Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / อุทาน-อฎฺฐกถา • Udāna-aṭṭhakathā |
๙. อุทปานสุตฺตวณฺณนา
9. Udapānasuttavaṇṇanā
๖๙. นวเม มเลฺลสูติ มลฺลา นาม ชานปทิโน ราชกุมารา, เตสํ นิวาโส เอโกปิ ชนปโท รุฬฺหีวเสน ‘‘มลฺลา’’ติ วุจฺจติ, เตสุ มเลฺลสุ, ยํ โลเก ‘‘มโลฺล’’ติ วุจฺจติฯ เกจิ ปน ‘‘มาเลสู’’ติ ปฐนฺติฯ จาริยํ จรมาโนติ อตุริตจาริกาวเสน มหามณฺฑลชนปทจาริกํ จรมาโนฯ มหตา ภิกฺขุสเงฺฆนาติ อปริเจฺฉทคุเณน มหเนฺตน สมณคเณนฯ ตทา หิ ภควโต มหาภิกฺขุปริวาโร อโหสิฯ ถูณํ นาม มลฺลานํ พฺราหฺมณคาโมติ ปุรตฺถิมทกฺขิณาย ทิสาย มชฺฌิมเทสสฺส อวธิฎฺฐาเน มลฺลเทเส ถูณนามโก พฺราหฺมณพหุลตาย พฺราหฺมณคาโมฯ ตทวสรีติ ตํ อวสริ, ถูณคามมคฺคํ ปาปุณีติ อโตฺถฯ อโสฺสสุนฺติ สุณิํสุ, โสตทฺวารสมฺปตฺตวจนนิโคฺฆสานุสาเรน ชานิํสูติ อโตฺถฯ โขติ ปทปูรเณ, อวธารณเตฺถ วา นิปาโตฯ ตตฺถ อวธารณเตฺถน อโสฺสสุํเยว, น เตสํ สวนนฺตราโย อโหสีติ วุตฺตํ โหติฯ ปทปูรเณน ปทพฺยญฺชนสิลิฎฺฐตฺตมตฺตเมวฯ ถูเณยฺยกาติ ถูณคามวาสิโนฯ พฺราหฺมณคหปติกาติ เอตฺถ พฺรหฺมํ อณนฺตีติ พฺราหฺมณา, มเนฺต สชฺฌายนฺตีติ อโตฺถฯ อิทเมว หิ ชาติพฺราหฺมณานํ นิพฺพจนํ, อริยา ปน พาหิตปาปตฺตา ‘‘พฺราหฺมณา’’ติ วุจฺจนฺติฯ คหปติกาติ ขตฺติยพฺราหฺมเณ วเชฺชตฺวา เย เกจิ อคารํ อชฺฌาวสนฺตา วุจฺจนฺติ, วิเสสโต เวสฺสาฯ พฺราหฺมณา จ คหปติกา จ พฺราหฺมณคหปติกาฯ
69. Navame mallesūti mallā nāma jānapadino rājakumārā, tesaṃ nivāso ekopi janapado ruḷhīvasena ‘‘mallā’’ti vuccati, tesu mallesu, yaṃ loke ‘‘mallo’’ti vuccati. Keci pana ‘‘mālesū’’ti paṭhanti. Cāriyaṃ caramānoti aturitacārikāvasena mahāmaṇḍalajanapadacārikaṃ caramāno. Mahatā bhikkhusaṅghenāti aparicchedaguṇena mahantena samaṇagaṇena. Tadā hi bhagavato mahābhikkhuparivāro ahosi. Thūṇaṃ nāma mallānaṃ brāhmaṇagāmoti puratthimadakkhiṇāya disāya majjhimadesassa avadhiṭṭhāne malladese thūṇanāmako brāhmaṇabahulatāya brāhmaṇagāmo. Tadavasarīti taṃ avasari, thūṇagāmamaggaṃ pāpuṇīti attho. Assosunti suṇiṃsu, sotadvārasampattavacananigghosānusārena jāniṃsūti attho. Khoti padapūraṇe, avadhāraṇatthe vā nipāto. Tattha avadhāraṇatthena assosuṃyeva, na tesaṃ savanantarāyo ahosīti vuttaṃ hoti. Padapūraṇena padabyañjanasiliṭṭhattamattameva. Thūṇeyyakāti thūṇagāmavāsino. Brāhmaṇagahapatikāti ettha brahmaṃ aṇantīti brāhmaṇā, mante sajjhāyantīti attho. Idameva hi jātibrāhmaṇānaṃ nibbacanaṃ, ariyā pana bāhitapāpattā ‘‘brāhmaṇā’’ti vuccanti. Gahapatikāti khattiyabrāhmaṇe vajjetvā ye keci agāraṃ ajjhāvasantā vuccanti, visesato vessā. Brāhmaṇā ca gahapatikā ca brāhmaṇagahapatikā.
อิทานิ ยมตฺถํ เต อโสฺสสุํ, ตํ ทเสฺสตุํ ‘‘สมโณ ขลุ, โภ, โคตโม’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตตฺถ สมิตปาปตฺตา ‘‘สมโณ’’ติ เวทิตโพฺพฯ วุตฺตเญฺหตํ – ‘‘สมิตาสฺส โหนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา’’ติอาทิ (ม. นิ. ๑.๔๓๔)ฯ ภควา จ อนุตฺตเรน อริยมเคฺคน สพฺพโส สมิตปาโปฯ เตนสฺส ยถาภุจฺจคุณาธิคตเมตํ นามํ, ยทิทํ สมโณติฯ ขลูติ อนุสฺสวเตฺถ นิปาโตฯ โภติ พฺราหฺมณชาติกานํ ชาติสมุทาคตํ อาลปนมตฺตํฯ วุตฺตมฺปิ เจตํ ‘‘โภวาทิ นาม โส โหติ, สเจ โหติ สกิญฺจโน’’ติ (ธ. ป. ๓๙๖)ฯ โคตโมติ โคตฺตวเสน ภควโต ปริกิตฺตนํฯ ตสฺมา ‘‘สมโณ ขลุ, โภ, โคตโม’’ติ สมโณ กิร, โภ, โคตมโคโตฺตติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ สกฺยปุโตฺตติ อิทํ ปน ภควโต อุจฺจากุลปริทีปนํฯ สกฺยกุลา ปพฺพชิโตติ สทฺธาปพฺพชิตภาวปริทีปนํฯ เกนจิ ปาริชุเญฺญน อนภิภูโต อปริกฺขีณํเยว ตํ กุลํ ปหาย เนกฺขมฺมาธิคมสทฺธาย ปพฺพชิโตติ วุตฺตํ โหติฯ อุทปานํ ติณสฺส จ ภุสสฺส จ ยาว มุขโต ปูเรสุนฺติ ปานียกูปํ ติเณน จ ภุเสน จ มุขปฺปมาเณน วเฑฺฒสุํ, ติณาทีนิ ปกฺขิปิตฺวา กูปํ ปิทหิํสูติ อโตฺถฯ
Idāni yamatthaṃ te assosuṃ, taṃ dassetuṃ ‘‘samaṇo khalu, bho, gotamo’’tiādi vuttaṃ. Tattha samitapāpattā ‘‘samaṇo’’ti veditabbo. Vuttañhetaṃ – ‘‘samitāssa honti pāpakā akusalā dhammā’’tiādi (ma. ni. 1.434). Bhagavā ca anuttarena ariyamaggena sabbaso samitapāpo. Tenassa yathābhuccaguṇādhigatametaṃ nāmaṃ, yadidaṃ samaṇoti. Khalūti anussavatthe nipāto. Bhoti brāhmaṇajātikānaṃ jātisamudāgataṃ ālapanamattaṃ. Vuttampi cetaṃ ‘‘bhovādi nāma so hoti, sace hoti sakiñcano’’ti (dha. pa. 396). Gotamoti gottavasena bhagavato parikittanaṃ. Tasmā ‘‘samaṇo khalu, bho, gotamo’’ti samaṇo kira, bho, gotamagottoti ayamettha attho. Sakyaputtoti idaṃ pana bhagavato uccākulaparidīpanaṃ. Sakyakulā pabbajitoti saddhāpabbajitabhāvaparidīpanaṃ. Kenaci pārijuññena anabhibhūto aparikkhīṇaṃyeva taṃ kulaṃ pahāya nekkhammādhigamasaddhāya pabbajitoti vuttaṃ hoti. Udapānaṃ tiṇassa ca bhusassa ca yāva mukhato pūresunti pānīyakūpaṃ tiṇena ca bhusena ca mukhappamāṇena vaḍḍhesuṃ, tiṇādīni pakkhipitvā kūpaṃ pidahiṃsūti attho.
