Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā |
[๔๘๗] ๔. อุทฺทาลกชาตกวณฺณนา
[487] 4. Uddālakajātakavaṇṇanā
ขราชินา ชฎิลา ปงฺกทนฺตาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต เอกํ กุหกภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิฯ โส หิ นิยฺยานิกสาสเน ปพฺพชิตฺวาปิ จตุปจฺจยตฺถาย ติวิธํ กุหกวตฺถุํ ปูเรสิฯ อถสฺส อคุณํ ปกาเสนฺตา ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฎฺฐาเปสุํ ‘‘อาวุโส, อสุโก นาม ภิกฺขุ เอวรูเป นิยฺยานิกสาสเน ปพฺพชิตฺวา กุหนํ นิสฺสาย ชีวิกํ กเปฺปตี’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพเปส กุหโกเยวา’’ติ วตฺวา อตีตํ อาหริฯ
Kharājinā jaṭilā paṅkadantāti idaṃ satthā jetavane viharanto ekaṃ kuhakabhikkhuṃ ārabbha kathesi. So hi niyyānikasāsane pabbajitvāpi catupaccayatthāya tividhaṃ kuhakavatthuṃ pūresi. Athassa aguṇaṃ pakāsentā bhikkhū dhammasabhāyaṃ kathaṃ samuṭṭhāpesuṃ ‘‘āvuso, asuko nāma bhikkhu evarūpe niyyānikasāsane pabbajitvā kuhanaṃ nissāya jīvikaṃ kappetī’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepesa kuhakoyevā’’ti vatvā atītaṃ āhari.
อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทเตฺต รชฺชํ กาเรเนฺต โพธิสโตฺต ตสฺส ปุโรหิโต อโหสิ ปณฺฑิโต พฺยโตฺตฯ โส เอกทิวสํ อุยฺยานกีฬํ คโต เอกํ อภิรูปํ คณิกํ ทิสฺวา ปฎิพทฺธจิโตฺต ตาย สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปสิฯ สา ตํ ปฎิจฺจ คพฺภํ ปฎิลภิฯ คพฺภสฺส ปติฎฺฐิตภาวํ ญตฺวา ตํ อาห – ‘‘สามิ, คโพฺภ เม ปติฎฺฐิโต, ชาตกาเล นามํ กโรนฺตี อสฺส กิํ นามํ กโรมี’’ติ? โส ‘‘วณฺณทาสิยา กุจฺฉิมฺหิ นิพฺพตฺตตฺตา น สกฺกา กุลนามํ กาตุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘ภเทฺท, อยํ วาตฆาตรุโกฺข อุทฺทาโล นาม, อิธ ปฎิลทฺธตฺตา ‘อุทฺทาลโก’ติสฺส นามํ กเรยฺยาสี’’ติ วตฺวา องฺคุลิมุทฺทิกํ อทาสิฯ ‘‘สเจ ธีตา โหติ, อิมาย นํ โปเสยฺยาสิ, สเจ ปุโตฺต, อถ นํ วยปฺปตฺตํ มยฺหํ ทเสฺสยฺยาสี’’ติ อาหฯ สา อปรภาเค ปุตฺตํ วิชายิตฺวา ‘‘อุทฺทาลโก’’ติสฺส นามํ อกาสิฯ
Atīte bārāṇasiyaṃ brahmadatte rajjaṃ kārente bodhisatto tassa purohito ahosi paṇḍito byatto. So ekadivasaṃ uyyānakīḷaṃ gato ekaṃ abhirūpaṃ gaṇikaṃ disvā paṭibaddhacitto tāya saddhiṃ saṃvāsaṃ kappesi. Sā taṃ paṭicca gabbhaṃ paṭilabhi. Gabbhassa patiṭṭhitabhāvaṃ ñatvā taṃ āha – ‘‘sāmi, gabbho me patiṭṭhito, jātakāle nāmaṃ karontī assa kiṃ nāmaṃ karomī’’ti? So ‘‘vaṇṇadāsiyā kucchimhi nibbattattā na sakkā kulanāmaṃ kātu’’nti cintetvā ‘‘bhadde, ayaṃ vātaghātarukkho uddālo nāma, idha paṭiladdhattā ‘uddālako’tissa nāmaṃ kareyyāsī’’ti vatvā aṅgulimuddikaṃ adāsi. ‘‘Sace dhītā hoti, imāya naṃ poseyyāsi, sace putto, atha naṃ vayappattaṃ mayhaṃ dasseyyāsī’’ti āha. Sā aparabhāge puttaṃ vijāyitvā ‘‘uddālako’’tissa nāmaṃ akāsi.
