Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย (อฎฺฐกถา) • Aṅguttaranikāya (aṭṭhakathā) |
(๗) ๒. มหาวโคฺค
(7) 2. Mahāvaggo
๑. ติตฺถายตนสุตฺตวณฺณนา
1. Titthāyatanasuttavaṇṇanā
๖๒. ทุติยสฺส ปฐเม ติตฺถายตนานีติ ติตฺถภูตานิ อายตนานิ, ติตฺถิยานํ วา อายตนานิฯ ตตฺถ ติตฺถํ ชานิตพฺพํ, ติตฺถกรา ชานิตพฺพา, ติตฺถิยา ชานิตพฺพา, ติตฺถิยสาวกา ชานิตพฺพาฯ ติตฺถํ นาม ทฺวาสฎฺฐิ ทิฎฺฐิโยฯ ติตฺถิกรา นาม ตาสํ ทิฎฺฐีนํ อุปฺปาทกาฯ ติตฺถิยา นาม เยสํ ตา ทิฎฺฐิโย รุจฺจนฺติ ขมนฺติฯ ติตฺถิยสาวกา นาม เตสํ ปจฺจยทายกาฯ อายตนนฺติ ‘‘กโมฺพโช อสฺสานํ อายตนํ, คุนฺนํ ทกฺขิณาปโถ อายตน’’นฺติ เอตฺถ สญฺชาติฎฺฐานํ อายตนํ นามฯ
62. Dutiyassa paṭhame titthāyatanānīti titthabhūtāni āyatanāni, titthiyānaṃ vā āyatanāni. Tattha titthaṃ jānitabbaṃ, titthakarā jānitabbā, titthiyā jānitabbā, titthiyasāvakā jānitabbā. Titthaṃ nāma dvāsaṭṭhi diṭṭhiyo. Titthikarā nāma tāsaṃ diṭṭhīnaṃ uppādakā. Titthiyā nāma yesaṃ tā diṭṭhiyo ruccanti khamanti. Titthiyasāvakā nāma tesaṃ paccayadāyakā. Āyatananti ‘‘kambojo assānaṃ āyatanaṃ, gunnaṃ dakkhiṇāpatho āyatana’’nti ettha sañjātiṭṭhānaṃ āyatanaṃ nāma.
‘‘มโนรเม อายตเน, เสวนฺติ นํ วิหงฺคมา;
‘‘Manorame āyatane, sevanti naṃ vihaṅgamā;
ฉายํ ฉายตฺถิโน ยนฺติ, ผลตฺถํ ผลโภชิโน’’ติฯ (อ. นิ. ๕.๓๘) –
Chāyaṃ chāyatthino yanti, phalatthaṃ phalabhojino’’ti. (a. ni. 5.38) –
เอตฺถ สโมสรณฎฺฐานํฯ ‘‘ปญฺจิมานิ, ภิกฺขเว, วิมุตฺตายตนานี’’ติ (อ. นิ. ๕.๒๖) เอตฺถ การณํฯ ตํ อิธ สพฺพมฺปิ ลพฺภติฯ สเพฺพปิ หิ ทิฎฺฐิคติกา สญฺชายมานา อิเมสุเยว ตีสุ ฐาเนสุ สญฺชายนฺติ, สโมสรณมานาปิ เอเตสุเยว ตีสุ ฐาเนสุ สโมสรนฺติ สนฺนิปตนฺติ, ทิฎฺฐิคติกภาเว จ เนสํ เอตาเนว ตีณิ การณานีติ ติตฺถภูตานิ สญฺชาติอาทินา อเตฺถน อายตนานีติปิ ติตฺถายตนานิฯ เตเนวเตฺถน ติตฺถิยานํ อายตนานีติปิ ติตฺถายตนานิฯ สมนุยุญฺชิยมานานีติ กา นาเมตา ทิฎฺฐิโยติ เอวํ ปุจฺฉิยมานานิฯ สมนุคาหิยมานานีติ กิํการณา เอตา ทิฎฺฐิโย อุปฺปนฺนาติ เอวํ สมฺมา อนุคฺคาหิยมานานิฯ สมนุภาสิยมานานีติ ปฎินิสฺสเชฺชถ เอตานิ ปาปกานิ ทิฎฺฐิคตานีติ เอวํ สมฺมา อนุสาสิยมานานิฯ อปิจ ตีณิปิ เอตานิ อนุโยคปุจฺฉาเววจนาเนวฯ เตน วุตฺตํ อฎฺฐกถายํ – ‘‘สมนุยุญฺชตีติ วา สมนุคฺคาหตีติ วา สมนุภาสตีติ วา เอเสเส เอกเฎฺฐ สเม สมภาเค ตชฺชาเต ตเญฺญวา’’ติฯ
Ettha samosaraṇaṭṭhānaṃ. ‘‘Pañcimāni, bhikkhave, vimuttāyatanānī’’ti (a. ni. 5.26) ettha kāraṇaṃ. Taṃ idha sabbampi labbhati. Sabbepi hi diṭṭhigatikā sañjāyamānā imesuyeva tīsu ṭhānesu sañjāyanti, samosaraṇamānāpi etesuyeva tīsu ṭhānesu samosaranti sannipatanti, diṭṭhigatikabhāve ca nesaṃ etāneva tīṇi kāraṇānīti titthabhūtāni sañjātiādinā atthena āyatanānītipi titthāyatanāni. Tenevatthena titthiyānaṃ āyatanānītipi titthāyatanāni. Samanuyuñjiyamānānīti kā nāmetā diṭṭhiyoti evaṃ pucchiyamānāni. Samanugāhiyamānānīti kiṃkāraṇā etā diṭṭhiyo uppannāti evaṃ sammā anuggāhiyamānāni. Samanubhāsiyamānānīti paṭinissajjetha etāni pāpakāni diṭṭhigatānīti evaṃ sammā anusāsiyamānāni. Apica tīṇipi etāni anuyogapucchāvevacanāneva. Tena vuttaṃ aṭṭhakathāyaṃ – ‘‘samanuyuñjatīti vā samanuggāhatīti vā samanubhāsatīti vā esese ekaṭṭhe same samabhāge tajjāte taññevā’’ti.
ปรมฺปิ คนฺตฺวาติ อาจริยปรมฺปรา ลทฺธิปรมฺปรา อตฺตภาวปรมฺปราติ เอเตสุ ยํกิญฺจิ ปรมฺปรํ คนฺตฺวาปิฯ อกิริยาย สณฺฐหนฺตีติ อกิริยมเตฺต สํติฎฺฐนฺติฯ ‘‘อมฺหากํ อาจริโย ปุเพฺพกตวาที, อมฺหากํ ปาจริโย ปุเพฺพกตวาที, อมฺหากํ อาจริยปาจริโย ปุเพฺพกตวาทีฯ อมฺหากํ อาจริโย อิสฺสรนิมฺมานวาที , อมฺหากํ ปาจริโย อิสฺสรนิมฺมานวาที, อมฺหากํ อาจริยปาจริโย อิสฺสรนิมฺมานวาทีฯ อมฺหากํ อาจริโย อเหตุอปจฺจยวาที, อมฺหากํ ปาจริโย อเหตุอปจฺจยวาที, อมฺหากํ อาจริยปาจริโย อเหตุอปจฺจยวาที’’ติ เอวํ คจฺฉนฺตานิ หิ เอตานิ อาจริยปรมฺปรํ คจฺฉนฺติ นามฯ ‘‘อมฺหากํ อาจริโย ปุเพฺพกตลทฺธิโก, อมฺหากํ ปาจริโย…เป.… อมฺหากํ อาจริยปาจริโย อเหตุอปจฺจยลทฺธิโก’’ติ เอวํ คจฺฉนฺตานิ ลทฺธิปรมฺปรํ คจฺฉนฺติ นามฯ ‘‘อมฺหากํ อาจริยสฺส อตฺตภาโว ปุเพฺพกตเหตุ, อมฺหากํ ปาจริยสฺส…เป.… อมฺหากํ อาจริยปาจริยสฺส อตฺตภาโว อเหตุ อปจฺจโย’’ติ เอวํ คจฺฉนฺตานิ อตฺตภาวปรมฺปรํ คจฺฉนฺติ นามฯ เอวํ ปน สุวิทูรมฺปิ คจฺฉนฺตานิ อกิริยมเตฺตเยว สณฺฐหนฺติ, เอโกปิ เอเตสํ ทิฎฺฐิคติกานํ กตฺตา วา กาเรตา วา น ปญฺญายติฯ
Parampigantvāti ācariyaparamparā laddhiparamparā attabhāvaparamparāti etesu yaṃkiñci paramparaṃ gantvāpi. Akiriyāya saṇṭhahantīti akiriyamatte saṃtiṭṭhanti. ‘‘Amhākaṃ ācariyo pubbekatavādī, amhākaṃ pācariyo pubbekatavādī, amhākaṃ ācariyapācariyo pubbekatavādī. Amhākaṃ ācariyo issaranimmānavādī , amhākaṃ pācariyo issaranimmānavādī, amhākaṃ ācariyapācariyo issaranimmānavādī. Amhākaṃ ācariyo ahetuapaccayavādī, amhākaṃ pācariyo ahetuapaccayavādī, amhākaṃ ācariyapācariyo ahetuapaccayavādī’’ti evaṃ gacchantāni hi etāni ācariyaparamparaṃ gacchanti nāma. ‘‘Amhākaṃ ācariyo pubbekataladdhiko, amhākaṃ pācariyo…pe… amhākaṃ ācariyapācariyo ahetuapaccayaladdhiko’’ti evaṃ gacchantāni laddhiparamparaṃ gacchanti nāma. ‘‘Amhākaṃ ācariyassa attabhāvo pubbekatahetu, amhākaṃ pācariyassa…pe… amhākaṃ ācariyapācariyassa attabhāvo ahetu apaccayo’’ti evaṃ gacchantāni attabhāvaparamparaṃ gacchanti nāma. Evaṃ pana suvidūrampi gacchantāni akiriyamatteyeva saṇṭhahanti, ekopi etesaṃ diṭṭhigatikānaṃ kattā vā kāretā vā na paññāyati.
ปุริสปุคฺคโลติ สโตฺตฯ กามญฺจ ปุริโสติปิ วุเตฺต ปุคฺคโลติปิ วุเตฺต สโตฺตเยว วุโตฺต โหติ, อยํ ปน สมฺมุติกถา นาม โย ยถา ชานาติ, ตสฺส ตถา วุจฺจติฯ ปฎิสํเวเทตีติ อตฺตโน สนฺตาเน อุปฺปนฺนํ ชานาติ ปฎิสํวิทิตํ กโรติ, อนุภวติ วาฯ ปุเพฺพกตเหตูติ ปุเพฺพกตการณา, ปุเพฺพกตกมฺมปจฺจเยเนว ปฎิสํเวเทตีติ อโตฺถฯ อิมินา กมฺมเวทนญฺจ กิริยเวทนญฺจ ปฎิกฺขิปิตฺวา เอกํ วิปากเวทนเมว สมฺปฎิจฺฉนฺติฯ เย วา อิเม ปิตฺตสมุฎฺฐานา อาพาธา เสมฺหสมุฎฺฐานา วาตสมุฎฺฐานา สนฺนิปาติกา อุตุปริณามชา วิสมปริหารชา โอปกฺกมิกา อาพาธา กมฺมวิปากชา อาพาธาติ อฎฺฐ โรคา วุตฺตา, เตสุ สตฺต ปฎิกฺขิปิตฺวา เอกํ วิปากเวทนํเยว สมฺปฎิจฺฉนฺติฯ เยปิเม ทิฎฺฐธมฺมเวทนียํ อุปปชฺชเวทนียํ อปรปริยายเวทนียนฺติ ตโย กมฺมราสโย วุตฺตา, เตสุปิ เทฺว ปฎิพาหิตฺวา เอกํ อปรปริยายกมฺมํเยว สมฺปฎิจฺฉนฺติฯ เยปิเม ทิฎฺฐธมฺมเวทนีโย วิปาโก อุปปชฺชเวทนีโย อปรปริยายเวทนีโยติ ตโย วิปากราสโย วุตฺตา, เตสุปิ เทฺว ปฎิพาหิตฺวา เอกํ อปรปริยายวิปากเมว สมฺปฎิจฺฉนฺติฯ เยปิเม กุสลเจตนา อกุสลเจตนา วิปากเจตนา กิริยเจตนาติ จตฺตาโร เจตนาราสโย วุตฺตา, เตสุปิ ตโย ปฎิพาหิตฺวา เอกํ วิปากเจตนํเยว สมฺปฎิจฺฉนฺติฯ
Purisapuggaloti satto. Kāmañca purisotipi vutte puggalotipi vutte sattoyeva vutto hoti, ayaṃ pana sammutikathā nāma yo yathā jānāti, tassa tathā vuccati. Paṭisaṃvedetīti attano santāne uppannaṃ jānāti paṭisaṃviditaṃ karoti, anubhavati vā. Pubbekatahetūti pubbekatakāraṇā, pubbekatakammapaccayeneva paṭisaṃvedetīti attho. Iminā kammavedanañca kiriyavedanañca paṭikkhipitvā ekaṃ vipākavedanameva sampaṭicchanti. Ye vā ime pittasamuṭṭhānā ābādhā semhasamuṭṭhānā vātasamuṭṭhānā sannipātikā utupariṇāmajā visamaparihārajā opakkamikā ābādhā kammavipākajā ābādhāti aṭṭha rogā vuttā, tesu satta paṭikkhipitvā ekaṃ vipākavedanaṃyeva sampaṭicchanti. Yepime diṭṭhadhammavedanīyaṃ upapajjavedanīyaṃ aparapariyāyavedanīyanti tayo kammarāsayo vuttā, tesupi dve paṭibāhitvā ekaṃ aparapariyāyakammaṃyeva sampaṭicchanti. Yepime diṭṭhadhammavedanīyo vipāko upapajjavedanīyo aparapariyāyavedanīyoti tayo vipākarāsayo vuttā, tesupi dve paṭibāhitvā ekaṃ aparapariyāyavipākameva sampaṭicchanti. Yepime kusalacetanā akusalacetanā vipākacetanā kiriyacetanāti cattāro cetanārāsayo vuttā, tesupi tayo paṭibāhitvā ekaṃ vipākacetanaṃyeva sampaṭicchanti.
อิสฺสรนิมฺมานเหตูติ อิสฺสรนิมฺมานการณา, อิสฺสเรน นิมฺมิตตฺตา ปฎิสํเวเทตีติ อโตฺถฯ อยํ หิ เตสํ อธิปฺปาโย – อิมา ติโสฺส เวทนา ปจฺจุปฺปเนฺน อตฺตนา กตมูลเกน วา อาณตฺติมูลเกน วา ปุเพฺพกเตน วา อเหตุอปจฺจยา วา ปฎิสํเวทิตุํ นาม น สกฺกา, อิสฺสรนิมฺมานการณาเยว ปน อิมา ปฎิสํเวเทตีติฯ เอวํวาทิโน ปเนเต เหฎฺฐา วุเตฺตสุ อฎฺฐสุ โรเคสุ เอกมฺปิ อสมฺปฎิจฺฉิตฺวา สเพฺพ ปฎิพาหนฺติ, เหฎฺฐา วุเตฺตสุ จ ตีสุ กมฺมราสีสุ ตีสุ วิปากราสีสุ จตูสุ เจตนาราสีสุ เอกมฺปิ อสมฺปฎิจฺฉิตฺวา สเพฺพปิ ปฎิพาหนฺติฯ
Issaranimmānahetūti issaranimmānakāraṇā, issarena nimmitattā paṭisaṃvedetīti attho. Ayaṃ hi tesaṃ adhippāyo – imā tisso vedanā paccuppanne attanā katamūlakena vā āṇattimūlakena vā pubbekatena vā ahetuapaccayā vā paṭisaṃvedituṃ nāma na sakkā, issaranimmānakāraṇāyeva pana imā paṭisaṃvedetīti. Evaṃvādino panete heṭṭhā vuttesu aṭṭhasu rogesu ekampi asampaṭicchitvā sabbe paṭibāhanti, heṭṭhā vuttesu ca tīsu kammarāsīsu tīsu vipākarāsīsu catūsu cetanārāsīsu ekampi asampaṭicchitvā sabbepi paṭibāhanti.
อเหตุอปจฺจยาติ เหตุญฺจ ปจฺจยญฺจ วินา, อการเณเนว ปฎิสํเวเทตีติ อโตฺถฯ อยญฺหิ เนสํ อธิปฺปาโย – อิมา ติโสฺส เวทนา ปจฺจุปฺปเนฺน อตฺตนา กตมูลเกน วา อาณตฺติมูลเกน วา ปุเพฺพกเตน วา อิสฺสรนิมฺมานเหตุนา วา ปฎิสํเวทิตุํ นาม น สกฺกา, อเหตุอปจฺจยาเยว ปน อิมา ปฎิสํเวเทตีติฯ เอวํวาทิโน ปเนเต เหฎฺฐา วุเตฺตสุ โรคาทีสุ เอกมฺปิ อสมฺปฎิจฺฉิตฺวา สพฺพํ ปฎิพาหนฺติฯ
Ahetuapaccayāti hetuñca paccayañca vinā, akāraṇeneva paṭisaṃvedetīti attho. Ayañhi nesaṃ adhippāyo – imā tisso vedanā paccuppanne attanā katamūlakena vā āṇattimūlakena vā pubbekatena vā issaranimmānahetunā vā paṭisaṃvedituṃ nāma na sakkā, ahetuapaccayāyeva pana imā paṭisaṃvedetīti. Evaṃvādino panete heṭṭhā vuttesu rogādīsu ekampi asampaṭicchitvā sabbaṃ paṭibāhanti.
