Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / สํยุตฺตนิกาย (อฎฺฐกถา) • Saṃyuttanikāya (aṭṭhakathā) |
๓. อุทานสุตฺตวณฺณนา
3. Udānasuttavaṇṇanā
๕๕. ตติเย อุทานํ อุทาเนสีติ พลวโสมนสฺสสมุฎฺฐานํ อุทานํ อุทาหริฯ กิํ นิสฺสาย ปเนส ภควโต อุปฺปโนฺนติฯ สาสนสฺส นิยฺยานิกภาวํฯ กถํ? เอวํ กิรสฺส อโหสิ, ‘‘ตโยเม อุปนิสฺสยา – ทานูปนิสฺสโย สีลูปนิสฺสโย ภาวนูปนิสฺสโย จา’’ติฯ เตสุ ทานสีลูปนิสฺสยา ทุพฺพลา, ภาวนูปนิสฺสโย พลวาฯ ทานสีลูปนิสฺสยา หิ ตโย มเคฺค จ ผลานิ จ ปาเปนฺติ, ภาวนูปนิสฺสโย อรหตฺตํ ปาเปติฯ อิติ ทุพฺพลูปนิสฺสเย ปติฎฺฐิโต ภิกฺขุ ฆเฎโนฺต วายมโนฺต ปโญฺจรมฺภาคิยานิ พนฺธนานิ เฉตฺวา ตีณิ มคฺคผลานิ นิพฺพเตฺตติ, ‘‘อโห สาสนํ นิยฺยานิก’’นฺติ อาวเชฺชนฺตสฺส อยํ อุทปาทิฯ
55. Tatiye udānaṃ udānesīti balavasomanassasamuṭṭhānaṃ udānaṃ udāhari. Kiṃ nissāya panesa bhagavato uppannoti. Sāsanassa niyyānikabhāvaṃ. Kathaṃ? Evaṃ kirassa ahosi, ‘‘tayome upanissayā – dānūpanissayo sīlūpanissayo bhāvanūpanissayo cā’’ti. Tesu dānasīlūpanissayā dubbalā, bhāvanūpanissayo balavā. Dānasīlūpanissayā hi tayo magge ca phalāni ca pāpenti, bhāvanūpanissayo arahattaṃ pāpeti. Iti dubbalūpanissaye patiṭṭhito bhikkhu ghaṭento vāyamanto pañcorambhāgiyāni bandhanāni chetvā tīṇi maggaphalāni nibbatteti, ‘‘aho sāsanaṃ niyyānika’’nti āvajjentassa ayaṃ udapādi.
ตตฺถ ‘‘ทุพฺพลูปนิสฺสเย ฐตฺวา ฆฎมาโน ตีณิ มคฺคผลานิ ปาปุณาตี’’ติ อิมสฺสตฺถสฺสาวิภาวนตฺถํ มิลกเตฺถรสฺส วตฺถุ เวทิตพฺพํ – โส กิร คิหิกาเล ปาณาติปาตกเมฺมน ชีวิกํ กเปฺปโนฺต อรเญฺญ ปาสสตเญฺจว อทูหลสตญฺจ โยเชสิฯ อเถกทิวสํ องฺคารปกฺกมํสํ ขาทิตฺวา ปาสฎฺฐาเนสุ วิจรโนฺต ปิปาสาภิภูโต เอกสฺส อรญฺญวาสิเตฺถรสฺส วิหารํ คนฺตฺวา เถรสฺส จงฺกมนฺตสฺส อวิทูเร ฐิตํ ปานียฆฎํ วิวริ, หตฺถเตมนมตฺตมฺปิ อุทกํ นาทฺทสฯ โส กุชฺฌิตฺวา อาห – ‘‘ภิกฺขุ, ภิกฺขุ ตุเมฺห คหปติเกหิ ทินฺนํ ภุญฺชิตฺวา ภุญฺชิตฺวา สุปถ, ปานียฆเฎ อญฺชลิมตฺตมฺปิ อุทกํ น ฐเปถ, น ยุตฺตเมต’’นฺติฯ เถโร ‘‘มยา ปานียฆโฎ ปูเรตฺวา ฐปิโต, กิํ นุ โข เอต’’นฺติ? คนฺตฺวา โอโลเกโนฺต ปริปุณฺณฆฎํ ทิสฺวา ปานียสงฺขํ ปูเรตฺวา อทาสิฯ โส ทฺวตฺติสงฺขปูรํ ปิวิตฺวา จิเนฺตสิ – ‘‘เอวํ ปูริตฆโฎ นาม มม กมฺมํ อาคมฺม ตตฺตกปาโล วิย ชาโตฯ กิํ นุ โข อนาคเต อตฺตภาเว ภวิสฺสตี’’ติ? สํวิคฺคจิโตฺต ธนุํ ฉเฑฺฑตฺวา, ‘‘ปพฺพาเชถ มํ, ภเนฺต’’ติ อาหฯ เถโร ตจปญฺจกกมฺมฎฺฐานํ อาจิกฺขิตฺวา ตํ ปพฺพาเชสิฯ
Tattha ‘‘dubbalūpanissaye ṭhatvā ghaṭamāno tīṇi maggaphalāni pāpuṇātī’’ti imassatthassāvibhāvanatthaṃ milakattherassa vatthu veditabbaṃ – so kira gihikāle pāṇātipātakammena jīvikaṃ kappento araññe pāsasatañceva adūhalasatañca yojesi. Athekadivasaṃ aṅgārapakkamaṃsaṃ khāditvā pāsaṭṭhānesu vicaranto pipāsābhibhūto ekassa araññavāsittherassa vihāraṃ gantvā therassa caṅkamantassa avidūre ṭhitaṃ pānīyaghaṭaṃ vivari, hatthatemanamattampi udakaṃ nāddasa. So kujjhitvā āha – ‘‘bhikkhu, bhikkhu tumhe gahapatikehi dinnaṃ bhuñjitvā bhuñjitvā supatha, pānīyaghaṭe añjalimattampi udakaṃ na ṭhapetha, na yuttameta’’nti. Thero ‘‘mayā pānīyaghaṭo pūretvā ṭhapito, kiṃ nu kho eta’’nti? Gantvā olokento paripuṇṇaghaṭaṃ disvā pānīyasaṅkhaṃ pūretvā adāsi. So dvattisaṅkhapūraṃ pivitvā cintesi – ‘‘evaṃ pūritaghaṭo nāma mama kammaṃ āgamma tattakapālo viya jāto. Kiṃ nu kho anāgate attabhāve bhavissatī’’ti? Saṃviggacitto dhanuṃ chaḍḍetvā, ‘‘pabbājetha maṃ, bhante’’ti āha. Thero tacapañcakakammaṭṭhānaṃ ācikkhitvā taṃ pabbājesi.
ตสฺส สมณธมฺมํ กโรนฺตสฺส พหูนํ มิคสูกรานํ มาริตฎฺฐานํ ปาสอทูหลานญฺจ โยชิตฎฺฐานํ อุปฎฺฐาติฯ ตํ อนุสฺสรโต สรีเร ทาโห อุปฺปชฺชติ, กูฎโคโณ วิย กมฺมฎฺฐานมฺปิ วีถิํ น ปฎิปชฺชติฯ โส ‘‘กิํ กริสฺสามิ ภิกฺขุภาเวนา’’ติ ? อนภิรติยา ปีฬิโต เถรสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา อาห – ‘‘น สโกฺกมิ, ภเนฺต, สมณธมฺมํ กาตุ’’นฺติฯ อถ นํ เถโร ‘‘หตฺถกมฺมํ กโรหี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธุ, ภเนฺต’’ติ วตฺวา อุทุมฺพราทโย อลฺลรุเกฺข ฉินฺทิตฺวา มหนฺตํ ราสิํ กตฺวา, ‘‘อิทานิ กิํ กโรมี’’ติ ปุจฺฉิ? ฌาเปหิ นนฺติฯ โส จตูสุ ทิสาสุ อคฺคิํ ทตฺวา ฌาเปตุํ อสโกฺกโนฺต, ‘‘ภเนฺต, น สโกฺกมี’’ติ อาหฯ เถโร ‘‘เตน หิ อเปหี’’ติ ปถวิํ ทฺวิธา กตฺวา อวีจิโต ขโชฺชปนกมตฺตํ อคฺคิํ นีหริตฺวา ตตฺถ ปกฺขิปิฯ โส ตาว มหนฺตํ ราสิํ สุกฺขปณฺณํ วิย ขเณน ฌาเปสิฯ อถสฺส เถโร อวีจิํ ทเสฺสตฺวา, ‘‘สเจ วิพฺภมิสฺสสิ, เอตฺถ ปจฺจิสฺสสี’’ติ สํเวคํ ชเนสิฯ โส อวีจิทสฺสนโต ปฎฺฐาย ปเวธมาโน ‘‘นิยฺยานิกํ, ภเนฺต, พุทฺธสาสน’’นฺติ ปุจฺฉิ, อามาวุโสติฯ ภเนฺต, พุทฺธสาสนสฺส นิยฺยานิกเตฺต สติ มิลโก อตฺตโมกฺขํ กริสฺสติ, มา จินฺตยิตฺถาติฯ ตโต ปฎฺฐาย สมณธมฺมํ กโรติ ฆเฎติ, ตสฺส วตฺตปฎิวตฺตํ ปูเรติ, นิทฺทาย พาธยมานาย ตินฺตํ ปลาลํ สีเส ฐเปตฺวา ปาเท โสณฺฑิยํ โอตาเรตฺวา นิสีทติฯ โส เอกทิวสํ ปานียํ ปริสฺสาเวตฺวา ฆฎํ อูรุมฺหิ ฐเปตฺวา อุทกมณิกานํ ปเจฺฉทํ อาคมยมาโน อฎฺฐาสิฯ อถ โข เถโร สามเณรสฺส อิมํ อุเทฺทสํ เทติ –
Tassa samaṇadhammaṃ karontassa bahūnaṃ migasūkarānaṃ māritaṭṭhānaṃ pāsaadūhalānañca yojitaṭṭhānaṃ upaṭṭhāti. Taṃ anussarato sarīre dāho uppajjati, kūṭagoṇo viya kammaṭṭhānampi vīthiṃ na paṭipajjati. So ‘‘kiṃ karissāmi bhikkhubhāvenā’’ti ? Anabhiratiyā pīḷito therassa santikaṃ gantvā vanditvā āha – ‘‘na sakkomi, bhante, samaṇadhammaṃ kātu’’nti. Atha naṃ thero ‘‘hatthakammaṃ karohī’’ti āha. So ‘‘sādhu, bhante’’ti vatvā udumbarādayo allarukkhe chinditvā mahantaṃ rāsiṃ katvā, ‘‘idāni kiṃ karomī’’ti pucchi? Jhāpehi nanti. So catūsu disāsu aggiṃ datvā jhāpetuṃ asakkonto, ‘‘bhante, na sakkomī’’ti āha. Thero ‘‘tena hi apehī’’ti pathaviṃ dvidhā katvā avīcito khajjopanakamattaṃ aggiṃ nīharitvā tattha pakkhipi. So tāva mahantaṃ rāsiṃ sukkhapaṇṇaṃ viya khaṇena jhāpesi. Athassa thero avīciṃ dassetvā, ‘‘sace vibbhamissasi, ettha paccissasī’’ti saṃvegaṃ janesi. So avīcidassanato paṭṭhāya pavedhamāno ‘‘niyyānikaṃ, bhante, buddhasāsana’’nti pucchi, āmāvusoti. Bhante, buddhasāsanassa niyyānikatte sati milako attamokkhaṃ karissati, mā cintayitthāti. Tato paṭṭhāya samaṇadhammaṃ karoti ghaṭeti, tassa vattapaṭivattaṃ pūreti, niddāya bādhayamānāya tintaṃ palālaṃ sīse ṭhapetvā pāde soṇḍiyaṃ otāretvā nisīdati. So ekadivasaṃ pānīyaṃ parissāvetvā ghaṭaṃ ūrumhi ṭhapetvā udakamaṇikānaṃ pacchedaṃ āgamayamāno aṭṭhāsi. Atha kho thero sāmaṇerassa imaṃ uddesaṃ deti –
‘‘อุฎฺฐานวโต สตีมโต,
‘‘Uṭṭhānavato satīmato,
สุจิกมฺมสฺส นิสมฺมการิโน;
Sucikammassa nisammakārino;
สญฺญตสฺส ธมฺมชีวิโน,
Saññatassa dhammajīvino,
อปฺปมตฺตสฺส ยโสภิวฑฺฒตี’’ติฯ (ธ. ป. ๒๔);
Appamattassa yasobhivaḍḍhatī’’ti. (dha. pa. 24);
โส จตุปฺปทิกมฺปิ ตํ คาถํ อตฺตนิเยว อุปเนสิ – ‘‘อุฎฺฐานวตา นาม มาทิเสน ภวิตพฺพํฯ สติมตาปิ มาทิเสเนว…เป.… อปฺปมเตฺตนปิ มาทิเสเนว ภวิตพฺพ’’นฺติฯ เอวํ ตํ คาถํ อตฺตนิ อุปเนตฺวา ตสฺมิํเยว ปทวาเร ฐิโต ปโญฺจรมฺภาคิยานิ สํโยชนานิ ฉินฺทิตฺวา อนาคามิผเล ปติฎฺฐาย หฎฺฐตุโฎฺฐ –
So catuppadikampi taṃ gāthaṃ attaniyeva upanesi – ‘‘uṭṭhānavatā nāma mādisena bhavitabbaṃ. Satimatāpi mādiseneva…pe… appamattenapi mādiseneva bhavitabba’’nti. Evaṃ taṃ gāthaṃ attani upanetvā tasmiṃyeva padavāre ṭhito pañcorambhāgiyāni saṃyojanāni chinditvā anāgāmiphale patiṭṭhāya haṭṭhatuṭṭho –
‘‘อลฺลํ ปลาลปุญฺชาหํ, สีเสนาทาย จงฺกมิํ;
‘‘Allaṃ palālapuñjāhaṃ, sīsenādāya caṅkamiṃ;
ปโตฺตสฺมิ ตติยํ ฐานํ, เอตฺถ เม นตฺถิ สํสโย’’ติฯ –
Pattosmi tatiyaṃ ṭhānaṃ, ettha me natthi saṃsayo’’ti. –
อิมํ อุทานคาถํ อาหฯ เอวํ ทุพฺพลูปนิสฺสเย ฐิโต ฆเฎโนฺต วายมโนฺต ปโญฺจรมฺภาคิยานิ สํโยชนานิ ฉินฺทิตฺวา ตีณิ มคฺคผลานิ นิพฺพเตฺตติฯ เตนาห ภควา – ‘‘โน จสฺสํ, โน จ เม สิยา, นาภวิสฺส, น เม ภวิสฺสตีติ เอวํ อธิมุจฺจมาโน ภิกฺขุ ฉิเนฺทยฺย โอรมฺภาคิยานิ สํโยชนานี’’ติฯ
Imaṃ udānagāthaṃ āha. Evaṃ dubbalūpanissaye ṭhito ghaṭento vāyamanto pañcorambhāgiyāni saṃyojanāni chinditvā tīṇi maggaphalāni nibbatteti. Tenāha bhagavā – ‘‘no cassaṃ, no ca me siyā, nābhavissa, na me bhavissatīti evaṃ adhimuccamāno bhikkhu chindeyya orambhāgiyāni saṃyojanānī’’ti.
ตตฺถ โน จสฺสํ, โน จ เม สิยาติ สเจ อหํ น ภเวยฺยํ, มม ปริกฺขาโรปิ น ภเวยฺยฯ สเจ วา ปน เม อตีเต กมฺมาภิสงฺขาโร นาภวิสฺส, อิทํ เม เอตรหิ ขนฺธปญฺจกํ น ภเวยฺยฯ นาภวิสฺส, น เม ภวิสฺสตีติ อิทานิ ปน ตถา ปรกฺกมิสฺสามิ, ยถา เม อายติํ ขนฺธาภินิพฺพตฺตโก กมฺมสงฺขาโร น ภวิสฺสติ, ตสฺมิํ อสติ อายติํ ปฎิสนฺธิ นาม น เม ภวิสฺสติฯ เอวํ อธิมุจฺจมาโนติ เอวํ อธิมุจฺจโนฺต ภิกฺขุ ทุพฺพลูปนิสฺสเย ฐิโต ปโญฺจรมฺภาคิยานิ สํโยชนานิ ฉิเนฺทยฺยฯ เอวํ วุเตฺตติ เอวํ สาสนสฺส นิยฺยานิกภาวํ อาวเชฺชเนฺตน ภควตา อิมสฺมิํ อุทาเน วุเตฺตฯ รูปํ วิภวิสฺสตีติ รูปํ ภิชฺชิสฺสติฯ รูปสฺส วิภวาติ วิภวทสฺสเนน สหวิปสฺสเนนฯ สหวิปสฺสนกา หิ จตฺตาโร มคฺคา รูปาทีนํ วิภวทสฺสนํ นามฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ เอวํ อธิมุจฺจมาโน, ภเนฺต, ภิกฺขุ ฉิเนฺทยฺยาติ, ภเนฺต, เอวํ อธิมุจฺจมาโน ภิกฺขุ ฉิเนฺทเยฺยว ปโญฺจรมฺภาคิยานิ สํโยชนานิฯ กสฺมา น ฉินฺทิสฺสตีติ?
Tattha no cassaṃ, no ca me siyāti sace ahaṃ na bhaveyyaṃ, mama parikkhāropi na bhaveyya. Sace vā pana me atīte kammābhisaṅkhāro nābhavissa, idaṃ me etarahi khandhapañcakaṃ na bhaveyya. Nābhavissa, na me bhavissatīti idāni pana tathā parakkamissāmi, yathā me āyatiṃ khandhābhinibbattako kammasaṅkhāro na bhavissati, tasmiṃ asati āyatiṃ paṭisandhi nāma na me bhavissati. Evaṃ adhimuccamānoti evaṃ adhimuccanto bhikkhu dubbalūpanissaye ṭhito pañcorambhāgiyāni saṃyojanāni chindeyya. Evaṃ vutteti evaṃ sāsanassa niyyānikabhāvaṃ āvajjentena bhagavatā imasmiṃ udāne vutte. Rūpaṃ vibhavissatīti rūpaṃ bhijjissati. Rūpassa vibhavāti vibhavadassanena sahavipassanena. Sahavipassanakā hi cattāro maggā rūpādīnaṃ vibhavadassanaṃ nāma. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ. Evaṃ adhimuccamāno, bhante, bhikkhu chindeyyāti, bhante, evaṃ adhimuccamāno bhikkhu chindeyyeva pañcorambhāgiyāni saṃyojanāni. Kasmā na chindissatīti?
อิทานิ อุปริ มคฺคผลํ ปุจฺฉโนฺต กถํ ปน, ภเนฺตติอาทิมาหฯ ตตฺถ อนนฺตราติ เทฺว อนนฺตรานิ อาสนฺนานนฺตรญฺจ ทูรานนฺตรญฺจฯ วิปสฺสนา มคฺคสฺส อาสนฺนานนฺตรํ นาม, ผลสฺส ทูรานนฺตรํ นามฯ ตํ สนฺธาย ‘‘กถํ ปน, ภเนฺต, ชานโต กถํ ปสฺสโต วิปสฺสนานนฺตรา ‘อาสวานํ ขโย’ติ สงฺขํ คตํ อรหตฺตผลํ โหตี’’ติ ปุจฺฉติฯ อตสิตาเยติ อตสิตเพฺพ อภายิตเพฺพ ฐานมฺหิฯ ตาสํ อาปชฺชตีติ ภยํ อาปชฺชติฯ ตาโส เหโสติ ยา เอสา ‘‘โน จสฺสํ, โน จ เม สิยา’’ติ เอวํ ปวตฺตา ทุพฺพลวิปสฺสนา, สา ยสฺมา อตฺตสิเนหํ ปริยาทาตุํ น สโกฺกติ, ตสฺมา อสฺสุตวโต ปุถุชฺชนสฺส ตาโส นาม โหติฯ โส หิ ‘‘อิทานาหํ อุจฺฉิชฺชิสฺสามิ, น ทานิ กิญฺจิ ภวิสฺสามี’’ติ อตฺตานํ ปปาเต ปตนฺตํ วิย ปสฺสติ อญฺญตโร พฺราหฺมโณ วิยฯ โลหปาสาทสฺส กิร เหฎฺฐา ติปิฎกจูฬนาคเตฺถโร ติลกฺขณาหตํ ธมฺมํ ปริวเตฺตติฯ อถ อญฺญตรสฺส พฺราหฺมณสฺส เอกมเนฺต ฐตฺวา ธมฺมํ สุณนฺตสฺส สงฺขารา สุญฺญโต อุปฎฺฐหิํสุฯ โส ปปาเต ปตโนฺต วิย หุตฺวา วิวฎทฺวาเรน ตโต ปลายิตฺวา เคหํ ปวิสิตฺวา, ปุตฺตํ อุเร สยาเปตฺวา, ‘‘ตาต, สกฺยสมยํ อาวเชฺชโนฺต มนมฺหิ นโฎฺฐ’’ติ อาหฯ น เหโส ภิกฺขุ ตาโสติ เอสา เอวํ ปวตฺตา พลววิปสฺสนา สุตวโต อริยสาวกสฺส น ตาโส นาม โหติฯ น หิ ตสฺส เอวํ โหติ ‘‘อหํ อุจฺฉิชฺชิสฺสามี’’ติ วา ‘‘วินสฺสิสฺสามี’’ติ วาติฯ เอวํ ปน โหติ ‘‘สงฺขาราว อุปฺปชฺชนฺติ, สงฺขาราว นิรุชฺฌนฺตี’’ติฯ ตติยํฯ
Idāni upari maggaphalaṃ pucchanto kathaṃ pana, bhantetiādimāha. Tattha anantarāti dve anantarāni āsannānantarañca dūrānantarañca. Vipassanā maggassa āsannānantaraṃ nāma, phalassa dūrānantaraṃ nāma. Taṃ sandhāya ‘‘kathaṃ pana, bhante, jānato kathaṃ passato vipassanānantarā ‘āsavānaṃ khayo’ti saṅkhaṃ gataṃ arahattaphalaṃ hotī’’ti pucchati. Atasitāyeti atasitabbe abhāyitabbe ṭhānamhi. Tāsaṃ āpajjatīti bhayaṃ āpajjati. Tāso hesoti yā esā ‘‘no cassaṃ, no ca me siyā’’ti evaṃ pavattā dubbalavipassanā, sā yasmā attasinehaṃ pariyādātuṃ na sakkoti, tasmā assutavato puthujjanassa tāso nāma hoti. So hi ‘‘idānāhaṃ ucchijjissāmi, na dāni kiñci bhavissāmī’’ti attānaṃ papāte patantaṃ viya passati aññataro brāhmaṇo viya. Lohapāsādassa kira heṭṭhā tipiṭakacūḷanāgatthero tilakkhaṇāhataṃ dhammaṃ parivatteti. Atha aññatarassa brāhmaṇassa ekamante ṭhatvā dhammaṃ suṇantassa saṅkhārā suññato upaṭṭhahiṃsu. So papāte patanto viya hutvā vivaṭadvārena tato palāyitvā gehaṃ pavisitvā, puttaṃ ure sayāpetvā, ‘‘tāta, sakyasamayaṃ āvajjento manamhi naṭṭho’’ti āha. Na heso bhikkhu tāsoti esā evaṃ pavattā balavavipassanā sutavato ariyasāvakassa na tāso nāma hoti. Na hi tassa evaṃ hoti ‘‘ahaṃ ucchijjissāmī’’ti vā ‘‘vinassissāmī’’ti vāti. Evaṃ pana hoti ‘‘saṅkhārāva uppajjanti, saṅkhārāva nirujjhantī’’ti. Tatiyaṃ.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / สํยุตฺตนิกาย • Saṃyuttanikāya / ๓. อุทานสุตฺตํ • 3. Udānasuttaṃ
ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / สํยุตฺตนิกาย (ฎีกา) • Saṃyuttanikāya (ṭīkā) / ๓. อุทานสุตฺตวณฺณนา • 3. Udānasuttavaṇṇanā