Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๒๕] ๕. ติตฺถชาตกวณฺณนา

    [25] 5. Titthajātakavaṇṇanā

    อญฺญมเญฺญหิ ติเตฺถหีติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ธมฺมเสนาปติสฺส สทฺธิวิหาริกํ เอกํ สุวณฺณการปุพฺพกํ ภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ อาสยานุสยญาณญฺหิ พุทฺธานํเยว โหติ, น อเญฺญสํฯ ตสฺมา ธมฺมเสนาปติ อตฺตโน อาสยานุสยญาณสฺส นตฺถิตาย สทฺธิวิหาริกสฺส อาสยานุสยํ อชานโนฺต อสุภกมฺมฎฺฐานเมว กเถสิ, ตสฺส ตํ น สปฺปายมโหสิฯ กสฺมา? โส กิร ปฎิปาฎิยา ปญฺจ ชาติสตานิ สุวณฺณการเคเหเยว ปฎิสนฺธิํ คณฺหิ, อถสฺส ทีฆรตฺตํ ปริสุทฺธสุวณฺณทสฺสนวเสน ปริจิตตฺตา อสุภํ น สปฺปายมโหสิฯ โส ตตฺถ นิมิตฺตมตฺตมฺปิ อุปฺปาเทตุํ อสโกฺกโนฺต จตฺตาโร มาเส เขเปสิฯ

    Aññamaññehititthehīti idaṃ satthā jetavane viharanto dhammasenāpatissa saddhivihārikaṃ ekaṃ suvaṇṇakārapubbakaṃ bhikkhuṃ ārabbha kathesi. Āsayānusayañāṇañhi buddhānaṃyeva hoti, na aññesaṃ. Tasmā dhammasenāpati attano āsayānusayañāṇassa natthitāya saddhivihārikassa āsayānusayaṃ ajānanto asubhakammaṭṭhānameva kathesi, tassa taṃ na sappāyamahosi. Kasmā? So kira paṭipāṭiyā pañca jātisatāni suvaṇṇakārageheyeva paṭisandhiṃ gaṇhi, athassa dīgharattaṃ parisuddhasuvaṇṇadassanavasena paricitattā asubhaṃ na sappāyamahosi. So tattha nimittamattampi uppādetuṃ asakkonto cattāro māse khepesi.

    ธมฺมเสนาปติ อตฺตโน สทฺธิวิหาริกสฺส อรหตฺตํ ทาตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘อทฺธา อยํ พุทฺธเวเนโยฺย ภวิสฺสติ, ตถาคตสฺส สนฺติกํ เนสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ปาโตว ตํ อาทาย สตฺถุ สนฺติกํ อคมาสิฯ สตฺถา ‘‘กิํ นุ โข, สาริปุตฺต, เอกํ ภิกฺขุํ อาทาย อาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อหํ, ภเนฺต, อิมสฺส กมฺมฎฺฐานํ อทาสิํ, อยํ ปน จตูหิ มาเสหิ นิมิตฺตมตฺตมฺปิ น อุปฺปาเทสิ, สฺวาหํ ‘พุทฺธเวเนโยฺย เอโส ภวิสฺสตี’ติ จิเนฺตตฺวา ตุมฺหากํ สนฺติกํ อาทาย อาคโต’’ติฯ ‘‘สาริปุตฺต, กตรํ ปน เต กมฺมฎฺฐานํ สทฺธิวิหาริกสฺส ทินฺน’’นฺติ? ‘‘อสุภกมฺมฎฺฐานํ ภควา’’ติฯ ‘‘สาริปุตฺต, นตฺถิ ตว สนฺตาเน อาสยานุสยญาณํ, คจฺฉ, ตฺวํ สายนฺหสมเย อาคนฺตฺวา ตว สทฺธิวิหาริกํ อาทาย คเจฺฉยฺยาสี’’ติฯ เอวํ สตฺถา เถรํ อุโยฺยเชตฺวา ตสฺส ภิกฺขุสฺส มนาปํ จีวรญฺจ นิวาสนญฺจ ทาเปตฺวา ตํ อาทาย คามํ ปิณฺฑาย ปวิสิตฺวา ปณีตํ ขาทนียโภชนียํ ทาเปตฺวา มหาภิกฺขุสงฺฆปริวาโร ปุน วิหารํ อาคนฺตฺวา คนฺธกุฎิยํ ทิวสภาคํ เขเปตฺวา สายนฺหสมเย ตํ ภิกฺขุํ คเหตฺวา วิหารจาริกํ จรมาโน อมฺพวเน เอกํ โปกฺขรณิํ มาเปตฺวา ตตฺถ มหนฺตํ ปทุมินิคจฺฉํ, ตตฺราปิ จ มหนฺตํ เอกํ ปทุมปุปฺผํ มาเปตฺวา ‘‘ภิกฺขุ อิมํ ปุปฺผํ โอโลเกโนฺต นิสีทา’’ติ นิสีทาเปตฺวา คนฺธกุฎิํ ปาวิสิฯ

