Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๕๘] ๔. อุทยชาตกวณฺณนา
[458] 4. Udayajātakavaṇṇanā
เอกา นิสินฺนาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ วตฺถุ กุสชาตเก (ชา. ๒.๒๐.๑ อาทโย) อาวิ ภวิสฺสติฯ สตฺถา ปน ตํ ภิกฺขุํ ‘‘สจฺจํ กิร ตฺวํ อุกฺกณฺฐิโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, ภเนฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘ภิกฺขุ กสฺมา กิเลสวเสน เอวรูเป นิยฺยานิกสาสเน ปพฺพชิตฺวา อุกฺกณฺฐิโตสิ? โปราณกปณฺฑิตา สมิเทฺธ ทฺวาทสโยชนิเก สุรุนฺธนนคเร รชฺชํ กาเรนฺตา เทวจฺฉรปฎิภาคาย อิตฺถิยา สทฺธิํ สตฺต วสฺสสตานิ เอกคเพฺภ วสนฺตาปิ อินฺทฺริยานิ ภินฺทิตฺวา โลภวเสน น โอโลเกสุ’’นฺติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Ekā nisinnāti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ ukkaṇṭhitabhikkhuṃ ārabbha kathesi. Vatthu kusajātake (jā. 2.20.1 ādayo) āvi bhavissati. Satthā pana taṃ bhikkhuṃ ‘‘saccaṃ kira tvaṃ ukkaṇṭhitosī’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, bhante’’ti vutte ‘‘bhikkhu kasmā kilesavasena evarūpe niyyānikasāsane pabbajitvā ukkaṇṭhitosi? Porāṇakapaṇḍitā samiddhe dvādasayojanike surundhananagare rajjaṃ kārentā devaccharapaṭibhāgāya itthiyā saddhiṃ satta vassasatāni ekagabbhe vasantāpi indriyāni bhinditvā lobhavasena na olokesu’’nti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต กาสิรเฎฺฐ สุรุนฺธนนคเร กาสิราชา รชฺชํ กาเรสิ, ตสฺส เนว ปุโตฺต, น ธีตา อโหสิฯ โส อตฺตโน เทวิโย ‘‘ปุเตฺต ปเตฺถถา’’ติ อาหฯ อคฺคมเหสีปิ รโญฺญ วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตถา อกาสิฯ ตทา โพธิสโตฺต พฺรหฺมโลกา จวิตฺวา ตเสฺสว รโญฺญ อคฺคมเหสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺติฯ อถสฺส มหาชนสฺส หทยํ วเฑฺฒตฺวา ชาตภาเวน ‘‘อุทยภโทฺท’’ติ นามํ กริํสุฯ กุมารสฺส ปทสา จรณกาเล อโญฺญปิ สโตฺต พฺรหฺมโลกา จวิตฺวา ตเสฺสว รโญฺญ อญฺญตราย เทวิยา กุจฺฉิมฺหิ กุมาริกา หุตฺวา นิพฺพตฺติ, ตสฺสาปิ ‘‘อุทยภทฺทา’’ติ นามํ กริํสุฯ กุมาโร วยปฺปโตฺต สพฺพสิปฺปนิปฺผตฺติํ ปาปุณิ , ชาตพฺรหฺมจารี ปน อโหสิ, สุปินเนฺตนปิ เมถุนธมฺมํ น ชานาติ, น ตสฺส กิเลเสสุ จิตฺตํ อลฺลียิฯ ราชา ปุตฺตํ รเชฺช อภิสิญฺจิตุกาโม ‘‘กุมารสฺส อิทานิ รชฺชสุขเสวนกาโล, นาฎกาปิสฺส ปจฺจุปฎฺฐาเปสฺสามี’’ติ สาสนํ เปเสสิฯ โพธิสโตฺต ‘‘น มยฺหํ รเชฺชนโตฺถ, กิเลเสสุ เม จิตฺตํ น อลฺลียตี’’ติ ปฎิกฺขิปิตฺวา ปุนปฺปุนํ วุจฺจมาโน รตฺตชมฺพุนทมยํ อิตฺถิรูปํ กาเรตฺวา ‘‘เอวรูปํ อิตฺถิํ ลภมาโน รชฺชํ สมฺปฎิจฺฉิสฺสามี’’ติ มาตาปิตูนํ เปเสสิฯ เต ตํ สุวณฺณรูปกํ สกลชมฺพุทีปํ ปริหาราเปตฺวา ตถารูปํ อิตฺถิํ อลภนฺตา อุทยภทฺทํ อลงฺกาเรตฺวา ตสฺส สนฺติเก ฐเปสุํฯ สา ตํ สุวณฺณรูปกํ อภิภวิตฺวา อฎฺฐาสิฯ อถ เนสํ อนิจฺฉมานานเญฺญว เวมาติกํ ภคินิํ อุทยภทฺทกุมาริํ อคฺคมเหสิํ กตฺวา โพธิสตฺตํ รเชฺช อภิสิญฺจิํสุฯ เต ปน เทฺวปิ พฺรหฺมจริยวาสเมว วสิํสุฯ
Atīte kāsiraṭṭhe surundhananagare kāsirājā rajjaṃ kāresi, tassa neva putto, na dhītā ahosi. So attano deviyo ‘‘putte patthethā’’ti āha. Aggamahesīpi rañño vacanaṃ sampaṭicchitvā tathā akāsi. Tadā bodhisatto brahmalokā cavitvā tasseva rañño aggamahesiyā kucchimhi nibbatti. Athassa mahājanassa hadayaṃ vaḍḍhetvā jātabhāvena ‘‘udayabhaddo’’ti nāmaṃ kariṃsu. Kumārassa padasā caraṇakāle aññopi satto brahmalokā cavitvā tasseva rañño aññatarāya deviyā kucchimhi kumārikā hutvā nibbatti, tassāpi ‘‘udayabhaddā’’ti nāmaṃ kariṃsu. Kumāro vayappatto sabbasippanipphattiṃ pāpuṇi , jātabrahmacārī pana ahosi, supinantenapi methunadhammaṃ na jānāti, na tassa kilesesu cittaṃ allīyi. Rājā puttaṃ rajje abhisiñcitukāmo ‘‘kumārassa idāni rajjasukhasevanakālo, nāṭakāpissa paccupaṭṭhāpessāmī’’ti sāsanaṃ pesesi. Bodhisatto ‘‘na mayhaṃ rajjenattho, kilesesu me cittaṃ na allīyatī’’ti paṭikkhipitvā punappunaṃ vuccamāno rattajambunadamayaṃ itthirūpaṃ kāretvā ‘‘evarūpaṃ itthiṃ labhamāno rajjaṃ sampaṭicchissāmī’’ti mātāpitūnaṃ pesesi. Te taṃ suvaṇṇarūpakaṃ sakalajambudīpaṃ parihārāpetvā tathārūpaṃ itthiṃ alabhantā udayabhaddaṃ alaṅkāretvā tassa santike ṭhapesuṃ. Sā taṃ suvaṇṇarūpakaṃ abhibhavitvā aṭṭhāsi. Atha nesaṃ anicchamānānaññeva vemātikaṃ bhaginiṃ udayabhaddakumāriṃ aggamahesiṃ katvā bodhisattaṃ rajje abhisiñciṃsu. Te pana dvepi brahmacariyavāsameva vasiṃsu.
อปรภาเค มาตาปิตูนํ อจฺจเยน โพธิสโตฺต รชฺชํ กาเรสิฯ อุโภ เอกคเพฺภ วสมานาปิ โลภวเสน อินฺทฺริยานิ ภินฺทิตฺวา อญฺญมญฺญํ น โอโลเกสุํ, อปิจ โข ปน ‘‘โย อเมฺหสุ ปฐมตรํ กาลํ กโรติ, โส นิพฺพตฺตฎฺฐานโต อาคนฺตฺวา ‘อสุกฎฺฐาเน นิพฺพโตฺตสฺมี’ติ อาโรเจตู’’ติ สงฺครมกํสุฯ อถ โข โพธิสโตฺต อภิเสกโต สตฺตวสฺสสตจฺจเยน กาลมกาสิฯ อโญฺญ ราชา นาโหสิ, อุทยภทฺทายเยว อาณา ปวตฺติฯ อมจฺจา รชฺชํ อนุสาสิํสุฯ โพธิสโตฺตปิ จุติกฺขเณ ตาวติํสภวเน สกฺกตฺตํ ปตฺวา ยสมหนฺตตาย สตฺตาหํ อนุสฺสริตุํ นาสกฺขิฯ อิติ โส มนุสฺสคณนาย สตฺตวสฺสสตจฺจเยน อาวเชฺชตฺวา ‘‘อุทยภทฺทํ ราชธีตรํ ธเนน วีมํสิตฺวา สีหนาทํ นทาเปตฺวา ธมฺมํ เทเสตฺวา สงฺครํ โมเจตฺวา อาคมิสฺสามี’’ติ จิเนฺตสิฯ ตทา กิร มนุสฺสานํ ทสวสฺสสหสฺสายุกกาโล โหติฯ ราชธีตาปิ ตํ ทิวสํ รตฺติภาเค ปิหิเตสุ ทฺวาเรสุ ฐปิตอารเกฺข สตฺตภูมิกปาสาทวรตเล อลงฺกตสิริคเพฺภ เอกิกาว นิจฺจลา อตฺตโน สีลํ อาวชฺชมานา นิสีทิฯ อถ สโกฺก สุวณฺณมาสกปูรํ เอกํ สุวณฺณปาติํ อาทาย อาคนฺตฺวา สยนคเพฺภเยว ปาตุภวิตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต ตาย สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Aparabhāge mātāpitūnaṃ accayena bodhisatto rajjaṃ kāresi. Ubho ekagabbhe vasamānāpi lobhavasena indriyāni bhinditvā aññamaññaṃ na olokesuṃ, apica kho pana ‘‘yo amhesu paṭhamataraṃ kālaṃ karoti, so nibbattaṭṭhānato āgantvā ‘asukaṭṭhāne nibbattosmī’ti ārocetū’’ti saṅgaramakaṃsu. Atha kho bodhisatto abhisekato sattavassasataccayena kālamakāsi. Añño rājā nāhosi, udayabhaddāyayeva āṇā pavatti. Amaccā rajjaṃ anusāsiṃsu. Bodhisattopi cutikkhaṇe tāvatiṃsabhavane sakkattaṃ patvā yasamahantatāya sattāhaṃ anussarituṃ nāsakkhi. Iti so manussagaṇanāya sattavassasataccayena āvajjetvā ‘‘udayabhaddaṃ rājadhītaraṃ dhanena vīmaṃsitvā sīhanādaṃ nadāpetvā dhammaṃ desetvā saṅgaraṃ mocetvā āgamissāmī’’ti cintesi. Tadā kira manussānaṃ dasavassasahassāyukakālo hoti. Rājadhītāpi taṃ divasaṃ rattibhāge pihitesu dvāresu ṭhapitaārakkhe sattabhūmikapāsādavaratale alaṅkatasirigabbhe ekikāva niccalā attano sīlaṃ āvajjamānā nisīdi. Atha sakko suvaṇṇamāsakapūraṃ ekaṃ suvaṇṇapātiṃ ādāya āgantvā sayanagabbheyeva pātubhavitvā ekamantaṃ ṭhito tāya saddhiṃ sallapanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๓๗.
37.
‘‘เอกา นิสินฺนา สุจิ สญฺญตูรู, ปาสาทมารุยฺห อนินฺทิตงฺคี;
‘‘Ekā nisinnā suci saññatūrū, pāsādamāruyha aninditaṅgī;
ยาจามิ ตํ กินฺนรเนตฺตจกฺขุ, อิเมกรตฺติํ อุภโย วเสมา’’ติฯ
Yācāmi taṃ kinnaranettacakkhu, imekarattiṃ ubhayo vasemā’’ti.
ตตฺถ สุจีติ สุจิวตฺถนิวตฺถาฯ สญฺญตูรูติ สุฎฺฐุ ฐปิตอูรู, อิริยาปถํ สณฺฐเปตฺวา สุจิวตฺถา เอกิกาว นิสินฺนาสีติ วุตฺตํ โหติฯ อนินฺทิตงฺคีติ ปาทนฺตโต ยาว เกสคฺคา อนินฺทิตสรีรา ปรมโสภคฺคปฺปตฺตสรีราฯ กินฺนรเนตฺตจกฺขูติ ตีหิ มณฺฑเลหิ ปญฺจหิ จ ปสาเทหิ อุปโสภิตตฺตา กินฺนรานํ เนตฺตสทิเสหิ จกฺขูหิ สมนฺนาคเตฯ อิเมกรตฺตินฺติ อิมํ เอกรตฺตํ อชฺช อิมสฺมิํ อลงฺกตสยนคเพฺภ เอกโต วเสยฺยามาติ ยาจติฯ
Tattha sucīti sucivatthanivatthā. Saññatūrūti suṭṭhu ṭhapitaūrū, iriyāpathaṃ saṇṭhapetvā sucivatthā ekikāva nisinnāsīti vuttaṃ hoti. Aninditaṅgīti pādantato yāva kesaggā aninditasarīrā paramasobhaggappattasarīrā. Kinnaranettacakkhūti tīhi maṇḍalehi pañcahi ca pasādehi upasobhitattā kinnarānaṃ nettasadisehi cakkhūhi samannāgate. Imekarattinti imaṃ ekarattaṃ ajja imasmiṃ alaṅkatasayanagabbhe ekato vaseyyāmāti yācati.
ตโต ราชธีตา เทฺว คาถา อภาสิ –
Tato rājadhītā dve gāthā abhāsi –
๓๘.
38.
‘‘โอกิณฺณนฺตรปริขํ, ทฬฺหมฎฺฎาลโกฎฺฐกํ;
‘‘Okiṇṇantaraparikhaṃ, daḷhamaṭṭālakoṭṭhakaṃ;
รกฺขิตํ ขคฺคหเตฺถหิ, ทุปฺปเวสมิทํ ปุรํฯ
Rakkhitaṃ khaggahatthehi, duppavesamidaṃ puraṃ.
๓๙.
39.
‘‘ทหรสฺส ยุวิโน จาปิ, อาคโม จ น วิชฺชติ;
‘‘Daharassa yuvino cāpi, āgamo ca na vijjati;
อถ เกน นุ วเณฺณน, สงฺคมํ อิจฺฉเส มยา’’ติฯ
Atha kena nu vaṇṇena, saṅgamaṃ icchase mayā’’ti.
ตตฺถ โอกิณฺณนฺตรปริขนฺติ อิทํ ทฺวาทสโยชนิกํ สุรุนฺธนปุรํ อนฺตรนฺตรา อุทกปริขานํ กทฺทมปริขานํ สุกฺขปริขานํ โอกิณฺณตฺตา โอกิณฺณนฺตรปริขํฯ ทฬฺหมฎฺฎาลโกฎฺฐกนฺติ ถิรตเรหิ อฎฺฎาลเกหิ ทฺวารโกฎฺฐเกหิ จ สมนฺนาคตํฯ ขคฺคหเตฺถหีติ อาวุธหเตฺถหิ ทสหิ โยธสหเสฺสหิ รกฺขิตํฯ ทุปฺปเวสมิทํ ปุรนฺติ อิทํ สกลปุรมฺปิ ตสฺส อโนฺต มาปิตํ มยฺหํ นิวาสปุรมฺปิ อุภยํ กสฺสจิ ปวิสิตุํ น สกฺกาฯ อาคโม จาติ อิธ อิมาย เวลาย ตรุณสฺส วา โยพฺพนปฺปตฺตสฺส วา ถามสมฺปนฺนโยธสฺส วา อญฺญสฺส วา มหนฺตมฺปิ ปณฺณาการํ คเหตฺวา อาคจฺฉนฺตสฺส อาคโม นาม นตฺถิฯ สงฺคมนฺติ อถ ตฺวํ เกน การเณน อิมาย เวลาย มยา สห สมาคมํ อิจฺฉสีติฯ
Tattha okiṇṇantaraparikhanti idaṃ dvādasayojanikaṃ surundhanapuraṃ antarantarā udakaparikhānaṃ kaddamaparikhānaṃ sukkhaparikhānaṃ okiṇṇattā okiṇṇantaraparikhaṃ. Daḷhamaṭṭālakoṭṭhakanti thiratarehi aṭṭālakehi dvārakoṭṭhakehi ca samannāgataṃ. Khaggahatthehīti āvudhahatthehi dasahi yodhasahassehi rakkhitaṃ. Duppavesamidaṃ puranti idaṃ sakalapurampi tassa anto māpitaṃ mayhaṃ nivāsapurampi ubhayaṃ kassaci pavisituṃ na sakkā. Āgamo cāti idha imāya velāya taruṇassa vā yobbanappattassa vā thāmasampannayodhassa vā aññassa vā mahantampi paṇṇākāraṃ gahetvā āgacchantassa āgamo nāma natthi. Saṅgamanti atha tvaṃ kena kāraṇena imāya velāya mayā saha samāgamaṃ icchasīti.
อถ สโกฺก จตุตฺถํ คาถมาห –
Atha sakko catutthaṃ gāthamāha –
๔๐.
40.
‘‘ยโกฺขหมสฺมิ กลฺยาณิ, อาคโตสฺมิ ตวนฺติเก;
‘‘Yakkhohamasmi kalyāṇi, āgatosmi tavantike;
ตฺวํ มํ นนฺทย ภทฺทเนฺต, ปุณฺณกํสํ ททามิ เต’’ติฯ
Tvaṃ maṃ nandaya bhaddante, puṇṇakaṃsaṃ dadāmi te’’ti.
ตสฺสโตฺถ – กลฺยาณิ, สุนฺทรทสฺสเน อหเมโก เทวปุโตฺต เทวตานุภาเวน อิธาคโต, ตฺวํ อชฺช มํ นนฺทย โตเสหิ, อหํ เต อิมํ สุวณฺณมาสกปุณฺณํ สุวณฺณปาติํ ททามีติฯ
Tassattho – kalyāṇi, sundaradassane ahameko devaputto devatānubhāvena idhāgato, tvaṃ ajja maṃ nandaya tosehi, ahaṃ te imaṃ suvaṇṇamāsakapuṇṇaṃ suvaṇṇapātiṃ dadāmīti.
ตํ สุตฺวา ราชธีตา ปญฺจมํ คาถมาห –
Taṃ sutvā rājadhītā pañcamaṃ gāthamāha –
๔๑.
41.
‘‘เทวํว ยกฺขํ อถ วา มนุสฺสํ, น ปตฺถเย อุทยมติจฺจ อญฺญํ;
‘‘Devaṃva yakkhaṃ atha vā manussaṃ, na patthaye udayamaticca aññaṃ;
คเจฺฉว ตฺวํ ยกฺข มหานุภาว, มา จสฺสุ คนฺตฺวา ปุนราวชิตฺถา’’ติฯ
Gaccheva tvaṃ yakkha mahānubhāva, mā cassu gantvā punarāvajitthā’’ti.
ตสฺสโตฺถ – อหํ เทวราช, เทวํ วา ยกฺขํ วา อุทยํ อติกฺกมิตฺวา อญฺญํ น ปเตฺถมิ, โส ตฺวํ คเจฺฉว, มา อิธ อฎฺฐาสิ, น เม ตยา อาภเตน ปณฺณากาเรน อโตฺถ, คนฺตฺวา จ มา อิมํ ฐานํ ปุนราวชิตฺถาติฯ
Tassattho – ahaṃ devarāja, devaṃ vā yakkhaṃ vā udayaṃ atikkamitvā aññaṃ na patthemi, so tvaṃ gaccheva, mā idha aṭṭhāsi, na me tayā ābhatena paṇṇākārena attho, gantvā ca mā imaṃ ṭhānaṃ punarāvajitthāti.
โส ตสฺสา สีหนาทํ สุตฺวา อฎฺฐตฺวา คตสทิโส หุตฺวา ตเตฺถว อนฺตรหิโต อฎฺฐาสิฯ โส ปุนทิวเส ตาย เวลายเมว สุวณฺณมาสกปูรํ รชตปาติํ อาทาย ตาย สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ฉฎฺฐํ คาถมาห –
So tassā sīhanādaṃ sutvā aṭṭhatvā gatasadiso hutvā tattheva antarahito aṭṭhāsi. So punadivase tāya velāyameva suvaṇṇamāsakapūraṃ rajatapātiṃ ādāya tāya saddhiṃ sallapanto chaṭṭhaṃ gāthamāha –
๔๒.
42.
‘‘ยา สา รติ อุตฺตมา กามโภคินํ, ยํเหตุ สตฺตา วิสมํ จรนฺติ;
‘‘Yā sā rati uttamā kāmabhoginaṃ, yaṃhetu sattā visamaṃ caranti;
มา ตํ รติํ ชียิ ตุวํ สุจิมฺหิเต, ททามิ เต รูปิยํ กํสปูร’’นฺติฯ
Mā taṃ ratiṃ jīyi tuvaṃ sucimhite, dadāmi te rūpiyaṃ kaṃsapūra’’nti.
ตสฺสโตฺถ – ภเทฺท, ราชธีเต ยา เอสา กามโภคิสตฺตานํ รตีสุ เมถุนกามรติ นาม อุตฺตมา รติ, ยสฺสา รติยา การณา สตฺตา กายทุจฺจริตาทิวิสมํ จรนฺติ, ตํ รติํ ตฺวํ ภเทฺท, สุจิมฺหิเต มนาปหสิเต มา ชียิ, อหมฺปิ อาคจฺฉโนฺต น ตุจฺฉหโตฺถ อาคโต, หิโยฺย สุวณฺณมาสกปูรํ สุวณฺณปาติํ อาหริํ, อชฺช รูปิยปาติํ, อิมํ เต อหํ รูปิยปาติํ สุวณฺณปูรํ ททามีติฯ
Tassattho – bhadde, rājadhīte yā esā kāmabhogisattānaṃ ratīsu methunakāmarati nāma uttamā rati, yassā ratiyā kāraṇā sattā kāyaduccaritādivisamaṃ caranti, taṃ ratiṃ tvaṃ bhadde, sucimhite manāpahasite mā jīyi, ahampi āgacchanto na tucchahattho āgato, hiyyo suvaṇṇamāsakapūraṃ suvaṇṇapātiṃ āhariṃ, ajja rūpiyapātiṃ, imaṃ te ahaṃ rūpiyapātiṃ suvaṇṇapūraṃ dadāmīti.
ราชธีตา จิเนฺตสิ ‘‘อยํ กถาสลฺลาปํ ลภโนฺต ปุนปฺปุนํ อาคมิสฺสติ, น ทานิ เตน สทฺธิํ กเถสฺสามี’’ติฯ สา กิญฺจิ น กเถสิฯ
Rājadhītā cintesi ‘‘ayaṃ kathāsallāpaṃ labhanto punappunaṃ āgamissati, na dāni tena saddhiṃ kathessāmī’’ti. Sā kiñci na kathesi.
สโกฺก ตสฺสา อกถิตภาวํ ญตฺวา ตเตฺถว อนฺตรหิโต หุตฺวา ปุนทิวเส ตายเมว เวลาย โลหปาติํ กหาปณปูรํ อาทาย ‘‘ภเทฺท, ตฺวํ มํ กามรติยา สนฺตเปฺปหิ, อิมํ เต กหาปณปูรํ โลหปาติํ ทสฺสามี’’ติ อาหฯ ตํ ทิสฺวา ราชธีตา สตฺตมํ คาถมาห –
Sakko tassā akathitabhāvaṃ ñatvā tattheva antarahito hutvā punadivase tāyameva velāya lohapātiṃ kahāpaṇapūraṃ ādāya ‘‘bhadde, tvaṃ maṃ kāmaratiyā santappehi, imaṃ te kahāpaṇapūraṃ lohapātiṃ dassāmī’’ti āha. Taṃ disvā rājadhītā sattamaṃ gāthamāha –
๔๓.
43.
‘‘นาริํ นโร นิชฺฌปยํ ธเนน, อุกฺกํสตี ยตฺถ กโรติ ฉนฺทํ;
‘‘Nāriṃ naro nijjhapayaṃ dhanena, ukkaṃsatī yattha karoti chandaṃ;
วิปจฺจนีโก ตว เทวธโมฺม, ปจฺจกฺขโต โถกตเรน เอสี’’ติฯ
Vipaccanīko tava devadhammo, paccakkhato thokatarena esī’’ti.
ตสฺสโตฺถ – โภ ปุริส, ตฺวํ ชโฬฯ นโร หิ นาม นาริํ กิเลสรติการณา ธเนน นิชฺฌาเปโนฺต สญฺญาเปโนฺต ยตฺถ นาริยา ฉนฺทํ กโรติ, ตํ อุกฺกํสติ วเณฺณตฺวา โถเมตฺวา พหุตเรน ธเนน ปโลเภติ, ตุยฺหํ ปเนโส เทวสภาโว วิปจฺจนีโก, ตฺวญฺหิ มยา ปจฺจกฺขโต โถกตเรน เอสิ, ปฐมทิวเส สุวณฺณปูรํ สุวณฺณปาติํ อาหริตฺวา, ทุติยทิวเส สุวณฺณปูรํ รูปิยปาติํ, ตติยทิวเส กหาปณปูรํ โลหปาติํ อาหรสีติฯ
Tassattho – bho purisa, tvaṃ jaḷo. Naro hi nāma nāriṃ kilesaratikāraṇā dhanena nijjhāpento saññāpento yattha nāriyā chandaṃ karoti, taṃ ukkaṃsati vaṇṇetvā thometvā bahutarena dhanena palobheti, tuyhaṃ paneso devasabhāvo vipaccanīko, tvañhi mayā paccakkhato thokatarena esi, paṭhamadivase suvaṇṇapūraṃ suvaṇṇapātiṃ āharitvā, dutiyadivase suvaṇṇapūraṃ rūpiyapātiṃ, tatiyadivase kahāpaṇapūraṃ lohapātiṃ āharasīti.
ตํ สุตฺวา สโกฺก ‘‘ภเทฺท ราชกุมาริ, อหํ เฉกวาณิโช น นิรตฺถเกน อตฺถํ นาเสมิ, สเจ ตฺวํ อายุนา วา วเณฺณน วา วเฑฺฒยฺยาสิ, อหํ เต ปณฺณาการํ วเฑฺฒตฺวา อาหเรยฺยํ, ตฺวํ ปน ปริหายเสว, เตนาหมฺปิ ธนํ ปริหาเปมี’’ติ วตฺวา ติโสฺส คาถา อภาสิ –
Taṃ sutvā sakko ‘‘bhadde rājakumāri, ahaṃ chekavāṇijo na niratthakena atthaṃ nāsemi, sace tvaṃ āyunā vā vaṇṇena vā vaḍḍheyyāsi, ahaṃ te paṇṇākāraṃ vaḍḍhetvā āhareyyaṃ, tvaṃ pana parihāyaseva, tenāhampi dhanaṃ parihāpemī’’ti vatvā tisso gāthā abhāsi –
๔๔.
44.
‘‘อายุ จ วโณฺณ จ มนุสฺสโลเก, นิหียติ มนุชานํ สุคเตฺต;
‘‘Āyu ca vaṇṇo ca manussaloke, nihīyati manujānaṃ sugatte;
เตเนว วเณฺณน ธนมฺปิ ตุยฺหํ, นิหียติ ชิณฺณตราสิ อชฺชฯ
Teneva vaṇṇena dhanampi tuyhaṃ, nihīyati jiṇṇatarāsi ajja.
๔๕.
45.
‘‘เอวํ เม เปกฺขมานสฺส, ราชปุตฺติ ยสสฺสินิ;
‘‘Evaṃ me pekkhamānassa, rājaputti yasassini;
หายเตว ตว วโณฺณ, อโหรตฺตานมจฺจเยฯ
Hāyateva tava vaṇṇo, ahorattānamaccaye.
๔๖.
46.
‘‘อิมินาว ตฺวํ วยสา, ราชปุตฺติ สุเมธเส;
‘‘Imināva tvaṃ vayasā, rājaputti sumedhase;
พฺรหฺมจริยํ จเรยฺยาสิ, ภิโยฺย วณฺณวตี สิยา’’ติฯ
Brahmacariyaṃ careyyāsi, bhiyyo vaṇṇavatī siyā’’ti.
ตตฺถ นิหียตีติ ปริสฺสาวเน อาสิตฺตอุทกํ วิย ปริหายติฯ มนุสฺสโลกสฺมิญฺหิ สตฺตา ชีวิเตน วเณฺณน จกฺขุปสาทาทีหิ จ ทิเน ทิเน ปริหายเนฺตวฯ ชิณฺณตราสีติ มม ปฐมํ อาคตทิวเส ปวตฺตญฺหิ เต อายุ หิโยฺย ทิวสํ น ปาปุณิ, กุฐาริยา ฉินฺนํ วิย ตเตฺถว นิรุชฺฌิ, หิโยฺย ปวตฺตมฺปิ อชฺชทิวสํ น ปาปุณิ, หิโยฺยว กุฐาริยา ฉินฺนํ วิย นิรุชฺฌิ, ตสฺมา อชฺช ชิณฺณตราสิ ชาตาฯ เอวํ เมติ ติฎฺฐตุ หิโยฺย จ ปรหิโยฺย จ, อเชฺชว ปน มยฺหํ เอวํ เปกฺขมานเสฺสว หายเตว ตว วโณฺณฯ อโหรตฺตานมจฺจเยติ อิโต ปฎฺฐาย รตฺตินฺทิเวสุ วีติวเตฺตสุ อโหรตฺตานํ อจฺจเยน อปณฺณตฺติกภาวเมว คมิสฺสสีติ ทเสฺสติฯ อิมินาวาติ ตสฺมา ภเทฺท, สเจ ตฺวํ อิมินา วเยเนว อิมสฺมิํ สุวณฺณวเณฺณ สรีเร รชาย อวิลุเตฺตเยว เสฎฺฐจริยํ จเรยฺยาสิ, ปพฺพชิตฺวา สมณธมฺมํ กเรยฺยาสิฯ ภิโยฺย วณฺณวตี สิยาติ อติเรกตรวณฺณา ภเวยฺยาสีติฯ
Tattha nihīyatīti parissāvane āsittaudakaṃ viya parihāyati. Manussalokasmiñhi sattā jīvitena vaṇṇena cakkhupasādādīhi ca dine dine parihāyanteva. Jiṇṇatarāsīti mama paṭhamaṃ āgatadivase pavattañhi te āyu hiyyo divasaṃ na pāpuṇi, kuṭhāriyā chinnaṃ viya tattheva nirujjhi, hiyyo pavattampi ajjadivasaṃ na pāpuṇi, hiyyova kuṭhāriyā chinnaṃ viya nirujjhi, tasmā ajja jiṇṇatarāsi jātā. Evaṃ meti tiṭṭhatu hiyyo ca parahiyyo ca, ajjeva pana mayhaṃ evaṃ pekkhamānasseva hāyateva tava vaṇṇo. Ahorattānamaccayeti ito paṭṭhāya rattindivesu vītivattesu ahorattānaṃ accayena apaṇṇattikabhāvameva gamissasīti dasseti. Imināvāti tasmā bhadde, sace tvaṃ iminā vayeneva imasmiṃ suvaṇṇavaṇṇe sarīre rajāya avilutteyeva seṭṭhacariyaṃ careyyāsi, pabbajitvā samaṇadhammaṃ kareyyāsi. Bhiyyo vaṇṇavatī siyāti atirekataravaṇṇā bhaveyyāsīti.
ตโต ราชธีตา อิตรํ คาถมาห –
Tato rājadhītā itaraṃ gāthamāha –
๔๗.
47.
‘‘เทวา น ชีรนฺติ ยถา มนุสฺสา, คเตฺตสุ เตสํ วลิโย น โหนฺติ;
‘‘Devā na jīranti yathā manussā, gattesu tesaṃ valiyo na honti;
ปุจฺฉามิ ตํ ยกฺข มหานุภาว, กถํ นุ เทวาน สรีรเทโห’’ติฯ
Pucchāmi taṃ yakkha mahānubhāva, kathaṃ nu devāna sarīradeho’’ti.
ตตฺถ สรีรเทโหติ สรีรสงฺขาโต เทโห, เทวานํ สรีรํ กถํ น ชีรติ, อิทํ อหํ ตํ ปุจฺฉามีติ วทติฯ
Tattha sarīradehoti sarīrasaṅkhāto deho, devānaṃ sarīraṃ kathaṃ na jīrati, idaṃ ahaṃ taṃ pucchāmīti vadati.
อถสฺสา กเถโนฺต สโกฺก อิตรํ คาถมาห –
Athassā kathento sakko itaraṃ gāthamāha –
๔๘.
48.
‘‘เทวา น ชีรนฺติ ยถา มนุสฺสา, คเตฺตสุ เตสํ วลิโย น โหนฺติ;
‘‘Devā na jīranti yathā manussā, gattesu tesaṃ valiyo na honti;
สุเว สุเว ภิยฺยตโรว เตสํ, ทิโพฺพ จ วโณฺณ วิปุลา จ โภคา’’ติฯ
Suve suve bhiyyatarova tesaṃ, dibbo ca vaṇṇo vipulā ca bhogā’’ti.
ตตฺถ ยถา มนุสฺสาติ ยถา มนุสฺสา ชีรนฺตา รูเปน วเณฺณน โภเคน จกฺขุปสาทาทีหิ จ ชีรนฺติ, น เอวํ เทวาฯ เตสญฺหิ คเตฺตสุ วลิโยปิ น สนฺติ, มฎฺฐกญฺจนปฎฺฎมิว สรีรํ โหติฯ สุเว สุเวติ ทิวเส ทิวเสฯ ภิยฺยตโรวาติ อติเรกตโรว เตสํ ทิโพฺพ จ วโณฺณ วิปุลา จ โภคา โหนฺติ, มนุเสฺสสุ หิ รูปปริหานิ จิรชาตภาวสฺส สกฺขิ, เทเวสุ อติเรกรูปสมฺปตฺติ จ อติเรกปริวารสมฺปตฺติ จฯ เอวํ อปริหานธโมฺม นาเมส เทวโลโก ฯ ตสฺมา ตฺวํ ชรํ อปฺปตฺวาว นิกฺขมิตฺวา ปพฺพช, เอวํ ปริหานิยสภาวา มนุสฺสโลกา จวิตฺวา อปริหานิยสภาวํ เอวรูปํ เทวโลกํ คมิสฺสสีติฯ
Tattha yathā manussāti yathā manussā jīrantā rūpena vaṇṇena bhogena cakkhupasādādīhi ca jīranti, na evaṃ devā. Tesañhi gattesu valiyopi na santi, maṭṭhakañcanapaṭṭamiva sarīraṃ hoti. Suve suveti divase divase. Bhiyyatarovāti atirekatarova tesaṃ dibbo ca vaṇṇo vipulā ca bhogā honti, manussesu hi rūpaparihāni cirajātabhāvassa sakkhi, devesu atirekarūpasampatti ca atirekaparivārasampatti ca. Evaṃ aparihānadhammo nāmesa devaloko . Tasmā tvaṃ jaraṃ appatvāva nikkhamitvā pabbaja, evaṃ parihāniyasabhāvā manussalokā cavitvā aparihāniyasabhāvaṃ evarūpaṃ devalokaṃ gamissasīti.
สา เทวโลกสฺส วณฺณํ สุตฺวา ตสฺส คมนมคฺคํ ปุจฺฉนฺตี อิตรํ คาถมาห –
Sā devalokassa vaṇṇaṃ sutvā tassa gamanamaggaṃ pucchantī itaraṃ gāthamāha –
๔๙.
49.
‘‘กิํสูธ ภีตา ชนตา อเนกา, มโคฺค จ เนกายตนํ ปวุโตฺต;
‘‘Kiṃsūdha bhītā janatā anekā, maggo ca nekāyatanaṃ pavutto;
ปุจฺฉามิ ตํ ยกฺข มหานุภาว, กตฺถฎฺฐิโต ปรโลกํ น ภาเย’’ติฯ
Pucchāmi taṃ yakkha mahānubhāva, katthaṭṭhito paralokaṃ na bhāye’’ti.
ตตฺถ กิํสูธ ภีตาติ เทวราช, อยํ ขตฺติยาทิเภทา อเนกา ชนตา กิํภีตา กสฺส ภเยน ปริหานิยสภาวา มนุสฺสโลกา เทวโลกํ น คจฺฉตีติ ปุจฺฉติฯ มโคฺคติ เทวโลกคามิมโคฺคฯ อิธ ปน ‘‘กิ’’นฺติ อาหริตฺวา ‘‘โก’’ติ ปุจฺฉา กาตพฺพาฯ อยเญฺหตฺถ อโตฺถ ‘‘อเนกติตฺถายตนวเสน ปณฺฑิเตหิ ปวุโตฺต เทวโลกมโคฺค โก กตโร’’ติ วุโตฺตฯ กตฺถฎฺฐิโตติ ปรโลกํ คจฺฉโนฺต กตรสฺมิํ มเคฺค ฐิโต น ภายตีติฯ
Tattha kiṃsūdha bhītāti devarāja, ayaṃ khattiyādibhedā anekā janatā kiṃbhītā kassa bhayena parihāniyasabhāvā manussalokā devalokaṃ na gacchatīti pucchati. Maggoti devalokagāmimaggo. Idha pana ‘‘ki’’nti āharitvā ‘‘ko’’ti pucchā kātabbā. Ayañhettha attho ‘‘anekatitthāyatanavasena paṇḍitehi pavutto devalokamaggo ko kataro’’ti vutto. Katthaṭṭhitoti paralokaṃ gacchanto katarasmiṃ magge ṭhito na bhāyatīti.
อถสฺสา กเถโนฺต สโกฺก อิตรํ คาถมาห –
Athassā kathento sakko itaraṃ gāthamāha –
๕๐.
50.
‘‘วาจํ มนญฺจ ปณิธาย สมฺมา, กาเยน ปาปานิ อกุพฺพมาโน;
‘‘Vācaṃ manañca paṇidhāya sammā, kāyena pāpāni akubbamāno;
พหุนฺนปานํ ฆรมาวสโนฺต, สโทฺธ มุทู สํวิภาคี วทญฺญู;
Bahunnapānaṃ gharamāvasanto, saddho mudū saṃvibhāgī vadaññū;
สงฺคาหโก สขิโล สณฺหวาโจ, เอตฺถฎฺฐิโต ปรโลกํ น ภาเย’’ติฯ
Saṅgāhako sakhilo saṇhavāco, etthaṭṭhito paralokaṃ na bhāye’’ti.
ตสฺสโตฺถ – ภเทฺท, อุทเย วาจํ มนญฺจ สมฺมา ฐเปตฺวา กาเยน ปาปานิ อกโรโนฺต อิเม ทส กุสลกมฺมปเถ สมาทาย วตฺตโนฺต พหุอนฺนปาเน ปหูตเทยฺยธเมฺม ฆเร วสโนฺต ‘‘ทานสฺส วิปาโก อตฺถี’’ติ สทฺธาย สมนฺนาคโต มุทุจิโตฺต ทานสํวิภาคตาย สํวิภาคี ปพฺพชิตา ภิกฺขาย จรมานา วทนฺติ นาม, เตสํ ปจฺจยทาเนน ตสฺส วาทสฺส ชานนโต วทญฺญู จตูหิ สงฺคหวตฺถูหิ สงฺคหตาย สงฺคาหโก ปิยวาทิตาย สขิโล มฎฺฐวจนตาย สณฺหวาโจ เอตฺถ เอตฺตเก คุณราสิมฺหิ ฐิโต ปรโลกํ คจฺฉโนฺต น ภายตีติฯ
Tassattho – bhadde, udaye vācaṃ manañca sammā ṭhapetvā kāyena pāpāni akaronto ime dasa kusalakammapathe samādāya vattanto bahuannapāne pahūtadeyyadhamme ghare vasanto ‘‘dānassa vipāko atthī’’ti saddhāya samannāgato muducitto dānasaṃvibhāgatāya saṃvibhāgī pabbajitā bhikkhāya caramānā vadanti nāma, tesaṃ paccayadānena tassa vādassa jānanato vadaññū catūhi saṅgahavatthūhi saṅgahatāya saṅgāhako piyavāditāya sakhilo maṭṭhavacanatāya saṇhavāco ettha ettake guṇarāsimhi ṭhito paralokaṃ gacchanto na bhāyatīti.
ตโต ราชธีตา ตํ ตสฺส วจนํ สุตฺวา ถุติํ กโรนฺตี อิตรํ คาถมาห –
Tato rājadhītā taṃ tassa vacanaṃ sutvā thutiṃ karontī itaraṃ gāthamāha –
๕๑.
51.
‘‘อนุสาสสิ มํ ยกฺข, ยถา มาตา ยถา ปิตา;
‘‘Anusāsasi maṃ yakkha, yathā mātā yathā pitā;
อุฬารวณฺณ ปุจฺฉามิ, โก นุ ตฺวมสิ สุพฺรหา’’ติฯ
Uḷāravaṇṇa pucchāmi, ko nu tvamasi subrahā’’ti.
ตสฺสโตฺถ – ยถา มาตาปิตโร ปุตฺตเก อนุสาสนฺติ, ตถา มํ อนุสาสสิฯ อุฬารวณฺณ โสภคฺคปฺปตฺตรูปทารก โก นุ อสิ ตฺวํ เอวํ อจฺจุคฺคตสรีโรติฯ
Tassattho – yathā mātāpitaro puttake anusāsanti, tathā maṃ anusāsasi. Uḷāravaṇṇa sobhaggappattarūpadāraka ko nu asi tvaṃ evaṃ accuggatasarīroti.
ตโต โพธิสโตฺต อิตรํ คาถมาห –
Tato bodhisatto itaraṃ gāthamāha –
๕๒.
52.
‘‘อุทโยหมสฺมิ กลฺยาณิ, สงฺครตฺตา อิธาคโต;
‘‘Udayohamasmi kalyāṇi, saṅgarattā idhāgato;
อามนฺต โข ตํ คจฺฉามิ, มุโตฺตสฺมิ ตว สงฺครา’’ติฯ
Āmanta kho taṃ gacchāmi, muttosmi tava saṅgarā’’ti.
ตสฺสโตฺถ – กลฺยาณทสฺสเน อหํ ปุริมภเว ตว สามิโก อุทโย นาม ตาวติํสภวเน สโกฺก หุตฺวา นิพฺพโตฺต, อิธาคจฺฉโนฺต น กิเลสวเสนาคโต, ตํ วีมํสิตฺวา ปน สงฺครํ โมเจสฺสามีติ สงฺครตฺตา ปุเพฺพ สงฺครสฺส กตตฺตา อาคโตสฺมิ, อิทานิ ตํ อามเนฺตตฺวา คจฺฉามิ, มุโตฺตสฺมิ ตว สงฺคราติฯ
Tassattho – kalyāṇadassane ahaṃ purimabhave tava sāmiko udayo nāma tāvatiṃsabhavane sakko hutvā nibbatto, idhāgacchanto na kilesavasenāgato, taṃ vīmaṃsitvā pana saṅgaraṃ mocessāmīti saṅgarattā pubbe saṅgarassa katattā āgatosmi, idāni taṃ āmantetvā gacchāmi, muttosmi tava saṅgarāti.
ราชธีตา อสฺสสิตฺวา ‘‘สามิ, ตฺวํ อุทยภทฺทราชา’’ติ อสฺสุธารา ปวตฺตยมานา ‘‘อหํ ตุเมฺหหิ วินา วสิตุํ น สโกฺกมิ, ยถา ตุมฺหากํ สนฺติเก วสามิ, ตถา มํ อนุสาสถา’’ติ วตฺวา อิตรํ คาถํ อภาสิ –
Rājadhītā assasitvā ‘‘sāmi, tvaṃ udayabhaddarājā’’ti assudhārā pavattayamānā ‘‘ahaṃ tumhehi vinā vasituṃ na sakkomi, yathā tumhākaṃ santike vasāmi, tathā maṃ anusāsathā’’ti vatvā itaraṃ gāthaṃ abhāsi –
๕๓.
53.
‘‘สเจ โข ตฺวํ อุทโยสิ, สงฺครตฺตา อิธาคโต;
‘‘Sace kho tvaṃ udayosi, saṅgarattā idhāgato;
อนุสาส มํ ราชปุตฺต, ยถาสฺส ปุน สงฺคโม’’ติฯ
Anusāsa maṃ rājaputta, yathāssa puna saṅgamo’’ti.
อถ นํ อนุสาสโนฺต มหาสโตฺต จตโสฺส คาถา อภาสิ –
Atha naṃ anusāsanto mahāsatto catasso gāthā abhāsi –
๕๔.
54.
‘‘อติปตติ วโย ขโณ ตเถว, ฐานํ นตฺถิ ธุวํ จวนฺติ สตฺตา;
‘‘Atipatati vayo khaṇo tatheva, ṭhānaṃ natthi dhuvaṃ cavanti sattā;
ปริชียติ อทฺธุวํ สรีรํ, อุทเย มา ปมาท จรสฺสุ ธมฺมํฯ
Parijīyati addhuvaṃ sarīraṃ, udaye mā pamāda carassu dhammaṃ.
๕๕.
55.
‘‘กสิณา ปถวี ธนสฺส ปูรา, เอกเสฺสว สิยา อนญฺญเธยฺยา;
‘‘Kasiṇā pathavī dhanassa pūrā, ekasseva siyā anaññadheyyā;
ตํ จาปิ ชหติ อวีตราโค, อุทเย มา ปมาท จรสฺสุ ธมฺมํฯ
Taṃ cāpi jahati avītarāgo, udaye mā pamāda carassu dhammaṃ.
๕๖.
56.
‘‘มาตา จ ปิตา จ ภาตโร จ, ภริยา ยาปิ ธเนน โหติ กีตา;
‘‘Mātā ca pitā ca bhātaro ca, bhariyā yāpi dhanena hoti kītā;
เต จาปิ ชหนฺติ อญฺญมญฺญํ, อุทเย มา ปมาท จรสฺสุ ธมฺมํฯ
Te cāpi jahanti aññamaññaṃ, udaye mā pamāda carassu dhammaṃ.
๕๗.
57.
‘‘กาโย ปรโภชนนฺติ ญตฺวา, สํสาเร สุคติญฺจ ทุคฺคติญฺจ;
‘‘Kāyo parabhojananti ñatvā, saṃsāre sugatiñca duggatiñca;
อิตฺตรวาโสติ ชานิยาน, อุทเย มา ปมาท จรสฺสุ ธมฺม’’นฺติฯ
Ittaravāsoti jāniyāna, udaye mā pamāda carassu dhamma’’nti.
ตตฺถ อติปตตีติ อติวิย ปตติ, สีฆํ อติกฺกมติฯ วโยติ ปฐมวยาทิติวิโธปิ วโยฯ ขโณ ตเถวาติ อุปฺปาทฎฺฐิติภงฺคกฺขโณปิ ตเถว อติปตติฯ อุภเยนปิ ภิโนฺน อิเมสํ สตฺตานํ อายุสงฺขาโร นาม สีฆโสตา นที วิย อนิวตฺตโนฺต สีฆํ อติกฺกมตีติ ทเสฺสติฯ ฐานํ นตฺถีติ ‘‘อุปฺปนฺนา สงฺขารา อภิชฺชิตฺวา ติฎฺฐนฺตู’’ติ ปตฺถนายปิ เตสํ ฐานํ นาม นตฺถิ, ธุวํ เอกํเสเนว พุทฺธํ ภควนฺตํ อาทิํ กตฺวา สเพฺพปิ สตฺตา จวนฺติ, ‘‘ธุวํ มรณํ, อทฺธุวํ ชีวิต’’นฺติ เอวํ มรณสฺสติํ ภาเวหีติ ทีเปติฯ ปริชียตีติ อิทํ สุวณฺณวณฺณมฺปิ สรีรํ ชีรเตว, เอวํ ชานาหิฯ มา ปมาทนฺติ ตสฺมา ตฺวํ อุทยภเทฺท มา ปมาทํ อาปชฺชิ, อปฺปมตฺตา หุตฺวา ทสกุสลกมฺมปถธมฺมํ จราหีติฯ
Tattha atipatatīti ativiya patati, sīghaṃ atikkamati. Vayoti paṭhamavayāditividhopi vayo. Khaṇo tathevāti uppādaṭṭhitibhaṅgakkhaṇopi tatheva atipatati. Ubhayenapi bhinno imesaṃ sattānaṃ āyusaṅkhāro nāma sīghasotā nadī viya anivattanto sīghaṃ atikkamatīti dasseti. Ṭhānaṃ natthīti ‘‘uppannā saṅkhārā abhijjitvā tiṭṭhantū’’ti patthanāyapi tesaṃ ṭhānaṃ nāma natthi, dhuvaṃ ekaṃseneva buddhaṃ bhagavantaṃ ādiṃ katvā sabbepi sattā cavanti, ‘‘dhuvaṃ maraṇaṃ, addhuvaṃ jīvita’’nti evaṃ maraṇassatiṃ bhāvehīti dīpeti. Parijīyatīti idaṃ suvaṇṇavaṇṇampi sarīraṃ jīrateva, evaṃ jānāhi. Mā pamādanti tasmā tvaṃ udayabhadde mā pamādaṃ āpajji, appamattā hutvā dasakusalakammapathadhammaṃ carāhīti.
กสิณาติ สกลาฯ เอกเสฺสวาติ ยทิ เอกเสฺสว รโญฺญ, ตสฺมิํ เอกสฺมิํเยว อนญฺญาธีนา อสฺสฯ ตํ จาปิ ชหติ อวีตราโคติ ตณฺหาวสิโก ปุคฺคโล เอตฺตเกนปิ ยเสน อติโตฺต มรณกาเล อวีตราโคว ตํ วิชหติฯ เอวํ ตณฺหาย อปูรณียภาวํ ชานาหีติ ทีเปติฯ เต จาปีติ มาตา ปุตฺตํ, ปุโตฺต มาตรํ, ปิตา ปุตฺตํ, ปุโตฺต ปิตรํ, ภาตา ภคินิํ, ภคินี ภาตรํ, ภริยา สามิกํ, สามิโก ภริยนฺติ เอเต อญฺญมญฺญํ ชหนฺติ, นานา โหนฺติฯ เอวํ สตฺตานํ นานาภาววินาภาวํ ชานาหีติ ทีเปติฯ
Kasiṇāti sakalā. Ekassevāti yadi ekasseva rañño, tasmiṃ ekasmiṃyeva anaññādhīnā assa. Taṃ cāpi jahati avītarāgoti taṇhāvasiko puggalo ettakenapi yasena atitto maraṇakāle avītarāgova taṃ vijahati. Evaṃ taṇhāya apūraṇīyabhāvaṃ jānāhīti dīpeti. Te cāpīti mātā puttaṃ, putto mātaraṃ, pitā puttaṃ, putto pitaraṃ, bhātā bhaginiṃ, bhaginī bhātaraṃ, bhariyā sāmikaṃ, sāmiko bhariyanti ete aññamaññaṃ jahanti, nānā honti. Evaṃ sattānaṃ nānābhāvavinābhāvaṃ jānāhīti dīpeti.
ปรโภชนนฺติ วิวิธานํ กากาทีนํ ปรสตฺตานํ โภชนํฯ อิตฺตรวาโสติ ยา เอสา อิมสฺมิํ สํสาเร มนุสฺสภูตา สุคฺคติ จ ติรจฺฉานภูตา ทุคฺคติ จ, เอตํ อุภยมฺปิ ‘‘อิตฺตรวาโส’’ติ ชานิตฺวา มา ปมาทํ, จรสฺสุ ธมฺมํฯ อิเมสํ สตฺตานํ นานาฐานโต อาคนฺตฺวา เอกสฺมิํ ฐาเน สมาคโม ปริโตฺต, อิเม สตฺตา อปฺปกสฺมิํเยว กาเล เอกโต วสนฺติ, ตสฺมา อปฺปมตฺตา โหหีติฯ
Parabhojananti vividhānaṃ kākādīnaṃ parasattānaṃ bhojanaṃ. Ittaravāsoti yā esā imasmiṃ saṃsāre manussabhūtā suggati ca tiracchānabhūtā duggati ca, etaṃ ubhayampi ‘‘ittaravāso’’ti jānitvā mā pamādaṃ, carassu dhammaṃ. Imesaṃ sattānaṃ nānāṭhānato āgantvā ekasmiṃ ṭhāne samāgamo paritto, ime sattā appakasmiṃyeva kāle ekato vasanti, tasmā appamattā hohīti.
เอวํ มหาสโตฺต ตสฺสา โอวาทมทาสิฯ สาปิ ตสฺส ธมฺมกถาย ปสีทิตฺวา ถุติํ กโรนฺตี โอสานคาถมาห –
Evaṃ mahāsatto tassā ovādamadāsi. Sāpi tassa dhammakathāya pasīditvā thutiṃ karontī osānagāthamāha –
๕๘.
58.
‘‘สาธุ ภาสติยํ ยโกฺข, อปฺปํ มจฺจาน ชีวิตํ;
‘‘Sādhu bhāsatiyaṃ yakkho, appaṃ maccāna jīvitaṃ;
กสิรญฺจ ปริตฺตญฺจ, ตญฺจ ทุเกฺขน สํยุตํ;
Kasirañca parittañca, tañca dukkhena saṃyutaṃ;
สาหํ เอกา ปพฺพชิสฺสามิ, หิตฺวา กาสิํ สุรุนฺธน’’นฺติฯ
Sāhaṃ ekā pabbajissāmi, hitvā kāsiṃ surundhana’’nti.
ตตฺถ สาธูติ ‘‘อปฺปํ มจฺจาน ชีวิต’’นฺติ ภาสมาโน อยํ เทวราชา สาธุ ภาสติฯ กิํการณา? อิทญฺหิ กสิรญฺจ ทุกฺขํ อสฺสาทรหิตํ, ปริตฺตญฺจ น พหุกํ อิตฺตรกาลํฯ สเจ หิ กสิรมฺปิ สมานํ ทีฆกาลํ ปวเตฺตยฺย, ปริตฺตกมฺปิ สมานํ สุขํ ภเวยฺย, อิทํ ปน กสิรเญฺจว ปริตฺตญฺจ สกเลน วฎฺฎทุเกฺขน สํยุตํ สนฺนิหิตํฯ สาหนฺติ สา อหํฯ สุรุนฺธนนฺติ สุรุนฺธนนครญฺจ กาสิรฎฺฐญฺจ ฉเฑฺฑตฺวา เอกิกาว ปพฺพชิสฺสามีติ อาหฯ
Tattha sādhūti ‘‘appaṃ maccāna jīvita’’nti bhāsamāno ayaṃ devarājā sādhu bhāsati. Kiṃkāraṇā? Idañhi kasirañca dukkhaṃ assādarahitaṃ, parittañca na bahukaṃ ittarakālaṃ. Sace hi kasirampi samānaṃ dīghakālaṃ pavatteyya, parittakampi samānaṃ sukhaṃ bhaveyya, idaṃ pana kasirañceva parittañca sakalena vaṭṭadukkhena saṃyutaṃ sannihitaṃ. Sāhanti sā ahaṃ. Surundhananti surundhananagarañca kāsiraṭṭhañca chaḍḍetvā ekikāva pabbajissāmīti āha.
โพธิสโตฺต ตสฺสา โอวาทํ ทตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ สาปิ ปุนทิวเส อมเจฺจ รชฺชํ ปฎิจฺฉาเปตฺวา อโนฺตนคเรเยว รมณีเย อุยฺยาเน อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ธมฺมํ จริตฺวา อายุปริโยสาเน ตาวติํสภวเน โพธิสตฺตสฺส ปาทปริจาริกา หุตฺวา นิพฺพตฺติฯ
Bodhisatto tassā ovādaṃ datvā sakaṭṭhānameva gato. Sāpi punadivase amacce rajjaṃ paṭicchāpetvā antonagareyeva ramaṇīye uyyāne isipabbajjaṃ pabbajitvā dhammaṃ caritvā āyupariyosāne tāvatiṃsabhavane bodhisattassa pādaparicārikā hutvā nibbatti.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ, สจฺจปริโยสาเน อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุ โสตาปตฺติผเล ปติฎฺฐหิฯ ตทา ราชธีตา ราหุลมาตา อโหสิ, สโกฺก ปน อหเมว อโหสินฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā saccāni pakāsetvā jātakaṃ samodhānesi, saccapariyosāne ukkaṇṭhitabhikkhu sotāpattiphale patiṭṭhahi. Tadā rājadhītā rāhulamātā ahosi, sakko pana ahameva ahosinti.
อุทยชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ
Udayajātakavaṇṇanā catutthā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๕๘. อุทยชาตกํ • 458. Udayajātakaṃ