โส วยปฺปโตฺต มาตรํ ปุจฺฉิ – ‘‘อมฺม, โก เม ปิตา’’ติ? ‘‘ปุโรหิโต ตาตา’’ติฯ ‘‘ยทิ เอวํ เวเท อุคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ มาตุ หตฺถโต มุทฺทิกญฺจ อาจริยภาคญฺจ คเหตฺวา ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา ทิสาปาโมกฺขาจริยสฺส สนฺติเก สิปฺปํ อุคฺคณฺหโนฺต เอกํ ตาปสคณํ ทิสฺวา ‘‘อิเมสํ สนฺติเก วรสิปฺปํ ภวิสฺสติ, ตํ อุคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ สิปฺปโลเภน ปพฺพชิตฺวา เตสํ วตฺตปฎิวตฺตํ กตฺวา ‘‘อาจริยา มํ ตุมฺหากํ ชานนสิปฺปํ สิกฺขาเปถา’’ติ อาหฯ เต อตฺตโน อตฺตโน ชานนนิยาเมเนว ตํ สิกฺขาเปสุํฯ ปญฺจนฺนํ ตาปสสตานํ เอโกปิ เตน อติเรกปโญฺญ นาโหสิ, เสฺวว เตสํ ปญฺญาย อโคฺคฯ อถสฺส เต สนฺนิปติตฺวา อาจริยฎฺฐานํ อทํสุฯ อถ เน โส อาห – ‘‘มาริสา, ตุเมฺห นิจฺจํ วนมูลผลาหารา อรเญฺญว วสถ, มนุสฺสปถํ กสฺมา น คจฺฉถา’’ติ? ‘‘มาริส, มนุสฺสา นาม มหาทานํ ทตฺวา อนุโมทนํ การาเปนฺติ, ธมฺมิํ กถํ ภณาเปนฺติ, ปญฺหํ ปุจฺฉนฺติ, มยํ เตน ภเยน ตตฺถ น คจฺฉามา’’ติฯ ‘‘มาริสา, สเจปิ จกฺกวตฺติราชา ภวิสฺสติ, มนํ คเหตฺวา กถนํ นาม มยฺหํ ภาโร, ตุเมฺห มา ภายถา’’ติ วตฺวา เตหิ สทฺธิํ จาริกํ จรมาโน อนุปุเพฺพน พาราณสิํ ปตฺวา ราชุยฺยาเน วสิตฺวา ปุนทิวเส สเพฺพหิ สทฺธิํ ทฺวารคาเม ภิกฺขาย จริ, มนุสฺสา มหาทานํ อทํสุฯ ตาปสา ปุนทิวเส นครํ ปวิสิํสุ มนุสฺสา มหาทานํ อทํสุฯ อุทฺทาลกตาปโส ทานานุโมทนํ กโรติ, มงฺคลํ วทติ, ปญฺหํ วิสฺสเชฺชติ, มนุสฺสา ปสีทิตฺวา พหุปจฺจเย อทํสุฯ สกลนครํ ‘‘ปณฺฑิโต คณสตฺถา ธมฺมิกตาปโส อาคโต’’ติ สงฺขุภิ, ตํ รโญฺญปิ กถยิํสุฯ
So vayappatto mātaraṃ pucchi – ‘‘amma, ko me pitā’’ti? ‘‘Purohito tātā’’ti. ‘‘Yadi evaṃ vede uggaṇhissāmī’’ti mātu hatthato muddikañca ācariyabhāgañca gahetvā takkasilaṃ gantvā disāpāmokkhācariyassa santike sippaṃ uggaṇhanto ekaṃ tāpasagaṇaṃ disvā ‘‘imesaṃ santike varasippaṃ bhavissati, taṃ uggaṇhissāmī’’ti sippalobhena pabbajitvā tesaṃ vattapaṭivattaṃ katvā ‘‘ācariyā maṃ tumhākaṃ jānanasippaṃ sikkhāpethā’’ti āha. Te attano attano jānananiyāmeneva taṃ sikkhāpesuṃ. Pañcannaṃ tāpasasatānaṃ ekopi tena atirekapañño nāhosi, sveva tesaṃ paññāya aggo. Athassa te sannipatitvā ācariyaṭṭhānaṃ adaṃsu. Atha ne so āha – ‘‘mārisā, tumhe niccaṃ vanamūlaphalāhārā araññeva vasatha, manussapathaṃ kasmā na gacchathā’’ti? ‘‘Mārisa, manussā nāma mahādānaṃ datvā anumodanaṃ kārāpenti, dhammiṃ kathaṃ bhaṇāpenti, pañhaṃ pucchanti, mayaṃ tena bhayena tattha na gacchāmā’’ti. ‘‘Mārisā, sacepi cakkavattirājā bhavissati, manaṃ gahetvā kathanaṃ nāma mayhaṃ bhāro, tumhe mā bhāyathā’’ti vatvā tehi saddhiṃ cārikaṃ caramāno anupubbena bārāṇasiṃ patvā rājuyyāne vasitvā punadivase sabbehi saddhiṃ dvāragāme bhikkhāya cari, manussā mahādānaṃ adaṃsu. Tāpasā punadivase nagaraṃ pavisiṃsu manussā mahādānaṃ adaṃsu. Uddālakatāpaso dānānumodanaṃ karoti, maṅgalaṃ vadati, pañhaṃ vissajjeti, manussā pasīditvā bahupaccaye adaṃsu. Sakalanagaraṃ ‘‘paṇḍito gaṇasatthā dhammikatāpaso āgato’’ti saṅkhubhi, taṃ raññopi kathayiṃsu.
ราชา ‘‘กุหิํ วสตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อุยฺยาเน’’ติ สุตฺวา ‘‘สาธุ อชฺช เตสํ ทสฺสนาย คมิสฺสามี’’ติ อาหฯ เอโก ปุริโส คนฺตฺวา ‘‘ราชา กิร โว ปสฺสิตุํ อาคจฺฉิสฺสตี’’ติ อุทฺทาลกสฺส กเถสิฯ โสปิ อิสิคณํ อามเนฺตตฺวา ‘‘มาริสา, ราชา กิร อาคมิสฺสติ, อิสฺสเร นาม เอกทิวสํ อาราเธตฺวา ยาวชีวํ อลํ โหตี’’ติฯ ‘‘กิํ ปน กาตพฺพํ อาจริยา’’ติ? โส เอวมาห – ‘‘ตุเมฺหสุ เอกเจฺจ วคฺคุลิวตํ จรนฺตุ, เอกเจฺจ อุกฺกุฎิกปฺปธานมนุยุญฺชนฺตุ, เอกเจฺจ กณฺฎกาปสฺสยิกา ภวนฺตุ, เอกเจฺจ ปญฺจาตปํ ตปนฺตุ, เอกเจฺจ อุทโกโรหนกมฺมํ กโรนฺตุ, เอกเจฺจ ตตฺถ ตตฺถ มเนฺต สชฺฌายนฺตู’’ติฯ เต ตถา กริํสุฯ สยํ ปน อฎฺฐ วา ทส วา ปณฺฑิตวาทิโน คเหตฺวา มโนรเม อาธารเก รมณียํ โปตฺถกํ ฐเปตฺวา อเนฺตวาสิกปริวุโต สุปญฺญเตฺต สาปสฺสเย อาสเน นิสีทิฯ ตสฺมิํ ขเณ ราชา ปุโรหิตํ อาทาย มหเนฺตน ปริวาเรน อุยฺยานํ คนฺตฺวา เต มิจฺฉาตปํ จรเนฺต ทิสฺวา ‘‘อปายภยมฺหา มุตฺตา’’ติ ปสีทิตฺวา อุทฺทาลกสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา เอกมนฺตํ นิสิโนฺน ตุฎฺฐมานโส ปุโรหิเตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต ปฐมํ คาถมาห –
Rājā ‘‘kuhiṃ vasatī’’ti pucchitvā ‘‘uyyāne’’ti sutvā ‘‘sādhu ajja tesaṃ dassanāya gamissāmī’’ti āha. Eko puriso gantvā ‘‘rājā kira vo passituṃ āgacchissatī’’ti uddālakassa kathesi. Sopi isigaṇaṃ āmantetvā ‘‘mārisā, rājā kira āgamissati, issare nāma ekadivasaṃ ārādhetvā yāvajīvaṃ alaṃ hotī’’ti. ‘‘Kiṃ pana kātabbaṃ ācariyā’’ti? So evamāha – ‘‘tumhesu ekacce vaggulivataṃ carantu, ekacce ukkuṭikappadhānamanuyuñjantu, ekacce kaṇṭakāpassayikā bhavantu, ekacce pañcātapaṃ tapantu, ekacce udakorohanakammaṃ karontu, ekacce tattha tattha mante sajjhāyantū’’ti. Te tathā kariṃsu. Sayaṃ pana aṭṭha vā dasa vā paṇḍitavādino gahetvā manorame ādhārake ramaṇīyaṃ potthakaṃ ṭhapetvā antevāsikaparivuto supaññatte sāpassaye āsane nisīdi. Tasmiṃ khaṇe rājā purohitaṃ ādāya mahantena parivārena uyyānaṃ gantvā te micchātapaṃ carante disvā ‘‘apāyabhayamhā muttā’’ti pasīditvā uddālakassa santikaṃ gantvā paṭisanthāraṃ katvā ekamantaṃ nisinno tuṭṭhamānaso purohitena saddhiṃ sallapanto paṭhamaṃ gāthamāha –
๖๒.
62.
‘‘ขราชินา ชฎิลา ปงฺกทนฺตา, ทุมฺมกฺขรูปา เย มนฺตํ ชปฺปนฺติ;
‘‘Kharājinā jaṭilā paṅkadantā, dummakkharūpā ye mantaṃ jappanti;
กจฺจินฺนุ เต มานุสเก ปโยเค, อิทํ วิทู ปริมุตฺตา อปายา’’ติฯ
Kaccinnu te mānusake payoge, idaṃ vidū parimuttā apāyā’’ti.
ตตฺถ ขราชินาติ สขุเรหิ อชินจเมฺมหิ สมนฺนาคตาฯ ปงฺกทนฺตาติ ทนฺตกฎฺฐสฺส อขาทเนน มลคฺคหิตทนฺตาฯ ทุมฺมกฺขรูปาติ อนญฺชิตกฺขา อมณฺฑิตรูปา ลูขสงฺฆาฎิธราฯ มานุสเก ปโยเคติ มนุเสฺสหิ กตฺตพฺพวีริเยฯ อิทํ วิทูติ อิทํ ตปจรณญฺจ มนฺตสชฺฌายนญฺจ ชานนฺตาฯ อปายาติ กจฺจิ อาจริย, อิเม จตูหิ อปาเยหิ มุตฺตาติ ปุจฺฉติฯ
Tattha kharājināti sakhurehi ajinacammehi samannāgatā. Paṅkadantāti dantakaṭṭhassa akhādanena malaggahitadantā. Dummakkharūpāti anañjitakkhā amaṇḍitarūpā lūkhasaṅghāṭidharā. Mānusake payogeti manussehi kattabbavīriye. Idaṃ vidūti idaṃ tapacaraṇañca mantasajjhāyanañca jānantā. Apāyāti kacci ācariya, ime catūhi apāyehi muttāti pucchati.
ตํ สุตฺวา ปุโรหิโต ‘‘อยํ ราชา อฎฺฐาเน ปสโนฺน, ตุณฺหี ภวิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ทุติยํ คาถมาห –
Taṃ sutvā purohito ‘‘ayaṃ rājā aṭṭhāne pasanno, tuṇhī bhavituṃ na vaṭṭatī’’ti cintetvā dutiyaṃ gāthamāha –
๖๓.
63.
‘‘ปาปานิ กมฺมานิ กเรถ ราช, พหุสฺสุโต เจ น จเรยฺย ธมฺมํ;
‘‘Pāpāni kammāni karetha rāja, bahussuto ce na careyya dhammaṃ;
สหสฺสเวโทปิ น ตํ ปฎิจฺจ, ทุกฺขา ปมุเจฺจ จรณํ อปตฺวา’’ติฯ
Sahassavedopi na taṃ paṭicca, dukkhā pamucce caraṇaṃ apatvā’’ti.
ตตฺถ พหุสฺสุโต เจติ สเจ มหาราช, ‘‘อหํ พหุสฺสุโตมฺหี’’ติ ปคุณเวโทปิ ทสกุสลกมฺมปถธมฺมํ น จเรยฺย, ตีหิ ทฺวาเรหิ ปาปาเนว กเรยฺย, ติฎฺฐนฺตุ ตโย เวทา, สหสฺสเวโทปิ สมาโน ตํ พาหุสจฺจํ ปฎิจฺจ อฎฺฐสมาปตฺติสงฺขาตํ จรณํ อปฺปตฺวา อปายทุกฺขโต น มุเจฺจยฺยาติฯ
Tattha bahussuto ceti sace mahārāja, ‘‘ahaṃ bahussutomhī’’ti paguṇavedopi dasakusalakammapathadhammaṃ na careyya, tīhi dvārehi pāpāneva kareyya, tiṭṭhantu tayo vedā, sahassavedopi samāno taṃ bāhusaccaṃ paṭicca aṭṭhasamāpattisaṅkhātaṃ caraṇaṃ appatvā apāyadukkhato na mucceyyāti.
ตสฺส วจนํ สุตฺวา อุทฺทาลโก จิเนฺตสิ ‘‘ราชา ยถา วา ตถา วา อิสิคณสฺส ปสีทิ, อยํ ปน พฺราหฺมโณ จรนฺตํ โคณํ ทเณฺฑน ปหรโนฺต วิย วฑฺฒิตภเตฺต กจวรํ ขิปโนฺต วิย กเถสิ, เตน สทฺธิํ กเถสฺสามี’’ติฯ โส เตน สทฺธิํ กเถโนฺต ตติยํ คาถมาห –
Tassa vacanaṃ sutvā uddālako cintesi ‘‘rājā yathā vā tathā vā isigaṇassa pasīdi, ayaṃ pana brāhmaṇo carantaṃ goṇaṃ daṇḍena paharanto viya vaḍḍhitabhatte kacavaraṃ khipanto viya kathesi, tena saddhiṃ kathessāmī’’ti. So tena saddhiṃ kathento tatiyaṃ gāthamāha –
๖๔.
64.
‘‘สหสฺสเวโทปิ น ตํ ปฎิจฺจ, ทุกฺขา ปมุเจฺจ จรณํ อปตฺวา;
‘‘Sahassavedopi na taṃ paṭicca, dukkhā pamucce caraṇaṃ apatvā;
มญฺญามิ เวทา อผลา ภวนฺติ, สสํยมํ จรณเญฺญว สจฺจ’’นฺติฯ
Maññāmi vedā aphalā bhavanti, sasaṃyamaṃ caraṇaññeva sacca’’nti.
ตตฺถ อผลาติ ตว วาเท เวทา จ เสสสิปฺปานิ จ อผลานิ อาปชฺชนฺติ, ตานิ กสฺมา อุคฺคณฺหนฺติ, สีลสํยเมน สทฺธิํ จรณเญฺญว เอกํ สจฺจํ อาปชฺชตีติฯ
Tattha aphalāti tava vāde vedā ca sesasippāni ca aphalāni āpajjanti, tāni kasmā uggaṇhanti, sīlasaṃyamena saddhiṃ caraṇaññeva ekaṃ saccaṃ āpajjatīti.
ตโต ปุโรหิโต จตุตฺถํ คาถมาห –
Tato purohito catutthaṃ gāthamāha –
๖๕.
65.
‘‘น เหว เวทา อผลา ภวนฺติ, สสํยมํ จรณเญฺญว สจฺจํ;
‘‘Na heva vedā aphalā bhavanti, sasaṃyamaṃ caraṇaññeva saccaṃ;
กิตฺติญฺหิ ปโปฺปติ อธิจฺจ เวเท, สนฺติํ ปุณาติ จรเณน ทโนฺต’’ติฯ
Kittiñhi pappoti adhicca vede, santiṃ puṇāti caraṇena danto’’ti.
ตตฺถ น เหวาติ นาหํ ‘‘เวทา อผลา’’ติ วทามิ, อปิจ โข ปน สสํยมํ จรณํ สจฺจเมว สภาวภูตํ อุตฺตมํฯ เตน หิ สกฺกา ทุกฺขา มุจฺจิตุํฯ สนฺติํ ปุณาตีติ สมาปตฺติสงฺขาเตน จรเณน ทโนฺต ภยสนฺติกรํ นิพฺพานํ ปาปุณาตีติฯ
Tattha na hevāti nāhaṃ ‘‘vedā aphalā’’ti vadāmi, apica kho pana sasaṃyamaṃ caraṇaṃ saccameva sabhāvabhūtaṃ uttamaṃ. Tena hi sakkā dukkhā muccituṃ. Santiṃ puṇātīti samāpattisaṅkhātena caraṇena danto bhayasantikaraṃ nibbānaṃ pāpuṇātīti.
ตํ สุตฺวา อุทฺทาลโก ‘‘น สกฺกา อิมินา สทฺธิํ ปฎิปกฺขวเสน ฐาตุํ, ‘ปุโตฺต ตวาห’นฺติ วุเตฺต สิเนหํ อกโรโนฺต นาม นตฺถิ, ปุตฺตภาวมสฺส กเถสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ปญฺจมํ คาถมาห –
Taṃ sutvā uddālako ‘‘na sakkā iminā saddhiṃ paṭipakkhavasena ṭhātuṃ, ‘putto tavāha’nti vutte sinehaṃ akaronto nāma natthi, puttabhāvamassa kathessāmī’’ti cintetvā pañcamaṃ gāthamāha –
๖๖.
66.
‘‘ภจฺจา มาตา ปิตา พนฺธู, เยน ชาโต สเยว โส;
‘‘Bhaccā mātā pitā bandhū, yena jāto sayeva so;
อุทฺทาลโก อหํ โภโต, โสตฺติยากุลวํสโก’’ติฯ
Uddālako ahaṃ bhoto, sottiyākulavaṃsako’’ti.
ตตฺถ ภจฺจาติ มาตา จ ปิตา จ เสสพนฺธู จ ภริตพฺพา นามฯ เยน ปน ชาโต, โสเยว โส โหติฯ อตฺตาเยว หิ อตฺตโน ชายติ, อหญฺจ ตยาว อุทฺทาลกรุกฺขมูเล ชนิโต, ตยา วุตฺตเมว นามํ กตํ, อุทฺทาลโก อหํ โภติฯ
Tattha bhaccāti mātā ca pitā ca sesabandhū ca bharitabbā nāma. Yena pana jāto, soyeva so hoti. Attāyeva hi attano jāyati, ahañca tayāva uddālakarukkhamūle janito, tayā vuttameva nāmaṃ kataṃ, uddālako ahaṃ bhoti.
โส ‘‘เอกํเสน ตฺวํ อุทฺทาลโกสี’’ติ วุเตฺต ‘‘อามา’’ติ วตฺวา ‘‘มยา เต มาตุ สญฺญาณํ ทินฺนํ, ตํ กุหิ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘อิทํ พฺราหฺมณา’’ติ มุทฺทิกํ ตสฺส หเตฺถ ฐเปสิฯ พฺราหฺมโณ มุทฺทิกํ สญฺชานิตฺวา นิจฺฉเยน ‘‘ตฺวํ พฺราหฺมณธมฺมํ ปชานาสี’’ติ วตฺวา พฺราหฺมณธมฺมํ ปุจฺฉโนฺต ฉฎฺฐํ คาถมาห –
So ‘‘ekaṃsena tvaṃ uddālakosī’’ti vutte ‘‘āmā’’ti vatvā ‘‘mayā te mātu saññāṇaṃ dinnaṃ, taṃ kuhi’’nti vutte ‘‘idaṃ brāhmaṇā’’ti muddikaṃ tassa hatthe ṭhapesi. Brāhmaṇo muddikaṃ sañjānitvā nicchayena ‘‘tvaṃ brāhmaṇadhammaṃ pajānāsī’’ti vatvā brāhmaṇadhammaṃ pucchanto chaṭṭhaṃ gāthamāha –
๖๗.
67.
‘‘กถํ โภ พฺราหฺมโณ โหติ, กถํ ภวติ เกวลี;
‘‘Kathaṃ bho brāhmaṇo hoti, kathaṃ bhavati kevalī;
กถญฺจ ปรินิพฺพานํ, ธมฺมโฎฺฐ กินฺติ วุจฺจตี’’ติฯ
Kathañca parinibbānaṃ, dhammaṭṭho kinti vuccatī’’ti.
อุทฺทาลโกปิ ตสฺส อาจิกฺขโนฺต สตฺตมํ คาถมาห –
Uddālakopi tassa ācikkhanto sattamaṃ gāthamāha –
๖๘.
68.
‘‘นิรํกตฺวา อคฺคิมาทาย พฺราหฺมโณ, อาโป สิญฺจํ ยชํ อุเสฺสติ ยูปํ;
‘‘Niraṃkatvā aggimādāya brāhmaṇo, āpo siñcaṃ yajaṃ usseti yūpaṃ;
เอวํกโร พฺราหฺมโณ โหติ เขมี, ธเมฺม ฐิตํ เตน อมาปยิํสู’’ติฯ
Evaṃkaro brāhmaṇo hoti khemī, dhamme ṭhitaṃ tena amāpayiṃsū’’ti.
ตตฺถ นิรํกตฺวา อคฺคิมาทายาติ นิรนฺตรํ กตฺวา อคฺคิํ คเหตฺวา ปริจรติฯ อาโป สิญฺจํ ยชํ อุเสฺสติ ยูปนฺติ อภิเสจนกกมฺมํ กโรโนฺต สมฺมาปาสํ วา วาชเปยฺยํ วา นิรคฺคฬํ วา ยชโนฺต สุวณฺณยูปํ อุสฺสาเปติฯ เขมีติ เขมปฺปโตฺตฯ อมาปยิํสูติ เตเนว จ การเณน ธเมฺม ฐิตํ กถยิํสุฯ
Tattha niraṃkatvā aggimādāyāti nirantaraṃ katvā aggiṃ gahetvā paricarati. Āpo siñcaṃ yajaṃ usseti yūpanti abhisecanakakammaṃ karonto sammāpāsaṃ vā vājapeyyaṃ vā niraggaḷaṃ vā yajanto suvaṇṇayūpaṃ ussāpeti. Khemīti khemappatto. Amāpayiṃsūti teneva ca kāraṇena dhamme ṭhitaṃ kathayiṃsu.
ตํ สุตฺวา ปุโรหิโต เตน กถิตํ พฺราหฺมณธมฺมํ ครหโนฺต อฎฺฐมํ คาถมาห –
Taṃ sutvā purohito tena kathitaṃ brāhmaṇadhammaṃ garahanto aṭṭhamaṃ gāthamāha –
๖๙.
69.
‘‘น สุทฺธิ เสจเนนตฺถิ, นาปิ เกวลี พฺราหฺมโณ;
‘‘Na suddhi secanenatthi, nāpi kevalī brāhmaṇo;
น ขนฺตี นาปิ โสรจฺจํ, นาปิ โส ปรินิพฺพุโต’’ติฯ
Na khantī nāpi soraccaṃ, nāpi so parinibbuto’’ti.
ตตฺถ เสจเนนาติ เตน วุเตฺตสุ พฺราหฺมณธเมฺมสุ เอกํ ทเสฺสตฺวา สพฺพํ ปฎิกฺขิปติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘อคฺคิปริจรเณน วา อุทกเสจเนน วา ปสุฆาตยเญฺญน วา สุทฺธิ นาม นตฺถิ, นาปิ เอตฺตเกน พฺราหฺมโณ เกวลปริปุโณฺณ โหติ, น อธิวาสนขนฺติ, น สีลโสรจฺจํ, นาปิ กิเลสปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพุโต นาม โหตี’’ติฯ
Tattha secanenāti tena vuttesu brāhmaṇadhammesu ekaṃ dassetvā sabbaṃ paṭikkhipati. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘aggiparicaraṇena vā udakasecanena vā pasughātayaññena vā suddhi nāma natthi, nāpi ettakena brāhmaṇo kevalaparipuṇṇo hoti, na adhivāsanakhanti, na sīlasoraccaṃ, nāpi kilesaparinibbānena parinibbuto nāma hotī’’ti.
ตโต นํ อุทฺทาลโก ‘‘ยทิ เอวํ พฺราหฺมโณ น โหติ, อถ กถํ โหตี’’ติ ปุจฺฉโนฺต นวมํ คาถมาห –
Tato naṃ uddālako ‘‘yadi evaṃ brāhmaṇo na hoti, atha kathaṃ hotī’’ti pucchanto navamaṃ gāthamāha –
๗๐.
70.
‘‘กถํ โส พฺราหฺมโณ โหติ, กถํ ภวติ เกวลี;
‘‘Kathaṃ so brāhmaṇo hoti, kathaṃ bhavati kevalī;
กถญฺจ ปรินิพฺพานํ, ธมฺมโฎฺฐ กินฺติ วุจฺจตี’’ติฯ
Kathañca parinibbānaṃ, dhammaṭṭho kinti vuccatī’’ti.
ปุโรหิโตปิสฺส กเถโนฺต อิตรํ คาถมาห –
Purohitopissa kathento itaraṃ gāthamāha –
๗๑.
71.
‘‘อเขตฺตพนฺธู อมโม นิราโส, นิโลฺลภปาโป ภวโลภขีโณ;
‘‘Akhettabandhū amamo nirāso, nillobhapāpo bhavalobhakhīṇo;
เอวํกโร พฺราหฺมโณ โหติ เขมี, ธเมฺม ฐิตํ เตน อมาปยิํสู’’ติฯ
Evaṃkaro brāhmaṇo hoti khemī, dhamme ṭhitaṃ tena amāpayiṃsū’’ti.
ตตฺถ อเขตฺตพนฺธูติ อเกฺขโตฺต อพนฺธุ, เขตฺตวตฺถุคามนิคมปริคฺคเหน เจว ญาติพนฺธวโคตฺตพนฺธวมิตฺตพนฺธวสหายพนฺธวสิปฺปพนฺธวปริคฺคเหน จ รหิโตฯ อมโมติ สตฺตสงฺขาเรสุ ตณฺหาทิฎฺฐิมมายนรหิโตฯ นิราโสติ ลาภธนปุตฺตชีวิตาสาย รหิโตฯ นิโลฺลภปาโปติ ปาปโลภวิสมโลเภน รหิโตฯ ภวโลภขีโณติ ขีณภวราโคฯ
Tattha akhettabandhūti akkhetto abandhu, khettavatthugāmanigamapariggahena ceva ñātibandhavagottabandhavamittabandhavasahāyabandhavasippabandhavapariggahena ca rahito. Amamoti sattasaṅkhāresu taṇhādiṭṭhimamāyanarahito. Nirāsoti lābhadhanaputtajīvitāsāya rahito. Nillobhapāpoti pāpalobhavisamalobhena rahito. Bhavalobhakhīṇoti khīṇabhavarāgo.
ตโต อุทฺทาลโก คาถมาห –
Tato uddālako gāthamāha –
๗๒.
72.
‘‘ขตฺติยา พฺราหฺมณา เวสฺสา, สุทฺทา จณฺฑาลปุกฺกุสา;
‘‘Khattiyā brāhmaṇā vessā, suddā caṇḍālapukkusā;
สเพฺพว โสรตา ทนฺตา, สเพฺพว ปรินิพฺพุตา;
Sabbeva soratā dantā, sabbeva parinibbutā;
สเพฺพสํ สีติภูตานํ, อตฺถิ เสโยฺยถ ปาปิโย’’ติฯ
Sabbesaṃ sītibhūtānaṃ, atthi seyyotha pāpiyo’’ti.
ตตฺถ อตฺถิ เสโยฺยถ ปาปิโยติ เอเต ขตฺติยาทโย สเพฺพปิ โสรจฺจาทีหิ สมนฺนาคตา โหนฺติ, เอวํ ภูตานํ ปน เตสํ อยํ เสโยฺย, อยํ ปาปิโยติ เอวํ หีนุกฺกฎฺฐตา อตฺถิ, นตฺถีติ ปุจฺฉติฯ
Tattha atthi seyyotha pāpiyoti ete khattiyādayo sabbepi soraccādīhi samannāgatā honti, evaṃ bhūtānaṃ pana tesaṃ ayaṃ seyyo, ayaṃ pāpiyoti evaṃ hīnukkaṭṭhatā atthi, natthīti pucchati.
อถสฺส ‘‘อรหตฺตุปฺปตฺติโต ปฎฺฐาย หีนุกฺกฎฺฐตา นาม นตฺถี’’ติ ทเสฺสตุํ พฺราหฺมโณ คาถมาห –
Athassa ‘‘arahattuppattito paṭṭhāya hīnukkaṭṭhatā nāma natthī’’ti dassetuṃ brāhmaṇo gāthamāha –
๗๓.
73.
‘‘ขตฺติยา พฺราหฺมณา เวสฺสา, สุทฺทา จณฺฑาลปุกฺกุสา;
‘‘Khattiyā brāhmaṇā vessā, suddā caṇḍālapukkusā;
สเพฺพว โสรตา ทนฺตา, สเพฺพว ปรินิพฺพุตา;
Sabbeva soratā dantā, sabbeva parinibbutā;
สเพฺพสํ สีติภูตานํ, นตฺถิ เสโยฺยถ ปาปิโย’’ติฯ
Sabbesaṃ sītibhūtānaṃ, natthi seyyotha pāpiyo’’ti.
อถ นํ ครหโนฺต อุทฺทาลโก คาถาทฺวยมาห –
Atha naṃ garahanto uddālako gāthādvayamāha –
๗๔.
74.
‘‘ขตฺติยา พฺราหฺมณา เวสฺสา, สุทฺทา จณฺฑาลปุกฺกุสา;
‘‘Khattiyā brāhmaṇā vessā, suddā caṇḍālapukkusā;
สเพฺพว โสรตา ทนฺตา, สเพฺพว ปรินิพฺพุตาฯ
Sabbeva soratā dantā, sabbeva parinibbutā.
๗๕.
75.
‘‘สเพฺพสํ สีติภูตานํ, นตฺถิ เสโยฺยถ ปาปิโย;
‘‘Sabbesaṃ sītibhūtānaṃ, natthi seyyotha pāpiyo;
ปนฎฺฐํ จรสิ พฺรหฺมญฺญํ, โสตฺติยากุลวํสต’’นฺติฯ
Panaṭṭhaṃ carasi brahmaññaṃ, sottiyākulavaṃsata’’nti.
ตสฺสโตฺถ – ยทิ เอเตหิ คุเณหิ สมนฺนาคตานํ วิเสโส นตฺถิ, เอโก วโณฺณว โหติ, เอวํ สเนฺต ตฺวํ อุภโต สุชาตภาวํ นาเสโนฺต ปนฎฺฐํ จรสิ พฺรหฺมญฺญํ, จณฺฑาลสโม โหสิ, โสตฺติยกุลวํสตํ นาเสสีติฯ
Tassattho – yadi etehi guṇehi samannāgatānaṃ viseso natthi, eko vaṇṇova hoti, evaṃ sante tvaṃ ubhato sujātabhāvaṃ nāsento panaṭṭhaṃ carasi brahmaññaṃ, caṇḍālasamo hosi, sottiyakulavaṃsataṃ nāsesīti.
อถ นํ ปุโรหิโต อุปมาย สญฺญาเปโนฺต คาถาทฺวยมาห –
Atha naṃ purohito upamāya saññāpento gāthādvayamāha –
๗๖.
76.
‘‘นานารเตฺตหิ วเตฺถหิ, วิมานํ ภวติ ฉาทิตํ;
‘‘Nānārattehi vatthehi, vimānaṃ bhavati chāditaṃ;
น เตสํ ฉายา วตฺถานํ, โส ราโค อนุปชฺชถฯ
Na tesaṃ chāyā vatthānaṃ, so rāgo anupajjatha.
๗๗.
77.
‘‘เอวเมว มนุเสฺสสุ, ยทา สุชฺฌนฺติ มาณวา;
‘‘Evameva manussesu, yadā sujjhanti māṇavā;
เต สชาติํ ปมุญฺจนฺติ, ธมฺมมญฺญาย สุพฺพตา’’ติฯ
Te sajātiṃ pamuñcanti, dhammamaññāya subbatā’’ti.
ตตฺถ วิมานนฺติ เคหํ วา มณฺฑปํ วาฯ ฉายาติ เตสํ วตฺถานํ ฉายา โส นานาวิโธ ราโค น อุเปติ, สพฺพา ฉายา เอกวณฺณาว โหนฺติฯ เอวเมวาติ มนุเสฺสสุปิ เอวเมว เอกเจฺจ อญฺญาณพฺราหฺมณา อการเณเนว จาตุวเณฺณ สุทฺธิํ ปญฺญาเปนฺติ, เอสา อตฺถีติ มา คณฺหิฯ ยทา อริยมเคฺคน มาณวา สุชฺฌนฺติ, ตทา เตหิ ปฎิวิทฺธํ นิพฺพานธมฺมํ ชานิตฺวา สุพฺพตา สีลวนฺตา ปณฺฑิตปุริสา เต สชาติํ มุญฺจนฺติฯ นิพฺพานปฺปตฺติโต ปฎฺฐาย หิ ชาติ นาม นิรตฺถกาติฯ
Tattha vimānanti gehaṃ vā maṇḍapaṃ vā. Chāyāti tesaṃ vatthānaṃ chāyā so nānāvidho rāgo na upeti, sabbā chāyā ekavaṇṇāva honti. Evamevāti manussesupi evameva ekacce aññāṇabrāhmaṇā akāraṇeneva cātuvaṇṇe suddhiṃ paññāpenti, esā atthīti mā gaṇhi. Yadā ariyamaggena māṇavā sujjhanti, tadā tehi paṭividdhaṃ nibbānadhammaṃ jānitvā subbatā sīlavantā paṇḍitapurisā te sajātiṃ muñcanti. Nibbānappattito paṭṭhāya hi jāti nāma niratthakāti.
อุทฺทาลโก ปน ปจฺจาหริตุํ อสโกฺกโนฺต อปฺปฎิภาโนว นิสีทิฯ อถ พฺราหฺมโณ ราชานํ อาห – ‘‘สเพฺพ เอเต, มหาราช, กุหกา สกลชมฺพุทีเป โกหเญฺญเนว นาเสนฺติ, อุทฺทาลกํ อุปฺปพฺพาเชตฺวา อุปปุโรหิตํ กโรถ, เสเส อุปฺปพฺพาเชตฺวา ผลกาวุธานิ ทตฺวา เสวเก กโรถา’’ติฯ ‘‘สาธุ, อาจริยา’’ติ ราชา ตถา กาเรสิฯ เต ราชานํ อุปฎฺฐหนฺตาว ยถากมฺมํ คตาฯ
Uddālako pana paccāharituṃ asakkonto appaṭibhānova nisīdi. Atha brāhmaṇo rājānaṃ āha – ‘‘sabbe ete, mahārāja, kuhakā sakalajambudīpe kohaññeneva nāsenti, uddālakaṃ uppabbājetvā upapurohitaṃ karotha, sese uppabbājetvā phalakāvudhāni datvā sevake karothā’’ti. ‘‘Sādhu, ācariyā’’ti rājā tathā kāresi. Te rājānaṃ upaṭṭhahantāva yathākammaṃ gatā.
สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว, ปุเพฺพเปส กุหโกเยวา’’ติ วตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ – ‘‘ตทา อุทฺทาลโก กุหกภิกฺขุ อโหสิ, ราชา อานโนฺท, ปุโรหิโต ปน อหเมว อโหสิ’’นฺติฯ
Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva, pubbepesa kuhakoyevā’’ti vatvā jātakaṃ samodhānesi – ‘‘tadā uddālako kuhakabhikkhu ahosi, rājā ānando, purohito pana ahameva ahosi’’nti.
อุทฺทาลกชาตกวณฺณนา จตุตฺถาฯ
Uddālakajātakavaṇṇanā catutthā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๔๘๗. อุทฺทาลกชาตกํ • 487. Uddālakajātakaṃ