    Dhammasenāpati attano saddhivihārikassa arahattaṃ dātuṃ asakkonto ‘‘addhā ayaṃ buddhaveneyyo bhavissati, tathāgatassa santikaṃ nessāmī’’ti cintetvā pātova taṃ ādāya satthu santikaṃ agamāsi. Satthā ‘‘kiṃ nu kho, sāriputta, ekaṃ bhikkhuṃ ādāya āgatosī’’ti pucchi. ‘‘Ahaṃ, bhante, imassa kammaṭṭhānaṃ adāsiṃ, ayaṃ pana catūhi māsehi nimittamattampi na uppādesi, svāhaṃ ‘buddhaveneyyo eso bhavissatī’ti cintetvā tumhākaṃ santikaṃ ādāya āgato’’ti. ‘‘Sāriputta, kataraṃ pana te kammaṭṭhānaṃ saddhivihārikassa dinna’’nti? ‘‘Asubhakammaṭṭhānaṃ bhagavā’’ti. ‘‘Sāriputta, natthi tava santāne āsayānusayañāṇaṃ, gaccha, tvaṃ sāyanhasamaye āgantvā tava saddhivihārikaṃ ādāya gaccheyyāsī’’ti. Evaṃ satthā theraṃ uyyojetvā tassa bhikkhussa manāpaṃ cīvarañca nivāsanañca dāpetvā taṃ ādāya gāmaṃ piṇḍāya pavisitvā paṇītaṃ khādanīyabhojanīyaṃ dāpetvā mahābhikkhusaṅghaparivāro puna vihāraṃ āgantvā gandhakuṭiyaṃ divasabhāgaṃ khepetvā sāyanhasamaye taṃ bhikkhuṃ gahetvā vihāracārikaṃ caramāno ambavane ekaṃ pokkharaṇiṃ māpetvā tattha mahantaṃ paduminigacchaṃ, tatrāpi ca mahantaṃ ekaṃ padumapupphaṃ māpetvā ‘‘bhikkhu imaṃ pupphaṃ olokento nisīdā’’ti nisīdāpetvā gandhakuṭiṃ pāvisi.

    โส ภิกฺขุ ตํ ปุปฺผํ ปุนปฺปุนํ โอโลเกติฯ ภควา ตํ ปุปฺผํ ชรํ ปาเปสิ, ตํ ตสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว ชรํ ปตฺวา วิวณฺณํ อโหสิฯ อถสฺส ปริยนฺตโต ปฎฺฐาย ปตฺตานิ ปตนฺตานิ มุหุเตฺตน สพฺพานิ ปติํสุฯ ตโต กิญฺชกฺขํ ปติ, กณฺณิกาว อวสิสฺสิฯ โส ภิกฺขุ ตํ ปสฺสโนฺต จิเนฺตสิ ‘‘อิทํ ปทุมปุปฺผํ อิทาเนว อภิรูปํ อโหสิ ทสฺสนียํ, อถสฺส วโณฺณ ปริณโต, ปตฺตานิ จ กิญฺจกฺขญฺจ ปติตํ, กณฺณิกามตฺตเมว อวสิฎฺฐํ, เอวรูปสฺส นาม ปทุมสฺส ชรา ปตฺตา, มยฺหํ สรีรสฺส กิํ น ปาปุณิสฺสติ, สเพฺพ สงฺขารา อนิจฺจา’’ติ วิปสฺสนํ ปฎฺฐเปสิฯ สตฺถา ‘‘ตสฺส จิตฺตํ วิปสฺสนํ อารุฬฺห’’นฺติ ญตฺวา คนฺธกุฎิยํ นิสิโนฺนว โอภาสํ ผริตฺวา อิมํ คาถมาห –

    So bhikkhu taṃ pupphaṃ punappunaṃ oloketi. Bhagavā taṃ pupphaṃ jaraṃ pāpesi, taṃ tassa passantasseva jaraṃ patvā vivaṇṇaṃ ahosi. Athassa pariyantato paṭṭhāya pattāni patantāni muhuttena sabbāni patiṃsu. Tato kiñjakkhaṃ pati, kaṇṇikāva avasissi. So bhikkhu taṃ passanto cintesi ‘‘idaṃ padumapupphaṃ idāneva abhirūpaṃ ahosi dassanīyaṃ, athassa vaṇṇo pariṇato, pattāni ca kiñcakkhañca patitaṃ, kaṇṇikāmattameva avasiṭṭhaṃ, evarūpassa nāma padumassa jarā pattā, mayhaṃ sarīrassa kiṃ na pāpuṇissati, sabbe saṅkhārā aniccā’’ti vipassanaṃ paṭṭhapesi. Satthā ‘‘tassa cittaṃ vipassanaṃ āruḷha’’nti ñatvā gandhakuṭiyaṃ nisinnova obhāsaṃ pharitvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อุจฺฉินฺท สิเนหมตฺตโน, กุมุทํ สารทิกํว ปาณินา;

    ‘‘Ucchinda sinehamattano, kumudaṃ sāradikaṃva pāṇinā;

    สนฺติมคฺคเมว พฺรูหย, นิพฺพานํ สุคเตน เทสิต’’นฺติฯ (ธ. ป. ๒๘๕);

    Santimaggameva brūhaya, nibbānaṃ sugatena desita’’nti. (dha. pa. 285);

    โส ภิกฺขุ คาถาปริโยสาเน อรหตฺตํ ปตฺวา ‘‘มุโตฺต วตมฺหิ สพฺพภเวหี’’ติ จิเนฺตตฺวา –

    So bhikkhu gāthāpariyosāne arahattaṃ patvā ‘‘mutto vatamhi sabbabhavehī’’ti cintetvā –

    ‘‘โส วุตฺถวาโส ปริปุณฺณมานโส, ขีณาสโว อนฺติมเทหธารี;

    ‘‘So vutthavāso paripuṇṇamānaso, khīṇāsavo antimadehadhārī;

    วิสุทฺธสีโล สุสมาหิตินฺทฺริโย, จโนฺท ยถา ราหุมุขา ปมุโตฺตฯ

    Visuddhasīlo susamāhitindriyo, cando yathā rāhumukhā pamutto.

    ‘‘สโมตตํ โมหมหนฺธการํ, วิโนทยิํ สพฺพมลํ อเสสํ;

    ‘‘Samotataṃ mohamahandhakāraṃ, vinodayiṃ sabbamalaṃ asesaṃ;

