Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ทีฆ นิกาย (อฎฺฐกถา) • Dīgha nikāya (aṭṭhakathā)

    ๒. อุทุมฺพริกสุตฺตวณฺณนา

    2. Udumbarikasuttavaṇṇanā

    นิโคฺรธปริพฺพาชกวตฺถุวณฺณนา

    Nigrodhaparibbājakavatthuvaṇṇanā

    ๔๙. เอวํ เม สุตนฺติ อุทุมฺพริกสุตฺตํฯ ตตฺรายมปุพฺพปทวณฺณนา – ปริพฺพาชโกติ ฉนฺนปริพฺพาชโกฯ อุทุมฺพริกาย ปริพฺพาชการาเมติ อุทุมฺพริกาย เทวิยา สนฺตเก ปริพฺพาชการาเมฯ สนฺธาโนติ ตสฺส นามํฯ อยํ ปน มหานุภาโว ปริวาเรตฺวา วิจรนฺตานํ ปญฺจนฺนํ อุปาสกสตานํ อคฺคปุริโส อนาคามี ภควตา มหาปริสมเชฺฌ เอวํ สํวณฺณิโต –

    49.Evaṃme sutanti udumbarikasuttaṃ. Tatrāyamapubbapadavaṇṇanā – paribbājakoti channaparibbājako. Udumbarikāya paribbājakārāmeti udumbarikāya deviyā santake paribbājakārāme. Sandhānoti tassa nāmaṃ. Ayaṃ pana mahānubhāvo parivāretvā vicarantānaṃ pañcannaṃ upāsakasatānaṃ aggapuriso anāgāmī bhagavatā mahāparisamajjhe evaṃ saṃvaṇṇito –

    ‘‘ฉหิ, ภิกฺขเว, อเงฺคหิ สมนฺนาคโต สนฺธาโน คหปติ ตถาคเต นิฎฺฐงฺคโต สทฺธเมฺม อิริยติฯ กตเมหิ ฉหิ? พุเทฺธ อเวจฺจปฺปสาเทน ธเมฺม อเวจฺจปฺปสาเทน สเงฺฆ อเวจฺจปฺปสาเทน อริเยน สีเลน อริเยน ญาเณน อริยาย วิมุตฺติยาฯ อิเมหิ โข, ภิกฺขเว, ฉหิ อเงฺคหิ สมนฺนาคโต สนฺธาโน คหปติ ตถาคเต นิฎฺฐงฺคโต สทฺธเมฺม อิริยตี’’ติ (อ. นิ. ๖.๑๒๐-๑๓๙)ฯ

    ‘‘Chahi, bhikkhave, aṅgehi samannāgato sandhāno gahapati tathāgate niṭṭhaṅgato saddhamme iriyati. Katamehi chahi? Buddhe aveccappasādena dhamme aveccappasādena saṅghe aveccappasādena ariyena sīlena ariyena ñāṇena ariyāya vimuttiyā. Imehi kho, bhikkhave, chahi aṅgehi samannāgato sandhāno gahapati tathāgate niṭṭhaṅgato saddhamme iriyatī’’ti (a. ni. 6.120-139).

    โส ปาโตเยว อุโปสถงฺคานิ อธิฎฺฐาย ปุพฺพณฺหสมเย พุทฺธปฺปมุขสฺส สงฺฆสฺส ทานํ ทตฺวา ภิกฺขูสุ วิหารํ คเตสุ ฆเร ขุทฺทกมหลฺลกานํ ทารกานํ สเทฺทน อุพฺพาโฬฺห สตฺถุ สนฺติเก ‘‘ธมฺมํ โสสฺสามี’’ติ นิกฺขโนฺตฯ เตน วุตฺตํ ทิวา ทิวสฺส ราชคหา นิกฺขมีติฯ ตตฺถ ทิวา ทิวสฺสาติ ทิวสสฺส ทิวา นาม มชฺฌนฺหาติกฺกโม, ตสฺมิํ ทิวสสฺสาปิ ทิวาภูเต อติกฺกนฺตมเตฺต มชฺฌนฺหิเก นิกฺขมีติ อโตฺถฯ ปฎิสลฺลีโนติ ตโต ตโต รูปาทิโคจรโต จิตฺตํ ปฎิสํหริตฺวา นิลีโน ฌานรติเสวนาวเสน เอกีภาวํ คโตฯ มโนภาวนียานนฺติ มนวฑฺฒกานํฯ เย จ อาวชฺชโต มนสิกโรโต จิตฺตํ วินีวรณํ โหติ อุนฺนมติ วฑฺฒติฯ

    So pātoyeva uposathaṅgāni adhiṭṭhāya pubbaṇhasamaye buddhappamukhassa saṅghassa dānaṃ datvā bhikkhūsu vihāraṃ gatesu ghare khuddakamahallakānaṃ dārakānaṃ saddena ubbāḷho satthu santike ‘‘dhammaṃ sossāmī’’ti nikkhanto. Tena vuttaṃ divā divassa rājagahā nikkhamīti. Tattha divā divassāti divasassa divā nāma majjhanhātikkamo, tasmiṃ divasassāpi divābhūte atikkantamatte majjhanhike nikkhamīti attho. Paṭisallīnoti tato tato rūpādigocarato cittaṃ paṭisaṃharitvā nilīno jhānaratisevanāvasena ekībhāvaṃ gato. Manobhāvanīyānanti manavaḍḍhakānaṃ. Ye ca āvajjato manasikaroto cittaṃ vinīvaraṇaṃ hoti unnamati vaḍḍhati.

    ๕๐. อุนฺนาทินิยาติอาทีนิ โปฎฺฐปาทสุเตฺต วิตฺถาริตนเยเนว เวทิตพฺพานิฯ

    50.Unnādiniyātiādīni poṭṭhapādasutte vitthāritanayeneva veditabbāni.

    ๕๑. ยาวตาติ ยตฺตกาฯ อยํ เตสํ อญฺญตโรติ อยํ เตสํ อพฺภนฺตโร เอโก สาวโก, ภควโต กิร สาวกา คิหิอนาคามิโนเยว ปญฺจสตา ราชคเห ปฎิวสนฺติฯ เยสํ เอเกกสฺส ปญฺจ ปญฺจ อุปาสกสตานิ ปริวารา, เต สนฺธาย ‘‘อยํ เตสํ อญฺญตโร’’ติ อาหฯ อเปฺปว นามาติ ตสฺส อุปสงฺกมนํ ปตฺถยมาโน อาหฯ ปตฺถนาการณํ ปน โปฎฺฐปาทสุเตฺต วุตฺตเมวฯ

    51.Yāvatāti yattakā. Ayaṃ tesaṃ aññataroti ayaṃ tesaṃ abbhantaro eko sāvako, bhagavato kira sāvakā gihianāgāminoyeva pañcasatā rājagahe paṭivasanti. Yesaṃ ekekassa pañca pañca upāsakasatāni parivārā, te sandhāya ‘‘ayaṃ tesaṃ aññataro’’ti āha. Appeva nāmāti tassa upasaṅkamanaṃ patthayamāno āha. Patthanākāraṇaṃ pana poṭṭhapādasutte vuttameva.

    ๕๒. เอตทโวจาติ อาคจฺฉโนฺต อนฺตรามเคฺคเยว เตสํ กถาย สุตตฺตา เอตํ อญฺญถา โข อิเมติอาทิวจนํ อโวจฯ ตตฺถ อญฺญติตฺถิยาติ ทสฺสเนนปิ อากเปฺปนปิ กุเตฺตนปิ อาจาเรนปิ วิหาเรนปิ อิริยาปเถนปิ อเญฺญ ติตฺถิยาติ อญฺญติตฺถิยาฯ สงฺคมฺม สมาคมฺมาติ สงฺคนฺตฺวา สมาคนฺตฺวา ราสิ หุตฺวา นิสินฺนฎฺฐาเนฯ อรญฺญวนปตฺถานีติ อรญฺญวนปตฺถานิ คามูปจารโต มุตฺตานิ ทูรเสนาสนานิฯ ปนฺตานีติ ทูรตรานิ มนุสฺสูปจารวิรหิตานิฯ อปฺปสทฺทานีติ วิหารูปจาเรน คจฺฉโต อทฺธิกชนสฺสปิ สเทฺทน มนฺทสทฺทานิฯ อปฺปนิโคฺฆสานีติ อวิภาวิตเตฺถน นิโคฺฆเสน มนฺทนิโคฺฆสานิฯ วิชนวาตานีติ อโนฺตสญฺจาริโน ชนสฺส วาเตน วิคตวาตานิฯ มนุสฺสราหเสฺสยฺยกานีติ มนุสฺสานํ รหสฺสกรณสฺส ยุตฺตานิ อนุจฺฉวิกานิฯ ปฎิสลฺลานสารุปฺปานีติ เอกีภาวสฺส อนุรูปานิฯ อิติ สนฺธาโน คหปติ ‘‘อโห มม สตฺถา โย เอวรูปานิ เสนาสนานิ ปฎิเสวตี’’ติ อญฺชลิํ ปคฺคยฺห อุตฺตมเงฺค สิรสฺมิํ ปติฎฺฐเปตฺวา อิมํ อุทานํ อุทาเนโนฺต นิสีทิฯ

    52.Etadavocāti āgacchanto antarāmaggeyeva tesaṃ kathāya sutattā etaṃ aññathā kho imetiādivacanaṃ avoca. Tattha aññatitthiyāti dassanenapi ākappenapi kuttenapi ācārenapi vihārenapi iriyāpathenapi aññe titthiyāti aññatitthiyā. Saṅgamma samāgammāti saṅgantvā samāgantvā rāsi hutvā nisinnaṭṭhāne. Araññavanapatthānīti araññavanapatthāni gāmūpacārato muttāni dūrasenāsanāni. Pantānīti dūratarāni manussūpacāravirahitāni. Appasaddānīti vihārūpacārena gacchato addhikajanassapi saddena mandasaddāni. Appanigghosānīti avibhāvitatthena nigghosena mandanigghosāni. Vijanavātānīti antosañcārino janassa vātena vigatavātāni. Manussarāhasseyyakānīti manussānaṃ rahassakaraṇassa yuttāni anucchavikāni. Paṭisallānasāruppānīti ekībhāvassa anurūpāni. Iti sandhāno gahapati ‘‘aho mama satthā yo evarūpāni senāsanāni paṭisevatī’’ti añjaliṃ paggayha uttamaṅge sirasmiṃ patiṭṭhapetvā imaṃ udānaṃ udānento nisīdi.

