Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / วชิรพุทฺธิ-ฎีกา • Vajirabuddhi-ṭīkā

    ๒. อุโทสิตสิกฺขาปทวณฺณนา

    2. Udositasikkhāpadavaṇṇanā

    ๔๗๑. สนฺตรุตฺตเรน ชนปทจาริกํ ปกฺกมนฺติฯ กสฺมา? กิญฺจาปิ ‘‘น, ภิกฺขเว, สนฺตรุตฺตเรน คาโม ปวิสิตโพฺพ, โย ปวิเสยฺย, อาปตฺติ ทุกฺกฎสฺสา’’ติ (มหาว. ๓๖๒) ปฐมํ วุตฺตํฯ ปจฺฉา ปน ‘‘ปญฺจิเม, ภิกฺขเว, ปจฺจยา สงฺฆาฎิยา นิเกฺขปาย, อุตฺตราสงฺคสฺส, อนฺตรวาสกสฺส นิเกฺขปาย คิลาโน วา โหติ, วสฺสิกสเงฺกตํ วา, นทีปารํ คนฺตุํ วา, อคฺคฬคุตฺติวิหาโร วา, อตฺถตกถินํ วา โหตี’’ติ วุตฺตตฺตา, อฎฺฐกถายมฺปิสฺส ‘‘ปญฺจสุ เปเตสุ อคฺคฬคุตฺติ เอว ปมาณํฯ คุเตฺต เอว หิ วิหาเร นิกฺขิปิตฺวา พหิ คนฺตุํ วฎฺฎติ, นาคุเตฺต’’ติ วุตฺตตฺตา อปญฺญเตฺตปิ กถิเน ‘‘เต ภิกฺขู อคฺคฬคุตฺติวิหาเร ฐเปถา’’ติ วตฺวา สภาคานํ หเตฺถ จีวรํ นิกฺขิปิตฺวา สนฺตรุตฺตเรน คามปฺปเวเส ลทฺธกปฺปิยา ชนปทจาริกํ ปกฺกามิํสูติ เวทิตพฺพํฯ

    471. Santaruttarena janapadacārikaṃ pakkamanti. Kasmā? Kiñcāpi ‘‘na, bhikkhave, santaruttarena gāmo pavisitabbo, yo paviseyya, āpatti dukkaṭassā’’ti (mahāva. 362) paṭhamaṃ vuttaṃ. Pacchā pana ‘‘pañcime, bhikkhave, paccayā saṅghāṭiyā nikkhepāya, uttarāsaṅgassa, antaravāsakassa nikkhepāya gilāno vā hoti, vassikasaṅketaṃ vā, nadīpāraṃ gantuṃ vā, aggaḷaguttivihāro vā, atthatakathinaṃ vā hotī’’ti vuttattā, aṭṭhakathāyampissa ‘‘pañcasu petesu aggaḷagutti eva pamāṇaṃ. Gutte eva hi vihāre nikkhipitvā bahi gantuṃ vaṭṭati, nāgutte’’ti vuttattā apaññattepi kathine ‘‘te bhikkhū aggaḷaguttivihāre ṭhapethā’’ti vatvā sabhāgānaṃ hatthe cīvaraṃ nikkhipitvā santaruttarena gāmappavese laddhakappiyā janapadacārikaṃ pakkāmiṃsūti veditabbaṃ.

    ๔๗๓. อวิปฺปวาสสมฺมุตินฺติ อวิปฺปวาสตฺถํ, วิปฺปวาสปจฺจยา ยา อาปตฺติ, ตทภาวตฺถํ วา สมฺมุติํ ทาตุนฺติ อโตฺถฯ ตโต ปฎฺฐาย วฎฺฎติฯ กิตฺตกํ กาลํ วฎฺฎตีติ? มาสํ วา อติเรกํ วา ยาว คมเน สอุสฺสาโห, ตาว วฎฺฎติฯ เตน วุตฺตํ ‘‘ธุรนิเกฺขปํ กโรเนฺตน ปจฺจุทฺธริตพฺพ’’นฺติฯ ปุน สมฺมุติทานกิจฺจํ นตฺถีติ สเจ ทฺวาทสนฺนํ วสฺสานํ อจฺจเยน อโญฺญ โรโค โหติ, วฎฺฎติ, อุปสมฺปทกมฺมํ วิย ยาวชีวํ เอกาสมฺมุติ วฎฺฎตีติ จฯ

    473.Avippavāsasammutinti avippavāsatthaṃ, vippavāsapaccayā yā āpatti, tadabhāvatthaṃ vā sammutiṃ dātunti attho. Tato paṭṭhāya vaṭṭati. Kittakaṃ kālaṃ vaṭṭatīti? Māsaṃ vā atirekaṃ vā yāva gamane saussāho, tāva vaṭṭati. Tena vuttaṃ ‘‘dhuranikkhepaṃ karontena paccuddharitabba’’nti. Puna sammutidānakiccaṃ natthīti sace dvādasannaṃ vassānaṃ accayena añño rogo hoti, vaṭṭati, upasampadakammaṃ viya yāvajīvaṃ ekāsammuti vaṭṭatīti ca.

    ‘‘กตํ วา โหตี’’ติอาทิ อิมสฺมิํ สิกฺขาปเท น วตฺตพฺพํ, กสฺมา? กรณปลิโพเธ อุปจฺฉิเนฺนปิ อนธิฎฺฐิตจีวรโต วิปฺปวาสปจฺจยา อาปตฺติยา อสมฺภวโต, ตสฺมา ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมินฺติ ภิกฺขุโน จีวรํ อธิฎฺฐิตํ โหตี’’ติ เอตฺตกเมว วตฺตพฺพนฺติ เจ? น, ตทายตฺตตฺตา ฯ อธิฎฺฐานญฺหิ กรณปลิโพธสฺส นิฎฺฐาปนายตฺตํ, ตสฺมา ‘‘กตํ วาติอาทิ วุตฺต’’นฺติ จ วุตฺตํฯ ตตฺถ กตนฺติ ปุเพฺพ วุตฺตเมวฯ

    ‘‘Kataṃ vā hotī’’tiādi imasmiṃ sikkhāpade na vattabbaṃ, kasmā? Karaṇapalibodhe upacchinnepi anadhiṭṭhitacīvarato vippavāsapaccayā āpattiyā asambhavato, tasmā ‘‘niṭṭhitacīvarasminti bhikkhuno cīvaraṃ adhiṭṭhitaṃ hotī’’ti ettakameva vattabbanti ce? Na, tadāyattattā . Adhiṭṭhānañhi karaṇapalibodhassa niṭṭhāpanāyattaṃ, tasmā ‘‘kataṃ vātiādi vutta’’nti ca vuttaṃ. Tattha katanti pubbe vuttameva.

    ๔๗๗-๘. อวิปฺปวาสลกฺขณววตฺถาปนตฺถนฺติ เอตฺถ ‘‘อโนฺตคาเม จีวรํ นิกฺขิปิตฺวา อโนฺตคาเม วตฺถพฺพ’’นฺติอาทิวจนโต อวิปฺปวาสลกฺขณํ ววตฺถาปิตํ, ตพฺพิปรีตนเยน วิปฺปวาสลกฺขณํ เวทิตพฺพํฯ คาโม เอกูปจาโรติอาทิมฺหิ ปน ฐเปตฺวา สตฺถํ, รุกฺขมูลํ, อโชฺฌกาสญฺจ เสเสสุ ปริเกฺขปาปริเกฺขปวเสน เอกูปจารนานูปจารตา เวทิตพฺพาฯ ยสฺมา ปน สตฺถํ ทุวิธํ นิวิฎฺฐํ, อนิวิฎฺฐญฺจ, เตสุ อนิวิฎฺฐํ เอกกุลสฺส วา นานากุลสฺส วา อปริกฺขิตฺตเมว โหติ, นิวิฎฺฐํ สิยา ปริกฺขิตฺตํ, สิยา อปริกฺขิตฺตํ, ตสฺมา ตตฺถ ปริเกฺขปาทิวเสน อทเสฺสตฺวา อพฺภนฺตรวเสน วุโตฺตฯ ตถา อโพฺภกาเสฯ รุกฺขมูเล ฉายาวเสนฯ อญฺญถา ‘‘สโตฺถ เอกูปจาโร นานูปจาโร’’ติอาทิ อุเทฺทสวิโรโธ สิยา วิภเงฺค อทสฺสิตตฺตา, ตสฺมา สตฺถสฺส ปุรโต จ ปจฺฉโต จ สตฺตพฺภนฺตรา, ปสฺสโต จ เอกพฺภนฺตรนฺติ อยเมกูปจาโร, ตโต ปรํ นานูปจาโรฯ ตถา รุกฺขมูลสฺส ยตฺถ มชฺฌนฺหิเก กาเล ฉายา ผรติ, อยํ เอกูปจาโรฯ อิตโร นานูปจาโรฯ กสฺมา? ตตฺถ หิ ปริเกฺขโป อปฺปมาณํฯ ฉายาว ปมาณํฯ อโชฺฌกาสสฺส ปาฬิยํ วุโตฺตวฯ ‘‘สตฺถาทีนํ เอกกุลสนฺตกวเสน เอกูปจารตา’’ติ ลิขิตํ, ตสฺมา นิเวสเน, อุโทสิเต จ วุตฺตปริเจฺฉโทว อฎฺฎาทีสูติ กตฺวา สํขิตฺตํฯ ตโต ปรํ เขตฺตธญฺญกรณอารามวิหาเรสุ ปน ปริกฺขิตฺตาปริกฺขิตฺต-ปทํ ปุน อุทฺธฎํ สตฺถวิภเงฺคน อธิการสฺส ปจฺฉินฺนตฺตาฯ ‘‘นานาคพฺภา’’ติอาทิวจนํ ปน อสมฺภวโต เขตฺตธญฺญกรณอาราเมสุ น อุทฺธฎํฯ วิหาเร สมฺภวนฺตมฺปิ ตตฺถ ปจฺฉินฺนตฺตา น อุทฺธฎํฯ กุลํ วุจฺจติ สามิโก, ตสฺมา ‘‘เอกกุลสฺส นานากุลสฺสา’’ติ อิมินา คามาทีนํ จุทฺทสนฺนํ จีวรนิเกฺขปฎฺฐานานํ สาธารณาสาธารณภาวํ ทีเปติฯ อโชฺฌกาสสฺส ปน อสมฺภวโต น วุตฺตํฯ ยสฺมา ปเนตฺถ เอกกุลสฺส, นานากุลสฺส จ อปริกฺขิเตฺตสุ คามาทีสุ ปริหารวิเสโส กิญฺจาปิ นตฺถิ, ปริกฺขิเตฺตสุ ปน อตฺถิ, ตสฺมา เอกนานากุลคฺคหณํ, เอกนานูปจารคฺคหณญฺจ สาตฺถกนฺติ เวทิตพฺพํฯ ตตฺถปิ อยํ วิเสโส – สเตฺถ, รุกฺขมูเล จ กุลเภทโตว เภโท, โนปจารเภทโตฯ อโชฺฌกาเส อุปจารเภทโต จ, โส ปน ปาฬิยํ น ทสฺสิโตติฯ ‘‘ตํ ปมาณํ อติกฺกมิตฺวาติ วจนโต อากาเสปิ อฑฺฒเตยฺยรตนปฺปมาเณ โทโส นตฺถี’’ติ วทนฺติฯ