    อาโลกปโชฺชตกโร ปภงฺกโร, สหสฺสรํสี วิย ภาณุมา นเภ’’ติฯ –

    Ālokapajjotakaro pabhaṅkaro, sahassaraṃsī viya bhāṇumā nabhe’’ti. –

    อาทีหิ คาถาหิ อุทานํ อุทาเนสิฯ อุทาเนตฺวา จ ปน คนฺตฺวา ภควนฺตํ วนฺทิฯ เถโรปิ อาคนฺตฺวา สตฺถารํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน สทฺธิวิหาริกํ คเหตฺวา อคมาสิฯ อยํ ปวตฺติ ภิกฺขูนํ อนฺตเร ปากฎา ชาตาฯ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ ทสพลสฺส คุเณ วณฺณยมานา นิสีทิํสุ – ‘‘อาวุโส, สาริปุตฺตเตฺถโร อาสยานุสยญาณสฺส อภาเวน อตฺตโน สทฺธิวิหาริกสฺส อาสยํ น ชานาติ, สตฺถา ปน ญตฺวา เอกทิวเสเนว ตสฺส สห ปฎิสมฺภิทาหิ อรหตฺตํ อทาสิ, อโห พุทฺธา นาม มหานุภาวา’’ติฯ

    Ādīhi gāthāhi udānaṃ udānesi. Udānetvā ca pana gantvā bhagavantaṃ vandi. Theropi āgantvā satthāraṃ vanditvā attano saddhivihārikaṃ gahetvā agamāsi. Ayaṃ pavatti bhikkhūnaṃ antare pākaṭā jātā. Bhikkhū dhammasabhāyaṃ dasabalassa guṇe vaṇṇayamānā nisīdiṃsu – ‘‘āvuso, sāriputtatthero āsayānusayañāṇassa abhāvena attano saddhivihārikassa āsayaṃ na jānāti, satthā pana ñatvā ekadivaseneva tassa saha paṭisambhidāhi arahattaṃ adāsi, aho buddhā nāma mahānubhāvā’’ti.

    สตฺถา อาคนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘น ภควา อญฺญาย กถาย, ตุมฺหากเญฺญว ปน ธมฺมเสนาปติโน สทฺธิวิหาริกสฺส อาสยานุสยญาณกถายา’’ติฯ สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, เอตํ อจฺฉริยํ, สฺวาหํ เอตรหิ พุโทฺธ หุตฺวา ตสฺส อาสยํ ชานามิ, ปุเพฺพปาหํ ตสฺส อาสยํ ชานามิเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ

    Satthā āgantvā paññattāsane nisīditvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchi. ‘‘Na bhagavā aññāya kathāya, tumhākaññeva pana dhammasenāpatino saddhivihārikassa āsayānusayañāṇakathāyā’’ti. Satthā ‘‘na, bhikkhave, etaṃ acchariyaṃ, svāhaṃ etarahi buddho hutvā tassa āsayaṃ jānāmi, pubbepāhaṃ tassa āsayaṃ jānāmiyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.

    อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทโตฺต รชฺชํ กาเรสิฯ ตทา โพธิสโตฺต ตํ ราชานํ อเตฺถ จ ธเมฺม จ อนุสาสติฯ ตทา รโญฺญ มงฺคลอสฺสนฺหานติเตฺถ อญฺญตรํ วฬวํ ขฬุงฺกสฺสํ นฺหาเปสุํฯ มงฺคลโสฺส วฬเวน นฺหานติตฺถํ โอตาริยมาโน ชิคุจฺฉิตฺวา โอตริตุํ น อิจฺฉิฯ อสฺสโคปโก คนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจสิ ‘‘เทว, มงฺคลโสฺส ติตฺถํ โอตริตุํ น อิจฺฉตี’’ติฯ ราชา โพธิสตฺตํ เปเสสิ – ‘‘คจฺฉ, ปณฺฑิต, ชานาหิ เกน การเณน อโสฺส ติตฺถํ โอตาริยมาโน น โอตรตี’’ติฯ โพธิสโตฺต ‘‘สาธุ, เทวา’’ติ นทีตีรํ คนฺตฺวา อสฺสํ โอโลเกตฺวา นิโรคภาวมสฺส ญตฺวา ‘‘เกน นุ โข การเณน อยํ อิมํ ติตฺถํ น โอตรตี’’ติ อุปธาเรโนฺต ‘‘ปฐมตรํ เอตฺถ อโญฺญ นฺหาปิโต ภวิสฺสติ, เตเนส ชิคุจฺฉมาโน ติตฺถํ น โอตรติ มเญฺญ’’ติ จิเนฺตตฺวา อสฺสโคปเก ปุจฺฉิ ‘‘อโมฺภ, อิมสฺมิํ ติเตฺถ กํ ปฐมํ นฺหาปยิตฺถา’’ติ? ‘‘อญฺญตรํ วฬวสฺสํ, สามี’’ติฯ

    Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatto rajjaṃ kāresi. Tadā bodhisatto taṃ rājānaṃ atthe ca dhamme ca anusāsati. Tadā rañño maṅgalaassanhānatitthe aññataraṃ vaḷavaṃ khaḷuṅkassaṃ nhāpesuṃ. Maṅgalasso vaḷavena nhānatitthaṃ otāriyamāno jigucchitvā otarituṃ na icchi. Assagopako gantvā rañño ārocesi ‘‘deva, maṅgalasso titthaṃ otarituṃ na icchatī’’ti. Rājā bodhisattaṃ pesesi – ‘‘gaccha, paṇḍita, jānāhi kena kāraṇena asso titthaṃ otāriyamāno na otaratī’’ti. Bodhisatto ‘‘sādhu, devā’’ti nadītīraṃ gantvā assaṃ oloketvā nirogabhāvamassa ñatvā ‘‘kena nu kho kāraṇena ayaṃ imaṃ titthaṃ na otaratī’’ti upadhārento ‘‘paṭhamataraṃ ettha añño nhāpito bhavissati, tenesa jigucchamāno titthaṃ na otarati maññe’’ti cintetvā assagopake pucchi ‘‘ambho, imasmiṃ titthe kaṃ paṭhamaṃ nhāpayitthā’’ti? ‘‘Aññataraṃ vaḷavassaṃ, sāmī’’ti.

    โพธิสโตฺต ‘‘เอส อตฺตโน สินฺธวตาย ชิคุจฺฉโนฺต เอตฺถ นฺหายิตุํ น อิจฺฉติ, อิมํ อญฺญติเตฺถ นฺหาเปตุํ วฎฺฎตี’’ติ ตสฺส อาสยํ ญตฺวา ‘‘โภ อสฺสโคปก, สปฺปิมธุผาณิตาทิภิสงฺขตปายาสมฺปิ ตาว ปุนปฺปุนํ ภุญฺชนฺตสฺส ติตฺติ โหติฯ อยํ อโสฺส พหู วาเร อิธ ติเตฺถ นฺหาโต, อญฺญมฺปิ ตาว นํ ติตฺถํ โอตาเรตฺวา นฺหาเปถ จ ปาเยถ จา’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Bodhisatto ‘‘esa attano sindhavatāya jigucchanto ettha nhāyituṃ na icchati, imaṃ aññatitthe nhāpetuṃ vaṭṭatī’’ti tassa āsayaṃ ñatvā ‘‘bho assagopaka, sappimadhuphāṇitādibhisaṅkhatapāyāsampi tāva punappunaṃ bhuñjantassa titti hoti. Ayaṃ asso bahū vāre idha titthe nhāto, aññampi tāva naṃ titthaṃ otāretvā nhāpetha ca pāyetha cā’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ๒๕.

    25.

    ‘‘อญฺญมเญฺญหิ ติเตฺถหิ, อสฺสํ ปาเยหิ สารถิ;

    ‘‘Aññamaññehi titthehi, assaṃ pāyehi sārathi;

    อจฺจาสนสฺส ปุริโส, ปายาสสฺสปิ ตปฺปตี’’ติฯ

    Accāsanassa puriso, pāyāsassapi tappatī’’ti.

    ตตฺถ อญฺญมเญฺญหีติ อเญฺญหิ อเญฺญหิฯ ปาเยหีติ เทสนาสีสเมตํ, นฺหาเปหิ จ ปาเยหิ จาติ อโตฺถฯ อจฺจาสนสฺสาติ กรณเตฺถ สามิวจนํ , อติอสเนน อติภุเตฺตนาติ อโตฺถฯ ปายาสสฺสปิ ตปฺปตีติ สปฺปิอาทีหิ อภิสงฺขเตน มธุรปายาเสน ตปฺปติ ติโตฺต โหติ, ธาโต สุหิโต น ปุน ภุญฺชิตุกามตํ อาปชฺชติฯ ตสฺมา อยมฺปิ อโสฺส อิมสฺมิํ ติเตฺถ นิพทฺธํ นฺหาเนน ปริยตฺติํ อาปโนฺน ภวิสฺสติ, อญฺญตฺถ นํ นฺหาเปถาติฯ

    Tattha aññamaññehīti aññehi aññehi. Pāyehīti desanāsīsametaṃ, nhāpehi ca pāyehi cāti attho. Accāsanassāti karaṇatthe sāmivacanaṃ , atiasanena atibhuttenāti attho. Pāyāsassapi tappatīti sappiādīhi abhisaṅkhatena madhurapāyāsena tappati titto hoti, dhāto suhito na puna bhuñjitukāmataṃ āpajjati. Tasmā ayampi asso imasmiṃ titthe nibaddhaṃ nhānena pariyattiṃ āpanno bhavissati, aññattha naṃ nhāpethāti.

    เต ตสฺส วจนํ สุตฺวา อสฺสํ อญฺญติตฺถํ โอตาเรตฺวา ปายิํสุ เจว นฺหาปยิํสุ จฯ โพธิสโตฺต อสฺสสฺส ปานียํ ปิวิตฺวา นฺหานกาเล รโญฺญ สนฺติกํ อคมาสิฯ ราชา ‘‘กิํ, ตาต, อโสฺส นฺหาโต จ ปีโต จา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, เทวา’’ติฯ ‘‘ปฐมํ กิํ การณา น อิจฺฉตี’’ติ? ‘‘อิมินา นาม การเณนา’’ติ สพฺพํ อาจิกฺขิฯ ราชา ‘‘เอวรูปสฺส ติรจฺฉานสฺสาปิ นาม อาสยํ ชานาติ, อโห ปณฺฑิโต’’ติ โพธิสตฺตสฺส มหนฺตํ ยสํ ทตฺวา ชีวิตปริโยสาเน ยถากมฺมํ คโตฯ โพธิสโตฺตปิ ยถากมฺมเมว คโตฯ

    Te tassa vacanaṃ sutvā assaṃ aññatitthaṃ otāretvā pāyiṃsu ceva nhāpayiṃsu ca. Bodhisatto assassa pānīyaṃ pivitvā nhānakāle rañño santikaṃ agamāsi. Rājā ‘‘kiṃ, tāta, asso nhāto ca pīto cā’’ti pucchi. ‘‘Āma, devā’’ti. ‘‘Paṭhamaṃ kiṃ kāraṇā na icchatī’’ti? ‘‘Iminā nāma kāraṇenā’’ti sabbaṃ ācikkhi. Rājā ‘‘evarūpassa tiracchānassāpi nāma āsayaṃ jānāti, aho paṇḍito’’ti bodhisattassa mahantaṃ yasaṃ datvā jīvitapariyosāne yathākammaṃ gato. Bodhisattopi yathākammameva gato.

    สตฺถา ‘‘น, ภิกฺขเว, อหํ เอตสฺส อิทาเนว อาสยํ ชานามิ, ปุเพฺพปิ ชานามิเยวา’’ติ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา อนุสนฺธิํ ฆเฎตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา มงฺคลอโสฺส อยํ ภิกฺขุ อโหสิ, ราชา อานโนฺท, ปณฺฑิตามโจฺจ ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ

    Satthā ‘‘na, bhikkhave, ahaṃ etassa idāneva āsayaṃ jānāmi, pubbepi jānāmiyevā’’ti imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā anusandhiṃ ghaṭetvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā maṅgalaasso ayaṃ bhikkhu ahosi, rājā ānando, paṇḍitāmacco pana ahameva ahosi’’nti.

    ติตฺถชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ

    Titthajātakavaṇṇanā pañcamā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๒๕. ติตฺถชาตกํ • 25. Titthajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact