Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya |
๓. ติสฺสพฺรหฺมาสุตฺตํ
3. Tissabrahmāsuttaṃ
๕๖. เอวํ เม สุตํ – เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ คิชฺฌกูเฎ ปพฺพเตฯ อถ โข เทฺว เทวตา อภิกฺกนฺตาย รตฺติยา อภิกฺกนฺตวณฺณา เกวลกปฺปํ คิชฺฌกูฎํ โอภาเสตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํสุ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐํสุฯ เอกมนฺตํ ฐิตา โข เอกา เทวตา ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘เอตา, ภเนฺต, ภิกฺขุนิโย วิมุตฺตา’’ติฯ อปรา เทวตา ภควนฺตํ เอตทโวจ – ‘‘เอตา, ภเนฺต, ภิกฺขุนิโย อนุปาทิเสสา สุวิมุตฺตา’’ติฯ อิทมโวจุํ ตา เทวตาฯ สมนุโญฺญ สตฺถา อโหสิฯ อถ โข ตา เทวตา ‘‘สมนุโญฺญ สตฺถา’’ติ ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตเตฺถวนฺตรธายิํสุฯ
56. Evaṃ me sutaṃ – ekaṃ samayaṃ bhagavā rājagahe viharati gijjhakūṭe pabbate. Atha kho dve devatā abhikkantāya rattiyā abhikkantavaṇṇā kevalakappaṃ gijjhakūṭaṃ obhāsetvā yena bhagavā tenupasaṅkamiṃsu; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhaṃsu. Ekamantaṃ ṭhitā kho ekā devatā bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘etā, bhante, bhikkhuniyo vimuttā’’ti. Aparā devatā bhagavantaṃ etadavoca – ‘‘etā, bhante, bhikkhuniyo anupādisesā suvimuttā’’ti. Idamavocuṃ tā devatā. Samanuñño satthā ahosi. Atha kho tā devatā ‘‘samanuñño satthā’’ti bhagavantaṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā tatthevantaradhāyiṃsu.
อถ โข ภควา ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ภิกฺขู อามเนฺตสิ – ‘‘อิมํ, ภิกฺขเว, รตฺติํ เทฺว เทวตา อภิกฺกนฺตาย รตฺติยา อภิกฺกนฺตวณฺณา เกวลกปฺปํ คิชฺฌกูฎํ โอภาเสตฺวา เยนาหํ เตนุปสงฺกมิํสุ; อุปสงฺกมิตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐํสุฯ เอกมนฺตํ ฐิตา โข, ภิกฺขเว, เอกา เทวตา มํ เอตทโวจ – ‘เอตา, ภเนฺต, ภิกฺขุนิโย วิมุตฺตา’ติฯ อปรา เทวตา มํ เอตทโวจ – ‘เอตา, ภเนฺต, ภิกฺขุนิโย อนุปาทิเสสา สุวิมุตฺตา’ติฯ อิทมโวจุํ, ภิกฺขเว, ตา เทวตาฯ อิทํ วตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตเตฺถวนฺตรธายิํสู’’ติฯ
Atha kho bhagavā tassā rattiyā accayena bhikkhū āmantesi – ‘‘imaṃ, bhikkhave, rattiṃ dve devatā abhikkantāya rattiyā abhikkantavaṇṇā kevalakappaṃ gijjhakūṭaṃ obhāsetvā yenāhaṃ tenupasaṅkamiṃsu; upasaṅkamitvā maṃ abhivādetvā ekamantaṃ aṭṭhaṃsu. Ekamantaṃ ṭhitā kho, bhikkhave, ekā devatā maṃ etadavoca – ‘etā, bhante, bhikkhuniyo vimuttā’ti. Aparā devatā maṃ etadavoca – ‘etā, bhante, bhikkhuniyo anupādisesā suvimuttā’ti. Idamavocuṃ, bhikkhave, tā devatā. Idaṃ vatvā maṃ abhivādetvā padakkhiṇaṃ katvā tatthevantaradhāyiṃsū’’ti.
เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ภควโต อวิทูเร นิสิโนฺน โหติฯ อถ โข อายสฺมโต มหาโมคฺคลฺลานสฺส เอตทโหสิ – ‘‘กตเมสานํ โข เทวานํ เอวํ ญาณํ โหติ – ‘สอุปาทิเสเส วา สอุปาทิเสโสติ, อนุปาทิเสเส วา อนุปาทิเสโส’’’ติ? เตน โข ปน สมเยน ติโสฺส นาม ภิกฺขุ อธุนากาลงฺกโต อญฺญตรํ พฺรหฺมโลกํ อุปปโนฺน โหติฯ ตตฺราปิ นํ เอวํ ชานนฺติ – ‘‘ติโสฺส พฺรหฺมา มหิทฺธิโก มหานุภาโว’’ติฯ
Tena kho pana samayena āyasmā mahāmoggallāno bhagavato avidūre nisinno hoti. Atha kho āyasmato mahāmoggallānassa etadahosi – ‘‘katamesānaṃ kho devānaṃ evaṃ ñāṇaṃ hoti – ‘saupādisese vā saupādisesoti, anupādisese vā anupādiseso’’’ti? Tena kho pana samayena tisso nāma bhikkhu adhunākālaṅkato aññataraṃ brahmalokaṃ upapanno hoti. Tatrāpi naṃ evaṃ jānanti – ‘‘tisso brahmā mahiddhiko mahānubhāvo’’ti.
อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน – เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิเญฺชยฺย, เอวเมวํ – คิชฺฌกูเฎ ปพฺพเต อนฺตรหิโต ตสฺมิํ พฺรหฺมโลเก ปาตุรโหสิฯ อทฺทสา โข ติโสฺส พฺรหฺมา อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานํ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวา อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานํ เอตทโวจ – ‘‘เอหิ โข, มาริส โมคฺคลฺลาน; สฺวาคตํ, มาริส โมคฺคลฺลาน! จิรสฺสํ โข, มาริส โมคฺคลฺลาน, อิมํ ปริยายมกาสิ , ยทิทํ อิธาคมนายฯ นิสีท, มาริส โมคฺคลฺลาน, อิทมาสนํ ปญฺญตฺต’’นฺติฯ นิสีทิ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ปญฺญเตฺต อาสเนฯ ติโสฺสปิ โข พฺรหฺมา อายสฺมนฺตํ มหาโมคฺคลฺลานํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข ติสฺสํ พฺรหฺมานํ อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เอตทโวจ – ‘‘กตเมสานํ โข, ติสฺส , เทวานํ เอวํ ญาณํ โหติ – ‘สอุปาทิเสเส วา สอุปาทิเสโสติ, อนุปาทิเสเส วา อนุปาทิเสโส’’’ติ? ‘‘พฺรหฺมกายิกานํ โข, มาริส โมคฺคลฺลาน, เทวานํ เอวํ ญาณํ โหติ – ‘สอุปาทิเสเส วา สอุปาทิเสโสติ, อนุปาทิเสเส วา อนุปาทิเสโส’’’ติฯ
Atha kho āyasmā mahāmoggallāno – seyyathāpi nāma balavā puriso samiñjitaṃ vā bāhaṃ pasāreyya, pasāritaṃ vā bāhaṃ samiñjeyya, evamevaṃ – gijjhakūṭe pabbate antarahito tasmiṃ brahmaloke pāturahosi. Addasā kho tisso brahmā āyasmantaṃ mahāmoggallānaṃ dūratova āgacchantaṃ. Disvā āyasmantaṃ mahāmoggallānaṃ etadavoca – ‘‘ehi kho, mārisa moggallāna; svāgataṃ, mārisa moggallāna! Cirassaṃ kho, mārisa moggallāna, imaṃ pariyāyamakāsi , yadidaṃ idhāgamanāya. Nisīda, mārisa moggallāna, idamāsanaṃ paññatta’’nti. Nisīdi kho āyasmā mahāmoggallāno paññatte āsane. Tissopi kho brahmā āyasmantaṃ mahāmoggallānaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinnaṃ kho tissaṃ brahmānaṃ āyasmā mahāmoggallāno etadavoca – ‘‘katamesānaṃ kho, tissa , devānaṃ evaṃ ñāṇaṃ hoti – ‘saupādisese vā saupādisesoti, anupādisese vā anupādiseso’’’ti? ‘‘Brahmakāyikānaṃ kho, mārisa moggallāna, devānaṃ evaṃ ñāṇaṃ hoti – ‘saupādisese vā saupādisesoti, anupādisese vā anupādiseso’’’ti.
‘‘สเพฺพสเญฺญว โข, ติสฺส, พฺรหฺมกายิกานํ เทวานํ เอวํ ญาณํ โหติ – ‘สอุปาทิเสเส วา สอุปาทิเสโสติ, อนุปาทิเสเส วา อนุปาทิเสโส’’’ติ? ‘‘น โข, มาริส โมคฺคลฺลาน, สเพฺพสํ พฺรหฺมกายิกานํ เทวานํ เอวํ ญาณํ โหติ – ‘สอุปาทิเสเส วา สอุปาทิเสโสติ, อนุปาทิเสเส วา อนุปาทิเสโส’’’ติฯ
‘‘Sabbesaññeva kho, tissa, brahmakāyikānaṃ devānaṃ evaṃ ñāṇaṃ hoti – ‘saupādisese vā saupādisesoti, anupādisese vā anupādiseso’’’ti? ‘‘Na kho, mārisa moggallāna, sabbesaṃ brahmakāyikānaṃ devānaṃ evaṃ ñāṇaṃ hoti – ‘saupādisese vā saupādisesoti, anupādisese vā anupādiseso’’’ti.
‘‘เย โข เต, มาริส โมคฺคลฺลาน, พฺรหฺมกายิกา เทวา พฺรเหฺมน อายุนา สนฺตุฎฺฐา พฺรเหฺมน วเณฺณน พฺรเหฺมน สุเขน พฺรเหฺมน ยเสน พฺรเหฺมน อาธิปเตเยฺยน สนฺตุฎฺฐา, เต อุตฺตริ นิสฺสรณํ ยถาภูตํ นปฺปชานนฺติฯ เตสํ น เอวํ ญาณํ โหติ – ‘สอุปาทิเสเส วา สอุปาทิเสโสติ, อนุปาทิเสเส วา อนุปาทิเสโส’ติฯ เย จ โข เต, มาริส โมคฺคลฺลาน, พฺรหฺมกายิกา เทวา พฺรเหฺมน อายุนา อสนฺตุฎฺฐา, พฺรเหฺมน วเณฺณน พฺรเหฺมน สุเขน พฺรเหฺมน ยเสน พฺรเหฺมน อาธิปเตเยฺยน อสนฺตุฎฺฐา, เต จ อุตฺตริ นิสฺสรณํ ยถาภูตํ ปชานนฺติฯ เตสํ เอวํ ญาณํ โหติ – ‘สอุปาทิเสเส วา สอุปาทิเสโสติ, อนุปาทิเสเส วา อนุปาทิเสโส’’’ติฯ
‘‘Ye kho te, mārisa moggallāna, brahmakāyikā devā brahmena āyunā santuṭṭhā brahmena vaṇṇena brahmena sukhena brahmena yasena brahmena ādhipateyyena santuṭṭhā, te uttari nissaraṇaṃ yathābhūtaṃ nappajānanti. Tesaṃ na evaṃ ñāṇaṃ hoti – ‘saupādisese vā saupādisesoti, anupādisese vā anupādiseso’ti. Ye ca kho te, mārisa moggallāna, brahmakāyikā devā brahmena āyunā asantuṭṭhā, brahmena vaṇṇena brahmena sukhena brahmena yasena brahmena ādhipateyyena asantuṭṭhā, te ca uttari nissaraṇaṃ yathābhūtaṃ pajānanti. Tesaṃ evaṃ ñāṇaṃ hoti – ‘saupādisese vā saupādisesoti, anupādisese vā anupādiseso’’’ti.
‘‘อิธ, มาริส โมคฺคลฺลาน, ภิกฺขุ อุภโตภาควิมุโตฺต โหติฯ ตเมนํ เต เทวา เอวํ ชานนฺติ – ‘อยํ โข อายสฺมา อุภโตภาควิมุโตฺตฯ ยาวสฺส กาโย ฐสฺสติ ตาว นํ ทกฺขนฺติ เทวมนุสฺสาฯ กายสฺส เภทา น นํ ทกฺขนฺติ เทวมนุสฺสา’ติฯ เอวมฺปิ โข, มาริส โมคฺคลฺลาน , เตสํ เทวานํ ญาณํ โหติ – ‘สอุปาทิเสเส วา สอุปาทิเสโสติ, อนุปาทิเสเส วา อนุปาทิเสโส’’’ติฯ
‘‘Idha, mārisa moggallāna, bhikkhu ubhatobhāgavimutto hoti. Tamenaṃ te devā evaṃ jānanti – ‘ayaṃ kho āyasmā ubhatobhāgavimutto. Yāvassa kāyo ṭhassati tāva naṃ dakkhanti devamanussā. Kāyassa bhedā na naṃ dakkhanti devamanussā’ti. Evampi kho, mārisa moggallāna , tesaṃ devānaṃ ñāṇaṃ hoti – ‘saupādisese vā saupādisesoti, anupādisese vā anupādiseso’’’ti.
‘‘อิธ ปน, มาริส โมคฺคลฺลาน, ภิกฺขุ ปญฺญาวิมุโตฺต โหติฯ ตเมนํ เต เทวา เอวํ ชานนฺติ – ‘อยํ โข อายสฺมา ปญฺญาวิมุโตฺตฯ ยาวสฺส กาโย ฐสฺสติ ตาว นํ ทกฺขนฺติ เทวมนุสฺสาฯ กายสฺส เภทา น นํ ทกฺขนฺติ เทวมนุสฺสา’ติฯ เอวมฺปิ โข, มาริส โมคฺคลฺลาน, เตสํ เทวานํ ญาณํ โหติ – ‘สอุปาทิเสเส วา สอุปาทิเสโสติ, อนุปาทิเสเส วา อนุปาทิเสโส’’’ติฯ
‘‘Idha pana, mārisa moggallāna, bhikkhu paññāvimutto hoti. Tamenaṃ te devā evaṃ jānanti – ‘ayaṃ kho āyasmā paññāvimutto. Yāvassa kāyo ṭhassati tāva naṃ dakkhanti devamanussā. Kāyassa bhedā na naṃ dakkhanti devamanussā’ti. Evampi kho, mārisa moggallāna, tesaṃ devānaṃ ñāṇaṃ hoti – ‘saupādisese vā saupādisesoti, anupādisese vā anupādiseso’’’ti.
‘‘อิธ ปน, มาริส โมคฺคลฺลาน, ภิกฺขุ กายสกฺขี โหติฯ ตเมนํ เทวา เอวํ ชานนฺติ – ‘อยํ โข อายสฺมา กายสกฺขีฯ อเปฺปว นาม อยมายสฺมา อนุโลมิกานิ เสนาสนานิ ปฎิเสวมาโน กลฺยาณมิเตฺต ภชมาโน อินฺทฺริยานิ สมนฺนานยมาโน – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยา’ติฯ เอวมฺปิ โข, มาริส โมคฺคลฺลาน, เตสํ เทวานํ ญาณํ โหติ – ‘สอุปาทิเสเส วา สอุปาทิเสโสติ, อนุปาทิเสเส วา อนุปาทิเสโส’’’ติฯ
‘‘Idha pana, mārisa moggallāna, bhikkhu kāyasakkhī hoti. Tamenaṃ devā evaṃ jānanti – ‘ayaṃ kho āyasmā kāyasakkhī. Appeva nāma ayamāyasmā anulomikāni senāsanāni paṭisevamāno kalyāṇamitte bhajamāno indriyāni samannānayamāno – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihareyyā’ti. Evampi kho, mārisa moggallāna, tesaṃ devānaṃ ñāṇaṃ hoti – ‘saupādisese vā saupādisesoti, anupādisese vā anupādiseso’’’ti.
‘‘อิธ ปน, มาริส โมคฺคลฺลาน, ภิกฺขุ ทิฎฺฐิปฺปโตฺต โหติ…เป.… สทฺธาวิมุโตฺต โหติ…เป.… ธมฺมานุสารี โหติฯ ตเมนํ เต เทวา เอวํ ชานนฺติ – ‘อยํ โข อายสฺมา ธมฺมานุสารี ฯ อเปฺปว นาม อยมายสฺมา อนุโลมิกานิ เสนาสนานิ ปฎิเสวมาโน กลฺยาณมิเตฺต ภชมาโน อินฺทฺริยานิ สมนฺนานยมาโน – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยา’ติฯ เอวมฺปิ โข, มาริส โมคฺคลฺลาน, เตสํ เทวานํ ญาณํ โหติ – ‘สอุปาทิเสเส วา สอุปาทิเสโสติ, อนุปาทิเสเส วา อนุปาทิเสโส’’’ติฯ
‘‘Idha pana, mārisa moggallāna, bhikkhu diṭṭhippatto hoti…pe… saddhāvimutto hoti…pe… dhammānusārī hoti. Tamenaṃ te devā evaṃ jānanti – ‘ayaṃ kho āyasmā dhammānusārī . Appeva nāma ayamāyasmā anulomikāni senāsanāni paṭisevamāno kalyāṇamitte bhajamāno indriyāni samannānayamāno – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihareyyā’ti. Evampi kho, mārisa moggallāna, tesaṃ devānaṃ ñāṇaṃ hoti – ‘saupādisese vā saupādisesoti, anupādisese vā anupādiseso’’’ti.
อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ติสฺสสฺส พฺรหฺมุโน ภาสิตํ อภินนฺทิตฺวา อนุโมทิตฺวา – เสยฺยถาปิ นาม พลวา ปุริโส สมิญฺชิตํ วา พาหํ ปสาเรยฺย, ปสาริตํ วา พาหํ สมิเญฺชยฺย, เอวเมวํ – พฺรหฺมโลเก อนฺตรหิโต คิชฺฌกูเฎ ปพฺพเต ปาตุรโหสิฯ อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสิโนฺน โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ยาวตโก อโหสิ ติเสฺสน พฺรหฺมุนา สทฺธิํ กถาสลฺลาโป ตํ สพฺพํ ภควโต อาโรเจสิฯ
Atha kho āyasmā mahāmoggallāno tissassa brahmuno bhāsitaṃ abhinanditvā anumoditvā – seyyathāpi nāma balavā puriso samiñjitaṃ vā bāhaṃ pasāreyya, pasāritaṃ vā bāhaṃ samiñjeyya, evamevaṃ – brahmaloke antarahito gijjhakūṭe pabbate pāturahosi. Atha kho āyasmā mahāmoggallāno yena bhagavā tenupasaṅkami; upasaṅkamitvā bhagavantaṃ abhivādetvā ekamantaṃ nisīdi. Ekamantaṃ nisinno kho āyasmā mahāmoggallāno yāvatako ahosi tissena brahmunā saddhiṃ kathāsallāpo taṃ sabbaṃ bhagavato ārocesi.
‘‘น หิ ปน เต, โมคฺคลฺลาน, ติโสฺส พฺรหฺมา สตฺตมํ อนิมิตฺตวิหาริํ ปุคฺคลํ เทเสติ’’ฯ ‘‘เอตสฺส, ภควา, กาโล; เอตสฺส, สุคต, กาโล! ยํ ภควา สตฺตมํ อนิมิตฺตวิหาริํ ปุคฺคลํ เทเสยฺยฯ ภควโต สุตฺวา ภิกฺขู ธาเรสฺสนฺตี’’ติฯ ‘‘เตน หิ, โมคฺคลฺลาน, สุณาหิ, สาธุกํ มนสิ กโรหิ; ภาสิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เอวํ, ภเนฺต’’ติ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ภควโต ปจฺจโสฺสสิฯ ภควา เอตทโวจ –
‘‘Na hi pana te, moggallāna, tisso brahmā sattamaṃ animittavihāriṃ puggalaṃ deseti’’. ‘‘Etassa, bhagavā, kālo; etassa, sugata, kālo! Yaṃ bhagavā sattamaṃ animittavihāriṃ puggalaṃ deseyya. Bhagavato sutvā bhikkhū dhāressantī’’ti. ‘‘Tena hi, moggallāna, suṇāhi, sādhukaṃ manasi karohi; bhāsissāmī’’ti. ‘‘Evaṃ, bhante’’ti kho āyasmā mahāmoggallāno bhagavato paccassosi. Bhagavā etadavoca –
‘‘อิธ, โมคฺคลฺลาน, ภิกฺขุ สพฺพนิมิตฺตานํ อมนสิการา อนิมิตฺตํ เจโตสมาธิํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ ตเมนํ เต เทวา เอวํ ชานนฺติ – ‘อยํ โข อายสฺมา สพฺพนิมิตฺตานํ อมนสิการา อนิมิตฺตํ เจโตสมาธิํ อุปสมฺปชฺช วิหรติฯ อเปฺปว นาม อยมายสฺมา อนุโลมิกานิ เสนาสนานิ ปฎิเสวมาโน กลฺยาณมิเตฺต ภชมาโน อินฺทฺริยานิ สมนฺนานยมาโน – ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตรํ – พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหเรยฺยา’ติฯ เอวํ โข, โมคฺคลฺลาน, เตสํ เทวานํ ญาณํ โหติ – ‘สอุปาทิเสเส วา สอุปาทิเสโสติ, อนุปาทิเสเส วา อนุปาทิเสโส’’’ติฯ ตติยํฯ
‘‘Idha, moggallāna, bhikkhu sabbanimittānaṃ amanasikārā animittaṃ cetosamādhiṃ upasampajja viharati. Tamenaṃ te devā evaṃ jānanti – ‘ayaṃ kho āyasmā sabbanimittānaṃ amanasikārā animittaṃ cetosamādhiṃ upasampajja viharati. Appeva nāma ayamāyasmā anulomikāni senāsanāni paṭisevamāno kalyāṇamitte bhajamāno indriyāni samannānayamāno – yassatthāya kulaputtā sammadeva agārasmā anagāriyaṃ pabbajanti tadanuttaraṃ – brahmacariyapariyosānaṃ diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja vihareyyā’ti. Evaṃ kho, moggallāna, tesaṃ devānaṃ ñāṇaṃ hoti – ‘saupādisese vā saupādisesoti, anupādisese vā anupādiseso’’’ti. Tatiyaṃ.
Related texts:
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / สุตฺตปิฎก (อฎฺฐกถา) • Suttapiṭaka (aṭṭhakathā) / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) / ๓. ติสฺสพฺรหฺมาสุตฺตวณฺณนา • 3. Tissabrahmāsuttavaṇṇanā
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๓. ติสฺสพฺรหฺมาสุตฺตวณฺณนา • 3. Tissabrahmāsuttavaṇṇanā