Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อิติวุตฺตก-อฎฺฐกถา • Itivuttaka-aṭṭhakathā |
๓. อุภยตฺถสุตฺตวณฺณนา
3. Ubhayatthasuttavaṇṇanā
๒๓. ตติเย ภาวิโตติ อุปฺปาทิโต จ วฑฺฒิโต จฯ พหุลีกโตติ ปุนปฺปุนํ กโตฯ อโตฺถติ หิตํฯ ตญฺหิ อรณียโต อุปคนฺตพฺพโต อโตฺถติ วุจฺจติฯ สมธิคยฺห ติฎฺฐตีติ สมฺมา ปริคฺคเหตฺวา อวิชหิตฺวา วตฺตติฯ ทิฎฺฐธมฺมิกนฺติ ทิฎฺฐธโมฺม วุจฺจติ ปจฺจกฺขภูโต อตฺตภาโว, ทิฎฺฐธเมฺม ภวํ ทิฎฺฐธมฺมิกํ, อิธโลกปริยาปนฺนนฺติ อโตฺถฯ สมฺปรายิกนฺติ ธมฺมวเสน สมฺปเรตพฺพโต สมฺปราโย, ปรโลโก, สมฺปราเย ภวํ สมฺปรายิกํ, ปรโลกปริยาปนฺนนฺติ วุตฺตํ โหติฯ
23. Tatiye bhāvitoti uppādito ca vaḍḍhito ca. Bahulīkatoti punappunaṃ kato. Atthoti hitaṃ. Tañhi araṇīyato upagantabbato atthoti vuccati. Samadhigayha tiṭṭhatīti sammā pariggahetvā avijahitvā vattati. Diṭṭhadhammikanti diṭṭhadhammo vuccati paccakkhabhūto attabhāvo, diṭṭhadhamme bhavaṃ diṭṭhadhammikaṃ, idhalokapariyāpannanti attho. Samparāyikanti dhammavasena samparetabbato samparāyo, paraloko, samparāye bhavaṃ samparāyikaṃ, paralokapariyāpannanti vuttaṃ hoti.
โก ปเนส ทิฎฺฐธมฺมิโก นาม อโตฺถ, โก วา สมฺปรายิโกติ? สเงฺขเปน ตาว ยํ อิธโลกสุขํ, ยเญฺจตรหิ อิธโลกสุขาวหํ, อยํ ทิฎฺฐธมฺมิโก อโตฺถฯ เสยฺยถิทํ – คหฎฺฐานํ ตาว อิธ ยํ กิญฺจิ วิตฺตูปกรณํ, อนากุลกมฺมนฺตตา, อาโรคฺยสํวิธานํ, วตฺถุวิสทกิริยาโยควิหิตานิ สิปฺปายตนวิชฺชาฎฺฐานานิ สงฺคหิตปริชนตาติ เอวมาทิฯ ปพฺพชิตานํ ปน เย อิเม ชีวิตปริกฺขารา จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปฺปจฺจยเภสชฺชปริกฺขาราฯ เตสํ อกิจฺฉลาโภ, ตตฺถ จ สงฺขาย ปฎิเสวนา , สงฺขาย ปริวชฺชนา, วตฺถุวิสทกิริยา, อปฺปิจฺฉตา, สนฺตุฎฺฐิ, ปวิเวโก, อสํสโคฺคติ เอวมาทิฯ ปติรูปเทสวาสสปฺปุริสูปนิสฺสยสทฺธมฺมสฺสวนโยนิโสมนสิการาทโย ปน อุภเยสํ สาธารณา อุภยานุรูปา จาติ เวทิตพฺพาฯ
Ko panesa diṭṭhadhammiko nāma attho, ko vā samparāyikoti? Saṅkhepena tāva yaṃ idhalokasukhaṃ, yañcetarahi idhalokasukhāvahaṃ, ayaṃ diṭṭhadhammiko attho. Seyyathidaṃ – gahaṭṭhānaṃ tāva idha yaṃ kiñci vittūpakaraṇaṃ, anākulakammantatā, ārogyasaṃvidhānaṃ, vatthuvisadakiriyāyogavihitāni sippāyatanavijjāṭṭhānāni saṅgahitaparijanatāti evamādi. Pabbajitānaṃ pana ye ime jīvitaparikkhārā cīvarapiṇḍapātasenāsanagilānappaccayabhesajjaparikkhārā. Tesaṃ akicchalābho, tattha ca saṅkhāya paṭisevanā , saṅkhāya parivajjanā, vatthuvisadakiriyā, appicchatā, santuṭṭhi, paviveko, asaṃsaggoti evamādi. Patirūpadesavāsasappurisūpanissayasaddhammassavanayonisomanasikārādayo pana ubhayesaṃ sādhāraṇā ubhayānurūpā cāti veditabbā.