    ๕๓. เอวํ วุเตฺตติ เอวํ สนฺธาเนน คหปตินา อุทานํ อุทาเนเนฺตน วุเตฺตฯ นิโคฺรโธ ปริพฺพาชโก อยํ คหปติ มม สนฺติเก นิสิโนฺนปิ อตฺตโน สตฺถารํเยว โถเมติ อุกฺกํสติ, อเมฺห ปน อตฺถีติปิ น มญฺญติ, เอตสฺมิํ อุปฺปนฺนโกปํ สมณสฺส โคตมสฺส อุปริ ปาเตสฺสามีติ สนฺธานํ คหปติํ เอตทโวจฯ

    53.Evaṃ vutteti evaṃ sandhānena gahapatinā udānaṃ udānentena vutte. Nigrodho paribbājako ayaṃ gahapati mama santike nisinnopi attano satthāraṃyeva thometi ukkaṃsati, amhe pana atthītipi na maññati, etasmiṃ uppannakopaṃ samaṇassa gotamassa upari pātessāmīti sandhānaṃ gahapatiṃ etadavoca.

    ยเคฺฆติ โจทนเตฺถ นิปาโตฯ ชาเนยฺยาสีติ พุเชฺฌยฺยาสิ ปเสฺสยฺยาสิฯ เกน สมโณ โคตโม สทฺธิํ สลฺลปตีติ เกน การเณน เกน ปุคฺคเลน สทฺธิํ สมโณ โคตโม สลฺลปติ วทติ ภาสติฯ กิํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘ยทิ กิญฺจิ สลฺลาปการณํ ภเวยฺย, ยทิ วา โกจิ สมณสฺส โคตมสฺส สนฺติกํ สลฺลาปตฺถิโก คเจฺฉยฺย, สลฺลเปยฺย, น ปน การณํ อตฺถิ, น ตสฺส สนฺติกํ โกจิ คจฺฉติ, สฺวายํ เกน สมโณ โคตโม สทฺธิํ สลฺลปติ, อสลฺลปโนฺต กถํ อุนฺนาที ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Yaggheti codanatthe nipāto. Jāneyyāsīti bujjheyyāsi passeyyāsi. Kena samaṇo gotamo saddhiṃ sallapatīti kena kāraṇena kena puggalena saddhiṃ samaṇo gotamo sallapati vadati bhāsati. Kiṃ vuttaṃ hoti – ‘‘yadi kiñci sallāpakāraṇaṃ bhaveyya, yadi vā koci samaṇassa gotamassa santikaṃ sallāpatthiko gaccheyya, sallapeyya, na pana kāraṇaṃ atthi, na tassa santikaṃ koci gacchati, svāyaṃ kena samaṇo gotamo saddhiṃ sallapati, asallapanto kathaṃ unnādī bhavissatī’’ti.

    สากจฺฉนฺติ สํสนฺทนํฯ ปญฺญาเวยฺยตฺติยนฺติ อุตฺตรปจฺจุตฺตรนเยน ญาณพฺยตฺตภาวํฯ สุญฺญาคารหตาติ สุญฺญาคาเรสุ นฎฺฐา, สมเณน หิ โคตเมน โพธิมูเล อปฺปมตฺติกา ปญฺญา อธิคตา, สาปิสฺส สุญฺญาคาเรสุ เอกกสฺส นิสีทโต นฎฺฐาฯ ยทิ ปน มยํ วิย คณสงฺคณิกํ กตฺวา นิสีเทยฺย, นาสฺส ปญฺญา นเสฺสยฺยาติ ทเสฺสติฯ อปริสาวจโรติ อวิสารทตฺตา ปริสํ โอตริตุํ น สโกฺกติฯ นาลํ สลฺลาปายาติ น สมโตฺถ สลฺลาปํ กาตุํฯ อนฺตมนฺตาเนวาติ โกจิ มํ ปญฺหํ ปุเจฺฉยฺยาติ ปญฺหาภีโต อนฺตมนฺตาเนว ปนฺตเสนาสนานิ เสวติฯ โคกาณาติ เอกกฺขิหตา กาณคาวีฯ สา กิร ปริยนฺตจารินี โหติ, อนฺตมนฺตาเนว เสวติฯ สา กิร กาณกฺขิภาเวน วนนฺตาภิมุขีปิ น สโกฺกติ ภวิตุํฯ กสฺมา? ยสฺมา ปเตฺตน วา สาขาย วา กณฺฎเกน วา ปหารสฺส ภายติฯ คุนฺนํ อภิมุขีปิ น สโกฺกติ ภวิตุํฯ กสฺมา? ยสฺมา สิเงฺคน วา กเณฺณน วา วาเลน วา ปหารสฺส ภายติฯ อิงฺฆาติ โจทนเตฺถ นิปาโตฯ สํสาเทยฺยามาติ เอกปญฺหปุจฺฉเนเนว สํสาทนํ วิสาทมาปนฺนํ กเรยฺยามฯ ตุจฺฉกุมฺภีว นนฺติ ริตฺตฆฎํ วิย นํฯ โอโรเธยฺยามาติ วินเนฺธยฺยามฯ ปูริตฆโฎ หิ อิโต จิโต จ ปริวเตฺตตฺวา น สุวินนฺธนีโย โหติฯ ริตฺตโก ยถารุจิ ปริวเตฺตตฺวา สกฺกา โหติ วินนฺธิตุํ, เอวเมว หตปญฺญตาย ริตฺตกุมฺภิสทิสํ สมณํ โคตมํ วาทวินนฺธเนน สมนฺตา วินนฺธิสฺสามาติ วทติฯ

    Sākacchanti saṃsandanaṃ. Paññāveyyattiyanti uttarapaccuttaranayena ñāṇabyattabhāvaṃ. Suññāgārahatāti suññāgāresu naṭṭhā, samaṇena hi gotamena bodhimūle appamattikā paññā adhigatā, sāpissa suññāgāresu ekakassa nisīdato naṭṭhā. Yadi pana mayaṃ viya gaṇasaṅgaṇikaṃ katvā nisīdeyya, nāssa paññā nasseyyāti dasseti. Aparisāvacaroti avisāradattā parisaṃ otarituṃ na sakkoti. Nālaṃ sallāpāyāti na samattho sallāpaṃ kātuṃ. Antamantānevāti koci maṃ pañhaṃ puccheyyāti pañhābhīto antamantāneva pantasenāsanāni sevati. Gokāṇāti ekakkhihatā kāṇagāvī. Sā kira pariyantacārinī hoti, antamantāneva sevati. Sā kira kāṇakkhibhāvena vanantābhimukhīpi na sakkoti bhavituṃ. Kasmā? Yasmā pattena vā sākhāya vā kaṇṭakena vā pahārassa bhāyati. Gunnaṃ abhimukhīpi na sakkoti bhavituṃ. Kasmā? Yasmā siṅgena vā kaṇṇena vā vālena vā pahārassa bhāyati. Iṅghāti codanatthe nipāto. Saṃsādeyyāmāti ekapañhapucchaneneva saṃsādanaṃ visādamāpannaṃ kareyyāma. Tucchakumbhīva nanti rittaghaṭaṃ viya naṃ. Orodheyyāmāti vinandheyyāma. Pūritaghaṭo hi ito cito ca parivattetvā na suvinandhanīyo hoti. Rittako yathāruci parivattetvā sakkā hoti vinandhituṃ, evameva hatapaññatāya rittakumbhisadisaṃ samaṇaṃ gotamaṃ vādavinandhanena samantā vinandhissāmāti vadati.

    อิติ ปริพฺพาชโก สตฺถุ สุวณฺณวณฺณํ นลาฎมณฺฑลํ อปสฺสโนฺต ทสพลสฺส ปรมฺมุขา อตฺตโน พลํ ทีเปโนฺต อสมฺภินฺนํ ขตฺติยกุมารํ ชาติยา ฆฎฺฎยโนฺต จณฺฑาลปุโตฺต วิย อสมฺภินฺนเกสรสีหํ มิคราชานํ ถาเมน ฆเฎฺฎโนฺต ชรสิงฺคาโล วิย จ นานปฺปการํ ตุจฺฉคชฺชิตํ คชฺชิฯ อุปาสโกปิ จิเนฺตสิ ‘‘อยํ ปริพฺพาชโก อติ วิย คชฺชติ, อวีจิผุสนตฺถาย ปาทํ, ภวคฺคคฺคหณตฺถาย หตฺถํ ปสารยโนฺต วิย นิรตฺถกํ วายมติฯ สเจ เม สตฺถา อิมํ ฐานมาคเจฺฉยฺย, อิมสฺส ปริพฺพาชกสฺส ยาว ภวคฺคา อุสฺสิตํ มานทฺธชํ ฐานโสว โอปาเตยฺยา’’ติฯ

    Iti paribbājako satthu suvaṇṇavaṇṇaṃ nalāṭamaṇḍalaṃ apassanto dasabalassa parammukhā attano balaṃ dīpento asambhinnaṃ khattiyakumāraṃ jātiyā ghaṭṭayanto caṇḍālaputto viya asambhinnakesarasīhaṃ migarājānaṃ thāmena ghaṭṭento jarasiṅgālo viya ca nānappakāraṃ tucchagajjitaṃ gajji. Upāsakopi cintesi ‘‘ayaṃ paribbājako ati viya gajjati, avīciphusanatthāya pādaṃ, bhavaggaggahaṇatthāya hatthaṃ pasārayanto viya niratthakaṃ vāyamati. Sace me satthā imaṃ ṭhānamāgaccheyya, imassa paribbājakassa yāva bhavaggā ussitaṃ mānaddhajaṃ ṭhānasova opāteyyā’’ti.