ตสฺส กิร คามสฺส พหิ ภควโต อาคมนมเคฺค พฺราหฺมณานํ ปริโภคภูโต เอโก อุทปาโน อโหสิฯ ตํ ฐเปตฺวา ตตฺถ สพฺพานิ กูปตฬากาทีนิ อุทกฎฺฐานานิ ตทา วิสุกฺขานิ นิรุทกานิ อเหสุํฯ อถ ถูเณยฺยกา รตนตฺตเย อปฺปสนฺนา มเจฺฉรปกตา ภควโต อาคมนํ สุตฺวา ‘‘สเจ สมโณ โคตโม สสาวโก อิมํ คามํ ปวิสิตฺวา ทฺวีหตีหํ วเสยฺย, สพฺพํ อิมํ ชนํ อตฺตโน วจเน ฐเปยฺย, ตโต พฺราหฺมณธโมฺม ปติฎฺฐํ น ลเภยฺยา’’ติ ตตฺถ ภควโต อวาสาย ปริสกฺกนฺตา ‘‘อิมสฺมิํ คาเม อญฺญตฺถ อุทกํ นตฺถิ, อมุํ อุทปานํ อปริโภคํ กริสฺสาม, เอวํ สมโณ โคตโม สสาวโก อิมํ คามํ น ปวิสิสฺสตี’’ติ สมฺมนฺตยิตฺวา สเพฺพ คามวาสิโน สตฺตาหสฺส อุทกํ คเหตฺวา จาฎิอาทีนิ ปูเรตฺวา อุทปานํ ติเณน จ ภุเสน จ ปิทหิํสุฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘อุทปานํ ติณสฺส จ ภุสสฺส จ ยาว มุขโต ปูเรสุํ, ‘มา เต มุณฺฑกา สมณกา ปานียํ อปํสู’’’ติฯ
Tassa kira gāmassa bahi bhagavato āgamanamagge brāhmaṇānaṃ paribhogabhūto eko udapāno ahosi. Taṃ ṭhapetvā tattha sabbāni kūpataḷākādīni udakaṭṭhānāni tadā visukkhāni nirudakāni ahesuṃ. Atha thūṇeyyakā ratanattaye appasannā maccherapakatā bhagavato āgamanaṃ sutvā ‘‘sace samaṇo gotamo sasāvako imaṃ gāmaṃ pavisitvā dvīhatīhaṃ vaseyya, sabbaṃ imaṃ janaṃ attano vacane ṭhapeyya, tato brāhmaṇadhammo patiṭṭhaṃ na labheyyā’’ti tattha bhagavato avāsāya parisakkantā ‘‘imasmiṃ gāme aññattha udakaṃ natthi, amuṃ udapānaṃ aparibhogaṃ karissāma, evaṃ samaṇo gotamo sasāvako imaṃ gāmaṃ na pavisissatī’’ti sammantayitvā sabbe gāmavāsino sattāhassa udakaṃ gahetvā cāṭiādīni pūretvā udapānaṃ tiṇena ca bhusena ca pidahiṃsu. Tena vuttaṃ – ‘‘udapānaṃ tiṇassa ca bhusassa ca yāva mukhato pūresuṃ, ‘mā te muṇḍakā samaṇakā pānīyaṃ apaṃsū’’’ti.
ตตฺถ มุณฺฑกา สมณกาติ มุเณฺฑ ‘‘มุณฺฑา’’ติ สมเณ ‘‘สมณา’’ติ วตฺตุํ วเฎฺฎยฺย, เต ปน ขุํสนาธิปฺปาเยน หีเฬนฺตา เอวมาหํสุฯ มาติ ปฎิเสเธ, มา อปํสุ มา ปิวิํสูติ อโตฺถฯ มคฺคา โอกฺกมฺมาติ มคฺคโต อปสกฺกิตฺวาฯ เอตมฺหาติ โย อุทปาโน เตหิ ตถา กโต, ตเมว นิทฺทิสโนฺต อาหฯ กิํ ปน ภควา เตสํ พฺราหฺมณานํ วิปฺปการํ อนาวชฺชิตฺวา เอวมาห – ‘‘เอตมฺหา อุทปานา ปานียํ อาหรา’’ติ, อุทาหุ อาวชฺชิตฺวา ชานโนฺตติ? ชานโนฺต เอว ภควา อตฺตโน พุทฺธานุภาวํ ปกาเสตฺวา เต ทเมตฺวา นิพฺพิเสวเน กาตุํ เอวมาห, น ปานียํ ปาตุกาโมฯ เตเนเวตฺถ มหาปรินิพฺพานสุเตฺต วิย ‘‘ปิปาสิโตสฺมี’’ติ (ที. นิ. ๒.๑๙๑) น วุตฺตํฯ ธมฺมภณฺฑาคาริโก ปน สตฺถุ อชฺฌาสยํ อชานโนฺต ถูเณยฺยเกหิ กตํ วิปฺปการํ อาจิกฺขโนฺต ‘‘อิทานิ โส, ภเนฺต’’ติอาทิมาหฯ
Tattha muṇḍakā samaṇakāti muṇḍe ‘‘muṇḍā’’ti samaṇe ‘‘samaṇā’’ti vattuṃ vaṭṭeyya, te pana khuṃsanādhippāyena hīḷentā evamāhaṃsu. Māti paṭisedhe, mā apaṃsu mā piviṃsūti attho. Maggā okkammāti maggato apasakkitvā. Etamhāti yo udapāno tehi tathā kato, tameva niddisanto āha. Kiṃ pana bhagavā tesaṃ brāhmaṇānaṃ vippakāraṃ anāvajjitvā evamāha – ‘‘etamhā udapānā pānīyaṃ āharā’’ti, udāhu āvajjitvā jānantoti? Jānanto eva bhagavā attano buddhānubhāvaṃ pakāsetvā te dametvā nibbisevane kātuṃ evamāha, na pānīyaṃ pātukāmo. Tenevettha mahāparinibbānasutte viya ‘‘pipāsitosmī’’ti (dī. ni. 2.191) na vuttaṃ. Dhammabhaṇḍāgāriko pana satthu ajjhāsayaṃ ajānanto thūṇeyyakehi kataṃ vippakāraṃ ācikkhanto ‘‘idāni so, bhante’’tiādimāha.
ตตฺถ อิทานีติ อธุนา, อมฺหากํ อาคมนเวลายเมวาติ อโตฺถฯ เอโส, ภเนฺต, อุทปาโนติ ปฐนฺติฯ เถโร ทฺวิกฺขตฺตุํ ปฎิกฺขิปิตฺวา ตติยวาเร ‘‘น โข ตถาคตา ติกฺขตฺตุํ ปจฺจนีกา กาตพฺพา, การณํ ทิฎฺฐํ ภวิสฺสติ ทีฆทสฺสินา’’ติ มหาราชทตฺติยํ ภควโต ปตฺตํ คเหตฺวา อุทปานํ อคมาสิฯ คจฺฉเนฺต เถเร อุทปาเน อุทกํ ปริปุณฺณํ หุตฺวา อุตฺตริตฺวา สมนฺตโต สนฺทติ, สพฺพํ ติณํ ภุสญฺจ อุปฺลวิตฺวา สยเมว อปคจฺฉิฯ เตน จ สนฺทมาเนน สลิเลน อุปรูปริ วฑฺฒเนฺตน ตสฺมิํ คาเม สเพฺพว โปกฺขรณีอาทโย ชลาสยา วิสุกฺขา ปริปูริํสุ, ตถา ปริขากุสุพฺภนินฺนาทีนิ จฯ สโพฺพ คามปฺปเทโส มโหเฆน อโชฺฌตฺถโฎ มหาวสฺสกาเล วิย อโหสิฯ กุมุทุปฺปลปทุมปุณฺฑรีกาทีนิ ชลชปุปฺผานิ ตตฺถ ตตฺถ อุพฺภิชฺชิตฺวา วิกสมานานิ อุทกํ สญฺฉาทิํสุฯ สเรสุ หํสโกญฺจจกฺกวากการณฺฑวพกาทยา เอ อุทกสกุณิกา วสฺสมานา ตตฺถ ตตฺถ วิจริํสุฯ ถูเณยฺยกา ตํ มโหฆํ ตถา อุตฺตรนฺตํ สมนฺตโต วีจิตรงฺคสมากุลํ ปริยนฺตโต สมุฎฺฐหมานํ รุจิรํ เผณพุพฺพุฬกํ ทิสฺวา อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาตา เอวํ สมฺมเนฺตสุํ ‘‘มยํ สมณสฺส โคตมสฺส อุทกุปเจฺฉทํ กาตุํ วายมิมฺหา, อยํ ปน มโหโฆ ตสฺส อาคมนกาลโต ปฎฺฐาย เอวํ อภิวฑฺฒติ, นิสฺสํสยํ โข อยํ ตสฺส อิทฺธานุภาโวฯ มหิทฺธิโก หิ โส มหานุภาโวฯ ฐานํ โข ปเนตํ วิชฺชติ, ยถา ยํ มโหโฆ อุฎฺฐหิตฺวา อมฺหากํ คามมฺปิ โอตฺถเรยฺยฯ หนฺท มยํ สมณํ โคตมํ อุปสงฺกมิตฺวา ปยิรุปาสิตฺวา อจฺจยํ เทเสนฺตา ขมาเปยฺยามา’’ติฯ
Tattha idānīti adhunā, amhākaṃ āgamanavelāyamevāti attho. Eso, bhante, udapānoti paṭhanti. Thero dvikkhattuṃ paṭikkhipitvā tatiyavāre ‘‘na kho tathāgatā tikkhattuṃ paccanīkā kātabbā, kāraṇaṃ diṭṭhaṃ bhavissati dīghadassinā’’ti mahārājadattiyaṃ bhagavato pattaṃ gahetvā udapānaṃ agamāsi. Gacchante there udapāne udakaṃ paripuṇṇaṃ hutvā uttaritvā samantato sandati, sabbaṃ tiṇaṃ bhusañca uplavitvā sayameva apagacchi. Tena ca sandamānena salilena uparūpari vaḍḍhantena tasmiṃ gāme sabbeva pokkharaṇīādayo jalāsayā visukkhā paripūriṃsu, tathā parikhākusubbhaninnādīni ca. Sabbo gāmappadeso mahoghena ajjhotthaṭo mahāvassakāle viya ahosi. Kumuduppalapadumapuṇḍarīkādīni jalajapupphāni tattha tattha ubbhijjitvā vikasamānāni udakaṃ sañchādiṃsu. Saresu haṃsakoñcacakkavākakāraṇḍavabakādayā e udakasakuṇikā vassamānā tattha tattha vicariṃsu. Thūṇeyyakā taṃ mahoghaṃ tathā uttarantaṃ samantato vīcitaraṅgasamākulaṃ pariyantato samuṭṭhahamānaṃ ruciraṃ pheṇabubbuḷakaṃ disvā acchariyabbhutacittajātā evaṃ sammantesuṃ ‘‘mayaṃ samaṇassa gotamassa udakupacchedaṃ kātuṃ vāyamimhā, ayaṃ pana mahogho tassa āgamanakālato paṭṭhāya evaṃ abhivaḍḍhati, nissaṃsayaṃ kho ayaṃ tassa iddhānubhāvo. Mahiddhiko hi so mahānubhāvo. Ṭhānaṃ kho panetaṃ vijjati, yathā yaṃ mahogho uṭṭhahitvā amhākaṃ gāmampi otthareyya. Handa mayaṃ samaṇaṃ gotamaṃ upasaṅkamitvā payirupāsitvā accayaṃ desentā khamāpeyyāmā’’ti.
เต สเพฺพว เอกชฺฌาสยา หุตฺวา สงฺฆสงฺฆี คณีภูตา คามโต นิกฺขมิตฺวา เยน ภควา เตนุปสงฺกมิํสุฯ อุปสงฺกมิตฺวา อเปฺปกเจฺจ ภควโต ปาเท สิรสา วนฺทิํสุ, อเปฺปกเจฺจ อญฺชลิํ ปณาเมสุํ, อเปฺปกเจฺจ ภควตา สทฺธิํ สโมฺมทิํสุ, อเปฺปกเจฺจ ตุณฺหีภูตา นิสีทิํสุ, อเปฺปกเจฺจ นามโคตฺตํ สาเวสุํฯ เอวํ ปน กตฺวา สเพฺพว เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา ‘‘อิธ มยํ, โภ โคตม, โภโต เจว โคตมสฺส โคตมสาวกานญฺจ อุทกปฺปฎิเสธํ การยิมฺห, อมุกสฺมิํ อุทปาเน ติณญฺจ ภุสญฺจ ปกฺขิปิมฺหฯ โส ปน อุทปาโน อเจตโนปิ สมาโน สเจตโน วิย โภโต คุณํ ชานโนฺต วิย สยเมว สพฺพํ ติณํ ภุสํ อปเนตฺวา สุวิสุโทฺธ ชาโต, สโพฺพปิ เจตฺถ นินฺนปฺปเทโส มหตา อุทโกเฆน ปริปุโณฺณ รมณีโยว ชาโต, อุทกูปชีวิโน สตฺตา ปริตุฎฺฐาฯ มยํ ปน มนุสฺสาปิ สมานา โภโต คุเณ น ชานิมฺห, เย มยํ เอวํ อกริมฺห, สาธุ โน ภวํ โคตโม ตถา กโรตุ, ยถายํ มโหโฆ อิมํ คามํ น โอตฺถเรยฺย, อจฺจโย โน อจฺจคมา ยถาพาลํ, ตํ โน ภวํ โคตโม อจฺจยํ ปฎิคฺคณฺหาตุ อนุกมฺปํ อุปาทายา’’ติ อจฺจยํ เทเสสุํฯ ภควาปิ ‘‘ตคฺฆ ตุเมฺห อจฺจโย อจฺจคมา ยถาพาลํ, ตํ โว มยํ ปฎิคฺคณฺหาม อายติํ สํวรายา’’ติ เตสํ อจฺจยํ ปฎิคฺคเหตฺวา ปสนฺนจิตฺตตํ ญตฺวา อุตฺตริ อชฺฌาสยานุรูปํ ธมฺมํ เทเสสิฯ เต ภควโต ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปสนฺนจิตฺตา สรณาทีสุ ปติฎฺฐิตา ภควนฺตํ วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ปกฺกมิํสุฯ เตสํ ปน อาคมนโต ปุเรตรํเยว อายสฺมา อานโนฺท ตํ ปาฎิหาริยํ ทิสฺวา อจฺฉริยพฺภุตจิตฺตชาโต ปเตฺตน ปานียํ อาทาย ภควโต อุปนาเมตฺวา ตํ ปวตฺติํ อาโรเจสิฯ เตน วุตฺตํ – ‘‘เอวํ, ภเนฺตติ โข อายสฺมา อานโนฺท’’ติอาทิฯ
Te sabbeva ekajjhāsayā hutvā saṅghasaṅghī gaṇībhūtā gāmato nikkhamitvā yena bhagavā tenupasaṅkamiṃsu. Upasaṅkamitvā appekacce bhagavato pāde sirasā vandiṃsu, appekacce añjaliṃ paṇāmesuṃ, appekacce bhagavatā saddhiṃ sammodiṃsu, appekacce tuṇhībhūtā nisīdiṃsu, appekacce nāmagottaṃ sāvesuṃ. Evaṃ pana katvā sabbeva ekamantaṃ nisīditvā ‘‘idha mayaṃ, bho gotama, bhoto ceva gotamassa gotamasāvakānañca udakappaṭisedhaṃ kārayimha, amukasmiṃ udapāne tiṇañca bhusañca pakkhipimha. So pana udapāno acetanopi samāno sacetano viya bhoto guṇaṃ jānanto viya sayameva sabbaṃ tiṇaṃ bhusaṃ apanetvā suvisuddho jāto, sabbopi cettha ninnappadeso mahatā udakoghena paripuṇṇo ramaṇīyova jāto, udakūpajīvino sattā parituṭṭhā. Mayaṃ pana manussāpi samānā bhoto guṇe na jānimha, ye mayaṃ evaṃ akarimha, sādhu no bhavaṃ gotamo tathā karotu, yathāyaṃ mahogho imaṃ gāmaṃ na otthareyya, accayo no accagamā yathābālaṃ, taṃ no bhavaṃ gotamo accayaṃ paṭiggaṇhātu anukampaṃ upādāyā’’ti accayaṃ desesuṃ. Bhagavāpi ‘‘taggha tumhe accayo accagamā yathābālaṃ, taṃ vo mayaṃ paṭiggaṇhāma āyatiṃ saṃvarāyā’’ti tesaṃ accayaṃ paṭiggahetvā pasannacittataṃ ñatvā uttari ajjhāsayānurūpaṃ dhammaṃ desesi. Te bhagavato dhammadesanaṃ sutvā pasannacittā saraṇādīsu patiṭṭhitā bhagavantaṃ vanditvā padakkhiṇaṃ katvā pakkamiṃsu. Tesaṃ pana āgamanato puretaraṃyeva āyasmā ānando taṃ pāṭihāriyaṃ disvā acchariyabbhutacittajāto pattena pānīyaṃ ādāya bhagavato upanāmetvā taṃ pavattiṃ ārocesi. Tena vuttaṃ – ‘‘evaṃ, bhanteti kho āyasmā ānando’’tiādi.
ตตฺถ มุขโต โอวมิตฺวาติ สพฺพํ ตํ ติณาทิํ มุเขน ฉเฑฺฑตฺวาฯ วิสฺสนฺทโนฺต มเญฺญติ ปุเพฺพ ทีฆรชฺชุเกน อุทปาเนน อุสฺสิญฺจิตฺวา คเหตพฺพอุทโกโฆ ภควโต ปตฺตํ คเหตฺวา เถรสฺส คตกาเล มุเขน วิสฺสนฺทโนฺต วิย สมติตฺติโก กากเปโยฺย หุตฺวา อฎฺฐาสิฯ อิทญฺจ เถรสฺส คตกาเล อุทกปฺปวตฺติํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตโต ปรํ ปน ปุเพฺพ วุตฺตนเยน ตสฺมิํ คาเม สกลํ นินฺนฎฺฐานํ อุทเกน ปริปุณฺณํ อโหสีติฯ อยํ ปนิทฺธิ น พุทฺธานํ อธิฎฺฐาเนน, นาปิ เทวานุภาเวน, อถ โข ภควโต ปุญฺญานุภาเวน ปริตฺตเทสนตฺถํ ราชคหโต เวสาลิคมเน วิยฯ เกจิ ปน ‘‘ถูเณยฺยกานํ ภควติ ปสาทชนนตฺถํ เตสํ อตฺถกามาหิ เทวตาหิ กต’’นฺติฯ อปเร ‘‘อุทปานสฺส เหฎฺฐา วสนกนาคราชา เอวมกาสี’’ติฯ สพฺพํ ตํ อการณํ, ยถา ภควโต ปุญฺญานุภาเวนเยว ตถา อุทกุปฺปตฺติยา ปริทีปิตตฺตาฯ
Tattha mukhato ovamitvāti sabbaṃ taṃ tiṇādiṃ mukhena chaḍḍetvā. Vissandanto maññeti pubbe dīgharajjukena udapānena ussiñcitvā gahetabbaudakogho bhagavato pattaṃ gahetvā therassa gatakāle mukhena vissandanto viya samatittiko kākapeyyo hutvā aṭṭhāsi. Idañca therassa gatakāle udakappavattiṃ sandhāya vuttaṃ. Tato paraṃ pana pubbe vuttanayena tasmiṃ gāme sakalaṃ ninnaṭṭhānaṃ udakena paripuṇṇaṃ ahosīti. Ayaṃ paniddhi na buddhānaṃ adhiṭṭhānena, nāpi devānubhāvena, atha kho bhagavato puññānubhāvena parittadesanatthaṃ rājagahato vesāligamane viya. Keci pana ‘‘thūṇeyyakānaṃ bhagavati pasādajananatthaṃ tesaṃ atthakāmāhi devatāhi kata’’nti. Apare ‘‘udapānassa heṭṭhā vasanakanāgarājā evamakāsī’’ti. Sabbaṃ taṃ akāraṇaṃ, yathā bhagavato puññānubhāvenayeva tathā udakuppattiyā paridīpitattā.
เอตมตฺถํ วิทิตฺวาติ เอตํ อธิฎฺฐาเนน วินา อตฺตนา อิจฺฉิตนิปฺผตฺติสงฺขาตํ อตฺถํ สพฺพาการโต วิทิตฺวา ตทตฺถทีปนํ อิมํ อุทานํ อุทาเนสิฯ
Etamatthaṃ viditvāti etaṃ adhiṭṭhānena vinā attanā icchitanipphattisaṅkhātaṃ atthaṃ sabbākārato viditvā tadatthadīpanaṃ imaṃ udānaṃ udānesi.
ตตฺถ กิํ กยิรา อุทปาเนน, อาปา เจ สพฺพทา สิยุนฺติ ยสฺส สพฺพกาลํ สพฺพตฺถ จ อาปา เจ ยทิ สิยุํ ยทิ อุปลเพฺภยฺยุํ ยทิ อากงฺขามตฺตปฎิพโทฺธ, เตสํ ลาโภ, เตน อุทปาเนน กิํ กยิรา กิํ กเรยฺย, กิํ ปโยชนนฺติ อโตฺถฯ ตณฺหาย มูลโต เฉตฺวา, กิสฺส ปริเยสนํ จเรติ ยาย ตณฺหาย วินิพทฺธา สตฺตา อกตปุญฺญา หุตฺวา อิจฺฉิตาลาภทุเกฺขน วิหญฺญนฺติ, ตสฺสา ตณฺหาย มูลํ, มูเล วา ฉินฺทิตฺวา ฐิโต มาทิโส สพฺพญฺญุพุโทฺธ กิสฺส เกน การเณน ปานียปริเยสนํ, อญฺญํ วา ปจฺจยปริเยสนํ จเรยฺยฯ ‘‘มูลโต เฉตฺตา’’ติปิ ปฐนฺติ, ตณฺหาย มูลํ มูเลเยว วา เฉทโกติ อโตฺถฯ อถ วา มูลโต เฉตฺตาติ มูลโต ปฎฺฐาย ตณฺหาย เฉทโกฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – โย โพธิยา มูลภูตมหาปณิธานโต ปฎฺฐาย อปริมิตํ สกลํ ปุญฺญสมฺภารํ อตฺตโน อจิเนฺตตฺวา โลกหิตตฺถเมว ปริณามนวเสน ปริปูเรโนฺต มูลโต ปภุติ ตณฺหาย เฉตฺตา, โส ตณฺหาเหตุกสฺส อิจฺฉิตาลาภสฺส อภาวโต กิสฺส เกน การเณน อุทกปริเยสนํ จเรยฺย, อิเม ปน ถูเณยฺยกา อนฺธพาลา อิมํ การณํ อชานนฺตา เอวมกํสูติฯ
Tattha kiṃ kayirā udapānena, āpā ce sabbadā siyunti yassa sabbakālaṃ sabbattha ca āpā ce yadi siyuṃ yadi upalabbheyyuṃ yadi ākaṅkhāmattapaṭibaddho, tesaṃ lābho, tena udapānena kiṃ kayirā kiṃ kareyya, kiṃ payojananti attho. Taṇhāya mūlato chetvā, kissa pariyesanaṃ careti yāya taṇhāya vinibaddhā sattā akatapuññā hutvā icchitālābhadukkhena vihaññanti, tassā taṇhāya mūlaṃ, mūle vā chinditvā ṭhito mādiso sabbaññubuddho kissa kena kāraṇena pānīyapariyesanaṃ, aññaṃ vā paccayapariyesanaṃ careyya. ‘‘Mūlato chettā’’tipi paṭhanti, taṇhāya mūlaṃ mūleyeva vā chedakoti attho. Atha vā mūlato chettāti mūlato paṭṭhāya taṇhāya chedako. Idaṃ vuttaṃ hoti – yo bodhiyā mūlabhūtamahāpaṇidhānato paṭṭhāya aparimitaṃ sakalaṃ puññasambhāraṃ attano acintetvā lokahitatthameva pariṇāmanavasena paripūrento mūlato pabhuti taṇhāya chettā, so taṇhāhetukassa icchitālābhassa abhāvato kissa kena kāraṇena udakapariyesanaṃ careyya, ime pana thūṇeyyakā andhabālā imaṃ kāraṇaṃ ajānantā evamakaṃsūti.
นวมสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Navamasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / อุทานปาฬิ • Udānapāḷi / ๙. อุทปานสุตฺตํ • 9. Udapānasuttaṃ