Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / มิลินฺทปญฺหปาฬิ • Milindapañhapāḷi |
๒. อุทรสํยตปโญฺห
2. Udarasaṃyatapañho
๒. ‘‘ภเนฺต นาคเสน, ภาสิตเมฺปตํ ภควตา –
2. ‘‘Bhante nāgasena, bhāsitampetaṃ bhagavatā –
‘‘‘อุตฺติเฎฺฐ นปฺปมเชฺชยฺย, อุทเร สํยโต สิยา’ติฯ
‘‘‘Uttiṭṭhe nappamajjeyya, udare saṃyato siyā’ti.
‘‘ปุน จ ภควตา ภณิตํ ‘อหํ โข ปนุทายิ, อเปฺปกทา อิมินา ปเตฺตน สมติตฺติกมฺปิ ภุญฺชามิ, ภิโยฺยปิ ภุญฺชามี’ติฯ ยทิ, ภเนฺต นาคเสน, ภควตา ภณิตํ ‘อุตฺติเฎฺฐ นปฺปมเชฺชยฺย, อุทเร สํยโต สิยา’ติ, เตน หิ ‘อหํ โข ปนุทายิ, อเปฺปกทา อิมินา ปเตฺตน สมติตฺถิกมฺปิ ภุญฺชามิ, ภิโยฺยปิ ภุญฺชามี’ติ ยํ วจนํ, ตํ มิจฺฉาฯ ยทิ ตถาคเตน ภณิตํ ‘อหํ โข ปนุทายิ, อเปฺปกทา อิมินา ปเตฺตน สมติตฺถิกมฺปิ ภุญฺชามิ, ภิโยฺยปิ ภุญฺชามี’ติ, เตน หิ ‘อุตฺติเฎฺฐ นปฺปมเชฺชยฺย, อุทเร สํยโต สิยา’ติ ตมฺปิ วจนํ มิจฺฉาฯ อยมฺปิ อุภโต โกฎิโก ปโญฺห ตวานุปฺปโตฺต, โส ตยา นิพฺพาหิตโพฺพ’’ติฯ
‘‘Puna ca bhagavatā bhaṇitaṃ ‘ahaṃ kho panudāyi, appekadā iminā pattena samatittikampi bhuñjāmi, bhiyyopi bhuñjāmī’ti. Yadi, bhante nāgasena, bhagavatā bhaṇitaṃ ‘uttiṭṭhe nappamajjeyya, udare saṃyato siyā’ti, tena hi ‘ahaṃ kho panudāyi, appekadā iminā pattena samatitthikampi bhuñjāmi, bhiyyopi bhuñjāmī’ti yaṃ vacanaṃ, taṃ micchā. Yadi tathāgatena bhaṇitaṃ ‘ahaṃ kho panudāyi, appekadā iminā pattena samatitthikampi bhuñjāmi, bhiyyopi bhuñjāmī’ti, tena hi ‘uttiṭṭhe nappamajjeyya, udare saṃyato siyā’ti tampi vacanaṃ micchā. Ayampi ubhato koṭiko pañho tavānuppatto, so tayā nibbāhitabbo’’ti.
‘‘ภาสิตเมฺปตํ, มหาราช, ภควตา ‘อุตฺติเฎฺฐ นปฺปมเชฺชยฺย, อุทเร สํยโต สิยา’ติ, ภณิตญฺจ ‘อหํ โข ปนุทายิ, อเปฺปกทา อิมินา ปเตฺตน สมติตฺติกมฺปิ ภุญฺชามิ, ภิโยฺยปิ ภุญฺชามี’ติ ฯ ยํ, มหาราช, ภควตา ภณิตํ ‘อุตฺติเฎฺฐ นปฺปมเชฺชยฺย, อุทเร สํยโต สิยา’ติ, ตํ สภาววจนํ อเสสวจนํ นิเสฺสสวจนํ นิปฺปริยายวจนํ ภูตวจนํ ตจฺฉวจนํ ยาถาววจนํ อวิปรีตวจนํ อิสิวจนํ มุนิวจนํ ภควนฺตวจนํ อรหนฺตวจนํ ปเจฺจกพุทฺธวจนํ ชินวจนํ สพฺพญฺญุวจนํ ตถาคตสฺส อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส วจนํฯ
‘‘Bhāsitampetaṃ, mahārāja, bhagavatā ‘uttiṭṭhe nappamajjeyya, udare saṃyato siyā’ti, bhaṇitañca ‘ahaṃ kho panudāyi, appekadā iminā pattena samatittikampi bhuñjāmi, bhiyyopi bhuñjāmī’ti . Yaṃ, mahārāja, bhagavatā bhaṇitaṃ ‘uttiṭṭhe nappamajjeyya, udare saṃyato siyā’ti, taṃ sabhāvavacanaṃ asesavacanaṃ nissesavacanaṃ nippariyāyavacanaṃ bhūtavacanaṃ tacchavacanaṃ yāthāvavacanaṃ aviparītavacanaṃ isivacanaṃ munivacanaṃ bhagavantavacanaṃ arahantavacanaṃ paccekabuddhavacanaṃ jinavacanaṃ sabbaññuvacanaṃ tathāgatassa arahato sammāsambuddhassa vacanaṃ.
‘‘อุทเร อสํยโต, มหาราช, ปาณมฺปิ หนติ, อทินฺนมฺปิ อาทิยติ, ปรทารมฺปิ คจฺฉติ, มุสาปิ ภณติ, มชฺชมฺปิ ปิวติ, มาตรมฺปิ ชีวิตา โวโรเปติ, ปิตรมฺปิ ชีวิตา โวโรเปติ, อรหนฺตมฺปิ ชีวิตา โวโรเปติ, สงฺฆมฺปิ ภินฺทติ, ทุเฎฺฐน จิเตฺตน ตถาคตสฺส โลหิตมฺปิ อุปฺปาเทติฯ นนุ, มหาราช, เทวทโตฺต อุทเร อสํยโต สงฺฆํ ภินฺทิตฺวา กปฺปฎฺฐิยํ กมฺมํ อายูหิ 1ฯ เอวรูปานิ, มหาราช, อญฺญานิปิ พหุวิธานิ การณานิ ทิสฺวา ภควตา ภณิตํ ‘อุตฺติเฎฺฐ นปฺปมเชฺชยฺย, อุทเร สํยโต สิยา’ติฯ
‘‘Udare asaṃyato, mahārāja, pāṇampi hanati, adinnampi ādiyati, paradārampi gacchati, musāpi bhaṇati, majjampi pivati, mātarampi jīvitā voropeti, pitarampi jīvitā voropeti, arahantampi jīvitā voropeti, saṅghampi bhindati, duṭṭhena cittena tathāgatassa lohitampi uppādeti. Nanu, mahārāja, devadatto udare asaṃyato saṅghaṃ bhinditvā kappaṭṭhiyaṃ kammaṃ āyūhi 2. Evarūpāni, mahārāja, aññānipi bahuvidhāni kāraṇāni disvā bhagavatā bhaṇitaṃ ‘uttiṭṭhe nappamajjeyya, udare saṃyato siyā’ti.
