Tipiṭaka / Tipiṭaka (English) / Dīgha Nikāya, English translation |
ทีฆ นิกาย ๒๕
Long Discourses 25
อุทุมฺพริกสุตฺต
The Lion’s Roar at the Monastery of Lady Udumbarikā
๑ฯ นิโคฺรธปริพฺพาชกวตฺถุ
1. The Story of the Wanderer Nigrodha
เอวํ เม สุตํ—เอกํ สมยํ ภควา ราชคเห วิหรติ คิชฺฌกูเฏ ปพฺพเตฯ
So I have heard. At one time the Buddha was staying near Rājagaha, on the Vulture’s Peak Mountain.
เตน โข ปน สมเยน นิโคฺรโธ ปริพฺพาชโก อุทุมฺพริกาย ปริพฺพาชการาเม ปฏิวสติ มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธึ ตึสมตฺเตหิ ปริพฺพาชกสเตหิฯ อถ โข สนฺธาโน คหปติ ทิวา ทิวสฺส ราชคหา นิกฺขมิ ภควนฺตํ ทสฺสนายฯ
Now at that time the wanderer Nigrodha was residing in the lady Udumbarikā’s monastery for wanderers, together with a large assembly of three thousand wanderers. Then the householder Sandhāna left Rājagaha in the middle of the day to see the Buddha.
อถ โข สนฺธานสฺส คหปติสฺส เอตทโหสิ: “อกาโล โข ภควนฺตํ ทสฺสนายฯ ปฏิสลฺลีโน ภควาฯ มโนภาวนียานมฺปิ ภิกฺขูนํ อสมโย ทสฺสนายฯ ปฏิสลฺลีนา มโนภาวนียา ภิกฺขูฯ ยนฺนูนาหํ เยน อุทุมฺพริกาย ปริพฺพาชการาโม, เยน นิโคฺรโธ ปริพฺพาชโก เตนุปสงฺกเมยฺยนฺ”ติฯ อถ โข สนฺธาโน คหปติ เยน อุทุมฺพริกาย ปริพฺพาชการาโม, เตนุปสงฺกมิฯ
Then it occurred to him, “It’s the wrong time to see the Buddha, as he’s in retreat. And it’s the wrong time to see the esteemed bhikkhus, as they’re in retreat. Why don’t I visit the wanderer Nigrodha at the lady Udumbarikā’s monastery for wanderers?” So he went to the monastery of the wanderers.
เตน โข ปน สมเยน นิโคฺรโธ ปริพฺพาชโก มหติยา ปริพฺพาชกปริสาย สทฺธึ นิสินฺโน โหติ อุนฺนาทินิยา อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทาย อเนกวิหิตํ ติรจฺฉานกถํ กเถนฺติยาฯ เสยฺยถิทํ—ราชกถํ โจรกถํ มหามตฺตกถํ เสนากถํ ภยกถํ ยุทฺธกถํ อนฺนกถํ ปานกถํ วตฺถกถํ สยนกถํ มาลากถํ คนฺธกถํ ญาติกถํ ยานกถํ คามกถํ นิคมกถํ นครกถํ ชนปทกถํ อิตฺถิกถํ สูรกถํ วิสิขากถํ กุมฺภฏฺฐานกถํ ปุพฺพเปตกถํ นานตฺตกถํ โลกกฺขายิกํ สมุทฺทกฺขายิกํ อิติภวาภวกถํ อิติ วาฯ
Now at that time, Nigrodha was sitting together with a large assembly of wanderers making an uproar, a dreadful racket. They engaged in all kinds of low talk, such as talk about kings, bandits, and ministers; talk about armies, threats, and wars; talk about food, drink, clothes, and beds; talk about garlands and fragrances; talk about family, vehicles, villages, towns, cities, and countries; talk about women and heroes; street talk and well talk; talk about the departed; motley talk; tales of land and sea; and talk about being reborn in this or that state of existence.
อทฺทสา โข นิโคฺรโธ ปริพฺพาชโก สนฺธานํ คหปตึ ทูรโตว อาคจฺฉนฺตํฯ ทิสฺวา สกํ ปริสํ สณฺฐาเปสิ: “อปฺปสทฺทา โภนฺโต โหนฺตุ, มา โภนฺโต สทฺทมกตฺถฯ อยํ สมณสฺส โคตมสฺส สาวโก อาคจฺฉติ สนฺธาโน คหปติฯ ยาวตา โข ปน สมณสฺส โคตมสฺส สาวกา คิหี โอทาตวสนา ราชคเห ปฏิวสนฺติ, อยํ เตสํ อญฺญตโร สนฺธาโน คหปติฯ อปฺปสทฺทกามา โข ปเนเต อายสฺมนฺโต อปฺปสทฺทวินีตา, อปฺปสทฺทสฺส วณฺณวาทิโนฯ อปฺเปว นาม อปฺปสทฺทํ ปริสํ วิทิตฺวา อุปสงฺกมิตพฺพํ มญฺเญยฺยา”ติฯ เอวํ วุตฺเต, เต ปริพฺพาชกา ตุณฺหี อเหสุํฯ
Nigrodha saw Sandhāna coming off in the distance, and hushed his own assembly: “Be quiet, good sirs, don’t make a sound. The householder Sandhāna, a disciple of the ascetic Gotama, is coming. He is included among the white-clothed lay disciples of the ascetic Gotama, who is residing near Rājagaha. Such venerables like the quiet, are educated to be quiet, and praise the quiet. Hopefully if he sees that our assembly is quiet he’ll see fit to approach.” Then those wanderers fell silent.
อถ โข สนฺธาโน คหปติ เยน นิโคฺรโธ ปริพฺพาชโก เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา นิโคฺรเธน ปริพฺพาชเกน สทฺธึ สมฺโมทิฯ สมฺโมทนียํ กถํ สารณียํ วีติสาเรตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺโน โข สนฺธาโน คหปติ นิโคฺรธํ ปริพฺพาชกํ เอตทโวจ: “อญฺญถา โข อิเม โภนฺโต อญฺญติตฺถิยา ปริพฺพาชกา สงฺคมฺม สมาคมฺม อุนฺนาทิโน อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทา อเนกวิหิตํ ติรจฺฉานกถํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติฯ เสยฺยถิทํ—ราชกถํ …เป… อิติภวาภวกถํ อิติ วาฯ อญฺญถา โข ปน โส ภควา อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิ ปฏิเสวติ อปฺปสทฺทานิ อปฺปนิคฺโฆสานิ วิชนวาตานิ มนุสฺสราหเสฺสยฺยกานิ ปฏิสลฺลานสารุปฺปานี”ติฯ
Then Sandhāna went up to the wanderer Nigrodha, and exchanged greetings with him. When the greetings and polite conversation were over, he sat down to one side and said to Nigrodha, “The way the wanderers make an uproar as they sit together and talk about all kinds of low topics is one thing. It’s quite different to the way the Buddha frequents remote lodgings in the wilderness and the forest that are quiet and still, far from the madding crowd, remote from human settlements, and fit for retreat.”
เอวํ วุตฺเต, นิโคฺรโธ ปริพฺพาชโก สนฺธานํ คหปตึ เอตทโวจ: “ยคฺเฆ, คหปติ, ชาเนยฺยาสิ, เกน สมโณ โคตโม สทฺธึ สลฺลปติ, เกน สากจฺฉํ สมาปชฺชติ, เกน ปญฺญาเวยฺยตฺติยํ สมาปชฺชติ? สุญฺญาคารหตา สมณสฺส โคตมสฺส ปญฺญา อปริสาวจโร สมโณ โคตโม นาลํ สลฺลาปายฯ โส อนฺตมนฺตาเนว เสวติฯ เสยฺยถาปิ นาม โคกาณา ปริยนฺตจารินี อนฺตมนฺตาเนว เสวติฯ เอวเมว สุญฺญาคารหตา สมณสฺส โคตมสฺส ปญฺญา; อปริสาวจโร สมโณ โคตโม; นาลํ สลฺลาปายฯ โส อนฺตมนฺตาเนว เสวติฯ อิงฺฆ, คหปติ, สมโณ โคตโม อิมํ ปริสํ อาคจฺเฉยฺย, เอกปเญฺหเนว นํ สํสาเทยฺยาม, ตุจฺฉกุมฺภีว นํ มญฺเญ โอโรเธยฺยามา”ติฯ
When Sandhāna said this, Nigrodha said to him, “Surely, householder, you should know better! With whom does the ascetic Gotama converse? With whom does he engage in discussion? With whom does he achieve lucidity of wisdom? Staying in empty huts has destroyed the ascetic Gotama’s wisdom. Not frequenting assemblies, he is unable to hold a discussion. He just lurks on the periphery. He’s just like a one-eyed cow, circling around and lurking on the periphery. Go on, householder! Were the ascetic Gotama to come to this assembly, I’d sink him with just one question! I’d tie him up like a hollow pot!”
อโสฺสสิ โข ภควา ทิพฺพาย โสตธาตุยา วิสุทฺธาย อติกฺกนฺตมานุสิกาย สนฺธานสฺส คหปติสฺส นิโคฺรเธน ปริพฺพาชเกน สทฺธึ อิมํ กถาสลฺลาปํฯ อถ โข ภควา คิชฺฌกูฏา ปพฺพตา โอโรหิตฺวา เยน สุมาคธาย ตีเร โมรนิวาโป เตนุปสงฺกมิ; อุปสงฺกมิตฺวา สุมาคธาย ตีเร โมรนิวาเป อพฺโภกาเส จงฺกมิฯ
With clairaudience that is purified and superhuman, the Buddha heard this discussion between the householder Sandhāna and the wanderer Nigrodha. Then the Buddha descended from Vulture’s Peak Mountain and went to the peacocks’ feeding ground on the bank of the Sumāgadhā, where he walked mindfully in the open air.
อทฺทสา โข นิโคฺรโธ ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ สุมาคธาย ตีเร โมรนิวาเป อพฺโภกาเส จงฺกมนฺตํฯ ทิสฺวาน สกํ ปริสํ สณฺฐาเปสิ: “อปฺปสทฺทา โภนฺโต โหนฺตุ, มา โภนฺโต สทฺทมกตฺถ, อยํ สมโณ โคตโม สุมาคธาย ตีเร โมรนิวาเป อพฺโภกาเส จงฺกมติฯ อปฺปสทฺทกาโม โข ปน โส อายสฺมา, อปฺปสทฺทสฺส วณฺณวาทีฯ อปฺเปว นาม อปฺปสทฺทํ ปริสํ วิทิตฺวา อุปสงฺกมิตพฺพํ มญฺเญยฺยฯ สเจ สมโณ โคตโม อิมํ ปริสํ อาคจฺเฉยฺย, อิมํ ตํ ปญฺหํ ปุจฺเฉยฺยาม: ‘โก นาม โส, ภนฺเต, ภควโต ธมฺโม, เยน ภควา สาวเก วิเนติ, เยน ภควตา สาวกา วินีตา อสฺสาสปฺปตฺตา ปฏิชานนฺติ อชฺฌาสยํ อาทิพฺรหฺมจริยนฺ'”ติ? เอวํ วุตฺเต, เต ปริพฺพาชกา ตุณฺหี อเหสุํฯ
Nigrodha saw him, and hushed his own assembly: “Be quiet, good sirs, don’t make a sound. The ascetic Gotama is walking mindfully on the bank of the Sumāgadhā. The venerable likes quiet and praises quiet. Hopefully if he sees that our assembly is quiet he’ll see fit to approach. If he comes, I’ll ask him this question: ‘Sir, what teaching do you use to guide your disciples, through which they claim solace in the fundamental purpose of the spiritual life?’” Then those wanderers fell silent.
๒ฯ ตโปชิคุจฺฉาวาท
2. Mortification in Disgust of Sin
อถ โข ภควา เยน นิโคฺรโธ ปริพฺพาชโก เตนุปสงฺกมิฯ อถ โข นิโคฺรโธ ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ เอตทโวจ: “เอตุ โข, ภนฺเต, ภควา, สฺวาคตํ, ภนฺเต, ภควโตฯ จิรสฺสํ โข, ภนฺเต, ภควา อิมํ ปริยายมกาสิ ยทิทํ อิธาคมนายฯ นิสีทตุ, ภนฺเต, ภควา, อิทมาสนํ ปญฺญตฺตนฺ”ติฯ นิสีทิ ภควา ปญฺญตฺเต อาสเนฯ นิโคฺรโธปิ โข ปริพฺพาชโก อญฺญตรํ นีจาสนํ คเหตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ เอกมนฺตํ นิสินฺนํ โข นิโคฺรธํ ปริพฺพาชกํ ภควา เอตทโวจ: “กาย นุตฺถ, นิโคฺรธ, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา, กา จ ปน โว อนฺตรากถา วิปฺปกตา”ติ?
Then the Buddha went up to the wanderer Nigrodha, who said to him, “Let the Blessed One come, sir! Welcome to the Blessed One, sir! It’s been a long time since you took the opportunity to come here. Please, sir, sit down, this seat is ready.” The Buddha sat on the seat spread out, while Nigrodha took a low seat and sat to one side. The Buddha said to him, “Nigrodha, what were you sitting talking about just now? What conversation was left unfinished?”
เอวํ วุตฺเต, นิโคฺรโธ ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อิธ มยํ, ภนฺเต, อทฺทสาม ภควนฺตํ สุมาคธาย ตีเร โมรนิวาเป อพฺโภกาเส จงฺกมนฺตํ, ทิสฺวาน เอวํ อโวจุมฺหา: ‘สเจ สมโณ โคตโม อิมํ ปริสํ อาคจฺเฉยฺย, อิมํ ตํ ปญฺหํ ปุจฺเฉยฺยาม: “โก นาม โส, ภนฺเต, ภควโต ธมฺโม, เยน ภควา สาวเก วิเนติ, เยน ภควตา สาวกา วินีตา อสฺสาสปฺปตฺตา ปฏิชานนฺติ อชฺฌาสยํ อาทิพฺรหฺมจริยนฺ”'ติ? อยํ โข โน, ภนฺเต, อนฺตรากถา วิปฺปกตา; อถ ภควา อนุปฺปตฺโต”ติฯ
Nigrodha said, “Well, sir, I saw you walking mindfully and said: ‘If the ascetic Gotama comes, I’ll ask him this question: “Sir, what teaching do you use to guide your disciples, through which they claim solace in the fundamental purpose of the spiritual life?”’ This is the conversation that was unfinished when the Buddha arrived.”
“ทุชฺชานํ โข เอตํ, นิโคฺรธ, ตยา อญฺญทิฏฺฐิเกน อญฺญขนฺติเกน อญฺญรุจิเกน อญฺญตฺราโยเคน อญฺญตฺราจริยเกน, เยนาหํ สาวเก วิเนมิ, เยน มยา สาวกา วินีตา อสฺสาสปฺปตฺตา ปฏิชานนฺติ อชฺฌาสยํ อาทิพฺรหฺมจริยํฯ อิงฺฆ ตฺวํ มํ, นิโคฺรธ, สเก อาจริยเก อธิเชคุจฺเฉ ปญฺหํ ปุจฺฉ: ‘กถํ สนฺตา นุ โข, ภนฺเต, ตโปชิคุจฺฉา ปริปุณฺณา โหติ, กถํ อปริปุณฺณา'”ติ?
“It’s hard for you to understand this, Nigrodha, since you have a different view, creed, and preference, unless you dedicate yourself to practice with the guidance of tradition. Please ask me a question about the higher disgust of sin in your own tradition: ‘How are the conditions for the fervent mortification in disgust of sin completed, and how are they incomplete?’”
เอวํ วุตฺเต, เต ปริพฺพาชกา อุนฺนาทิโน อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทา อเหสุํ: “อจฺฉริยํ วต โภ, อพฺภุตํ วต โภ, สมณสฺส โคตมสฺส มหิทฺธิกตา มหานุภาวตา, ยตฺร หิ นาม สกวาทํ ฐเปสฺสติ, ปรวาเทน ปวาเรสฺสตี”ติฯ
When he said this, those wanderers made an uproar, “Oh, how incredible, how amazing! The ascetic Gotama has such power and might! For he sets aside his own doctrine and invites discussion on the doctrine of others!”
อถ โข นิโคฺรโธ ปริพฺพาชโก เต ปริพฺพาชเก อปฺปสทฺเท กตฺวา ภควนฺตํ เอตทโวจ: “มยํ โข, ภนฺเต, ตโปชิคุจฺฉาวาทา ตโปชิคุจฺฉาสารา ตโปชิคุจฺฉาอลฺลีนา วิหรามฯ กถํ สนฺตา นุ โข, ภนฺเต, ตโปชิคุจฺฉา ปริปุณฺณา โหติ, กถํ อปริปุณฺณา”ติ?
Then Nigrodha, having quieted those wanderers, said to the Buddha, “Sir, we teach fervent mortification in disgust of sin, regarding it as essential and clinging to it. How are the conditions for the fervent mortification in disgust of sin completed, and how are they incomplete?”
“อิธ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี อเจลโก โหติ มุตฺตาจาโร, หตฺถาปเลขโน, นเอหิภทฺทนฺติโก, นติฏฺฐภทฺทนฺติโก, นาภิหฏํ, น อุทฺทิสฺสกตํ, น นิมนฺตนํ สาทิยติ, โส น กุมฺภิมุขา ปฏิคฺคณฺหาติ, น กโฬปิมุขา ปฏิคฺคณฺหาติ, น เอฬกมนฺตรํ, น ทณฺฑมนฺตรํ, น มุสลมนฺตรํ, น ทฺวินฺนํ ภุญฺชมานานํ, น คพฺภินิยา, น ปายมานาย, น ปุริสนฺตรคตาย, น สงฺกิตฺตีสุ, น ยตฺถ สา อุปฏฺฐิโต โหติ, น ยตฺถ มกฺขิกา สณฺฑสณฺฑจารินี, น มจฺฉํ, น มํสํ, น สุรํ, น เมรยํ, น ถุโสทกํ ปิวติ, โส เอกาคาริโก วา โหติ เอกาโลปิโก, ทฺวาคาริโก วา โหติ ทฺวาโลปิโก, สตฺตาคาริโก วา โหติ สตฺตาโลปิโก, เอกิสฺสาปิ ทตฺติยา ยาเปติ, ทฺวีหิปิ ทตฺตีหิ ยาเปติ, สตฺตหิปิ ทตฺตีหิ ยาเปติ; เอกาหิกมฺปิ อาหารํ อาหาเรติ, ทฺวีหิกมฺปิ อาหารํ อาหาเรติ, สตฺตาหิกมฺปิ อาหารํ อาหาเรติ, อิติ เอวรูปํ อทฺธมาสิกมฺปิ ปริยายภตฺตโภชนานุโยคมนุยุตฺโต วิหรติฯ โส สากภกฺโข วา โหติ, สามากภกฺโข วา โหติ, นีวารภกฺโข วา โหติ, ททฺทุลภกฺโข วา โหติ, หฏภกฺโข วา โหติ, กณภกฺโข วา โหติ, อาจามภกฺโข วา โหติ, ปิญฺญากภกฺโข วา โหติ, ติณภกฺโข วา โหติ, โคมยภกฺโข วา โหติ; วนมูลผลาหาโร ยาเปติ ปวตฺตผลโภชีฯ โส สาณานิปิ ธาเรติ, มสาณานิปิ ธาเรติ, ฉวทุสฺสานิปิ ธาเรติ, ปํสุกูลานิปิ ธาเรติ, ติรีฏานิปิ ธาเรติ, อชินมฺปิ ธาเรติ, อชินกฺขิปมฺปิ ธาเรติ, กุสจีรมฺปิ ธาเรติ, วากจีรมฺปิ ธาเรติ, ผลกจีรมฺปิ ธาเรติ, เกสกมฺพลมฺปิ ธาเรติ, วาฬกมฺพลมฺปิ ธาเรติ, อุลูกปกฺขมฺปิ ธาเรติ, เกสมสฺสุโลจโกปิ โหติ เกสมสฺสุโลจนานุโยคมนุยุตฺโต, อุพฺภฏฺฐโกปิ โหติ อาสนปฏิกฺขิตฺโต, อุกฺกุฏิโกปิ โหติ อุกฺกุฏิกปฺปธานมนุยุตฺโต, กณฺฏกาปสฺสยิโกปิ โหติ กณฺฏกาปสฺสเย เสยฺยํ กปฺเปติ, ผลกเสยฺยมฺปิ กปฺเปติ, ถณฺฑิลเสยฺยมฺปิ กปฺเปติ, เอกปสฺสยิโกปิ โหติ รโชชลฺลธโร, อพฺโภกาสิโกปิ โหติ ยถาสนฺถติโก, เวกฏิโกปิ โหติ วิกฏโภชนานุโยคมนุยุตฺโต, อปานโกปิ โหติ อปานกตฺตมนุยุตฺโต, สายตติยกมฺปิ อุทโกโรหนานุโยคมนุยุตฺโต วิหรติฯ
“Nigrodha, it’s when a mortifier goes naked, ignoring conventions. They lick their hands, and don’t come or wait when called. They don’t consent to food brought to them, or food prepared on purpose for them, or an invitation for a meal. They don’t receive anything from a pot or bowl; or from someone who keeps sheep, or who has a weapon or a shovel in their home; or where a couple is eating; or where there is a woman who is pregnant, breast-feeding, or who has a man in her home; or where there’s a dog waiting or flies buzzing. They accept no fish or meat or liquor or wine, and drink no beer. They go to just one house for alms, taking just one mouthful, or two houses and two mouthfuls, up to seven houses and seven mouthfuls. They feed on one saucer a day, two saucers a day, up to seven saucers a day. They eat once a day, once every second day, up to once a week, and so on, even up to once a fortnight. They live committed to the practice of eating food at set intervals. They eat herbs, millet, wild rice, poor rice, water lettuce, rice bran, scum from boiling rice, sesame flour, grass, or cow dung. They survive on forest roots and fruits, or eating fallen fruit. They wear robes of sunn hemp, mixed hemp, corpse-wrapping cloth, rags, lodh tree bark, antelope hide (whole or in strips), kusa grass, bark, wood-chips, human hair, horse-tail hair, or owls’ wings. They tear out their hair and beard, committed to this practice. They constantly stand, refusing seats. They squat, committed to persisting in the squatting position. They lie on a mat of thorns, making a mat of thorns their bed. They make their bed on a plank, or the bare ground. They lie only on one side. They wear dust and dirt. They stay in the open air. They sleep wherever they lay their mat. They eat unnatural things, committed to the practice of eating unnatural foods. They don’t drink, committed to the practice of not drinking liquids. They’re committed to the practice of immersion in water three times a day, including the evening.
ตํ กึ มญฺญสิ, นิโคฺรธ, ยทิ เอวํ สนฺเต ตโปชิคุจฺฉา ปริปุณฺณา วา โหติ อปริปุณฺณา วา”ติ?
What do you think, Nigrodha? If this is so, is the fervent mortification in disgust of sin complete, or incomplete?”
“อทฺธา โข, ภนฺเต, เอวํ สนฺเต ตโปชิคุจฺฉา ปริปุณฺณา โหติ, โน อปริปุณฺณา”ติฯ
“Clearly, sir, if that is so the fervent mortification in disgust of sin is complete, not incomplete.”
“เอวํ ปริปุณฺณายปิ โข อหํ, นิโคฺรธ, ตโปชิคุจฺฉาย อเนกวิหิเต อุปกฺกิเลเส วทามี”ติฯ
“But even such a completed mortification has many defects, I say.”
๒ฯ๑ฯ อุปกฺกิเลส
2.1. Defects
“ยถา กถํ ปน, ภนฺเต, ภควา เอวํ ปริปุณฺณาย ตโปชิคุจฺฉาย อเนกวิหิเต อุปกฺกิเลเส วทตี”ติ?
“But how does the Buddha say that even such a completed mortification has many defects?”
“อิธ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา อตฺตมโน โหติ ปริปุณฺณสงฺกปฺโปฯ ยมฺปิ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา อตฺตมโน โหติ ปริปุณฺณสงฺกปฺโปฯ อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ
“Firstly, a mortifier undertakes a practice of mortification. They’re happy with that, as they’ve got all they wished for. This is a defect in that mortifier.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา อตฺตานุกฺกํเสติ ปรํ วมฺเภติฯ ยมฺปิ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา อตฺตานุกฺกํเสติ ปรํ วมฺเภติฯ อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ
Furthermore, a mortifier undertakes a practice of mortification. They glorify themselves and put others down on account of that. This too is a defect in that mortifier.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา มชฺชติ มุจฺฉติ ปมาทมาปชฺชติฯ ยมฺปิ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา มชฺชติ มุจฺฉติ ปมาทมาปชฺชติฯ อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ
Furthermore, a mortifier undertakes a practice of mortification. They become indulgent and infatuated and fall into negligence on account of that. This too is a defect in that mortifier.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา ลาภสกฺการสิโลกํ อภินิพฺพตฺเตติ, โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน อตฺตมโน โหติ ปริปุณฺณสงฺกปฺโปฯ ยมฺปิ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา ลาภสกฺการสิโลกํ อภินิพฺพตฺเตติ, โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน อตฺตมโน โหติ ปริปุณฺณสงฺกปฺโปฯ อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ
Furthermore, a mortifier undertakes a practice of mortification. They generate possessions, honor, and popularity through that mortification. They’re happy with that, as they’ve got all they wished for. This too is a defect in that mortifier.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา ลาภสกฺการสิโลกํ อภินิพฺพตฺเตติ, โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน อตฺตานุกฺกํเสติ ปรํ วมฺเภติฯ ยมฺปิ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา ลาภสกฺการสิโลกํ อภินิพฺพตฺเตติ, โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน อตฺตานุกฺกํเสติ ปรํ วมฺเภติฯ อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ
Furthermore, a mortifier undertakes a practice of mortification. They generate possessions, honor, and popularity through that mortification. They glorify themselves and put others down on account of that. This too is a defect in that mortifier.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา ลาภสกฺการสิโลกํ อภินิพฺพตฺเตติ, โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน มชฺชติ มุจฺฉติ ปมาทมาปชฺชติฯ ยมฺปิ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา ลาภสกฺการสิโลกํ อภินิพฺพตฺเตติ, โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน มชฺชติ มุจฺฉติ ปมาทมาปชฺชติฯ อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ
Furthermore, a mortifier undertakes a practice of mortification. They generate possessions, honor, and popularity through that mortification. They become indulgent and infatuated and fall into negligence on account of that. This too is a defect in that mortifier.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี โภชเนสุ โวทาสํ อาปชฺชติ: ‘อิทํ เม ขมติ, อิทํ เม นกฺขมตี'ติฯ โส ยญฺจ ขฺวสฺส นกฺขมติ, ตํ สาเปกฺโข ปชหติฯ ยํ ปนสฺส ขมติ, ตํ คธิโต มุจฺฉิโต อชฺฌาปนฺโน อนาทีนวทสฺสาวี อนิสฺสรณปญฺโญ ปริภุญฺชติ …เป… อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ
Furthermore, a mortifier becomes fussy about food, saying, ‘This agrees with me, this doesn’t agree with me.’ What doesn’t agree with them they give up in expectation. But what does agree with them they eat tied, infatuated, attached, blind to the drawbacks, and not understanding the escape. This too is a defect in that mortifier.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ ลาภสกฺการสิโลกนิกนฺติเหตุ: ‘สกฺกริสฺสนฺติ มํ ราชาโน ราชมหามตฺตา ขตฺติยา พฺราหฺมณา คหปติกา ติตฺถิยา'ติ …เป… อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ
Furthermore, a mortifier undertakes a practice of mortification out of longing for possessions, honor, and popularity, thinking, ‘Kings, royal ministers, aristocrats, brahmins, householders, and sectarians will honor me!’ This too is a defect in that mortifier.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี อญฺญตรํ สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา อปสาเทตา โหติ: ‘กึ ปนายํ สมฺพหุลาชีโว สพฺพํ สมฺภกฺเขติฯ เสยฺยถิทํ—มูลพีชํ ขนฺธพีชํ ผฬุพีชํ อคฺคพีชํ พีชพีชเมว ปญฺจมํ, อสนิวิจกฺกํ ทนฺตกูฏํ, สมณปฺปวาเทนา'ติ …เป… อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ
Furthermore, a mortifier rebukes a certain ascetic or brahmin, ‘But what is this one doing, living in abundance! According to this ascetic’s doctrine, everything—plants propagated from roots, stems, cuttings, or joints; and those from regular seeds as the fifth—is crunched together like the thunder of a tooth-hammer!’ This too is a defect in that mortifier.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ปสฺสติ อญฺญตรํ สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา กุเลสุ สกฺกริยมานํ ครุกริยมานํ มานิยมานํ ปูชิยมานํฯ ทิสฺวา ตสฺส เอวํ โหติ: ‘อิมญฺหิ นาม สมฺพหุลาชีวํ กุเลสุ สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติฯ มํ ปน ตปสฺสึ ลูขาชีวึ กุเลสุ น สกฺกโรนฺติ น ครุํ กโรนฺติ น มาเนนฺติ น ปูเชนฺตี'ติ, อิติ โส อิสฺสามจฺฉริยํ กุเลสุ อุปฺปาเทตา โหติ …เป… อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ
Furthermore, a mortifier sees a certain ascetic or brahmin being honored, respected, esteemed, and venerated among good families. They think, ‘This one, who lives in abundance, is honored, respected, esteemed, and venerated among good families. But I, a fervent mortifier who lives rough, am not honored, respected, esteemed, and venerated among good families.’ Thus they give rise to jealousy and stinginess regarding families. This too is a defect in that mortifier.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี อาปาถกนิสาที โหติ …เป… อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ
Furthermore, a mortifier sits meditation only when people can see them. This too is a defect in that mortifier.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี อตฺตานํ อทสฺสยมาโน กุเลสุ จรติ: ‘อิทมฺปิ เม ตปสฺมึ อิทมฺปิ เม ตปสฺมินฺ'ติ …เป… อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ
Furthermore, a mortifier sneaks about among families, thinking, ‘This is part of my mortification; this is part of my mortification.’ This too is a defect in that mortifier.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี กิญฺจิเทว ปฏิจฺฉนฺนํ เสวติฯ โส ‘ขมติ เต อิทนฺ'ติ ปุฏฺโฐ สมาโน อกฺขมมานํ อาห: ‘ขมตี'ติฯ ขมมานํ อาห: ‘นกฺขมตี'ติฯ อิติ โส สมฺปชานมุสา ภาสิตา โหติ …เป… อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ
Furthermore, a mortifier sometimes behaves in an underhand manner. When asked whether something agrees with them, they say it does, even though it doesn’t. Or they say it doesn’t, even though it does. Thus they tell a deliberate lie. This too is a defect in that mortifier.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตถาคตสฺส วา ตถาคตสาวกสฺส วา ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส สนฺตํเยว ปริยายํ อนุญฺเญยฺยํ นานุชานาติ …เป… อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ
Furthermore, a mortifier disagrees with the way that the Realized One or their disciple teaches Dhamma, even when they make a valid point. This too is a defect in that mortifier.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี โกธโน โหติ อุปนาหีฯ ยมฺปิ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี โกธโน โหติ อุปนาหีฯ อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี มกฺขี โหติ ปฬาสี …เป… อิสฺสุกี โหติ มจฺฉรี … สโฐ โหติ มายาวี … ถทฺโธ โหติ อติมานี … ปาปิจฺโฉ โหติ ปาปิกานํ อิจฺฉานํ วสํ คโต … มิจฺฉาทิฏฺฐิโก โหติ อนฺตคฺคาหิกาย ทิฏฺฐิยา สมนฺนาคโต … สนฺทิฏฺฐิปรามาสี โหติ อาธานคฺคาหี ทุปฺปฏินิสฺสคฺคีฯ ยมฺปิ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี สนฺทิฏฺฐิปรามาสี โหติ อาธานคฺคาหี ทุปฺปฏินิสฺสคฺคีฯ อยมฺปิ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหติฯ
Furthermore, a mortifier is irritable and hostile … offensive and contemptuous … jealous and stingy … devious and deceitful … obstinate and vain … they have corrupt wishs, falling under the sway of corrupt wishes … they have wrong view, being attached to an extremist view … they’re attached to their own views, holding them tight, and refusing to let go. This too is a defect in that mortifier.
ตํ กึ มญฺญสิ, นิโคฺรธ, ยทิเม ตโปชิคุจฺฉา อุปกฺกิเลสา วา อนุปกฺกิเลสา วา”ติ?
What do you think, Nigrodha? Are such mortifications defective or not?”
“อทฺธา โข อิเม, ภนฺเต, ตโปชิคุจฺฉา อุปกฺกิเลสา, โน อนุปกฺกิเลสาฯ ฐานํ โข ปเนตํ, ภนฺเต, วิชฺชติ ยํ อิเธกจฺโจ ตปสฺสี สพฺเพเหว อิเมหิ อุปกฺกิเลเสหิ สมนฺนาคโต อสฺส; โก ปน วาโท อญฺญตรญฺญตเรนา”ติฯ
“Clearly, sir, they’re defective. It’s possible that a mortifier might have all of these defects, let alone one or other of them.”
๒ฯ๒ฯ ปริสุทฺธปปฏิกปฺปตฺตกถา
2.2. On Reaching the Shoots
“อิธ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา น อตฺตมโน โหติ น ปริปุณฺณสงฺกปฺโปฯ ยมฺปิ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา น อตฺตมโน โหติ น ปริปุณฺณสงฺกปฺโปฯ เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ
“Firstly, Nigrodha, a mortifier undertakes a practice of mortification. But they’re not happy with that, as they still haven’t got all they wished for. So they’re pure on that point.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา น อตฺตานุกฺกํเสติ น ปรํ วมฺเภติ …เป… เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ
Furthermore, a mortifier undertakes a practice of mortification. They don’t glorify themselves or put others down on account of that. So they’re pure on that point.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา น มชฺชติ น มุจฺฉติ น ปมาทมาปชฺชติ …เป… เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ
They don’t become indulgent …
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา ลาภสกฺการสิโลกํ อภินิพฺพตฺเตติ, โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน น อตฺตมโน โหติ น ปริปุณฺณสงฺกปฺโป …เป… เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ
Furthermore, a mortifier undertakes a practice of mortification. They generate possessions, honor, and popularity through that mortification. They’re not happy with that, as they still haven’t got all they wished for …
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา ลาภสกฺการสิโลกํ อภินิพฺพตฺเตติ, โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน น อตฺตานุกฺกํเสติ น ปรํ วมฺเภติ …เป… เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ
They don’t glorify themselves and put others down on account of possessions, honor, and popularity …
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตปํ สมาทิยติ, โส เตน ตปสา ลาภสกฺการสิโลกํ อภินิพฺพตฺเตติ, โส เตน ลาภสกฺการสิโลเกน น มชฺชติ น มุจฺฉติ น ปมาทมาปชฺชติ …เป… เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ
They don’t become indulgent because of it … So they’re pure on that point.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี โภชเนสุ น โวทาสํ อาปชฺชติ: ‘อิทํ เม ขมติ, อิทํ เม นกฺขมตี'ติฯ โส ยญฺจ ขฺวสฺส นกฺขมติ, ตํ อนเปกฺโข ปชหติฯ ยํ ปนสฺส ขมติ, ตํ อคธิโต อมุจฺฉิโต อนชฺฌาปนฺโน อาทีนวทสฺสาวี นิสฺสรณปญฺโญ ปริภุญฺชติ …เป… เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ
Furthermore, a mortifier doesn’t become fussy about food, saying, ‘This agrees with me, this doesn’t agree with me.’ What doesn’t agree with them they give up without expectation. But what does agree with them they eat without being tied, infatuated, attached, seeing the drawbacks, and understanding the escape. So they’re pure on that point.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี น ตปํ สมาทิยติ ลาภสกฺการสิโลกนิกนฺติเหตุ: ‘สกฺกริสฺสนฺติ มํ ราชาโน ราชมหามตฺตา ขตฺติยา พฺราหฺมณา คหปติกา ติตฺถิยา'ติ …เป… เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ
Furthermore, a mortifier doesn’t undertake a practice of mortification out of longing for possessions, honor, and popularity … ‘Kings, royal ministers, aristocrats, brahmins, householders, and sectarians will honor me!’ So they’re pure on that point.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี อญฺญตรํ สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา นาปสาเทตา โหติ: ‘กึ ปนายํ สมฺพหุลาชีโว สพฺพํ สมฺภกฺเขติฯ เสยฺยถิทํ—มูลพีชํ ขนฺธพีชํ ผฬุพีชํ อคฺคพีชํ พีชพีชเมว ปญฺจมํ, อสนิวิจกฺกํ ทนฺตกูฏํ, สมณปฺปวาเทนา'ติ …เป… เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ
Furthermore, a mortifier doesn’t rebuke a certain ascetic or brahmin, ‘But what is this one doing, living in abundance! According to this ascetic’s doctrine, everything—plants propagated from roots, stems, cuttings, or joints; and those from regular seeds as the fifth—is crunched together like the thunder of a tooth-hammer!’ So they’re pure on that point.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ปสฺสติ อญฺญตรํ สมณํ วา พฺราหฺมณํ วา กุเลสุ สกฺกริยมานํ ครุ กริยมานํ มานิยมานํ ปูชิยมานํฯ ทิสฺวา ตสฺส น เอวํ โหติ: ‘อิมญฺหิ นาม สมฺพหุลาชีวํ กุเลสุ สกฺกโรนฺติ ครุํ กโรนฺติ มาเนนฺติ ปูเชนฺติฯ มํ ปน ตปสฺสึ ลูขาชีวึ กุเลสุ น สกฺกโรนฺติ น ครุํ กโรนฺติ น มาเนนฺติ น ปูเชนฺตี'ติ, อิติ โส อิสฺสามจฺฉริยํ กุเลสุ นุปฺปาเทตา โหติ …เป… เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ
Furthermore, a mortifier sees a certain ascetic or brahmin being honored, respected, esteemed, and venerated among good families. It never occurs to them, ‘This one, who lives in abundance, is honored, respected, esteemed, and venerated among good families. But I, a fervent mortifier who lives rough, am not honored, respected, esteemed, and venerated among good families.’ Thus they don’t give rise to jealousy and stinginess regarding families. So they’re pure on that point.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี น อาปาถกนิสาที โหติ …เป… เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ
Furthermore, a mortifier doesn’t sit meditation only when people can see them. So they’re pure on that point.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี น อตฺตานํ อทสฺสยมาโน กุเลสุ จรติ: ‘อิทมฺปิ เม ตปสฺมึ, อิทมฺปิ เม ตปสฺมินฺ'ติ …เป… เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ
Furthermore, a mortifier doesn’t sneak about among families, thinking, ‘This is part of my mortification; this is part of my mortification.’ So they’re pure on that point.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี น กิญฺจิเทว ปฏิจฺฉนฺนํ เสวติ, โส: ‘ขมติ เต อิทนฺ'ติ ปุฏฺโฐ สมาโน อกฺขมมานํ อาห: ‘นกฺขมตี'ติฯ ขมมานํ อาห: ‘ขมตี'ติฯ อิติ โส สมฺปชานมุสา น ภาสิตา โหติ …เป… เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ
Furthermore, a mortifier never behaves in an underhand manner. When asked whether something agrees with them, they say it doesn’t when it doesn’t. Or they say it does when it does. Thus they don’t tell a deliberate lie. So they’re pure on that point.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี ตถาคตสฺส วา ตถาคตสาวกสฺส วา ธมฺมํ เทเสนฺตสฺส สนฺตํเยว ปริยายํ อนุญฺเญยฺยํ อนุชานาติ …เป… เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ
Furthermore, a mortifier agrees with the way that the Realized One or their disciple teaches Dhamma when they make a valid point. So they’re pure on that point.
ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี อกฺโกธโน โหติ อนุปนาหีฯ ยมฺปิ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี อกฺโกธโน โหติ อนุปนาหี เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ ปุน จปรํ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี อมกฺขี โหติ อปฬาสี …เป… อนิสฺสุกี โหติ อมจฺฉรี … อสโฐ โหติ อมายาวี … อตฺถทฺโธ โหติ อนติมานี … น ปาปิจฺโฉ โหติ น ปาปิกานํ อิจฺฉานํ วสํ คโต … น มิจฺฉาทิฏฺฐิโก โหติ น อนฺตคฺคาหิกาย ทิฏฺฐิยา สมนฺนาคโต … น สนฺทิฏฺฐิปรามาสี โหติ น อาธานคฺคาหี สุปฺปฏินิสฺสคฺคีฯ ยมฺปิ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี น สนฺทิฏฺฐิปรามาสี โหติ น อาธานคฺคาหี สุปฺปฏินิสฺสคฺคีฯ เอวํ โส ตสฺมึ ฐาเน ปริสุทฺโธ โหติฯ
Furthermore, a mortifier is not irritable and hostile … offensive and contemptuous … jealous and stingy … devious and deceitful … obstinate and vain … they don’t have corrupt wishes … and wrong view … they’re not attached to their own views, holding them tight, and refusing to let go. So they’re pure on that point.
ตํ กึ มญฺญสิ, นิโคฺรธ, ยทิ เอวํ สนฺเต ตโปชิคุจฺฉา ปริสุทฺธา วา โหติ อปริสุทฺธา วา”ติ?
What do you think, Nigrodha? If this is so, is the fervent mortification in disgust of sin purified or not?”
“อทฺธา โข, ภนฺเต, เอวํ สนฺเต ตโปชิคุจฺฉา ปริสุทฺธา โหติ โน อปริสุทฺธา, อคฺคปฺปตฺตา จ สารปฺปตฺตา จา”ติฯ
“Clearly, sir, it is purified. It has reached the peak and the pith.”
“น โข, นิโคฺรธ, เอตฺตาวตา ตโปชิคุจฺฉา อคฺคปฺปตฺตา จ โหติ สารปฺปตฺตา จ; อปิ จ โข ปปฏิกปฺปตฺตา โหตี”ติฯ
“No, Nigrodha, at this point the fervent mortification in disgust of sin has not yet reached the peak and the pith. Rather, it has only reached the shoots.”
๒ฯ๓ฯ ปริสุทฺธตจปฺปตฺตกถา
2.3. On Reaching the Bark
“กิตฺตาวตา ปน, ภนฺเต, ตโปชิคุจฺฉา อคฺคปฺปตฺตา จ โหติ สารปฺปตฺตา จ? สาธุ เม, ภนฺเต, ภควา ตโปชิคุจฺฉาย อคฺคญฺเญว ปาเปตุ, สารญฺเญว ปาเปตู”ติฯ
“But at what point, sir, does the fervent mortification in disgust of sin reach the peak and the pith? Please help me reach the peak and the pith!”
“อิธ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี จาตุยามสํวรสํวุโต โหติฯ กถญฺจ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี จาตุยามสํวรสํวุโต โหติ? อิธ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี น ปาณํ อติปาเตติ, น ปาณํ อติปาตยติ, น ปาณมติปาตยโต สมนุญฺโญ โหติฯ น อทินฺนํ อาทิยติ, น อทินฺนํ อาทิยาเปติ, น อทินฺนํ อาทิยโต สมนุญฺโญ โหติฯ น มุสา ภณติ, น มุสา ภณาเปติ, น มุสา ภณโต สมนุญฺโญ โหติฯ น ภาวิตมาสีสติ, น ภาวิตมาสีสาเปติ, น ภาวิตมาสีสโต สมนุญฺโญ โหติฯ เอวํ โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสี จาตุยามสํวรสํวุโต โหติฯ
“Nigrodha, take a mortifier who is restrained in the fourfold restraint. And how is a mortifier restrained in the fourfold restraint? It’s when a mortifier doesn’t kill living creatures, doesn’t get others to kill, and doesn’t approve of killing. They don’t steal, get others to steal, or approve of stealing. They don’t lie, get others to lie, or approve of lying. They don’t expect rewards from their practice, they don’t lead others to expect rewards, and they don’t approve of expecting rewards. That’s how a mortifier is restrained in the fourfold restraint.
ยโต โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสี จาตุยามสํวรสํวุโต โหติ, อทุํ จสฺส โหติ ตปสฺสิตายฯ โส อภิหรติ โน หีนายาวตฺตติฯ โส วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ อรญฺญํ รุกฺขมูลํ ปพฺพตํ กนฺทรํ คิริคุหํ สุสานํ วนปตฺถํ อพฺโภกาสํ ปลาลปุญฺชํฯ โส ปจฺฉาภตฺตํ ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อุชุํ กายํ ปณิธาย ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวาฯ โส อภิชฺฌํ โลเก ปหาย วิคตาภิชฺเฌน เจตสา วิหรติ, อภิชฺฌาย จิตฺตํ ปริโสเธติฯ พฺยาปาทปฺปโทสํ ปหาย อพฺยาปนฺนจิตฺโต วิหรติ สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี, พฺยาปาทปฺปโทสา จิตฺตํ ปริโสเธติฯ ถินมิทฺธํ ปหาย วิคตถินมิทฺโธ วิหรติ อาโลกสญฺญี สโต สมฺปชาโน, ถินมิทฺธา จิตฺตํ ปริโสเธติฯ อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ปหาย อนุทฺธโต วิหรติ อชฺฌตฺตํ วูปสนฺตจิตฺโต, อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจา จิตฺตํ ปริโสเธติฯ วิจิกิจฺฉํ ปหาย ติณฺณวิจิกิจฺโฉ วิหรติ อกถงฺกถี กุสเลสุ ธมฺเมสุ, วิจิกิจฺฉาย จิตฺตํ ปริโสเธติฯ
When a mortifier has the fourfold restraint, that is their mortification. They step forward, not falling back. They frequent a secluded lodging—a wilderness, the root of a tree, a hill, a ravine, a mountain cave, a charnel ground, a forest, the open air, a heap of straw. After the meal, they return from almsround, sit down cross-legged, set their body straight, and establish mindfulness in front of them. Giving up covetousness for the world, they meditate with a heart rid of covetousness, cleansing the mind of covetousness. Giving up ill will and malevolence, they meditate with a mind rid of ill will, full of compassion for all living beings, cleansing the mind of ill will. Giving up dullness and drowsiness, they meditate with a mind rid of dullness and drowsiness, perceiving light, mindful and aware, cleansing the mind of dullness and drowsiness. Giving up restlessness and remorse, they meditate without restlessness, their mind peaceful inside, cleansing the mind of restlessness and remorse. Giving up doubt, they meditate having gone beyond doubt, not undecided about skillful qualities, cleansing the mind of doubt.
โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติฯ ตถา ทุติยํฯ ตถา ตติยํฯ ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ เมตฺตาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปชฺเชน ผริตฺวา วิหรติฯ กรุณาสหคเตน เจตสา …เป… มุทิตาสหคเตน เจตสา …เป… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติฯ ตถา ทุติยํฯ ตถา ตติยํฯ ตถา จตุตฺถํฯ อิติ อุทฺธมโธ ติริยํ สพฺพธิ สพฺพตฺตตาย สพฺพาวนฺตํ โลกํ อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปชฺเชน ผริตฺวา วิหรติฯ
They give up these five hindrances, corruptions of the heart that weaken wisdom. Then they meditate spreading a heart full of love to one direction, and to the second, and to the third, and to the fourth. In the same way above, below, across, everywhere, all around, they spread a heart full of love to the whole world—abundant, expansive, limitless, free of enmity and ill will. They meditate spreading a heart full of compassion … They meditate spreading a heart full of rejoicing … They meditate spreading a heart full of equanimity to one direction, and to the second, and to the third, and to the fourth. In the same way above, below, across, everywhere, all around, they spread a heart full of equanimity to the whole world—abundant, expansive, limitless, free of enmity and ill will.
ตํ กึ มญฺญสิ, นิโคฺรธฯ ยทิ เอวํ สนฺเต ตโปชิคุจฺฉา ปริสุทฺธา วา โหติ อปริสุทฺธา วา”ติ?
What do you think, Nigrodha? If this is so, is the fervent mortification in disgust of sin purified or not?”
“อทฺธา โข, ภนฺเต, เอวํ สนฺเต ตโปชิคุจฺฉา ปริสุทฺธา โหติ โน อปริสุทฺธา, อคฺคปฺปตฺตา จ สารปฺปตฺตา จา”ติฯ
“Clearly, sir, it is purified. It has reached the peak and the pith.”
“น โข, นิโคฺรธ, เอตฺตาวตา ตโปชิคุจฺฉา อคฺคปฺปตฺตา จ โหติ สารปฺปตฺตา จ; อปิ จ โข ตจปฺปตฺตา โหตี”ติฯ
“No, Nigrodha, at this point the fervent mortification in disgust of sin has not yet reached the peak and the pith. Rather, it has only reached the bark.”
๒ฯ๔ฯ ปริสุทฺธเผคฺคุปฺปตฺตกถา
2.4. On Reaching the Softwood
“กิตฺตาวตา ปน, ภนฺเต, ตโปชิคุจฺฉา อคฺคปฺปตฺตา จ โหติ สารปฺปตฺตา จ? สาธุ เม, ภนฺเต, ภควา ตโปชิคุจฺฉาย อคฺคญฺเญว ปาเปตุ, สารญฺเญว ปาเปตู”ติฯ
“But at what point, sir, does the fervent mortification in disgust of sin reach the peak and the pith? Please help me reach the peak and the pith!”
“อิธ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี จาตุยามสํวรสํวุโต โหติฯ กถญฺจ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี จาตุยามสํวรสํวุโต โหติ …เป… ยโต โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสี จาตุยามสํวรสํวุโต โหติ, อทุํ จสฺส โหติ ตปสฺสิตายฯ โส อภิหรติ โน หีนายาวตฺตติฯ โส วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ …เป… โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ เมตฺตาสหคเตน เจตสา …เป… กรุณาสหคเตน เจตสา …เป… มุทิตาสหคเตน เจตสา …เป… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปชฺเชน ผริตฺวา วิหรติฯ
“Nigrodha, take a mortifier who is restrained in the fourfold restraint. They give up these five hindrances, corruptions of the heart that weaken wisdom. Then they meditate spreading a heart full of love … compassion … rejoicing … equanimity.
โส อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติ เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย ทสปิ ชาติโย วีสมฺปิ ชาติโย ตึสมฺปิ ชาติโย จตฺตาลีสมฺปิ ชาติโย ปญฺญาสมฺปิ ชาติโย ชาติสตมฺปิ ชาติสหสฺสมฺปิ ชาติสตสหสฺสมฺปิ อเนเกปิ สํวฏฺฏกปฺเป อเนเกปิ วิวฏฺฏกปฺเป อเนเกปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏกปฺเป: ‘อมุตฺราสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อมุตฺร อุทปาทึ, ตตฺราปาสึ เอวํนาโม เอวงฺโคตฺโต เอวํวณฺโณ เอวมาหาโร เอวํสุขทุกฺขปฺปฏิสํเวที เอวมายุปริยนฺโต, โส ตโต จุโต อิธูปปนฺโน'ติฯ อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ
They recollect many kinds of past lives, that is, one, two, three, four, five, ten, twenty, thirty, forty, fifty, a hundred, a thousand, a hundred thousand rebirths; many eons of the world contracting, many eons of the world expanding, many eons of the world contracting and expanding. They remember: ‘There, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn somewhere else. There, too, I was named this, my clan was that, I looked like this, and that was my food. This was how I felt pleasure and pain, and that was how my life ended. When I passed away from that place I was reborn here.’ And so they recollect their many kinds of past lives, with features and details.
ตํ กึ มญฺญสิ, นิโคฺรธ, ยทิ เอวํ สนฺเต ตโปชิคุจฺฉา ปริสุทฺธา วา โหติ อปริสุทฺธา วา”ติ?
What do you think, Nigrodha? If this is so, is the fervent mortification in disgust of sin purified or not?”
“อทฺธา โข, ภนฺเต, เอวํ สนฺเต ตโปชิคุจฺฉา ปริสุทฺธา โหติ, โน อปริสุทฺธา, อคฺคปฺปตฺตา จ สารปฺปตฺตา จา”ติฯ
“Clearly, sir, it is purified. It has reached the peak and the pith.”
“น โข, นิโคฺรธ, เอตฺตาวตา ตโปชิคุจฺฉา อคฺคปฺปตฺตา จ โหติ สารปฺปตฺตา จ; อปิ จ โข เผคฺคุปฺปตฺตา โหตี”ติฯ
“No, Nigrodha, at this point the fervent mortification in disgust of sin has not yet reached the peak and the pith. Rather, it has only reached the softwood.”
๓ฯ ปริสุทฺธอคฺคปฺปตฺตสารปฺปตฺตกถา
3. On Reaching the Heartwood
“กิตฺตาวตา ปน, ภนฺเต, ตโปชิคุจฺฉา อคฺคปฺปตฺตา จ โหติ สารปฺปตฺตา จ? สาธุ เม, ภนฺเต, ภควา ตโปชิคุจฺฉาย อคฺคญฺเญว ปาเปตุ, สารญฺเญว ปาเปตู”ติฯ
“But at what point, sir, does the fervent mortification in disgust of sin reach the peak and the pith? Please help me reach the peak and the pith!”
“อิธ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี จาตุยามสํวรสํวุโต โหติฯ กถญฺจ, นิโคฺรธ, ตปสฺสี จาตุยามสํวรสํวุโต โหติ …เป… ยโต โข, นิโคฺรธ, ตปสฺสี จาตุยามสํวรสํวุโต โหติ, อทุํ จสฺส โหติ ตปสฺสิตายฯ โส อภิหรติ โน หีนายาวตฺตติฯ โส วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ …เป… โส อิเม ปญฺจ นีวรเณ ปหาย เจตโส อุปกฺกิเลเส ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ เมตฺตาสหคเตน เจตสา …เป… อุเปกฺขาสหคเตน เจตสา วิปุเลน มหคฺคเตน อปฺปมาเณน อเวเรน อพฺยาปชฺเชน ผริตฺวา วิหรติฯ โส อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ เสยฺยถิทํ—เอกมฺปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย ติโสฺสปิ ชาติโย จตโสฺสปิ ชาติโย ปญฺจปิ ชาติโย …เป… อิติ สาการํ เสาทฺเทสํ อเนกวิหิตํ ปุพฺเพนิวาสํ อนุสฺสรติฯ
“Nigrodha, take a mortifier who is restrained in the fourfold restraint. They give up these five hindrances, corruptions of the heart that weaken wisdom. Then they meditate spreading a heart full of love … equanimity … They recollect many kinds of past lives, with features and details.
โส ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ สุคเต ทุคฺคเต, ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาติ: ‘อิเม วต โภนฺโต สตฺตา กายทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา วจีทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา มโนทุจฺจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อุปวาทกา มิจฺฉาทิฏฺฐิกา มิจฺฉาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานาฯ เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ นิรยํ อุปปนฺนาฯ อิเม วา ปน โภนฺโต สตฺตา กายสุจริเตน สมนฺนาคตา วจีสุจริเตน สมนฺนาคตา มโนสุจริเตน สมนฺนาคตา อริยานํ อนุปวาทกา สมฺมาทิฏฺฐิกา สมฺมาทิฏฺฐิกมฺมสมาทานาฯ เต กายสฺส เภทา ปรํ มรณา สุคตึ สคฺคํ โลกํ อุปปนฺนา'ติฯ อิติ ทิพฺเพน จกฺขุนา วิสุทฺเธน อติกฺกนฺตมานุสเกน สตฺเต ปสฺสติ จวมาเน อุปปชฺชมาเน หีเน ปณีเต สุวณฺเณ ทุพฺพณฺเณ สุคเต ทุคฺคเต, ยถากมฺมูปเค สตฺเต ปชานาติฯ
With clairvoyance that is purified and superhuman, they see sentient beings passing away and being reborn—inferior and superior, beautiful and ugly, in a good place or a bad place. They understand how sentient beings are reborn according to their deeds: ‘These dear beings did bad things by way of body, speech, and mind. They spoke ill of the noble ones; they had wrong view; and they chose to act out of that wrong view. When their body breaks up, after death, they’re reborn in a place of loss, a bad place, the underworld, hell. These dear beings, however, did good things by way of body, speech, and mind. They never spoke ill of the noble ones; they had right view; and they chose to act out of that right view. When their body breaks up, after death, they’re reborn in a good place, a heavenly realm.’ And so, with clairvoyance that is purified and superhuman, they see sentient beings passing away and being reborn—inferior and superior, beautiful and ugly, in a good place or a bad place. They understand how sentient beings are reborn according to their deeds.
ตํ กึ มญฺญสิ, นิโคฺรธ, ยทิ เอวํ สนฺเต ตโปชิคุจฺฉา ปริสุทฺธา วา โหติ อปริสุทฺธา วา”ติ?
What do you think, Nigrodha? If this is so, is the fervent mortification in disgust of sin purified or not?”
“อทฺธา โข, ภนฺเต, เอวํ สนฺเต ตโปชิคุจฺฉา ปริสุทฺธา โหติ โน อปริสุทฺธา, อคฺคปฺปตฺตา จ สารปฺปตฺตา จา”ติฯ
“Clearly, sir, it is purified. It has reached the peak and the pith.”
“เอตฺตาวตา โข, นิโคฺรธ, ตโปชิคุจฺฉา อคฺคปฺปตฺตา จ โหติ สารปฺปตฺตา จฯ อิติ โข, นิโคฺรธ, ยํ มํ ตฺวํ อวจาสิ: ‘โก นาม โส, ภนฺเต, ภควโต ธมฺโม, เยน ภควา สาวเก วิเนติ, เยน ภควตา สาวกา วินีตา อสฺสาสปฺปตฺตา ปฏิชานนฺติ อชฺฌาสยํ อาทิพฺรหฺมจริยนฺ'ติฯ อิติ โข ตํ, นิโคฺรธ, ฐานํ อุตฺตริตรญฺจ ปณีตตรญฺจ, เยนาหํ สาวเก วิเนมิ, เยน มยา สาวกา วินีตา อสฺสาสปฺปตฺตา ปฏิชานนฺติ อชฺฌาสยํ อาทิพฺรหฺมจริยนฺ”ติฯ
“Nigrodha, at this point the fervent mortification in disgust of sin has reached the peak and the pith. Nigrodha, remember you said this to me: ‘Sir, what teaching do you use to guide your disciples, through which they claim solace in the fundamental purpose of the spiritual life?’ Well, there is something better and finer than this. That’s what I use to guide my disciples, through which they claim solace in the fundamental purpose of the spiritual life.”
เอวํ วุตฺเต, เต ปริพฺพาชกา อุนฺนาทิโน อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทา อเหสุํ: “เอตฺถ มยํ อนสฺสาม สาจริยกา, น มยํ อิโต ภิโยฺย อุตฺตริตรํ ปชานามา”ติฯ
When he said this, those wanderers made an uproar, “In that case, we’re lost, and so is our tradition! We don’t know anything better or finer than that!”
๔ฯ นิโคฺรธสฺสปชฺฌายน
4. Nigrodha Feels Depressed
ยทา อญฺญาสิ สนฺธาโน คหปติ: “อญฺญทตฺถุ โข ทานิเม อญฺญติตฺถิยา ปริพฺพาชกา ภควโต ภาสิตํ สุสฺสูสนฺติ, โสตํ โอทหนฺติ, อญฺญาจิตฺตํ อุปฏฺฐาเปนฺตี”ติฯ
Then the householder Sandhāna realized, “Obviously, now these wanderers want to listen to what the Buddha says. They’re actively listening and trying to understand!”
อถ นิโคฺรธํ ปริพฺพาชกํ เอตทโวจ: “อิติ โข, ภนฺเต นิโคฺรธ, ยํ มํ ตฺวํ อวจาสิ: ‘ยคฺเฆ, คหปติ, ชาเนยฺยาสิ, เกน สมโณ โคตโม สทฺธึ สลฺลปติ, เกน สากจฺฉํ สมาปชฺชติ, เกน ปญฺญาเวยฺยตฺติยํ สมาปชฺชติ, สุญฺญาคารหตา สมณสฺส โคตมสฺส ปญฺญา, อปริสาวจโร สมโณ โคตโม นาลํ สลฺลาปาย, โส อนฺตมนฺตาเนว เสวติ; เสยฺยถาปิ นาม โคกาณา ปริยนฺตจารินี อนฺตมนฺตาเนว เสวติฯ เอวเมว สุญฺญาคารหตา สมณสฺส โคตมสฺส ปญฺญา, อปริสาวจโร สมโณ โคตโม นาลํ สลฺลาปาย; โส อนฺตมนฺตาเนว เสวติ; อิงฺฆ, คหปติ, สมโณ โคตโม อิมํ ปริสํ อาคจฺเฉยฺย, เอกปเญฺหเนว นํ สํสาเทยฺยาม, ตุจฺฉกุมฺภีว นํ มญฺเญ โอโรเธยฺยามา'ติฯ อยํ โข โส, ภนฺเต, ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ อิธานุปฺปตฺโต, อปริสาวจรํ ปน นํ กโรถ, โคกาณํ ปริยนฺตจารินึ กโรถ, เอกปเญฺหเนว นํ สํสาเทถ, ตุจฺฉกุมฺภีว นํ โอโรเธถา”ติฯ เอวํ วุตฺเต, นิโคฺรโธ ปริพฺพาชโก ตุณฺหีภูโต มงฺกุภูโต ปตฺตกฺขนฺโธ อโธมุโข ปชฺฌายนฺโต อปฺปฏิภาโน นิสีทิฯ
So he said to the wanderer Nigrodha, “Honorable Nigrodha, remember you said this to me: ‘Surely, householder, you should know better! With whom does the ascetic Gotama converse? With whom does he engage in discussion? With whom does he achieve lucidity of wisdom? Staying in empty huts has destroyed the ascetic Gotama’s wisdom. Not frequenting assemblies, he is unable to hold a discussion. He just lurks on the periphery. He’s just like a one-eyed cow, circling around and lurking on the periphery. Please, householder, let the ascetic Gotama come to this assembly. I’ll sink him with just one question! I’ll roll him over and wrap him up like a hollow pot!’ Now the Blessed One, perfected and fully awakened, has arrived here. Why don’t you send him out of the assembly to the periphery like a one-eyed cow? Why don’t you sink him with just one question? Why don’t you roll him over and wrap him up like a hollow pot?” When he said this, Nigrodha sat silent, dismayed, shoulders drooping, downcast, depressed, with nothing to say.
อถ โข ภควา นิโคฺรธํ ปริพฺพาชกํ ตุณฺหีภูตํ มงฺกุภูตํ ปตฺตกฺขนฺธํ อโธมุขํ ปชฺฌายนฺตํ อปฺปฏิภานํ วิทิตฺวา นิโคฺรธํ ปริพฺพาชกํ เอตทโวจ: “สจฺจํ กิร, นิโคฺรธ, ภาสิตา เต เอสา วาจา”ติ?
Knowing this, the Buddha said to him, “Is it really true, Nigrodha—are those your words?”
“สจฺจํ, ภนฺเต, ภาสิตา เม เอสา วาจา, ยถาพาเลน ยถามูเฬฺหน ยถาอกุสเลนา”ติฯ
“It’s true, sir, those are my words. It was foolish, stupid, and unskillful of me.”
“ตํ กึ มญฺญสิ, นิโคฺรธฯ กินฺติ เต สุตํ ปริพฺพาชกานํ วุฑฺฒานํ มหลฺลกานํ อาจริยปาจริยานํ ภาสมานานํ: ‘เย เต อเหสุํ อตีตมทฺธานํ อรหนฺโต สมฺมาสมฺพุทฺธา, เอวํ สุ เต ภควนฺโต สงฺคมฺม สมาคมฺม อุนฺนาทิโน อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทา อเนกวิหิตํ ติรจฺฉานกถํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติฯ เสยฺยถิทํ—ราชกถํ โจรกถํ …เป… อิติภวาภวกถํ อิติ วาฯ เสยฺยถาปิ ตฺวํ เอตรหิ สาจริยโกฯ อุทาหุ, เอวํ สุ เต ภควนฺโต อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิ ปฏิเสวนฺติ อปฺปสทฺทานิ อปฺปนิคฺโฆสานิ วิชนวาตานิ มนุสฺสราหเสฺสยฺยกานิ ปฏิสลฺลานสารุปฺปานิ, เสยฺยถาปาหํ เอตรหี'”ติฯ
“What do you think, Nigrodha? Have you heard that wanderers of the past who were elderly and senior, the teachers of teachers, said that when the perfected ones, the fully awakened Buddhas of the past came together, they made an uproar, a dreadful racket as they sat and talked about all kinds of low topics, like you do in your tradition these days? Or did they say that the Buddhas frequented remote lodgings in the wilderness and the forest that are quiet and still, far from the madding crowd, remote from human settlements, and fit for retreat, like I do these days?”
“สุตํ เมตํ, ภนฺเตฯ ปริพฺพาชกานํ วุฑฺฒานํ มหลฺลกานํ อาจริยปาจริยานํ ภาสมานานํ: ‘เย เต อเหสุํ อตีตมทฺธานํ อรหนฺโต สมฺมาสมฺพุทฺธา, น เอวํ สุ เต ภควนฺโต สงฺคมฺม สมาคมฺม อุนฺนาทิโน อุจฺจาสทฺทมหาสทฺทา อเนกวิหิตํ ติรจฺฉานกถํ อนุยุตฺตา วิหรนฺติฯ เสยฺยถิทํ—ราชกถํ โจรกถํ …เป… อิติภวาภวกถํ อิติ วา, เสยฺยถาปาหํ เอตรหิ สาจริยโกฯ เอวํ สุ เต ภควนฺโต อรญฺญวนปตฺถานิ ปนฺตานิ เสนาสนานิ ปฏิเสวนฺติ อปฺปสทฺทานิ อปฺปนิคฺโฆสานิ วิชนวาตานิ มนุสฺสราหเสฺสยฺยกานิ ปฏิสลฺลานสารุปฺปานิ, เสยฺยถาปิ ภควา เอตรหี'”ติฯ
“I have heard that wanderers of the past who were elderly and senior, said that when the perfected ones, the fully awakened Buddhas of the past came together, they didn’t make an uproar, like I do in my tradition these days. They said that the Buddhas of the past frequented remote lodgings in the wilderness, like the Buddha does these days.”
“ตสฺส เต, นิโคฺรธ, วิญฺญุสฺส สโต มหลฺลกสฺส น เอตทโหสิ: ‘พุทฺโธ โส ภควา โพธาย ธมฺมํ เทเสติ, ทนฺโต โส ภควา ทมถาย ธมฺมํ เทเสติ, สนฺโต โส ภควา สมถาย ธมฺมํ เทเสติ, ติณฺโณ โส ภควา ตรณาย ธมฺมํ เทเสติ, ปรินิพฺพุโต โส ภควา ปรินิพฺพานาย ธมฺมํ เทเสตี'”ติ?
“Nigrodha, you are a sensible and mature man. Did it not occur to you: ‘The Blessed One is awakened, tamed, serene, crossed over, and extinguished. And he teaches Dhamma for awakening, taming, serenity, crossing over, and Nibbana’?”
๕ฯ พฺรหฺมจริยปริโยสานสจฺฉิกิริยา
5. The Culmination of the Spiritual Path
เอวํ วุตฺเต, นิโคฺรโธ ปริพฺพาชโก ภควนฺตํ เอตทโวจ: “อจฺจโย มํ, ภนฺเต, อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, ยฺวาหํ เอวํ ภควนฺตํ อวจาสึฯ ตสฺส เม, ภนฺเต, ภควา อจฺจยํ อจฺจยโต ปฏิคฺคณฺหาตุ อายตึ สํวรายา”ติฯ
Nigrodha said, “I have made a mistake, sir. It was foolish, stupid, and unskillful of me to speak in that way. Please, sir, accept my mistake for what it is, so I will restrain myself in future.”
“ตคฺฆ ตฺวํ, นิโคฺรธ, อจฺจโย อจฺจคมา ยถาพาลํ ยถามูฬฺหํ ยถาอกุสลํ, โย มํ ตฺวํ เอวํ อวจาสิฯ ยโต จ โข ตฺวํ, นิโคฺรธ, อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฏิกโรสิ, ตํ เต มยํ ปฏิคฺคณฺหามฯ วุทฺธิ เหสา, นิโคฺรธ, อริยสฺส วินเย, โย อจฺจยํ อจฺจยโต ทิสฺวา ยถาธมฺมํ ปฏิกโรติ อายตึ สํวรํ อาปชฺชติฯ อหํ โข ปน, นิโคฺรธ, เอวํ วทามิ:
“Indeed, Nigrodha, you made a mistake. It was foolish, stupid, and unskillful of you to speak in that way. But since you have recognized your mistake for what it is, and have dealt with it properly, I accept it. For it is growth in the training of the Noble One to recognize a mistake for what it is, deal with it properly, and commit to restraint in the future. Nigrodha, this is what I say:
‘เอตุ วิญฺญู ปุริโส อสโฐ อมายาวี อุชุชาติโก, อหมนุสาสามิ อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฏฺฐํ ตถา ปฏิปชฺชมาโน—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสติ สตฺตวสฺสานิฯ ติฏฺฐนฺตุ, นิโคฺรธ, สตฺต วสฺสานิฯ เอตุ วิญฺญู ปุริโส อสโฐ อมายาวี อุชุชาติโก, อหมนุสาสามิ อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฏฺฐํ ตถา ปฏิปชฺชมาโน—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสติ ฉ วสฺสานิฯ ปญฺจ วสฺสานิ … จตฺตาริ วสฺสานิ … ตีณิ วสฺสานิ … เทฺว วสฺสานิ … เอกํ วสฺสํฯ ติฏฺฐตุ, นิโคฺรธ, เอกํ วสฺสํฯ เอตุ วิญฺญู ปุริโส อสโฐ อมายาวี อุชุชาติโก อหมนุสาสามิ อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฏฺฐํ ตถา ปฏิปชฺชมาโน—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสติ สตฺต มาสานิฯ ติฏฺฐนฺตุ, นิโคฺรธ, สตฺต มาสานิ … ฉ มาสานิ … ปญฺจ มาสานิ … จตฺตาริ มาสานิ … ตีณิ มาสานิ … เทฺว มาสานิ … เอกํ มาสํ … อฑฺฒมาสํฯ ติฏฺฐตุ, นิโคฺรธ, อฑฺฒมาโสฯ เอตุ วิญฺญู ปุริโส อสโฐ อมายาวี อุชุชาติโก, อหมนุสาสามิ อหํ ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถานุสิฏฺฐํ ตถา ปฏิปชฺชมาโน—ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชนฺติ, ตทนุตฺตรํ—พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสติ สตฺตาหํ'ฯ
Let a sensible person come—neither devious nor deceitful, a person of integrity. I teach and instruct them. By practicing as instructed they will realize the supreme end of the spiritual path in this very life, in seven years. They will live having achieved with their own insight the goal for which gentlemen rightly go forth from the lay life to homelessness. Let alone seven years. Let a sensible person come—neither devious nor deceitful, a person of integrity. I teach and instruct them. By practicing as instructed they will realize the supreme end of the spiritual path in this very life, in six years … five years … four years … three years … two years … one year … seven months … six months … five months … four months … three months … two months … one month … a fortnight. Let alone a fortnight. Let a sensible person come—neither devious nor deceitful, a person of integrity. I teach and instruct them. By practicing as instructed they will realize the supreme end of the spiritual path in this very life, in seven days.
๖ฯ ปริพฺพาชกานํปชฺฌายน
6. The Wanderers Feel Depressed
สิยา โข ปน เต, นิโคฺรธ, เอวมสฺส: ‘อนฺเตวาสิกมฺยตา โน สมโณ โคตโม เอวมาหา'ติฯ น โข ปเนตํ, นิโคฺรธ, เอวํ ทฏฺฐพฺพํฯ โย เอว โว อาจริโย, โส เอว โว อาจริโย โหตุฯ
Nigrodha, you might think, ‘The ascetic Gotama speaks like this because he wants pupils.’ But you should not see it like this. Let your teacher remain your teacher.
สิยา โข ปน เต, นิโคฺรธ, เอวมสฺส: ‘อุทฺเทสา โน จาเวตุกาโม สมโณ โคตโม เอวมาหา'ติฯ น โข ปเนตํ, นิโคฺรธ, เอวํ ทฏฺฐพฺพํฯ โย เอว โว อุทฺเทโส โส เอว โว อุทฺเทโส โหตุฯ
You might think, ‘The ascetic Gotama speaks like this because he wants us to give up our recitation.’ But you should not see it like this. Let your recitation remain as it is.
สิยา โข ปน เต, นิโคฺรธ, เอวมสฺส: ‘อาชีวา โน จาเวตุกาโม สมโณ โคตโม เอวมาหา'ติฯ น โข ปเนตํ, นิโคฺรธ, เอวํ ทฏฺฐพฺพํฯ โย เอว โว อาชีโว, โส เอว โว อาชีโว โหตุฯ
You might think, ‘The ascetic Gotama speaks like this because he wants us to give up our livelihood.’ But you should not see it like this. Let your livelihood remain as it is.
สิยา โข ปน เต, นิโคฺรธ, เอวมสฺส: ‘เย โน ธมฺมา อกุสลา อกุสลสงฺขาตา สาจริยกานํ, เตสุ ปติฏฺฐาเปตุกาโม สมโณ โคตโม เอวมาหา'ติฯ น โข ปเนตํ, นิโคฺรธ, เอวํ ทฏฺฐพฺพํฯ อกุสลา เจว โว เต ธมฺมา โหนฺตุ อกุสลสงฺขาตา จ สาจริยกานํฯ
You might think, ‘The ascetic Gotama speaks like this because he wants us to start doing things that are unskillful and considered unskillful in our tradition.’ But you should not see it like this. Let those things that are unskillful and considered unskillful in your tradition remain as they are.
สิยา โข ปน เต, นิโคฺรธ, เอวมสฺส: ‘เย โน ธมฺมา กุสลา กุสลสงฺขาตา สาจริยกานํ, เตหิ วิเวเจตุกาโม สมโณ โคตโม เอวมาหา'ติฯ น โข ปเนตํ, นิโคฺรธ, เอวํ ทฏฺฐพฺพํฯ กุสลา เจว โว เต ธมฺมา โหนฺตุ กุสลสงฺขาตา จ สาจริยกานํฯ
You might think, ‘The ascetic Gotama speaks like this because he wants us to stop doing things that are skillful and considered skillful in our tradition.’ But you should not see it like this. Let those things that are skillful and considered skillful in your tradition remain as they are.
อิติ ขฺวาหํ, นิโคฺรธ, เนว อนฺเตวาสิกมฺยตา เอวํ วทามิ, นปิ อุทฺเทสา จาเวตุกาโม เอวํ วทามิ, นปิ อาชีวา จาเวตุกาโม เอวํ วทามิ, นปิ เย โว ธมฺมา อกุสลา อกุสลสงฺขาตา สาจริยกานํ, เตสุ ปติฏฺฐาเปตุกาโม เอวํ วทามิ, นปิ เย โว ธมฺมา กุสลา กุสลสงฺขาตา สาจริยกานํ, เตหิ วิเวเจตุกาโม เอวํ วทามิฯ สนฺติ จ โข, นิโคฺรธ, อกุสลา ธมฺมา อปฺปหีนา สงฺกิเลสิกา โปโนพฺภวิกา สทรา ทุกฺขวิปากา อายตึ ชาติชรามรณิยา, เยสาหํ ปหานาย ธมฺมํ เทเสมิฯ ยถาปฏิปนฺนานํ โว สงฺกิเลสิกา ธมฺมา ปหียิสฺสนฺติ, โวทานียา ธมฺมา อภิวฑฺฒิสฺสนฺติ, ปญฺญาปาริปูรึ เวปุลฺลตฺตญฺจ ทิฏฺเฐว ธมฺเม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา”ติฯ
I do not speak for any of these reasons. Nigrodha, there are things that are unskillful, corrupting, leading to future lives, hurtful, resulting in suffering and future rebirth, old age, and death. I teach Dhamma so that those things may be given up. When you practice accordingly, corrupting qualities will be given up in you and cleansing qualities will grow. You’ll enter and remain in the fullness and abundance of wisdom, having realized it with your own insight in this very life.”
เอวํ วุตฺเต, เต ปริพฺพาชกา ตุณฺหีภูตา มงฺกุภูตา ปตฺตกฺขนฺธา อโธมุขา ปชฺฌายนฺตา อปฺปฏิภานา นิสีทึสุ ยถา ตํ มาเรน ปริยุฏฺฐิตจิตฺตาฯ อถ โข ภควโต เอตทโหสิ: “สพฺเพปิเม โมฆปุริสา ผุฏฺฐา ปาปิมตาฯ ยตฺร หิ นาม เอกสฺสปิ น เอวํ ภวิสฺสติ: ‘หนฺท มยํ อญฺญาณตฺถมฺปิ สมเณ โคตเม พฺรหฺมจริยํ จราม, กึ กริสฺสติ สตฺตาโห'”ติ?
When this was said, those wanderers sat silent, dismayed, shoulders drooping, downcast, depressed, with nothing to say, as if their minds were possessed by Māra. Then the Buddha thought, “All these foolish people have been touched by the Wicked One! For not even a single one thinks, ‘Come, let us lead the spiritual life under the ascetic Gotama for the sake of enlightenment—for what do seven days matter?’”
อถ โข ภควา อุทุมฺพริกาย ปริพฺพาชการาเม สีหนาทํ นทิตฺวา เวหาสํ อพฺภุคฺคนฺตฺวา คิชฺฌกูเฏ ปพฺพเต ปจฺจุปฏฺฐาสิฯ สนฺธาโน ปน คหปติ ตาวเทว ราชคหํ ปาวิสีติฯ
Then the Buddha, having roared his lion’s roar in the lady Udumbarikā’s monastery for wanderers, rose into the air and landed on Vulture’s Peak. Meanwhile, the householder Sandhāna went right back to Rājagaha.
อุทุมฺพริกสุตฺตํ นิฏฺฐิตํ ทุติยํฯ
The authoritative text of the Dīgha Nikāya is the Pāli text. The English translation is provided as an aid to the study of the original Pāli text. [CREDITS »]