เอวํ สตฺถา มาติกํ นิกฺขิปิตฺวา อิทานิ ตํ วิภชิตฺวา ทเสฺสตุํ ตตฺร, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ เอวํ วทามีติ ลทฺธิปติฎฺฐาปนตฺถํ เอวํ วทามีติ ทเสฺสติฯ ลทฺธิญฺหิ อปฺปติฎฺฐาเปตฺวา นิคฺคยฺหมานา ลทฺธิโต ลทฺธิํ สงฺกมนฺติ, โภ โคตม, น มยํ ปุเพฺพกตวาทํ วทามาติอาทีนิ วทนฺติฯ ลทฺธิยา ปน ปติฎฺฐาปิตาย สงฺกมิตุํ อลภนฺตา สุนิคฺคหิตา โหนฺติ, อิติ เนสํ ลทฺธิปติฎฺฐาปนตฺถํ เอวํ วทามีติ อาหฯ เตนหายสฺมโนฺตติ เตน หิ อายสฺมโนฺตฯ กิํ วุตฺตํ โหติ – ยทิ เอตํ สจฺจํ, เอวํ สเนฺต เตน ตุมฺหากํ วาเทนฯ ปาณาติปาติโน ภวิสฺสนฺติ ปุเพฺพกตเหตูติ เย เกจิ โลเก ปาณํ อติปาเตนฺติ, สเพฺพ เต ปุเพฺพกตเหตุ ปาณาติปาติโน ภวิสฺสนฺติฯ กิํการณา? น หิ ปาณาติปาตกมฺมํ อตฺตนา กตมูลเกน น อาณตฺติมูลเกน น อิสฺสรนิมฺมานเหตุนา น อเหตุอปจฺจยา สกฺกา ปฎิสํเวเทตุํ, ปุเพฺพกตเหตุเยว ปฎิสํเวเทตีติ อยํ โว ลทฺธิฯ ยถา จ ปาณาติปาติโน, เอวํ ปาณาติปาตา วิรมนฺตาปิ ปุเพฺพกตเหตุเยว วิรมิสฺสนฺตีติฯ อิติ ภควา เตสํเยว ลทฺธิํ คเหตฺวา เตสํ นิคฺคหํ อาโรเปติฯ อิมินา นเยน อทินฺนาทายิโนติอาทีสุปิ โยชนา เวทิตพฺพาฯ
Evaṃ satthā mātikaṃ nikkhipitvā idāni taṃ vibhajitvā dassetuṃ tatra, bhikkhavetiādimāha. Tattha evaṃ vadāmīti laddhipatiṭṭhāpanatthaṃ evaṃ vadāmīti dasseti. Laddhiñhi appatiṭṭhāpetvā niggayhamānā laddhito laddhiṃ saṅkamanti, bho gotama, na mayaṃ pubbekatavādaṃ vadāmātiādīni vadanti. Laddhiyā pana patiṭṭhāpitāya saṅkamituṃ alabhantā suniggahitā honti, iti nesaṃ laddhipatiṭṭhāpanatthaṃ evaṃ vadāmīti āha. Tenahāyasmantoti tena hi āyasmanto. Kiṃ vuttaṃ hoti – yadi etaṃ saccaṃ, evaṃ sante tena tumhākaṃ vādena. Pāṇātipātino bhavissanti pubbekatahetūti ye keci loke pāṇaṃ atipātenti, sabbe te pubbekatahetu pāṇātipātino bhavissanti. Kiṃkāraṇā? Na hi pāṇātipātakammaṃ attanā katamūlakena na āṇattimūlakena na issaranimmānahetunā na ahetuapaccayā sakkā paṭisaṃvedetuṃ, pubbekatahetuyeva paṭisaṃvedetīti ayaṃ vo laddhi. Yathā ca pāṇātipātino, evaṃ pāṇātipātā viramantāpi pubbekatahetuyeva viramissantīti. Iti bhagavā tesaṃyeva laddhiṃ gahetvā tesaṃ niggahaṃ āropeti. Iminā nayena adinnādāyinotiādīsupi yojanā veditabbā.
สารโต ปจฺจาคจฺฉตนฺติ สารภาเวน คณฺหนฺตานํฯ ฉโนฺทติ กตฺตุกมฺยตาฉโนฺทฯ อิทํ วา กรณียํ อิทํ วา อกรณียนฺติ เอตฺถ อยํ อธิปฺปาโย – อิทํ วา กรณียนฺติ กตฺตพฺพสฺส กรณตฺถาย, อิทํ วา อกรณียนฺติ อกตฺตพฺพสฺส อกรณตฺถาย กตฺตุกมฺยตา วา ปจฺจตฺตปุริสกาโร วา น โหติฯ ฉนฺทวายาเมสุ วา อสเนฺตสุ ‘‘อิทํ กตฺตพฺพ’’นฺติปิ ‘‘อิทํ น กตฺตพฺพ’’นฺติปิ น โหติฯ อิติ กรณียากรณีเย โข ปน สจฺจโต เถตโต อนุปลพฺภิยมาเนติ เอวํ กตฺตเพฺพ จ อกตฺตเพฺพ จ ภูตโต ถิรโต อปญฺญายมาเน อลพฺภมาเนฯ ยทิ หิ กตฺตพฺพํ กาตุํ อกตฺตพฺพโต จ วิรมิตุํ ลเภยฺย, กรณียากรณียํ สจฺจโต เถตโต อุปลเพฺภยฺยฯ ยสฺมา ปน อุภยมฺปิ ตํ เอส นุปลพฺภติ, ตสฺมา ตํ สจฺจโต เถตโต น อุปลพฺภติ, เอวํ ตสฺมิํ จ อนุปลพฺภิยมาเนติ อโตฺถฯ มุฎฺฐสฺสตีนนฺติ นฎฺฐสฺสตีนํ วิสฺสฎฺฐสฺสตีนํฯ อนารกฺขานํ วิหรตนฺติ ฉสุ ทฺวาเรสุ นิรารกฺขานํ วิหรนฺตานํฯ น โหติ ปจฺจตฺตํ สหธมฺมิโก สมณวาโทติ เอวํ ภูตานํ ตุมฺหากํ วา อเญฺญสํ วา มยํ สมณาติ ปจฺจตฺตํ สการโณ สมณวาโท น โหติ น อิชฺฌติฯ สมณาปิ หิ ปุเพฺพกตการณาเยว โหนฺติ, อสฺสมณาปิ ปุเพฺพกตการณาเยวาติฯ สหธมฺมิโกติ สการโณฯ นิคฺคโห โหตีติ มม นิคฺคโห โหติ, เต ปน นิคฺคหิตา โหนฺตีติฯ
Sāratopaccāgacchatanti sārabhāvena gaṇhantānaṃ. Chandoti kattukamyatāchando. Idaṃ vā karaṇīyaṃidaṃ vā akaraṇīyanti ettha ayaṃ adhippāyo – idaṃ vā karaṇīyanti kattabbassa karaṇatthāya, idaṃ vā akaraṇīyanti akattabbassa akaraṇatthāya kattukamyatā vā paccattapurisakāro vā na hoti. Chandavāyāmesu vā asantesu ‘‘idaṃ kattabba’’ntipi ‘‘idaṃ na kattabba’’ntipi na hoti. Iti karaṇīyākaraṇīye kho pana saccato thetato anupalabbhiyamāneti evaṃ kattabbe ca akattabbe ca bhūtato thirato apaññāyamāne alabbhamāne. Yadi hi kattabbaṃ kātuṃ akattabbato ca viramituṃ labheyya, karaṇīyākaraṇīyaṃ saccato thetato upalabbheyya. Yasmā pana ubhayampi taṃ esa nupalabbhati, tasmā taṃ saccato thetato na upalabbhati, evaṃ tasmiṃ ca anupalabbhiyamāneti attho. Muṭṭhassatīnanti naṭṭhassatīnaṃ vissaṭṭhassatīnaṃ. Anārakkhānaṃ viharatanti chasu dvāresu nirārakkhānaṃ viharantānaṃ. Na hoti paccattaṃ sahadhammiko samaṇavādoti evaṃ bhūtānaṃ tumhākaṃ vā aññesaṃ vā mayaṃ samaṇāti paccattaṃ sakāraṇo samaṇavādo na hoti na ijjhati. Samaṇāpi hi pubbekatakāraṇāyeva honti, assamaṇāpi pubbekatakāraṇāyevāti. Sahadhammikoti sakāraṇo. Niggahohotīti mama niggaho hoti, te pana niggahitā hontīti.
เอวํ ปุเพฺพกตวาทิโน นิคฺคเหตฺวา อิทานิ อิสฺสรนิมฺมานวาทิโน นิคฺคเหตุํ ตตฺร, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตสฺสโตฺถ ปุเพฺพกตวาเท วุตฺตนเยเนว เวทิตโพฺพ, ตถา อเหตุกวาเทปิฯ
Evaṃ pubbekatavādino niggahetvā idāni issaranimmānavādino niggahetuṃ tatra, bhikkhavetiādimāha. Tassattho pubbekatavāde vuttanayeneva veditabbo, tathā ahetukavādepi.
เอวํ อิเมสํ ติตฺถายตนานํ ปรมฺปิ คนฺตฺวา อกิริยาย สณฺฐหนภาเวน ตุจฺฉภาวํ อนิยฺยานิกภาวํ, อสารภาเวน ถุสโกฎฺฎนสทิสตํ อาปชฺชนภาเวน อคฺคิสญฺญาย ธมมานขชฺชุปนกสริกฺขตํ ตํทิฎฺฐิกานํ ปุริมสฺสปิ มชฺฌิมสฺสปิ ปจฺฉิมสฺสปิ อตฺถทสฺสนตาย อภาเวน อนฺธเวณูปมตํ สทฺทมเตฺตเนว ตานิ คเหตฺวา สารทิฎฺฐิกานํ ปถวิยํ ปติตสฺส เพลุวปกฺกสฺส ททฺทภายิตสทฺทํ สุตฺวา ‘‘ปถวี สํวฎฺฎมานา อาคจฺฉตี’’ติ สญฺญาย ปลายเนฺตน สสเกน สริกฺขภาวญฺจ ทเสฺสตฺวา อิทานิ อตฺตนา เทสิตสฺส ธมฺมสฺส สารภาวเญฺจว นิยฺยานิกภาวญฺจ ทเสฺสตุํ อยํ โข ปน, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตตฺถ อนิคฺคหิโตติ อเญฺญหิ อนิคฺคหิโต นิคฺคเหตุํ อสกฺกุเณโยฺยฯ อสํกิลิโฎฺฐติ นิกฺกิเลโส ปริสุโทฺธ, ‘‘สํกิลิฎฺฐํ นํ กริสฺสามา’’ติ ปวเตฺตหิปิ ตถา กาตุํ อสกฺกุเณโยฺยฯ อนุปวโชฺชติ อุปวาทวินิมุโตฺตฯ อปฺปฎิกุโฎฺฐติ ‘‘กิํ อิมินา หรถ น’’นฺติ เอวํ อปฺปฎิพาหิโต , อนุปกฺกุโฎฺฐ วาฯ วิญฺญูหีติ ปณฺฑิเตหิฯ อปณฺฑิตานญฺหิ อชานิตฺวา กเถนฺตานํ วจนํ อปฺปมาณํฯ ตสฺมา วิญฺญูหีติ อาหฯ
Evaṃ imesaṃ titthāyatanānaṃ parampi gantvā akiriyāya saṇṭhahanabhāvena tucchabhāvaṃ aniyyānikabhāvaṃ, asārabhāvena thusakoṭṭanasadisataṃ āpajjanabhāvena aggisaññāya dhamamānakhajjupanakasarikkhataṃ taṃdiṭṭhikānaṃ purimassapi majjhimassapi pacchimassapi atthadassanatāya abhāvena andhaveṇūpamataṃ saddamatteneva tāni gahetvā sāradiṭṭhikānaṃ pathaviyaṃ patitassa beluvapakkassa daddabhāyitasaddaṃ sutvā ‘‘pathavī saṃvaṭṭamānā āgacchatī’’ti saññāya palāyantena sasakena sarikkhabhāvañca dassetvā idāni attanā desitassa dhammassa sārabhāvañceva niyyānikabhāvañca dassetuṃ ayaṃkho pana, bhikkhavetiādimāha. Tattha aniggahitoti aññehi aniggahito niggahetuṃ asakkuṇeyyo. Asaṃkiliṭṭhoti nikkileso parisuddho, ‘‘saṃkiliṭṭhaṃ naṃ karissāmā’’ti pavattehipi tathā kātuṃ asakkuṇeyyo. Anupavajjoti upavādavinimutto. Appaṭikuṭṭhoti ‘‘kiṃ iminā haratha na’’nti evaṃ appaṭibāhito , anupakkuṭṭho vā. Viññūhīti paṇḍitehi. Apaṇḍitānañhi ajānitvā kathentānaṃ vacanaṃ appamāṇaṃ. Tasmā viññūhīti āha.
อิทานิ ตสฺส ธมฺมสฺส ทสฺสนตฺถํ ‘‘กตโม จ, ภิกฺขเว’’ติ ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมา ฉ ธาตุโย’’ติอาทินา นเยน มาติกํ นิกฺขิปิตฺวา ยถาปฎิปาฎิยา วิภชิตฺวา ทเสฺสโนฺต ปุน อิมา ฉ ธาตุโยติอาทิมาหฯ ตตฺถ ธาตุโยติ สภาวาฯ นิชฺชีวนิสฺสตฺตภาวปฺปกาสโก หิ สภาวโฎฺฐ ธาตฺวโฎฺฐ นามฯ ผสฺสายตนานีติ วิปากผสฺสานํ อากรเฎฺฐน อายตนานิฯ มโนปวิจาราติ วิตกฺกวิจารปาเทหิ อฎฺฐารสสุ ฐาเนสุ มนสฺส อุปวิจาราฯ
Idāni tassa dhammassa dassanatthaṃ ‘‘katamo ca, bhikkhave’’ti pañhaṃ pucchitvā ‘‘imā cha dhātuyo’’tiādinā nayena mātikaṃ nikkhipitvā yathāpaṭipāṭiyā vibhajitvā dassento puna imā cha dhātuyotiādimāha. Tattha dhātuyoti sabhāvā. Nijjīvanissattabhāvappakāsako hi sabhāvaṭṭho dhātvaṭṭho nāma. Phassāyatanānīti vipākaphassānaṃ ākaraṭṭhena āyatanāni. Manopavicārāti vitakkavicārapādehi aṭṭhārasasu ṭhānesu manassa upavicārā.
ปถวีธาตูติ ปติฎฺฐาธาตุฯ อาโปธาตูติ อาพนฺธนธาตุฯ เตโชธาตูติ ปริปาจนธาตุฯ วาโยธาตูติ วิตฺถมฺภนธาตุฯ อากาสธาตูติ อสมฺผุฎฺฐธาตุฯ วิญฺญาณธาตูติ วิชานนธาตุฯ เอวมิทํ ธาตุกมฺมฎฺฐานํ อาคตํฯ ตํ โข ปเนตํ สเงฺขปโต อาคตฎฺฐาเน สเงฺขปโตปิ วิตฺถารโตปิ กเถตุํ วฎฺฎติฯ วิตฺถารโต อาคตฎฺฐาเน สเงฺขปโต กเถตุํ น วฎฺฎติ, วิตฺถารโตว วฎฺฎติฯ อิมสฺมิํ ปน ติตฺถายตนสุเตฺต อิทํ สเงฺขปโต ฉธาตุวเสน กมฺมฎฺฐานํ อาคตํฯ ตํ อุภยถาปิ กเถตุํ วฎฺฎติฯ
Pathavīdhātūti patiṭṭhādhātu. Āpodhātūti ābandhanadhātu. Tejodhātūti paripācanadhātu. Vāyodhātūti vitthambhanadhātu. Ākāsadhātūti asamphuṭṭhadhātu. Viññāṇadhātūti vijānanadhātu. Evamidaṃ dhātukammaṭṭhānaṃ āgataṃ. Taṃ kho panetaṃ saṅkhepato āgataṭṭhāne saṅkhepatopi vitthāratopi kathetuṃ vaṭṭati. Vitthārato āgataṭṭhāne saṅkhepato kathetuṃ na vaṭṭati, vitthāratova vaṭṭati. Imasmiṃ pana titthāyatanasutte idaṃ saṅkhepato chadhātuvasena kammaṭṭhānaṃ āgataṃ. Taṃ ubhayathāpi kathetuṃ vaṭṭati.
สเงฺขปโต ฉธาตุวเสน กมฺมฎฺฐานํ ปริคฺคณฺหโนฺตปิ เอวํ ปริคฺคณฺหาติ – ปถวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตูติ อิมานิ จตฺตาริ มหาภูตานิ, อากาสธาตุ อุปาทารูปํฯ เอกสฺมิํ จ อุปาทารูเป ทิเฎฺฐ เสสานิ เตวีสติ ทิฎฺฐาเนวาติ สลฺลเกฺขตพฺพานิฯ วิญฺญาณธาตูติ จิตฺตํ วิญฺญาณกฺขโนฺธ โหติ, เตน สหชาตา เวทนา เวทนากฺขโนฺธ, สญฺญา สญฺญากฺขโนฺธ, ผโสฺส จ เจตนา จ สงฺขารกฺขโนฺธติ อิเม จตฺตาโร อรูปกฺขนฺธา นามฯ จตฺตาริ ปน มหาภูตานิ จตุนฺนญฺจ มหาภูตานํ อุปาทารูปํ รูปกฺขโนฺธ นามฯ ตตฺถ จตฺตาโร อรูปกฺขนฺธา นามํ, รูปกฺขโนฺธ รูปนฺติ นามญฺจ รูปญฺจาติ เทฺวเยว ธมฺมา โหนฺติ, ตโต อุทฺธํ สโตฺต วา ชีโว วา นตฺถีติ เอวํ เอกสฺส ภิกฺขุโน สเงฺขปโต ฉธาตุวเสน อรหตฺตสมฺปาปกํ กมฺมฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ
Saṅkhepato chadhātuvasena kammaṭṭhānaṃ pariggaṇhantopi evaṃ pariggaṇhāti – pathavīdhātu āpodhātu tejodhātu vāyodhātūti imāni cattāri mahābhūtāni, ākāsadhātu upādārūpaṃ. Ekasmiṃ ca upādārūpe diṭṭhe sesāni tevīsati diṭṭhānevāti sallakkhetabbāni. Viññāṇadhātūti cittaṃ viññāṇakkhandho hoti, tena sahajātā vedanā vedanākkhandho, saññā saññākkhandho, phasso ca cetanā ca saṅkhārakkhandhoti ime cattāro arūpakkhandhā nāma. Cattāri pana mahābhūtāni catunnañca mahābhūtānaṃ upādārūpaṃ rūpakkhandho nāma. Tattha cattāro arūpakkhandhā nāmaṃ, rūpakkhandho rūpanti nāmañca rūpañcāti dveyeva dhammā honti, tato uddhaṃ satto vā jīvo vā natthīti evaṃ ekassa bhikkhuno saṅkhepato chadhātuvasena arahattasampāpakaṃ kammaṭṭhānaṃ veditabbaṃ.
วิตฺถารโต ปริคฺคณฺหโนฺต ปน จตฺตาริ มหาภูตานิ ปริคฺคณฺหิตฺวา อากาสธาตุปริคฺคหานุสาเรน เตวีสติ อุปาทารูปานิ ปริคฺคณฺหาติฯ อถ เนสํ ปจฺจยํ อุปปริกฺขโนฺต ปุน จตฺตาเรว มหาภูตานิ ทิสฺวา เตสุ ปถวีธาตุ วีสติโกฎฺฐาสา, อาโปธาตุ ทฺวาทส, เตโชธาตุ จตฺตาโร, วาโยธาตุ ฉโกฎฺฐาสาติ โกฎฺฐาสวเสน สโมธาเนตฺวา ทฺวาจตฺตาลีส มหาภูตานิ จ ววตฺถเปตฺวา เตสุ เตวีสติ อุปาทารูปานิ ปกฺขิปิตฺวา ปญฺจสฎฺฐิ รูปานิ ววตฺถเปติฯ ตานิ จ วตฺถุรูเปน สทฺธิํ ฉสฎฺฐิ โหนฺตีติ ฉสฎฺฐิ รูปานิ ปสฺสติฯ วิญฺญาณธาตุ ปน โลกิยจิตฺตวเสน เอกาสีติ จิตฺตานิฯ ตานิ สพฺพานิปิ วิญฺญาณกฺขโนฺธ นาม โหติฯ เตหิ สหชาตา เวทนาทโยปิ ตตฺตกาเยวาติ เอกาสีติ เวทนา เวทนากฺขโนฺธ, เอกาสีติ สญฺญา สญฺญากฺขโนฺธ, เอกาสีติ เจตนา สงฺขารกฺขโนฺธติ อิเม จตฺตาโร อรูปกฺขนฺธา เตภูมกวเสน คยฺหมานา จตุวีสาธิกานิ ตีณิ ธมฺมสตานิ โหนฺตีติ อิติ อิเม จ อรูปธมฺมา ฉสฎฺฐิ จ รูปธมฺมาติ สเพฺพปิ สโมธาเนตฺวา นามญฺจ รูปญฺจาติ เทฺวว ธมฺมา โหนฺติ, ตโต อุทฺธํ สโตฺต วา ชีโว วา นตฺถีติ นามรูปวเสน ปญฺจกฺขเนฺธ ววตฺถเปตฺวา เตสํ ปจฺจยํ ปริเยสโนฺต อวิชฺชาปจฺจยา ตณฺหาปจฺจยา กมฺมปจฺจยา อาหารปจฺจยาติ เอวํ ปจฺจยํ ทิสฺวา ‘‘อตีเตปิ อิเมหิ ปจฺจเยหิ อิทํ วฎฺฎํ ปวตฺติตฺถ, อนาคเตปิ เอเตหิ ปจฺจเยหิ ปวตฺติสฺสติ, เอตรหิปิ เอเตหิเยว ปวตฺตตี’’ติ ตีสุ กาเลสุ กงฺขํ วิตริตฺวา อนุกฺกเมน ปฎิปชฺชมาโน อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ เอวํ วิตฺถารโตปิ ฉธาตุวเสน อรหตฺตสมฺปาปกํ กมฺมฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ
Vitthārato pariggaṇhanto pana cattāri mahābhūtāni pariggaṇhitvā ākāsadhātupariggahānusārena tevīsati upādārūpāni pariggaṇhāti. Atha nesaṃ paccayaṃ upaparikkhanto puna cattāreva mahābhūtāni disvā tesu pathavīdhātu vīsatikoṭṭhāsā, āpodhātu dvādasa, tejodhātu cattāro, vāyodhātu chakoṭṭhāsāti koṭṭhāsavasena samodhānetvā dvācattālīsa mahābhūtāni ca vavatthapetvā tesu tevīsati upādārūpāni pakkhipitvā pañcasaṭṭhi rūpāni vavatthapeti. Tāni ca vatthurūpena saddhiṃ chasaṭṭhi hontīti chasaṭṭhi rūpāni passati. Viññāṇadhātu pana lokiyacittavasena ekāsīti cittāni. Tāni sabbānipi viññāṇakkhandho nāma hoti. Tehi sahajātā vedanādayopi tattakāyevāti ekāsīti vedanā vedanākkhandho, ekāsīti saññā saññākkhandho, ekāsīti cetanā saṅkhārakkhandhoti ime cattāro arūpakkhandhā tebhūmakavasena gayhamānā catuvīsādhikāni tīṇi dhammasatāni hontīti iti ime ca arūpadhammā chasaṭṭhi ca rūpadhammāti sabbepi samodhānetvā nāmañca rūpañcāti dveva dhammā honti, tato uddhaṃ satto vā jīvo vā natthīti nāmarūpavasena pañcakkhandhe vavatthapetvā tesaṃ paccayaṃ pariyesanto avijjāpaccayā taṇhāpaccayā kammapaccayā āhārapaccayāti evaṃ paccayaṃ disvā ‘‘atītepi imehi paccayehi idaṃ vaṭṭaṃ pavattittha, anāgatepi etehi paccayehi pavattissati, etarahipi etehiyeva pavattatī’’ti tīsu kālesu kaṅkhaṃ vitaritvā anukkamena paṭipajjamāno arahattaṃ pāpuṇāti. Evaṃ vitthāratopi chadhātuvasena arahattasampāpakaṃ kammaṭṭhānaṃ veditabbaṃ.
จกฺขุ ผสฺสายตนนฺติ สุวณฺณาทีนํ สุวณฺณาทิอากโร วิย เทฺว จกฺขุวิญฺญาณานิ เทฺว สมฺปฎิจฺฉนานิ ตีณิ สนฺตีรณานีติ อิเมหิ สตฺตหิ วิญฺญาเณหิ สหชาตานํ สตฺตนฺนํ ผสฺสานํ สมุฎฺฐานเฎฺฐน อากโรติ อายตนํฯ โสตํ ผสฺสายตนนฺติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ มโน ผสฺสายตนนฺติ เอตฺถ ปน ทฺวาวีสติ วิปากผสฺสา โยเชตพฺพาฯ อิติ หิทํ ฉผสฺสายตนานํ วเสน กมฺมฎฺฐานํ อาคตํฯ ตํ สเงฺขปโตปิ วิตฺถารโตปิ กเถตพฺพํฯ สเงฺขปโต ตาว – เอตฺถ หิ ปุริมานิ ปญฺจ อายตนานิ อุปาทารูปํ, เตสุ ทิเฎฺฐสุ อวเสสํ อุปาทารูปํ ทิฎฺฐเมว โหติฯ ฉฎฺฐํ อายตนํ จิตฺตํ, ตํ วิญฺญาณกฺขโนฺธ โหติ, เตน สหชาตา เวทนาทโย เสสา ตโย อรูปกฺขนฺธาติ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว สเงฺขปโต จ วิตฺถารโต จ อรหตฺตสมฺปาปกํ กมฺมฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ
Cakkhu phassāyatananti suvaṇṇādīnaṃ suvaṇṇādiākaro viya dve cakkhuviññāṇāni dve sampaṭicchanāni tīṇi santīraṇānīti imehi sattahi viññāṇehi sahajātānaṃ sattannaṃ phassānaṃ samuṭṭhānaṭṭhena ākaroti āyatanaṃ. Sotaṃ phassāyatanantiādīsupi eseva nayo. Mano phassāyatananti ettha pana dvāvīsati vipākaphassā yojetabbā. Iti hidaṃ chaphassāyatanānaṃ vasena kammaṭṭhānaṃ āgataṃ. Taṃ saṅkhepatopi vitthāratopi kathetabbaṃ. Saṅkhepato tāva – ettha hi purimāni pañca āyatanāni upādārūpaṃ, tesu diṭṭhesu avasesaṃ upādārūpaṃ diṭṭhameva hoti. Chaṭṭhaṃ āyatanaṃ cittaṃ, taṃ viññāṇakkhandho hoti, tena sahajātā vedanādayo sesā tayo arūpakkhandhāti heṭṭhā vuttanayeneva saṅkhepato ca vitthārato ca arahattasampāpakaṃ kammaṭṭhānaṃ veditabbaṃ.
จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวาติ จกฺขุวิญฺญาเณน รูปํ ปสฺสิตฺวาฯ โสมนสฺสฎฺฐานิยนฺติ โสมนสฺสสฺส การณภูตํฯ อุปวิจรตีติ ตตฺถ มนํ จาเรโนฺต อุปวิจรติฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโย ฯ เอตฺถ จ อิฎฺฐํ วา โหตุ อนิฎฺฐํ วา, ยํ รูปํ ทิสฺวา โสมนสฺสํ อุปฺปชฺชติ, ตํ โสมนสฺสฎฺฐานิยํ นามฯ ยํ ทิสฺวา โทมนสฺสํ อุปฺปชฺชติ, ตํ โทมนสฺสฎฺฐานิยํ นามฯ ยํ ทิสฺวา อุเปกฺขา อุปฺปชฺชติ, ตํ อุเปกฺขาฎฺฐานิยํ นามาติ เวทิตพฺพํฯ สทฺทาทีสุปิ เอเสว นโยฯ อิติ อิทํ สเงฺขปโต กมฺมฎฺฐานํ อาคตํฯ ตํ โข ปเนตํ สเงฺขปโต อาคตฎฺฐาเน สเงฺขปโตปิ วิตฺถารโตปิ กเถตุํ วฎฺฎติฯ วิตฺถารโต อาคตฎฺฐาเน สเงฺขปโต กเถตุํ น วฎฺฎติฯ อิมสฺมิํ ปน ติตฺถายตนสุเตฺต อิทํ สเงฺขปโต อฎฺฐารสมโนปวิจารวเสน กมฺมฎฺฐานํ อาคตํฯ ตํ สเงฺขปโตปิ วิตฺถารโตปิ กเถตุํ วฎฺฎติฯ
Cakkhunā rūpaṃ disvāti cakkhuviññāṇena rūpaṃ passitvā. Somanassaṭṭhāniyanti somanassassa kāraṇabhūtaṃ. Upavicaratīti tattha manaṃ cārento upavicarati. Sesapadesupi eseva nayo . Ettha ca iṭṭhaṃ vā hotu aniṭṭhaṃ vā, yaṃ rūpaṃ disvā somanassaṃ uppajjati, taṃ somanassaṭṭhāniyaṃ nāma. Yaṃ disvā domanassaṃ uppajjati, taṃ domanassaṭṭhāniyaṃ nāma. Yaṃ disvā upekkhā uppajjati, taṃ upekkhāṭṭhāniyaṃ nāmāti veditabbaṃ. Saddādīsupi eseva nayo. Iti idaṃ saṅkhepato kammaṭṭhānaṃ āgataṃ. Taṃ kho panetaṃ saṅkhepato āgataṭṭhāne saṅkhepatopi vitthāratopi kathetuṃ vaṭṭati. Vitthārato āgataṭṭhāne saṅkhepato kathetuṃ na vaṭṭati. Imasmiṃ pana titthāyatanasutte idaṃ saṅkhepato aṭṭhārasamanopavicāravasena kammaṭṭhānaṃ āgataṃ. Taṃ saṅkhepatopi vitthāratopi kathetuṃ vaṭṭati.
ตตฺถ สเงฺขปโต ตาว – จกฺขุ โสตํ ฆานํ ชิวฺหา กาโย, รูปํ สโทฺท คโนฺธ รโสติ อิมานิ นว อุปาทารูปานิ, เตสุ ทิเฎฺฐสุ เสสํ อุปาทารูปํ ทิฎฺฐเมว โหติฯ โผฎฺฐพฺพํ ตีณิ มหาภูตานิ, เตหิ ทิเฎฺฐหิ จตุตฺถํ ทิฎฺฐเมว โหติฯ มโน วิญฺญาณกฺขโนฺธ, เตน สหชาตา เวทนาทโย ตโย อรูปกฺขนฺธาติ เหฎฺฐา วุตฺตนเยเนว สเงฺขปโต จ วิตฺถารโต จ อรหตฺตสมฺปาปกํ กมฺมฎฺฐานํ เวทิตพฺพํฯ
Tattha saṅkhepato tāva – cakkhu sotaṃ ghānaṃ jivhā kāyo, rūpaṃ saddo gandho rasoti imāni nava upādārūpāni, tesu diṭṭhesu sesaṃ upādārūpaṃ diṭṭhameva hoti. Phoṭṭhabbaṃ tīṇi mahābhūtāni, tehi diṭṭhehi catutthaṃ diṭṭhameva hoti. Mano viññāṇakkhandho, tena sahajātā vedanādayo tayo arūpakkhandhāti heṭṭhā vuttanayeneva saṅkhepato ca vitthārato ca arahattasampāpakaṃ kammaṭṭhānaṃ veditabbaṃ.
อริยสจฺจานีติ อริยภาวกรานิ, อริยปฎิวิทฺธานิ วา สจฺจานิฯ อยเมตฺถ สเงฺขโป, วิตฺถารโต ปเนตํ ปทํ วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๒.๕๒๙) ปกาสิตํฯ ฉนฺนํ, ภิกฺขเว, ธาตูนนฺติ อิทํ กิมตฺถํ อารทฺธํ? สุขาวโพธนตฺถํฯ ยสฺส หิ ตถาคโต ทฺวาทสปทํ ปจฺจยาวฎฺฎํ กเถตุกาโม โหติ, ตสฺส คพฺภาวกฺกนฺติ วฎฺฎํ ทเสฺสติฯ คพฺภาวกฺกนฺติ วฎฺฎสฺมิํ หิ ทสฺสิเต กเถตุมฺปิ สุขํ โหติ ปรํ อวโพเธ อุตุมฺปีติ สุขาวโพธนตฺถํ อิทมารทฺธนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถ ฉนฺนํ ธาตูนนฺติ เหฎฺฐา วุตฺตานํเยว ปถวีธาตุอาทีนํฯ อุปาทายาติ ปฎิจฺจฯ เอเตน ปจฺจยมตฺตํ ทเสฺสติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ ‘‘ฉธาตุปจฺจยา คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหตี’’ติฯ กสฺส ฉนฺนํ ธาตูนํ ปจฺจเยน, กิํ มาตุ, อุทาหุ ปิตูติ? น มาตุ น ปิตุ, ปฎิสนฺธิคฺคณฺหนกสตฺตเสฺสว ปน ฉนฺนํ ธาตูนํ ปจฺจเยน คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ นาม โหติฯ คโพฺภ จ นาเมส นิรยคโพฺภ ติรจฺฉานโยนิคโพฺภ เปตฺติวิสยคโพฺภ มนุสฺสคโพฺภ เทวคโพฺภติ นานปฺปกาโร โหติฯ อิมสฺมิํ ปน ฐาเน มนุสฺสคโพฺภ อธิเปฺปโตฯ อวกฺกนฺติ โหตีติ โอกฺกนฺติ นิพฺพตฺติ ปาตุภาโว โหติ, กถํ โหตีติ? ติณฺณํ สนฺนิปาเตนฯ วุตฺตเญฺหตํ –
Ariyasaccānīti ariyabhāvakarāni, ariyapaṭividdhāni vā saccāni. Ayamettha saṅkhepo, vitthārato panetaṃ padaṃ visuddhimagge (visuddhi. 2.529) pakāsitaṃ. Channaṃ, bhikkhave, dhātūnanti idaṃ kimatthaṃ āraddhaṃ? Sukhāvabodhanatthaṃ. Yassa hi tathāgato dvādasapadaṃ paccayāvaṭṭaṃ kathetukāmo hoti, tassa gabbhāvakkanti vaṭṭaṃ dasseti. Gabbhāvakkanti vaṭṭasmiṃ hi dassite kathetumpi sukhaṃ hoti paraṃ avabodhe utumpīti sukhāvabodhanatthaṃ idamāraddhanti veditabbaṃ. Tattha channaṃ dhātūnanti heṭṭhā vuttānaṃyeva pathavīdhātuādīnaṃ. Upādāyāti paṭicca. Etena paccayamattaṃ dasseti. Idaṃ vuttaṃ hoti ‘‘chadhātupaccayā gabbhassāvakkanti hotī’’ti. Kassa channaṃ dhātūnaṃ paccayena, kiṃ mātu, udāhu pitūti? Na mātu na pitu, paṭisandhiggaṇhanakasattasseva pana channaṃ dhātūnaṃ paccayena gabbhassāvakkanti nāma hoti. Gabbho ca nāmesa nirayagabbho tiracchānayonigabbho pettivisayagabbho manussagabbho devagabbhoti nānappakāro hoti. Imasmiṃ pana ṭhāne manussagabbho adhippeto. Avakkanti hotīti okkanti nibbatti pātubhāvo hoti, kathaṃ hotīti? Tiṇṇaṃ sannipātena. Vuttañhetaṃ –
‘‘ติณฺณํ โข ปน, ภิกฺขเว, สนฺนิปาตา คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติฯ กตเมสํ ติณฺณํ ? อิธ มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ, มาตา จ น อุตุนี โหติ, คนฺธโพฺพ จ น ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติฯ เนว ตาว คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติฯ อิธ มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ, มาตา จ อุตุนี โหติ, คนฺธโพฺพ จ น ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติ, เนว ตาว คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหติฯ ยโต จ โข, ภิกฺขเว, มาตาปิตโร จ สนฺนิปติตา โหนฺติ, มาตา จ อุตุนี โหติ, คนฺธโพฺพ จ ปจฺจุปฎฺฐิโต โหติฯ เอวํ ติณฺณํ สนฺนิปาตา คพฺภสฺสาวกฺกนฺติ โหตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๐๘)ฯ
‘‘Tiṇṇaṃ kho pana, bhikkhave, sannipātā gabbhassāvakkanti hoti. Katamesaṃ tiṇṇaṃ ? Idha mātāpitaro ca sannipatitā honti, mātā ca na utunī hoti, gandhabbo ca na paccupaṭṭhito hoti. Neva tāva gabbhassāvakkanti hoti. Idha mātāpitaro ca sannipatitā honti, mātā ca utunī hoti, gandhabbo ca na paccupaṭṭhito hoti, neva tāva gabbhassāvakkanti hoti. Yato ca kho, bhikkhave, mātāpitaro ca sannipatitā honti, mātā ca utunī hoti, gandhabbo ca paccupaṭṭhito hoti. Evaṃ tiṇṇaṃ sannipātā gabbhassāvakkanti hotī’’ti (ma. ni. 1.408).
โอกฺกนฺติยา สติ นามรูปนฺติ ‘‘วิญฺญาณปจฺจยา นามรูป’’นฺติ วุตฺตฎฺฐาเน วตฺถุทสกํ กายทสกํ ภาวทสกํ ตโย อรูปิโน ขนฺธาติ เตตฺติํส ธมฺมา คหิตา, อิมสฺมิํ ปน ‘‘โอกฺกนฺติยา สติ นามรูป’’นฺติ วุตฺตฎฺฐาเน วิญฺญาณกฺขนฺธมฺปิ ปกฺขิปิตฺวา คพฺภเสยฺยกานํ ปฎิสนฺธิกฺขเณ จตุตฺติํส ธมฺมา คหิตาติ เวทิตพฺพาฯ นามรูปปจฺจยา สฬายตนนฺติอาทีหิ ยเถว โอกฺกนฺติยา สติ นามรูปปาตุภาโว ทสฺสิโต, เอวํ นามรูเป สติ สฬายตนปาตุภาโว, สฬายตเน สติ ผสฺสปาตุภาโว, ผเสฺส สติ เวทนาปาตุภาโว ทสฺสิโตฯ
Okkantiyāsati nāmarūpanti ‘‘viññāṇapaccayā nāmarūpa’’nti vuttaṭṭhāne vatthudasakaṃ kāyadasakaṃ bhāvadasakaṃ tayo arūpino khandhāti tettiṃsa dhammā gahitā, imasmiṃ pana ‘‘okkantiyā sati nāmarūpa’’nti vuttaṭṭhāne viññāṇakkhandhampi pakkhipitvā gabbhaseyyakānaṃ paṭisandhikkhaṇe catuttiṃsa dhammā gahitāti veditabbā. Nāmarūpapaccayā saḷāyatanantiādīhi yatheva okkantiyā sati nāmarūpapātubhāvo dassito, evaṃ nāmarūpe sati saḷāyatanapātubhāvo, saḷāyatane sati phassapātubhāvo, phasse sati vedanāpātubhāvo dassito.
เวทิยมานสฺสาติ เอตฺถ เวทนํ อนุภวโนฺตปิ เวทิยมาโนติ วุจฺจติ ชานโนฺตปิฯ ‘‘เวทิยามหํ, ภเนฺต, เวทิยตีติ มํ สโงฺฆ ธาเรตู’’ติ (จูฬว. อฎฺฐ. ๑๐๒) เอตฺถ หิ อนุภวโนฺต เวทิยมาโน นาม, ‘‘สุขํ เวทนํ เวทิยมาโน สุขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๑๓; ที. นิ. ๒.๓๘๐; วิภ. ๓๖๓) เอตฺถ ชานโนฺตฯ อิธาปิ ชานโนฺตว อธิเปฺปโตฯ อิทํ ทุกฺขนฺติ ปญฺญเปมีติ เอวํ ชานนฺตสฺส สตฺตสฺส ‘‘อิทํ ทุกฺขํ เอตฺตกํ ทุกฺขํ, นตฺถิ อิโต อุทฺธํ ทุกฺข’’นฺติ ปญฺญเปมิ โพเธมิ ชานาเปมิฯ อยํ ทุกฺขสมุทโยติอาทีสุปิ เอเสว นโยฯ
Vediyamānassāti ettha vedanaṃ anubhavantopi vediyamānoti vuccati jānantopi. ‘‘Vediyāmahaṃ, bhante, vediyatīti maṃ saṅgho dhāretū’’ti (cūḷava. aṭṭha. 102) ettha hi anubhavanto vediyamāno nāma, ‘‘sukhaṃ vedanaṃ vediyamāno sukhaṃ vedanaṃ vediyāmīti pajānātī’’ti (ma. ni. 1.113; dī. ni. 2.380; vibha. 363) ettha jānanto. Idhāpi jānantova adhippeto. Idaṃ dukkhanti paññapemīti evaṃ jānantassa sattassa ‘‘idaṃ dukkhaṃ ettakaṃ dukkhaṃ, natthi ito uddhaṃ dukkha’’nti paññapemi bodhemi jānāpemi. Ayaṃ dukkhasamudayotiādīsupi eseva nayo.
ตตฺถ ทุกฺขาทีสุ อยํ สนฺนิฎฺฐานกถา – ฐเปตฺวา หิ ตณฺหํ เตภูมกา ปญฺจกฺขนฺธา ทุกฺขํ นาม, ตเสฺสว ปภาวิกา ปุพฺพตณฺหา ทุกฺขสมุทโย นาม, เตสํ ทฺวินฺนมฺปิ สจฺจานํ อนุปฺปตฺตินิโรโธ ทุกฺขนิโรโธ นาม, อริโย อฎฺฐงฺคิโก มโคฺค ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทา นามฯ อิติ ภควา โอกฺกนฺติยา สติ นามรูปนฺติ กเถโนฺตปิ เวทิยมานสฺส ชานมานเสฺสว กเถสิ, นามรูปปจฺจยา สฬายตนนฺติ กเถโนฺตปิ, สฬายตนปจฺจยา ผโสฺสติ กเถโนฺตปิ, ผสฺสปจฺจยา เวทนาติ กเถโนฺตปิ, เวทิยมานสฺส โข ปนาหํ, ภิกฺขเว, อิทํ ทุกฺขนฺติ ปญฺญเปมีติ กเถโนฺตปิ , อยํ ทุกฺขสมุทโยติ, อยํ ทุกฺขนิโรโธติ, อยํ ทุกฺขนิโรธคามินี ปฎิปทาติ ปญฺญเปมีติ กเถโนฺตปิ เวทิยมานสฺส ชานมานเสฺสว กเถสิฯ
Tattha dukkhādīsu ayaṃ sanniṭṭhānakathā – ṭhapetvā hi taṇhaṃ tebhūmakā pañcakkhandhā dukkhaṃ nāma, tasseva pabhāvikā pubbataṇhā dukkhasamudayo nāma, tesaṃ dvinnampi saccānaṃ anuppattinirodho dukkhanirodho nāma, ariyo aṭṭhaṅgiko maggo dukkhanirodhagāminī paṭipadā nāma. Iti bhagavā okkantiyā sati nāmarūpanti kathentopi vediyamānassa jānamānasseva kathesi, nāmarūpapaccayā saḷāyatananti kathentopi, saḷāyatanapaccayā phassoti kathentopi, phassapaccayā vedanāti kathentopi, vediyamānassa kho panāhaṃ, bhikkhave, idaṃ dukkhanti paññapemīti kathentopi , ayaṃ dukkhasamudayoti, ayaṃ dukkhanirodhoti, ayaṃ dukkhanirodhagāminī paṭipadāti paññapemīti kathentopi vediyamānassa jānamānasseva kathesi.
อิทานิ ตานิ ปฎิปาฎิยา ฐปิตานิ สจฺจานิ วิตฺถาเรโนฺต กตมญฺจ, ภิกฺขเวติอาทิมาหฯ ตํ สพฺพํ สพฺพากาเรน วิสุทฺธิมเคฺค (วิสุทฺธิ. ๒.๕๓๗) วิตฺถาริตเมวฯ ตตฺถ วุตฺตนเยเนว เวทิตพฺพํฯ อยํ ปน วิเสโส – ตตฺถ ‘‘ทุกฺขสมุทยํ อริยสจฺจํ ยายํ ตณฺหา โปโนพฺภวิกา’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๓๓; ที. นิ. ๒.๔๐๐; วิภ. ๒๐๓) อิมาย ตนฺติยา อาคตํ, อิธ ‘‘อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา’’ติ ปจฺจยาการวเสนฯ ตตฺถ จ ทุกฺขนิโรธํ อริยสจฺจํ ‘‘โย ตสฺสาเยว ตณฺหาย อเสสวิราคนิโรโธ’’ติ (ม. นิ. ๑.๑๓๔; ที. นิ. ๒.๔๐๑; วิภ. ๒๐๔) อิมาย ตนฺติยา อาคตํ, อิธ ‘‘อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา’’ติ ปจฺจยาการนิโรธวเสนฯ
Idāni tāni paṭipāṭiyā ṭhapitāni saccāni vitthārento katamañca, bhikkhavetiādimāha. Taṃ sabbaṃ sabbākārena visuddhimagge (visuddhi. 2.537) vitthāritameva. Tattha vuttanayeneva veditabbaṃ. Ayaṃ pana viseso – tattha ‘‘dukkhasamudayaṃ ariyasaccaṃ yāyaṃ taṇhā ponobbhavikā’’ti (ma. ni. 1.133; dī. ni. 2.400; vibha. 203) imāya tantiyā āgataṃ, idha ‘‘avijjāpaccayā saṅkhārā’’ti paccayākāravasena. Tattha ca dukkhanirodhaṃ ariyasaccaṃ ‘‘yo tassāyeva taṇhāya asesavirāganirodho’’ti (ma. ni. 1.134; dī. ni. 2.401; vibha. 204) imāya tantiyā āgataṃ, idha ‘‘avijjāyatveva asesavirāganirodhā’’ti paccayākāranirodhavasena.
ตตฺถ อเสสวิราคนิโรธาติ อเสสวิราเคน จ อเสสนิโรเธน จฯ อุภยเมฺปตํ อญฺญมญฺญเววจนเมวฯ สงฺขารนิโรโธติ สงฺขารานํ อนุปฺปตฺตินิโรโธ โหติฯ เสสปเทสุปิ เอเสว นโยฯ อิเมหิ ปน ปเทหิ ยํ อาคมฺม อวิชฺชาทโย นิรุชฺฌนฺติ, อตฺถโต ตํ นิพฺพานํ ทีปิตํ โหติฯ นิพฺพานญฺหิ อวิชฺชานิโรโธติปิ สงฺขารนิโรโธติปิ เอวํ เตสํ เตสํ ธมฺมานํ นิโรธนาเมน กถียติฯ เกวลสฺสาติ สกลสฺสฯ ทุกฺขกฺขนฺธสฺสาติ วฎฺฎทุกฺขราสิสฺสฯ นิโรโธ โหตีติ อปฺปวตฺติ โหติฯ ตตฺถ ยสฺมา อวิชฺชาทีนํ นิโรโธ นาม ขีณากาโรปิ วุจฺจติ อรหตฺตมฺปิ นิพฺพานมฺปิ, ตสฺมา อิธ ขีณาการทสฺสนวเสน ทฺวาทสสุ ฐาเนสุ อรหตฺตํ, ทฺวาทสสุเยว นิพฺพานํ กถิตนฺติ เวทิตพฺพํฯ อิทํ วุจฺจตีติ เอตฺถ นิพฺพานเมว สนฺธาย อิทนฺติ วุตฺตํฯ อฎฺฐงฺคิโกติ น อฎฺฐหิ อเงฺคหิ วินิมุโตฺต อโญฺญ มโคฺค นาม อตฺถิฯ ยถา ปน ปญฺจงฺคิกํ ตูริยนฺติ วุเตฺต ปญฺจงฺคมตฺตเมว ตูริยนฺติ วุตฺตํ โหติ, เอวมิธาปิ อฎฺฐงฺคิกมตฺตเมว มโคฺค โหตีติ เวทิตโพฺพฯ อนิคฺคหิโตติ น นิคฺคหิโตฯ นิคฺคณฺหโนฺต หิ หาเปตฺวา วา ทเสฺสติ วเฑฺฒตฺวา วา ตํ ปริวเตฺตตฺวา วาฯ ตตฺถ ยสฺมา จตฺตาริ อริยสจฺจานิ ‘‘น อิมานิ จตฺตาริ, เทฺว วา ตีณิ วา’’ติ เอวํ หาเปตฺวาปิ ‘‘ปญฺจ วา ฉ วา’’ติ เอวํ วเฑฺฒตฺวาปิ ‘‘น อิมานิ จตฺตาริ อริยสจฺจานิ, อญฺญาเนว จตฺตาริ อริยสจฺจานี’’ติ ทเสฺสตุํ น สกฺกาฯ ตสฺมา อยํ ธโมฺม อนิคฺคหิโต นามฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ
Tattha asesavirāganirodhāti asesavirāgena ca asesanirodhena ca. Ubhayampetaṃ aññamaññavevacanameva. Saṅkhāranirodhoti saṅkhārānaṃ anuppattinirodho hoti. Sesapadesupi eseva nayo. Imehi pana padehi yaṃ āgamma avijjādayo nirujjhanti, atthato taṃ nibbānaṃ dīpitaṃ hoti. Nibbānañhi avijjānirodhotipi saṅkhāranirodhotipi evaṃ tesaṃ tesaṃ dhammānaṃ nirodhanāmena kathīyati. Kevalassāti sakalassa. Dukkhakkhandhassāti vaṭṭadukkharāsissa. Nirodho hotīti appavatti hoti. Tattha yasmā avijjādīnaṃ nirodho nāma khīṇākāropi vuccati arahattampi nibbānampi, tasmā idha khīṇākāradassanavasena dvādasasu ṭhānesu arahattaṃ, dvādasasuyeva nibbānaṃ kathitanti veditabbaṃ. Idaṃ vuccatīti ettha nibbānameva sandhāya idanti vuttaṃ. Aṭṭhaṅgikoti na aṭṭhahi aṅgehi vinimutto añño maggo nāma atthi. Yathā pana pañcaṅgikaṃ tūriyanti vutte pañcaṅgamattameva tūriyanti vuttaṃ hoti, evamidhāpi aṭṭhaṅgikamattameva maggo hotīti veditabbo. Aniggahitoti na niggahito. Niggaṇhanto hi hāpetvā vā dasseti vaḍḍhetvā vā taṃ parivattetvā vā. Tattha yasmā cattāri ariyasaccāni ‘‘na imāni cattāri, dve vā tīṇi vā’’ti evaṃ hāpetvāpi ‘‘pañca vā cha vā’’ti evaṃ vaḍḍhetvāpi ‘‘na imāni cattāri ariyasaccāni, aññāneva cattāri ariyasaccānī’’ti dassetuṃ na sakkā. Tasmā ayaṃ dhammo aniggahito nāma. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / องฺคุตฺตรนิกาย • Aṅguttaranikāya / ๑. ติตฺถายตนาทิสุตฺตํ • 1. Titthāyatanādisuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / องฺคุตฺตรนิกาย (ฎีกา) • Aṅguttaranikāya (ṭīkā) / ๑. ติตฺถายตนสุตฺตวณฺณนา • 1. Titthāyatanasuttavaṇṇanā