อปฺปมาโทติ เอตฺถ อปฺปมาโท ปมาทปฺปฎิปกฺขโต เวทิตโพฺพฯ โก ปเนส ปมาโท นาม? ปมชฺชนากาโรฯ วุตฺตํ เหตํ –
Appamādoti ettha appamādo pamādappaṭipakkhato veditabbo. Ko panesa pamādo nāma? Pamajjanākāro. Vuttaṃ hetaṃ –
‘‘ตตฺถ กตโม ปมาโท? กายทุจฺจริเต วา วจีทุจฺจริเต วา มโนทุจฺจริเต วา ปญฺจสุ วา กามคุเณสุ จิตฺตสฺส โวสฺสโคฺค โวสฺสคฺคานุปฺปาทนํ กุสลานํ วา ธมฺมานํ ภาวนาย อสกฺกจฺจกิริยตา อสาตจฺจกิริยตา อนฎฺฐิตกิริยตา โอลีนวุตฺติตา นิกฺขิตฺตฉนฺทตา นิกฺขิตฺตธุรตา อนาเสวนา อภาวนา อพหุลีกมฺมํ อนธิฎฺฐานํ อนนุโยโคปมาโทฯ โย เอวรูโป ปมาโท ปมชฺชนา ปมชฺชิตตฺตํฯ อยํ วุจฺจติ ปมาโท’’ติ (วิภ. ๘๔๖)ฯ
‘‘Tattha katamo pamādo? Kāyaduccarite vā vacīduccarite vā manoduccarite vā pañcasu vā kāmaguṇesu cittassa vossaggo vossaggānuppādanaṃ kusalānaṃ vā dhammānaṃ bhāvanāya asakkaccakiriyatā asātaccakiriyatā anaṭṭhitakiriyatā olīnavuttitā nikkhittachandatā nikkhittadhuratā anāsevanā abhāvanā abahulīkammaṃ anadhiṭṭhānaṃ ananuyogopamādo. Yo evarūpo pamādo pamajjanā pamajjitattaṃ. Ayaṃ vuccati pamādo’’ti (vibha. 846).
ตสฺมา วุตฺตปฺปฎิปกฺขโต อปฺปมาโท เวทิตโพฺพฯ อตฺถโต หิ โส สติยา อวิปฺปวาโส, นิจฺจํ อุปฎฺฐิตสฺสติยา เอตํ นามํฯ อปเร ปน ‘‘สติสมฺปชญฺญโยเคน ปวตฺตา จตฺตาโร อรูปิโน ขนฺธา อปฺปมาโท’’ติ วทนฺติฯ
Tasmā vuttappaṭipakkhato appamādo veditabbo. Atthato hi so satiyā avippavāso, niccaṃ upaṭṭhitassatiyā etaṃ nāmaṃ. Apare pana ‘‘satisampajaññayogena pavattā cattāro arūpino khandhā appamādo’’ti vadanti.
‘‘ภาวิโต พหูลีกโต’’ติ วุตฺตํ, กถํ ปนายํ อปฺปมาโท ภาเวตโพฺพติ? น อปฺปมาทภาวนา นาม วิสุํ เอกภาวนา อตฺถิฯ ยา หิ กาจิ ปุญฺญกิริยา กุสลกิริยา, สพฺพา สา อปฺปมาทภาวนาเตฺวว เวทิตพฺพาฯ วิเสสโต ปน วิวฎฺฎูปนิสฺสยํ สรณคมนํ กายิกวาจสิกสํวรญฺจ อุปาทาย สพฺพา สีลภาวนา, สพฺพา สมาธิภาวนา, สพฺพา ปญฺญาภาวนา, สพฺพา กุสลภาวนา, อนวชฺชภาวนา, อปฺปมาทภาวนาติ เวทิตพฺพาฯ ‘‘อปฺปมาโท’’ติ หิ อิทํ มหนฺตํ อตฺถํ ทีเปติ, มหนฺตํ อตฺถํ ปริคฺคเหตฺวา ติฎฺฐติฯ สกลมฺปิ เตปิฎกํ พุทฺธวจนํ อาหริตฺวา อปฺปมาทปทสฺส อตฺถํ กตฺวา กเถโนฺต ธมฺมกถิโก ‘‘อติเตฺถน ปกฺขโนฺท’’ติ น วตฺตโพฺพฯ กสฺมา? อปฺปมาทปทสฺส มหนฺตภาวโตฯ ตถา หิ สมฺมาสมฺพุโทฺธ กุสินารายํ ยมกสาลานมนฺตเร ปรินิพฺพานสมเย นิปโนฺน อภิสโมฺพธิโต ปฎฺฐาย ปญฺจจตฺตาลีสาย วเสฺสสุ อตฺตนา ภาสิตํ ธมฺมํ เอเกน ปเทน สงฺคเหตฺวา ทเสฺสโนฺต – ‘‘อปฺปมาเทน สมฺปาเทถา’’ติ ภิกฺขูนํ โอวาทมทาสิฯ ตถา จ วุตฺตํ –
‘‘Bhāvito bahūlīkato’’ti vuttaṃ, kathaṃ panāyaṃ appamādo bhāvetabboti? Na appamādabhāvanā nāma visuṃ ekabhāvanā atthi. Yā hi kāci puññakiriyā kusalakiriyā, sabbā sā appamādabhāvanātveva veditabbā. Visesato pana vivaṭṭūpanissayaṃ saraṇagamanaṃ kāyikavācasikasaṃvarañca upādāya sabbā sīlabhāvanā, sabbā samādhibhāvanā, sabbā paññābhāvanā, sabbā kusalabhāvanā, anavajjabhāvanā, appamādabhāvanāti veditabbā. ‘‘Appamādo’’ti hi idaṃ mahantaṃ atthaṃ dīpeti, mahantaṃ atthaṃ pariggahetvā tiṭṭhati. Sakalampi tepiṭakaṃ buddhavacanaṃ āharitvā appamādapadassa atthaṃ katvā kathento dhammakathiko ‘‘atitthena pakkhando’’ti na vattabbo. Kasmā? Appamādapadassa mahantabhāvato. Tathā hi sammāsambuddho kusinārāyaṃ yamakasālānamantare parinibbānasamaye nipanno abhisambodhito paṭṭhāya pañcacattālīsāya vassesu attanā bhāsitaṃ dhammaṃ ekena padena saṅgahetvā dassento – ‘‘appamādena sampādethā’’ti bhikkhūnaṃ ovādamadāsi. Tathā ca vuttaṃ –
‘‘เสยฺยถาปิ, ภิกฺขเว , ยานิ กานิจิ ชงฺคลานํ ปาณานํ ปทชาตานิ, สพฺพานิ ตานิ หตฺถิปเท สโมธานํ คจฺฉนฺติ, หตฺถิปทํ เตสํ อคฺคมกฺขายติ ยทิทํ มหนฺตเฎฺฐน; เอวเมว โข, ภิกฺขเว, เย เกจิ กุสลา ธมฺมา, สเพฺพเต อปฺปมาทมูลกา อปฺปมาทสโมสรณา, อปฺปมาโท เตสํ ธมฺมานํ อคฺคมกฺขายตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๓๐๐)ฯ
‘‘Seyyathāpi, bhikkhave , yāni kānici jaṅgalānaṃ pāṇānaṃ padajātāni, sabbāni tāni hatthipade samodhānaṃ gacchanti, hatthipadaṃ tesaṃ aggamakkhāyati yadidaṃ mahantaṭṭhena; evameva kho, bhikkhave, ye keci kusalā dhammā, sabbete appamādamūlakā appamādasamosaraṇā, appamādo tesaṃ dhammānaṃ aggamakkhāyatī’’ti (ma. ni. 1.300).
คาถาสุ อปฺปมาทํ ปสํสนฺตีติ ทานาทิปุญฺญกิริยาสุ อปฺปมาทํ อปฺปมชฺชนํ ปณฺฑิตา สปฺปญฺญา พุทฺธาทโย ปสํสนฺติ, วเณฺณนฺติ โถเมนฺติฯ กสฺมา? ยสฺมา อปฺปมโตฺต อุโภ อเตฺถ อธิคณฺหาติ ปณฺฑิโตฯ เก ปน เต อุโภ อตฺถาติ อาห – ‘‘ทิเฎฺฐ ธเมฺม จ โย อโตฺถ, โย จโตฺถ สมฺปรายิโก’’ติ, เอวเมตฺถ ปทโยชนา เวทิตพฺพาฯ อิธาปิ ทิเฎฺฐ ธเมฺม จ โย อโตฺถติ คหฎฺฐสฺส ตาว ‘‘อนวชฺชานิ กมฺมานิ, อนากุลา จ กมฺมนฺตา’’ติอาทินา นเยน วุโตฺต กสิโครกฺขาทิวิธินา ลทฺธโพฺพ อโตฺถ, ปพฺพชิตสฺส ปน อวิปฺปฎิสาราทิอโตฺถ เวทิตโพฺพฯ โย จโตฺถ สมฺปรายิโกติ ปน อุภเยสมฺปิ ธมฺมจริยาว วุตฺตาติ เวทิตพฺพาฯ อตฺถาภิสมยาติ ทุวิธสฺสปิ อตฺถสฺส หิตสฺส ปฎิลาภา, ลทฺธเพฺพน สมิติ สงฺคติ สโมธานนฺติ สมโย, ลาโภฯ สมโย เอว อภิสมโย, อภิมุขภาเวน วา สมโย อภิสมโยติ เอวเมตฺถ อภิสมโย เวทิตโพฺพฯ ธิติสมฺปนฺนตฺตา ธีโรฯ ตติเยน เจตฺถ อตฺถ-สเทฺทน ปรมตฺถสฺส นิพฺพานสฺสาปิ สงฺคโห เวทิตโพฺพฯ เสสํ สุวิเญฺญยฺยเมวฯ อิติ อิมสฺมิํ สุเตฺต วฎฺฎสมฺปตฺติ เอว กถิตาฯ คาถายํ ปน วิวฎฺฎสฺสปิ สงฺคโห ทฎฺฐโพฺพฯ ตถา หิ วุตฺตํ –
Gāthāsu appamādaṃ pasaṃsantīti dānādipuññakiriyāsu appamādaṃ appamajjanaṃ paṇḍitā sappaññā buddhādayo pasaṃsanti, vaṇṇenti thomenti. Kasmā? Yasmā appamatto ubho atthe adhigaṇhāti paṇḍito. Ke pana te ubho atthāti āha – ‘‘diṭṭhe dhamme ca yo attho, yo cattho samparāyiko’’ti, evamettha padayojanā veditabbā. Idhāpi diṭṭhe dhamme ca yo atthoti gahaṭṭhassa tāva ‘‘anavajjāni kammāni, anākulā ca kammantā’’tiādinā nayena vutto kasigorakkhādividhinā laddhabbo attho, pabbajitassa pana avippaṭisārādiattho veditabbo. Yo cattho samparāyikoti pana ubhayesampi dhammacariyāva vuttāti veditabbā. Atthābhisamayāti duvidhassapi atthassa hitassa paṭilābhā, laddhabbena samiti saṅgati samodhānanti samayo, lābho. Samayo eva abhisamayo, abhimukhabhāvena vā samayo abhisamayoti evamettha abhisamayo veditabbo. Dhitisampannattā dhīro. Tatiyena cettha attha-saddena paramatthassa nibbānassāpi saṅgaho veditabbo. Sesaṃ suviññeyyameva. Iti imasmiṃ sutte vaṭṭasampatti eva kathitā. Gāthāyaṃ pana vivaṭṭassapi saṅgaho daṭṭhabbo. Tathā hi vuttaṃ –
‘‘อปฺปมาโท อมตปทํ, ปมาโท มจฺจุโน ปทํ;
‘‘Appamādo amatapadaṃ, pamādo maccuno padaṃ;
อปฺปมตฺตา น มียนฺติ, เย ปมตฺตา ยถา มตาฯ
Appamattā na mīyanti, ye pamattā yathā matā.
‘‘เอวํ วิเสสโต ญตฺวา, อปฺปมาทมฺหิ ปณฺฑิตา;
‘‘Evaṃ visesato ñatvā, appamādamhi paṇḍitā;
อปฺปมาเท ปโมทนฺติ, อริยานํ โคจเร รตาฯ
Appamāde pamodanti, ariyānaṃ gocare ratā.
‘‘เต ฌายิโน สาตติกา, นิจฺจํ ทฬฺหปรกฺกมา;
‘‘Te jhāyino sātatikā, niccaṃ daḷhaparakkamā;
ผุสนฺติ ธีรา นิพฺพานํ, โยคเกฺขมํ อนุตฺตร’’นฺติฯ (ธ. ป. ๒๑-๒๓);
Phusanti dhīrā nibbānaṃ, yogakkhemaṃ anuttara’’nti. (dha. pa. 21-23);
ตสฺมา ‘‘อตฺถาภิสมยา’’ติ เอตฺถ โลกุตฺตรตฺถวเสนปิ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ
Tasmā ‘‘atthābhisamayā’’ti ettha lokuttaratthavasenapi attho veditabbo.
ตติยสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Tatiyasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อิติวุตฺตกปาฬิ • Itivuttakapāḷi / ๓. อุภยตฺถสุตฺตํ • 3. Ubhayatthasuttaṃ