‘‘อุทเร สํยโต, มหาราช, จตุสจฺจาภิสมยํ อภิสเมติ, จตฺตาริ สามญฺญผลานิ สจฺฉิกโรติ, จตูสุ ปฎิสมฺภิทาสุ อฎฺฐสุ สมาปตฺตีสุ ฉสุ อภิญฺญาสุ วสีภาวํ ปาปุณาติ, เกวลญฺจ สมณธมฺมํ ปูเรติฯ นนุ, มหาราช, สุกโปตโก อุทเร สํยโต หุตฺวา ยาว ตาวติํสภวนํ กเมฺปตฺวา สกฺกํ เทวานมินฺทํ อุปฎฺฐานมุปเนสิ, เอวรูปานิ, มหาราช, อญฺญานิปิ พหุวิธานิ การณานิ ทิสฺวา ภควตา ภณิตํ ‘อุตฺติเฎฺฐ นปฺปมเชฺชยฺย, อุทเร สํยโต สิยา’ติฯ
‘‘Udare saṃyato, mahārāja, catusaccābhisamayaṃ abhisameti, cattāri sāmaññaphalāni sacchikaroti, catūsu paṭisambhidāsu aṭṭhasu samāpattīsu chasu abhiññāsu vasībhāvaṃ pāpuṇāti, kevalañca samaṇadhammaṃ pūreti. Nanu, mahārāja, sukapotako udare saṃyato hutvā yāva tāvatiṃsabhavanaṃ kampetvā sakkaṃ devānamindaṃ upaṭṭhānamupanesi, evarūpāni, mahārāja, aññānipi bahuvidhāni kāraṇāni disvā bhagavatā bhaṇitaṃ ‘uttiṭṭhe nappamajjeyya, udare saṃyato siyā’ti.
‘‘ยํ ปน, มหาราช, ภควตา ภณิตํ ‘อหํ โข ปนุทายิ อเปฺปกทา อิมินา ปเตฺตน สมติตฺติกมฺปิ ภุญฺชามิ, ภิโยฺยปิ ภุญฺชามี’ติ, ตํ กตกิเจฺจน นิฎฺฐิตกิริเยน สิทฺธเตฺถน วุสิตโวสาเนน นิราวรเณน สพฺพญฺญุนา สยมฺภุนา ตถาคเตน อตฺตานํ อุปาทาย ภณิตํฯ
‘‘Yaṃ pana, mahārāja, bhagavatā bhaṇitaṃ ‘ahaṃ kho panudāyi appekadā iminā pattena samatittikampi bhuñjāmi, bhiyyopi bhuñjāmī’ti, taṃ katakiccena niṭṭhitakiriyena siddhatthena vusitavosānena nirāvaraṇena sabbaññunā sayambhunā tathāgatena attānaṃ upādāya bhaṇitaṃ.
‘‘ยถา, มหาราช, วนฺตสฺส วิริตฺตสฺส อนุวาสิตสฺส อาตุรสฺส สปฺปายกิริยา อิจฺฉิตพฺพา โหติ, เอวเมว โข, มหาราช, สกิเลสสฺส อทิฎฺฐสจฺจสฺส อุทเร สํยโม กรณีโย โหติฯ ยถา, มหาราช, มณิรตนสฺส สปฺปภาสสฺส ชาติมนฺตสฺส อภิชาติปริสุทฺธสฺส มชฺชนนิฆํสนปริโสธเนน กรณียํ น โหติ, เอวเมว โข, มหาราช, ตถาคตสฺส พุทฺธวิสเย ปารมิํ คตสฺส กิริยากรเณสุ อาวรณํ น โหตี’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเนฺต นาคเสน, เอวเมตํ ตถา สมฺปฎิจฺฉามี’’ติฯ
‘‘Yathā, mahārāja, vantassa virittassa anuvāsitassa āturassa sappāyakiriyā icchitabbā hoti, evameva kho, mahārāja, sakilesassa adiṭṭhasaccassa udare saṃyamo karaṇīyo hoti. Yathā, mahārāja, maṇiratanassa sappabhāsassa jātimantassa abhijātiparisuddhassa majjananighaṃsanaparisodhanena karaṇīyaṃ na hoti, evameva kho, mahārāja, tathāgatassa buddhavisaye pāramiṃ gatassa kiriyākaraṇesu āvaraṇaṃ na hotī’’ti. ‘‘Sādhu, bhante nāgasena, evametaṃ tathā sampaṭicchāmī’’ti.
อุทรสํยตปโญฺห ทุติโยฯ
Udarasaṃyatapañho dutiyo.
Footnotes: