Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ปฎิสมฺภิทามคฺค-อฎฺฐกถา • Paṭisambhidāmagga-aṭṭhakathā |
๖. อุทยพฺพยญาณนิเทฺทสวณฺณนา
6. Udayabbayañāṇaniddesavaṇṇanā
๔๙. อิทานิ อนนฺตรํ วุตฺตสฺส สมฺมสนญาณสฺส นานานเยหิ ภาวนาถิรกรเณน ปารํ คนฺตฺวา ฐิเตน อนิจฺจาทิโต ทิเฎฺฐ สงฺขาเร อุทยพฺพเยน ปริจฺฉินฺทิตฺวา อนิจฺจาทิโต วิปสฺสนตฺถํ วุตฺตสฺส อุทยพฺพยานุปสฺสนาญาณสฺส นิเทฺทเส ชาตํ รูปนฺติอาทีสุ สนฺตติวเสน ยถาสกํ ปจฺจเยหิ นิพฺพตฺตํ รูปํฯ ตสฺส ชาตสฺส รูปสฺส นิพฺพตฺติลกฺขณํ ชาติํ อุปฺปาทํ อภินวาการํ อุทโยติ, วิปริณามลกฺขณํ ขยํ ภงฺคํ วโยติ, อนุปสฺสนา ปุนปฺปุนํ นิสามนา, อุทยพฺพย อนุปสฺสนาญาณนฺติ อโตฺถฯ เวทนาทีสุปิ เอเสว นโยฯ ชาติชรามรณวนฺตานํเยว อุทยพฺพยสฺส ปริคฺคเหตพฺพตฺตา ชาติชรามรณานํ อุทยพฺพยาภาวโต ชาติชรามรณํ อนามสิตฺวา ชาตํ จกฺขุ…เป.… ชาโต ภโวติ เปยฺยาลํ กตํฯ โส เอวํ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ อุทยพฺพยํ ปสฺสโนฺต เอวํ ชานาติ ‘‘อิเมสํ ขนฺธานํ อุปฺปตฺติโต ปุเพฺพ อนุปฺปนฺนานํ ราสิ วา นิจโย วา นตฺถิ, อุปฺปชฺชมานานมฺปิ ราสิโต วา นิจยโต วา อาคมนํ นาม นตฺถิ, นิรุชฺฌมานานมฺปิ ทิสาวิทิสาคมนํ นาม นตฺถิ, นิรุทฺธานมฺปิ เอกสฺมิํ ฐาเน ราสิโต นิจยโต นิธานโต อวฎฺฐานํ นาม นตฺถิฯ ยถา ปน วีณาย วาทิยมานาย อุปฺปนฺนสฺส สทฺทสฺส เนว อุปฺปตฺติโต ปุเพฺพ สนฺนิจโย อตฺถิ, น อุปฺปชฺชมาโน สนฺนิจยโต อาคโต, น นิรุชฺฌมานสฺส ทิสาวิทิสาคมนํ อตฺถิ, น นิรุโทฺธ กตฺถจิ สนฺนิจิโต ติฎฺฐติ, อถ โข วีณญฺจ อุปวีณญฺจ ปุริสสฺส จ ตชฺชํ วายามํ ปฎิจฺจ อหุตฺวา สโมฺภติ, หุตฺวา ปฎิเวติ, เอวํ สเพฺพปิ รูปารูปิโน ธมฺมา อหุตฺวา สโมฺภนฺติ, หุตฺวา ปฎิเวนฺตี’’ติฯ
49. Idāni anantaraṃ vuttassa sammasanañāṇassa nānānayehi bhāvanāthirakaraṇena pāraṃ gantvā ṭhitena aniccādito diṭṭhe saṅkhāre udayabbayena paricchinditvā aniccādito vipassanatthaṃ vuttassa udayabbayānupassanāñāṇassa niddese jātaṃ rūpantiādīsu santativasena yathāsakaṃ paccayehi nibbattaṃ rūpaṃ. Tassa jātassa rūpassa nibbattilakkhaṇaṃ jātiṃ uppādaṃ abhinavākāraṃ udayoti, vipariṇāmalakkhaṇaṃ khayaṃ bhaṅgaṃ vayoti, anupassanā punappunaṃ nisāmanā, udayabbaya anupassanāñāṇanti attho. Vedanādīsupi eseva nayo. Jātijarāmaraṇavantānaṃyeva udayabbayassa pariggahetabbattā jātijarāmaraṇānaṃ udayabbayābhāvato jātijarāmaraṇaṃ anāmasitvā jātaṃ cakkhu…pe… jāto bhavoti peyyālaṃ kataṃ. So evaṃ pañcannaṃ khandhānaṃ udayabbayaṃ passanto evaṃ jānāti ‘‘imesaṃ khandhānaṃ uppattito pubbe anuppannānaṃ rāsi vā nicayo vā natthi, uppajjamānānampi rāsito vā nicayato vā āgamanaṃ nāma natthi, nirujjhamānānampi disāvidisāgamanaṃ nāma natthi, niruddhānampi ekasmiṃ ṭhāne rāsito nicayato nidhānato avaṭṭhānaṃ nāma natthi. Yathā pana vīṇāya vādiyamānāya uppannassa saddassa neva uppattito pubbe sannicayo atthi, na uppajjamāno sannicayato āgato, na nirujjhamānassa disāvidisāgamanaṃ atthi, na niruddho katthaci sannicito tiṭṭhati, atha kho vīṇañca upavīṇañca purisassa ca tajjaṃ vāyāmaṃ paṭicca ahutvā sambhoti, hutvā paṭiveti, evaṃ sabbepi rūpārūpino dhammā ahutvā sambhonti, hutvā paṭiventī’’ti.
๕๐. เอวํ สเงฺขปโต อุทยพฺพยทสฺสนํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ วิตฺถารโต ทเสฺสตุํ ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ อุทยํ ปสฺสโนฺต กติ ลกฺขณานิ ปสฺสตีติอาทีหิ ราสิโต คณนํ ปุจฺฉิตฺวา, ปญฺจนฺนํ ขนฺธานํ อุทยํ ปสฺสโนฺต ปญฺจวีสติ ลกฺขณานิ ปสฺสตีติอาทีหิ ราสิโตว คณนํ วิสฺสเชฺชตฺวา, ปุน รูปกฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสโนฺต กติ ลกฺขณานิ ปสฺสตีติอาทีหิ วิภาคโต คณนํ ปุจฺฉิตฺวา รูปกฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสโนฺต ปญฺจ ลกฺขณานิ ปสฺสตีติอาทีหิ วิภาคโต คณนํ วิสฺสเชฺชตฺวา, ปุน รูปกฺขนฺธสฺส อุทยํ ปสฺสโนฺต กตมานิ ปญฺจ ลกฺขณานิ ปสฺสตีติอาทีหิ ลกฺขณวิภาคํ ปุจฺฉิตฺวา วิสฺสชฺชนํ กตํฯ
50. Evaṃ saṅkhepato udayabbayadassanaṃ dassetvā idāni vitthārato dassetuṃ pañcannaṃ khandhānaṃ udayaṃ passanto kati lakkhaṇāni passatītiādīhi rāsito gaṇanaṃ pucchitvā, pañcannaṃ khandhānaṃ udayaṃ passanto pañcavīsati lakkhaṇāni passatītiādīhi rāsitova gaṇanaṃ vissajjetvā, puna rūpakkhandhassa udayaṃ passanto kati lakkhaṇāni passatītiādīhi vibhāgato gaṇanaṃ pucchitvā rūpakkhandhassa udayaṃ passanto pañca lakkhaṇāni passatītiādīhi vibhāgato gaṇanaṃ vissajjetvā, puna rūpakkhandhassa udayaṃ passanto katamāni pañca lakkhaṇāni passatītiādīhi lakkhaṇavibhāgaṃ pucchitvā vissajjanaṃ kataṃ.
ตตฺถ อวิชฺชาสมุทยา รูปสมุทโยติ ‘‘ปุริมกมฺมภวสฺมิํ โมโห อวิชฺชา’’ติ วุตฺตาย อวิชฺชาย สติ อิมสฺมิํ ภเว รูปสฺส อุปฺปาโท โหตีติ อโตฺถฯ ปจฺจยสมุทยเฎฺฐนาติ ปจฺจยสฺส อุปฺปนฺนภาเวนาติ อโตฺถฯ อวิชฺชาตณฺหากมฺมานิ เจตฺถ อิธ ปฎิสนฺธิเหตุภูตา อตีตปจฺจยา ฯ อิเมสุ จ ตีสุ คหิเตสุ สงฺขารุปาทานานิ คหิตาเนว โหนฺติฯ อาหารสมุทยาติ ปวตฺติปจฺจเยสุ กพฬีการาหารสฺส พลวตฺตา โสเยว คหิโตฯ ตสฺมิํ ปน คหิเต ปวตฺติเหตุภูตานิ อุตุจิตฺตานิปิ คหิตาเนว โหนฺติฯ นิพฺพตฺติลกฺขณนฺติ อทฺธาสนฺตติขณวเสน รูปสฺส อุปฺปาทํ, อุปฺปาโทเยว สงฺขตลกฺขณตฺตา ลกฺขณนฺติ จ วุโตฺตฯ ปญฺจ ลกฺขณานีติ อวิชฺชา ตณฺหา กมฺมาหารา นิพฺพตฺติ จาติ อิมานิ ปญฺจ ลกฺขณานิฯ อวิชฺชาทโยปิ หิ รูปสฺส อุทโย ลกฺขียติ เอเตหีติ ลกฺขณานิฯ นิพฺพตฺติ ปน สงฺขตลกฺขณเมว, ตมฺปิ สงฺขตนฺติ ลกฺขียติ เอเตนาติ ลกฺขณํฯ
Tattha avijjāsamudayā rūpasamudayoti ‘‘purimakammabhavasmiṃ moho avijjā’’ti vuttāya avijjāya sati imasmiṃ bhave rūpassa uppādo hotīti attho. Paccayasamudayaṭṭhenāti paccayassa uppannabhāvenāti attho. Avijjātaṇhākammāni cettha idha paṭisandhihetubhūtā atītapaccayā . Imesu ca tīsu gahitesu saṅkhārupādānāni gahitāneva honti. Āhārasamudayāti pavattipaccayesu kabaḷīkārāhārassa balavattā soyeva gahito. Tasmiṃ pana gahite pavattihetubhūtāni utucittānipi gahitāneva honti. Nibbattilakkhaṇanti addhāsantatikhaṇavasena rūpassa uppādaṃ, uppādoyeva saṅkhatalakkhaṇattā lakkhaṇanti ca vutto. Pañca lakkhaṇānīti avijjā taṇhā kammāhārā nibbatti cāti imāni pañca lakkhaṇāni. Avijjādayopi hi rūpassa udayo lakkhīyati etehīti lakkhaṇāni. Nibbatti pana saṅkhatalakkhaṇameva, tampi saṅkhatanti lakkhīyati etenāti lakkhaṇaṃ.
อวิชฺชานิโรธา รูปนิโรโธติ อนาคตภวสฺส ปจฺจยภูตาย อิมสฺมิํ ภเว อวิชฺชาย อรหตฺตมคฺคญาเณน นิโรเธ กเต ปจฺจยาภาวา อนาคตสฺส รูปสฺส อนุปฺปาโท นิโรโธ โหตีติ อโตฺถฯ ปจฺจยนิโรธเฎฺฐนาติ ปจฺจยสฺส นิรุทฺธภาเวนาติ อโตฺถฯ นิโรโธ เจตฺถ อนาคตปฎิสนฺธิปจฺจยานํ อิธ อวิชฺชาตณฺหากมฺมานํเยว นิโรโธฯ อาหารนิโรธา รูปนิโรโธติ ปวตฺติปจฺจยสฺส กพฬีการาหารสฺส อภาเว ตํสมุฎฺฐานรูปาภาโว โหติฯ วิปริณามลกฺขณนฺติ อทฺธาสนฺตติขณวเสน รูปสฺส ภงฺคํ, ภโงฺคเยว สงฺขตลกฺขณตฺตา ลกฺขณนฺติ วุโตฺตฯ อิธ ปญฺจ ลกฺขณานีติ อวิชฺชาตณฺหากมฺมาหารานํ อภาวนิโรธา จตฺตาริ, วิปริณาโม เอกนฺติ ปญฺจฯ เอส นโย เวทนากฺขนฺถาทีสุฯ อยํ ปน วิเสโส – อรูปกฺขนฺธานํ อุทยพฺพยทสฺสนํ อทฺธาสนฺตติวเสน, น ขณวเสนฯ ผโสฺส เวทนาสญฺญาสงฺขารกฺขนฺธานํ ปวตฺติปจฺจโย, ตํนิโรธา จ เตสํ นิโรโธฯ นามรูปํ วิญฺญาณกฺขนฺธสฺส ปวตฺติปจฺจโย, ตํนิโรธา จ ตสฺส นิโรโธติฯ
Avijjānirodhā rūpanirodhoti anāgatabhavassa paccayabhūtāya imasmiṃ bhave avijjāya arahattamaggañāṇena nirodhe kate paccayābhāvā anāgatassa rūpassa anuppādo nirodho hotīti attho. Paccayanirodhaṭṭhenāti paccayassa niruddhabhāvenāti attho. Nirodho cettha anāgatapaṭisandhipaccayānaṃ idha avijjātaṇhākammānaṃyeva nirodho. Āhāranirodhā rūpanirodhoti pavattipaccayassa kabaḷīkārāhārassa abhāve taṃsamuṭṭhānarūpābhāvo hoti. Vipariṇāmalakkhaṇanti addhāsantatikhaṇavasena rūpassa bhaṅgaṃ, bhaṅgoyeva saṅkhatalakkhaṇattā lakkhaṇanti vutto. Idha pañca lakkhaṇānīti avijjātaṇhākammāhārānaṃ abhāvanirodhā cattāri, vipariṇāmo ekanti pañca. Esa nayo vedanākkhanthādīsu. Ayaṃ pana viseso – arūpakkhandhānaṃ udayabbayadassanaṃ addhāsantativasena, na khaṇavasena. Phasso vedanāsaññāsaṅkhārakkhandhānaṃ pavattipaccayo, taṃnirodhā ca tesaṃ nirodho. Nāmarūpaṃ viññāṇakkhandhassa pavattipaccayo, taṃnirodhā ca tassa nirodhoti.
เกจิ ปนาหุ – ‘‘จตุธา ปจฺจยโต อุทยพฺพยทสฺสเน อตีตาทิวิภาคํ อนามสิตฺวาว สพฺพสามญฺญวเสน อวิชฺชาทีหิ อุเทตีติ อุปฺปชฺชมานภาวมตฺตํ คณฺหาติ, น อุปฺปาทํฯ อวิชฺชาทินิโรธา นิรุชฺชตีติ อนุปฺปชฺชมานภาวมตฺตํ คณฺหาติ, น ภงฺคํฯ ขณโต อุทยพฺพยทสฺสเน ปจฺจุปฺปนฺนานํ อุปฺปาทํ ภงฺคํ คณฺหาตี’’ติฯ
Keci panāhu – ‘‘catudhā paccayato udayabbayadassane atītādivibhāgaṃ anāmasitvāva sabbasāmaññavasena avijjādīhi udetīti uppajjamānabhāvamattaṃ gaṇhāti, na uppādaṃ. Avijjādinirodhā nirujjatīti anuppajjamānabhāvamattaṃ gaṇhāti, na bhaṅgaṃ. Khaṇato udayabbayadassane paccuppannānaṃ uppādaṃ bhaṅgaṃ gaṇhātī’’ti.
วิปสฺสมาโน ปน วิปสฺสโก ปฐมํ ปจฺจยโต อุทยพฺพยํ มนสิกริตฺวา วิปสฺสนากาเล อวิชฺชาทิเก จตุโร ธเมฺม วิสฺสเชฺชตฺวา อุทยพฺพยวเนฺตเยว ขเนฺธ คเหตฺวา เตสํ อุทยพฺพยํ ปสฺสติ, เอวญฺจ ตสฺส วิปสฺสกสฺส ‘‘เอวํ รูปาทีนํ อุทโย, เอวํ วโย, เอวํ รูปาทโย อุเทนฺติ, เอวํ เวนฺตี’’ติ ปจฺจยโต จ ขณโต จ วิตฺถาเรน อุทยพฺพยํ ปสฺสโต ‘‘อิติ กิร อิเม ธมฺมา อหุตฺวา สโมฺภนฺติ, หุตฺวา ปฎิเวนฺตี’’ติ ญาณํ วิสทตรํ โหติ, สจฺจปฎิจฺจสมุปฺปาทนยลกฺขณเภทา ปากฎา โหนฺติ ฯ ยญฺหิ โส อวิชฺชาทิสมุทยา ขนฺธานํ สมุทยํ อวิชฺชาทินิโรธา จ ขนฺธานํ นิโรธํ ปสฺสติ, อิทมสฺส ปจฺจยโต อุทยพฺพยทสฺสนํฯ ยํ ปน นิพฺพตฺติลกฺขณวิปริณามลกฺขณานิ ปสฺสโนฺต ขนฺธานํ อุทยพฺพยํ ปสฺสติ, อิทมสฺส ขณโต อุทยพฺพยทสฺสนํฯ อุปฺปตฺติกฺขเณเยว หิ นิพฺพตฺติลกฺขณํ, ภงฺคกฺขเณ จ วิปริณามลกฺขณํฯ
Vipassamāno pana vipassako paṭhamaṃ paccayato udayabbayaṃ manasikaritvā vipassanākāle avijjādike caturo dhamme vissajjetvā udayabbayavanteyeva khandhe gahetvā tesaṃ udayabbayaṃ passati, evañca tassa vipassakassa ‘‘evaṃ rūpādīnaṃ udayo, evaṃ vayo, evaṃ rūpādayo udenti, evaṃ ventī’’ti paccayato ca khaṇato ca vitthārena udayabbayaṃ passato ‘‘iti kira ime dhammā ahutvā sambhonti, hutvā paṭiventī’’ti ñāṇaṃ visadataraṃ hoti, saccapaṭiccasamuppādanayalakkhaṇabhedā pākaṭā honti . Yañhi so avijjādisamudayā khandhānaṃ samudayaṃ avijjādinirodhā ca khandhānaṃ nirodhaṃ passati, idamassa paccayato udayabbayadassanaṃ. Yaṃ pana nibbattilakkhaṇavipariṇāmalakkhaṇāni passanto khandhānaṃ udayabbayaṃ passati, idamassa khaṇato udayabbayadassanaṃ. Uppattikkhaṇeyeva hi nibbattilakkhaṇaṃ, bhaṅgakkhaṇe ca vipariṇāmalakkhaṇaṃ.
อิจฺจเสฺสวํ ปจฺจยโต เจว ขณโต จ เทฺวธา อุทยพฺพยํ ปสฺสโต ปจฺจยโต อุทยทสฺสเนน สมุทยสจฺจํ ปากฎํ โหติ ชนกาวโพธโตฯ ขณโต อุทยทสฺสเนน ทุกฺขสจฺจํ ปากฎํ โหติ ชาติทุกฺขาวโพธโตฯ ปจฺจยโต วยทสฺสเนน นิโรธสจฺจํ ปากฎํ โหติ ปจฺจยานุปฺปาเทน ปจฺจยวตํ อนุปฺปาทาวโพธโตฯ ขณโต วยทสฺสเนน ทุกฺขสจฺจเมว ปากฎํ โหติ มรณทุกฺขาวโพธโตฯ ยญฺจสฺส อุทยพฺพยทสฺสนํ, มโคฺควายํ โลกิโกติ มคฺคสจฺจํ ปากฎํ โหติ ตตฺร สโมฺมหวิฆาตโตฯ
Iccassevaṃ paccayato ceva khaṇato ca dvedhā udayabbayaṃ passato paccayato udayadassanena samudayasaccaṃ pākaṭaṃ hoti janakāvabodhato. Khaṇato udayadassanena dukkhasaccaṃ pākaṭaṃ hoti jātidukkhāvabodhato. Paccayato vayadassanena nirodhasaccaṃ pākaṭaṃ hoti paccayānuppādena paccayavataṃ anuppādāvabodhato. Khaṇato vayadassanena dukkhasaccameva pākaṭaṃ hoti maraṇadukkhāvabodhato. Yañcassa udayabbayadassanaṃ, maggovāyaṃ lokikoti maggasaccaṃ pākaṭaṃ hoti tatra sammohavighātato.
ปจฺจยโต จสฺส อุทยทสฺสเนน อนุโลโม ปฎิจฺจสมุปฺปาโท ปากโฎ โหติ ‘‘อิมสฺมิํ สติ อิทํ โหตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๐๔; สํ. นิ. ๒.๒๑; อุทา. ๑) อวโพธโตฯ ปจฺจยโต วยทสฺสเนน ปฎิโลโม ปฎิจฺจสมุปฺปาโท ปากโฎ โหติ ‘‘อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌตี’’ติ (ม. นิ. ๑.๔๐๖; สํ. นิ. ๒.๒๑; อุทา. ๒) อวโพธโตฯ ขณโต ปน อุทยพฺพยทสฺสเนน ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนา ธมฺมา ปากฎา โหนฺติ สงฺขตลกฺขณาวโพธโตฯ อุทยพฺพยวโนฺต หิ สงฺขตา, เต จ ปฎิจฺจสมุปฺปนฺนาติฯ
Paccayato cassa udayadassanena anulomo paṭiccasamuppādo pākaṭo hoti ‘‘imasmiṃ sati idaṃ hotī’’ti (ma. ni. 1.404; saṃ. ni. 2.21; udā. 1) avabodhato. Paccayato vayadassanena paṭilomo paṭiccasamuppādo pākaṭo hoti ‘‘imassa nirodhā idaṃ nirujjhatī’’ti (ma. ni. 1.406; saṃ. ni. 2.21; udā. 2) avabodhato. Khaṇato pana udayabbayadassanena paṭiccasamuppannā dhammā pākaṭā honti saṅkhatalakkhaṇāvabodhato. Udayabbayavanto hi saṅkhatā, te ca paṭiccasamuppannāti.
ปจฺจยโต จสฺส อุทยทสฺสเนน เอกตฺตนโย ปากโฎ โหติ เหตุผลสมฺพเนฺธน สนฺตานสฺส อนุปเจฺฉทาวโพธโตฯ อถ สุฎฺฐุตรํ อุเจฺฉททิฎฺฐิํ ปชหติฯ ขณโต อุทยทสฺสเนน นานตฺตนโย ปากโฎ โหติ นวนวานํ อุปฺปาทาวโพธโตฯ อถ สุฎฺฐุตรํ สสฺสตทิฎฺฐิํ ปชหติฯ ปจฺจยโต จสฺส อุทยพฺพยทสฺสเนน อพฺยาปารนโย ปากโฎ โหติ ธมฺมานํ อวสวตฺติภาวาวโพธโตฯ อถ สุฎฺฐุตรํ อตฺตทิฎฺฐิํ ปชหติฯ ปจฺจยโต ปน อุทยทสฺสเนน เอวํธมฺมตานโย ปากโฎ โหติ ปจฺจยานุรูเปน ผลสฺสุปฺปาทาวโพธโตฯ อถ สุฎฺฐุตรํ อกิริยทิฎฺฐิํ ปชหติฯ
Paccayato cassa udayadassanena ekattanayo pākaṭo hoti hetuphalasambandhena santānassa anupacchedāvabodhato. Atha suṭṭhutaraṃ ucchedadiṭṭhiṃ pajahati. Khaṇato udayadassanena nānattanayo pākaṭo hoti navanavānaṃ uppādāvabodhato. Atha suṭṭhutaraṃ sassatadiṭṭhiṃ pajahati. Paccayato cassa udayabbayadassanena abyāpāranayo pākaṭo hoti dhammānaṃ avasavattibhāvāvabodhato. Atha suṭṭhutaraṃ attadiṭṭhiṃ pajahati. Paccayato pana udayadassanena evaṃdhammatānayo pākaṭo hoti paccayānurūpena phalassuppādāvabodhato. Atha suṭṭhutaraṃ akiriyadiṭṭhiṃ pajahati.
ปจฺจยโต จสฺส อุทยทสฺสเนน อนตฺตลกฺขณํ ปากฎํ โหติ ธมฺมานํ นิรีหกตฺตปจฺจยปฎิพทฺธวุตฺติตาวโพธโตฯ ขณโต อุทยพฺพยทสฺสเนน อนิจฺจลกฺขณํ ปากฎํ โหติ หุตฺวา อภาวาวโพธโต, ปุพฺพนฺตาปรนฺตวิเวกาวโพธโต จฯ ทุกฺขลกฺขณมฺปิ ปากฎํ โหติ อุทยพฺพเยหิ ปฎิปีฬนาวโพธโตฯ สภาวลกฺขณมฺปิ ปากฎํ โหติ อุทยพฺพยปริจฺฉินฺนาวโพธโต ฯ สภาวลกฺขเณ สงฺขตลกฺขณสฺส ตาวกาลิกตฺตมฺปิ ปากฎํ โหติ, อุทยกฺขเณ วยสฺส, วยกฺขเณ จ อุทยสฺส อภาวาวโพธโตติฯ
Paccayato cassa udayadassanena anattalakkhaṇaṃ pākaṭaṃ hoti dhammānaṃ nirīhakattapaccayapaṭibaddhavuttitāvabodhato. Khaṇato udayabbayadassanena aniccalakkhaṇaṃ pākaṭaṃ hoti hutvā abhāvāvabodhato, pubbantāparantavivekāvabodhato ca. Dukkhalakkhaṇampi pākaṭaṃ hoti udayabbayehi paṭipīḷanāvabodhato. Sabhāvalakkhaṇampi pākaṭaṃ hoti udayabbayaparicchinnāvabodhato . Sabhāvalakkhaṇe saṅkhatalakkhaṇassa tāvakālikattampi pākaṭaṃ hoti, udayakkhaṇe vayassa, vayakkhaṇe ca udayassa abhāvāvabodhatoti.
ตเสฺสวํ ปากฎีภูตสจฺจปฎิจฺจสมุปฺปาทนยลกฺขณเภทสฺส ‘‘เอวํ กิร นามิเม ธมฺมา อนุปฺปนฺนปุพฺพา อุปฺปชฺชนฺติ, อุปฺปนฺนา นิรุชฺฌนฺตี’’ติ นิจฺจนวาว หุตฺวา สงฺขารา อุปฎฺฐหนฺติฯ น เกวลญฺจ นิจฺจนวาว, สูริยุคฺคมเน อุสฺสาวพินฺทุ วิย อุทกปุพฺพุโฬ วิย อุทเก ทณฺฑราชิ วิย อารเคฺค สาสโป วิย วิชฺชุปฺปาโท วิย จ ปริตฺตฎฺฐายิโน มายามรีจิสุปินนฺตอลาตจกฺกคนฺธพฺพนครเผณกทลิอาทโย วิย อสารา นิสฺสาราติ จาปิ อุปฎฺฐหนฺติฯ เอตฺตาวตา เตน ‘‘วยธมฺมเมว อุปฺปชฺชติ, อุปฺปนฺนญฺจ วยํ อุเปตี’’ติ อิมินา อากาเรน สมปญฺญาส ลกฺขณานิ ปฎิวิชฺฌิตฺวา ฐิตํ อุทยพฺพยานุปสฺสนา นาม ปฐมํ ตรุณวิปสฺสนาญาณํ อธิคตํ โหติ, ยสฺสาธิคมา ‘‘อารทฺธวิปสฺสโก’’ติ สงฺขํ คจฺฉติฯ อิมสฺมิํ ญาเณ ฐิตสฺส โอภาสาทโย ทส วิปสฺสนูปกฺกิเลสา อุปฺปชฺชนฺติ, เยสํ อุปฺปตฺติยา อกุสโล โยคาวจโร เตสุ มคฺคญาณสญฺญี หุตฺวา อมคฺคเมว ‘‘มโคฺค’’ติ คณฺหาติ, อุปกฺกิเลสชฎาชฎิโต จ โหติฯ กุสโล ปน โยคาวจโร เตสุ วิปสฺสนํ อาโรเปโนฺต อุปกฺกิเลสชฎํ วิชเฎตฺวา ‘‘เอเต ธมฺมา น มโคฺค, อุปกฺกิเลสวิมุตฺตํ ปน วีถิปฎิปนฺนํ วิปสฺสนาญาณํ มโคฺค’’ติ มคฺคญฺจ อมคฺคญฺจ ววตฺถเปติฯ ตเสฺสวํ มคฺคญฺจ อมคฺคญฺจ ญตฺวา ฐิตํ ญาณํ มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิ นามฯ
Tassevaṃ pākaṭībhūtasaccapaṭiccasamuppādanayalakkhaṇabhedassa ‘‘evaṃ kira nāmime dhammā anuppannapubbā uppajjanti, uppannā nirujjhantī’’ti niccanavāva hutvā saṅkhārā upaṭṭhahanti. Na kevalañca niccanavāva, sūriyuggamane ussāvabindu viya udakapubbuḷo viya udake daṇḍarāji viya āragge sāsapo viya vijjuppādo viya ca parittaṭṭhāyino māyāmarīcisupinantaalātacakkagandhabbanagarapheṇakadaliādayo viya asārā nissārāti cāpi upaṭṭhahanti. Ettāvatā tena ‘‘vayadhammameva uppajjati, uppannañca vayaṃ upetī’’ti iminā ākārena samapaññāsa lakkhaṇāni paṭivijjhitvā ṭhitaṃ udayabbayānupassanā nāma paṭhamaṃ taruṇavipassanāñāṇaṃ adhigataṃ hoti, yassādhigamā ‘‘āraddhavipassako’’ti saṅkhaṃ gacchati. Imasmiṃ ñāṇe ṭhitassa obhāsādayo dasa vipassanūpakkilesā uppajjanti, yesaṃ uppattiyā akusalo yogāvacaro tesu maggañāṇasaññī hutvā amaggameva ‘‘maggo’’ti gaṇhāti, upakkilesajaṭājaṭito ca hoti. Kusalo pana yogāvacaro tesu vipassanaṃ āropento upakkilesajaṭaṃ vijaṭetvā ‘‘ete dhammā na maggo, upakkilesavimuttaṃ pana vīthipaṭipannaṃ vipassanāñāṇaṃ maggo’’ti maggañca amaggañca vavatthapeti. Tassevaṃ maggañca amaggañca ñatvā ṭhitaṃ ñāṇaṃ maggāmaggañāṇadassanavisuddhi nāma.
เอตฺตาวตา จ ปน เตน จตุนฺนํ สจฺจานํ ววตฺถานํ กตํ โหติฯ กถํ? นามรูปปริคฺคเห สติ ปจฺจยปริคฺคหสมฺภวโต ธมฺมฎฺฐิติญาณวจเนเนว วุเตฺตน ทิฎฺฐิวิสุทฺธิสงฺขาเตน นามรูปววตฺถาปเนน ทุกฺขสจฺจสฺส ววตฺถานํ กตํ โหติ, กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิสงฺขาเตน ปจฺจยปริคฺคหเณน สมุทยสจฺจสฺส ววตฺถานํ, อุทยพฺพยานุปสฺสเนน จ ขณโต อุทยพฺพยทสฺสเนน ทุกฺขสจฺจสฺส ววตฺถานํ กตํ, ปจฺจยโต อุทยทสฺสเนน สมุทยสจฺจสฺส ววตฺถานํ, ปจฺจยโต วยทสฺสเนน นิโรธสจฺจสฺส ววตฺถานํ, ยญฺจสฺส อุทยพฺพยทสฺสนํ, มโคฺควายํ โลกิโกติ ตตฺร สโมฺมหวิฆาตโต อิมิสฺสญฺจ มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิยํ วิปสฺสโต สมฺมา มคฺคสฺส อวธารเณน มคฺคสจฺจสฺส ววตฺถานํ กตํฯ เอวํ โลกิเยน ตาว ญาเณน จตุนฺนํ สจฺจานํ ววตฺถานํ กตํ โหตีติฯ
Ettāvatā ca pana tena catunnaṃ saccānaṃ vavatthānaṃ kataṃ hoti. Kathaṃ? Nāmarūpapariggahe sati paccayapariggahasambhavato dhammaṭṭhitiñāṇavacaneneva vuttena diṭṭhivisuddhisaṅkhātena nāmarūpavavatthāpanena dukkhasaccassa vavatthānaṃ kataṃ hoti, kaṅkhāvitaraṇavisuddhisaṅkhātena paccayapariggahaṇena samudayasaccassa vavatthānaṃ, udayabbayānupassanena ca khaṇato udayabbayadassanena dukkhasaccassa vavatthānaṃ kataṃ, paccayato udayadassanena samudayasaccassa vavatthānaṃ, paccayato vayadassanena nirodhasaccassa vavatthānaṃ, yañcassa udayabbayadassanaṃ, maggovāyaṃ lokikoti tatra sammohavighātato imissañca maggāmaggañāṇadassanavisuddhiyaṃ vipassato sammā maggassa avadhāraṇena maggasaccassa vavatthānaṃ kataṃ. Evaṃ lokiyena tāva ñāṇena catunnaṃ saccānaṃ vavatthānaṃ kataṃ hotīti.
อุทยพฺพยญาณนิเทฺทสวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Udayabbayañāṇaniddesavaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ปฎิสมฺภิทามคฺคปาฬิ • Paṭisambhidāmaggapāḷi / ๖. อุทยพฺพยญาณนิเทฺทโส • 6. Udayabbayañāṇaniddeso