    477-8.Avippavāsalakkhaṇavavatthāpanatthanti ettha ‘‘antogāme cīvaraṃ nikkhipitvā antogāme vatthabba’’ntiādivacanato avippavāsalakkhaṇaṃ vavatthāpitaṃ, tabbiparītanayena vippavāsalakkhaṇaṃ veditabbaṃ. Gāmo ekūpacārotiādimhi pana ṭhapetvā satthaṃ, rukkhamūlaṃ, ajjhokāsañca sesesu parikkhepāparikkhepavasena ekūpacāranānūpacāratā veditabbā. Yasmā pana satthaṃ duvidhaṃ niviṭṭhaṃ, aniviṭṭhañca, tesu aniviṭṭhaṃ ekakulassa vā nānākulassa vā aparikkhittameva hoti, niviṭṭhaṃ siyā parikkhittaṃ, siyā aparikkhittaṃ, tasmā tattha parikkhepādivasena adassetvā abbhantaravasena vutto. Tathā abbhokāse. Rukkhamūle chāyāvasena. Aññathā ‘‘sattho ekūpacāro nānūpacāro’’tiādi uddesavirodho siyā vibhaṅge adassitattā, tasmā satthassa purato ca pacchato ca sattabbhantarā, passato ca ekabbhantaranti ayamekūpacāro, tato paraṃ nānūpacāro. Tathā rukkhamūlassa yattha majjhanhike kāle chāyā pharati, ayaṃ ekūpacāro. Itaro nānūpacāro. Kasmā? Tattha hi parikkhepo appamāṇaṃ. Chāyāva pamāṇaṃ. Ajjhokāsassa pāḷiyaṃ vuttova. ‘‘Satthādīnaṃ ekakulasantakavasena ekūpacāratā’’ti likhitaṃ, tasmā nivesane, udosite ca vuttaparicchedova aṭṭādīsūti katvā saṃkhittaṃ. Tato paraṃ khettadhaññakaraṇaārāmavihāresu pana parikkhittāparikkhitta-padaṃ puna uddhaṭaṃ satthavibhaṅgena adhikārassa pacchinnattā. ‘‘Nānāgabbhā’’tiādivacanaṃ pana asambhavato khettadhaññakaraṇaārāmesu na uddhaṭaṃ. Vihāre sambhavantampi tattha pacchinnattā na uddhaṭaṃ. Kulaṃ vuccati sāmiko, tasmā ‘‘ekakulassa nānākulassā’’ti iminā gāmādīnaṃ cuddasannaṃ cīvaranikkhepaṭṭhānānaṃ sādhāraṇāsādhāraṇabhāvaṃ dīpeti. Ajjhokāsassa pana asambhavato na vuttaṃ. Yasmā panettha ekakulassa, nānākulassa ca aparikkhittesu gāmādīsu parihāraviseso kiñcāpi natthi, parikkhittesu pana atthi, tasmā ekanānākulaggahaṇaṃ, ekanānūpacāraggahaṇañca sātthakanti veditabbaṃ. Tatthapi ayaṃ viseso – satthe, rukkhamūle ca kulabhedatova bhedo, nopacārabhedato. Ajjhokāse upacārabhedato ca, so pana pāḷiyaṃ na dassitoti. ‘‘Taṃ pamāṇaṃ atikkamitvāti vacanato ākāsepi aḍḍhateyyaratanappamāṇe doso natthī’’ti vadanti.

    ๔๗๙. ‘‘สภา’’ติ อิตฺถิลิงฺคํฯ ‘‘สภาย’’นฺติ นปุํสกลิงฺคํ, เตน วุตฺตํ ‘‘ลิงฺคพฺยตฺตนเยนา’’ติฯ นปุํสกลิงฺคทสฺสนตฺถํ กิร ‘‘สภาย’’นฺติ ปจฺจตฺตวเสน นิทฺทิฎฺฐํ, ตสฺส อนุปโยคตฺตา ‘‘ทฺวารมูล’’นฺติปิฯ อตฺตโน นิกฺขิตฺตฎฺฐาเน อนิกฺขิตฺตตฺตา วีถิหตฺถปาโส น รกฺขติ, ยสฺมิํ ฆเร จีวรํ นิกฺขิตฺตํ โหติ, ตสฺมิํ ฆเร วตฺถพฺพํฯ ‘‘สภาเย วา วตฺถพฺพํ ทฺวารมูเล วา, หตฺถปาสา วา น วิชหิตพฺพ’’นฺติ หิ วุตฺตํฯ ‘‘หตฺถปาเสเยว อรุณํ อุฎฺฐเปตพฺพ’’นฺติ นิยมิตตฺตา ชานิตุํ น สกฺกาติ เจ? อโนฺตฆเร น สกฺกา, ตถา ตถา วุตฺตตฺตา, ตสฺมา ‘‘ยุตฺติ ปมาณ’’นฺติ วุตฺตํฯ อยมโตฺถ อฎฺฐกถายมฺปิ ปกาสิโต, ปุนปิ ขุทฺทกคาเม สพฺพสาธารณคามทฺวารวเสนฯ สเจ ตสฺส ทฺวารทฺวยํ โหติ, มเชฺฌ จ ฆรสภายํ, ยตฺถิจฺฉติ, ตตฺถ วสิตพฺพ’’นฺติฯ

    479. ‘‘Sabhā’’ti itthiliṅgaṃ. ‘‘Sabhāya’’nti napuṃsakaliṅgaṃ, tena vuttaṃ ‘‘liṅgabyattanayenā’’ti. Napuṃsakaliṅgadassanatthaṃ kira ‘‘sabhāya’’nti paccattavasena niddiṭṭhaṃ, tassa anupayogattā ‘‘dvāramūla’’ntipi. Attano nikkhittaṭṭhāne anikkhittattā vīthihatthapāso na rakkhati, yasmiṃ ghare cīvaraṃ nikkhittaṃ hoti, tasmiṃ ghare vatthabbaṃ. ‘‘Sabhāye vā vatthabbaṃ dvāramūle vā, hatthapāsā vā na vijahitabba’’nti hi vuttaṃ. ‘‘Hatthapāseyeva aruṇaṃ uṭṭhapetabba’’nti niyamitattā jānituṃ na sakkāti ce? Antoghare na sakkā, tathā tathā vuttattā, tasmā ‘‘yutti pamāṇa’’nti vuttaṃ. Ayamattho aṭṭhakathāyampi pakāsito, punapi khuddakagāme sabbasādhāraṇagāmadvāravasena. Sace tassa dvāradvayaṃ hoti, majjhe ca gharasabhāyaṃ, yatthicchati, tattha vasitabba’’nti.

    ๔๘๐-๑. ยานิ นิเวสนาทีนิ คามสงฺขฺยํ น คจฺฉนฺติ, ตานิ นิเวสนาทีนีติ อธิเปฺปตานิฯ อโชฺฌกาเส อปริสงฺกิตมฺปิ จีวรํ อติเรกสตฺตพฺภนฺตเร นิกฺขิตฺตํ นิสฺสคฺคิยํ โหติ, เอตฺถ อโนฺตสีมตา น รกฺขติ, สเตฺถ ปน รกฺขติฯ ‘‘นทีปริหาโร จ ลพฺภตี’’ติ วจนโต อุทกุเกฺขปสีมายํ ปริหาโร ลพฺภตีติ สิทฺธํฯ สามนฺตวิหาโร เจ เอกสีโม, จีวรํ น นิสฺสคฺคิยํฯ

    480-1. Yāni nivesanādīni gāmasaṅkhyaṃ na gacchanti, tāni nivesanādīnīti adhippetāni. Ajjhokāse aparisaṅkitampi cīvaraṃ atirekasattabbhantare nikkhittaṃ nissaggiyaṃ hoti, ettha antosīmatā na rakkhati, satthe pana rakkhati. ‘‘Nadīparihāro ca labbhatī’’ti vacanato udakukkhepasīmāyaṃ parihāro labbhatīti siddhaṃ. Sāmantavihāro ce ekasīmo, cīvaraṃ na nissaggiyaṃ.

    อิทานิ –

    Idāni –

    ‘‘ฉินฺนํ ธุตงฺคํ สาสงฺก-สมฺมโต สนฺตรุตฺตรํ;

    ‘‘Chinnaṃ dhutaṅgaṃ sāsaṅka-sammato santaruttaraṃ;

    อจีวรสฺสานาปตฺติ, ปจฺจุทฺธาราทิสิทฺธิโต’’ติฯ –

    Acīvarassānāpatti, paccuddhārādisiddhito’’ti. –

    อิทํ ปกิณฺณกํ, ตตฺถายํ โจทนาปุพฺพงฺคโม วินิจฺฉโย – เกจิ ‘‘ทิคุณํ สงฺฆาฎิ’’นฺติ (มหาว. ๓๔๘) วจนโต ‘‘เอกจฺจิกา สงฺฆาฎิปิ นาธิฎฺฐาตพฺพาฯ สเจ อธิฎฺฐาติ น รุหตี’’ติ วตฺวา อุปสมฺปทาเปกฺขานมฺปิ ทิคุณเมว สงฺฆาฎิํ ทตฺวา อุปสมฺปาเทนฺติ, เต อิมินา สุตฺตเลเสน สญฺญาเปตพฺพาฯ ภควตา หิ ‘‘ฉินฺนกํ สงฺฆาฎิํ ฉินฺนกํ อุตฺตราสงฺคํ ฉินฺนกํ อนฺตรวาสก’’นฺติ ปฐมํ อนุญฺญาตํฯ ตโต ‘‘อญฺญตรสฺส ภิกฺขุโน ติจีวเร กริยมาเน สพฺพํ ฉินฺนกํ นปฺปโหติฯ เทฺว ฉินฺนกานิ เอกํ อจฺฉินฺนกํ นปฺปโหติฯ เทฺว อจฺฉินฺนกานิ เอกํ ฉินฺนกํ นปฺปโหตี’’ติ อิมสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ ‘‘อนุชานามิ, ภิกฺขเว, อนฺวาธิกมฺปิ อาโรเปตุ’’นฺติ (มหาว. ๓๖๐) อนุญฺญาตํ, ตสฺมา เอกจฺจิกาปิ สงฺฆาฎิ วฎฺฎตีติ สิทฺธํฯ ยา ฉิชฺชมานา นปฺปโหติ, ตสฺสา กุโต ทิคุณตาติฯ อฎฺฐกถายมฺปิสฺส วุตฺตํ ‘‘อนฺวาธิกมฺปิ อาโรเปตุนฺติ อาคนฺตุกปตฺตมฺปิ ทาตุํฯ อิทํ ปน อปฺปโหนเก อาโรเปตพฺพํฯ สเจ ปโหติ, อาคนฺตุกปตฺตํ น วฎฺฎติ, ฉินฺทิตพฺพเมวา’’ติ (มหาว. อฎฺฐ. ๓๖๐)ฯ กถินํ ปน ฉินฺนกเมว วฎฺฎติ อาเวณิกลกฺขณตฺตา , ‘‘ฉินฺนกํ ทิคุณํ นปฺปโหตี’’ติ วจนาภาวโต จาติ สนฺนิฎฺฐานเมตฺถ คนฺตพฺพํฯ

    Idaṃ pakiṇṇakaṃ, tatthāyaṃ codanāpubbaṅgamo vinicchayo – keci ‘‘diguṇaṃ saṅghāṭi’’nti (mahāva. 348) vacanato ‘‘ekaccikā saṅghāṭipi nādhiṭṭhātabbā. Sace adhiṭṭhāti na ruhatī’’ti vatvā upasampadāpekkhānampi diguṇameva saṅghāṭiṃ datvā upasampādenti, te iminā suttalesena saññāpetabbā. Bhagavatā hi ‘‘chinnakaṃ saṅghāṭiṃ chinnakaṃ uttarāsaṅgaṃ chinnakaṃ antaravāsaka’’nti paṭhamaṃ anuññātaṃ. Tato ‘‘aññatarassa bhikkhuno ticīvare kariyamāne sabbaṃ chinnakaṃ nappahoti. Dve chinnakāni ekaṃ acchinnakaṃ nappahoti. Dve acchinnakāni ekaṃ chinnakaṃ nappahotī’’ti imasmiṃ vatthusmiṃ ‘‘anujānāmi, bhikkhave, anvādhikampi āropetu’’nti (mahāva. 360) anuññātaṃ, tasmā ekaccikāpi saṅghāṭi vaṭṭatīti siddhaṃ. Yā chijjamānā nappahoti, tassā kuto diguṇatāti. Aṭṭhakathāyampissa vuttaṃ ‘‘anvādhikampi āropetunti āgantukapattampi dātuṃ. Idaṃ pana appahonake āropetabbaṃ. Sace pahoti, āgantukapattaṃ na vaṭṭati, chinditabbamevā’’ti (mahāva. aṭṭha. 360). Kathinaṃ pana chinnakameva vaṭṭati āveṇikalakkhaṇattā , ‘‘chinnakaṃ diguṇaṃ nappahotī’’ti vacanābhāvato cāti sanniṭṭhānamettha gantabbaṃ.

    ธุตงฺคนฺติ อนุปสมฺปนฺนานํ เตจีวริกธุตงฺคาภาวโต ติจีวเรเนว เตจีวริโกติฯ เตสํ อธิฎฺฐานาภาวโต ‘‘อธิฎฺฐิเตเนวา’’ติ วตฺตพฺพํ โหตูติ เจ? น, ธุตงฺคเภเทน วิโรธปฺปสงฺคโตฯ จตุตฺถจีวรสาทิยเนน หิ ธุตงฺคเภโท, น ติจีวรวิปฺปวาเสน, นาปิ อติเรกจีวรสาทิยเนน, นาปิ อติเรกจีวรธารเณนฯ ยสฺมา ปน ภิกฺขูนํเยว ภควตา อธิฎฺฐานวเสน นว จีวรานิ อนุญฺญาตานิ, ชาติวเสน จ วุตฺตานิ, น เอวํ อนุปสมฺปนฺนานํฯ ตสฺมา เตสํ จีวรนิยมาภาวา น ตํ ธุตงฺคํ อนุญฺญาตํ คหฎฺฐานํ วิย, ตสฺมา ตสฺส สมาทานวิธาเน อวจนโต จ สนฺนิฎฺฐานเมตฺถ คนฺตพฺพํฯ

    Dhutaṅganti anupasampannānaṃ tecīvarikadhutaṅgābhāvato ticīvareneva tecīvarikoti. Tesaṃ adhiṭṭhānābhāvato ‘‘adhiṭṭhitenevā’’ti vattabbaṃ hotūti ce? Na, dhutaṅgabhedena virodhappasaṅgato. Catutthacīvarasādiyanena hi dhutaṅgabhedo, na ticīvaravippavāsena, nāpi atirekacīvarasādiyanena, nāpi atirekacīvaradhāraṇena. Yasmā pana bhikkhūnaṃyeva bhagavatā adhiṭṭhānavasena nava cīvarāni anuññātāni, jātivasena ca vuttāni, na evaṃ anupasampannānaṃ. Tasmā tesaṃ cīvaraniyamābhāvā na taṃ dhutaṅgaṃ anuññātaṃ gahaṭṭhānaṃ viya, tasmā tassa samādānavidhāne avacanato ca sanniṭṭhānamettha gantabbaṃ.

    สาสงฺกสมฺมโตติ กงฺขาวิตรณิยํ สาสงฺกสิกฺขาปเท วิสุํ องฺคานิ น วุตฺตานิ, ‘‘เสสเมตฺถ จีวรวคฺคสฺส ทุติยสิกฺขาปเท วุตฺตนเยน เวทิตพฺพ’’นฺติ (กงฺขา. อฎฺฐ. สาสงฺกสิกฺขาปทวณฺณนา) วุตฺตํ, น จ ปเนตํ วุตฺตํฯ ตตฺถ รตฺติวิปฺปวาโส จตุตฺถํ องฺคํ, อิธ ฉารตฺตวิปฺปวาโส, อยเมตฺถ วิเสโสติ, ตสฺมา องฺคสามญฺญโต, สมฺมุติสามญฺญโต จ สาสงฺกสิกฺขาปทเมว วทนฺติฯ อิทํ นิปฺปเทสํ, ตํ สปฺปเทสํ มาสปรมตฺตาฯ ตตฺถ พหิคาเมปิ คามสีมํ โอกฺกมิตฺวา วสิตฺวา ปกฺกมนฺตสฺส อนาปตฺติ, อิธ น ตถา, อิธ อนนฺตเร อนนฺตเร อรุณุคฺคมเน นิสฺสคฺคิยํ, ตตฺถ สตฺตเมติ อยํ อิเมสํ ทฺวินฺนํ วิเสโสฯ องฺคานิ ปน จีวรนิเกฺขปงฺคสมฺปตฺติโต วิปริยาเยน, อิธ วุตฺตนเยน จ สิทฺธตฺตา น วุตฺตานิฯ ตานิ กามํ น วุตฺตานิ, ตถาปิ จตุตฺถมงฺคํ วิเสสิตพฺพํ, น ปน วิเสสิตํฯ กิํการณา? อิธ วุตฺตนิสฺสชฺชนกฺกเมน นิสฺสเชฺชตฺวา อาปตฺติเทสนโต, ตตฺถาปนฺนาปตฺติวิโมกฺขทีปนตฺถํฯ สํวจฺฉรวิปฺปวุตฺถมฺปิ รตฺติวิปฺปวุตฺถเมว, ปเคว ฉารตฺตํ วิปฺปวุตฺถํฯ เอวํ สเนฺตปิ ตตฺถ ยถาวุตฺตองฺคสมฺปตฺติยา สติ ตตฺถ วุตฺตนเยเนว นิสฺสชฺชิตพฺพํฯ เหมเนฺต วา คิเมฺห วา นิสฺสชฺชติ เจ? อิธ วุตฺตนเยนาปิ นิสฺสชฺชิตุํ วฎฺฎตีติ ญาปนตฺถํ จตุตฺถํ องฺคํ น วิเสสิตนฺติ โน ตโกฺกติ อาจริโยฯ มาสาติกฺกนฺตมฺปิ จีวรํ ‘‘ทสาหาติกฺกนฺต’’นฺติ วตฺวา นิสฺสฎฺฐเมวฯ ทฺวเยน อูนมาสํ หุตฺวา ‘‘ทสาหาติกฺกนฺต’’นฺติ วตฺวา มาสาติกฺกนฺตนฺติ เอเกฯ ตถาปิ สเจ ปจฺจาสาจีวรํ โหติ, นิสฺสคฺคิยํ ‘‘ทสาหาติกฺกนฺต’’นฺติ วตฺวา, มูลจีวรํ ปน ‘‘มาสาติกฺกนฺต’’นฺติ วตฺวา นิสฺสชฺชิตพฺพํฯ

    Sāsaṅkasammatoti kaṅkhāvitaraṇiyaṃ sāsaṅkasikkhāpade visuṃ aṅgāni na vuttāni, ‘‘sesamettha cīvaravaggassa dutiyasikkhāpade vuttanayena veditabba’’nti (kaṅkhā. aṭṭha. sāsaṅkasikkhāpadavaṇṇanā) vuttaṃ, na ca panetaṃ vuttaṃ. Tattha rattivippavāso catutthaṃ aṅgaṃ, idha chārattavippavāso, ayamettha visesoti, tasmā aṅgasāmaññato, sammutisāmaññato ca sāsaṅkasikkhāpadameva vadanti. Idaṃ nippadesaṃ, taṃ sappadesaṃ māsaparamattā. Tattha bahigāmepi gāmasīmaṃ okkamitvā vasitvā pakkamantassa anāpatti, idha na tathā, idha anantare anantare aruṇuggamane nissaggiyaṃ, tattha sattameti ayaṃ imesaṃ dvinnaṃ viseso. Aṅgāni pana cīvaranikkhepaṅgasampattito vipariyāyena, idha vuttanayena ca siddhattā na vuttāni. Tāni kāmaṃ na vuttāni, tathāpi catutthamaṅgaṃ visesitabbaṃ, na pana visesitaṃ. Kiṃkāraṇā? Idha vuttanissajjanakkamena nissajjetvā āpattidesanato, tatthāpannāpattivimokkhadīpanatthaṃ. Saṃvaccharavippavutthampi rattivippavutthameva, pageva chārattaṃ vippavutthaṃ. Evaṃ santepi tattha yathāvuttaaṅgasampattiyā sati tattha vuttanayeneva nissajjitabbaṃ. Hemante vā gimhe vā nissajjati ce? Idha vuttanayenāpi nissajjituṃ vaṭṭatīti ñāpanatthaṃ catutthaṃ aṅgaṃ na visesitanti no takkoti ācariyo. Māsātikkantampi cīvaraṃ ‘‘dasāhātikkanta’’nti vatvā nissaṭṭhameva. Dvayena ūnamāsaṃ hutvā ‘‘dasāhātikkanta’’nti vatvā māsātikkantanti eke. Tathāpi sace paccāsācīvaraṃ hoti, nissaggiyaṃ ‘‘dasāhātikkanta’’nti vatvā, mūlacīvaraṃ pana ‘‘māsātikkanta’’nti vatvā nissajjitabbaṃ.

    ‘‘สนฺตรุตฺตร’’นฺติ วา ‘‘สงฺฆาฎิ’’นฺติ วา ‘‘จีวร’’นฺติ วา กิํ ติจีวรํ, อุทาหุ อญฺญมฺปีติ ฯ กิเญฺจตฺถ – ยทิ ติจีวรเมว ปฎิสิทฺธํ, ปริยาปนฺนวเสน อจฺฉินฺนจีวรจฺฉินฺทนโธวาปนวิญฺญตฺติอาทิวิโรโธฯ อถ อญฺญมฺปิ, ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิ’’นฺติ เอวมาทินา วิโรโธติ? วุจฺจเต – น นิยมโต เวทิตพฺพํ ยถาสมฺภวํ คเหตพฺพโตฯ ตถา หิ ‘‘จีวรํ นิกฺขิปิตฺวา สนฺตรุตฺตเรน ชนปทจาริกํ ปกฺกมนฺตี’’ติ (ปารา. ๔๗๑) เอวมาทีสุ ติจีวรเมวฯ ‘‘น, ภิกฺขเว, สนฺตรุตฺตเรน คาโม ปวิสิตโพฺพ, สนฺตรุตฺตรปรมํ ตโต จีวรํ สาธิตพฺพ’’นฺติ เอวมาทีสุ ยํกิญฺจิ, ตถา สคุณํ กตฺวา สงฺฆาฎิโย ทาตพฺพา, นิวาสนํ ทาตพฺพํ, สงฺฆาฎิ ทาตพฺพา, หนฺท เต, อาวุโส, สงฺฆาฎิ, เทหิ เม ปฎนฺติอาทีสุฯ วุตฺตเญฺหตํ ‘‘สพฺพญฺหิ จีวรํ สงฺฆฎิตเฎฺฐน ‘สงฺฆาฎี’ติ วุจฺจตี’’ติฯ ตถา ‘‘นิฎฺฐิตจีวรสฺมิ’’นฺติ เอตฺถาปีติ เอเกฯ อโนฺตสมเย หิ ยาวทตฺถํ จีวรํ อนุญฺญาตํ, ตํ สพฺพํ กริยมานํ กทา นิฎฺฐานํ คจฺฉิสฺสติ, ตสฺมา ติจีวรเมวาติ เอเกฯ อจีวรสฺสานาปตฺติ ปจฺจุทฺธาราทิสิทฺธิโตติ กิํ วุตฺตํ โหติ? อุโทสิตสิกฺขาปทสฺส นิปฺปโยชนภาวปฺปสงฺคโต ติจีวรวิปฺปวาเส เตจีวรสฺส อาปตฺตีติ เอเกฯ ตเตฺถตํ วุจฺจติ น โหติ อาปตฺติ ปจฺจุทฺธาราทิสิทฺธิโตฯ ‘‘อนาปตฺติ อโนฺตอรุเณ ปจฺจุทฺธรติ, วิสฺสเชฺชตี’’ติ หิ วุตฺตํฯ อญฺญถา ปจฺจุทฺธรนฺตสฺส, อโนฺตอรุเณ วิสฺสเชฺชนฺตสฺส จ ยาว อโญฺญ นาธิฎฺฐาติ, ตาว อาปตฺติํ อาปชฺชติ ยถาวุตฺตนเยนฯ อญฺญถา สตฺตพฺภนฺตเรน วิปฺปวาสสฺสาติ วิปฺปวาสโต ยถารุตํเยว สติ วิปฺปวาเส วิปฺปวาสโต อวิปฺปวาเส สติ อวิปฺปวาสโตติฯ

    ‘‘Santaruttara’’nti vā ‘‘saṅghāṭi’’nti vā ‘‘cīvara’’nti vā kiṃ ticīvaraṃ, udāhu aññampīti . Kiñcettha – yadi ticīvarameva paṭisiddhaṃ, pariyāpannavasena acchinnacīvaracchindanadhovāpanaviññattiādivirodho. Atha aññampi, ‘‘niṭṭhitacīvarasmi’’nti evamādinā virodhoti? Vuccate – na niyamato veditabbaṃ yathāsambhavaṃ gahetabbato. Tathā hi ‘‘cīvaraṃ nikkhipitvā santaruttarena janapadacārikaṃ pakkamantī’’ti (pārā. 471) evamādīsu ticīvarameva. ‘‘Na, bhikkhave, santaruttarena gāmo pavisitabbo, santaruttaraparamaṃ tato cīvaraṃ sādhitabba’’nti evamādīsu yaṃkiñci, tathā saguṇaṃ katvā saṅghāṭiyo dātabbā, nivāsanaṃ dātabbaṃ, saṅghāṭi dātabbā, handa te, āvuso, saṅghāṭi, dehi me paṭantiādīsu. Vuttañhetaṃ ‘‘sabbañhi cīvaraṃ saṅghaṭitaṭṭhena ‘saṅghāṭī’ti vuccatī’’ti. Tathā ‘‘niṭṭhitacīvarasmi’’nti etthāpīti eke. Antosamaye hi yāvadatthaṃ cīvaraṃ anuññātaṃ, taṃ sabbaṃ kariyamānaṃ kadā niṭṭhānaṃ gacchissati, tasmā ticīvaramevāti eke. Acīvarassānāpatti paccuddhārādisiddhitoti kiṃ vuttaṃ hoti? Udositasikkhāpadassa nippayojanabhāvappasaṅgato ticīvaravippavāse tecīvarassa āpattīti eke. Tatthetaṃ vuccati na hoti āpatti paccuddhārādisiddhito. ‘‘Anāpatti antoaruṇe paccuddharati, vissajjetī’’ti hi vuttaṃ. Aññathā paccuddharantassa, antoaruṇe vissajjentassa ca yāva añño nādhiṭṭhāti, tāva āpattiṃ āpajjati yathāvuttanayena. Aññathā sattabbhantarena vippavāsassāti vippavāsato yathārutaṃyeva sati vippavāse vippavāsato avippavāse sati avippavāsatoti.

    อุโทสิตสิกฺขาปทวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Udositasikkhāpadavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / วินยปิฎก • Vinayapiṭaka / มหาวิภงฺค • Mahāvibhaṅga / ๒. อุโทสิตสิกฺขาปทํ • 2. Udositasikkhāpadaṃ

    อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / วินยปิฎก (อฎฺฐกถา) • Vinayapiṭaka (aṭṭhakathā) / มหาวิภงฺค-อฎฺฐกถา • Mahāvibhaṅga-aṭṭhakathā / ๒. อุโทสิตสิกฺขาปทวณฺณนา • 2. Udositasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / สารตฺถทีปนี-ฎีกา • Sāratthadīpanī-ṭīkā / ๒. อุโทสิตสิกฺขาปทวณฺณนา • 2. Udositasikkhāpadavaṇṇanā

    ฎีกา • Tīkā / วินยปิฎก (ฎีกา) • Vinayapiṭaka (ṭīkā) / วิมติวิโนทนี-ฎีกา • Vimativinodanī-ṭīkā / ๒. อุโทสิตสิกฺขาปทวณฺณนา • 2. Udositasikkhāpadavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact