติ…เป.… มิจฺฉาทิฎฺฐิโก โหติ, โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา ติรจฺฉานโยนิํ อุปปชฺชติฯ โย ติรจฺฉานโยนิกานํ สตฺตานํ อาหาโร, เตน โส ตตฺถ ยาเปติ, เตน โส ตตฺถ ติฎฺฐติฯ อิทมฺปิ โข, พฺราหฺมณ, อฎฺฐานํ, ยตฺถ ฐิตสฺส ตํ ทานํ น อุปกปฺปติฯ
‘‘Idha pana, brāhmaṇa, ekacco pāṇātipātī hoti…pe… micchādiṭṭhiko hoti, so kāyassa bhedā paraṃ maraṇā tiracchānayoniṃ upapajjati. Yo tiracchānayonikānaṃ sattānaṃ āhāro, tena so tattha yāpeti, tena so tattha tiṭṭhati. Idampi kho, brāhmaṇa, aṭṭhānaṃ, yattha ṭhitassa taṃ dānaṃ na upakappati.
‘‘อิธ ปน, พฺราหฺมณ, เอกโจฺจ ปาณาติปาตา ปฎิวิรโต โหติ…เป.… สมฺมาทิฎฺฐิโก โหติ, โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา มนุสฺสานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชติ…เป.… เทวานํ สหพฺยตํ อุปปชฺชติฯ โย เทวานํ อาหาโร, เตน โส ตตฺถ ยาเปติ, เตน โส ตตฺถ ติฎฺฐติฯ อิทมฺปิ โข, พฺราหฺมณ, อฎฺฐานํ, ยตฺถ ฐิตสฺส ตํ ทานํ น อุปกปฺปติฯ
‘‘Idha pana, brāhmaṇa, ekacco pāṇātipātā paṭivirato hoti…pe… sammādiṭṭhiko hoti, so kāyassa bhedā paraṃ maraṇā manussānaṃ sahabyataṃ upapajjati…pe… devānaṃ sahabyataṃ upapajjati. Yo devānaṃ āhāro, tena so tattha yāpeti, tena so tattha tiṭṭhati. Idampi kho, brāhmaṇa, aṭṭhānaṃ, yattha ṭhitassa taṃ dānaṃ na upakappati.
‘‘อิธ ปน, พฺราหฺมณ, เอกโจฺจ ปาณาติปาตี โหติ…เป.… มิจฺฉาทิฎฺฐิโก โหติ, โส กายสฺส เภทา ปรํ มรณา เปตฺติวิสยํ อุปปชฺชติฯ โย เปตฺติเวสยิกานํ สตฺตานํ อาหาโร, เตน โส ตตฺถ ยาเปติ, เตน โส ตตฺถ ติฎฺฐติฯ ยํ วา ปนสฺส อิโต อนุปเวจฺฉนฺติ มิตฺตามจฺจา วา ญาติสาโลหิตา วา, เตน โส ตตฺถ ยาเปติ, เตน โส ตตฺถ ติฎฺฐติฯ อิทํ โข, พฺราหฺมณ, ฐานํ, ยตฺถ ฐิตสฺส ตํ ทานํ อุปกปฺปตีติฯ
‘‘Idha pana, brāhmaṇa, ekacco pāṇātipātī hoti…pe… micchādiṭṭhiko hoti, so kāyassa bhedā paraṃ maraṇā pettivisayaṃ upapajjati. Yo pettivesayikānaṃ sattānaṃ āhāro, tena so tattha yāpeti, tena so tattha tiṭṭhati. Yaṃ vā panassa ito anupavecchanti mittāmaccā vā ñātisālohitā vā, tena so tattha yāpeti, tena so tattha tiṭṭhati. Idaṃ kho, brāhmaṇa, ṭhānaṃ, yattha ṭhitassa taṃ dānaṃ upakappatīti.
‘‘สเจ ปน, โภ โคตม, โส เปโต ญาติสาโลหิโต ตํ ฐานํ อนุปปโนฺน โหติ, โก ตํ ทานํ ปริภุญฺชตีติ? อเญฺญปิสฺส, พฺราหฺมณ, เปตา ญาติสาโลหิตา ตํ ฐานํ อุปปนฺนา โหนฺติ, เต ตํ ทานํ ปริภุญฺชนฺตีติฯ
‘‘Sace pana, bho gotama, so peto ñātisālohito taṃ ṭhānaṃ anupapanno hoti, ko taṃ dānaṃ paribhuñjatīti? Aññepissa, brāhmaṇa, petā ñātisālohitā taṃ ṭhānaṃ upapannā honti, te taṃ dānaṃ paribhuñjantīti.
‘‘สเจ ปน, โภ โคตม, โส เจว เปโต ญาติสาโลหิโต ตํ ฐานํ อนุปปโนฺน โหติ, อเญฺญปิสฺส เปตา ญาติสาโลหิตา ตํ ฐานํ อนุปปนฺนา โหนฺติ, โก ตํ ทานํ ปริภุญฺชตีติ? อฎฺฐานํ โข เอตํ พฺราหฺมณ อนวกาโส, ยํ ตํ ฐานํ วิวิตฺตํ อสฺส อิมินา ทีเฆน อทฺธุนา ยทิทํ เปเตหิ ญาติสาโลหิเตหิฯ อปิจ พฺราหฺมณ ทายโกปิ อนิปฺผโล’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๑๗๗)ฯ
‘‘Sace pana, bho gotama, so ceva peto ñātisālohito taṃ ṭhānaṃ anupapanno hoti, aññepissa petā ñātisālohitā taṃ ṭhānaṃ anupapannā honti, ko taṃ dānaṃ paribhuñjatīti? Aṭṭhānaṃ kho etaṃ brāhmaṇa anavakāso, yaṃ taṃ ṭhānaṃ vivittaṃ assa iminā dīghena addhunā yadidaṃ petehi ñātisālohitehi. Apica brāhmaṇa dāyakopi anipphalo’’ti (a. ni. 10.177).
ฉฎฺฐคาถาปรทฺธสตฺตมคาถาวณฺณนา
Chaṭṭhagāthāparaddhasattamagāthāvaṇṇanā
๖-๗. เอวํ ภควา รโญฺญ มาคธสฺส เปตฺติวิสยูปปนฺนานํ ปุพฺพญาตีนํ สมฺปตฺติํ นิสฺสาย โถเมโนฺต ‘‘เอเต เต, มหาราช, ญาตี อิมาย ทานสมฺปทาย อตฺตมนา เอวํ โถเมนฺตี’’ติ ทเสฺสโนฺต –
6-7. Evaṃ bhagavā rañño māgadhassa pettivisayūpapannānaṃ pubbañātīnaṃ sampattiṃ nissāya thomento ‘‘ete te, mahārāja, ñātī imāya dānasampadāya attamanā evaṃ thomentī’’ti dassento –
‘‘จิรํ ชีวนฺตุ โน ญาตี, เยสํ เหตุ ลภามเส;
‘‘Ciraṃ jīvantu no ñātī, yesaṃ hetu labhāmase;
อมฺหากญฺจ กตา ปูชา, ทายกา จ อนิปฺผลา’’ติฯ –
Amhākañca katā pūjā, dāyakā ca anipphalā’’ti. –
วตฺวา ปุน เตสํ เปตฺติวิสยูปปนฺนานํ อญฺญสฺส กสิโครกฺขาทิโน สมฺปตฺติปฎิลาภการณสฺส อภาวํ อิโต ทิเนฺนน ยาปนภาวญฺจ ทเสฺสโนฺต ‘‘น หิ ตตฺถ กสี อตฺถี’’ติ ฉฎฺฐคาถาย ปจฺฉิมทฺธํ ‘‘วณิชฺชา ตาทิสี’’ติ อิมํ สตฺตมคาถญฺจ อาหฯ
Vatvā puna tesaṃ pettivisayūpapannānaṃ aññassa kasigorakkhādino sampattipaṭilābhakāraṇassa abhāvaṃ ito dinnena yāpanabhāvañca dassento ‘‘na hi tattha kasī atthī’’ti chaṭṭhagāthāya pacchimaddhaṃ ‘‘vaṇijjā tādisī’’ti imaṃ sattamagāthañca āha.
ตตฺรายํ อตฺถวณฺณนา – น หิ, มหาราช, ตตฺถ เปตฺติวิสเย กสิ อตฺถิ, ยํ นิสฺสาย เต เปตา สมฺปตฺติํ ปฎิลเภยฺยุํฯ โครเกฺขตฺถ น วิชฺชตีติ น เกวลํ กสิ เอว, โครกฺขาปิ เอตฺถ เปตฺติวิสเย น วิชฺชติ, ยํ นิสฺสาย เต สมฺปตฺติํ ปฎิลเภยฺยุํฯ วณิชฺชา ตาทิสี นตฺถีติ วาณิชฺชาปิ ตาทิสี นตฺถิ, ยา เตสํ สมฺปตฺติปฎิลาภเหตุ ภเวยฺยฯ หิรเญฺญน กยากยนฺติ หิรเญฺญน กยวิกฺกยมฺปิ ตตฺถ ตาทิสํ นตฺถิ, ยํ เตสํ สมฺปตฺติปฎิลาภเหตุ ภเวยฺยฯ อิโต ทิเนฺนน ยาเปนฺติ, เปตา กาลคตา ตหินฺติ เกวลํ ปน อิโต ญาตีหิ วา มิตฺตามเจฺจหิ วา ทิเนฺนน ยาเปนฺติ, อตฺตภาวํ คเมนฺติฯ เปตาติ เปตฺติวิสยูปปนฺนา สตฺตาฯ กาลคตาติ อตฺตโน มรณกาเลน คตา, ‘‘กาลกตา’’ติ วา ปาโฐ, กตกาลา กตมรณาติ อโตฺถฯ ตหินฺติ ตสฺมิํ เปตฺติวิสเยฯ
Tatrāyaṃ atthavaṇṇanā – na hi, mahārāja, tattha pettivisaye kasi atthi, yaṃ nissāya te petā sampattiṃ paṭilabheyyuṃ. Gorakkhettha na vijjatīti na kevalaṃ kasi eva, gorakkhāpi ettha pettivisaye na vijjati, yaṃ nissāya te sampattiṃ paṭilabheyyuṃ. Vaṇijjā tādisī natthīti vāṇijjāpi tādisī natthi, yā tesaṃ sampattipaṭilābhahetu bhaveyya. Hiraññena kayākayanti hiraññena kayavikkayampi tattha tādisaṃ natthi, yaṃ tesaṃ sampattipaṭilābhahetu bhaveyya. Ito dinnena yāpenti, petā kālagatā tahinti kevalaṃ pana ito ñātīhi vā mittāmaccehi vā dinnena yāpenti, attabhāvaṃ gamenti. Petāti pettivisayūpapannā sattā. Kālagatāti attano maraṇakālena gatā, ‘‘kālakatā’’ti vā pāṭho, katakālā katamaraṇāti attho. Tahinti tasmiṃ pettivisaye.
อฎฺฐมนวมคาถาทฺวยวณฺณนา
Aṭṭhamanavamagāthādvayavaṇṇanā
๘-๙. เอวํ ‘‘อิโต ทิเนฺนน ยาเปนฺติ, เปตา กาลคตา ตหิ’’นฺติ วตฺวา อิทานิ อุปมาหิ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต ‘‘อุนฺนเม อุทกํ วุฎฺฐ’’นฺติ อิทํ คาถาทฺวยมาหฯ
8-9. Evaṃ ‘‘ito dinnena yāpenti, petā kālagatā tahi’’nti vatvā idāni upamāhi tamatthaṃ pakāsento ‘‘unname udakaṃ vuṭṭha’’nti idaṃ gāthādvayamāha.
ตสฺสโตฺถ – ยถา อุนฺนเต ถเล อุสฺสาเท ภูมิภาเค เมเฆหิ อภิวุฎฺฐํ อุทกํ นินฺนํ ปวตฺตติ, โย โย ภูมิภาโค นิโนฺน โอณโต, ตํ ตํ ปวตฺตติ คจฺฉติ ปาปุณาติ, เอวเมว อิโต ทินฺนํ ทานํ เปตานํ อุปกปฺปติ นิพฺพตฺตติ, ปาตุภวตีติ อโตฺถฯ นินฺนมิว หิ อุทกปฺปวตฺติยา ฐานํ เปตโลโก ทานุปกปฺปนายฯ ยถาห – ‘‘อิทํ โข, พฺราหฺมณ, ฐานํ, ยตฺถ ฐิตสฺส ตํ ทานํ อุปกปฺปตี’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๑๗๗)ฯ ยถา จ กนฺทรปทรสาขาปสาขกุโสพฺภมหาโสพฺภสนฺนิปาเตหิ วาริวหา มหานโชฺช ปูรา หุตฺวา สาครํ ปริปูเรนฺติ, เอวมฺปิ อิโต ทินฺนทานํ ปุเพฺพ วุตฺตนเยเนว เปตานํ อุปกปฺปตีติฯ
Tassattho – yathā unnate thale ussāde bhūmibhāge meghehi abhivuṭṭhaṃ udakaṃ ninnaṃ pavattati, yo yo bhūmibhāgo ninno oṇato, taṃ taṃ pavattati gacchati pāpuṇāti, evameva ito dinnaṃ dānaṃ petānaṃ upakappati nibbattati, pātubhavatīti attho. Ninnamiva hi udakappavattiyā ṭhānaṃ petaloko dānupakappanāya. Yathāha – ‘‘idaṃ kho, brāhmaṇa, ṭhānaṃ, yattha ṭhitassa taṃ dānaṃ upakappatī’’ti (a. ni. 10.177). Yathā ca kandarapadarasākhāpasākhakusobbhamahāsobbhasannipātehi vārivahā mahānajjo pūrā hutvā sāgaraṃ paripūrenti, evampi ito dinnadānaṃ pubbe vuttanayeneva petānaṃ upakappatīti.
ทสมคาถาวณฺณนา
Dasamagāthāvaṇṇanā
๑๐. เอวํ ภควา ‘‘อิโต ทิเนฺนน ยาเปนฺติ, เปตา กาลคตา ตหิ’’นฺติ อิมํ อตฺถํ อุปมาหิ ปกาเสตฺวา ปุน ยสฺมา เต เปตา ‘‘อิโต กิญฺจิ ลจฺฉามา’’ติ อาสาภิภูตา ญาติฆรํ อาคนฺตฺวาปิ ‘‘อิทํ นาม โน เทถา’’ติ ยาจิตุํ อสมตฺถา, ตสฺมา เตสํ อิมานิ อนุสฺสรณวตฺถูนิ อนุสฺสรโนฺต กุลปุโตฺต ทกฺขิณํ ทชฺชาติ ทเสฺสโนฺต ‘‘อทาสิ เม’’ติ อิมํ คาถมาหฯ
10. Evaṃ bhagavā ‘‘ito dinnena yāpenti, petā kālagatā tahi’’nti imaṃ atthaṃ upamāhi pakāsetvā puna yasmā te petā ‘‘ito kiñci lacchāmā’’ti āsābhibhūtā ñātigharaṃ āgantvāpi ‘‘idaṃ nāma no dethā’’ti yācituṃ asamatthā, tasmā tesaṃ imāni anussaraṇavatthūni anussaranto kulaputto dakkhiṇaṃ dajjāti dassento ‘‘adāsi me’’ti imaṃ gāthamāha.
ตสฺสโตฺถ – ‘‘อิทํ นาม เม ธนํ วา ธญฺญํ วา อทาสี’’ติ จ, ‘‘อิทํ นาม เม กิจฺจํ อตฺตนา อุโยฺยคมาปชฺชโนฺต อกาสี’’ติ จ, ‘‘อมุ เม มาติโต วา ปิติโต วา สมฺพนฺธตฺตา ญาตี’’ติ จ สิเนหวเสน ตาณสมตฺถตาย ‘‘มิตฺตา’’ติ จ, ‘‘อสุโก เม สห ปํสุกีฬโก สขา’’ติ จ เอวํ สพฺพมนุสฺสรโนฺต เปตานํ ทกฺขิณํ ทชฺชา, ทานํ นิยฺยาเตยฺยาติฯ อปโร ปาโฐ ‘‘เปตานํ ทกฺขิณา ทชฺชา’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – ทาตพฺพาติ ทชฺชาฯ กา สา? เปตานํ ทกฺขิณา, เตเนว ‘‘อทาสิ เม’’ติอาทินา นเยน ปุเพฺพ กตมนุสฺสรํ อนุสฺสรตาติ วุตฺตํ โหติฯ กรณวจนปฺปสเงฺค ปจฺจตฺตวจนํ เวทิตพฺพํฯ
Tassattho – ‘‘idaṃ nāma me dhanaṃ vā dhaññaṃ vā adāsī’’ti ca, ‘‘idaṃ nāma me kiccaṃ attanā uyyogamāpajjanto akāsī’’ti ca, ‘‘amu me mātito vā pitito vā sambandhattā ñātī’’ti ca sinehavasena tāṇasamatthatāya ‘‘mittā’’ti ca, ‘‘asuko me saha paṃsukīḷako sakhā’’ti ca evaṃ sabbamanussaranto petānaṃ dakkhiṇaṃ dajjā, dānaṃ niyyāteyyāti. Aparo pāṭho ‘‘petānaṃ dakkhiṇā dajjā’’ti. Tassattho – dātabbāti dajjā. Kā sā? Petānaṃ dakkhiṇā, teneva ‘‘adāsi me’’tiādinā nayena pubbe katamanussaraṃ anussaratāti vuttaṃ hoti. Karaṇavacanappasaṅge paccattavacanaṃ veditabbaṃ.
เอกาทสมคาถาวณฺณนา
Ekādasamagāthāvaṇṇanā
๑๑. เอวํ ภควา เปตานํ ทกฺขิณานิยฺยาตเน การณภูตานิ อนุสฺสรณวตฺถูนิ ทเสฺสโนฺต –
11. Evaṃ bhagavā petānaṃ dakkhiṇāniyyātane kāraṇabhūtāni anussaraṇavatthūni dassento –
‘‘อทาสิ เม อกาสิ เม, ญาติมิตฺตา สขา จ เม;
‘‘Adāsi me akāsi me, ñātimittā sakhā ca me;
เปตานํ ทกฺขิณํ ทชฺชา, ปุเพฺพ กตมนุสฺสร’’นฺติฯ –
Petānaṃ dakkhiṇaṃ dajjā, pubbe katamanussara’’nti. –
วตฺวา ปุน เย ญาติมรเณน รุณฺณโสกาทิปรา เอว หุตฺวา ติฎฺฐนฺติ, น เตสํ อตฺถาย กิญฺจิ เทนฺติ, เตสํ ตํ รุณฺณโสกาทิ เกวลํ อตฺตปริตาปนเมว โหติ, น เปตานํ กิญฺจิ อตฺถํ นิปฺผาเทตีติ ทเสฺสโนฺต ‘‘น หิ รุณฺณํ วา’’ติ อิมํ คาถมาหฯ
Vatvā puna ye ñātimaraṇena ruṇṇasokādiparā eva hutvā tiṭṭhanti, na tesaṃ atthāya kiñci denti, tesaṃ taṃ ruṇṇasokādi kevalaṃ attaparitāpanameva hoti, na petānaṃ kiñci atthaṃ nipphādetīti dassento ‘‘na hi ruṇṇaṃ vā’’ti imaṃ gāthamāha.
ตตฺถ รุณฺณนฺติ โรทนา โรทิตตฺตํ อสฺสุปาตนํ, เอเตน กายปริสฺสมํ ทเสฺสติฯ โสโกติ โสจนา โสจิตตฺตํ, เอเตน จิตฺตปริสฺสมํ ทเสฺสติฯ ยา จญฺญาติ ยา จ รุณฺณโสเกหิ อญฺญาฯ ปริเทวนาติ ญาติพฺยสเนน ผุฎฺฐสฺส ลาลปฺปนา, ‘‘กหํ เอกปุตฺตก ปิย มนาปา’’ติ เอวมาทินา นเยน คุณสํวณฺณนา, เอเตน วจีปริสฺสมํ ทเสฺสติฯ
Tattha ruṇṇanti rodanā roditattaṃ assupātanaṃ, etena kāyaparissamaṃ dasseti. Sokoti socanā socitattaṃ, etena cittaparissamaṃ dasseti. Yā caññāti yā ca ruṇṇasokehi aññā. Paridevanāti ñātibyasanena phuṭṭhassa lālappanā, ‘‘kahaṃ ekaputtaka piya manāpā’’ti evamādinā nayena guṇasaṃvaṇṇanā, etena vacīparissamaṃ dasseti.
ทฺวาทสมคาถาวณฺณนา
Dvādasamagāthāvaṇṇanā
๑๒. เอวํ ภควา ‘‘รุณฺณํ วา โสโก วา ยา จญฺญา ปริเทวนา, สพฺพมฺปิ ตํ เปตานํ อตฺถาย น โหติ, เกวลนฺตุ อตฺตานํ ปริตาปนมตฺตเมว, เอวํ ติฎฺฐนฺติ ญาตโย’’ติ รุณฺณาทีนํ นิรตฺถกภาวํ ทเสฺสตฺวา ปุน มาคธราเชน ยา ทกฺขิณา ทินฺนา, ตสฺสา สาตฺถกภาวํ ทเสฺสโนฺต ‘‘อยญฺจ โข ทกฺขิณา’’ติ อิมํ คาถมาหฯ
12. Evaṃ bhagavā ‘‘ruṇṇaṃ vā soko vā yā caññā paridevanā, sabbampi taṃ petānaṃ atthāya na hoti, kevalantu attānaṃ paritāpanamattameva, evaṃ tiṭṭhanti ñātayo’’ti ruṇṇādīnaṃ niratthakabhāvaṃ dassetvā puna māgadharājena yā dakkhiṇā dinnā, tassā sātthakabhāvaṃ dassento ‘‘ayañca kho dakkhiṇā’’ti imaṃ gāthamāha.
ตสฺสโตฺถ – อยญฺจ โข, มหาราช, ทกฺขิณา ตยา อชฺช อตฺตโน ญาติคณํ อุทฺทิสฺส ทินฺนา , สา ยสฺมา สโงฺฆ อนุตฺตรํ ปุญฺญเกฺขตฺตํ โลกสฺส, ตสฺมา สงฺฆมฺหิ สุปฺปติฎฺฐิตา อสฺส เปตชนสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย อุปกปฺปติ สมฺปชฺชติ ผลตีติ วุตฺตํ โหติฯ อุปกปฺปตีติ จ ฐานโส อุปกปฺปติ, ตํขณํเยว อุปกปฺปติ, น จิเรนฯ ยถา หิ ตํขณเญฺญว ปฎิภนฺตํ ‘‘ฐานโสเวตํ ตถาคตํ ปฎิภาตี’’ติ วุจฺจติ, เอวมิธาปิ ตํขณํเยว อุปกปฺปนฺตา ‘‘ฐานโส อุปกปฺปตี’’ติ วุตฺตาฯ ยํ วา ตํ ‘‘อิทํ โข, พฺราหฺมณ, ฐานํ, ยตฺถ ฐิตสฺส ตํ ทานํ อุปกปฺปตี’’ติ (อ. นิ. ๑๐.๑๗๗) วุตฺตํ, ตตฺถ ขุปฺปิปาสิกวนฺตาสปรทตฺตูปชีวินิชฺฌามตณฺหิกาทิเภทภิเนฺน ฐาเน อุปกปฺปตีติ วุตฺตํ ยถา กหาปณํ เทโนฺต ‘‘กหาปณโส เทตี’’ติ โลเก วุจฺจติฯ อิมสฺมิญฺจ อตฺถวิกเปฺป อุปกปฺปตีติ ปาตุภวติ, นิพฺพตฺตตีติ วุตฺตํ โหติฯ
Tassattho – ayañca kho, mahārāja, dakkhiṇā tayā ajja attano ñātigaṇaṃ uddissa dinnā , sā yasmā saṅgho anuttaraṃ puññakkhettaṃ lokassa, tasmā saṅghamhi suppatiṭṭhitā assa petajanassa dīgharattaṃ hitāya upakappati sampajjati phalatīti vuttaṃ hoti. Upakappatīti ca ṭhānaso upakappati, taṃkhaṇaṃyeva upakappati, na cirena. Yathā hi taṃkhaṇaññeva paṭibhantaṃ ‘‘ṭhānasovetaṃ tathāgataṃ paṭibhātī’’ti vuccati, evamidhāpi taṃkhaṇaṃyeva upakappantā ‘‘ṭhānaso upakappatī’’ti vuttā. Yaṃ vā taṃ ‘‘idaṃ kho, brāhmaṇa, ṭhānaṃ, yattha ṭhitassa taṃ dānaṃ upakappatī’’ti (a. ni. 10.177) vuttaṃ, tattha khuppipāsikavantāsaparadattūpajīvinijjhāmataṇhikādibhedabhinne ṭhāne upakappatīti vuttaṃ yathā kahāpaṇaṃ dento ‘‘kahāpaṇaso detī’’ti loke vuccati. Imasmiñca atthavikappe upakappatīti pātubhavati, nibbattatīti vuttaṃ hoti.
เตรสมคาถาวณฺณนา
Terasamagāthāvaṇṇanā
๑๓. เอวํ ภควา รญฺญา ทินฺนาย ทกฺขิณาย สาตฺถกภาวํ ทเสฺสโนฺต –
13. Evaṃ bhagavā raññā dinnāya dakkhiṇāya sātthakabhāvaṃ dassento –
‘‘อยญฺจ โข ทกฺขิณา ทินฺนา, สงฺฆมฺหิ สุปฺปติฎฺฐิตา;
‘‘Ayañca kho dakkhiṇā dinnā, saṅghamhi suppatiṭṭhitā;
ทีฆรตฺตํ หิตายสฺส, ฐานโส อุปกปฺปตี’’ติฯ –
Dīgharattaṃ hitāyassa, ṭhānaso upakappatī’’ti. –
วตฺวา ปุน ยสฺมา อิมํ ทกฺขิณํ เทเนฺตน ญาตีนํ ญาตีหิ กตฺตพฺพกิจฺจกรณวเสน ญาติธโมฺม นิทสฺสิโต, พหุชนสฺส ปากฎีกโต, นิทสฺสนํ วา กโต, ตุเมฺหหิปิ ญาตีนํ เอวเมว ญาตีหิ กตฺตพฺพกิจฺจกรณวเสน ญาติธโมฺม ปริปูเรตโพฺพ, น นิรตฺถเกหิ รุณฺณาทีหิ อตฺตา ปริตาเปตโพฺพติ จ เปเต ทิพฺพสมฺปตฺติํ อธิคเมเนฺตน เปตานํ ปูชา กตา อุฬารา, พุทฺธปฺปมุขญฺจ ภิกฺขุสงฺฆํ อนฺนปานาทีหิ สนฺตเปฺปเนฺตน ภิกฺขูนํ พลํ อนุปทินฺนํ, อนุกมฺปาทิคุณปริวารญฺจ จาคเจตนํ นิพฺพเตฺตเนฺตน อนปฺปกํ ปุญฺญํ ปสุตํ, ตสฺมา ภควา อิเมหิ ยถาภุจฺจคุเณหิ ราชานํ สมฺปหํเสโนฺต –
Vatvā puna yasmā imaṃ dakkhiṇaṃ dentena ñātīnaṃ ñātīhi kattabbakiccakaraṇavasena ñātidhammo nidassito, bahujanassa pākaṭīkato, nidassanaṃ vā kato, tumhehipi ñātīnaṃ evameva ñātīhi kattabbakiccakaraṇavasena ñātidhammo paripūretabbo, na niratthakehi ruṇṇādīhi attā paritāpetabboti ca pete dibbasampattiṃ adhigamentena petānaṃ pūjā katā uḷārā, buddhappamukhañca bhikkhusaṅghaṃ annapānādīhi santappentena bhikkhūnaṃ balaṃ anupadinnaṃ, anukampādiguṇaparivārañca cāgacetanaṃ nibbattentena anappakaṃ puññaṃ pasutaṃ, tasmā bhagavā imehi yathābhuccaguṇehi rājānaṃ sampahaṃsento –
‘‘โส ญาติธโมฺม จ อยํ นิทสฺสิโต,
‘‘So ñātidhammo ca ayaṃ nidassito,
เปตาน ปูชา จ กตา อุฬารา;
Petāna pūjā ca katā uḷārā;
พลญฺจ ภิกฺขูนมนุปฺปทินฺนํ,
Balañca bhikkhūnamanuppadinnaṃ,
ตุเมฺหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปก’’นฺติฯ –
Tumhehi puññaṃ pasutaṃ anappaka’’nti. –
อิมาย คาถาย เทสนํ ปริโยสาเปติฯ
Imāya gāthāya desanaṃ pariyosāpeti.
อถ วา ‘‘โส ญาติธโมฺม จ อยํ นิทสฺสิโต’’ติ อิมินา คาถาปเทน ภควา ราชานํ ธมฺมิยา กถาย สนฺทเสฺสติฯ ญาติธมฺมนิทสฺสนเมว หิ เอตฺถ สนฺทสฺสนํ เปตาน ปูชา จ กตา อุฬาราติ อิมินา สมาทเปติฯ อุฬาราติ ปสํสนเมว หิ เอตฺถ ปุนปฺปุนํ ปูชากรเณ สมาทปนํฯ พลญฺจ ภิกฺขูนมนุปฺปทินฺนนฺติ อิมินา สมุเตฺตเชติฯ พลานุปฺปทานเมว หิ เอตฺถ เอวํ ทานํ, พลานุปฺปทานตาติ ตสฺส อุสฺสาหวฑฺฒเนน สมุเตฺตชนํฯ ตุเมฺหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปกนฺติ อิมินา สมฺปหํเสติฯ ปุญฺญปฺปสุตกิตฺตนเมว หิ เอตฺถ ตสฺส ยถาภุจฺจคุณสํวณฺณนภาเวน สมฺปหํสนชนนโต สมฺปหํสนนฺติ เวทิตพฺพํฯ
Atha vā ‘‘so ñātidhammo ca ayaṃ nidassito’’ti iminā gāthāpadena bhagavā rājānaṃ dhammiyā kathāya sandasseti. Ñātidhammanidassanameva hi ettha sandassanaṃ petāna pūjā ca katā uḷārāti iminā samādapeti. Uḷārāti pasaṃsanameva hi ettha punappunaṃ pūjākaraṇe samādapanaṃ. Balañca bhikkhūnamanuppadinnanti iminā samuttejeti. Balānuppadānameva hi ettha evaṃ dānaṃ, balānuppadānatāti tassa ussāhavaḍḍhanena samuttejanaṃ. Tumhehi puññaṃ pasutaṃ anappakanti iminā sampahaṃseti. Puññappasutakittanameva hi ettha tassa yathābhuccaguṇasaṃvaṇṇanabhāvena sampahaṃsanajananato sampahaṃsananti veditabbaṃ.
เทสนาปริโยสาเน จ เปตฺติวิสยูปปตฺติอาทีนวสํวณฺณเนน สํวิคฺคานํ โยนิโส ปทหตํ จตุราสีติยา ปาณสหสฺสานํ ธมฺมาภิสมโย อโหสิฯ ทุติยทิวเสปิ ภควา เทวมนุสฺสานํ อิทเมว ติโรกุฎฺฎํ เทเสสิ, เอวํ ยาว สตฺตมทิวสา ตาทิโส เอว ธมฺมาภิสมโย อโหสีติฯ
Desanāpariyosāne ca pettivisayūpapattiādīnavasaṃvaṇṇanena saṃviggānaṃ yoniso padahataṃ caturāsītiyā pāṇasahassānaṃ dhammābhisamayo ahosi. Dutiyadivasepi bhagavā devamanussānaṃ idameva tirokuṭṭaṃ desesi, evaṃ yāva sattamadivasā tādiso eva dhammābhisamayo ahosīti.
ปรมตฺถโชติกาย ขุทฺทกปาฐ-อฎฺฐกถาย
Paramatthajotikāya khuddakapāṭha-aṭṭhakathāya
ติโรกุฎฺฎสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Tirokuṭṭasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ขุทฺทกปาฐปาฬิ • Khuddakapāṭhapāḷi / ๗. ติโรกุฎฺฎสุตฺตํ • 7. Tirokuṭṭasuttaṃ