    ๕๔. ภควาปิ เตสํ ตํ กถาสลฺลาปํ อโสฺสสิเยวฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อโสฺสสิ โข อิมํ กถาสลฺลาป’’นฺติฯ

    54. Bhagavāpi tesaṃ taṃ kathāsallāpaṃ assosiyeva. Tena vuttaṃ ‘‘assosi kho imaṃ kathāsallāpa’’nti.

    สุมาคธายาติ สุมาคธา นาม โปกฺขรณี, ยสฺสา ตีเร นิสิโนฺน อญฺญตโร ปุริโส ปทุมนาฬนฺตเรหิ อสุรภวนํ ปวิสนฺตํ อสุรเสนํ อทฺทสฯ โมรนิวาโปติ นิวาโป วุจฺจติ ภตฺตํ, ยตฺถ โมรานํ อภเยน สทฺธิํ นิวาโป ทิโนฺน, ตํ ฐานนฺติ อโตฺถฯ อโพฺภกาเสติ องฺคณฎฺฐาเนฯ อสฺสาสปตฺตาติ ตุฎฺฐิปตฺตา โสมนสฺสปตฺตาฯ อชฺฌาสยนฺติ อุตฺตมนิสฺสยภูตํฯ อาทิพฺรหฺมจริยนฺติ ปุราณพฺรหฺมจริยสงฺขาตํ อริยมคฺคํฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ‘‘โก นาม โส, ภเนฺต, ธโมฺม เยน ภควตา สาวกา วินีตา อชฺฌาสยาทิพฺรหฺมจริยภูตํ อริยมคฺคํ ปูเรตฺวา อรหตฺตาธิคมวเสน อสฺสาสปตฺตา ปฎิชานนฺตี’’ติฯ

    Sumāgadhāyāti sumāgadhā nāma pokkharaṇī, yassā tīre nisinno aññataro puriso padumanāḷantarehi asurabhavanaṃ pavisantaṃ asurasenaṃ addasa. Moranivāpoti nivāpo vuccati bhattaṃ, yattha morānaṃ abhayena saddhiṃ nivāpo dinno, taṃ ṭhānanti attho. Abbhokāseti aṅgaṇaṭṭhāne. Assāsapattāti tuṭṭhipattā somanassapattā. Ajjhāsayanti uttamanissayabhūtaṃ. Ādibrahmacariyanti purāṇabrahmacariyasaṅkhātaṃ ariyamaggaṃ. Idaṃ vuttaṃ hoti – ‘‘ko nāma so, bhante, dhammo yena bhagavatā sāvakā vinītā ajjhāsayādibrahmacariyabhūtaṃ ariyamaggaṃ pūretvā arahattādhigamavasena assāsapattā paṭijānantī’’ti.

    ตโปชิคุจฺฉาวาทวณฺณนา

    Tapojigucchāvādavaṇṇanā

    ๕๕. วิปฺปกตาติ มมาคมนปจฺจยา อนิฎฺฐิตา, ว หุตฺวา ฐิตา, กเถหิ, อหเมตํ นิฎฺฐเปตฺวา มตฺถกํ ปาเปตฺวา ทเสฺสมีติ สพฺพญฺญุปวารณํ ปวาเรสิฯ

    55.Vippakatāti mamāgamanapaccayā aniṭṭhitā, va hutvā ṭhitā, kathehi, ahametaṃ niṭṭhapetvā matthakaṃ pāpetvā dassemīti sabbaññupavāraṇaṃ pavāresi.

    ๕๖. ทุชฺชานํ โขติ ภควา ปริพฺพาชกสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘อยํ ปริพฺพาชโก มยา สาวกานํ เทเสตพฺพํ ธมฺมํ เตหิ ปูเรตพฺพํ ปฎิปตฺติํ ปุจฺฉติ, สจสฺสาหํ อาทิโตว ตํ กเถสฺสามิ, กถิตมฺปิ นํ น ชานิสฺสติ, อยํ ปน วีริเยน ปาปชิคุจฺฉนวาโท, หนฺทาหํ เอตเสฺสว วิสเย ปญฺหํ ปุจฺฉาเปตฺวา ปุถุสมณพฺราหฺมณานํ ลทฺธิยา นิรตฺถกภาวํ ทเสฺสมิฯ อถ ปจฺฉา อิมํ ปญฺหํ พฺยากริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ทุชฺชานํ โข เอตนฺติอาทิมาหฯ ตตฺถ สเก อาจริยเกติ อตฺตโน อาจริยวาเทฯ อธิเชคุเจฺฉติ วีริเยน ปาปชิคุจฺฉนภาเวฯ กถํ สนฺตาติ กถํ ภูตาฯ ตโปชิคุจฺฉาติ วีริเยน ปาปชิคุจฺฉา ปาปวิวชฺชนาฯ ปริปุณฺณาติ ปริสุทฺธาฯ กถํ อปริปุณฺณาติ กถํ อปริสุทฺธา โหตีติ เอวํ ปุจฺฉาติฯ ยตฺร หิ นามาติ โย นามฯ

    56.Dujjānaṃ khoti bhagavā paribbājakassa vacanaṃ sutvā ‘‘ayaṃ paribbājako mayā sāvakānaṃ desetabbaṃ dhammaṃ tehi pūretabbaṃ paṭipattiṃ pucchati, sacassāhaṃ āditova taṃ kathessāmi, kathitampi naṃ na jānissati, ayaṃ pana vīriyena pāpajigucchanavādo, handāhaṃ etasseva visaye pañhaṃ pucchāpetvā puthusamaṇabrāhmaṇānaṃ laddhiyā niratthakabhāvaṃ dassemi. Atha pacchā imaṃ pañhaṃ byākarissāmī’’ti cintetvā dujjānaṃ kho etantiādimāha. Tattha sake ācariyaketi attano ācariyavāde. Adhijeguccheti vīriyena pāpajigucchanabhāve. Kathaṃ santāti kathaṃ bhūtā. Tapojigucchāti vīriyena pāpajigucchā pāpavivajjanā. Paripuṇṇāti parisuddhā. Kathaṃaparipuṇṇāti kathaṃ aparisuddhā hotīti evaṃ pucchāti. Yatra hi nāmāti yo nāma.

    ๕๗. อปฺปสเทฺท กตฺวาติ นิรเว อปฺปสเทฺท กตฺวาฯ โส กิร จิเนฺตสิ – ‘‘สมโณ โคตโม เอกํ ปญฺหมฺปิ น กเถติ, สลฺลาปกถาปิสฺส อติพหุกา นตฺถิ, อิเม ปน อาทิโต ปฎฺฐาย สมณํ โคตมํ อนุวตฺตนฺติ เจว ปสํสนฺติ จ, หนฺทาหํ อิเม นิสฺสเทฺท กตฺวา สยํ กเถมี’’ติฯ โส ตถา อกาสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อปฺปสเทฺท กตฺวา’’ติฯ ‘‘ตโปชิคุจฺฉวาทา’’ติอาทีสุ ตโปชิคุจฺฉํ วทาม, มนสาปิ ตเมว สารโต คเหตฺวา วิจราม, กาเยนปิมฺหา ตเมว อลฺลีนา, นานปฺปการกํ อตฺตกิลมถานุโยคมนุยุตฺตา วิหรามาติ อโตฺถฯ

    57.Appasaddekatvāti nirave appasadde katvā. So kira cintesi – ‘‘samaṇo gotamo ekaṃ pañhampi na katheti, sallāpakathāpissa atibahukā natthi, ime pana ādito paṭṭhāya samaṇaṃ gotamaṃ anuvattanti ceva pasaṃsanti ca, handāhaṃ ime nissadde katvā sayaṃ kathemī’’ti. So tathā akāsi. Tena vuttaṃ ‘‘appasadde katvā’’ti. ‘‘Tapojigucchavādā’’tiādīsu tapojigucchaṃ vadāma, manasāpi tameva sārato gahetvā vicarāma, kāyenapimhā tameva allīnā, nānappakārakaṃ attakilamathānuyogamanuyuttā viharāmāti attho.

    อุปกฺกิเลสวณฺณนา

    Upakkilesavaṇṇanā

    ๕๘. ตปสฺสีติ ตปนิสฺสิตโกฯ ‘‘อเจลโก’’ติอาทีนิ สีหนาเท (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๓๙๓) วิตฺถาริตนเยเนว เวทิตพฺพานิฯ ตปํ สมาทิยตีติ อเจลกภาวาทิกํ ตปํ สมฺมา อาทิยติ, ทฬฺหํ คณฺหาติฯ อตฺตมโน โหตีติ โก อโญฺญ มยา สทิโส อิมสฺมิํ ตเป อตฺถีติ ตุฎฺฐมโน โหติฯ ปริปุณฺณสงฺกโปฺปติ อลเมตฺตาวตาติ เอวํ ปริโยสิตสงฺกโปฺป, อิทญฺจ ติตฺถิยานํ วเสน อาคตํฯ สาสนาวจเรนาปิ ปน ทีเปตพฺพํฯ เอกโจฺจ หิ ธุตงฺคํ สมาทิยติ, โส เตเนว ธุตเงฺคน โก อโญฺญ มยา สทิโส ธุตงฺคธโรติ อตฺตมโน โหติ ปริปุณฺณสงฺกโปฺปฯ ตปสฺสิโน อุปกฺกิเลโส โหตีติ ทุวิธสฺสาเปตสฺส ตปสฺสิโน อยํ อุปกฺกิเลโส โหติฯ เอตฺตาวตายํ ตโป อุปกฺกิเลโส โหตีติ วทามิฯ

    58.Tapassīti tapanissitako. ‘‘Acelako’’tiādīni sīhanāde (dī. ni. aṭṭha. 1.393) vitthāritanayeneva veditabbāni. Tapaṃ samādiyatīti acelakabhāvādikaṃ tapaṃ sammā ādiyati, daḷhaṃ gaṇhāti. Attamano hotīti ko añño mayā sadiso imasmiṃ tape atthīti tuṭṭhamano hoti. Paripuṇṇasaṅkappoti alamettāvatāti evaṃ pariyositasaṅkappo, idañca titthiyānaṃ vasena āgataṃ. Sāsanāvacarenāpi pana dīpetabbaṃ. Ekacco hi dhutaṅgaṃ samādiyati, so teneva dhutaṅgena ko añño mayā sadiso dhutaṅgadharoti attamano hoti paripuṇṇasaṅkappo. Tapassino upakkileso hotīti duvidhassāpetassa tapassino ayaṃ upakkileso hoti. Ettāvatāyaṃ tapo upakkileso hotīti vadāmi.

    อตฺตานุกฺกํเสตีติ ‘‘โก มยา สทิโส อตฺถี’’ติ อตฺตานํ อุกฺกํสติ อุกฺขิปติฯ ปรํ วเมฺภตีติ ‘‘อยํ น มาทิโส’’ติ ปรํ สํหาเรติ อวกฺขิปติฯ

    Attānukkaṃsetīti ‘‘ko mayā sadiso atthī’’ti attānaṃ ukkaṃsati ukkhipati. Paraṃ vambhetīti ‘‘ayaṃ na mādiso’’ti paraṃ saṃhāreti avakkhipati.

    มชฺชตีติ มานมทกรเณน มชฺชติฯ มุจฺฉตีติ มุจฺฉิโต โหติ คธิโต อชฺฌาปโนฺนฯ ปมาทมาปชฺชตีติ เอตเทว สารนฺติ ปมาทมาปชฺชติฯ สาสเน ปพฺพชิโตปิ ธุตงฺคสุทฺธิโก โหติ, น กมฺมฎฺฐานสุทฺธิโกฯ ธุตงฺคเมว อรหตฺตํ วิย สารโต ปเจฺจติฯ

    Majjatīti mānamadakaraṇena majjati. Mucchatīti mucchito hoti gadhito ajjhāpanno. Pamādamāpajjatīti etadeva sāranti pamādamāpajjati. Sāsane pabbajitopi dhutaṅgasuddhiko hoti, na kammaṭṭhānasuddhiko. Dhutaṅgameva arahattaṃ viya sārato pacceti.

    ๕๙. ลาภสกฺการสิโลกนฺติ เอตฺถ จตฺตาโร ปจฺจยา ลพฺภนฺตีติ ลาภา, เตเยว สุฎฺฐุ กตฺวา ปฎิสงฺขริตฺวา ลทฺธา สกฺกาโร, วณฺณภณนํ สิโลโกฯ อภินิพฺพเตฺตตีติ อเจลกาทิภาวํ เตรสธุตงฺคสมาทานํ วา นิสฺสาย มหาลาโภ อุปฺปชฺชติ, ตสฺมา ‘‘อภินิพฺพเตฺตตี’’ติ วุโตฺตฯ เสสเมตฺถ ปุริมวารนเยเนว ทุวิธสฺสาปิ ตปสฺสิโน วเสน เวทิตพฺพํฯ

    59.Lābhasakkārasilokanti ettha cattāro paccayā labbhantīti lābhā, teyeva suṭṭhu katvā paṭisaṅkharitvā laddhā sakkāro, vaṇṇabhaṇanaṃ siloko. Abhinibbattetīti acelakādibhāvaṃ terasadhutaṅgasamādānaṃ vā nissāya mahālābho uppajjati, tasmā ‘‘abhinibbattetī’’ti vutto. Sesamettha purimavāranayeneva duvidhassāpi tapassino vasena veditabbaṃ.

    ๖๐. โวทาสํ อาปชฺชตีติ เทฺวภาคํ อาปชฺชติ, เทฺว ภาเค กโรติฯ ขมตีติ รุจฺจติฯ นกฺขมตีติ น รุจฺจติฯ สาเปโกฺข ปชหตีติ สตโณฺห ปชหติฯ กถํ? ปาโตว ขีรภตฺตํ ภุโตฺต โหติฯ อถสฺส มํสโภชนํ อุปเนติฯ ตสฺส เอวํ โหติ ‘‘อิทานิ เอวรูปํ กทา ลภิสฺสาม, สเจ ชาเนยฺยาม, ปาโตว ขีรภตฺตํ น ภุเญฺชยฺยาม, กิํ มยา สกฺกา กาตุํ, คจฺฉ โภ, ตฺวเมว ภุญฺชา’’ติ ชีวิตํ ปริจฺจชโนฺต วิย สาเปโกฺข ปชหติฯ คธิโตติ เคธชาโตฯ มุจฺฉิโตติ พลวตณฺหาย มุจฺฉิโต สํมุฎฺฐสฺสตี หุตฺวาฯ อชฺฌาปโนฺนติ อามิเส อติลโคฺค, ‘‘ภุญฺชิสฺสถ, อาวุโส’’ติ ธมฺมนิมนฺตนมตฺตมฺปิ อกตฺวา มหเนฺต มหเนฺต กพเฬ กโรติฯ อนาทีนวทสฺสาวีติอาทีนวมตฺตมฺปิ น ปสฺสติฯ อนิสฺสรณปโญฺญติ อิธ มตฺตญฺญุตานิสฺสรณปจฺจเวกฺขณปริโภคมตฺตมฺปิ น กโรติฯ ลาภสกฺการสิโลกนิกนฺติเหตูติ ลาภาทีสุ ตณฺหาเหตุฯ

    60.Vodāsaṃ āpajjatīti dvebhāgaṃ āpajjati, dve bhāge karoti. Khamatīti ruccati. Nakkhamatīti na ruccati. Sāpekkho pajahatīti sataṇho pajahati. Kathaṃ? Pātova khīrabhattaṃ bhutto hoti. Athassa maṃsabhojanaṃ upaneti. Tassa evaṃ hoti ‘‘idāni evarūpaṃ kadā labhissāma, sace jāneyyāma, pātova khīrabhattaṃ na bhuñjeyyāma, kiṃ mayā sakkā kātuṃ, gaccha bho, tvameva bhuñjā’’ti jīvitaṃ pariccajanto viya sāpekkho pajahati. Gadhitoti gedhajāto. Mucchitoti balavataṇhāya mucchito saṃmuṭṭhassatī hutvā. Ajjhāpannoti āmise atilaggo, ‘‘bhuñjissatha, āvuso’’ti dhammanimantanamattampi akatvā mahante mahante kabaḷe karoti. Anādīnavadassāvītiādīnavamattampi na passati. Anissaraṇapaññoti idha mattaññutānissaraṇapaccavekkhaṇaparibhogamattampi na karoti. Lābhasakkārasilokanikantihetūti lābhādīsu taṇhāhetu.

    ๖๑. สํภเกฺขตีติ สํขาทติฯ อสนิวิจกฺกนฺติ วิจกฺกสณฺฐานา อสนิเยวฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ ‘‘อสนิวิจกฺกํ อิมสฺส ทนฺตกูฎํ มูลพีชาทีสุ น กิญฺจิ น สํภุญฺชติฯ อถ จ ปน นํ สมณปฺปวาเทน สมโณติ สญฺชานนฺตี’’ติฯ เอวํ อปสาเทติ อวกฺขิปติฯ อิทํ ติตฺถิยวเสน อาคตํฯ ภิกฺขุวเสน ปเนตฺถ อยํ โยชนา, อตฺตนา ธุตงฺคธโร โหติ, โส อญฺญํ เอวํ อปสาเทติ ‘‘กิํ สมณา นาม อิเม สมณมฺหาติ วทนฺติ, ธุตงฺคมตฺตมฺปิ นตฺถิ, อุเทฺทสภตฺตาทีนิ ปริเยสนฺตา ปจฺจยพาหุลฺลิกา วิจรนฺตี’’ติฯ ลูขาชีวินฺติ อเจลกาทิวเสน วา ธุตงฺควเสน วา ลูขาชีวิํฯ อิสฺสามจฺฉริยนฺติ ปรสฺส สกฺการาทิสมฺปตฺติขียนลกฺขณํ อิสฺสํ, สกฺการาทิกรณอกฺขมนลกฺขณํ มจฺฉริยญฺจฯ

    61.Saṃbhakkhetīti saṃkhādati. Asanivicakkanti vicakkasaṇṭhānā asaniyeva. Idaṃ vuttaṃ hoti ‘‘asanivicakkaṃ imassa dantakūṭaṃ mūlabījādīsu na kiñci na saṃbhuñjati. Atha ca pana naṃ samaṇappavādena samaṇoti sañjānantī’’ti. Evaṃ apasādeti avakkhipati. Idaṃ titthiyavasena āgataṃ. Bhikkhuvasena panettha ayaṃ yojanā, attanā dhutaṅgadharo hoti, so aññaṃ evaṃ apasādeti ‘‘kiṃ samaṇā nāma ime samaṇamhāti vadanti, dhutaṅgamattampi natthi, uddesabhattādīni pariyesantā paccayabāhullikā vicarantī’’ti. Lūkhājīvinti acelakādivasena vā dhutaṅgavasena vā lūkhājīviṃ. Issāmacchariyanti parassa sakkārādisampattikhīyanalakkhaṇaṃ issaṃ, sakkārādikaraṇaakkhamanalakkhaṇaṃ macchariyañca.

    ๖๒. อาปาถกนิสาที โหตีติ มนุสฺสานํ อาปาเถ ทสฺสนฎฺฐาเน นิสีทติฯ ยตฺถ เต ปสฺสนฺติ, ตตฺถ ฐิโต วคฺคุลิวตํ จรติ, ปญฺจาตปํ ตปฺปติ, เอกปาเทน ติฎฺฐติ, สูริยํ นมสฺสติฯ สาสเน ปพฺพชิโตปิ สมาทินฺนธุตโงฺค สพฺพรตฺติํ สยิตฺวา มนุสฺสานํ จกฺขุปเถ ตปํ กโรติ, มหาสายเนฺหเยว จีวรกุฎิํ กโรติ, สูริเย อุคฺคเต ปฎิสํหรติ, มนุสฺสานํ อาคตภาวํ ญตฺวา ฆณฺฑิํ ปหริตฺวา จีวรํ มตฺถเก ฐเปตฺวา จงฺกมํ โอตรติ, สมฺมุญฺชนิํ คเหตฺวา วิหารงฺคณํ สมฺมชฺชติฯ

    62.Āpāthakanisādīhotīti manussānaṃ āpāthe dassanaṭṭhāne nisīdati. Yattha te passanti, tattha ṭhito vaggulivataṃ carati, pañcātapaṃ tappati, ekapādena tiṭṭhati, sūriyaṃ namassati. Sāsane pabbajitopi samādinnadhutaṅgo sabbarattiṃ sayitvā manussānaṃ cakkhupathe tapaṃ karoti, mahāsāyanheyeva cīvarakuṭiṃ karoti, sūriye uggate paṭisaṃharati, manussānaṃ āgatabhāvaṃ ñatvā ghaṇḍiṃ paharitvā cīvaraṃ matthake ṭhapetvā caṅkamaṃ otarati, sammuñjaniṃ gahetvā vihāraṅgaṇaṃ sammajjati.

    อตฺตานนฺติ อตฺตโน คุณํ อทสฺสยมาโนติ เอตฺถ อ-กาโร นิปาตมตฺตํ, ทสฺสยมาโนติ อโตฺถฯ อิทมฺปิ เม ตปสฺมินฺติ อิทมฺปิ กมฺมํ มเมว ตปสฺมิํ, ปจฺจเตฺต วา ภุมฺมํ, อิทมฺปิ มม ตโปติ อโตฺถฯ โส หิ อสุกสฺมิํ ฐาเน อเจลโก อตฺถิ มุตฺตาจาโรติอาทีนิ สุตฺวา อมฺหากํ เอส ตโป, อมฺหากํ โส อเนฺตวาสิโกติอาทีนิ ภณติฯ อสุกสฺมิํ วา ปน ฐาเน ปํสุกูลิโก ภิกฺขุ อตฺถีติอาทีนิ สุตฺวา อมฺหากํ เอส ตโป, อมฺหากํ โส อเนฺตวาสิโกติอาทีนิ ภณติฯ

    Attānanti attano guṇaṃ adassayamānoti ettha a-kāro nipātamattaṃ, dassayamānoti attho. Idampi me tapasminti idampi kammaṃ mameva tapasmiṃ, paccatte vā bhummaṃ, idampi mama tapoti attho. So hi asukasmiṃ ṭhāne acelako atthi muttācārotiādīni sutvā amhākaṃ esa tapo, amhākaṃ so antevāsikotiādīni bhaṇati. Asukasmiṃ vā pana ṭhāne paṃsukūliko bhikkhu atthītiādīni sutvā amhākaṃ esa tapo, amhākaṃ so antevāsikotiādīni bhaṇati.

    กิญฺจิเทวาติ กิญฺจิ วชฺชํ ทิฎฺฐิคตํ วาฯ ปฎิจฺฉนฺนํ เสวตีติ ยถา อเญฺญ น ชานนฺติ, เอวํ เสวติฯ อกฺขมมานํ อาห ขมตีติ อรุจฺจมานํเยว รุจฺจติ เมติ วทติฯ อตฺตนา กตํ อติมหนฺตมฺปิ วชฺชํ อปฺปมตฺตกํ กตฺวา ปญฺญเปติ, ปเรน กตํ ทุกฺกฎมตฺตํ วีติกฺกมมฺปิ ปาราชิกสทิสํ กตฺวา ทเสฺสติฯ อนุเญฺญยฺยนฺติ อนุชานิตพฺพํ อนุโมทิตพฺพํฯ

    Kiñcidevāti kiñci vajjaṃ diṭṭhigataṃ vā. Paṭicchannaṃ sevatīti yathā aññe na jānanti, evaṃ sevati. Akkhamamānaṃ āha khamatīti aruccamānaṃyeva ruccati meti vadati. Attanā kataṃ atimahantampi vajjaṃ appamattakaṃ katvā paññapeti, parena kataṃ dukkaṭamattaṃ vītikkamampi pārājikasadisaṃ katvā dasseti. Anuññeyyanti anujānitabbaṃ anumoditabbaṃ.

    ๖๓. โกธโน โหติ อุปนาหีติ กุชฺฌนลกฺขเณน โกเธน, เวรอปฺปฎินิสฺสคฺคลกฺขเณน อุปนาเหน จ สมนฺนาคโตฯ มกฺขี โหติ ปฬาสีติ ปรคุณมกฺขนลกฺขเณน มเกฺขน, ยุคคฺคาหลกฺขเณน ปฬาเสน จ สมนฺนาคโตฯ

    63.Kodhanohoti upanāhīti kujjhanalakkhaṇena kodhena, veraappaṭinissaggalakkhaṇena upanāhena ca samannāgato. Makkhī hoti paḷāsīti paraguṇamakkhanalakkhaṇena makkhena, yugaggāhalakkhaṇena paḷāsena ca samannāgato.

    อิสฺสุกี โหติ มจฺฉรีติ ปรสกฺการาทีสุ อุสูยนลกฺขณาย อิสฺสาย, อาวาสกุลลาภวณฺณธเมฺมสุ มจฺฉรายนลกฺขเณน ปญฺจวิธมเจฺฉเรน จ สมนฺนาคโต โหติฯ สโฐ โหติ มายาวีติ เกราฎิกลกฺขเณน สาเฐเยฺยน, กตปฺปฎิจฺฉาทนลกฺขณาย มายาย จ สมนฺนาคโต โหติฯ ถโทฺธ โหติ อติมานีติ นิสฺสิเนหนิกฺกรุณถทฺธลกฺขเณน ถเมฺภน, อติกฺกมิตฺวา มญฺญนลกฺขเณน อติมาเนน จ สมนฺนาคโต โหติฯ ปาปิโจฺฉ โหตีติ อสนฺตสมฺภาวนปตฺถนลกฺขณาย ปาปิจฺฉตาย สมนฺนาคโต โหติฯ ปาปิกานนฺติ ตาสํเยว ลามกานํ อิจฺฉานํ วสํ คโตฯ มิจฺฉาทิฎฺฐิโกติ นตฺถิ ทินฺนนฺติอาทินยปฺปวตฺตาย อยาถาวทิฎฺฐิยา อุเปโตฯ อนฺตคฺคาหิกายาติ สาเยว ทิฎฺฐิ อุเจฺฉทนฺตสฺส คหิตตฺตา ‘‘อนฺตคฺคาหิกา’’ติ วุจฺจติ, ตาย สมนฺนาคโตติ อโตฺถฯ สนฺทิฎฺฐิปรามาสีติอาทีสุ สยํ ทิฎฺฐิ สนฺทิฎฺฐิ, สนฺทิฎฺฐิเมว ปรามสติ คเหตฺวา วทตีติ สนฺทิฎฺฐิปรามาสีฯ อาธานํ วุจฺจติ ทฬฺหํ สุฎฺฐุ ฐปิตํ, ตถา กตฺวา คณฺหาตีติ อาธานคฺคาหีฯ อริโฎฺฐ วิย น สกฺกา โหติ ปฎินิสฺสชฺชาเปตุนฺติ ทุปฺปฎินิสฺสคฺคีฯ ยทิเมติ ยทิ อิเมฯ

    Issukī hoti maccharīti parasakkārādīsu usūyanalakkhaṇāya issāya, āvāsakulalābhavaṇṇadhammesu maccharāyanalakkhaṇena pañcavidhamaccherena ca samannāgato hoti. Saṭho hoti māyāvīti kerāṭikalakkhaṇena sāṭheyyena, katappaṭicchādanalakkhaṇāya māyāya ca samannāgato hoti. Thaddhohoti atimānīti nissinehanikkaruṇathaddhalakkhaṇena thambhena, atikkamitvā maññanalakkhaṇena atimānena ca samannāgato hoti. Pāpiccho hotīti asantasambhāvanapatthanalakkhaṇāya pāpicchatāya samannāgato hoti. Pāpikānanti tāsaṃyeva lāmakānaṃ icchānaṃ vasaṃ gato. Micchādiṭṭhikoti natthi dinnantiādinayappavattāya ayāthāvadiṭṭhiyā upeto. Antaggāhikāyāti sāyeva diṭṭhi ucchedantassa gahitattā ‘‘antaggāhikā’’ti vuccati, tāya samannāgatoti attho. Sandiṭṭhiparāmāsītiādīsu sayaṃ diṭṭhi sandiṭṭhi, sandiṭṭhimeva parāmasati gahetvā vadatīti sandiṭṭhiparāmāsī. Ādhānaṃ vuccati daḷhaṃ suṭṭhu ṭhapitaṃ, tathā katvā gaṇhātīti ādhānaggāhī. Ariṭṭho viya na sakkā hoti paṭinissajjāpetunti duppaṭinissaggī. Yadimeti yadi ime.

    ปริสุทฺธปปฎิกปฺปตฺตกถาวณฺณนา

    Parisuddhapapaṭikappattakathāvaṇṇanā

    ๖๔. อิธ, นิโคฺรธ, ตปสฺสีติ เอวํ ภควา อญฺญติตฺถิเยหิ คหิตลทฺธิํ เตสํ รกฺขิตํ ตปํ สพฺพเมว สํกิลิฎฺฐนฺติ อุปกฺกิเลสปาฬิํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ปริสุทฺธปาฬิทสฺสนตฺถํ เทสนมารภโนฺต อิธ, นิโคฺรธาติอาทิมาหฯ ตตฺถ ‘‘น อตฺตมโน’’ติอาทีนิ วุตฺตวิปกฺขวเสเนว เวทิตพฺพานิฯ สพฺพวาเรสุ จ ลูขตปสฺสิโน เจว ธุตงฺคธรสฺส จ วเสน โยชนา เวทิตพฺพาฯ เอวํ โส ตสฺมิํ ฐาเน ปริสุโทฺธ โหตีติ เอวํ โส เตน น อตฺตมนตา น ปริปุณฺณสงฺกปฺปภาวสงฺขาเตน การเณน ปริสุโทฺธ นิรุปกฺกิเลโส โหติ, อุตฺตริ วายมมาโน กมฺมฎฺฐานสุทฺธิโก หุตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณาติฯ อิมินา นเยน สพฺพวาเรสุ อโตฺถ เวทิตโพฺพฯ

    64.Idha, nigrodha, tapassīti evaṃ bhagavā aññatitthiyehi gahitaladdhiṃ tesaṃ rakkhitaṃ tapaṃ sabbameva saṃkiliṭṭhanti upakkilesapāḷiṃ dassetvā idāni parisuddhapāḷidassanatthaṃ desanamārabhanto idha, nigrodhātiādimāha. Tattha ‘‘na attamano’’tiādīni vuttavipakkhavaseneva veditabbāni. Sabbavāresu ca lūkhatapassino ceva dhutaṅgadharassa ca vasena yojanā veditabbā. Evaṃ so tasmiṃ ṭhāne parisuddho hotīti evaṃ so tena na attamanatā na paripuṇṇasaṅkappabhāvasaṅkhātena kāraṇena parisuddho nirupakkileso hoti, uttari vāyamamāno kammaṭṭhānasuddhiko hutvā arahattaṃ pāpuṇāti. Iminā nayena sabbavāresu attho veditabbo.

    ๖๙. อทฺธา โข, ภเนฺตติ ภเนฺต เอวํ สเนฺต เอกํเสเนว วีริเยน ปาปชิคุจฺฉนวาโท ปริสุโทฺธ โหตีติ อนุชานาติฯ อิโต ปรญฺจ อคฺคภาวํ วา สารภาวํ วา อชานโนฺต อคฺคปฺปตฺตา สารปฺปตฺตา จาติ อาหฯ อถสฺส ภควา สารปฺปตฺตภาวํ ปฎิเสเธโนฺต น โข นิโคฺรธาติอาทิมาห ฯ ปปฎิกปฺปตฺตา โหตีติ สารวโต รุกฺขสฺส สารํ เผคฺคุํ ตจญฺจ อติกฺกมฺม พหิปปฎิกสทิสา โหตีติ ทเสฺสติฯ

    69.Addhā kho, bhanteti bhante evaṃ sante ekaṃseneva vīriyena pāpajigucchanavādo parisuddho hotīti anujānāti. Ito parañca aggabhāvaṃ vā sārabhāvaṃ vā ajānanto aggappattā sārappattā cāti āha. Athassa bhagavā sārappattabhāvaṃ paṭisedhento na kho nigrodhātiādimāha . Papaṭikappattā hotīti sāravato rukkhassa sāraṃ phegguṃ tacañca atikkamma bahipapaṭikasadisā hotīti dasseti.

    ปริสุทฺธตจปฺปตฺตาทิกถาวณฺณนา

    Parisuddhatacappattādikathāvaṇṇanā

    ๗๐. อคฺคํ ปาเปตูติ เทสนาวเสน อคฺคํ ปาเปตฺวา เทเสตุ, สารํ ปาเปตฺวา เทเสตูติ ทสพลํ ยาจติฯ จาตุยามสํวรสํวุโตติ จตุพฺพิเธน สํวเรน ปิหิโตฯ น ปาณํ อติปาเตตีติ ปาณํ น หนติฯ น ภาวิตมาสีสตีติ ภาวิตํ นาม เตสํ สญฺญาย ปญฺจ กามคุณา, เต น อาสีสติ น เสวตีติ อโตฺถฯ

    70.Aggaṃpāpetūti desanāvasena aggaṃ pāpetvā desetu, sāraṃ pāpetvā desetūti dasabalaṃ yācati. Cātuyāmasaṃvarasaṃvutoti catubbidhena saṃvarena pihito. Na pāṇaṃ atipātetīti pāṇaṃ na hanati. Na bhāvitamāsīsatīti bhāvitaṃ nāma tesaṃ saññāya pañca kāmaguṇā, te na āsīsati na sevatīti attho.

    อทุํ จสฺส โหตีติ เอตญฺจสฺส อิทานิ วุจฺจมานํ ‘‘โส อภิหรตี’’ติอาทิลกฺขณํฯ ตปสฺสิตายาติ ตปสฺสิภาเวน โหติฯ ตตฺถ โส อภิหรตีติ โส ตํ สีลํ อภิหรติ, อุปรูปริ วเฑฺฒติฯ สีลํ เม ปริปุณฺณํ, ตโป อารโทฺธ, อลเมตฺตาวตาติ น วีริยํ วิสฺสเชฺชติฯ โน หีนายาวตฺตตีติ หีนาย คิหิภาวตฺถาย น อาวตฺตติฯ สีลโต อุตฺตริ วิเสสาธิคมตฺถาย วีริยํ กโรติเยว, เอวํ กโรโนฺต โส วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติฯ ‘‘อรญฺญ’’นฺติอาทีนิ สามญฺญผเล (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๑๖) วิตฺถาริตาเนวฯ ‘‘เมตฺตาสหคเตนา’’ติอาทีนิ วิสุทฺธิมเคฺค วณฺณิตานิฯ ตจปฺปตฺตาติ ปปฎิกโต อพฺภนฺตรํ ตจํ ปตฺตาฯ เผคฺคุปฺปตฺตาติ ตจโต อพฺภนฺตรํ เผคฺคุํ ปตฺตา, เผคฺคุสทิสา โหตีติ อโตฺถฯ

    Aduṃ cassa hotīti etañcassa idāni vuccamānaṃ ‘‘so abhiharatī’’tiādilakkhaṇaṃ. Tapassitāyāti tapassibhāvena hoti. Tattha so abhiharatīti so taṃ sīlaṃ abhiharati, uparūpari vaḍḍheti. Sīlaṃ me paripuṇṇaṃ, tapo āraddho, alamettāvatāti na vīriyaṃ vissajjeti. No hīnāyāvattatīti hīnāya gihibhāvatthāya na āvattati. Sīlato uttari visesādhigamatthāya vīriyaṃ karotiyeva, evaṃ karonto so vivittaṃ senāsanaṃ bhajati. ‘‘Arañña’’ntiādīni sāmaññaphale (dī. ni. aṭṭha. 1.216) vitthāritāneva. ‘‘Mettāsahagatenā’’tiādīni visuddhimagge vaṇṇitāni. Tacappattāti papaṭikato abbhantaraṃ tacaṃ pattā. Phegguppattāti tacato abbhantaraṃ phegguṃ pattā, pheggusadisā hotīti attho.

    ๗๔. ‘‘เอตฺตาวตา, โข นิโคฺรธ, ตโปชิคุจฺฉา อคฺคปฺปตฺตา จ โหติ สารปฺปตฺตา จา’’ติ อิทํ ภควา ติตฺถิยานํ วเสนาหฯ ติตฺถิยานญฺหิ ลาภสกฺกาโร รุกฺขสฺส สาขาปลาสสทิโสฯ ปญฺจสีลมตฺตกํ ปปฎิกสทิสํฯ อฎฺฐสมาปตฺติมตฺตํ ตจสทิสํฯ ปุเพฺพนิวาสญาณาวสานา อภิญฺญา เผคฺคุสทิสาฯ ทิพฺพจกฺขุํ ปเนเต อรหตฺตนฺติ คเหตฺวา วิจรนฺติฯ เตน เนสํ ตํ รุกฺขสฺส สารสทิสํฯ สาสเน ปน ลาภสกฺกาโร สาขาปลาสสทิโสฯ สีลสมฺปทา ปปฎิกสทิสาฯ ฌานสมาปตฺติโย ตจสทิสาฯ โลกิยาภิญฺญา เผคฺคุสทิสาฯ มคฺคผลํ สาโรฯ อิติ ภควตา อตฺตโน สาสนํ โอนตวินตผลภารภริตรุกฺขูปมาย อุปมิตํฯ โส เทสนากุสลตาย ตโต ตจสารสมฺปตฺติโต มม สาสนํ อุตฺตริตรเญฺจว ปณีตตรญฺจ, ตํ ตุวํ กทา ชานิสฺสสีติ อตฺตโนเทสนาย วิเสสภาวํ ทเสฺสตุํ ‘‘อิติ โข นิโคฺรธา’’ติ เทสนํ อารภิ ฯ เต ปริพฺพาชกาติ เต ตสฺส ปริวารา ติํสสตสงฺขฺยา ปริพฺพาชกาฯ เอตฺถ มยํ อนสฺสามาติ เอตฺถ อเจลกปาฬิอาทีสุ, อิทํ วุตฺตํ โหติ ‘‘อมฺหากํ อเจลกปาฬิมตฺตมฺปิ นตฺถิ , กุโต ปริสุทฺธปาฬิฯ อมฺหากํ ปริสุทฺธปาฬิมตฺตมฺปิ นตฺถิ, กุโต จาตุยามสํวราทีนิฯ จาตุยามสํวโรปิ นตฺถิ, กุโต อรญฺญวาสาทีนิฯ อรญฺญวาโสปิ นตฺถิ, กุโต นีวรณปฺปหานาทีนิฯ นีวรณปฺปหานมฺปิ นตฺถิ, กุโต พฺรหฺมวิหาราทีนิฯ พฺรหฺมวิหารมตฺตมฺปิ นตฺถิ, กุโต ปุเพฺพนิวาสาทีนิฯ ปุเพฺพนิวาสญาณมตฺตมฺปิ นตฺถิ, กุโต อมฺหากํ ทิพฺพจกฺขุฯ เอตฺถ มยํ สอาจริยกา นฎฺฐา’’ติฯ อิโต ภิโยฺย อุตฺตริตรนฺติ อิโต ทิพฺพจกฺขุญาณาธิคมโต ภิโยฺย อญฺญํ อุตฺตริตรํ วิเสสาธิคมํ มยํ สุติวเสนาปิ น ชานามาติ วทนฺติฯ

    74. ‘‘Ettāvatā, kho nigrodha, tapojigucchā aggappattā ca hoti sārappattā cā’’ti idaṃ bhagavā titthiyānaṃ vasenāha. Titthiyānañhi lābhasakkāro rukkhassa sākhāpalāsasadiso. Pañcasīlamattakaṃ papaṭikasadisaṃ. Aṭṭhasamāpattimattaṃ tacasadisaṃ. Pubbenivāsañāṇāvasānā abhiññā pheggusadisā. Dibbacakkhuṃ panete arahattanti gahetvā vicaranti. Tena nesaṃ taṃ rukkhassa sārasadisaṃ. Sāsane pana lābhasakkāro sākhāpalāsasadiso. Sīlasampadā papaṭikasadisā. Jhānasamāpattiyo tacasadisā. Lokiyābhiññā pheggusadisā. Maggaphalaṃ sāro. Iti bhagavatā attano sāsanaṃ onatavinataphalabhārabharitarukkhūpamāya upamitaṃ. So desanākusalatāya tato tacasārasampattito mama sāsanaṃ uttaritarañceva paṇītatarañca, taṃ tuvaṃ kadā jānissasīti attanodesanāya visesabhāvaṃ dassetuṃ ‘‘iti kho nigrodhā’’ti desanaṃ ārabhi . Te paribbājakāti te tassa parivārā tiṃsasatasaṅkhyā paribbājakā. Ettha mayaṃ anassāmāti ettha acelakapāḷiādīsu, idaṃ vuttaṃ hoti ‘‘amhākaṃ acelakapāḷimattampi natthi , kuto parisuddhapāḷi. Amhākaṃ parisuddhapāḷimattampi natthi, kuto cātuyāmasaṃvarādīni. Cātuyāmasaṃvaropi natthi, kuto araññavāsādīni. Araññavāsopi natthi, kuto nīvaraṇappahānādīni. Nīvaraṇappahānampi natthi, kuto brahmavihārādīni. Brahmavihāramattampi natthi, kuto pubbenivāsādīni. Pubbenivāsañāṇamattampi natthi, kuto amhākaṃ dibbacakkhu. Ettha mayaṃ saācariyakā naṭṭhā’’ti. Ito bhiyyo uttaritaranti ito dibbacakkhuñāṇādhigamato bhiyyo aññaṃ uttaritaraṃ visesādhigamaṃ mayaṃ sutivasenāpi na jānāmāti vadanti.

    นิโคฺรธสฺสปชฺฌายนวณฺณนา

    Nigrodhassapajjhāyanavaṇṇanā

    ๗๕. อถ นิโคฺรธํ ปริพฺพาชกนฺติ เอวํ กิรสฺส อโหสิ ‘‘อิเม ปริพฺพาชกา อิทานิ ภควโต ภาสิตํ สุสฺสูสนฺติ, อิมินา จ นิโคฺรเธน ภควโต ปรมฺมุขา กกฺขฬํ ทุราสทวจนํ วุตฺตํ, อิทานิ อยมฺปิ โสตุกาโม ชาโต, กาโล ทานิ เม อิมสฺส มานทฺธชํ นิปาเตตฺวา ภควโต สาสนํ อุกฺขิปิตุ’’นฺติฯ อถ นิโคฺรธํ ปริพฺพาชกํ เอตทโวจฯ อปรมฺปิสฺส อโหสิ ‘‘อยํ มยิ อกเถเนฺต สตฺถารํ น ขมาเปสฺสติ, ตทสฺส อนาคเต อหิตาย ทุกฺขาย สํวตฺติสฺสติ, มยา ปน กถิเต ขมาเปสฺสติ, ตทสฺส ภวิสฺสติ ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขายา’’ติฯ อถ นิโคฺรธํ ปริพฺพาชกํ เอตทโวจฯ อปริสาวจรํ ปน นํ กโรถาติ เอตฺถ ปนาติ นิปาโต, อถ นํ อปริสาวจรํ กโรถาติ อโตฺถฯ ‘‘อปริสาวจเรต’’นฺติปิ ปาโฐ, อปริสาวจรํ วา เอตํ กโรถ, โคกาณาทีนํ วา อญฺญตรนฺติ อโตฺถฯ

    75.Atha nigrodhaṃ paribbājakanti evaṃ kirassa ahosi ‘‘ime paribbājakā idāni bhagavato bhāsitaṃ sussūsanti, iminā ca nigrodhena bhagavato parammukhā kakkhaḷaṃ durāsadavacanaṃ vuttaṃ, idāni ayampi sotukāmo jāto, kālo dāni me imassa mānaddhajaṃ nipātetvā bhagavato sāsanaṃ ukkhipitu’’nti. Atha nigrodhaṃ paribbājakaṃ etadavoca. Aparampissa ahosi ‘‘ayaṃ mayi akathente satthāraṃ na khamāpessati, tadassa anāgate ahitāya dukkhāya saṃvattissati, mayā pana kathite khamāpessati, tadassa bhavissati dīgharattaṃ hitāya sukhāyā’’ti. Atha nigrodhaṃ paribbājakaṃ etadavoca. Aparisāvacaraṃ pana naṃ karothāti ettha panāti nipāto, atha naṃ aparisāvacaraṃ karothāti attho. ‘‘Aparisāvacareta’’ntipi pāṭho, aparisāvacaraṃ vā etaṃ karotha, gokāṇādīnaṃ vā aññataranti attho.

    โคกาณนฺติ เอตฺถาปิ โคกาณํ ปริยนฺตจารินิํ วิย กโรถาติ อโตฺถฯ ตุณฺหีภูโตติ ตุณฺหีภาวํ อุปคโตฯ มงฺกุภูโตติ นิเตฺตชตํ อาปโนฺนฯ ปตฺตกฺขโนฺธติ โอนตคีโวฯ อโธมุโขติ เหฎฺฐามุโขฯ

    Gokāṇanti etthāpi gokāṇaṃ pariyantacāriniṃ viya karothāti attho. Tuṇhībhūtoti tuṇhībhāvaṃ upagato. Maṅkubhūtoti nittejataṃ āpanno. Pattakkhandhoti onatagīvo. Adhomukhoti heṭṭhāmukho.

    ๗๖. พุโทฺธ โส ภควา โพธายาติ สยํ พุโทฺธ สตฺตานมฺปิ จตุสจฺจโพธตฺถาย ธมฺมํ เทเสติฯ ทโนฺตติ จกฺขุโตปิ ทโนฺต…เป.… มนโตปิ ทโนฺตฯ ทมถายาติ อเญฺญสมฺปิ ทมนตฺถาย เอว, น วาทตฺถายฯ สโนฺตติ ราคสนฺตตาย สโนฺต, โทสโมหสนฺตตาย สพฺพ อกุสลสพฺพาภิสงฺขารสนฺตตาย สโนฺตฯ สมถายาติ มหาชนสฺส ราคาทิสมนตฺถาย ธมฺมํ เทเสติฯ ติโณฺณติ จตฺตาโร โอเฆ ติโณฺณฯ ตรณายาติ มหาชนสฺส โอฆนิตฺถรณตฺถายฯ ปรินิพฺพุโตติ กิเลสปรินิพฺพาเนน ปรินิพฺพุโตฯ ปรินิพฺพานายาติ มหาชนสฺสาปิ สพฺพกิเลสปรินิพฺพานตฺถาย ธมฺมํ เทเสติฯ

    76.Buddhoso bhagavā bodhāyāti sayaṃ buddho sattānampi catusaccabodhatthāya dhammaṃ deseti. Dantoti cakkhutopi danto…pe… manatopi danto. Damathāyāti aññesampi damanatthāya eva, na vādatthāya. Santoti rāgasantatāya santo, dosamohasantatāya sabba akusalasabbābhisaṅkhārasantatāya santo. Samathāyāti mahājanassa rāgādisamanatthāya dhammaṃ deseti. Tiṇṇoti cattāro oghe tiṇṇo. Taraṇāyāti mahājanassa oghanittharaṇatthāya. Parinibbutoti kilesaparinibbānena parinibbuto. Parinibbānāyāti mahājanassāpi sabbakilesaparinibbānatthāya dhammaṃ deseti.

    พฺรหฺมจริยปริโยสานาทิวณฺณนา

    Brahmacariyapariyosānādivaṇṇanā

    ๗๗. อจฺจโยติอาทีนิ สามญฺญผเล (ที. นิ. อฎฺฐ. ๑.๒๕๐) วุตฺตานิฯ อุชุชาติโกติ กายวงฺกาทิวิรหิโต อุชุสภาโวฯ อหมนุสาสามีติ อหํ ตาทิสํ ปุคฺคลํ อนุสาสามิ, ธมฺมํ อสฺส เทเสมิฯ สตฺตาหนฺติ สตฺตทิวสานิ, อิทํ สพฺพมฺปิ ภควา ทนฺธปญฺญํ ปุคฺคลํ สนฺธายาห อสโฐ ปน อมายาวี อุชุชาติโก ตํมุหุเตฺตเนว อรหตฺตํ ปตฺตุํ สกฺขิสฺสติฯ อิติ ภควา ‘‘อสฐ’’นฺติอาทิวจเนน สโฐ หิ วงฺกวโงฺก, มยาปิ น สกฺกา อนุสาสิตุนฺติ ทีเปโนฺต ปริพฺพาชกํ ปาเทสุ คเหตฺวา มหาเมรุปาทตเล วิย ขิปิตฺถฯ กสฺมา? อยญฺหิ อติสโฐ, กุฎิลจิโตฺต สตฺถริ เอวํ กเถเนฺตปิ พุทฺธธมฺมสเงฺฆสุ นาธิมุจฺจติ, อธิมุจฺจนตฺถาย โสตํ น โอทหติ, โกหเญฺญ ฐิโต สตฺถารํ ขมาเปติฯ ตสฺมา ภควา ตสฺสชฺฌาสยํ วิทิตฺวา ‘‘เอตุ วิญฺญู ปุริโส อสโฐ’’ติอาทิมาหฯ สฐํ ปนาหํ อนุสาสิตุํ น สโกฺกมีติฯ

    77.Accayotiādīni sāmaññaphale (dī. ni. aṭṭha. 1.250) vuttāni. Ujujātikoti kāyavaṅkādivirahito ujusabhāvo. Ahamanusāsāmīti ahaṃ tādisaṃ puggalaṃ anusāsāmi, dhammaṃ assa desemi. Sattāhanti sattadivasāni, idaṃ sabbampi bhagavā dandhapaññaṃ puggalaṃ sandhāyāha asaṭho pana amāyāvī ujujātiko taṃmuhutteneva arahattaṃ pattuṃ sakkhissati. Iti bhagavā ‘‘asaṭha’’ntiādivacanena saṭho hi vaṅkavaṅko, mayāpi na sakkā anusāsitunti dīpento paribbājakaṃ pādesu gahetvā mahāmerupādatale viya khipittha. Kasmā? Ayañhi atisaṭho, kuṭilacitto satthari evaṃ kathentepi buddhadhammasaṅghesu nādhimuccati, adhimuccanatthāya sotaṃ na odahati, kohaññe ṭhito satthāraṃ khamāpeti. Tasmā bhagavā tassajjhāsayaṃ viditvā ‘‘etu viññū puriso asaṭho’’tiādimāha. Saṭhaṃ panāhaṃ anusāsituṃ na sakkomīti.

    ๗๘. อเนฺตวาสิกมฺยตาติ อเนฺตวาสิกมฺยตาย, อเมฺห อเนฺตวาสิเก อิจฺฉโนฺตฯ เอวมาหาติ ‘‘เอตุ วิญฺญุปุริโส’’ติอาทิมาหฯ โย เอว โว อาจริโยติ โย เอว ตุมฺหากํ ปกติยา อาจริโยฯ อุเทฺทสา โน จาเวตุกาโมติ อตฺตโน อนุสาสนิํ คาหาเปตฺวา อเมฺห อมฺหากํ อุเทฺทสโต จาเวตุกาโมฯ โส เอว โว อุเทฺทโส โหตูติ โย ตุมฺหากํ ปกติยา อุเทฺทโส, โส ตุมฺหากํเยว โหตุ , น มยํ ตุมฺหากํ อุเทฺทเสน อตฺถิกาฯ อาชีวาติ อาชีวโตฯ อกุสลสงฺขาตาติ อกุสลาติ โกฎฺฐาสํ ปตฺตาฯ อกุสลา ธมฺมาติ ทฺวาทส อกุสลจิตฺตุปฺปาทธมฺมา ตณฺหาเยว วา วิเสเสนฯ สา หิ ปุนพฺภวกรณโต ‘‘โปโนพฺภวิกา’’ติ วุตฺตาฯ สทรถาติ กิเลสทรถสมฺปยุตฺตาฯ ชาติชรามรณิยาติ ชาติชรามรณานํ ปจฺจยภูตาฯ สํกิเลสิกา ธมฺมาติ ทฺวาทส อกุสลจิตฺตุปฺปาทาฯ โวทานิยาติ, สมถวิปสฺสนา ธมฺมาฯ เต หิ สเตฺต โวทาเปนฺติ, ตสฺมา ‘‘โวทานิยา’’ติ วุจฺจนฺติฯ ปญฺญาปาริปูรินฺติ มคฺคปญฺญาปาริปูริํฯ เวปุลฺลตฺตญฺจาติ ผลปญฺญาเวปุลฺลตํ, อุโภปิ วา เอตานิ อญฺญมญฺญเววจนาเนวฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ ‘‘ตโต ตุเมฺห มคฺคปญฺญเญฺจว ผลปญฺญญฺจ ทิเฎฺฐว ธเมฺม สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสถา’’ติฯ เอวํ ภควา ปริพฺพาชเก อารพฺภ อตฺตโน โอวาทานุสาสนิยา ผลํ ทเสฺสโนฺต อรหตฺตนิกูเฎน เทสนํ นิฎฺฐเปสิฯ

    78.Antevāsikamyatāti antevāsikamyatāya, amhe antevāsike icchanto. Evamāhāti ‘‘etu viññupuriso’’tiādimāha. Yo eva vo ācariyoti yo eva tumhākaṃ pakatiyā ācariyo. Uddesā no cāvetukāmoti attano anusāsaniṃ gāhāpetvā amhe amhākaṃ uddesato cāvetukāmo. Soeva vo uddeso hotūti yo tumhākaṃ pakatiyā uddeso, so tumhākaṃyeva hotu , na mayaṃ tumhākaṃ uddesena atthikā. Ājīvāti ājīvato. Akusalasaṅkhātāti akusalāti koṭṭhāsaṃ pattā. Akusalā dhammāti dvādasa akusalacittuppādadhammā taṇhāyeva vā visesena. Sā hi punabbhavakaraṇato ‘‘ponobbhavikā’’ti vuttā. Sadarathāti kilesadarathasampayuttā. Jātijarāmaraṇiyāti jātijarāmaraṇānaṃ paccayabhūtā. Saṃkilesikā dhammāti dvādasa akusalacittuppādā. Vodāniyāti, samathavipassanā dhammā. Te hi satte vodāpenti, tasmā ‘‘vodāniyā’’ti vuccanti. Paññāpāripūrinti maggapaññāpāripūriṃ. Vepullattañcāti phalapaññāvepullataṃ, ubhopi vā etāni aññamaññavevacanāneva. Idaṃ vuttaṃ hoti ‘‘tato tumhe maggapaññañceva phalapaññañca diṭṭheva dhamme sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharissathā’’ti. Evaṃ bhagavā paribbājake ārabbha attano ovādānusāsaniyā phalaṃ dassento arahattanikūṭena desanaṃ niṭṭhapesi.

    ๗๙. ยถา ตํ มาเรนาติ ยถา มาเรน ปริยุฎฺฐิตจิตฺตา นิสีทนฺติ เอวเมว ตุณฺหีภูตา…เป.… อปฺปฎิภานา นิสินฺนาฯ

    79.Yathā taṃ mārenāti yathā mārena pariyuṭṭhitacittā nisīdanti evameva tuṇhībhūtā…pe… appaṭibhānā nisinnā.

    มาโร กิร สตฺถา อติวิย คชฺชโนฺต พุทฺธพลํ ทีเปตฺวา อิเมสํ ปริพฺพาชกานํ ธมฺมํ เทเสติ, กทาจิ ธมฺมาภิสมโย ภเวยฺย, หนฺทาหํ ปริยุฎฺฐามีติ โส เตสํ จิตฺตานิ ปริยุฎฺฐาสิฯ อปฺปหีนวิปลฺลาสานญฺหิ จิตฺตํ มารสฺส ยถากามกรณียํ โหติฯ เตปิ มาเรน ปริยุฎฺฐิตจิตฺตา ถทฺธงฺคปจฺจงฺคา วิย ตุณฺหี อปฺปฎิภานา นิสีทิํสุฯ อถ สตฺถา อิเม ปริพฺพาชกา อติวิย นิรวา หุตฺวา นิสินฺนา, กิํ นุ โขติ อาวชฺชโนฺต มาเรน ปริยุฎฺฐิตภาวํ อญฺญาสิฯ สเจ ปน เตสํ มคฺคผลุปฺปตฺติเหตุ ภเวยฺย, มารํ ปฎิพาหิตฺวาปิ ภควา ธมฺมํ เทเสยฺย, โส ปน เตสํ นตฺถิฯ ‘‘สเพฺพปิ เม ตุจฺฉปุริสา’’ติ อญฺญาสิฯ เตน วุตฺตํ ‘‘อถ โข ภควโต เอตทโหสิ สเพฺพปิ เม โมฆปุริสา’’ติอาทิฯ

    Māro kira satthā ativiya gajjanto buddhabalaṃ dīpetvā imesaṃ paribbājakānaṃ dhammaṃ deseti, kadāci dhammābhisamayo bhaveyya, handāhaṃ pariyuṭṭhāmīti so tesaṃ cittāni pariyuṭṭhāsi. Appahīnavipallāsānañhi cittaṃ mārassa yathākāmakaraṇīyaṃ hoti. Tepi mārena pariyuṭṭhitacittā thaddhaṅgapaccaṅgā viya tuṇhī appaṭibhānā nisīdiṃsu. Atha satthā ime paribbājakā ativiya niravā hutvā nisinnā, kiṃ nu khoti āvajjanto mārena pariyuṭṭhitabhāvaṃ aññāsi. Sace pana tesaṃ maggaphaluppattihetu bhaveyya, māraṃ paṭibāhitvāpi bhagavā dhammaṃ deseyya, so pana tesaṃ natthi. ‘‘Sabbepi me tucchapurisā’’ti aññāsi. Tena vuttaṃ ‘‘atha kho bhagavato etadahosi sabbepi me moghapurisā’’tiādi.

    ตตฺถ ผุฎฺฐา ปาปิมตาติ ปาปิมตา มาเรน ผุฎฺฐาฯ ยตฺร หิ นามาติ เยสุ นามฯ อญฺญาณตฺถมฺปีติ ชานนตฺถมฺปิฯ กิํ กริสฺสติ สตฺตาโหติ สมเณน โคตเมน ปริจฺฉินฺนสตฺตาโห อมฺหากํ กิํ กริสฺสติฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ ‘‘สมเณน โคตเมน ‘สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหริสฺสติ สตฺตาห’นฺติ วุตฺตํ, โส สตฺตาโห อมฺหากํ กิํ อปฺผาสุกํ กริสฺสติฯ หนฺท มยํ สตฺตาหพฺภนฺตเร เอตํ ธมฺมํ สจฺฉิกาตุํ สกฺกา, น สกฺกาติ อญฺญาณตฺถมฺปิ พฺรหฺมจริยํ จริสฺสามา’’ติฯ อถ วา ชานาม ตาวสฺส ธมฺมนฺติ เอกทิวเส เอกวารํ อญฺญาณตฺถมฺปิ เอเตสํ จิตฺตํ นุปฺปนฺนํ, สตฺตาโห ปน เอเตสํ กุสีตานํ กิํ กริสฺสติ, กิํ สกฺขิสฺสนฺติ เต สตฺตาหํ ปูเรตุนฺติ อยเมตฺถ อธิปฺปาโยฯ สีหนาทนฺติ ปรวาทภินฺทนํ สกวาทสมุสฺสาปนญฺจ อภีตนาทํ นทิตฺวาฯ ปจฺจุปฎฺฐาสีติ ปติฎฺฐิโตฯ ตาวเทวาติ ตสฺมิเญฺญว ขเณฯ ราชคหํ ปาวิสีติ ราชคหเมว ปวิโฎฺฐฯ เตสํ ปน ปริพฺพาชกานํ กิญฺจาปิ อิทํ สุตฺตนฺตํ สุตฺวา วิเสโส น นิพฺพโตฺต, อายติํ ปน เนสํ วาสนาย ปจฺจโย ภวิสฺสตีติฯ เสสํ สพฺพตฺถ อุตฺตานเมวาติฯ

    Tattha phuṭṭhā pāpimatāti pāpimatā mārena phuṭṭhā. Yatra hi nāmāti yesu nāma. Aññāṇatthampīti jānanatthampi. Kiṃ karissati sattāhoti samaṇena gotamena paricchinnasattāho amhākaṃ kiṃ karissati. Idaṃ vuttaṃ hoti ‘‘samaṇena gotamena ‘sayaṃ abhiññā sacchikatvā upasampajja viharissati sattāha’nti vuttaṃ, so sattāho amhākaṃ kiṃ apphāsukaṃ karissati. Handa mayaṃ sattāhabbhantare etaṃ dhammaṃ sacchikātuṃ sakkā, na sakkāti aññāṇatthampi brahmacariyaṃ carissāmā’’ti. Atha vā jānāma tāvassa dhammanti ekadivase ekavāraṃ aññāṇatthampi etesaṃ cittaṃ nuppannaṃ, sattāho pana etesaṃ kusītānaṃ kiṃ karissati, kiṃ sakkhissanti te sattāhaṃ pūretunti ayamettha adhippāyo. Sīhanādanti paravādabhindanaṃ sakavādasamussāpanañca abhītanādaṃ naditvā. Paccupaṭṭhāsīti patiṭṭhito. Tāvadevāti tasmiññeva khaṇe. Rājagahaṃ pāvisīti rājagahameva paviṭṭho. Tesaṃ pana paribbājakānaṃ kiñcāpi idaṃ suttantaṃ sutvā viseso na nibbatto, āyatiṃ pana nesaṃ vāsanāya paccayo bhavissatīti. Sesaṃ sabbattha uttānamevāti.

    สุมงฺคลวิลาสินิยา ทีฆนิกายฎฺฐกถาย

    Sumaṅgalavilāsiniyā dīghanikāyaṭṭhakathāya

    อุทุมฺพริกสุตฺตวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ

    Udumbarikasuttavaṇṇanā niṭṭhitā.







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ทีฆนิกาย • Dīghanikāya / ๒. อุทุมฺพริกสุตฺตํ • 2. Udumbarikasuttaṃ

    ฎีกา • Tīkā / สุตฺตปิฎก (ฎีกา) • Suttapiṭaka (ṭīkā) / ทีฆนิกาย (ฎีกา) • Dīghanikāya (ṭīkā) / ๒. อุทุมฺพริกสุตฺตวณฺณนา • 2. Udumbarikasuttavaṇṇanā


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact