Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ชาตก-อฎฺฐกถา • Jātaka-aṭṭhakathā

    [๕๔๒] ๕. อุมงฺคชาตกวณฺณนา

    [542] 5. Umaṅgajātakavaṇṇanā

    ปญฺจาโล สพฺพเสนายาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรโนฺต ปญฺญาปารมิํ อารพฺภ กเถสิฯ เอกทิวสญฺหิ ภิกฺขู ธมฺมสภายํ สนฺนิสินฺนา ตถาคตสฺส ปญฺญาปารมิํ วณฺณยนฺตา นิสีทิํสุ ‘‘มหาปโญฺญ, อาวุโส, ตถาคโต ปุถุปโญฺญ คมฺภีรปโญฺญ หาสปโญฺญ ชวนปโญฺญ ติกฺขปโญฺญ นิเพฺพธิกปโญฺญ ปรปฺปวาทมทฺทโน, อตฺตโน ปญฺญานุภาเวน กูฎทนฺตาทโย พฺราหฺมเณ, สภิยาทโย ปริพฺพาชเก, องฺคุลิมาลาทโย โจเร, อาฬวกาทโย ยเกฺข, สกฺกาทโย เทเว, พกาทโย พฺรหฺมาโน จ ทเมตฺวา นิพฺพิเสวเน อกาสิ, พหุชนกาเย ปพฺพชฺชํ ทตฺวา มคฺคผเลสุ ปติฎฺฐาเปสิ, เอวํ มหาปโญฺญ, อาวุโส, สตฺถา’’ติฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา ‘‘กาย นุตฺถ, ภิกฺขเว, เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิมาย นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘น, ภิกฺขเว, ตถาคโต อิทาเนว ปญฺญวา, อตีเตปิ อปริปเกฺก ญาเณ โพธิญาณตฺถาย จริยํ จรโนฺตปิ ปญฺญวาเยวา’’ติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต อตีตํ อาหริฯ

    Pañcālosabbasenāyāti idaṃ satthā jetavane viharanto paññāpāramiṃ ārabbha kathesi. Ekadivasañhi bhikkhū dhammasabhāyaṃ sannisinnā tathāgatassa paññāpāramiṃ vaṇṇayantā nisīdiṃsu ‘‘mahāpañño, āvuso, tathāgato puthupañño gambhīrapañño hāsapañño javanapañño tikkhapañño nibbedhikapañño parappavādamaddano, attano paññānubhāvena kūṭadantādayo brāhmaṇe, sabhiyādayo paribbājake, aṅgulimālādayo core, āḷavakādayo yakkhe, sakkādayo deve, bakādayo brahmāno ca dametvā nibbisevane akāsi, bahujanakāye pabbajjaṃ datvā maggaphalesu patiṭṭhāpesi, evaṃ mahāpañño, āvuso, satthā’’ti. Satthā āgantvā ‘‘kāya nuttha, bhikkhave, etarahi kathāya sannisinnā’’ti pucchitvā ‘‘imāya nāmā’’ti vutte ‘‘na, bhikkhave, tathāgato idāneva paññavā, atītepi aparipakke ñāṇe bodhiñāṇatthāya cariyaṃ carantopi paññavāyevā’’ti vatvā tehi yācito atītaṃ āhari.

    อตีเต วิเทหรเฎฺฐ มิถิลายํ เวเทโห นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺส อตฺถธมฺมานุสาสกา จตฺตาโร ปณฺฑิตา อเหสุํ เสนโก, ปุกฺกุโส, กามิโนฺท, เทวิโนฺท จาติฯ ตทา ราชา โพธิสตฺตสฺส ปฎิสนฺธิคฺคหณทิวเส ปจฺจูสกาเล เอวรูปํ สุปินํ อทฺทส – ราชงฺคเณ จตูสุ โกเณสุ จตฺตาโร อคฺคิกฺขนฺธา มหาปาการปฺปมาณา อุฎฺฐาย ปชฺชลนฺติฯ เตสํ มเชฺฌ ขโชฺชปนกปฺปมาโณ อคฺคิกฺขโนฺท อุฎฺฐหิตฺวา ตงฺขณเญฺญว จตฺตาโร อคฺคิกฺขเนฺธ อติกฺกมิตฺวา ยาว พฺรหฺมโลกา อุฎฺฐาย สกลจกฺกวาฬํ โอภาเสตฺวา ฐิโต, ภูมิยํ ปติโต สาสปพีชมตฺตมฺปิ ปญฺญายติฯ ตํ สเทวกา โลกา สมารกา สพฺรหฺมกา คนฺธมาลาทีหิ ปูเชนฺติ, มหาชโน ชาลนฺตเรเนว จรติ, โลมกูปมตฺตมฺปิ อุณฺหํ น คณฺหาติฯ ราชา อิมํ สุปินํ ทิสฺวา ภีตตสิโต อุฎฺฐาย ‘‘กิํ นุ โข เม ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตโนฺต นิสินฺนโกว อรุณํ อุฎฺฐาเปสิฯ

    Atīte videharaṭṭhe mithilāyaṃ vedeho nāma rājā rajjaṃ kāresi. Tassa atthadhammānusāsakā cattāro paṇḍitā ahesuṃ senako, pukkuso, kāmindo, devindo cāti. Tadā rājā bodhisattassa paṭisandhiggahaṇadivase paccūsakāle evarūpaṃ supinaṃ addasa – rājaṅgaṇe catūsu koṇesu cattāro aggikkhandhā mahāpākārappamāṇā uṭṭhāya pajjalanti. Tesaṃ majjhe khajjopanakappamāṇo aggikkhando uṭṭhahitvā taṅkhaṇaññeva cattāro aggikkhandhe atikkamitvā yāva brahmalokā uṭṭhāya sakalacakkavāḷaṃ obhāsetvā ṭhito, bhūmiyaṃ patito sāsapabījamattampi paññāyati. Taṃ sadevakā lokā samārakā sabrahmakā gandhamālādīhi pūjenti, mahājano jālantareneva carati, lomakūpamattampi uṇhaṃ na gaṇhāti. Rājā imaṃ supinaṃ disvā bhītatasito uṭṭhāya ‘‘kiṃ nu kho me bhavissatī’’ti cintento nisinnakova aruṇaṃ uṭṭhāpesi.

    จตฺตาโรปิ ปณฺฑิตา ปาโตวาคนฺตฺวา ‘‘กจฺจิ, เทว, สุขํ สยิตฺถา’’ติ สุขเสยฺยํ ปุจฺฉิํสุฯ โส ‘‘กุโต เม สุขเสยฺยํ ลทฺธ’’นฺติ วตฺวา ‘‘เอวรูโป เม สุปิโน ทิโฎฺฐ’’ติ สพฺพํ กเถสิฯ อถ นํ เสนกปณฺฑิโต ‘‘มา ภายิ, มหาราช, มงฺคลสุปิโน เอส, วุทฺธิ โว ภวิสฺสตี’’ติ วตฺวา ‘‘กิํ การณา อาจริยา’’ติ วุเตฺต ‘‘มหาราช, อเมฺห จตฺตาโร ปณฺฑิเต อภิภวิตฺวา อโญฺญ โว ปญฺจโม ปณฺฑิโต อุปฺปชฺชิสฺสติ, มยญฺหิ จตฺตาโร ปณฺฑิตา จตฺตาโร อคฺคิกฺขนฺธา วิย, เตสํ มเชฺฌ อุปฺปโนฺน อคฺคิกฺขโนฺธ วิย อโญฺญ ปญฺจโม ปณฺฑิโต อุปฺปชฺชิสฺสติ, โส สเทวเก โลเก อสทิโส ภวิสฺสตี’’ติ วตฺวา ‘‘อิทานิ ปเนส กุหิ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘มหาราช, อชฺช ตสฺส ปฎิสนฺธิคฺคหเณน วา มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมเนน วา ภวิตพฺพ’’นฺติ อตฺตโน สิปฺปพเลน ทิพฺพจกฺขุนา ทิโฎฺฐ วิย พฺยากาสิฯ ราชาปิ ตโต ปฎฺฐาย ตํ วจนํ อนุสฺสริฯ

    Cattāropi paṇḍitā pātovāgantvā ‘‘kacci, deva, sukhaṃ sayitthā’’ti sukhaseyyaṃ pucchiṃsu. So ‘‘kuto me sukhaseyyaṃ laddha’’nti vatvā ‘‘evarūpo me supino diṭṭho’’ti sabbaṃ kathesi. Atha naṃ senakapaṇḍito ‘‘mā bhāyi, mahārāja, maṅgalasupino esa, vuddhi vo bhavissatī’’ti vatvā ‘‘kiṃ kāraṇā ācariyā’’ti vutte ‘‘mahārāja, amhe cattāro paṇḍite abhibhavitvā añño vo pañcamo paṇḍito uppajjissati, mayañhi cattāro paṇḍitā cattāro aggikkhandhā viya, tesaṃ majjhe uppanno aggikkhandho viya añño pañcamo paṇḍito uppajjissati, so sadevake loke asadiso bhavissatī’’ti vatvā ‘‘idāni panesa kuhi’’nti vutte ‘‘mahārāja, ajja tassa paṭisandhiggahaṇena vā mātukucchito nikkhamanena vā bhavitabba’’nti attano sippabalena dibbacakkhunā diṭṭho viya byākāsi. Rājāpi tato paṭṭhāya taṃ vacanaṃ anussari.

    มิถิลายํ ปน จตูสุ ทฺวาเรสุ ปาจีนยวมชฺฌโก, ทกฺขิณยวมชฺฌโก, ปจฺฉิมยวมชฺฌโก, อุตฺตรยวมชฺฌโกติ จตฺตาโร คามา อเหสุํฯ เตสุ ปาจีนยวมชฺฌเก สิริวฑฺฒโน นาม เสฎฺฐิ ปฎิวสติ, สุมนเทวี นามสฺส ภริยา อโหสิฯ มหาสโตฺต ตํ ทิวสํ รญฺญา สุปินสฺส ทิฎฺฐเวลาย ตาวติํสภวนโต จวิตฺวา ตสฺสา กุจฺฉิมฺหิ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิฯ ตสฺมิํเยว กาเล อปเรปิ เทวปุตฺตสหสฺสา ตาวติํสภวนโต จวิตฺวา ตสฺมิํเยว คาเม เสฎฺฐานุเสฎฺฐีนํ กุเลสุ ปฎิสนฺธิํ คณฺหิํสุฯ สุมนเทวีปิ ทสมาสจฺจเยน สุวณฺณวณฺณํ ปุตฺตํ วิชายิฯ ตสฺมิํ ขเณ สโกฺก มนุสฺสโลกํ โอโลเกโนฺต มหาสตฺตสฺส มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขมนภาวํ ญตฺวา ‘‘อิมํ พุทฺธงฺกุรํ สเทวเก โลเก ปากฎํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ มหาสตฺตสฺส มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขนฺตกฺขเณ อทิสฺสมานกาเยน คนฺตฺวา ตสฺส หเตฺถ เอกํ โอสธฆฎิกํ ฐเปตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ มหาสโตฺต ตํ มุฎฺฐิํ กตฺวา คณฺหิฯ ตสฺมิํ ปน มาตุกุจฺฉิโต นิกฺขเนฺต มาตุ อปฺปมตฺตกมฺปิ ทุกฺขํ นาโหสิ, ธมกรณโต อุทกมิว สุเขน นิกฺขมิฯ

    Mithilāyaṃ pana catūsu dvāresu pācīnayavamajjhako, dakkhiṇayavamajjhako, pacchimayavamajjhako, uttarayavamajjhakoti cattāro gāmā ahesuṃ. Tesu pācīnayavamajjhake sirivaḍḍhano nāma seṭṭhi paṭivasati, sumanadevī nāmassa bhariyā ahosi. Mahāsatto taṃ divasaṃ raññā supinassa diṭṭhavelāya tāvatiṃsabhavanato cavitvā tassā kucchimhi paṭisandhiṃ gaṇhi. Tasmiṃyeva kāle aparepi devaputtasahassā tāvatiṃsabhavanato cavitvā tasmiṃyeva gāme seṭṭhānuseṭṭhīnaṃ kulesu paṭisandhiṃ gaṇhiṃsu. Sumanadevīpi dasamāsaccayena suvaṇṇavaṇṇaṃ puttaṃ vijāyi. Tasmiṃ khaṇe sakko manussalokaṃ olokento mahāsattassa mātukucchito nikkhamanabhāvaṃ ñatvā ‘‘imaṃ buddhaṅkuraṃ sadevake loke pākaṭaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti mahāsattassa mātukucchito nikkhantakkhaṇe adissamānakāyena gantvā tassa hatthe ekaṃ osadhaghaṭikaṃ ṭhapetvā sakaṭṭhānameva gato. Mahāsatto taṃ muṭṭhiṃ katvā gaṇhi. Tasmiṃ pana mātukucchito nikkhante mātu appamattakampi dukkhaṃ nāhosi, dhamakaraṇato udakamiva sukhena nikkhami.

    สา ตสฺส หเตฺถ โอสธฆฎิกํ ทิสฺวา ‘‘ตาต, กิํ เต ลทฺธ’’นฺติ อาหฯ ‘‘โอสธํ, อมฺมา’’ติ ทิโพฺพสธํ มาตุ หเตฺถ ฐเปสิฯ ฐเปตฺวา จ ปน ‘‘อมฺม, อิทํ โอสธํ เยน เกนจิ อาพาเธน อาพาธิกานํ เทถา’’ติ อาหฯ สา ตุฎฺฐปหฎฺฐา สิริวฑฺฒนเสฎฺฐิโน อาโรเจสิฯ ตสฺส ปน สตฺตวสฺสิโก สีสาพาโธ อตฺถิฯ โส ตุฎฺฐปหโฎฺฐ หุตฺวา ‘‘อยํ มาตุกุจฺฉิโต ชายมาโน โอสธํ คเหตฺวา อาคโต, ชาตกฺขเณเยว มาตรา สทฺธิํ กเถสิ, เอวรูเปน ปุญฺญวตา ทินฺนํ โอสธํ มหานุภาวํ ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตํ โอสธํ คเหตฺวา นิสทายํ ฆํสิตฺวา โถกํ นลาเฎ มเกฺขสิฯ ตสฺมิํ ขเณ ตสฺส สตฺตวสฺสิโก สีสาพาโธ ปทุมปตฺตโต อุทกํ วิย นิวตฺติตฺวา คโตฯ โส ‘‘มหานุภาวํ โอสธ’’นฺติ โสมนสฺสปฺปโตฺต อโหสิฯ มหาสตฺตสฺส โอสธํ คเหตฺวา อาคตภาโว สพฺพตฺถ ปากโฎ ชาโตฯ เย เกจิ อาพาธิกา, สเพฺพ เสฎฺฐิสฺส เคหํ คนฺตฺวา โอสธํ ยาจนฺติฯ สเพฺพสํ นิสทายํ ฆํสิตฺวา โถกํ คเหตฺวา อุทเกน อาโฬเลตฺวา เทติ ฯ ทิโพฺพสเธน สรีเร มกฺขิตมเตฺตเยว สพฺพาพาธา วูปสมฺมนฺติฯ สุขิตา มนุสฺสา ‘‘สิริวฑฺฒนเสฎฺฐิโน เคเห โอสธสฺส มหโนฺต อานุภาโว’’ติ วณฺณยนฺตา ปกฺกมิํสุฯ มหาสตฺตสฺส ปน นามคฺคหณทิวเส มหาเสฎฺฐิ ‘‘มม ปุตฺตสฺส อยฺยกาทีนํ น นาเมน อโตฺถ อตฺถิ, ชายมานสฺส โอสธํ คเหตฺวา อาคตตฺตา โอสธนามโกว โหตู’’ติ วตฺวา ‘‘มโหสธกุมาโร’’เตฺววสฺส นามมกาสิฯ

    Sā tassa hatthe osadhaghaṭikaṃ disvā ‘‘tāta, kiṃ te laddha’’nti āha. ‘‘Osadhaṃ, ammā’’ti dibbosadhaṃ mātu hatthe ṭhapesi. Ṭhapetvā ca pana ‘‘amma, idaṃ osadhaṃ yena kenaci ābādhena ābādhikānaṃ dethā’’ti āha. Sā tuṭṭhapahaṭṭhā sirivaḍḍhanaseṭṭhino ārocesi. Tassa pana sattavassiko sīsābādho atthi. So tuṭṭhapahaṭṭho hutvā ‘‘ayaṃ mātukucchito jāyamāno osadhaṃ gahetvā āgato, jātakkhaṇeyeva mātarā saddhiṃ kathesi, evarūpena puññavatā dinnaṃ osadhaṃ mahānubhāvaṃ bhavissatī’’ti cintetvā taṃ osadhaṃ gahetvā nisadāyaṃ ghaṃsitvā thokaṃ nalāṭe makkhesi. Tasmiṃ khaṇe tassa sattavassiko sīsābādho padumapattato udakaṃ viya nivattitvā gato. So ‘‘mahānubhāvaṃ osadha’’nti somanassappatto ahosi. Mahāsattassa osadhaṃ gahetvā āgatabhāvo sabbattha pākaṭo jāto. Ye keci ābādhikā, sabbe seṭṭhissa gehaṃ gantvā osadhaṃ yācanti. Sabbesaṃ nisadāyaṃ ghaṃsitvā thokaṃ gahetvā udakena āḷoletvā deti . Dibbosadhena sarīre makkhitamatteyeva sabbābādhā vūpasammanti. Sukhitā manussā ‘‘sirivaḍḍhanaseṭṭhino gehe osadhassa mahanto ānubhāvo’’ti vaṇṇayantā pakkamiṃsu. Mahāsattassa pana nāmaggahaṇadivase mahāseṭṭhi ‘‘mama puttassa ayyakādīnaṃ na nāmena attho atthi, jāyamānassa osadhaṃ gahetvā āgatattā osadhanāmakova hotū’’ti vatvā ‘‘mahosadhakumāro’’tvevassa nāmamakāsi.

    อิทญฺจสฺส อโหสิ ‘‘มม ปุโตฺต มหาปุโญฺญ, น เอกโกว นิพฺพตฺติสฺสติ, อิมินา สทฺธิํ ชาตทารเกหิ ภวิตพฺพ’’นฺติฯ โส โอโลกาเปโนฺต ทารกสหสฺสานํ นิพฺพตฺตภาวํ สุตฺวา สเพฺพสมฺปิ กุมารกานํ ปิฬนฺธนานิ ทตฺวา ธาติโย ทาเปสิ ‘‘ปุตฺตสฺส เม อุปฎฺฐากา ภวิสฺสนฺตี’’ติฯ โพธิสเตฺตน สทฺธิํเยว เตสํ มงฺคลฎฺฐาเน มงฺคลํ กาเรสิฯ ทารเก อลงฺกริตฺวา มหาสตฺตสฺส อุปฎฺฐาตุํ อาเนนฺติฯ โพธิสโตฺต เตหิ สทฺธิํ กีฬโนฺต วฑฺฒิตฺวา สตฺตวสฺสิกกาเล สุวณฺณปฎิมา วิย อภิรูโป อโหสิฯ อถสฺส คามมเชฺฌ เตหิ สทฺธิํ กีฬนฺตสฺส หตฺถิอสฺสาทีสุ อาคจฺฉเนฺตสุ กีฬามณฺฑลํ ภิชฺชติฯ วาตาตปปหรณกาเล ทารกา กิลมนฺติฯ เอกทิวสญฺจ เตสํ กีฬนฺตานํเยว อกาลเมโฆ อุฎฺฐหิฯ ตํ ทิสฺวา นาคพโล โพธิสโตฺต ธาวิตฺวา เอกสาลํ ปาวิสิฯ อิตเร ทารกา ปจฺฉโต ธาวนฺตา อญฺญมญฺญสฺส ปาเทสุ ปหริตฺวา อุปกฺขลิตฺวา ปติตา ชณฺณุกเภทาทีนิ ปาปุณิํสุฯ โพธิสโตฺตปิ ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน กีฬาสาลํ กาตุํ วฎฺฎติ, เอวํ วาเต วา วเสฺส วา อาตเป วา อาคเต น กิลมิสฺสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา เต ทารเก อาห – ‘‘สมฺมา, อิมสฺมิํ ฐาเน วาเต วา วเสฺส วา อาตเป วา อาคเต ฐานนิสชฺชสยนกฺขมํ เอกํ สาลํ กาเรสฺสาม, เอเกกํ กหาปณํ อาหรถา’’ติฯ เต ตถา กริํสุฯ

    Idañcassa ahosi ‘‘mama putto mahāpuñño, na ekakova nibbattissati, iminā saddhiṃ jātadārakehi bhavitabba’’nti. So olokāpento dārakasahassānaṃ nibbattabhāvaṃ sutvā sabbesampi kumārakānaṃ piḷandhanāni datvā dhātiyo dāpesi ‘‘puttassa me upaṭṭhākā bhavissantī’’ti. Bodhisattena saddhiṃyeva tesaṃ maṅgalaṭṭhāne maṅgalaṃ kāresi. Dārake alaṅkaritvā mahāsattassa upaṭṭhātuṃ ānenti. Bodhisatto tehi saddhiṃ kīḷanto vaḍḍhitvā sattavassikakāle suvaṇṇapaṭimā viya abhirūpo ahosi. Athassa gāmamajjhe tehi saddhiṃ kīḷantassa hatthiassādīsu āgacchantesu kīḷāmaṇḍalaṃ bhijjati. Vātātapapaharaṇakāle dārakā kilamanti. Ekadivasañca tesaṃ kīḷantānaṃyeva akālamegho uṭṭhahi. Taṃ disvā nāgabalo bodhisatto dhāvitvā ekasālaṃ pāvisi. Itare dārakā pacchato dhāvantā aññamaññassa pādesu paharitvā upakkhalitvā patitā jaṇṇukabhedādīni pāpuṇiṃsu. Bodhisattopi ‘‘imasmiṃ ṭhāne kīḷāsālaṃ kātuṃ vaṭṭati, evaṃ vāte vā vasse vā ātape vā āgate na kilamissāmā’’ti cintetvā te dārake āha – ‘‘sammā, imasmiṃ ṭhāne vāte vā vasse vā ātape vā āgate ṭhānanisajjasayanakkhamaṃ ekaṃ sālaṃ kāressāma, ekekaṃ kahāpaṇaṃ āharathā’’ti. Te tathā kariṃsu.

    มหาสโตฺต มหาวฑฺฒกิํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อิมสฺมิํ ฐาเน สาลํ กโรหี’’ติ สหสฺสํ อทาสิฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา สหสฺสํ คเหตฺวา ขาณุกณฺฎเก โกเฎฺฎตฺวา ภูมิํ สมํ กาเรตฺวา สุตฺตํ ปสาเรสิฯ มหาสโตฺต ตสฺส สุตฺตปสารณวิธานํ อนาราเธโนฺต ‘‘อาจริย, เอวํ อปสาเรตฺวา สาธุกํ ปสาเรหี’’ติ อาหฯ สามิ, อหํ อตฺตโน สิปฺปานุรูเปน ปสาเรสิํ, อิโต อญฺญํ น ชานามีติฯ ‘เอตฺตกํ อชานโนฺต ตฺวํ อมฺหากํ ธนํ คเหตฺวา สาลํ กถํ กริสฺสสิ, อาหร, สุตฺตํ ปสาเรตฺวา เต ทสฺสามี’’ติ อาหราเปตฺวา สยํ สุตฺตํ ปสาเรสิฯ ตํ วิสฺสกมฺมเทวปุตฺตสฺส ปสาริตํ วิย อโหสิฯ ตโต วฑฺฒกิํ อาห ‘‘เอวํ ปสาเรตุํ สกฺขิสฺสสี’’ติ? ‘‘น สกฺขิสฺสามี’’ติฯ ‘‘มม วิจารณาย ปน กาตุํ สกฺขิสฺสสี’’ติฯ ‘‘สกฺขิสฺสามิ, สามี’’ติฯ มหาสโตฺต ยถา ตสฺสา สาลาย เอกสฺมิํ ปเทเส อนาถานํ วสนฎฺฐานํ โหติ, เอกสฺมิํ อนาถานํ อิตฺถีนํ วิชายนฎฺฐานํ, เอกสฺมิํ อาคนฺตุกสมณพฺราหฺมณานํ วสนฎฺฐานํ, เอกสฺมิํ อาคนฺตุกมนุสฺสานํ วสนฎฺฐานํ, เอกสฺมิํ อาคนฺตุกวาณิชานํ ภณฺฑฎฺฐปนฎฺฐานํ โหติ, ตถา สพฺพานิ ฐานานิ พหิมุขานิ กตฺวา สาลํ วิจาเรสิฯ ตเตฺถว กีฬามณฺฑลํ, ตเตฺถว วินิจฺฉยํ, ตเตฺถว ธมฺมสภํ กาเรสิฯ กติปาเหเนว นิฎฺฐิตาย สาลาย จิตฺตกาเร ปโกฺกสาเปตฺวา สยํ วิจาเรตฺวา รมณียํ จิตฺตกมฺมํ กาเรสิฯ สาลา สุธมฺมาเทวสภาปฎิภาคา อโหสิฯ

    Mahāsatto mahāvaḍḍhakiṃ pakkosāpetvā ‘‘imasmiṃ ṭhāne sālaṃ karohī’’ti sahassaṃ adāsi. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā sahassaṃ gahetvā khāṇukaṇṭake koṭṭetvā bhūmiṃ samaṃ kāretvā suttaṃ pasāresi. Mahāsatto tassa suttapasāraṇavidhānaṃ anārādhento ‘‘ācariya, evaṃ apasāretvā sādhukaṃ pasārehī’’ti āha. Sāmi, ahaṃ attano sippānurūpena pasāresiṃ, ito aññaṃ na jānāmīti. ‘Ettakaṃ ajānanto tvaṃ amhākaṃ dhanaṃ gahetvā sālaṃ kathaṃ karissasi, āhara, suttaṃ pasāretvā te dassāmī’’ti āharāpetvā sayaṃ suttaṃ pasāresi. Taṃ vissakammadevaputtassa pasāritaṃ viya ahosi. Tato vaḍḍhakiṃ āha ‘‘evaṃ pasāretuṃ sakkhissasī’’ti? ‘‘Na sakkhissāmī’’ti. ‘‘Mama vicāraṇāya pana kātuṃ sakkhissasī’’ti. ‘‘Sakkhissāmi, sāmī’’ti. Mahāsatto yathā tassā sālāya ekasmiṃ padese anāthānaṃ vasanaṭṭhānaṃ hoti, ekasmiṃ anāthānaṃ itthīnaṃ vijāyanaṭṭhānaṃ, ekasmiṃ āgantukasamaṇabrāhmaṇānaṃ vasanaṭṭhānaṃ, ekasmiṃ āgantukamanussānaṃ vasanaṭṭhānaṃ, ekasmiṃ āgantukavāṇijānaṃ bhaṇḍaṭṭhapanaṭṭhānaṃ hoti, tathā sabbāni ṭhānāni bahimukhāni katvā sālaṃ vicāresi. Tattheva kīḷāmaṇḍalaṃ, tattheva vinicchayaṃ, tattheva dhammasabhaṃ kāresi. Katipāheneva niṭṭhitāya sālāya cittakāre pakkosāpetvā sayaṃ vicāretvā ramaṇīyaṃ cittakammaṃ kāresi. Sālā sudhammādevasabhāpaṭibhāgā ahosi.

    ตโต ‘‘น เอตฺตเกน สาลา โสภติ, โปกฺขรณิํ ปน กาเรตุํ วฎฺฎตี’’ติ โปกฺขรณิํ ขณาเปตฺวา อิฎฺฐกวฑฺฒกิํ ปโกฺกสาเปตฺวา สยํ วิจาเรตฺวา สหสฺสวงฺกํ สตติตฺถํ โปกฺขรณิํ กาเรสิฯ สา ปญฺจวิธปทุมสญฺฉนฺนา นนฺทาโปกฺขรณี วิย อโหสิฯ ตสฺสา ตีเร ปุปฺผผลธเร นานารุเกฺข โรปาเปตฺวา นนฺทนวนกปฺปํ อุยฺยานํ กาเรสิฯ ตเมว จ สาลํ นิสฺสาย ธมฺมิกสมณพฺราหฺมณานเญฺจว อาคนฺตุกคมิกาทีนญฺจ ทานวตฺตํ ปฎฺฐเปสิฯ ตสฺส สา กิริยา สพฺพตฺถ ปากฎา อโหสิ ฯ พหู มนุสฺสา โอสรนฺติฯ มหาสโตฺต สาลาย นิสีทิตฺวา สมฺปตฺตสมฺปตฺตานํ การณาการณํ ยุตฺตายุตฺตํ กเถสิ, วินิจฺฉยํ ฐเปสิ, พุทฺธุปฺปาทกาโล วิย อโหสิฯ

    Tato ‘‘na ettakena sālā sobhati, pokkharaṇiṃ pana kāretuṃ vaṭṭatī’’ti pokkharaṇiṃ khaṇāpetvā iṭṭhakavaḍḍhakiṃ pakkosāpetvā sayaṃ vicāretvā sahassavaṅkaṃ satatitthaṃ pokkharaṇiṃ kāresi. Sā pañcavidhapadumasañchannā nandāpokkharaṇī viya ahosi. Tassā tīre pupphaphaladhare nānārukkhe ropāpetvā nandanavanakappaṃ uyyānaṃ kāresi. Tameva ca sālaṃ nissāya dhammikasamaṇabrāhmaṇānañceva āgantukagamikādīnañca dānavattaṃ paṭṭhapesi. Tassa sā kiriyā sabbattha pākaṭā ahosi . Bahū manussā osaranti. Mahāsatto sālāya nisīditvā sampattasampattānaṃ kāraṇākāraṇaṃ yuttāyuttaṃ kathesi, vinicchayaṃ ṭhapesi, buddhuppādakālo viya ahosi.

    เวเทหราชาปิ สตฺตวสฺสจฺจเยน ‘‘จตฺตาโร ปณฺฑิตา ‘อเมฺห อภิภวิตฺวา ปญฺจโม ปณฺฑิโต อุปฺปชฺชิสฺสตี’ติ เม กถยิํสุ, กตฺถ โส เอตรหี’’ติ สริตฺวา ‘‘ตสฺส วสนฎฺฐานํ ชานาถา’’ติ จตูหิ ทฺวาเรหิ จตฺตาโร อมเจฺจ เปเสสิฯ เสสทฺวาเรหิ นิกฺขนฺตา อมจฺจา มหาสตฺตํ น ปสฺสิํสุฯ ปาจีนทฺวาเรน นิกฺขโนฺต อมโจฺจ ปน สาลาทีนิ ทิสฺวา ‘‘ปณฺฑิเตน นาม อิมิสฺสา สาลาย การเกน วา การาปเกน วา ภวิตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา มนุเสฺส ปุจฺฉิ ‘‘อยํ สาลา กตรวฑฺฒกินา กตา’’ติ? มนุสฺสา ‘‘นายํ วฑฺฒกินา กตา, สิริวฑฺฒนเสฎฺฐิปุเตฺตน มโหสธปณฺฑิเตน อตฺตโน ปญฺญาพเลน วิจาเรตฺวา กตา’’ติ วทิํสุฯ ‘‘กติวโสฺส ปน ปณฺฑิโต’’ติ? ‘‘ปริปุณฺณสตฺตวโสฺส’’ติฯ อมโจฺจ รญฺญา ทิฎฺฐสุปินทิวสโต ปฎฺฐาย วสฺสํ คเณตฺวา ‘‘รโญฺญ ทิฎฺฐสุปิเนน สเมติ, อยเมว โส ปณฺฑิโต’’ติ รโญฺญ ทูตํ เปเสสิ ‘‘เทว, ปาจีนยวมชฺฌกคาเม สิริวฑฺฒนเสฎฺฐิปุโตฺต มโหสธปณฺฑิโต นาม สตฺตวสฺสิโกว สมาโน เอวรูปํ นาม สาลํ วิจาเรสิ, โปกฺขรณิํ อุยฺยานญฺจ กาเรสิ, อิมํ ปณฺฑิตํ คเหตฺวา อาเนมี’’ติฯ ราชา ตํ กถํ สุตฺวาว ตุฎฺฐจิโตฺต หุตฺวา เสนกํ ปโกฺกสาเปตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘กิํ, อาจริย, อาเนม ปณฺฑิต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ โส ลาภํ มจฺฉรายโนฺต ‘‘มหาราช, สาลาทีนํ การาปิตมเตฺตน ปณฺฑิโต นาม น โหติ, โย โกจิ เอตานิ กาเรติ, อปฺปมตฺตกํ เอต’’นฺติ อาหฯ โส ตสฺส กถํ สุตฺวา ‘‘ภวิตพฺพเมตฺถ การเณนา’’ติ ตุณฺหี หุตฺวา ‘‘ตเตฺถว วสโนฺต ปณฺฑิตํ วีมํสตู’’ติ อมจฺจสฺส ทูตํ ปฎิเปเสสิฯ ตํ สุตฺวา อมโจฺจ ตเตฺถว วสโนฺต ปณฺฑิตํ วีมํสิฯ

    Vedeharājāpi sattavassaccayena ‘‘cattāro paṇḍitā ‘amhe abhibhavitvā pañcamo paṇḍito uppajjissatī’ti me kathayiṃsu, kattha so etarahī’’ti saritvā ‘‘tassa vasanaṭṭhānaṃ jānāthā’’ti catūhi dvārehi cattāro amacce pesesi. Sesadvārehi nikkhantā amaccā mahāsattaṃ na passiṃsu. Pācīnadvārena nikkhanto amacco pana sālādīni disvā ‘‘paṇḍitena nāma imissā sālāya kārakena vā kārāpakena vā bhavitabba’’nti cintetvā manusse pucchi ‘‘ayaṃ sālā kataravaḍḍhakinā katā’’ti? Manussā ‘‘nāyaṃ vaḍḍhakinā katā, sirivaḍḍhanaseṭṭhiputtena mahosadhapaṇḍitena attano paññābalena vicāretvā katā’’ti vadiṃsu. ‘‘Kativasso pana paṇḍito’’ti? ‘‘Paripuṇṇasattavasso’’ti. Amacco raññā diṭṭhasupinadivasato paṭṭhāya vassaṃ gaṇetvā ‘‘rañño diṭṭhasupinena sameti, ayameva so paṇḍito’’ti rañño dūtaṃ pesesi ‘‘deva, pācīnayavamajjhakagāme sirivaḍḍhanaseṭṭhiputto mahosadhapaṇḍito nāma sattavassikova samāno evarūpaṃ nāma sālaṃ vicāresi, pokkharaṇiṃ uyyānañca kāresi, imaṃ paṇḍitaṃ gahetvā ānemī’’ti. Rājā taṃ kathaṃ sutvāva tuṭṭhacitto hutvā senakaṃ pakkosāpetvā tamatthaṃ ārocetvā ‘‘kiṃ, ācariya, ānema paṇḍita’’nti pucchi. So lābhaṃ maccharāyanto ‘‘mahārāja, sālādīnaṃ kārāpitamattena paṇḍito nāma na hoti, yo koci etāni kāreti, appamattakaṃ eta’’nti āha. So tassa kathaṃ sutvā ‘‘bhavitabbamettha kāraṇenā’’ti tuṇhī hutvā ‘‘tattheva vasanto paṇḍitaṃ vīmaṃsatū’’ti amaccassa dūtaṃ paṭipesesi. Taṃ sutvā amacco tattheva vasanto paṇḍitaṃ vīmaṃsi.

    สตฺตทารกปโญฺห

    Sattadārakapañho

    ตตฺริทํ วีมํสนุทฺทานํ –

    Tatridaṃ vīmaṃsanuddānaṃ –

    ‘‘มํสํ โคโณ คนฺถิ สุตฺตํ, ปุโตฺต โคโต รเถน จ;

    ‘‘Maṃsaṃ goṇo ganthi suttaṃ, putto goto rathena ca;

    ทโณฺฑ สีสํ อหี เจว, กุกฺกุโฎ มณิ วิชายนํ;

    Daṇḍo sīsaṃ ahī ceva, kukkuṭo maṇi vijāyanaṃ;

    โอทนํ วาลุกญฺจาปิ, ตฬากุยฺยานํ คทฺรโภ มณี’’ติฯ

    Odanaṃ vālukañcāpi, taḷākuyyānaṃ gadrabho maṇī’’ti.

    ตตฺถ มํสนฺติ เอกทิวสํ โพธิสเตฺต กีฬามณฺฑลํ คจฺฉเนฺต เอโก เสโน สูนผลกโต มํสเปสิํ คเหตฺวา อากาสํ ปกฺขนฺทิฯ ตํ ทิสฺวา ทารกา ‘‘มํสเปสิํ ฉฑฺฑาเปสฺสามา’’ติ เสนํ อนุพนฺธิํสุฯ เสโน อิโต จิโต จ ธาวติฯ เต อุทฺธํ โอโลเกตฺวา ตสฺส ปจฺฉโต ปจฺฉโต คจฺฉนฺตา ปาสาณาทีสุ อุปกฺขลิตฺวา กิลมนฺติฯ อถ เน ปณฺฑิโต อาห ‘‘ฉฑฺฑาเปสฺสามิ น’’นฺติฯ ‘‘ฉฑฺฑาเปหิ สามี’’ติฯ ‘‘เตน หิ ปสฺสถา’’ติ โส อุทฺธํ อโนโลเกตฺวาว วาตเวเคน ธาวิตฺวา เสนสฺส ฉายํ อกฺกมิตฺวา ปาณิํ ปหริตฺวา มหารวํ รวิฯ ตสฺส เตเชน โส สโทฺท เสนสฺส กุจฺฉิยํ วินิวิชฺฌิตฺวา นิจฺฉาริโต วิย อโหสิฯ โส ภีโต มํสํ ฉเฑฺฑสิฯ มหาสโตฺต ฉฑฺฑิตภาวํ ญตฺวา ฉายํ โอโลเกโนฺตว ภูมิยํ ปติตุํ อทตฺวา อากาเสเยว สมฺปฎิจฺฉิฯ ตํ อจฺฉริยํ ทิสฺวา มหาชโน นทโนฺต วคฺคโนฺต อโปฺผเฎโนฺต มหาสทฺทํ อกาสิฯ อมโจฺจ ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา รโญฺญ ทูตํ เปเสสิ ‘‘ปณฺฑิโต อิมินา อุปาเยน มํสเปสิํ ฉฑฺฑาเปสิ, อิทํ เทโว ชานาตู’’ติฯ ตํ สุตฺวา ราชา เสนกํ ปุจฺฉิ ‘‘กิํ, เสนก, อาเนม ปณฺฑิต’’นฺติ? โส จิเนฺตสิ ‘‘ตสฺส อิธาคตกาลโต ปฎฺฐาย มยํ นิปฺปภา ภวิสฺสาม, อตฺถิภาวมฺปิ โน ราชา น ชานิสฺสติ, น ตํ อาเนตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส พลวลาภมจฺฉริยตาย ‘‘มหาราช, เอตฺตเกน ปณฺฑิโต นาม น โหติ, อปฺปมตฺตกํ กิญฺจิ เอต’’นฺติ อาหฯ ราชา มชฺฌโตฺตว หุตฺวา ‘‘ตเตฺถว นํ วีมํสตู’’ติ ปุน เปเสสิฯ

    Tattha maṃsanti ekadivasaṃ bodhisatte kīḷāmaṇḍalaṃ gacchante eko seno sūnaphalakato maṃsapesiṃ gahetvā ākāsaṃ pakkhandi. Taṃ disvā dārakā ‘‘maṃsapesiṃ chaḍḍāpessāmā’’ti senaṃ anubandhiṃsu. Seno ito cito ca dhāvati. Te uddhaṃ oloketvā tassa pacchato pacchato gacchantā pāsāṇādīsu upakkhalitvā kilamanti. Atha ne paṇḍito āha ‘‘chaḍḍāpessāmi na’’nti. ‘‘Chaḍḍāpehi sāmī’’ti. ‘‘Tena hi passathā’’ti so uddhaṃ anoloketvāva vātavegena dhāvitvā senassa chāyaṃ akkamitvā pāṇiṃ paharitvā mahāravaṃ ravi. Tassa tejena so saddo senassa kucchiyaṃ vinivijjhitvā nicchārito viya ahosi. So bhīto maṃsaṃ chaḍḍesi. Mahāsatto chaḍḍitabhāvaṃ ñatvā chāyaṃ olokentova bhūmiyaṃ patituṃ adatvā ākāseyeva sampaṭicchi. Taṃ acchariyaṃ disvā mahājano nadanto vagganto apphoṭento mahāsaddaṃ akāsi. Amacco taṃ pavattiṃ ñatvā rañño dūtaṃ pesesi ‘‘paṇḍito iminā upāyena maṃsapesiṃ chaḍḍāpesi, idaṃ devo jānātū’’ti. Taṃ sutvā rājā senakaṃ pucchi ‘‘kiṃ, senaka, ānema paṇḍita’’nti? So cintesi ‘‘tassa idhāgatakālato paṭṭhāya mayaṃ nippabhā bhavissāma, atthibhāvampi no rājā na jānissati, na taṃ ānetuṃ vaṭṭatī’’ti. So balavalābhamacchariyatāya ‘‘mahārāja, ettakena paṇḍito nāma na hoti, appamattakaṃ kiñci eta’’nti āha. Rājā majjhattova hutvā ‘‘tattheva naṃ vīmaṃsatū’’ti puna pesesi.

    โคโณติ เอโก ปาจีนยวมชฺฌกคามวาสี ปุริโส ‘‘วเสฺส ปติเต กสิสฺสามี’’ติ คามนฺตรโต โคเณ กิณิตฺวา อาเนตฺวา เคเห วสาเปตฺวา ปุนทิวเส โคจรตฺถาย ติณภูมิํ อาเนตฺวา โคณปิเฎฺฐ นิสิโนฺน กิลนฺตรูโป โอตริตฺวา รุกฺขมูเล นิปโนฺนว นิทฺทํ โอกฺกมิฯ ตสฺมิํ ขเณ เอโก โจโร โคเณ คเหตฺวา ปลายิฯ โส ปพุชฺฌิตฺวา โคเณ อปสฺสโนฺต อิโต จิโต จ โอโลเกตฺวา โคเณ คเหตฺวา ปลายนฺตํ โจรํ ทิสฺวา เวเคน ปกฺขนฺทิตฺวา ‘‘กุหิํ เม โคเณ เนสี’’ติ อาหฯ ‘‘มม โคเณ อตฺตโน อิจฺฉิตฎฺฐานํ เนมี’’ติฯ เตสํ วิวาทํ สุตฺวา มหาชโน สนฺนิปติฯ ปณฺฑิโต เตสํ สาลาทฺวาเรน คจฺฉนฺตานํ สทฺทํ สุตฺวา อุโภปิ ปโกฺกสาเปตฺวา เตสํ กิริยํ ทิสฺวาว ‘‘อยํ โจโร, อยํ โคณสามิโก’’ติ ชานาติฯ ชานโนฺตปิ ‘‘กสฺมา วิวทถา’’ติ ปุจฺฉิฯ โคณสามิโก อาห – ‘‘สามิ, อิเม อหํ อสุกคามโต อสุกสฺส นาม หตฺถโต กิณิตฺวา อาเนตฺวา เคเห วสาเปตฺวา โคจรตฺถาย ติณภูมิํ เนสิํ, ตตฺถ มม ปมาทํ ทิสฺวา อยํ โคเณ คเหตฺวา ปลายิฯ สฺวาหํ อิโต จิโต จ โอโลเกโนฺต อิมํ ทิสฺวา อนุพนฺธิตฺวา คณฺหิํ, อสุกคามวาสิโน มยา เอเตสํ กิณิตฺวา คหิตภาวํ ชานนฺตี’’ติฯ โจโร ปน ‘‘มเมเต ฆรชาติกา, อยํ มุสา ภณตี’’ติ อาหฯ

    Goṇoti eko pācīnayavamajjhakagāmavāsī puriso ‘‘vasse patite kasissāmī’’ti gāmantarato goṇe kiṇitvā ānetvā gehe vasāpetvā punadivase gocaratthāya tiṇabhūmiṃ ānetvā goṇapiṭṭhe nisinno kilantarūpo otaritvā rukkhamūle nipannova niddaṃ okkami. Tasmiṃ khaṇe eko coro goṇe gahetvā palāyi. So pabujjhitvā goṇe apassanto ito cito ca oloketvā goṇe gahetvā palāyantaṃ coraṃ disvā vegena pakkhanditvā ‘‘kuhiṃ me goṇe nesī’’ti āha. ‘‘Mama goṇe attano icchitaṭṭhānaṃ nemī’’ti. Tesaṃ vivādaṃ sutvā mahājano sannipati. Paṇḍito tesaṃ sālādvārena gacchantānaṃ saddaṃ sutvā ubhopi pakkosāpetvā tesaṃ kiriyaṃ disvāva ‘‘ayaṃ coro, ayaṃ goṇasāmiko’’ti jānāti. Jānantopi ‘‘kasmā vivadathā’’ti pucchi. Goṇasāmiko āha – ‘‘sāmi, ime ahaṃ asukagāmato asukassa nāma hatthato kiṇitvā ānetvā gehe vasāpetvā gocaratthāya tiṇabhūmiṃ nesiṃ, tattha mama pamādaṃ disvā ayaṃ goṇe gahetvā palāyi. Svāhaṃ ito cito ca olokento imaṃ disvā anubandhitvā gaṇhiṃ, asukagāmavāsino mayā etesaṃ kiṇitvā gahitabhāvaṃ jānantī’’ti. Coro pana ‘‘mamete gharajātikā, ayaṃ musā bhaṇatī’’ti āha.

    อถ เน ปณฺฑิโต ‘‘อหํ โว อฑฺฑํ ธเมฺมน วินิจฺฉินิสฺสามิ, ฐสฺสถ เม วินิจฺฉเย’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, สามิ, ฐสฺสามา’’ติ วุเตฺต ‘‘มหาชนสฺส มนํ คณฺหิตุํ วฎฺฎตี’’ติ ปฐมํ โจรํ ปุจฺฉิ ‘‘ตยา อิเม โคณา กิํ ขาทาปิตา กิํ ปายิตา’’ติ? ‘‘ยาคุํ ปายิตา ติลปิฎฺฐญฺจ มาเส จ ขาทาปิตา’’ติฯ ตโต โคณสามิกํ ปุจฺฉิฯ โส อาห – ‘‘สามิ, กุโต เม ทุคฺคตสฺส ยาคุอาทีนิ ลทฺธานิ, ติณเมว ขาทาปิตา’’ติฯ ปณฺฑิโต เตสํ กถํ ปริสํ คาหาเปตฺวา ปิยงฺคุปตฺตานิ อาหราเปตฺวา โกฎฺฎาเปตฺวา อุทเกน มทฺทาเปตฺวา โคเณ ปาเยสิฯ โคณา ติณเมว ฉฑฺฑยิํสุฯ ปณฺฑิโต ‘‘ปสฺสเถต’’นฺติ มหาชนสฺส ทเสฺสตฺวา โจรํ ปุจฺฉิ ‘‘ตฺวํ โจโรสิ, น โจโรสี’’ติ? โส ‘‘โจโรมฺหี’’ติ อาหฯ ‘‘เตน หิ ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย มา เอวรูปมกาสี’’ติ โอวทิฯ โพธิสตฺตสฺส ปริสา ปน ตํ หตฺถปาเทหิ โกเฎฺฎตฺวา ทุพฺพลมกาสิฯ อถ นํ ปณฺฑิโต ‘‘ทิฎฺฐธเมฺมเยว ตาว อิมํ ทุกฺขํ ลภสิ, สมฺปราเย ปน นิรยาทีสุ มหาทุกฺขํ อนุภวิสฺสสิ, สมฺม, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย ปชเหตํ กมฺม’’นฺติ วตฺวา ตสฺส ปญฺจ สีลานิ อทาสิฯ อมโจฺจ ตํ ปวตฺติํ ยถาภูตํ รโญฺญ อาโรจาเปสิฯ ราชา เสนกํ ปุจฺฉิ ‘‘กิํ, เสนก, อาเนม ปณฺฑิต’’นฺติฯ ‘‘โคณอฑฺฑํ นาม, มหาราช, เย เกจิ วินิจฺฉินนฺติ, อาคเมหิ ตาวา’’ติ วุเตฺต ราชา มชฺฌโตฺต หุตฺวา ปุน ตเถว สาสนํ เปเสสิฯ สพฺพฎฺฐาเนสุปิ เอวํ เวทิตพฺพํฯ อิโต ปรํ ปน อุทฺทานมตฺตเมว วิภชิตฺวา ทสฺสยิสฺสามาติฯ

    Atha ne paṇḍito ‘‘ahaṃ vo aḍḍaṃ dhammena vinicchinissāmi, ṭhassatha me vinicchaye’’ti pucchitvā ‘‘āma, sāmi, ṭhassāmā’’ti vutte ‘‘mahājanassa manaṃ gaṇhituṃ vaṭṭatī’’ti paṭhamaṃ coraṃ pucchi ‘‘tayā ime goṇā kiṃ khādāpitā kiṃ pāyitā’’ti? ‘‘Yāguṃ pāyitā tilapiṭṭhañca māse ca khādāpitā’’ti. Tato goṇasāmikaṃ pucchi. So āha – ‘‘sāmi, kuto me duggatassa yāguādīni laddhāni, tiṇameva khādāpitā’’ti. Paṇḍito tesaṃ kathaṃ parisaṃ gāhāpetvā piyaṅgupattāni āharāpetvā koṭṭāpetvā udakena maddāpetvā goṇe pāyesi. Goṇā tiṇameva chaḍḍayiṃsu. Paṇḍito ‘‘passatheta’’nti mahājanassa dassetvā coraṃ pucchi ‘‘tvaṃ corosi, na corosī’’ti? So ‘‘coromhī’’ti āha. ‘‘Tena hi tvaṃ ito paṭṭhāya mā evarūpamakāsī’’ti ovadi. Bodhisattassa parisā pana taṃ hatthapādehi koṭṭetvā dubbalamakāsi. Atha naṃ paṇḍito ‘‘diṭṭhadhammeyeva tāva imaṃ dukkhaṃ labhasi, samparāye pana nirayādīsu mahādukkhaṃ anubhavissasi, samma, tvaṃ ito paṭṭhāya pajahetaṃ kamma’’nti vatvā tassa pañca sīlāni adāsi. Amacco taṃ pavattiṃ yathābhūtaṃ rañño ārocāpesi. Rājā senakaṃ pucchi ‘‘kiṃ, senaka, ānema paṇḍita’’nti. ‘‘Goṇaaḍḍaṃ nāma, mahārāja, ye keci vinicchinanti, āgamehi tāvā’’ti vutte rājā majjhatto hutvā puna tatheva sāsanaṃ pesesi. Sabbaṭṭhānesupi evaṃ veditabbaṃ. Ito paraṃ pana uddānamattameva vibhajitvā dassayissāmāti.

    คนฺถีติ เอกา ทุคฺคติตฺถี นานาวเณฺณหิ สุเตฺตหิ คนฺถิเก พนฺธิตฺวา กตํ สุตฺตคนฺถิตปิฬนฺธนํ คีวโต โมเจตฺวา สาฎกสฺส อุปริ ฐเปตฺวา นฺหายิตุํ ปณฺฑิเตน การิตโปกฺขรณิํ โอตริฯ อปรา ตรุณิตฺถี ตํ ทิสฺวา โลภํ อุปฺปาเทตฺวา อุกฺขิปิตฺวา ‘‘อมฺม, อติวิย โสภนํ อิทํ กิตฺตเกน เต กตํ, อหมฺปิ อตฺตโน เอวรูปํ กริสฺสามิ, คีวาย ปิฬนฺธิตฺวา ปมาณํ ตาวสฺส อุปธาเรมี’’ติ วตฺวา ตาย อุชุจิตฺตตาย ‘‘อุปธาเรหี’’ติ วุเตฺต คีวาย ปิฬนฺธิตฺวา ปกฺกามิฯ อิตรา ตํ ทิสฺวา สีฆํ อุตฺตริตฺวา สาฎกํ นิวาเสตฺวา อุปธาวิตฺวา ‘‘กหํ เม ปิฬนฺธนํ คเหตฺวา ปลายิสฺสสี’’ติ สาฎเก คณฺหิฯ อิตรา ‘‘นาหํ ตว สนฺตกํ คณฺหามิ, มม คีวายเมว ปิฬนฺธน’’นฺติ อาหฯ มหาชโน ตํ สุตฺวา สนฺนิปติฯ ปณฺฑิโต ทารเกหิ สทฺธิํ กีฬโนฺต ตาสํ กลหํ กตฺวา สาลาทฺวาเรน คจฺฉนฺตีนํ สทฺทํ สุตฺวา ‘‘กิํ สโทฺท เอโส’’ติ ปุจฺฉิตฺวา อุภินฺนํ กลหการณํ สุตฺวา ปโกฺกสาเปตฺวา อากาเรเนว โจริญฺจ อโจริญฺจ ญตฺวาปิ ตมตฺถํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อหํ โว ธเมฺมน วินิจฺฉินิสฺสามิ, มม วินิจฺฉเย ฐสฺสถา’’ติ วตฺวา ‘‘อาม, ฐสฺสาม, สามี’’ติ วุเตฺต ปฐมํ โจริํ ปุจฺฉิ ‘‘ตฺวํ อิมํ ปิฬนฺธนํ ปิฬนฺธนฺตี กตรคนฺธํ วิลิมฺปสี’’ติ? ‘‘อหํ นิจฺจํ สพฺพสํหารกํ วิลิมฺปามี’’ติฯ สพฺพสํหารโก นาม สพฺพคเนฺธหิ โยเชตฺวา กตคโนฺธฯ ตโต อิตรํ ปุจฺฉิฯ สา อาห ‘‘กุโต, สามิ, ลโทฺธ ทุคฺคตาย มยฺหํ สพฺพสํหารโก, อหํ นิจฺจํ ปิยงฺคุปุปฺผคนฺธเมว วิลิมฺปามี’’ติฯ ปณฺฑิโต อุทกปาติํ อาหราเปตฺวา ตํ ปิฬนฺธนํ ตตฺถ ปกฺขิปาเปตฺวา คนฺธิกํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘เอตํ คนฺธํ อุปสิงฺฆิตฺวา อสุกคนฺธภาวํ ชานาหี’’ติ อาหฯ โส อุปสิงฺฆโนฺต ปิยงฺคุปุปฺผภาวํ ญตฺวา อิมํ เอกกนิปาเต คาถมาห –

    Ganthīti ekā duggatitthī nānāvaṇṇehi suttehi ganthike bandhitvā kataṃ suttaganthitapiḷandhanaṃ gīvato mocetvā sāṭakassa upari ṭhapetvā nhāyituṃ paṇḍitena kāritapokkharaṇiṃ otari. Aparā taruṇitthī taṃ disvā lobhaṃ uppādetvā ukkhipitvā ‘‘amma, ativiya sobhanaṃ idaṃ kittakena te kataṃ, ahampi attano evarūpaṃ karissāmi, gīvāya piḷandhitvā pamāṇaṃ tāvassa upadhāremī’’ti vatvā tāya ujucittatāya ‘‘upadhārehī’’ti vutte gīvāya piḷandhitvā pakkāmi. Itarā taṃ disvā sīghaṃ uttaritvā sāṭakaṃ nivāsetvā upadhāvitvā ‘‘kahaṃ me piḷandhanaṃ gahetvā palāyissasī’’ti sāṭake gaṇhi. Itarā ‘‘nāhaṃ tava santakaṃ gaṇhāmi, mama gīvāyameva piḷandhana’’nti āha. Mahājano taṃ sutvā sannipati. Paṇḍito dārakehi saddhiṃ kīḷanto tāsaṃ kalahaṃ katvā sālādvārena gacchantīnaṃ saddaṃ sutvā ‘‘kiṃ saddo eso’’ti pucchitvā ubhinnaṃ kalahakāraṇaṃ sutvā pakkosāpetvā ākāreneva coriñca acoriñca ñatvāpi tamatthaṃ pucchitvā ‘‘ahaṃ vo dhammena vinicchinissāmi, mama vinicchaye ṭhassathā’’ti vatvā ‘‘āma, ṭhassāma, sāmī’’ti vutte paṭhamaṃ coriṃ pucchi ‘‘tvaṃ imaṃ piḷandhanaṃ piḷandhantī kataragandhaṃ vilimpasī’’ti? ‘‘Ahaṃ niccaṃ sabbasaṃhārakaṃ vilimpāmī’’ti. Sabbasaṃhārako nāma sabbagandhehi yojetvā katagandho. Tato itaraṃ pucchi. Sā āha ‘‘kuto, sāmi, laddho duggatāya mayhaṃ sabbasaṃhārako, ahaṃ niccaṃ piyaṅgupupphagandhameva vilimpāmī’’ti. Paṇḍito udakapātiṃ āharāpetvā taṃ piḷandhanaṃ tattha pakkhipāpetvā gandhikaṃ pakkosāpetvā ‘‘etaṃ gandhaṃ upasiṅghitvā asukagandhabhāvaṃ jānāhī’’ti āha. So upasiṅghanto piyaṅgupupphabhāvaṃ ñatvā imaṃ ekakanipāte gāthamāha –

    ‘‘สพฺพสํหารโก นตฺถิ, สุทฺธํ กงฺคุ ปวายติ;

    ‘‘Sabbasaṃhārako natthi, suddhaṃ kaṅgu pavāyati;

    อลิกํ ภาสติยํ ธุตฺตี, สจฺจมาหุ มหลฺลิกา’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๑๑๐);

    Alikaṃ bhāsatiyaṃ dhuttī, saccamāhu mahallikā’’ti. (jā. 1.1.110);

    ตตฺถ ธุตฺตีติ ธุตฺติกาฯ อาหูติ อาห, อยเมว วา ปาโฐฯ

    Tattha dhuttīti dhuttikā. Āhūti āha, ayameva vā pāṭho.

    เอวํ มหาสโตฺต ตํ การณํ มหาชนํ ชานาเปตฺวา ‘‘ตฺวํ โจรีสิ, น โจรีสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา โจริภาวํ ปฎิชานาเปสิฯ ตโต ปฎฺฐาย มหาสตฺตสฺส ปณฺฑิตภาโว ปากโฎ ชาโตฯ

    Evaṃ mahāsatto taṃ kāraṇaṃ mahājanaṃ jānāpetvā ‘‘tvaṃ corīsi, na corīsī’’ti pucchitvā coribhāvaṃ paṭijānāpesi. Tato paṭṭhāya mahāsattassa paṇḍitabhāvo pākaṭo jāto.

    สุตฺตนฺติ เอกา กปฺปาสเกฺขตฺตรกฺขิกา อิตฺถี กปฺปาสเกฺขตฺตํ รกฺขนฺตี ตเตฺถว ปริสุทฺธํ กปฺปาสํ คเหตฺวา สุขุมสุตฺตํ กนฺติตฺวา คุฬํ กตฺวา อุจฺฉเงฺค ฐเปตฺวา คามํ อาคจฺฉนฺตี ‘‘ปณฺฑิตสฺส โปกฺขรณิยํ นฺหายิสฺสามี’’ติ ตีรํ คนฺตฺวา สาฎกํ มุญฺจิตฺวา สาฎกสฺส อุปริ สุตฺตคุฬํ ฐเปตฺวา โอตริตฺวา โปกฺขรณิยํ นฺหายติฯ อปรา ตํ ทิสฺวา ลุทฺธจิตฺตตาย ตํ คเหตฺวา ‘‘อโห มนาปํ สุตฺตํ, อมฺม, ตยา กต’’นฺติ อจฺฉรํ ปหริตฺวา โอโลเกนฺตี วิย อุจฺฉเงฺค กตฺวา ปกฺกามิฯ เสสํ ปุริมนเยเนว วิตฺถาเรตพฺพํฯ ปณฺฑิโต ปฐมํ โจริํ ปุจฺฉิ ‘‘ตฺวํ คุฬํ กโรนฺตี อโนฺต กิํ ปกฺขิปิตฺวา อกาสี’’ติ? ‘‘กปฺปาสผลฎฺฐิเมว สามี’’ติฯ ตโต อิตรํ ปุจฺฉิฯ สา ‘‘สามิ ติมฺพรุอฎฺฐิ’’นฺติ อาหฯ โส อุภินฺนํ วจนํ ปริสํ คาหาเปตฺวา สุตฺตคุฬํ นิเพฺพฐาเปตฺวา ติมฺพรุอฎฺฐิํ ทิสฺวา ตํ โจริภาวํ สํปฎิจฺฉาเปสิฯ มหาชโน หฎฺฐตุโฎฺฐ ‘‘สุวินิจฺฉิโต อโฑฺฑ’’ติ สาธุการสหสฺสานิ ปวเตฺตสิฯ

    Suttanti ekā kappāsakkhettarakkhikā itthī kappāsakkhettaṃ rakkhantī tattheva parisuddhaṃ kappāsaṃ gahetvā sukhumasuttaṃ kantitvā guḷaṃ katvā ucchaṅge ṭhapetvā gāmaṃ āgacchantī ‘‘paṇḍitassa pokkharaṇiyaṃ nhāyissāmī’’ti tīraṃ gantvā sāṭakaṃ muñcitvā sāṭakassa upari suttaguḷaṃ ṭhapetvā otaritvā pokkharaṇiyaṃ nhāyati. Aparā taṃ disvā luddhacittatāya taṃ gahetvā ‘‘aho manāpaṃ suttaṃ, amma, tayā kata’’nti accharaṃ paharitvā olokentī viya ucchaṅge katvā pakkāmi. Sesaṃ purimanayeneva vitthāretabbaṃ. Paṇḍito paṭhamaṃ coriṃ pucchi ‘‘tvaṃ guḷaṃ karontī anto kiṃ pakkhipitvā akāsī’’ti? ‘‘Kappāsaphalaṭṭhimeva sāmī’’ti. Tato itaraṃ pucchi. Sā ‘‘sāmi timbaruaṭṭhi’’nti āha. So ubhinnaṃ vacanaṃ parisaṃ gāhāpetvā suttaguḷaṃ nibbeṭhāpetvā timbaruaṭṭhiṃ disvā taṃ coribhāvaṃ saṃpaṭicchāpesi. Mahājano haṭṭhatuṭṭho ‘‘suvinicchito aḍḍo’’ti sādhukārasahassāni pavattesi.

    ปุโตฺตติ เอกทิวสํ เอกา อิตฺถี ปุตฺตํ อาทาย มุขโธวนตฺถาย ปณฺฑิตสฺส โปกฺขรณิํ คนฺตฺวา ปุตฺตํ นฺหาเปตฺวา อตฺตโน สาฎเก นิสีทาเปตฺวา อตฺตโน มุขํ โธวิตุํ โอตริฯ ตสฺมิํ ขเณ เอกา ยกฺขินี ตํ ทารกํ ทิสฺวา ขาทิตุกามา หุตฺวา อิตฺถิเวสํ คเหตฺวา ‘‘สหายิเก, โสภติ วตายํ ทารโก, ตเวโส ปุโตฺต’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อามา’’ติ วุเตฺต ‘‘ปาเยมิ น’’นฺติ วตฺวา ‘‘ปาเยหี’’ติ วุตฺตา ตํ คเหตฺวา โถกํ กีฬาเปตฺวา อาทาย ปลายิฯ อิตรา ตํ ทิสฺวา ธาวิตฺวา ‘‘กุหิํ เม ปุตฺตํ เนสี’’ติ คณฺหิฯ ยกฺขินี ‘‘กุโต ตยา ปุโตฺต ลโทฺธ, มเมโส ปุโตฺต’’ติ อาหฯ ตา กลหํ กโรนฺติโย สาลาทฺวาเรน คจฺฉนฺติฯ ปณฺฑิโต ตํ กลหสทฺทํ สุตฺวา ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘กิเมต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ตา ตสฺส เอตมตฺถํ อาโรเจสุํฯ ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต อกฺขีนํ อนิมิสตาย เจว รตฺตตาย จ นิราสงฺกตาย จ ฉายาย อภาวตาย จ ‘‘อยํ ยกฺขินี’’ติ ญตฺวาปิ ‘‘มม วินิจฺฉเย ฐสฺสถา’’ติ วตฺวา ‘‘อาม, ฐสฺสามา’’ติ วุเตฺต ภูมิยํ เลขํ กฑฺฒยิตฺวา เลขามเชฺฌ ทารกํ นิปชฺชาเปตฺวา ยกฺขินิํ หเตฺถสุ, มาตรํ ปาเทสุ คาหาเปตฺวา ‘‘เทฺวปิ กฑฺฒิตฺวา คณฺหถ, กฑฺฒิตุํ สโกฺกนฺติยา เอว ปุโตฺต’’ติ อาหฯ

    Puttoti ekadivasaṃ ekā itthī puttaṃ ādāya mukhadhovanatthāya paṇḍitassa pokkharaṇiṃ gantvā puttaṃ nhāpetvā attano sāṭake nisīdāpetvā attano mukhaṃ dhovituṃ otari. Tasmiṃ khaṇe ekā yakkhinī taṃ dārakaṃ disvā khāditukāmā hutvā itthivesaṃ gahetvā ‘‘sahāyike, sobhati vatāyaṃ dārako, taveso putto’’ti pucchitvā ‘‘āmā’’ti vutte ‘‘pāyemi na’’nti vatvā ‘‘pāyehī’’ti vuttā taṃ gahetvā thokaṃ kīḷāpetvā ādāya palāyi. Itarā taṃ disvā dhāvitvā ‘‘kuhiṃ me puttaṃ nesī’’ti gaṇhi. Yakkhinī ‘‘kuto tayā putto laddho, mameso putto’’ti āha. Tā kalahaṃ karontiyo sālādvārena gacchanti. Paṇḍito taṃ kalahasaddaṃ sutvā pakkosāpetvā ‘‘kimeta’’nti pucchi. Tā tassa etamatthaṃ ārocesuṃ. Taṃ sutvā mahāsatto akkhīnaṃ animisatāya ceva rattatāya ca nirāsaṅkatāya ca chāyāya abhāvatāya ca ‘‘ayaṃ yakkhinī’’ti ñatvāpi ‘‘mama vinicchaye ṭhassathā’’ti vatvā ‘‘āma, ṭhassāmā’’ti vutte bhūmiyaṃ lekhaṃ kaḍḍhayitvā lekhāmajjhe dārakaṃ nipajjāpetvā yakkhiniṃ hatthesu, mātaraṃ pādesu gāhāpetvā ‘‘dvepi kaḍḍhitvā gaṇhatha, kaḍḍhituṃ sakkontiyā eva putto’’ti āha.

    ตา อุโภปิ กฑฺฒิํสุฯ ทารโก กฑฺฒิยมาโน ทุกฺขปฺปโตฺต หุตฺวา วิรวิฯ มาตา หทเยน ผลิเตน วิย หุตฺวา ปุตฺตํ มุญฺจิตฺวา โรทมานา อฎฺฐาสิฯ ปณฺฑิโต มหาชนํ ปุจฺฉิ ‘‘อโมฺภ, ทารเก, มาตุ หทยํ มุทุกํ โหติ, อุทาหุ อมาตู’’ติฯ ‘‘มาตุ หทยํ มุทุกํ โหตี’’ติฯ ‘‘กิํ ทานิ ทารกํ คเหตฺวา ฐิตา มาตา โหติ, อุทาหุ วิสฺสเชฺชตฺวา ฐิตา’’ติ? ‘‘วิสฺสเชฺชตฺวา ฐิตา ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘อิมํ ปน ทารกโจริํ ตุเมฺห ชานาถา’’ติ? ‘‘น ชานาม, ปณฺฑิตา’’ติฯ อถ เน ปณฺฑิโต อาห – ‘‘ยกฺขินี เอสา, เอตํ ขาทิตุํ คณฺหี’’ติฯ ‘‘กถํ ชานาสิ, ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘อกฺขีนํ อนิมิสตาย เจว รตฺตตาย จ นิราสงฺกตาย จ ฉายาย อภาเวน จ นิกฺกรุณตาย จา’’ติฯ อถ นํ ปุจฺฉิ ‘‘กาสิ ตฺว’’นฺติ? ‘‘ยกฺขินีมฺหิ สามี’’ติฯ ‘‘กสฺมา อิมํ ทารกํ คณฺหี’’ติ? ‘‘ขาทิตุํ คณฺหามิ, สามี’’ติฯ ‘‘อนฺธพาเล, ตฺวํ ปุเพฺพปิ ปาปกมฺมํ กตฺวา ยกฺขินี ชาตาสิ, อิทานิ ปุนปิ ปาปํ กโรสิ, อโห อนฺธพาลาสี’’ติ วตฺวา ตํ ปญฺจสีเลสุ ปติฎฺฐาเปตฺวา ‘‘อิโต ปฎฺฐาย เอวรูปํ ปาปกมฺมํ มา อกาสี’’ติ วตฺวา ตํ อุโยฺยเชสิฯ ทารกมาตาปิ ทารกํ ลภิตฺวา ‘‘จิรํ ชีวตุ สามี’’ติ ปณฺฑิตํ โถเมตฺวา ปุตฺตํ อาทาย ปกฺกามิฯ

    Tā ubhopi kaḍḍhiṃsu. Dārako kaḍḍhiyamāno dukkhappatto hutvā viravi. Mātā hadayena phalitena viya hutvā puttaṃ muñcitvā rodamānā aṭṭhāsi. Paṇḍito mahājanaṃ pucchi ‘‘ambho, dārake, mātu hadayaṃ mudukaṃ hoti, udāhu amātū’’ti. ‘‘Mātu hadayaṃ mudukaṃ hotī’’ti. ‘‘Kiṃ dāni dārakaṃ gahetvā ṭhitā mātā hoti, udāhu vissajjetvā ṭhitā’’ti? ‘‘Vissajjetvā ṭhitā paṇḍitā’’ti. ‘‘Imaṃ pana dārakacoriṃ tumhe jānāthā’’ti? ‘‘Na jānāma, paṇḍitā’’ti. Atha ne paṇḍito āha – ‘‘yakkhinī esā, etaṃ khādituṃ gaṇhī’’ti. ‘‘Kathaṃ jānāsi, paṇḍitā’’ti. ‘‘Akkhīnaṃ animisatāya ceva rattatāya ca nirāsaṅkatāya ca chāyāya abhāvena ca nikkaruṇatāya cā’’ti. Atha naṃ pucchi ‘‘kāsi tva’’nti? ‘‘Yakkhinīmhi sāmī’’ti. ‘‘Kasmā imaṃ dārakaṃ gaṇhī’’ti? ‘‘Khādituṃ gaṇhāmi, sāmī’’ti. ‘‘Andhabāle, tvaṃ pubbepi pāpakammaṃ katvā yakkhinī jātāsi, idāni punapi pāpaṃ karosi, aho andhabālāsī’’ti vatvā taṃ pañcasīlesu patiṭṭhāpetvā ‘‘ito paṭṭhāya evarūpaṃ pāpakammaṃ mā akāsī’’ti vatvā taṃ uyyojesi. Dārakamātāpi dārakaṃ labhitvā ‘‘ciraṃ jīvatu sāmī’’ti paṇḍitaṃ thometvā puttaṃ ādāya pakkāmi.

    โคโตติ เอโก กิร ลกุณฺฑกตฺตา โคโต, กาฬวณฺณตา จ กาโฬติ โคตกาโฬ นาม ปุริโส สตฺตสํวจฺฉรานิ กมฺมํ กตฺวา ภริยํ ลภิฯ สา นาเมน ทีฆตาลา นามฯ โส เอกทิวสํ ตํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ภเทฺท, ปูวขาทนียํ ปจาหิ, มาตาปิตโร ทฎฺฐุํ คมิสฺสามา’’ติ วตฺวา ‘‘กิํ เต มาตาปิตูหี’’ติ ตาย ปฎิกฺขิโตฺตปิ ยาวตติยํ วตฺวา ปูวขาทนียํ ปจาเปตฺวา ปาเถยฺยเญฺจว ปณฺณาการญฺจ อาทาย ตาย สทฺธิํ มคฺคํ ปฎิปโนฺน อนฺตรามเคฺค อุตฺตานวาหินิํ เอกํ นทิํ อทฺทสฯ เต ปน เทฺวปิ อุทกภีรุกชาติกาว, ตสฺมา ตํ อุตฺตริตุํ อวิสหนฺตา ตีเร อฎฺฐํสุฯ ตทา ทีฆปิฎฺฐิ นาเมโก ทุคฺคตปุริโส อนุวิจรโนฺต ตํ ฐานํ ปาปุณิฯ อถ นํ เต ทิสฺวา ปุจฺฉิํสุ ‘‘สมฺม, อยํ นที คมฺภีรา อุตฺตานา’’ติฯ โส เตสํ กถํ สุตฺวา อุทกภีรุกภาวํ ญตฺวา ‘‘สมฺม, อยํ นที คมฺภีรา พหุจณฺฑมจฺฉากิณฺณา’’ติ อาหฯ ‘‘สมฺม, กถํ ตฺวํ คมิสฺสสี’’ติ? โส อาห – ‘‘สํสุมารมกรานํ อเมฺหหิ ปริจโย อตฺถิ, เตน เต อเมฺห น วิเหเฐนฺตี’’ติฯ ‘‘เตน หิ, สมฺม, อเมฺหปิ เนหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ อถสฺส เต ขชฺชโภชนํ อทํสุฯ โส กตภตฺตกิโจฺจ ‘‘สมฺม, กํ ปฐมํ เนมี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส อาห – ‘‘ตว สหายิกํ ปฐมํ เนหิ, มํ ปจฺฉา เนหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตํ ขเนฺธ กตฺวา ปาเถยฺยเญฺจว ปณฺณาการญฺจ คเหตฺวา นทิํ โอตริตฺวา โถกํ คนฺตฺวา อุกฺกุฎิโก นิสีทิตฺวา ปกฺกามิฯ

    Gototi eko kira lakuṇḍakattā goto, kāḷavaṇṇatā ca kāḷoti gotakāḷo nāma puriso sattasaṃvaccharāni kammaṃ katvā bhariyaṃ labhi. Sā nāmena dīghatālā nāma. So ekadivasaṃ taṃ āmantetvā ‘‘bhadde, pūvakhādanīyaṃ pacāhi, mātāpitaro daṭṭhuṃ gamissāmā’’ti vatvā ‘‘kiṃ te mātāpitūhī’’ti tāya paṭikkhittopi yāvatatiyaṃ vatvā pūvakhādanīyaṃ pacāpetvā pātheyyañceva paṇṇākārañca ādāya tāya saddhiṃ maggaṃ paṭipanno antarāmagge uttānavāhiniṃ ekaṃ nadiṃ addasa. Te pana dvepi udakabhīrukajātikāva, tasmā taṃ uttarituṃ avisahantā tīre aṭṭhaṃsu. Tadā dīghapiṭṭhi nāmeko duggatapuriso anuvicaranto taṃ ṭhānaṃ pāpuṇi. Atha naṃ te disvā pucchiṃsu ‘‘samma, ayaṃ nadī gambhīrā uttānā’’ti. So tesaṃ kathaṃ sutvā udakabhīrukabhāvaṃ ñatvā ‘‘samma, ayaṃ nadī gambhīrā bahucaṇḍamacchākiṇṇā’’ti āha. ‘‘Samma, kathaṃ tvaṃ gamissasī’’ti? So āha – ‘‘saṃsumāramakarānaṃ amhehi paricayo atthi, tena te amhe na viheṭhentī’’ti. ‘‘Tena hi, samma, amhepi nehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Athassa te khajjabhojanaṃ adaṃsu. So katabhattakicco ‘‘samma, kaṃ paṭhamaṃ nemī’’ti pucchi. So āha – ‘‘tava sahāyikaṃ paṭhamaṃ nehi, maṃ pacchā nehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā taṃ khandhe katvā pātheyyañceva paṇṇākārañca gahetvā nadiṃ otaritvā thokaṃ gantvā ukkuṭiko nisīditvā pakkāmi.

    โคตกาโฬ ตีเร ฐิโตว ‘‘คมฺภีราวตายํ นที, เอวํ ทีฆสฺสปิ นาม เอวรูปา, มยฺหํ ปน อปสยฺหาว ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตสิฯ อิตโรปิ ตํ นทีมชฺฌํ เนตฺวา ‘‘ภเทฺท, อหํ ตํ โปเสสฺสามิ, สมฺปนฺนวตฺถาลงฺการา ทาสิทาสปริวุตา วิจริสฺสสิ, กิํ เต อยํ ลกุณฺฑกวามนโก กริสฺสติ, มม วจนํ กโรหี’’ติ อาหฯ สา ตสฺส วจนํ สุตฺวาว อตฺตโน สามิเก สิเนหํ ภินฺทิตฺวา ตํขณเญฺญว ตสฺมิํ ปฎิพทฺธจิตฺตา หุตฺวา ‘‘สามิ, สเจ มํ น ฉเฑฺฑสฺสสิ, กริสฺสามิ เต วจน’’นฺติ สมฺปฎิจฺฉิฯ ‘‘ภเทฺท, กิํ วเทสิ, อหํ ตํ โปเสสฺสามี’’ติฯ เต ปรตีรํ คนฺตฺวา อุโภปิ สมคฺคา สโมฺมทมานา ‘‘โคตกาฬํ ปหาย ติฎฺฐ ตฺว’’นฺติ วตฺวา ตสฺส ปสฺสนฺตเสฺสว ขาทนียํ ขาทนฺตา ปกฺกมิํสุฯ โส ทิสฺวา ‘‘อิเม เอกโต หุตฺวา มํ ฉเฑฺฑตฺวา ปลายนฺติ มเญฺญ’’ติ อปราปรํ ธาวโนฺต โถกํ โอตริตฺวา ภเยน นิวตฺติตฺวา ปุน เตสุ โกเปน ‘‘ชีวามิ วา มรามิ วา’’ติ อุลฺลงฺฆิตฺวา นทิยํ ปติโต อุตฺตานภาวํ ญตฺวา นทิํ อุตฺตริตฺวา เวเคน ตํ ปาปุณิตฺวา ‘‘อโมฺภ ทุฎฺฐโจร, กุหิํ เม ภริยํ เนสี’’ติ อาหฯ อิตโรปิ ตํ ‘‘อเร ทุฎฺฐวามนก, กุโต ตว ภริยา, มเมสา ภริยา’’ติ วตฺวา คีวายํ คเหตฺวา ขิปิฯ โส ทีฆตาลํ หเตฺถ คเหตฺวา’’ติฎฺฐ ตฺวํ กุหิํ คจฺฉสิ, สตฺต สํวจฺฉรานิ กมฺมํ กตฺวา ลทฺธภริยา เมสี’’ติ วตฺวา เตน สทฺธิํ กลหํ กโรโนฺต สาลาย สนฺติกํ ปาปุณิฯ มหาชโน สนฺนิปติฯ

    Gotakāḷo tīre ṭhitova ‘‘gambhīrāvatāyaṃ nadī, evaṃ dīghassapi nāma evarūpā, mayhaṃ pana apasayhāva bhavissatī’’ti cintesi. Itaropi taṃ nadīmajjhaṃ netvā ‘‘bhadde, ahaṃ taṃ posessāmi, sampannavatthālaṅkārā dāsidāsaparivutā vicarissasi, kiṃ te ayaṃ lakuṇḍakavāmanako karissati, mama vacanaṃ karohī’’ti āha. Sā tassa vacanaṃ sutvāva attano sāmike sinehaṃ bhinditvā taṃkhaṇaññeva tasmiṃ paṭibaddhacittā hutvā ‘‘sāmi, sace maṃ na chaḍḍessasi, karissāmi te vacana’’nti sampaṭicchi. ‘‘Bhadde, kiṃ vadesi, ahaṃ taṃ posessāmī’’ti. Te paratīraṃ gantvā ubhopi samaggā sammodamānā ‘‘gotakāḷaṃ pahāya tiṭṭha tva’’nti vatvā tassa passantasseva khādanīyaṃ khādantā pakkamiṃsu. So disvā ‘‘ime ekato hutvā maṃ chaḍḍetvā palāyanti maññe’’ti aparāparaṃ dhāvanto thokaṃ otaritvā bhayena nivattitvā puna tesu kopena ‘‘jīvāmi vā marāmi vā’’ti ullaṅghitvā nadiyaṃ patito uttānabhāvaṃ ñatvā nadiṃ uttaritvā vegena taṃ pāpuṇitvā ‘‘ambho duṭṭhacora, kuhiṃ me bhariyaṃ nesī’’ti āha. Itaropi taṃ ‘‘are duṭṭhavāmanaka, kuto tava bhariyā, mamesā bhariyā’’ti vatvā gīvāyaṃ gahetvā khipi. So dīghatālaṃ hatthe gahetvā’’tiṭṭha tvaṃ kuhiṃ gacchasi, satta saṃvaccharāni kammaṃ katvā laddhabhariyā mesī’’ti vatvā tena saddhiṃ kalahaṃ karonto sālāya santikaṃ pāpuṇi. Mahājano sannipati.

    ปณฺฑิโต ‘‘กิํ สโทฺท นาเมโส’’ติ ปุจฺฉิตฺวา เต อุโภปิ ปโกฺกสาเปตฺวา วจนปฺปฎิวจนํ สุตฺวา ‘‘มม วินิจฺฉเย ฐสฺสถา’’ติ วตฺวา ‘‘อาม, ฐสฺสามา’’ติ วุเตฺต ปฐมํ ทีฆปิฎฺฐิํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตฺวํ โกนาโมสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ทีฆปิฎฺฐิโก นาม, สามี’’ติฯ ‘‘ภริยา เต กา นามา’’ติ? โส ตสฺสา นามํ อชานโนฺต อญฺญํ กเถสิฯ ‘‘มาตาปิตโร เต เก นามา’’ติ? ‘‘อสุกา นามา’’ติฯ ‘‘ภริยาย ปน เต มาตาปิตโร เก นามา’’ติ? โส อชานิตฺวา อญฺญํ กเถสิฯ ตสฺส กถํ ปริสํ คาหาเปตฺวา ตํ อปเนตฺวา อิตรํ ปโกฺกสาเปตฺวา ปุริมนเยเนว สเพฺพสํ นามานิ ปุจฺฉิฯ โส ยถาภูตํ ชานโนฺต อวิรชฺฌิตฺวา กเถสิฯ ตมฺปิ อปเนตฺวา ทีฆตาลํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตฺวํ กา นามา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ทีฆตาลา นาม สามี’’ติฯ ‘‘สามิโก เต โกนาโม’’ติ? สา อชานนฺตี อญฺญํ กเถสิฯ ‘‘มาตาปิตโร เต เก นามา’’ติฯ ‘‘อสุกา นาม สามี’’ติฯ ‘‘สามิกสฺส ปน เต มาตาปิตโร เก นามา’’ติ? สาปิ วิลปนฺตี อญฺญํ กเถสิ ฯ อิตเร เทฺว ปโกฺกสาเปตฺวา มหาชนํ ปุจฺฉิ ‘‘กิํ อิมิสฺสา ทีฆปิฎฺฐิสฺส วจเนน สเมติ, อุทาหุ โคตกาฬสฺสา’’ติฯ ‘‘โคตกาฬสฺส ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘อยํ เอติสฺสา สามิโก, อิตโร โจโร’’ติฯ อถ นํ ‘‘โจโรสิ, น โจโรสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อาม, สามิ, โจโรมฺหี’’ติ โจรภาวํ สมฺปฎิจฺฉิฯ ปณฺฑิตสฺส วินิจฺฉเยน โคตกาโฬ อตฺตโน ภริยํ ลภิตฺวา มหาสตฺตํ โถเมตฺวา ตํ อาทาย ปกฺกามิฯ ปณฺฑิโต ทีฆปิฎฺฐิมาห ‘‘มา ปุน เอวมกาสี’’ติฯ

    Paṇḍito ‘‘kiṃ saddo nāmeso’’ti pucchitvā te ubhopi pakkosāpetvā vacanappaṭivacanaṃ sutvā ‘‘mama vinicchaye ṭhassathā’’ti vatvā ‘‘āma, ṭhassāmā’’ti vutte paṭhamaṃ dīghapiṭṭhiṃ pakkosāpetvā ‘‘tvaṃ konāmosī’’ti pucchi. ‘‘Dīghapiṭṭhiko nāma, sāmī’’ti. ‘‘Bhariyā te kā nāmā’’ti? So tassā nāmaṃ ajānanto aññaṃ kathesi. ‘‘Mātāpitaro te ke nāmā’’ti? ‘‘Asukā nāmā’’ti. ‘‘Bhariyāya pana te mātāpitaro ke nāmā’’ti? So ajānitvā aññaṃ kathesi. Tassa kathaṃ parisaṃ gāhāpetvā taṃ apanetvā itaraṃ pakkosāpetvā purimanayeneva sabbesaṃ nāmāni pucchi. So yathābhūtaṃ jānanto avirajjhitvā kathesi. Tampi apanetvā dīghatālaṃ pakkosāpetvā ‘‘tvaṃ kā nāmā’’ti pucchi. ‘‘Dīghatālā nāma sāmī’’ti. ‘‘Sāmiko te konāmo’’ti? Sā ajānantī aññaṃ kathesi. ‘‘Mātāpitaro te ke nāmā’’ti. ‘‘Asukā nāma sāmī’’ti. ‘‘Sāmikassa pana te mātāpitaro ke nāmā’’ti? Sāpi vilapantī aññaṃ kathesi . Itare dve pakkosāpetvā mahājanaṃ pucchi ‘‘kiṃ imissā dīghapiṭṭhissa vacanena sameti, udāhu gotakāḷassā’’ti. ‘‘Gotakāḷassa paṇḍitā’’ti. ‘‘Ayaṃ etissā sāmiko, itaro coro’’ti. Atha naṃ ‘‘corosi, na corosī’’ti pucchi. ‘‘Āma, sāmi, coromhī’’ti corabhāvaṃ sampaṭicchi. Paṇḍitassa vinicchayena gotakāḷo attano bhariyaṃ labhitvā mahāsattaṃ thometvā taṃ ādāya pakkāmi. Paṇḍito dīghapiṭṭhimāha ‘‘mā puna evamakāsī’’ti.

    รเถน จาติ เอกทิวสํ เอโก ปน ปุริโส รเถ นิสีทิตฺวา มุขโธวนตฺถาย นิกฺขมิฯ ตสฺมิํ ขเณ สโกฺก อาวเชฺชโนฺต ปณฺฑิตํ ทิสฺวา ‘‘มโหสธพุทฺธงฺกุรสฺส ปญฺญานุภาวํ ปากฎํ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา มนุสฺสเวเสนาคนฺตฺวา รถสฺส ปจฺฉาภาคํ คเหตฺวา ปายาสิฯ รเถ นิสิโนฺน ปุริโส ‘‘ตาต, เกนเตฺถนาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘ตุเมฺห อุปฎฺฐาตุ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ยานา โอรุยฺห สรีรกิจฺจตฺถาย คโตฯ ตสฺมิํ ขเณ สโกฺก รถํ อภิรุหิตฺวา เวเคน ปาเชสิฯ รถสามิโก ปน สรีรกิจฺจํ กตฺวา นิกฺขโนฺต สกฺกํ รถํ คเหตฺวา ปลายนฺตํ ทิสฺวา เวเคน คนฺตฺวา ‘‘ติฎฺฐ ติฎฺฐ, กุหิํ เม รถํ เนสี’’ติ วตฺวา ‘‘ตว รโถ อโญฺญ ภวิสฺสติ, อยํ ปน มม รโถ’’ติ วุเตฺต เตน สทฺธิํ กลหํ กโรโนฺต สาลาทฺวารํ ปโตฺตฯ ปณฺฑิโต ‘‘กิํ นาเมต’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา เต ปโกฺกสาเปตฺวา อาคจฺฉเนฺต ทิสฺวา นิพฺภยตาย เจว อกฺขีนํ อนิมิสตาย จ ‘‘อยํ สโกฺก, อยํ รถสามิโก’’ติ อญฺญาสิ, เอวํ สเนฺตปิ วิวาทการณํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘มม วินิจฺฉเย ฐสฺสถา’’ติ วตฺวา ‘‘อาม, ฐสฺสามา’’ติ วุเตฺต ‘‘อหํ รถํ ปาเชสฺสามิ, ตุเมฺห เทฺวปิ รถํ ปจฺฉโต คเหตฺวา คจฺฉถ, รถสามิโก น วิสฺสเชฺชสฺสติ, อิตโร วิสฺสเชฺชสฺสตี’’ติ วตฺวา ปุริสํ อาณาเปสิ ‘‘รถํ ปาเชหี’’ติฯ โส ตถา อกาสิฯ

    Rathena cāti ekadivasaṃ eko pana puriso rathe nisīditvā mukhadhovanatthāya nikkhami. Tasmiṃ khaṇe sakko āvajjento paṇḍitaṃ disvā ‘‘mahosadhabuddhaṅkurassa paññānubhāvaṃ pākaṭaṃ karissāmī’’ti cintetvā manussavesenāgantvā rathassa pacchābhāgaṃ gahetvā pāyāsi. Rathe nisinno puriso ‘‘tāta, kenatthenāgatosī’’ti pucchitvā ‘‘tumhe upaṭṭhātu’’nti vutte ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā yānā oruyha sarīrakiccatthāya gato. Tasmiṃ khaṇe sakko rathaṃ abhiruhitvā vegena pājesi. Rathasāmiko pana sarīrakiccaṃ katvā nikkhanto sakkaṃ rathaṃ gahetvā palāyantaṃ disvā vegena gantvā ‘‘tiṭṭha tiṭṭha, kuhiṃ me rathaṃ nesī’’ti vatvā ‘‘tava ratho añño bhavissati, ayaṃ pana mama ratho’’ti vutte tena saddhiṃ kalahaṃ karonto sālādvāraṃ patto. Paṇḍito ‘‘kiṃ nāmeta’’nti pucchitvā te pakkosāpetvā āgacchante disvā nibbhayatāya ceva akkhīnaṃ animisatāya ca ‘‘ayaṃ sakko, ayaṃ rathasāmiko’’ti aññāsi, evaṃ santepi vivādakāraṇaṃ pucchitvā ‘‘mama vinicchaye ṭhassathā’’ti vatvā ‘‘āma, ṭhassāmā’’ti vutte ‘‘ahaṃ rathaṃ pājessāmi, tumhe dvepi rathaṃ pacchato gahetvā gacchatha, rathasāmiko na vissajjessati, itaro vissajjessatī’’ti vatvā purisaṃ āṇāpesi ‘‘rathaṃ pājehī’’ti. So tathā akāsi.

    อิตเรปิ เทฺว ปจฺฉโต คเหตฺวา คจฺฉนฺติฯ รถสามิโก โถกํ คนฺตฺวา วิสฺสเชฺชตฺวา ฐิโต, สโกฺก ปน รเถน สทฺธิํ คนฺตฺวา รเถเนว สทฺธิํ นิวตฺติฯ ปณฺฑิโต มนุเสฺส อาจิกฺขิ ‘‘อยํ ปุริโส โถกํ คนฺตฺวา รถํ วิสฺสเชฺชตฺวา ฐิโต, อยํ ปน รเถน สทฺธิํ ธาวิตฺวา รเถเนว สทฺธิํ นิวตฺติ, เนวสฺส สรีเร เสทพินฺทุมตฺตมฺปิ อตฺถิ, อสฺสาสปสฺสาโสปิ นตฺถิ, อภีโต อนิมิสเนโตฺต, เอส สโกฺก เทวราชา’’ติฯ อถ นํ ‘‘สโกฺก เทวราชาสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, ปณฺฑิตา’’ติ วุเตฺต ‘‘กสฺมา อาคโตสี’’ติ วตฺวา ‘‘ตเวว ปญฺญาปกาสนตฺถํ ปณฺฑิตา’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ มา ปุน เอวมกาสี’’ติ โอวทติฯ สโกฺกปิ สกฺกานุภาวํ ทเสฺสโนฺต อากาเส ฐตฺวา ‘‘สุวินิจฺฉิโต ปณฺฑิเตน อโฑฺฑ’’ติ ปณฺฑิตสฺส ถุติํ กตฺวา สกฎฺฐานเมว คโตฯ ตทา โส อมโจฺจ สยเมว รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘มหาราช, ปณฺฑิเตน เอวํ รถอโฑฺฑ สุวินิจฺฉิโต, สโกฺกปิ เตน ปราชิโต, กสฺมา ปุริสวิเสสํ น ชานาสิ, เทวา’’ติ อาหฯ ราชา เสนกํ ปุจฺฉิ ‘‘กิํ, เสนก, อาเนม ปณฺฑิต’’นฺติฯ โส ลาภมจฺฉเรน ‘‘มหาราช, เอตฺตเกน ปณฺฑิโต นาม น โหติ, อาคเมถ ตาว วีมํสิตฺวา ชานิสฺสามา’’ติ อาหฯ

    Itarepi dve pacchato gahetvā gacchanti. Rathasāmiko thokaṃ gantvā vissajjetvā ṭhito, sakko pana rathena saddhiṃ gantvā ratheneva saddhiṃ nivatti. Paṇḍito manusse ācikkhi ‘‘ayaṃ puriso thokaṃ gantvā rathaṃ vissajjetvā ṭhito, ayaṃ pana rathena saddhiṃ dhāvitvā ratheneva saddhiṃ nivatti, nevassa sarīre sedabindumattampi atthi, assāsapassāsopi natthi, abhīto animisanetto, esa sakko devarājā’’ti. Atha naṃ ‘‘sakko devarājāsī’’ti pucchitvā ‘‘āma, paṇḍitā’’ti vutte ‘‘kasmā āgatosī’’ti vatvā ‘‘taveva paññāpakāsanatthaṃ paṇḍitā’’ti vutte ‘‘tena hi mā puna evamakāsī’’ti ovadati. Sakkopi sakkānubhāvaṃ dassento ākāse ṭhatvā ‘‘suvinicchito paṇḍitena aḍḍo’’ti paṇḍitassa thutiṃ katvā sakaṭṭhānameva gato. Tadā so amacco sayameva rañño santikaṃ gantvā ‘‘mahārāja, paṇḍitena evaṃ rathaaḍḍo suvinicchito, sakkopi tena parājito, kasmā purisavisesaṃ na jānāsi, devā’’ti āha. Rājā senakaṃ pucchi ‘‘kiṃ, senaka, ānema paṇḍita’’nti. So lābhamaccharena ‘‘mahārāja, ettakena paṇḍito nāma na hoti, āgametha tāva vīmaṃsitvā jānissāmā’’ti āha.

    สตฺตทารกปโญฺห นิฎฺฐิโตฯ

    Sattadārakapañho niṭṭhito.

    คทฺรภปโญฺห

    Gadrabhapañho

    ทโณฺฑติ อเถกทิวสํ ราชา ‘‘ปณฺฑิตํ วีมํสิสฺสามา’’ติ ขทิรทณฺฑํ อาหราเปตฺวา ตโต วิทตฺถิํ คเหตฺวา จุนฺทกาเร ปโกฺกสาเปตฺวา สุฎฺฐุ ลิขาเปตฺวา ปาจีนยวมชฺฌกคามํ เปเสสิ ‘‘ปาจีนยวมชฺฌกคามวาสิโน กิร ปณฺฑิตา, ‘อิมสฺส ขทิรทณฺฑสฺส อิทํ อคฺคํ, อิทํ มูล’นฺติ ชานนฺตุ, อชานนฺตานํ สหสฺสทโณฺฑ’’ติฯ คามวาสิโน สนฺนิปติตฺวา ชานิตุํ อสโกฺกนฺตา เสฎฺฐิโน กถยิํสุ ‘‘กทาจิ มโหสธปณฺฑิโต ชาเนยฺย, ปโกฺกสาเปตฺวา ตํ ปุจฺฉถา’’ติฯ เสฎฺฐิ ปณฺฑิตํ กีฬามณฺฑลา ปโกฺกสาเปตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ‘‘ตาต, มยํ ชานิตุํ น สโกฺกม, อปิ นุ ตฺวํ สกฺขิสฺสสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ตํ สุตฺวา ปณฺฑิโต จิเนฺตสิ ‘‘รโญฺญ อิมสฺส อเคฺคน วา มูเลน วา ปโยชนํ นตฺถิ, มม วีมํสนตฺถาย เปสิตํ ภวิสฺสตี’’ติฯ จิเนฺตตฺวา จ ปน ‘‘อาหรถ, ตาต, ชานิสฺสามี’’ติ อาหราเปตฺวา หเตฺถน คเหตฺวาว ‘‘อิทํ อคฺคํ อิทํ มูล’’นฺติ ญตฺวาปิ มหาชนสฺส หทยคฺคหณตฺถํ อุทกปาติํ อาหราเปตฺวา ขทิรทณฺฑกสฺส มเชฺฌ สุเตฺตน พนฺธิตฺวา สุตฺตโกฎิยํ คเหตฺวา ขทิรทณฺฑกํ อุทกปิเฎฺฐ ฐเปสิฯ มูลํ ภาริยตาย ปฐมํ อุทเก นิมุชฺชิฯ ตโต มหาชนํ ปุจฺฉิ ‘‘รุกฺขสฺส นาม มูลํ ภาริยํ โหติ, อุทาหุ อคฺค’’นฺติ? ‘‘มูลํ ปณฺฑิตา’’ติฯ เตน หิ อิมสฺส ปฐมํ นิมุคฺคํ ปสฺสถ, เอตํ มูลนฺติ อิมาย สญฺญาย อคฺคญฺจ มูลญฺจ อาจิกฺขิฯ คามวาสิโน ‘‘อิทํ อคฺคํ อิทํ มูล’’นฺติ รโญฺญ ปหิณิํสุฯ ราชา ‘‘โก อิมํ ชานาตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สิริวฑฺฒนเสฎฺฐิโน ปุโตฺต มโหสธปณฺฑิโต’’ติ สุตฺวา ‘‘กิํ, เสนก, อาเนม ปณฺฑิต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ อธิวาเสหิ, เทว, อเญฺญนปิ อุปาเยน นํ วีมํสิสฺสามาติฯ

    Daṇḍoti athekadivasaṃ rājā ‘‘paṇḍitaṃ vīmaṃsissāmā’’ti khadiradaṇḍaṃ āharāpetvā tato vidatthiṃ gahetvā cundakāre pakkosāpetvā suṭṭhu likhāpetvā pācīnayavamajjhakagāmaṃ pesesi ‘‘pācīnayavamajjhakagāmavāsino kira paṇḍitā, ‘imassa khadiradaṇḍassa idaṃ aggaṃ, idaṃ mūla’nti jānantu, ajānantānaṃ sahassadaṇḍo’’ti. Gāmavāsino sannipatitvā jānituṃ asakkontā seṭṭhino kathayiṃsu ‘‘kadāci mahosadhapaṇḍito jāneyya, pakkosāpetvā taṃ pucchathā’’ti. Seṭṭhi paṇḍitaṃ kīḷāmaṇḍalā pakkosāpetvā tamatthaṃ ārocetvā ‘‘tāta, mayaṃ jānituṃ na sakkoma, api nu tvaṃ sakkhissasī’’ti pucchi. Taṃ sutvā paṇḍito cintesi ‘‘rañño imassa aggena vā mūlena vā payojanaṃ natthi, mama vīmaṃsanatthāya pesitaṃ bhavissatī’’ti. Cintetvā ca pana ‘‘āharatha, tāta, jānissāmī’’ti āharāpetvā hatthena gahetvāva ‘‘idaṃ aggaṃ idaṃ mūla’’nti ñatvāpi mahājanassa hadayaggahaṇatthaṃ udakapātiṃ āharāpetvā khadiradaṇḍakassa majjhe suttena bandhitvā suttakoṭiyaṃ gahetvā khadiradaṇḍakaṃ udakapiṭṭhe ṭhapesi. Mūlaṃ bhāriyatāya paṭhamaṃ udake nimujji. Tato mahājanaṃ pucchi ‘‘rukkhassa nāma mūlaṃ bhāriyaṃ hoti, udāhu agga’’nti? ‘‘Mūlaṃ paṇḍitā’’ti. Tena hi imassa paṭhamaṃ nimuggaṃ passatha, etaṃ mūlanti imāya saññāya aggañca mūlañca ācikkhi. Gāmavāsino ‘‘idaṃ aggaṃ idaṃ mūla’’nti rañño pahiṇiṃsu. Rājā ‘‘ko imaṃ jānātī’’ti pucchitvā ‘‘sirivaḍḍhanaseṭṭhino putto mahosadhapaṇḍito’’ti sutvā ‘‘kiṃ, senaka, ānema paṇḍita’’nti pucchi. Adhivāsehi, deva, aññenapi upāyena naṃ vīmaṃsissāmāti.

    สีสนฺติ อเถกทิวสํ อิตฺถิยา จ ปุริสสฺส จาติ เทฺว สีสานิ อาหราเปตฺวา ‘‘อิทํ อิตฺถิสีสํ, อิทํ ปุริสสีสนฺติ ชานนฺตุ, อชานนฺตานํ สหสฺสทโณฺฑ’’ติ ปหิณิํสุฯ คามวาสิโน อชานนฺตา ปณฺฑิตํ ปุจฺฉิํสุฯ โส ทิสฺวาว อญฺญาสิฯ กถํ ชานาติ? ปุริสสีเส กิร สิพฺพินี อุชุกาว โหติ, อิตฺถิสีเส สิพฺพินี วงฺกา โหติ, ปริวตฺติตฺวา คจฺฉติฯ โส อิมินา อภิญฺญาเณน ‘‘อิทํ อิตฺถิยา สีสํ, อิทํ ปุริสสฺส สีส’’นฺติ อาจิกฺขิฯ คามวาสิโนปิ รโญฺญ ปหิณิํสุฯ เสสํ ปุริมสทิสเมวฯ

    Sīsanti athekadivasaṃ itthiyā ca purisassa cāti dve sīsāni āharāpetvā ‘‘idaṃ itthisīsaṃ, idaṃ purisasīsanti jānantu, ajānantānaṃ sahassadaṇḍo’’ti pahiṇiṃsu. Gāmavāsino ajānantā paṇḍitaṃ pucchiṃsu. So disvāva aññāsi. Kathaṃ jānāti? Purisasīse kira sibbinī ujukāva hoti, itthisīse sibbinī vaṅkā hoti, parivattitvā gacchati. So iminā abhiññāṇena ‘‘idaṃ itthiyā sīsaṃ, idaṃ purisassa sīsa’’nti ācikkhi. Gāmavāsinopi rañño pahiṇiṃsu. Sesaṃ purimasadisameva.

    อหีติ อเถกทิวสํ สปฺปญฺจ สปฺปินิญฺจ อาหราเปตฺวา ‘‘อยํ สโปฺป, อยํ สปฺปินีติ ชานนฺตุ, อชานนฺตานํ สหสฺสทโณฺฑ’’ติ วตฺวา คามวาสีนํ เปเสสุํฯ คามวาสิโน อชานนฺตา ปณฺฑิตํ ปุจฺฉิํสุฯ โส ทิสฺวาว ชานาติฯ สปฺปสฺส หิ นงฺคุฎฺฐํ ถูลํ โหติ, สปฺปินิยา ตนุกํ โหติ, สปฺปสฺส สีสํ ปุถุลํ โหติ, สปฺปินิยา ตนุกํ โหติ, สปฺปสฺส อกฺขีนิ มหนฺตานิ, สปฺปินิยา ขุทฺทกานิ, สปฺปสฺส โสวตฺติโก ปราพโทฺธ โหติ, สปฺปินิยา วิจฺฉินฺนโกฯ โส อิเมหิ อภิญฺญาเณหิ ‘‘อยํ สโปฺป, อยํ สปฺปินี’’ติ อาจิกฺขิฯ เสสํ วุตฺตนยเมวฯ

    Ahīti athekadivasaṃ sappañca sappiniñca āharāpetvā ‘‘ayaṃ sappo, ayaṃ sappinīti jānantu, ajānantānaṃ sahassadaṇḍo’’ti vatvā gāmavāsīnaṃ pesesuṃ. Gāmavāsino ajānantā paṇḍitaṃ pucchiṃsu. So disvāva jānāti. Sappassa hi naṅguṭṭhaṃ thūlaṃ hoti, sappiniyā tanukaṃ hoti, sappassa sīsaṃ puthulaṃ hoti, sappiniyā tanukaṃ hoti, sappassa akkhīni mahantāni, sappiniyā khuddakāni, sappassa sovattiko parābaddho hoti, sappiniyā vicchinnako. So imehi abhiññāṇehi ‘‘ayaṃ sappo, ayaṃ sappinī’’ti ācikkhi. Sesaṃ vuttanayameva.

    กุกฺกุโฎติ อเถกทิวสํ ‘‘ปาจีนยวมชฺฌกคามวาสิโน อมฺหากํ สพฺพเสตํ ปาทวิสาณํ สีสกกุธํ ตโย กาเล อนติกฺกมิตฺวา นทนฺตํ อุสภํ เปเสนฺตุ, โน เจ เปเสนฺติ, สหสฺสทโณฺฑ’’ติ ปหิณิํสุฯ เต อชานนฺตา ปณฺฑิตํ ปุจฺฉิํสุฯ โส อาห – ‘‘ราชา โว สพฺพเสตํ กุกฺกุฎํ อาหราเปสิ, โส หิ ปาทนขสิขตาย ปาทวิสาโณ นาม, สีสจูฬตาย สีสกกุโธ นาม, ติกฺขตฺตุํ วสฺสนโต ตโย กาเล อนติกฺกมิตฺวา นทติ นาม, ตสฺมา เอวรูปํ กุกฺกุฬํ เปเสถา’’ติ อาหฯ เต เปสยิํสุฯ

    Kukkuṭoti athekadivasaṃ ‘‘pācīnayavamajjhakagāmavāsino amhākaṃ sabbasetaṃ pādavisāṇaṃ sīsakakudhaṃ tayo kāle anatikkamitvā nadantaṃ usabhaṃ pesentu, no ce pesenti, sahassadaṇḍo’’ti pahiṇiṃsu. Te ajānantā paṇḍitaṃ pucchiṃsu. So āha – ‘‘rājā vo sabbasetaṃ kukkuṭaṃ āharāpesi, so hi pādanakhasikhatāya pādavisāṇo nāma, sīsacūḷatāya sīsakakudho nāma, tikkhattuṃ vassanato tayo kāle anatikkamitvā nadati nāma, tasmā evarūpaṃ kukkuḷaṃ pesethā’’ti āha. Te pesayiṃsu.

    มณีติ สเกฺกน กุสรโญฺญ ทิโนฺน มณิกฺขโนฺธ อฎฺฐสุ ฐาเนสุ วโงฺก โหติฯ ตสฺส ปุราณสุตฺตํ ฉินฺนํ, โกจิ ปุราณสุตฺตํ นีหริตฺวา นวสุตฺตํ ปเวเสตุํ น สโกฺกติ, ตสฺมา เอกทิวสํ ‘‘อิมสฺมา มณิกฺขนฺธา ปุราณสุตฺตํ นีหริตฺวา นวสุตฺตํ ปเวเสนฺตู’’ติ เปสยิํสุฯ คามวาสิโน ปุราณสุตฺตํ นีหริตฺวา นวสุตฺตํ ปเวเสตุํ อสโกฺกนฺตา ปณฺฑิตสฺส อาจิกฺขิํสุฯ โส ‘‘มา จินฺตยิตฺถ, มธุํ อาหรถา’’ติ อาหราเปตฺวา มณิโน ทฺวีสุ ปเสฺสสุ มธุนา ฉิทฺทํ มเกฺขตฺวา กมฺพลสุตฺตํ วเฎฺฎตฺวา โกฎิยํ มธุนา มเกฺขตฺวา โถกํ ฉิเทฺท ปเวเสตฺวา กิปิลฺลิกานํ นิกฺขมนฎฺฐาเน ฐเปสิฯ กิปิลฺลิกา มธุคเนฺธน นิกฺขมิตฺวา มณิมฺหิ ปุราณสุตฺตํ ขาทมานา คนฺตฺวา กมฺพลสุตฺตโกฎิยํ ฑํสิตฺวา กฑฺฒนฺตา เอเกน ปเสฺสน นีหริํสุฯ ปณฺฑิโต ปเวสิตภาวํ ญตฺวา ‘‘รโญฺญ เทถา’’ติ คามวาสีนํ อทาสิฯ เต รโญฺญ เปสยิํสุฯ โส ปเวสิตอุปายํ สุตฺวา ตุสฺสิฯ

    Maṇīti sakkena kusarañño dinno maṇikkhandho aṭṭhasu ṭhānesu vaṅko hoti. Tassa purāṇasuttaṃ chinnaṃ, koci purāṇasuttaṃ nīharitvā navasuttaṃ pavesetuṃ na sakkoti, tasmā ekadivasaṃ ‘‘imasmā maṇikkhandhā purāṇasuttaṃ nīharitvā navasuttaṃ pavesentū’’ti pesayiṃsu. Gāmavāsino purāṇasuttaṃ nīharitvā navasuttaṃ pavesetuṃ asakkontā paṇḍitassa ācikkhiṃsu. So ‘‘mā cintayittha, madhuṃ āharathā’’ti āharāpetvā maṇino dvīsu passesu madhunā chiddaṃ makkhetvā kambalasuttaṃ vaṭṭetvā koṭiyaṃ madhunā makkhetvā thokaṃ chidde pavesetvā kipillikānaṃ nikkhamanaṭṭhāne ṭhapesi. Kipillikā madhugandhena nikkhamitvā maṇimhi purāṇasuttaṃ khādamānā gantvā kambalasuttakoṭiyaṃ ḍaṃsitvā kaḍḍhantā ekena passena nīhariṃsu. Paṇḍito pavesitabhāvaṃ ñatvā ‘‘rañño dethā’’ti gāmavāsīnaṃ adāsi. Te rañño pesayiṃsu. So pavesitaupāyaṃ sutvā tussi.

    วิชายนนฺติ อเถกทิวสํ รโญฺญ มงฺคลอุสภํ พหู มาเส ขาทาเปตฺวา มโหทรํ กตฺวา วิสาณานิ โธวิตฺวา เตเลน มเกฺขตฺวา หลิทฺทิยา นฺหาเปตฺวา คามวาสีนํ ปหิณิํสุ ‘‘ตุเมฺห กิร ปณฺฑิตา, อยญฺจ รโญฺญ มงฺคลอุสโภ ปติฎฺฐิตคโพฺภ, เอตํ วิชายาเปตฺวา สวจฺฉกํ เปเสถ, อเปเสนฺตานํ สหสฺสทโณฺฑ’’ติฯ คามวาสิโน ‘‘น สกฺกา อิทํ กาตุํ, กิํ นุ โข กริสฺสามา’’ติ ปณฺฑิตํ ปุจฺฉิํสุฯ โส ‘‘อิมินา เอเกน ปญฺหปฎิภาเคน ภวิตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘สกฺขิสฺสถ ปเนกํ รญฺญา สทฺธิํ กถนสมตฺถํ วิสารทํ ปุริสํ ลทฺธุ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘น ครุ เอตํ, ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘เตน หิ นํ ปโกฺกสถา’’ติฯ เต ปโกฺกสิํสุฯ อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘เอหิ, โภ ปุริส, ตฺวํ ตว เกเส ปิฎฺฐิยํ วิกิริตฺวา นานปฺปการํ พลวปริเทวํ ปริเทวโนฺต ราชทฺวารํ คจฺฉ, อเญฺญหิ ปุจฺฉิโตปิ กิญฺจิ อวตฺวาว ปริเทว, รญฺญา ปน ปโกฺกสาเปตฺวา ปริเทวการณํ ปุจฺฉิโตว สมาโน ‘ปิตา เม เทว วิชายิตุํ น สโกฺกติ, อชฺช สตฺตโม ทิวโส, ปฎิสรณํ เม โหหิ, วิชายนุปายมสฺส กโรหี’ติ วตฺวา รญฺญา ‘กิํ วิลปสิ อฎฺฐานเมตํ, ปุริสา นาม วิชายนฺตา นตฺถี’ติ วุเตฺต ‘สเจ เทว, เอวํ นตฺถิ, อถ กสฺมา ปาจีนยวมชฺฌกคามวาสิโน กถํ มงฺคลอุสภํ วิชายาเปสฺสนฺตี’ติ วเทยฺยาสี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตถา อกาสิฯ ราชา ‘‘เกนิทํ ปญฺหปฎิภาคํ จินฺติต’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘มโหสธปณฺฑิเตนา’’ติ สุตฺวา ตุสฺสิฯ

    Vijāyananti athekadivasaṃ rañño maṅgalausabhaṃ bahū māse khādāpetvā mahodaraṃ katvā visāṇāni dhovitvā telena makkhetvā haliddiyā nhāpetvā gāmavāsīnaṃ pahiṇiṃsu ‘‘tumhe kira paṇḍitā, ayañca rañño maṅgalausabho patiṭṭhitagabbho, etaṃ vijāyāpetvā savacchakaṃ pesetha, apesentānaṃ sahassadaṇḍo’’ti. Gāmavāsino ‘‘na sakkā idaṃ kātuṃ, kiṃ nu kho karissāmā’’ti paṇḍitaṃ pucchiṃsu. So ‘‘iminā ekena pañhapaṭibhāgena bhavitabba’’nti cintetvā ‘‘sakkhissatha panekaṃ raññā saddhiṃ kathanasamatthaṃ visāradaṃ purisaṃ laddhu’’nti pucchi. ‘‘Na garu etaṃ, paṇḍitā’’ti. ‘‘Tena hi naṃ pakkosathā’’ti. Te pakkosiṃsu. Atha naṃ mahāsatto ‘‘ehi, bho purisa, tvaṃ tava kese piṭṭhiyaṃ vikiritvā nānappakāraṃ balavaparidevaṃ paridevanto rājadvāraṃ gaccha, aññehi pucchitopi kiñci avatvāva parideva, raññā pana pakkosāpetvā paridevakāraṇaṃ pucchitova samāno ‘pitā me deva vijāyituṃ na sakkoti, ajja sattamo divaso, paṭisaraṇaṃ me hohi, vijāyanupāyamassa karohī’ti vatvā raññā ‘kiṃ vilapasi aṭṭhānametaṃ, purisā nāma vijāyantā natthī’ti vutte ‘sace deva, evaṃ natthi, atha kasmā pācīnayavamajjhakagāmavāsino kathaṃ maṅgalausabhaṃ vijāyāpessantī’ti vadeyyāsī’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tathā akāsi. Rājā ‘‘kenidaṃ pañhapaṭibhāgaṃ cintita’’nti pucchitvā ‘‘mahosadhapaṇḍitenā’’ti sutvā tussi.

    โอทนนฺติ อปรสฺมิํ ทิวเส ‘‘ปณฺฑิตํ วีมํสิสฺสามา’’ติ ‘‘ปาจีนยวมชฺฌกคามวาสิโน อมฺหากํ อฎฺฐงฺคสมนฺนาคตํ อมฺพิโลทนํ ปจิตฺวา เปเสนฺตุฯ ตตฺริมานิ อฎฺฐงฺคานิ – น ตณฺฑุเลหิ, น อุทเกน, น อุกฺขลิยา, น อุทฺธเนน, น อคฺคินา, น ทารูหิ, น อิตฺถิยา น ปุริเสน, น มเคฺคนาติฯ อเปเสนฺตานํ สหสฺสทโณฺฑ’’ติ ปหิณิํสุฯ คามวาสิโน ตํ การณํ อชานนฺตา ปณฺฑิตํ ปุจฺฉิํสุฯ โส ‘‘มา จินฺตยิตฺถา’’ติ วตฺวา ‘‘น ตณฺฑุเลหีติ กณิกํ คาหาเปตฺวา, น อุทเกนาติ หิมํ คาหาเปตฺวา, น อุกฺขลิยาติ อญฺญํ นวมตฺติกาภาชนํ คาหาเปตฺวา, น อุทฺธเนนาติ ขาณุเก โกฎฺฎาเปตฺวา, น อคฺคินาติ ปกติอคฺคิํ ปหาย อรณิอคฺคิํ คาหาเปตฺวา, น ทารูหีติ ปณฺณานิ คาหาเปตฺวา อมฺพิโลทนํ ปจาเปตฺวา นวภาชเน ปกฺขิปิตฺวา ลญฺฉิตฺวา, น อิตฺถิยา น ปุริเสนาติ ปณฺฑเกน อุกฺขิปาเปตฺวา, น มเคฺคนาติ มหามคฺคํ ปหาย ชงฺฆมเคฺคน รโญฺญ เปเสถา’’ติ อาหฯ เต ตถา กริํสุฯ ราชา ‘‘เกน ปเนส ปโญฺห ญาโต’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘มโหสธปณฺฑิเตนา’’ติ สุตฺวา ตุสฺสิฯ

    Odananti aparasmiṃ divase ‘‘paṇḍitaṃ vīmaṃsissāmā’’ti ‘‘pācīnayavamajjhakagāmavāsino amhākaṃ aṭṭhaṅgasamannāgataṃ ambilodanaṃ pacitvā pesentu. Tatrimāni aṭṭhaṅgāni – na taṇḍulehi, na udakena, na ukkhaliyā, na uddhanena, na agginā, na dārūhi, na itthiyā na purisena, na maggenāti. Apesentānaṃ sahassadaṇḍo’’ti pahiṇiṃsu. Gāmavāsino taṃ kāraṇaṃ ajānantā paṇḍitaṃ pucchiṃsu. So ‘‘mā cintayitthā’’ti vatvā ‘‘na taṇḍulehīti kaṇikaṃ gāhāpetvā, na udakenāti himaṃ gāhāpetvā, na ukkhaliyāti aññaṃ navamattikābhājanaṃ gāhāpetvā, na uddhanenāti khāṇuke koṭṭāpetvā, na aggināti pakatiaggiṃ pahāya araṇiaggiṃ gāhāpetvā, na dārūhīti paṇṇāni gāhāpetvā ambilodanaṃ pacāpetvā navabhājane pakkhipitvā lañchitvā, na itthiyā na purisenāti paṇḍakena ukkhipāpetvā, na maggenāti mahāmaggaṃ pahāya jaṅghamaggena rañño pesethā’’ti āha. Te tathā kariṃsu. Rājā ‘‘kena panesa pañho ñāto’’ti pucchitvā ‘‘mahosadhapaṇḍitenā’’ti sutvā tussi.

    วาลุกนฺติ อปรสฺมิํ ทิวเส ปณฺฑิตสฺส วีมํสนตฺถํ คามวาสีนํ ปหิณิํสุ ‘‘ราชา โทลาย กีฬิตุกาโม, ราชกุเล ปุราณโยตฺตํ ฉินฺนํ, เอกํ วาลุกโยตฺตํ วเฎฺฎตฺวา เปเสนฺตุ, อเปเสนฺตานํ สหสฺสทโณฺฑ’’ติฯ เต ปณฺฑิตํ ปุจฺฉิํสุฯ ปณฺฑิโต ‘‘อิมินาปิ ปญฺหปฎิภาเคเนว ภวิตพฺพ’’นฺติ คามวาสิโน อสฺสาเสตฺวา วจนกุสเล เทฺว ตโย ปุริเส ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘คจฺฉถ ตุเมฺห, ราชานํ วเทถ ‘เทว, คามวาสิโน ตสฺส โยตฺตสฺส ตนุกํ วา ถูลํ วา ปมาณํ น ชานนฺติ, ปุราณวาลุกโยตฺตโต วิทตฺถิมตฺตํ วา จตุรงฺคุลมตฺตํ วา ขณฺฑํ เปเสถ, ตํ โอโลเกตฺวา เตน ปมาเณน วเฎฺฎสฺสนฺตี’ติฯ สเจ, โว ราชา ‘อมฺหากํ ฆเร วาลุกโยตฺตํ นาม น กทาจิ สุตปุพฺพ’นฺติ วทติ, อถ นํ ‘สเจ, มหาราช, โว เอวรูปํ น สกฺกา กาตุํ, ปาจีนยวมชฺฌกคามวาสิโน กถํ กริสฺสนฺตี’ติ วเทยฺยาถา’’ติ เปเสสิฯ เต ตถา กริํสุฯ ราชา ‘‘เกน จินฺติตํ ปญฺหปฎิภาค’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘มโหสธปณฺฑิเตนา’’ติ สุตฺวา ตุสฺสิฯ

    Vālukanti aparasmiṃ divase paṇḍitassa vīmaṃsanatthaṃ gāmavāsīnaṃ pahiṇiṃsu ‘‘rājā dolāya kīḷitukāmo, rājakule purāṇayottaṃ chinnaṃ, ekaṃ vālukayottaṃ vaṭṭetvā pesentu, apesentānaṃ sahassadaṇḍo’’ti. Te paṇḍitaṃ pucchiṃsu. Paṇḍito ‘‘imināpi pañhapaṭibhāgeneva bhavitabba’’nti gāmavāsino assāsetvā vacanakusale dve tayo purise pakkosāpetvā ‘‘gacchatha tumhe, rājānaṃ vadetha ‘deva, gāmavāsino tassa yottassa tanukaṃ vā thūlaṃ vā pamāṇaṃ na jānanti, purāṇavālukayottato vidatthimattaṃ vā caturaṅgulamattaṃ vā khaṇḍaṃ pesetha, taṃ oloketvā tena pamāṇena vaṭṭessantī’ti. Sace, vo rājā ‘amhākaṃ ghare vālukayottaṃ nāma na kadāci sutapubba’nti vadati, atha naṃ ‘sace, mahārāja, vo evarūpaṃ na sakkā kātuṃ, pācīnayavamajjhakagāmavāsino kathaṃ karissantī’ti vadeyyāthā’’ti pesesi. Te tathā kariṃsu. Rājā ‘‘kena cintitaṃ pañhapaṭibhāga’’nti pucchitvā ‘‘mahosadhapaṇḍitenā’’ti sutvā tussi.

    ตฬากนฺติ อปรสฺมิํ ทิวเส ปณฺฑิตสฺส วีมํสนตฺถํ ‘‘ราชา อุทกกีฬํ กีฬิตุกาโม, ปญฺจวิธปทุมสจฺฉนฺนํ โปกฺขรณิํ เปเสนฺตุ, อเปเสนฺตานํ สหสฺสทโณฺฑ’’ติ คามวาสีนํ เปสยิํสุฯ เต ปณฺฑิตสฺส อาโรเจสุํฯ โส ‘‘อิมินาปิ ปญฺหปฎิภาเคเนว ภวิตพฺพ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา วจนกุสเล กติปเย มนุเสฺส ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘เอถ ตุเมฺห อุทกกีฬํ กีฬิตฺวา อกฺขีนิ รตฺตานิ กตฺวา อลฺลเกสา อลฺลวตฺถา กทฺทมมกฺขิตสรีรา โยตฺตทณฺฑเลฑฺฑุหตฺถา ราชทฺวารํ คนฺตฺวา ทฺวาเร ฐิตภาวํ รโญฺญ อาโรจาเปตฺวา กโตกาสา ปวิสิตฺวา ‘มหาราช, ตุเมฺหหิ กิร ปาจีนยวมชฺฌกคามวาสิโน โปกฺขรณิํ เปเสนฺตูติ ปหิตา มยํ ตุมฺหากํ อนุจฺฉวิกํ มหนฺตํ โปกฺขรณิํ อาทาย อาคตาฯ สา ปน อรญฺญวาสิกตฺตา นครํ ทิสฺวา ทฺวารปาการปริขาอฎฺฎาลกาทีนิ โอโลเกตฺวา ภีตตสิตา โยตฺตานิ ฉินฺทิตฺวา ปลายิตฺวา อรญฺญเมว ปวิฎฺฐา, มยํ เลฑฺฑุทณฺฑาทีหิ โปเถนฺตาปิ นิวเตฺตตุํ น สกฺขิมฺหา, ตุมฺหากํ อรญฺญา อานีตํ ปุราณโปกฺขรณิํ เปเสถ, ตาย สทฺธิํ โยเชตฺวา หริสฺสามา’ติ วตฺวา รญฺญาน กทาจิ มม อรญฺญโต อานีตโปกฺขรณี นาม ภูตปุพฺพา, น จ มยา กสฺสจิ โยเชตฺวา อาหรณตฺถาย โปกฺขรณี เปสิตปุพฺพา’ติ วุเตฺต ‘สเจ, เทว, โว เอวํ น สกฺกา กาตุํ, ปาจีนยวมชฺฌกคามวาสิโน กถํ โปกฺขรณิํ เปเสสฺสนฺตี’ติ วเทยฺยาถา’’ติ วตฺวา เปเสสิฯ เต ตถา กริํสุฯ ราชา ปณฺฑิเตน ญาตภาวํ สุตฺวา ตุสฺสิฯ

    Taḷākanti aparasmiṃ divase paṇḍitassa vīmaṃsanatthaṃ ‘‘rājā udakakīḷaṃ kīḷitukāmo, pañcavidhapadumasacchannaṃ pokkharaṇiṃ pesentu, apesentānaṃ sahassadaṇḍo’’ti gāmavāsīnaṃ pesayiṃsu. Te paṇḍitassa ārocesuṃ. So ‘‘imināpi pañhapaṭibhāgeneva bhavitabba’’nti cintetvā vacanakusale katipaye manusse pakkosāpetvā ‘‘etha tumhe udakakīḷaṃ kīḷitvā akkhīni rattāni katvā allakesā allavatthā kaddamamakkhitasarīrā yottadaṇḍaleḍḍuhatthā rājadvāraṃ gantvā dvāre ṭhitabhāvaṃ rañño ārocāpetvā katokāsā pavisitvā ‘mahārāja, tumhehi kira pācīnayavamajjhakagāmavāsino pokkharaṇiṃ pesentūti pahitā mayaṃ tumhākaṃ anucchavikaṃ mahantaṃ pokkharaṇiṃ ādāya āgatā. Sā pana araññavāsikattā nagaraṃ disvā dvārapākāraparikhāaṭṭālakādīni oloketvā bhītatasitā yottāni chinditvā palāyitvā araññameva paviṭṭhā, mayaṃ leḍḍudaṇḍādīhi pothentāpi nivattetuṃ na sakkhimhā, tumhākaṃ araññā ānītaṃ purāṇapokkharaṇiṃ pesetha, tāya saddhiṃ yojetvā harissāmā’ti vatvā raññāna kadāci mama araññato ānītapokkharaṇī nāma bhūtapubbā, na ca mayā kassaci yojetvā āharaṇatthāya pokkharaṇī pesitapubbā’ti vutte ‘sace, deva, vo evaṃ na sakkā kātuṃ, pācīnayavamajjhakagāmavāsino kathaṃ pokkharaṇiṃ pesessantī’ti vadeyyāthā’’ti vatvā pesesi. Te tathā kariṃsu. Rājā paṇḍitena ñātabhāvaṃ sutvā tussi.

    อุยฺยานนฺติ ปุเนกทิวสํ ‘‘มยํ อุยฺยานกีฬํ กีฬิตุกามา, อมฺหากญฺจ ปุราณอุยฺยานํ ปริชิณฺณํ, โอภคฺคํ ชาตํ, ปาจีนยวมชฺฌกคามวาสิโน สุปุปฺผิตตรุณรุกฺขสญฺฉนฺนํ นวอุยฺยานํ เปเสนฺตู’’ติ ปหิณิํสุฯ คามวาสิโน ปณฺฑิตสฺส อาโรเจสุํฯ ปณฺฑิโต ‘‘อิมินาปิ ปญฺหปฎิภาเคเนว ภวิตพฺพ’’นฺติ เต สมสฺสาเสตฺวา มนุเสฺส เปเสตฺวา ปุริมนเยเนว กถาเปสิฯ

    Uyyānanti punekadivasaṃ ‘‘mayaṃ uyyānakīḷaṃ kīḷitukāmā, amhākañca purāṇauyyānaṃ parijiṇṇaṃ, obhaggaṃ jātaṃ, pācīnayavamajjhakagāmavāsino supupphitataruṇarukkhasañchannaṃ navauyyānaṃ pesentū’’ti pahiṇiṃsu. Gāmavāsino paṇḍitassa ārocesuṃ. Paṇḍito ‘‘imināpi pañhapaṭibhāgeneva bhavitabba’’nti te samassāsetvā manusse pesetvā purimanayeneva kathāpesi.

    ตทาปิ ราชา ตุสฺสิตฺวา เสนกํ ปุจฺฉิ ‘‘กิํ, เสนก, อาเนม ปณฺฑิต’’นฺติฯ โส ลาภมจฺฉริเยน ‘‘เอตฺตเกน ปณฺฑิโต นาม น โหติ, อาคเมถ, เทวา’’ติ อาหฯ ตสฺส ตํ วจนํ สุตฺวา ราชา จิเนฺตสิ ‘‘มโหสธปณฺฑิโต สตฺตทารกปเญฺหหิ มม มนํ คณฺหิ, เอวรูเปสุปิสฺส คุยฺหปญฺหวิสฺสชฺชเนสุ เจว ปญฺหปฎิภาเคสุ จ พุทฺธสฺส วิย พฺยากรณํ, เสนโก เอวรูปํ ปณฺฑิตํ อาเนตุํ น เทติ, กิํ เม เสนเกน, อาเนสฺสามิ น’’นฺติฯ โส มหเนฺตน ปริวาเรน ตํ คามํ ปายาสิฯ ตสฺส มงฺคลอสฺสํ อภิรุหิตฺวา คจฺฉนฺตสฺส อสฺสสฺส ปาโท ผลิตภูมิยา อนฺตรํ ปวิสิตฺวา ภิชฺชิฯ ราชา ตโตว นิวตฺติตฺวา นครํ ปาวิสิฯ อถ นํ เสนโก อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิ ‘‘มหาราช, ปณฺฑิตํ กิํ อาเนตุํ ปาจีนยวมชฺฌกคามํ อคมิตฺถา’’ติฯ ‘‘อาม, ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘มหาราช, ตุเมฺห มํ อนตฺถกามํ กตฺวา ปสฺสถ, ‘อาคเมถ ตาวา’ติ วุเตฺตปิ อติตุริตา นิกฺขมิตฺถ, ปฐมคมเนเนว มงฺคลอสฺสสฺส ปาโท ภิโนฺน’’ติฯ

    Tadāpi rājā tussitvā senakaṃ pucchi ‘‘kiṃ, senaka, ānema paṇḍita’’nti. So lābhamacchariyena ‘‘ettakena paṇḍito nāma na hoti, āgametha, devā’’ti āha. Tassa taṃ vacanaṃ sutvā rājā cintesi ‘‘mahosadhapaṇḍito sattadārakapañhehi mama manaṃ gaṇhi, evarūpesupissa guyhapañhavissajjanesu ceva pañhapaṭibhāgesu ca buddhassa viya byākaraṇaṃ, senako evarūpaṃ paṇḍitaṃ ānetuṃ na deti, kiṃ me senakena, ānessāmi na’’nti. So mahantena parivārena taṃ gāmaṃ pāyāsi. Tassa maṅgalaassaṃ abhiruhitvā gacchantassa assassa pādo phalitabhūmiyā antaraṃ pavisitvā bhijji. Rājā tatova nivattitvā nagaraṃ pāvisi. Atha naṃ senako upasaṅkamitvā pucchi ‘‘mahārāja, paṇḍitaṃ kiṃ ānetuṃ pācīnayavamajjhakagāmaṃ agamitthā’’ti. ‘‘Āma, paṇḍitā’’ti. ‘‘Mahārāja, tumhe maṃ anatthakāmaṃ katvā passatha, ‘āgametha tāvā’ti vuttepi atituritā nikkhamittha, paṭhamagamaneneva maṅgalaassassa pādo bhinno’’ti.

    โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา ตุณฺหี หุตฺวา ปุเนกทิวสํ เตน สทฺธิํ มเนฺตสิ ‘‘กิํ, เสนก, อาเนม ปณฺฑิต’’นฺติฯ เทว, สยํ อคนฺตฺวา ทูตํ เปเสถ ‘‘ปณฺฑิต, อมฺหากํ ตว สนฺติกํ อาคจฺฉนฺตานํ อสฺสสฺส ปาโท ภิโนฺน, อสฺสตรํ วา โน เปเสตุ เสฎฺฐตรํ วา’’ติฯ ‘‘ยทิ อสฺสตรํ เปเสสฺสติ, สยํ อาคมิสฺสติฯ เสฎฺฐตรํ เปเสโนฺต ปิตรํ เปเสสฺสติ, อยเมโก โน ปโญฺห ภวิสฺสตี’’ติฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตถา กตฺวา ทูตํ เปเสสิฯ ปณฺฑิโต ทูตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘ราชา มมเญฺจว ปิตรญฺจ ปสฺสิตุกาโม’’ติ จิเนฺตตฺวา ปิตุ สนฺติกํ คนฺตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘ตาต, ราชา ตุเมฺห เจว มมญฺจ ทฎฺฐุกาโม, ตุเมฺห ปฐมตรํ เสฎฺฐิสหสฺสปริวุตา คจฺฉถ, คจฺฉนฺตา จ ตุจฺฉหตฺถา อคนฺตฺวา นวสปฺปิปูรํ จนฺทนกรณฺฑกํ อาทาย คจฺฉถฯ ราชา ตุเมฺหหิ สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘คหปติ ปติรูปํ อาสนํ ญตฺวา นิสีทาหี’ติ วกฺขติ, อถ ตุเมฺห ตถารูปํ อาสนํ ญตฺวา นิสีเทยฺยาถฯ ตุมฺหากํ นิสินฺนกาเล อหํ อาคมิสฺสามิ, ราชา มยาปิ สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘ปณฺฑิต, ตวานุรูปํ อาสนํ ญตฺวา นิสีทา’ติ วกฺขติ, อถาหํ ตุเมฺห โอโลเกสฺสามิ, ตุเมฺห ตาย สญฺญาย อาสนา วุฎฺฐาย ‘ตาต มโหสธ, อิมสฺมิํ อาสเน นิสีทา’ติ วเทยฺยาถ, อชฺช โน เอโก ปโญฺห มตฺถกํ ปาปุณิสฺสตี’’ติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา วุตฺตนเยเนว คนฺตฺวา อตฺตโน ทฺวาเร ฐิตภาวํ รโญฺญ อาโรจาเปตฺวา ‘‘ปวิสตู’’ติ วุเตฺต ปวิสิตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ

    So tassa vacanaṃ sutvā tuṇhī hutvā punekadivasaṃ tena saddhiṃ mantesi ‘‘kiṃ, senaka, ānema paṇḍita’’nti. Deva, sayaṃ agantvā dūtaṃ pesetha ‘‘paṇḍita, amhākaṃ tava santikaṃ āgacchantānaṃ assassa pādo bhinno, assataraṃ vā no pesetu seṭṭhataraṃ vā’’ti. ‘‘Yadi assataraṃ pesessati, sayaṃ āgamissati. Seṭṭhataraṃ pesento pitaraṃ pesessati, ayameko no pañho bhavissatī’’ti. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tathā katvā dūtaṃ pesesi. Paṇḍito dūtassa vacanaṃ sutvā ‘‘rājā mamañceva pitarañca passitukāmo’’ti cintetvā pitu santikaṃ gantvā vanditvā ‘‘tāta, rājā tumhe ceva mamañca daṭṭhukāmo, tumhe paṭhamataraṃ seṭṭhisahassaparivutā gacchatha, gacchantā ca tucchahatthā agantvā navasappipūraṃ candanakaraṇḍakaṃ ādāya gacchatha. Rājā tumhehi saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā ‘gahapati patirūpaṃ āsanaṃ ñatvā nisīdāhī’ti vakkhati, atha tumhe tathārūpaṃ āsanaṃ ñatvā nisīdeyyātha. Tumhākaṃ nisinnakāle ahaṃ āgamissāmi, rājā mayāpi saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā ‘paṇḍita, tavānurūpaṃ āsanaṃ ñatvā nisīdā’ti vakkhati, athāhaṃ tumhe olokessāmi, tumhe tāya saññāya āsanā vuṭṭhāya ‘tāta mahosadha, imasmiṃ āsane nisīdā’ti vadeyyātha, ajja no eko pañho matthakaṃ pāpuṇissatī’’ti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā vuttanayeneva gantvā attano dvāre ṭhitabhāvaṃ rañño ārocāpetvā ‘‘pavisatū’’ti vutte pavisitvā rājānaṃ vanditvā ekamantaṃ aṭṭhāsi.

    ราชา เตน สทฺธิํ ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘คหปติ, ตวปุโตฺต มโหสธปณฺฑิโต กุหิ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ปจฺฉโต อาคจฺฉติ, เทวา’’ติฯ ราชา ‘‘ปจฺฉโต อาคจฺฉตี’’ติ สุตฺวา ตุฎฺฐมานโส หุตฺวา ‘‘มหาเสฎฺฐิ อตฺตโน ยุตฺตาสนํ ญตฺวา นิสีทา’’ติ อาหฯ โส อตฺตโน ยุตฺตาสนํ ญตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ มหาสโตฺตปิ อลงฺกตปฎิยโตฺต ทารกสหสฺสปริวุโต อลงฺกตรเถ นิสีทิตฺวา นครํ ปวิสโนฺต ปริขาปิเฎฺฐ จรมานํ เอกํ คทฺรภํ ทิสฺวา ถามสมฺปเนฺน มาณเว เปเสสิ ‘‘อโมฺภ, เอตํ คทฺรภํ อนุพนฺธิตฺวา ยถา สทฺทํ น กโรติ, เอวมสฺส มุขพนฺธนํ กตฺวา กิลเญฺชน เวเฐตฺวา ตสฺมิํ เอเกนตฺถรเณน ปฎิจฺฉาเทตฺวา อํเสนาทาย อาคจฺฉถา’’ติฯ เต ตถา กริํสุฯ โพธิสโตฺตปิ มหเนฺตน ปริวาเรน นครํ ปาวิสิฯ มหาชโน ‘‘เอส กิร สิริวฑฺฒนเสฎฺฐิโน ปุโตฺต มโหสธปณฺฑิโต นาม, เอส กิร ชายมาโน โอสธฆฎิกํ หเตฺถน คเหตฺวา ชาโต, อิมินา กิร เอตฺตกานํ วีมํสนปญฺหานํ ปญฺหปฎิภาโค ญาโต’’ติ มหาสตฺตํ อภิตฺถวโนฺต โอโลเกโนฺตปิ ติตฺติํ น คจฺฉติฯ โส ราชทฺวารํ คนฺตฺวา ปฎิเวเทสิฯ ราชา สุตฺวาว หฎฺฐตุโฎฺฐ ‘‘มม ปุโตฺต มโหสธปณฺฑิโต ขิปฺปํ อาคจฺฉตู’’ติ อาหฯ โส ทารกสหสฺสปริวุโต ปาสาทํ อภิรุหิตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ ราชา ตํ ทิสฺวาว โสมนสฺสปฺปโตฺต หุตฺวา มธุรปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘ปณฺฑิต, ปติรูปํ อาสนํ ญตฺวา นิสีทา’’ติ อาหฯ อถ โส ปิตรํ โอโลเกสิฯ อถสฺส ปิตาปิ โอโลกิตสญฺญาย อุฎฺฐาย ‘‘ปณฺฑิต, อิมสฺมิํ อาสเน นิสีทา’’ติ อาหฯ โส ตสฺมิํ อาสเน นิสีทิฯ

    Rājā tena saddhiṃ paṭisanthāraṃ katvā ‘‘gahapati, tavaputto mahosadhapaṇḍito kuhi’’nti pucchi. ‘‘Pacchato āgacchati, devā’’ti. Rājā ‘‘pacchato āgacchatī’’ti sutvā tuṭṭhamānaso hutvā ‘‘mahāseṭṭhi attano yuttāsanaṃ ñatvā nisīdā’’ti āha. So attano yuttāsanaṃ ñatvā ekamantaṃ nisīdi. Mahāsattopi alaṅkatapaṭiyatto dārakasahassaparivuto alaṅkatarathe nisīditvā nagaraṃ pavisanto parikhāpiṭṭhe caramānaṃ ekaṃ gadrabhaṃ disvā thāmasampanne māṇave pesesi ‘‘ambho, etaṃ gadrabhaṃ anubandhitvā yathā saddaṃ na karoti, evamassa mukhabandhanaṃ katvā kilañjena veṭhetvā tasmiṃ ekenattharaṇena paṭicchādetvā aṃsenādāya āgacchathā’’ti. Te tathā kariṃsu. Bodhisattopi mahantena parivārena nagaraṃ pāvisi. Mahājano ‘‘esa kira sirivaḍḍhanaseṭṭhino putto mahosadhapaṇḍito nāma, esa kira jāyamāno osadhaghaṭikaṃ hatthena gahetvā jāto, iminā kira ettakānaṃ vīmaṃsanapañhānaṃ pañhapaṭibhāgo ñāto’’ti mahāsattaṃ abhitthavanto olokentopi tittiṃ na gacchati. So rājadvāraṃ gantvā paṭivedesi. Rājā sutvāva haṭṭhatuṭṭho ‘‘mama putto mahosadhapaṇḍito khippaṃ āgacchatū’’ti āha. So dārakasahassaparivuto pāsādaṃ abhiruhitvā rājānaṃ vanditvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Rājā taṃ disvāva somanassappatto hutvā madhurapaṭisanthāraṃ katvā ‘‘paṇḍita, patirūpaṃ āsanaṃ ñatvā nisīdā’’ti āha. Atha so pitaraṃ olokesi. Athassa pitāpi olokitasaññāya uṭṭhāya ‘‘paṇḍita, imasmiṃ āsane nisīdā’’ti āha. So tasmiṃ āsane nisīdi.

    ตํ ตตฺถ นิสินฺนํ ทิสฺวาว เสนกปุกฺกุสกามินฺทเทวินฺทา เจว อเญฺญ จ อนฺธพาลา ปาณิํ ปหริตฺวา มหาหสิตํ หสิตฺวา ‘‘อิมํ อนฺธพาลํ ‘ปณฺฑิโต’ติ วทิํสุ, โส ปิตรํ อาสนา วุฎฺฐาเปตฺวา สยํ นิสีทติ, อิมํ ‘ปณฺฑิโต’ติ วตฺตุํ อยุตฺต’’นฺติ ปริหาสํ กริํสุฯ ราชาปิ ทุมฺมุโข อนตฺตมโน อโหสิฯ อถ นํ มหาสโตฺต ปุจฺฉิ ‘‘กิํ, มหาราช, ทุมฺมุขตฺถา’’ติ ? ‘‘อาม ปณฺฑิต, ทุมฺมุโขมฺหิ, สวนเมว เต มนาปํ, ทสฺสนํ ปน อมนาปํ ชาต’’นฺติฯ ‘‘กิํ การณา, มหาราชา’’ติ? ‘‘ปิตรํ อาสนา วุฎฺฐาเปตฺวา นิสินฺนตฺตา’’ติฯ ‘‘กิํ ปน ตฺวํ, มหาราช, ‘สพฺพฎฺฐาเนสุ ปุเตฺตหิ ปิตโรว อุตฺตมา’ติ มญฺญสี’’ติฯ ‘‘อาม, ปณฺฑิตา’’ติฯ อถ มหาสโตฺต ‘‘นนุ, มหาราช, ตุเมฺหหิ อมฺหากํ ‘อสฺสตรํ วา เปเสตุ เสฎฺฐตรํ วา’ติ สาสนํ ปหิต’’นฺติ วตฺวา อาสนา วุฎฺฐาย เต มาณเว โอโลเกตฺวา ‘‘ตุเมฺหหิ คหิตํ คทฺรภํ อาเนถา’’ติ อาณาเปตฺวา รโญฺญ ปาทมูเล นิปชฺชาเปตฺวา ‘‘มหาราช, อยํ คทฺรโภ กิํ อคฺฆตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ปณฺฑิต, สเจ อุปการโก, อฎฺฐ กหาปเณ อคฺฆตี’’ติฯ ‘‘อิมํ ปฎิจฺจ ชาโต อาชานียวฬวาย กุจฺฉิมฺหิ วุฎฺฐอสฺสตโร กิํ อคฺฆตี’’ติ? ‘‘อนโคฺฆ ปณฺฑิตา’’ติฯ ‘‘เทว, กสฺมา เอวํ กเถถ, นนุ ตุเมฺหหิ อิทาเนว วุตฺตํ ‘สพฺพฎฺฐาเนสุ ปุเตฺตหิ ปิตโรว อุตฺตมา’ติฯ สเจ ตํ สจฺจํ, ตุมฺหากํ วาเท อสฺสตรโต คทฺรโภว อุตฺตโม โหติ, กิํ ปน, มหาราช, ตุมฺหากํ ปณฺฑิตา เอตฺตกมฺปิ ชานิตุํ อสโกฺกนฺตา ปาณิํ ปหริตฺวา หสนฺติ, อโห ตุมฺหากํ ปณฺฑิตานํ ปญฺญาสมฺปตฺติ, กุโต โว เอเต ลทฺธา’’ติ จตฺตาโร ปณฺฑิเต ปริหสิตฺวา ราชานํ อิมาย เอกกนิปาเต คาถาย อชฺฌภาสิ –

    Taṃ tattha nisinnaṃ disvāva senakapukkusakāmindadevindā ceva aññe ca andhabālā pāṇiṃ paharitvā mahāhasitaṃ hasitvā ‘‘imaṃ andhabālaṃ ‘paṇḍito’ti vadiṃsu, so pitaraṃ āsanā vuṭṭhāpetvā sayaṃ nisīdati, imaṃ ‘paṇḍito’ti vattuṃ ayutta’’nti parihāsaṃ kariṃsu. Rājāpi dummukho anattamano ahosi. Atha naṃ mahāsatto pucchi ‘‘kiṃ, mahārāja, dummukhatthā’’ti ? ‘‘Āma paṇḍita, dummukhomhi, savanameva te manāpaṃ, dassanaṃ pana amanāpaṃ jāta’’nti. ‘‘Kiṃ kāraṇā, mahārājā’’ti? ‘‘Pitaraṃ āsanā vuṭṭhāpetvā nisinnattā’’ti. ‘‘Kiṃ pana tvaṃ, mahārāja, ‘sabbaṭṭhānesu puttehi pitarova uttamā’ti maññasī’’ti. ‘‘Āma, paṇḍitā’’ti. Atha mahāsatto ‘‘nanu, mahārāja, tumhehi amhākaṃ ‘assataraṃ vā pesetu seṭṭhataraṃ vā’ti sāsanaṃ pahita’’nti vatvā āsanā vuṭṭhāya te māṇave oloketvā ‘‘tumhehi gahitaṃ gadrabhaṃ ānethā’’ti āṇāpetvā rañño pādamūle nipajjāpetvā ‘‘mahārāja, ayaṃ gadrabho kiṃ agghatī’’ti pucchi. ‘‘Paṇḍita, sace upakārako, aṭṭha kahāpaṇe agghatī’’ti. ‘‘Imaṃ paṭicca jāto ājānīyavaḷavāya kucchimhi vuṭṭhaassataro kiṃ agghatī’’ti? ‘‘Anaggho paṇḍitā’’ti. ‘‘Deva, kasmā evaṃ kathetha, nanu tumhehi idāneva vuttaṃ ‘sabbaṭṭhānesu puttehi pitarova uttamā’ti. Sace taṃ saccaṃ, tumhākaṃ vāde assatarato gadrabhova uttamo hoti, kiṃ pana, mahārāja, tumhākaṃ paṇḍitā ettakampi jānituṃ asakkontā pāṇiṃ paharitvā hasanti, aho tumhākaṃ paṇḍitānaṃ paññāsampatti, kuto vo ete laddhā’’ti cattāro paṇḍite parihasitvā rājānaṃ imāya ekakanipāte gāthāya ajjhabhāsi –

    ‘‘หํจิ ตุวํ เอวมญฺญสิ ‘เสโยฺย, ปุเตฺตน ปิตา’ติ ราชเสฎฺฐ;

    ‘‘Haṃci tuvaṃ evamaññasi ‘seyyo, puttena pitā’ti rājaseṭṭha;

    หนฺทสฺสตรสฺส เต อยํ, อสฺสตรสฺส หิ คทฺรโภ ปิตา’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๑๑๑);

    Handassatarassa te ayaṃ, assatarassa hi gadrabho pitā’’ti. (jā. 1.1.111);

    ตสฺสโตฺถ – ยทิ, ตฺวํ ราชเสฎฺฐ, สพฺพฎฺฐาเนสุ เสโยฺย ปุเตฺตน ปิตาติ เอวํ มญฺญสิ, ตว อสฺสตรโตปิ อยํ คทฺรโภ เสโยฺย โหตุฯ กิํ การณา? อสฺสตรสฺส หิ คทฺรโภ ปิตาติฯ

    Tassattho – yadi, tvaṃ rājaseṭṭha, sabbaṭṭhānesu seyyo puttena pitāti evaṃ maññasi, tava assataratopi ayaṃ gadrabho seyyo hotu. Kiṃ kāraṇā? Assatarassa hi gadrabho pitāti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา มหาสโตฺต อาห – ‘‘มหาราช , สเจ ปุตฺตโต ปิตา เสโยฺย, มม ปิตรํ คณฺหถฯ สเจ ปิติโต ปุโตฺต เสโยฺย, มํ คณฺหถ ตุมฺหากํ อตฺถายา’’ติฯ ราชา โสมนสฺสปฺปโตฺต อโหสิฯ สพฺพา ราชปริสาปิ ‘‘สุกถิโต ปณฺฑิเตน ปโญฺห’’ติ อุนฺนทนฺตา สาธุการสหสฺสานิ อทํสุ, องฺคุลิโผฎา เจว เจลุเกฺขปา จ ปวตฺติํสุ ฯ จตฺตาโร ปณฺฑิตาปิ ทุมฺมุขา ปชฺฌายนฺตาว อเหสุํฯ นนุ มาตาปิตูนํ คุณํ ชานโนฺต โพธิสเตฺตน สทิโส นาม นตฺถิ , อถ โส กสฺมา เอวมกาสีติ? น โส ปิตุ อวมานนตฺถาย, รญฺญา ปน ‘‘อสฺสตรํ วา เปเสตุ เสฎฺฐตรํ วา’’ติ เปสิตํ, ตสฺมา ตเสฺสว ปญฺหสฺส อาวิภาวตฺถํ อตฺตโน จ ปณฺฑิตภาวสฺส ญาปนตฺถํ จตุนฺนญฺจ ปณฺฑิตานํ อปฺปฎิภานกรณตฺถํ เอวมกาสีติฯ

    Evañca pana vatvā mahāsatto āha – ‘‘mahārāja , sace puttato pitā seyyo, mama pitaraṃ gaṇhatha. Sace pitito putto seyyo, maṃ gaṇhatha tumhākaṃ atthāyā’’ti. Rājā somanassappatto ahosi. Sabbā rājaparisāpi ‘‘sukathito paṇḍitena pañho’’ti unnadantā sādhukārasahassāni adaṃsu, aṅguliphoṭā ceva celukkhepā ca pavattiṃsu . Cattāro paṇḍitāpi dummukhā pajjhāyantāva ahesuṃ. Nanu mātāpitūnaṃ guṇaṃ jānanto bodhisattena sadiso nāma natthi , atha so kasmā evamakāsīti? Na so pitu avamānanatthāya, raññā pana ‘‘assataraṃ vā pesetu seṭṭhataraṃ vā’’ti pesitaṃ, tasmā tasseva pañhassa āvibhāvatthaṃ attano ca paṇḍitabhāvassa ñāpanatthaṃ catunnañca paṇḍitānaṃ appaṭibhānakaraṇatthaṃ evamakāsīti.

    คทฺรภปโญฺห นิฎฺฐิโตฯ

    Gadrabhapañho niṭṭhito.

    เอกูนวีสติมปโญฺห

    Ekūnavīsatimapañho

    ราชา ตุสฺสิตฺวา คโนฺธทกปุณฺณํ สุวณฺณภิงฺการํ อาทาย ‘‘ปาจีนยวมชฺฌกคามํ ราชโภเคน ปริภุญฺชตู’’ติ เสฎฺฐิสฺส หเตฺถ อุทกํ ปาเตตฺวา ‘‘เสสเสฎฺฐิโน เอตเสฺสว อุปฎฺฐากา โหนฺตู’’ติ วตฺวา โพธิสตฺตสฺส มาตุ จ สพฺพาลงฺกาเร เปเสตฺวา คทฺรภปเญฺห ปสโนฺน โพธิสตฺตํ ปุตฺตํ กตฺวา คณฺหิตุํ เสฎฺฐิํ อโวจ – ‘‘คหปติ, มโหสธปณฺฑิตํ มม ปุตฺตํ กตฺวา เทหี’’ติฯ ‘‘เทว, อติตรุโณ อยํ, อชฺชาปิสฺส มุเข ขีรคโนฺธ วายติ, มหลฺลกกาเล ตุมฺหากํ สนฺติเก ภวิสฺสตี’’ติฯ ‘‘คหปติ, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย เอตสฺมิํ นิราลโย โหหิ, อยํ อชฺชตเคฺค มม ปุโตฺต, อหํ มม ปุตฺตํ โปเสตุํ สกฺขิสฺสามิ, คจฺฉ ตฺว’’นฺติ ตํ อุโยฺยเชสิฯ โส ราชานํ วนฺทิตฺวา ปณฺฑิตํ อาลิงฺคิตฺวา อุเร นิปชฺชาเปตฺวา สีเส จุมฺพิตฺวา ‘‘ตาต, อปฺปมโตฺต โหหี’’ติ โอวาทมสฺส อทาสิฯ โสปิ ปิตรํ วนฺทิตฺวา ‘‘ตาต, มา จินฺตยิตฺถา’’ติ อสฺสาเสตฺวา ปิตรํ อุโยฺยเชสิฯ ราชา ปณฺฑิตํ ปุจฺฉิ ‘‘ตาต, อโนฺตภตฺติโก ภวิสฺสสิ, อุทาหุ พหิภตฺติโก’’ติฯ โส ‘‘มหา เม ปริวาโร, ตสฺมา พหิภตฺติเกน มยา ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘พหิภตฺติโก ภวิสฺสามิ, เทวา’’ติ อาหฯ อถสฺส ราชา อนุรูปํ เคหํ ทาเปตฺวา ทารกสหสฺสํ อาทิํ กตฺวา ปริพฺพยํ ทาเปตฺวา สพฺพปริโภเค ทาเปสิฯ โส ตโต ปฎฺฐาย ราชานํ อุปฎฺฐาสิฯ

    Rājā tussitvā gandhodakapuṇṇaṃ suvaṇṇabhiṅkāraṃ ādāya ‘‘pācīnayavamajjhakagāmaṃ rājabhogena paribhuñjatū’’ti seṭṭhissa hatthe udakaṃ pātetvā ‘‘sesaseṭṭhino etasseva upaṭṭhākā hontū’’ti vatvā bodhisattassa mātu ca sabbālaṅkāre pesetvā gadrabhapañhe pasanno bodhisattaṃ puttaṃ katvā gaṇhituṃ seṭṭhiṃ avoca – ‘‘gahapati, mahosadhapaṇḍitaṃ mama puttaṃ katvā dehī’’ti. ‘‘Deva, atitaruṇo ayaṃ, ajjāpissa mukhe khīragandho vāyati, mahallakakāle tumhākaṃ santike bhavissatī’’ti. ‘‘Gahapati, tvaṃ ito paṭṭhāya etasmiṃ nirālayo hohi, ayaṃ ajjatagge mama putto, ahaṃ mama puttaṃ posetuṃ sakkhissāmi, gaccha tva’’nti taṃ uyyojesi. So rājānaṃ vanditvā paṇḍitaṃ āliṅgitvā ure nipajjāpetvā sīse cumbitvā ‘‘tāta, appamatto hohī’’ti ovādamassa adāsi. Sopi pitaraṃ vanditvā ‘‘tāta, mā cintayitthā’’ti assāsetvā pitaraṃ uyyojesi. Rājā paṇḍitaṃ pucchi ‘‘tāta, antobhattiko bhavissasi, udāhu bahibhattiko’’ti. So ‘‘mahā me parivāro, tasmā bahibhattikena mayā bhavituṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā ‘‘bahibhattiko bhavissāmi, devā’’ti āha. Athassa rājā anurūpaṃ gehaṃ dāpetvā dārakasahassaṃ ādiṃ katvā paribbayaṃ dāpetvā sabbaparibhoge dāpesi. So tato paṭṭhāya rājānaṃ upaṭṭhāsi.

    ราชาปิ นํ วีมํสิตุกาโม อโหสิฯ ตทา จ นครสฺส ทกฺขิณทฺวารโต อวิทูเร โปกฺขรณิตีเร เอกสฺมิํ ตาลรุเกฺข กากกุลาวเก มณิรตนํ อโหสิฯ ตสฺส ฉายา โปกฺขรณิยํ ปญฺญายิฯ มหาชโน ‘‘โปกฺขรณิยํ มณิ อตฺถี’’ติ รโญฺญ อาโรเจสิฯ โส เสนกํ อามเนฺตตฺวา ‘‘โปกฺขรณิยํ กิร มณิรตนํ ปญฺญายติ, กถํ ตํ คณฺหาเปสฺสามา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘มหาราช, อุทกํ นีหราเปตฺวา คณฺหิตุํ วฎฺฎตี’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ, อาจริย, เอวํ กโรหี’’ติ ตเสฺสว ภารมกาสิฯ โส พหู มนุเสฺส สนฺนิปาตาเปตฺวา อุทกญฺจ กทฺทมญฺจ นีหราเปตฺวา ภูมิํ ภินฺทิตฺวาปิ มณิํ นาทฺทสฯ ปุน ปุณฺณาย โปกฺขรณิยา มณิจฺฉายา ปญฺญายิ ฯ โส ปุนปิ ตถา กตฺวา น จ อทฺทสฯ ตโต ราชา ปณฺฑิตํ อามเนฺตตฺวา ‘‘ตาต, โปกฺขรณิยํ เอโก มณิ ปญฺญายติ, เสนโก อุทกญฺจ กทฺทมญฺจ นีหราเปตฺวา ภูมิํ ภินฺทิตฺวาปิ นาทฺทส, ปุน ปุณฺณาย โปกฺขรณิยา ปญฺญายติ, สกฺขิสฺสสิ ตํ มณิํ คณฺหาเปตุ’’นฺติ ปุจฺฉิฯ โส ‘‘เนตํ, มหาราช, ครุ, เอถ ทเสฺสสฺสามี’’ติ อาหฯ ราชา ตสฺส วจนํ ตุสฺสิตฺวา ‘‘ปสฺสิสฺสามิ อชฺช ปณฺฑิตสฺส ญาณพล’’นฺติ มหาชนปริวุโต โปกฺขรณิตีรํ คโตฯ

    Rājāpi naṃ vīmaṃsitukāmo ahosi. Tadā ca nagarassa dakkhiṇadvārato avidūre pokkharaṇitīre ekasmiṃ tālarukkhe kākakulāvake maṇiratanaṃ ahosi. Tassa chāyā pokkharaṇiyaṃ paññāyi. Mahājano ‘‘pokkharaṇiyaṃ maṇi atthī’’ti rañño ārocesi. So senakaṃ āmantetvā ‘‘pokkharaṇiyaṃ kira maṇiratanaṃ paññāyati, kathaṃ taṃ gaṇhāpessāmā’’ti pucchitvā ‘‘mahārāja, udakaṃ nīharāpetvā gaṇhituṃ vaṭṭatī’’ti vutte ‘‘tena hi, ācariya, evaṃ karohī’’ti tasseva bhāramakāsi. So bahū manusse sannipātāpetvā udakañca kaddamañca nīharāpetvā bhūmiṃ bhinditvāpi maṇiṃ nāddasa. Puna puṇṇāya pokkharaṇiyā maṇicchāyā paññāyi . So punapi tathā katvā na ca addasa. Tato rājā paṇḍitaṃ āmantetvā ‘‘tāta, pokkharaṇiyaṃ eko maṇi paññāyati, senako udakañca kaddamañca nīharāpetvā bhūmiṃ bhinditvāpi nāddasa, puna puṇṇāya pokkharaṇiyā paññāyati, sakkhissasi taṃ maṇiṃ gaṇhāpetu’’nti pucchi. So ‘‘netaṃ, mahārāja, garu, etha dassessāmī’’ti āha. Rājā tassa vacanaṃ tussitvā ‘‘passissāmi ajja paṇḍitassa ñāṇabala’’nti mahājanaparivuto pokkharaṇitīraṃ gato.

    มหาสโตฺต ตีเร ฐตฺวา มณิํ โอโลเกโนฺต ‘‘นายํ มณิ โปกฺขรณิยํ, ตาลรุเกฺข กากกุลาวเก มณินา ภวิตพฺพ’’นฺติ ญตฺวา ‘‘นตฺถิ, เทว, โปกฺขรณิยํ มณี’’ติ วตฺวา ‘‘นนุ อุทเก ปญฺญายตี’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ อุทกปาติํ อาหรา’’ติ อุทกปาติํ อาหราเปตฺวา ‘‘ปสฺสถ, เทว, นายํ มณิ โปกฺขรณิยํเยว ปญฺญายติ, ปาติยมฺปิ ปญฺญายตี’’ติ วตฺวา ‘‘ปณฺฑิต, กตฺถ ปน มณินา ภวิตพฺพ’’นฺติ วุเตฺต ‘‘เทว, โปกฺขรณิยมฺปิ ปาติยมฺปิ ฉายาว ปญฺญายติ, น มณิ, มณิ ปน ตาลรุเกฺข กากกุลาวเก อตฺถิ, ปุริสํ อาณาเปตฺวา อาหราเปหี’’ติ อาหฯ ราชา ตถา กตฺวา มณิํ อาหราเปสิฯ โส อาหริตฺวา ปณฺฑิตสฺส อทาสิฯ ปณฺฑิโต ตํ คเหตฺวา รโญฺญ หเตฺถ ฐเปสิฯ ตํ ทิสฺวา มหาชโน ปณฺฑิตสฺส สาธุการํ ทตฺวา เสนกํ ปริภาสโนฺต ‘‘มณิรตนํ ตาลรุเกฺข กากกุลาวเก อตฺถิ, เสนกพาโล พหู มนุเสฺส โปกฺขรณิเมว ภินฺทาเปสิ, ปณฺฑิเตน นาม มโหสธสทิเสน ภวิตพฺพ’’นฺติ มหาสตฺตสฺส ถุติมกาสิฯ ราชาปิสฺส ตุโฎฺฐ อตฺตโน คีวาย ปิฬนฺธนํ มุตฺตาหารํ ทตฺวา ทารกสหสฺสานมฺปิ มุตฺตาวลิโย ทาเปสิฯ โพธิสตฺตสฺส จ ปริวารสฺส จ อิมินา ปริหาเรน อุปฎฺฐานํ อนุชานีติฯ

    Mahāsatto tīre ṭhatvā maṇiṃ olokento ‘‘nāyaṃ maṇi pokkharaṇiyaṃ, tālarukkhe kākakulāvake maṇinā bhavitabba’’nti ñatvā ‘‘natthi, deva, pokkharaṇiyaṃ maṇī’’ti vatvā ‘‘nanu udake paññāyatī’’ti vutte ‘‘tena hi udakapātiṃ āharā’’ti udakapātiṃ āharāpetvā ‘‘passatha, deva, nāyaṃ maṇi pokkharaṇiyaṃyeva paññāyati, pātiyampi paññāyatī’’ti vatvā ‘‘paṇḍita, kattha pana maṇinā bhavitabba’’nti vutte ‘‘deva, pokkharaṇiyampi pātiyampi chāyāva paññāyati, na maṇi, maṇi pana tālarukkhe kākakulāvake atthi, purisaṃ āṇāpetvā āharāpehī’’ti āha. Rājā tathā katvā maṇiṃ āharāpesi. So āharitvā paṇḍitassa adāsi. Paṇḍito taṃ gahetvā rañño hatthe ṭhapesi. Taṃ disvā mahājano paṇḍitassa sādhukāraṃ datvā senakaṃ paribhāsanto ‘‘maṇiratanaṃ tālarukkhe kākakulāvake atthi, senakabālo bahū manusse pokkharaṇimeva bhindāpesi, paṇḍitena nāma mahosadhasadisena bhavitabba’’nti mahāsattassa thutimakāsi. Rājāpissa tuṭṭho attano gīvāya piḷandhanaṃ muttāhāraṃ datvā dārakasahassānampi muttāvaliyo dāpesi. Bodhisattassa ca parivārassa ca iminā parihārena upaṭṭhānaṃ anujānīti.

    เอกูนวีสติมปโญฺห นิฎฺฐิโตฯ

    Ekūnavīsatimapañho niṭṭhito.

    กกณฺฎกปโญฺห

    Kakaṇṭakapañho

    ปุเนกทิวสํ ราชา ปณฺฑิเตน สทฺธิํ อุยฺยานํ อคมาสิฯ ตทา เอโก กกณฺฎโก โตรณเคฺค วสติฯ โส ราชานํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา โอตริตฺวา ภูมิยํ นิปชฺชิฯ ราชา ตสฺส ตํ กิริยํ โอโลเกตฺวา ‘‘ปณฺฑิต, อยํ กกณฺฎโก กิํ กโรตี’’ติ ปุจฺฉิฯ มหาสโตฺต ‘‘มหาราช, ตุเมฺห เสวตี’’ติ อาหฯ ‘‘สเจ เอวํ อมฺหากํ เสวติ, เอตสฺส มา นิปฺผโล โหตุ, โภคมสฺส ทาเปหี’’ติฯ ‘‘เทว, ตสฺส โภเคน กิจฺจํ นตฺถิ, ขาทนียมตฺตํ อลเมตสฺสา’’ติ ฯ ‘‘กิํ ปเนส, ขาทตี’’ติ? ‘‘มํสํ เทวา’’ติฯ ‘‘กิตฺตกํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘กากณิกมตฺตคฺฆนกํ เทวา’’ติฯ ราชา เอกํ ปุริสํ อาณาเปสิ ‘‘ราชทาโย นาม กากณิกมตฺตํ น วฎฺฎติ, อิมสฺส นิพทฺธํ อฑฺฒมาสคฺฆนกํ มํสํ อาหริตฺวา เทหี’’ติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตโต ปฎฺฐาย ตถา อกาสิฯ โส เอกทิวสํ อุโปสเถ มาฆาเต มํสํ อลภิตฺวา ตเมว อฑฺฒมาสกํ วิชฺฌิตฺวา สุเตฺตน อาวุนิตฺวา ตสฺส คีวายํ ปิฬนฺธิฯ อถสฺส ตํ นิสฺสาย มาโน อุปฺปชฺชิฯ ตํ ทิวสเมว ราชา ปุน มโหสเธน สทฺธิํ อุยฺยานํ อคมาสิฯ โส ราชานํ อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวาปิ ธนํ นิสฺสาย อุปฺปนฺนมานวเสน ‘‘เวเทห, ตฺวํ นุ โข มหทฺธโน, อหํ นุ โข’’ติ รญฺญา สทฺธิํ อตฺตานํ สมํ กโรโนฺต อโนตริตฺวา โตรณเคฺคเยว สีสํ จาเลโนฺต นิปชฺชิฯ ราชา ตสฺส ตํ กิริยํ โอโลเกตฺวา ‘‘ปณฺฑิต, เอส ปุเพฺพ วิย อชฺช น โอตรติ, กิํ นุ โข การณ’’นฺติ ปุจฺฉโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Punekadivasaṃ rājā paṇḍitena saddhiṃ uyyānaṃ agamāsi. Tadā eko kakaṇṭako toraṇagge vasati. So rājānaṃ āgacchantaṃ disvā otaritvā bhūmiyaṃ nipajji. Rājā tassa taṃ kiriyaṃ oloketvā ‘‘paṇḍita, ayaṃ kakaṇṭako kiṃ karotī’’ti pucchi. Mahāsatto ‘‘mahārāja, tumhe sevatī’’ti āha. ‘‘Sace evaṃ amhākaṃ sevati, etassa mā nipphalo hotu, bhogamassa dāpehī’’ti. ‘‘Deva, tassa bhogena kiccaṃ natthi, khādanīyamattaṃ alametassā’’ti . ‘‘Kiṃ panesa, khādatī’’ti? ‘‘Maṃsaṃ devā’’ti. ‘‘Kittakaṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti? ‘‘Kākaṇikamattagghanakaṃ devā’’ti. Rājā ekaṃ purisaṃ āṇāpesi ‘‘rājadāyo nāma kākaṇikamattaṃ na vaṭṭati, imassa nibaddhaṃ aḍḍhamāsagghanakaṃ maṃsaṃ āharitvā dehī’’ti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā tato paṭṭhāya tathā akāsi. So ekadivasaṃ uposathe māghāte maṃsaṃ alabhitvā tameva aḍḍhamāsakaṃ vijjhitvā suttena āvunitvā tassa gīvāyaṃ piḷandhi. Athassa taṃ nissāya māno uppajji. Taṃ divasameva rājā puna mahosadhena saddhiṃ uyyānaṃ agamāsi. So rājānaṃ āgacchantaṃ disvāpi dhanaṃ nissāya uppannamānavasena ‘‘vedeha, tvaṃ nu kho mahaddhano, ahaṃ nu kho’’ti raññā saddhiṃ attānaṃ samaṃ karonto anotaritvā toraṇaggeyeva sīsaṃ cālento nipajji. Rājā tassa taṃ kiriyaṃ oloketvā ‘‘paṇḍita, esa pubbe viya ajja na otarati, kiṃ nu kho kāraṇa’’nti pucchanto imaṃ gāthamāha –

    ‘‘นายํ ปุเร อุนฺนมติ, โตรณเคฺค กกณฺฎโก;

    ‘‘Nāyaṃ pure unnamati, toraṇagge kakaṇṭako;

    มโหสธ วิชานาหิ, เกน ถโทฺธ กกณฺฎโก’’ติฯ (ชา. ๑.๒.๓๙);

    Mahosadha vijānāhi, kena thaddho kakaṇṭako’’ti. (jā. 1.2.39);

    ตตฺถ อุนฺนมตีติ ยถา อชฺช อโนตริตฺวา โตรณเคฺคเยว สีสํ จาเลโนฺต อุนฺนมติ, เอวํ ปุเร น อุนฺนมติฯ เกน ถโทฺธติ เกน การเณน ถทฺธภาวํ อาปโนฺนติฯ

    Tattha unnamatīti yathā ajja anotaritvā toraṇaggeyeva sīsaṃ cālento unnamati, evaṃ pure na unnamati. Kena thaddhoti kena kāraṇena thaddhabhāvaṃ āpannoti.

    ปณฺฑิโต ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘มหาราช, อุโปสเถ มาฆาเต มํสํ อลภเนฺตน ราชปุริเสน คีวาย พทฺธํ อฑฺฒมาสกํ นิสฺสาย ตสฺส มาเนน ภวิตพฺพ’’นฺติ ญตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Paṇḍito tassa vacanaṃ sutvā ‘‘mahārāja, uposathe māghāte maṃsaṃ alabhantena rājapurisena gīvāya baddhaṃ aḍḍhamāsakaṃ nissāya tassa mānena bhavitabba’’nti ñatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อลทฺธปุพฺพํ ลทฺธาน, อฑฺฒมาสํ กกณฺฎโก;

    ‘‘Aladdhapubbaṃ laddhāna, aḍḍhamāsaṃ kakaṇṭako;

    อติมญฺญติ ราชานํ, เวเทหํ มิถิลคฺคห’’นฺติฯ (ชา. ๑.๒.๔๐);

    Atimaññati rājānaṃ, vedehaṃ mithilaggaha’’nti. (jā. 1.2.40);

    ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ตํ ปุริสํ ปโกฺกสาเปตฺวา ปุจฺฉิฯ โส ยถาภูตํ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ตํ กถํ สุตฺวา ‘‘กญฺจิ อปุจฺฉิตฺวาว สพฺพญฺญุพุเทฺธน วิย ปณฺฑิเตน กกณฺฎกสฺส อชฺฌาสโย ญาโต’’ติ อติวิย ปสีทิตฺวา ปณฺฑิตสฺส จตูสุ ทฺวาเรสุ สุงฺกํ ทาเปสิฯ กกณฺฎกสฺส ปน กุชฺฌิตฺวา วตฺตํ หาเรตุํ อารภิฯ ปณฺฑิโต ปน ‘‘มา หาเรหิ มหาราชา’’ติ ตํ นิวาเรสิฯ

    Rājā tassa vacanaṃ sutvā taṃ purisaṃ pakkosāpetvā pucchi. So yathābhūtaṃ rañño ārocesi. Rājā taṃ kathaṃ sutvā ‘‘kañci apucchitvāva sabbaññubuddhena viya paṇḍitena kakaṇṭakassa ajjhāsayo ñāto’’ti ativiya pasīditvā paṇḍitassa catūsu dvāresu suṅkaṃ dāpesi. Kakaṇṭakassa pana kujjhitvā vattaṃ hāretuṃ ārabhi. Paṇḍito pana ‘‘mā hārehi mahārājā’’ti taṃ nivāresi.

    กกณฺฎกปโญฺห นิฎฺฐิโตฯ

    Kakaṇṭakapañho niṭṭhito.

    สิริกาฬกณฺณิปโญฺห

    Sirikāḷakaṇṇipañho

    อเถโก มิถิลวาสี ปิงฺคุตฺตโร นาม มาณโว ตกฺกสิลํ คนฺตฺวา ทิสาปาโมกฺขาจริยสฺส สนฺติเก สิปฺปํ สิกฺขโนฺต ขิปฺปเมว สิกฺขิฯ โส อนุโยคํ ทตฺวา ‘‘คจฺฉามห’’นฺติ อาจริยํ อาปุจฺฉิฯ ตสฺมิํ ปน กุเล ‘‘สเจ วยปฺปตฺตา ธีตา โหติ, เชฎฺฐเนฺตวาสิกสฺส ทาตพฺพา’’ติ วตฺตํว, ตสฺมา ตสฺส อาจริยสฺส วยปฺปตฺตา เอกา ธีตา อตฺถิ, สา อภิรูปา เทวจฺฉราปฎิภาคาฯ อถ นํ อาจริโย ‘‘ธีตรํ เต, ตาต, ทสฺสามิ, ตํ อาทาย คมิสฺสสี’’ติ อาหฯ โส ปน มาณโว ทุพฺภโค กาฬกณฺณี, กุมาริกา ปน มหาปุญฺญาฯ ตสฺส ตํ ทิสฺวา จิตฺตํ น อลฺลียติฯ โส ตํ อโรเจโนฺตปิ ‘‘อาจริยสฺส วจนํ น ภินฺทิสฺสามี’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ อาจริโย ธีตรํ ตสฺส อทาสิฯ โส รตฺติภาเค อลงฺกตสิริสยเน นิปโนฺน ตาย อาคนฺตฺวา สยนํ อภิรุฬฺหมตฺตาย อฎฺฎียมาโน หรายมาโน ชิคุจฺฉมาโน ปกมฺปมาโน โอตริตฺวา ภูมิยํ นิปชฺชิฯ สาปิ โอตริตฺวา ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา นิปชฺชิ, โส อุฎฺฐาย สยนํ อภิรุหิฯ สาปิ ปุน สยนํ อภิรุหิ, โส ปุน สยนา โอตริตฺวา ภูมิยํ นิปชฺชิฯ กาฬกณฺณี นาม สิริยา สทฺธิํ น สเมติฯ กุมาริกา สยเนเยว นิปชฺชิ, โส ภูมิยํ สยิฯ

    Atheko mithilavāsī piṅguttaro nāma māṇavo takkasilaṃ gantvā disāpāmokkhācariyassa santike sippaṃ sikkhanto khippameva sikkhi. So anuyogaṃ datvā ‘‘gacchāmaha’’nti ācariyaṃ āpucchi. Tasmiṃ pana kule ‘‘sace vayappattā dhītā hoti, jeṭṭhantevāsikassa dātabbā’’ti vattaṃva, tasmā tassa ācariyassa vayappattā ekā dhītā atthi, sā abhirūpā devaccharāpaṭibhāgā. Atha naṃ ācariyo ‘‘dhītaraṃ te, tāta, dassāmi, taṃ ādāya gamissasī’’ti āha. So pana māṇavo dubbhago kāḷakaṇṇī, kumārikā pana mahāpuññā. Tassa taṃ disvā cittaṃ na allīyati. So taṃ arocentopi ‘‘ācariyassa vacanaṃ na bhindissāmī’’ti sampaṭicchi. Ācariyo dhītaraṃ tassa adāsi. So rattibhāge alaṅkatasirisayane nipanno tāya āgantvā sayanaṃ abhiruḷhamattāya aṭṭīyamāno harāyamāno jigucchamāno pakampamāno otaritvā bhūmiyaṃ nipajji. Sāpi otaritvā tassa santikaṃ gantvā nipajji, so uṭṭhāya sayanaṃ abhiruhi. Sāpi puna sayanaṃ abhiruhi, so puna sayanā otaritvā bhūmiyaṃ nipajji. Kāḷakaṇṇī nāma siriyā saddhiṃ na sameti. Kumārikā sayaneyeva nipajji, so bhūmiyaṃ sayi.

    เอวํ สตฺตาหํ วีตินาเมตฺวา ตํ อาทาย อาจริยํ วนฺทิตฺวา นิกฺขมิ, อนฺตรามเคฺค อาลาปสลฺลาปมตฺตมฺปิ นตฺถิฯ อนิจฺฉมานาว อุโภปิ มิถิลํ สมฺปตฺตาฯ อถ ปิงฺคุตฺตโร นครา อวิทูเร ผลสมฺปนฺนํ อุทุมฺพรรุกฺขํ ทิสฺวา ขุทาย ปีฬิโต ตํ อภิรุหิตฺวา ผลานิ ขาทิฯ สาปิ ฉาตชฺฌตฺตา รุกฺขมูลํ คนฺตฺวา ‘‘สามิ, มยฺหมฺปิ ผลานิ ปาเตถา’’ติ อาหฯ กิํ ตว หตฺถปาทา นตฺถิ, สยํ อภิรุหิตฺวา ขาทาติฯ สา อภิรุหิตฺวา ขาทิฯ โส ตสฺสา อภิรุฬฺหภาวํ ญตฺวา ขิปฺปํ โอตริตฺวา รุกฺขํ กณฺฎเกหิ ปริกฺขิปิตฺวา ‘‘มุโตฺตมฺหิ กาฬกณฺณิยา’’ติ วตฺวา ปลายิฯ สาปิ โอตริตุํ อสโกฺกนฺตี ตเตฺถว นิสีทิฯ อถ ราชา อุยฺยาเน กีฬิตฺวา หตฺถิกฺขเนฺธ นิสิโนฺน สายนฺหสมเย นครํ ปวิสโนฺต ตํ ทิสฺวา ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา ‘‘สปริคฺคหา, อปริคฺคหา’’ติ ปุจฺฉาเปสิฯ สาปิ ‘‘อตฺถิ เม, สามิ, กุลทตฺติโก ปติ, โส ปน มํ อิธ นิสีทาเปตฺวา ฉเฑฺฑตฺวา ปลาโต’’ติ อาหฯ อมโจฺจ ตํ การณํ รโญฺญ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘อสามิกภณฺฑํ นาม รโญฺญ ปาปุณาตี’’ติ ตํ โอตาเรตฺวา หตฺถิกฺขนฺธํ อาโรเปตฺวา นิเวสนํ เนตฺวา อภิสิญฺจิตฺวา อคฺคมเหสิฎฺฐาเน ฐเปสิฯ สา ตสฺส ปิยา อโหสิ มนาปาฯ อุทุมฺพรรุเกฺข ลทฺธตฺตา ‘‘อุทุมฺพรเทวี’’เตฺววสฺสา นามํ สญฺชานิํสุฯ

    Evaṃ sattāhaṃ vītināmetvā taṃ ādāya ācariyaṃ vanditvā nikkhami, antarāmagge ālāpasallāpamattampi natthi. Anicchamānāva ubhopi mithilaṃ sampattā. Atha piṅguttaro nagarā avidūre phalasampannaṃ udumbararukkhaṃ disvā khudāya pīḷito taṃ abhiruhitvā phalāni khādi. Sāpi chātajjhattā rukkhamūlaṃ gantvā ‘‘sāmi, mayhampi phalāni pātethā’’ti āha. Kiṃ tava hatthapādā natthi, sayaṃ abhiruhitvā khādāti. Sā abhiruhitvā khādi. So tassā abhiruḷhabhāvaṃ ñatvā khippaṃ otaritvā rukkhaṃ kaṇṭakehi parikkhipitvā ‘‘muttomhi kāḷakaṇṇiyā’’ti vatvā palāyi. Sāpi otarituṃ asakkontī tattheva nisīdi. Atha rājā uyyāne kīḷitvā hatthikkhandhe nisinno sāyanhasamaye nagaraṃ pavisanto taṃ disvā paṭibaddhacitto hutvā ‘‘sapariggahā, apariggahā’’ti pucchāpesi. Sāpi ‘‘atthi me, sāmi, kuladattiko pati, so pana maṃ idha nisīdāpetvā chaḍḍetvā palāto’’ti āha. Amacco taṃ kāraṇaṃ rañño ārocesi. Rājā ‘‘asāmikabhaṇḍaṃ nāma rañño pāpuṇātī’’ti taṃ otāretvā hatthikkhandhaṃ āropetvā nivesanaṃ netvā abhisiñcitvā aggamahesiṭṭhāne ṭhapesi. Sā tassa piyā ahosi manāpā. Udumbararukkhe laddhattā ‘‘udumbaradevī’’tvevassā nāmaṃ sañjāniṃsu.

    อเถกทิวสํ รโญฺญ อุยฺยานคมนตฺถาย ทฺวารคามวาสิเกหิ มคฺคํ ปฎิชคฺคาเปสุํฯ ปิงฺคุตฺตโรปิ ภติํ กโรโนฺต กจฺฉํ พนฺธิตฺวา กุทฺทาเลน มคฺคํ ตจฺฉิฯ มเคฺค อนิฎฺฐิเตเยว ราชา อุทุมฺพรเทวิยา สทฺธิํ รเถ นิสีทิตฺวา นิกฺขมิฯ อุทุมฺพรเทวี กาฬกณฺณิํ มคฺคํ ตจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘‘เอวรูปํ สิริํ ธาเรตุํ นาสกฺขิ อยํ กาฬกณฺณี’’ติ ตํ โอโลเกนฺตี หสิฯ ราชา หสมานํ ทิสฺวา กุชฺฌิตฺวา ‘‘กสฺมา หสี’’ติ ปุจฺฉิฯ เทว, อยํ มคฺคตจฺฉโก ปุริโส มยฺหํ โปราณกสามิโก, เอส มํ อุทุมฺพรรุกฺขํ อาโรเปตฺวา กณฺฎเกหิ ปริกฺขิปิตฺวา คโต, อิมาหํ โอโลเกตฺวา ‘‘เอวรูปํ สิริํ ธาเรตุํ นาสกฺขิ กาฬกณฺณี อย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา หสินฺติฯ ราชา ‘‘ตฺวํ มุสาวาทํ กเถสิ, อญฺญํ กญฺจิ ปุริสํ ทิสฺวา ตยา หสิตํ ภวิสฺสติ, ตํ มาเรสฺสามี’’ติ อสิํ อคฺคเหสิฯ สา ภยปฺปตฺตา ‘‘เทว, ปณฺฑิเต ตาว ปุจฺฉถา’’ติ อาหฯ ราชา เสนกํ ปุจฺฉิ ‘‘เสนก, อิมิสฺสา วจนํ ตฺวํ สทฺทหสี’’ติฯ ‘‘น สทฺทหามิ, เทว, โก นาม เอวรูปํ อิตฺถิรตนํ ปหาย คมิสฺสตี’’ติฯ สา ตสฺส กถํ สุตฺวา อติเรกตรํ ภีตา อโหสิฯ อถ ราชา ‘‘เสนโก กิํ ชานาติ, ปณฺฑิตํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตํ ปุจฺฉโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Athekadivasaṃ rañño uyyānagamanatthāya dvāragāmavāsikehi maggaṃ paṭijaggāpesuṃ. Piṅguttaropi bhatiṃ karonto kacchaṃ bandhitvā kuddālena maggaṃ tacchi. Magge aniṭṭhiteyeva rājā udumbaradeviyā saddhiṃ rathe nisīditvā nikkhami. Udumbaradevī kāḷakaṇṇiṃ maggaṃ tacchantaṃ disvā ‘‘evarūpaṃ siriṃ dhāretuṃ nāsakkhi ayaṃ kāḷakaṇṇī’’ti taṃ olokentī hasi. Rājā hasamānaṃ disvā kujjhitvā ‘‘kasmā hasī’’ti pucchi. Deva, ayaṃ maggatacchako puriso mayhaṃ porāṇakasāmiko, esa maṃ udumbararukkhaṃ āropetvā kaṇṭakehi parikkhipitvā gato, imāhaṃ oloketvā ‘‘evarūpaṃ siriṃ dhāretuṃ nāsakkhi kāḷakaṇṇī aya’’nti cintetvā hasinti. Rājā ‘‘tvaṃ musāvādaṃ kathesi, aññaṃ kañci purisaṃ disvā tayā hasitaṃ bhavissati, taṃ māressāmī’’ti asiṃ aggahesi. Sā bhayappattā ‘‘deva, paṇḍite tāva pucchathā’’ti āha. Rājā senakaṃ pucchi ‘‘senaka, imissā vacanaṃ tvaṃ saddahasī’’ti. ‘‘Na saddahāmi, deva, ko nāma evarūpaṃ itthiratanaṃ pahāya gamissatī’’ti. Sā tassa kathaṃ sutvā atirekataraṃ bhītā ahosi. Atha rājā ‘‘senako kiṃ jānāti, paṇḍitaṃ pucchissāmī’’ti cintetvā taṃ pucchanto imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อิตฺถี สิยา รูปวตี, สา จ สีลวตี สิยา;

    ‘‘Itthī siyā rūpavatī, sā ca sīlavatī siyā;

    ปุริโส ตํ น อิเจฺฉยฺย, สทฺทหาสิ มโหสธา’’ติฯ (ชา. ๑.๒.๘๓);

    Puriso taṃ na iccheyya, saddahāsi mahosadhā’’ti. (jā. 1.2.83);

    ตตฺถ สีลวตีติ อาจารคุณสมฺปนฺนาฯ

    Tattha sīlavatīti ācāraguṇasampannā.

    ตํ สุตฺวา ปณฺฑิโต คาถมาห –

    Taṃ sutvā paṇḍito gāthamāha –

    ‘‘สทฺทหามิ มหาราช, ปุริโส ทุพฺภโค สิยา;

    ‘‘Saddahāmi mahārāja, puriso dubbhago siyā;

    สิรี จ กาฬกณฺณี จ, น สเมนฺติ กุทาจน’’นฺติฯ (ชา. ๑.๒.๘๔);

    Sirī ca kāḷakaṇṇī ca, na samenti kudācana’’nti. (jā. 1.2.84);

    ตตฺถ น สเมนฺตีติ สมุทฺทสฺส โอริมตีรปาริมตีรานิ วิย จ คคนตลปถวิตลานิ วิย จ น สมาคจฺฉนฺติฯ

    Tattha na samentīti samuddassa orimatīrapārimatīrāni viya ca gaganatalapathavitalāni viya ca na samāgacchanti.

    ราชา ตสฺส วจเนน ตํ การณํ สุตฺวา ตสฺสา น กุชฺฌิ, หทยมสฺส นิพฺพายิฯ โส ตสฺส ตุสฺสิตฺวา ‘‘สเจ ปณฺฑิโต นาภวิสฺส, อชฺชาหํ พาลเสนกสฺส กถาย เอวรูปํ อิตฺถิรตนํ หีโน อสฺสํ, ตํ นิสฺสาย มยา เอสา ลทฺธา’’ติ สตสหเสฺสน ปูชํ กาเรสิฯ เทวีปิ ราชานํ วนฺทิตฺวา ‘‘เทว, ปณฺฑิตํ นิสฺสาย มยา ชีวิตํ ลทฺธํ, อิมาหํ กนิฎฺฐภาติกฎฺฐาเน ฐเปตุํ วรํ ยาจามี’’ติ อาหฯ ‘‘สาธุ, เทวิ, คณฺหาหิ, ทมฺมิ เต วร’’นฺติฯ ‘‘เทว, อชฺช ปฎฺฐาย มม กนิฎฺฐํ วินา กิญฺจิ มธุรรสํ น ขาทิสฺสามิ, อิโต ปฎฺฐาย เวลาย วา อเวลาย วา ทฺวารํ วิวราเปตฺวา อิมสฺส มธุรรสํ เปเสตุํ ลภนกวรํ คณฺหามี’’ติฯ ‘‘สาธุ, ภเทฺท, อิมญฺจ วรํ คณฺหาหี’’ติฯ

    Rājā tassa vacanena taṃ kāraṇaṃ sutvā tassā na kujjhi, hadayamassa nibbāyi. So tassa tussitvā ‘‘sace paṇḍito nābhavissa, ajjāhaṃ bālasenakassa kathāya evarūpaṃ itthiratanaṃ hīno assaṃ, taṃ nissāya mayā esā laddhā’’ti satasahassena pūjaṃ kāresi. Devīpi rājānaṃ vanditvā ‘‘deva, paṇḍitaṃ nissāya mayā jīvitaṃ laddhaṃ, imāhaṃ kaniṭṭhabhātikaṭṭhāne ṭhapetuṃ varaṃ yācāmī’’ti āha. ‘‘Sādhu, devi, gaṇhāhi, dammi te vara’’nti. ‘‘Deva, ajja paṭṭhāya mama kaniṭṭhaṃ vinā kiñci madhurarasaṃ na khādissāmi, ito paṭṭhāya velāya vā avelāya vā dvāraṃ vivarāpetvā imassa madhurarasaṃ pesetuṃ labhanakavaraṃ gaṇhāmī’’ti. ‘‘Sādhu, bhadde, imañca varaṃ gaṇhāhī’’ti.

    สิริกาฬกณฺณิปโญฺห นิฎฺฐิโตฯ

    Sirikāḷakaṇṇipañho niṭṭhito.

    เมณฺฑกปโญฺห

    Meṇḍakapañho

    อปรสฺมิํ ทิวเส ราชา กตปาตราโส ปาสาทสฺส ทีฆนฺตเร จงฺกมโนฺต วาตปานนฺตเรน โอโลเกโนฺต เอกํ เอฬกญฺจ สุนขญฺจ มิตฺตสนฺถวํ กโรนฺตํ อทฺทสฯ โส กิร เอฬโก หตฺถิสาลํ คนฺตฺวา หตฺถิสฺส ปุรโต ขิตฺตํ อนามฎฺฐติณํ ขาทิฯ อถ นํ หตฺถิโคปกา โปเถตฺวา นีหริํสุฯ โส วิรวิตฺวา ปลายิฯ อถ นํ เอโก ปุริโส เวเคนาคนฺตฺวา ปิฎฺฐิยํ ทเณฺฑน ติริยํ ปหริฯ โส ปิฎฺฐิํ โอนาเมตฺวา เวทนาปฺปโตฺต หุตฺวา คนฺตฺวา ราชเคหสฺส มหาภิตฺติํ นิสฺสาย ปิฎฺฐิกาย นิปชฺชิฯ ตํ ทิวสเมว รโญฺญ มหานเส อฎฺฐิจมฺมาทีนิ ขาทิตฺวา วฑฺฒิตสุนโข ภตฺตการเก ภตฺตํ สมฺปาเทตฺวา พหิ ฐตฺวา สรีเร เสทํ นิพฺพาเปเนฺต มจฺฉมํสคนฺธํ ฆายิตฺวา ตณฺหํ อธิวาเสตุํ อสโกฺกโนฺต มหานสํ ปวิสิตฺวา ภาชนปิธานํ ปาเตตฺวา มํสํ ขาทิฯ อถ ภตฺตการโก ภาชนสเทฺทน ปวิสิตฺวา ตํ ทิสฺวา ทฺวารํ ปิทหิตฺวา ตํ เลฑฺฑุทณฺฑาทีหิ โปเถสิฯ โส ขาทิตมํสํ มุเขเนว ฉเฑฺฑตฺวา วิรวิตฺวา นิกฺขมิฯ ภตฺตการโกปิ ตสฺส นิกฺขนฺตภาวํ ญตฺวา อนุพนฺธิตฺวา ปิฎฺฐิยํ ทเณฺฑน ติริยํ ปหริฯ โส เวทนาปฺปโตฺต ปิฎฺฐิํ โอนาเมตฺวา เอกํ ปาทํ อุกฺขิปิตฺวา เอฬกสฺส นิปนฺนฎฺฐานเมว ปาวิสิฯ อถ นํ เอฬโก ‘‘สมฺม, กิํ ปิฎฺฐิํ โอนาเมตฺวา อาคจฺฉสิ, กิํ เต วาโต วิชฺฌตี’’ติ ปุจฺฉิฯ สุนโขปิ ‘‘ตฺวมฺปิ ปิฎฺฐิํ โอนาเมตฺวา นิปโนฺนสิ, กิํ เต วาโต วิชฺฌตี’’ติ ปุจฺฉิฯ เต อญฺญมญฺญํ อตฺตโน ปวตฺติํ อาโรเจสุํฯ

    Aparasmiṃ divase rājā katapātarāso pāsādassa dīghantare caṅkamanto vātapānantarena olokento ekaṃ eḷakañca sunakhañca mittasanthavaṃ karontaṃ addasa. So kira eḷako hatthisālaṃ gantvā hatthissa purato khittaṃ anāmaṭṭhatiṇaṃ khādi. Atha naṃ hatthigopakā pothetvā nīhariṃsu. So viravitvā palāyi. Atha naṃ eko puriso vegenāgantvā piṭṭhiyaṃ daṇḍena tiriyaṃ pahari. So piṭṭhiṃ onāmetvā vedanāppatto hutvā gantvā rājagehassa mahābhittiṃ nissāya piṭṭhikāya nipajji. Taṃ divasameva rañño mahānase aṭṭhicammādīni khāditvā vaḍḍhitasunakho bhattakārake bhattaṃ sampādetvā bahi ṭhatvā sarīre sedaṃ nibbāpente macchamaṃsagandhaṃ ghāyitvā taṇhaṃ adhivāsetuṃ asakkonto mahānasaṃ pavisitvā bhājanapidhānaṃ pātetvā maṃsaṃ khādi. Atha bhattakārako bhājanasaddena pavisitvā taṃ disvā dvāraṃ pidahitvā taṃ leḍḍudaṇḍādīhi pothesi. So khāditamaṃsaṃ mukheneva chaḍḍetvā viravitvā nikkhami. Bhattakārakopi tassa nikkhantabhāvaṃ ñatvā anubandhitvā piṭṭhiyaṃ daṇḍena tiriyaṃ pahari. So vedanāppatto piṭṭhiṃ onāmetvā ekaṃ pādaṃ ukkhipitvā eḷakassa nipannaṭṭhānameva pāvisi. Atha naṃ eḷako ‘‘samma, kiṃ piṭṭhiṃ onāmetvā āgacchasi, kiṃ te vāto vijjhatī’’ti pucchi. Sunakhopi ‘‘tvampi piṭṭhiṃ onāmetvā nipannosi, kiṃ te vāto vijjhatī’’ti pucchi. Te aññamaññaṃ attano pavattiṃ ārocesuṃ.

    อถ นํ เอฬโก ปุจฺฉิ ‘‘กิํ ปน ตฺวํ ปุน ภตฺตเคหํ คนฺตุํ สกฺขิสฺสสิ สมฺมา’’ติ? ‘‘น สกฺขิสฺสามิ, สมฺม, คตสฺส เม ชีวิตํ นตฺถี’’ติฯ ‘‘ตฺวํ ปน ปุน หตฺถิสาลํ คนฺตุํ สกฺขิสฺสสี’’ติฯ ‘‘มยาปิ ตตฺถ คนฺตุํ น สกฺกา, คตสฺส เม ชีวิตํ นตฺถี’’ติฯ เต ‘‘กถํ นุ โข มยํ อิทานิ ชีวิสฺสามา’’ติ อุปายํ จิเนฺตสุํฯ อถ นํ เอฬโก อาห – ‘‘สเจ มยํ สมคฺควาสํ วสิตุํ สโกฺกม, อเตฺถโก อุปาโย’’ติฯ ‘‘เตน หิ กเถหี’’ติฯ ‘‘สมฺม, ตฺวํ อิโต ปฎฺฐาย หตฺถิสาลํ ยาหิ, ‘‘นายํ ติณํ ขาทตี’’ติ ตยิ หตฺถิโคปกา อาสงฺกํ น กริสฺสนฺติ, ตฺวํ มม ติณํ อาหเรยฺยาสิฯ อหมฺปิ ภตฺตเคหํ ปวิสิสฺสามิ, ‘‘นายํ มํสขาทโก’’ติ ภตฺตการโก มยิ อาสงฺกํ น กริสฺสติ, อหํ เต มํสํ อาหริสฺสามี’’ติฯ เต ‘‘สุนฺทโร อุปาโย’’ติ อุโภปิ สมฺปฎิจฺฉิํสุฯ สุนโข หตฺถิสาลํ คนฺตฺวา ติณกลาปํ ฑํสิตฺวา อาคนฺตฺวา มหาภิตฺติปิฎฺฐิกาย ฐเปสิฯ อิตโรปิ ภตฺตเคหํ คนฺตฺวา มํสขณฺฑํ มุขปูรํ ฑํสิตฺวา อาเนตฺวา ตเตฺถว ฐเปสิฯ สุนโข มํสํ ขาทิ, เอฬโก ติณํ ขาทิฯ เต อิมินา อุปาเยน สมคฺคา สโมฺมทมานา มหาภิตฺติปิฎฺฐิกาย วสนฺติฯ ราชา เตสํ มิตฺตสนฺถวํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อทิฎฺฐปุพฺพํ วต เม การณํ ทิฎฺฐํ, อิเม ปจฺจามิตฺตา หุตฺวาปิ สมคฺควาสํ วสนฺติฯ อิทํ การณํ คเหตฺวา ปญฺหํ กตฺวา ปญฺจ ปณฺฑิเต ปุจฺฉิสฺสามิ, อิมํ ปญฺหํ อชานนฺตํ รฎฺฐา ปพฺพาเชสฺสามิ, ตํ ชานนฺตสฺส ‘เอวรูโป ปณฺฑิโต นตฺถี’ติ มหาสกฺการํ กริสฺสามิฯ อชฺช ตาว อเวลา, เสฺว อุปฎฺฐานํ อาคตกาเล ปุจฺฉิสฺสามี’’ติฯ โส ปุนทิวเส ปณฺฑิเตสุ อาคนฺตฺวา นิสิเนฺนสุ ปญฺหํ ปุจฺฉโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Atha naṃ eḷako pucchi ‘‘kiṃ pana tvaṃ puna bhattagehaṃ gantuṃ sakkhissasi sammā’’ti? ‘‘Na sakkhissāmi, samma, gatassa me jīvitaṃ natthī’’ti. ‘‘Tvaṃ pana puna hatthisālaṃ gantuṃ sakkhissasī’’ti. ‘‘Mayāpi tattha gantuṃ na sakkā, gatassa me jīvitaṃ natthī’’ti. Te ‘‘kathaṃ nu kho mayaṃ idāni jīvissāmā’’ti upāyaṃ cintesuṃ. Atha naṃ eḷako āha – ‘‘sace mayaṃ samaggavāsaṃ vasituṃ sakkoma, attheko upāyo’’ti. ‘‘Tena hi kathehī’’ti. ‘‘Samma, tvaṃ ito paṭṭhāya hatthisālaṃ yāhi, ‘‘nāyaṃ tiṇaṃ khādatī’’ti tayi hatthigopakā āsaṅkaṃ na karissanti, tvaṃ mama tiṇaṃ āhareyyāsi. Ahampi bhattagehaṃ pavisissāmi, ‘‘nāyaṃ maṃsakhādako’’ti bhattakārako mayi āsaṅkaṃ na karissati, ahaṃ te maṃsaṃ āharissāmī’’ti. Te ‘‘sundaro upāyo’’ti ubhopi sampaṭicchiṃsu. Sunakho hatthisālaṃ gantvā tiṇakalāpaṃ ḍaṃsitvā āgantvā mahābhittipiṭṭhikāya ṭhapesi. Itaropi bhattagehaṃ gantvā maṃsakhaṇḍaṃ mukhapūraṃ ḍaṃsitvā ānetvā tattheva ṭhapesi. Sunakho maṃsaṃ khādi, eḷako tiṇaṃ khādi. Te iminā upāyena samaggā sammodamānā mahābhittipiṭṭhikāya vasanti. Rājā tesaṃ mittasanthavaṃ disvā cintesi ‘‘adiṭṭhapubbaṃ vata me kāraṇaṃ diṭṭhaṃ, ime paccāmittā hutvāpi samaggavāsaṃ vasanti. Idaṃ kāraṇaṃ gahetvā pañhaṃ katvā pañca paṇḍite pucchissāmi, imaṃ pañhaṃ ajānantaṃ raṭṭhā pabbājessāmi, taṃ jānantassa ‘evarūpo paṇḍito natthī’ti mahāsakkāraṃ karissāmi. Ajja tāva avelā, sve upaṭṭhānaṃ āgatakāle pucchissāmī’’ti. So punadivase paṇḍitesu āgantvā nisinnesu pañhaṃ pucchanto imaṃ gāthamāha –

    ‘‘เยสํ น กทาจิ ภูตปุพฺพํ, สขฺยํ สตฺตปทมฺปิมสฺมิ โลเก;

    ‘‘Yesaṃ na kadāci bhūtapubbaṃ, sakhyaṃ sattapadampimasmi loke;

    ชาตา อมิตฺตา ทุเว สหายา, ปฎิสนฺธาย จรนฺติ กิสฺส เหตู’’ติฯ (ชา. ๑.๑๒.๙๔);

    Jātā amittā duve sahāyā, paṭisandhāya caranti kissa hetū’’ti. (jā. 1.12.94);

    ตตฺถ ปฎิสนฺธายาติ สทฺทหิตฺวา ฆฎิตา หุตฺวาฯ

    Tattha paṭisandhāyāti saddahitvā ghaṭitā hutvā.

    อิทญฺจ ปน วตฺวา ปุน เอวมาห –

    Idañca pana vatvā puna evamāha –

    ‘‘ยทิ เม อชฺช ปาตราสกาเล, ปญฺหํ น สกฺกุเณยฺยาถ วตฺตุเมตํ;

    ‘‘Yadi me ajja pātarāsakāle, pañhaṃ na sakkuṇeyyātha vattumetaṃ;

    รฎฺฐา ปพฺพาชยิสฺสามิ โว สเพฺพ, น หิ มโตฺถ ทุปฺปญฺญชาติเกหี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๒.๙๕);

    Raṭṭhā pabbājayissāmi vo sabbe, na hi mattho duppaññajātikehī’’ti. (jā. 1.12.95);

    ตทา ปน เสนโก อคฺคาสเน นิสิโนฺน อโหสิ, ปณฺฑิโต ปน ปริยเนฺต นิสิโนฺนฯ โส ตํ ปญฺหํ อุปธาเรโนฺต ตมตฺถํ อทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อยํ ราชา ทนฺธธาตุโก อิมํ ปญฺหํ จิเนฺตตฺวา สงฺขริตุํ อสมโตฺถ, กิญฺจิเทว, เตน ทิฎฺฐํ ภวิสฺสติ, เอกทิวสํ โอกาสํ ลภโนฺต อิมํ ปญฺหํ นีหริสฺสามิ, เสนโก เกนจิ อุปาเยน อเชฺชกทิวสมตฺตํ อธิวาสาเปตู’’ติฯ อิตเรปิ จตฺตาโร ปณฺฑิตา อนฺธการคพฺภํ ปวิฎฺฐา วิย น กิญฺจิ ปสฺสิํสุฯ เสนโก ‘‘กา นุ โข มโหสธสฺส ปวตฺตี’’ติ โพธิสตฺตํ โอโลเกสิฯ โสปิ ตํ โอโลเกสิฯ เสนโก โพธิสตฺตสฺส โอโลกิตากาเรเนว ตสฺส อธิปฺปายํ ญตฺวา ‘‘ปณฺฑิตสฺสปิ น อุปฎฺฐาติ, เตเนกทิวสํ โอกาสํ อิจฺฉติ, ปูเรสฺสามิสฺส มโนรถ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา รญฺญา สทฺธิํ วิสฺสาเสน มหาหสิตํ หสิตฺวา ‘‘กิํ, มหาราช, สเพฺพว อเมฺห ปญฺหํ กเถตุํ อสโกฺกเนฺต รฎฺฐา ปพฺพาเชสฺสสิ, เอตมฺปิ ‘เอโก คณฺฐิปโญฺห’ติ ตฺวํ สลฺลเกฺขสิ, น มยํ เอตํ กเถตุํ น สโกฺกม, อปิจ โข โถกํ อธิวาเสหิฯ คณฺฐิปโญฺห เอส, น สโกฺกม มหาชนมเชฺฌ กเถตุํ, เอกมเนฺต จิเนฺตตฺวา ปจฺฉา ตุมฺหากํ กเถสฺสาม , โอกาสํ โน เทหี’’ติ มหาสตฺตํ โอโลเกตฺวา อิมํ คาถาทฺวยมาห –

    Tadā pana senako aggāsane nisinno ahosi, paṇḍito pana pariyante nisinno. So taṃ pañhaṃ upadhārento tamatthaṃ adisvā cintesi ‘‘ayaṃ rājā dandhadhātuko imaṃ pañhaṃ cintetvā saṅkharituṃ asamattho, kiñcideva, tena diṭṭhaṃ bhavissati, ekadivasaṃ okāsaṃ labhanto imaṃ pañhaṃ nīharissāmi, senako kenaci upāyena ajjekadivasamattaṃ adhivāsāpetū’’ti. Itarepi cattāro paṇḍitā andhakāragabbhaṃ paviṭṭhā viya na kiñci passiṃsu. Senako ‘‘kā nu kho mahosadhassa pavattī’’ti bodhisattaṃ olokesi. Sopi taṃ olokesi. Senako bodhisattassa olokitākāreneva tassa adhippāyaṃ ñatvā ‘‘paṇḍitassapi na upaṭṭhāti, tenekadivasaṃ okāsaṃ icchati, pūressāmissa manoratha’’nti cintetvā raññā saddhiṃ vissāsena mahāhasitaṃ hasitvā ‘‘kiṃ, mahārāja, sabbeva amhe pañhaṃ kathetuṃ asakkonte raṭṭhā pabbājessasi, etampi ‘eko gaṇṭhipañho’ti tvaṃ sallakkhesi, na mayaṃ etaṃ kathetuṃ na sakkoma, apica kho thokaṃ adhivāsehi. Gaṇṭhipañho esa, na sakkoma mahājanamajjhe kathetuṃ, ekamante cintetvā pacchā tumhākaṃ kathessāma , okāsaṃ no dehī’’ti mahāsattaṃ oloketvā imaṃ gāthādvayamāha –

    ‘‘มหาชนสมาคมมฺหิ โฆเร, ชนโกลาหลสงฺคมมฺหิ ชาเต;

    ‘‘Mahājanasamāgamamhi ghore, janakolāhalasaṅgamamhi jāte;

    วิกฺขิตฺตมนา อเนกจิตฺตา, ปญฺหํ น สกฺกุโณม วตฺตุเมตํฯ

    Vikkhittamanā anekacittā, pañhaṃ na sakkuṇoma vattumetaṃ.

    ‘‘เอกคฺคจิตฺตาว เอกเมกา, รหสิ คตา อตฺถํ นิจินฺตยิตฺวา;

    ‘‘Ekaggacittāva ekamekā, rahasi gatā atthaṃ nicintayitvā;

    ปวิเวเก สมฺมสิตฺวาน ธีรา, อถ วกฺขนฺติ ชนินฺท เอตมตฺถ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๒.๙๖-๙๗);

    Paviveke sammasitvāna dhīrā, atha vakkhanti janinda etamattha’’nti. (jā. 1.12.96-97);

    ตตฺถ สมฺมสิตฺวานาติ กายจิตฺตวิเวเก ฐิตา อิเม ธีรา อิมํ ปญฺหํ สมฺมสิตฺวา อถ โว เอตํ อตฺถํ วกฺขนฺติฯ

    Tattha sammasitvānāti kāyacittaviveke ṭhitā ime dhīrā imaṃ pañhaṃ sammasitvā atha vo etaṃ atthaṃ vakkhanti.

    ราชา ตสฺส กถํ สุตฺวา อนตฺตมโน หุตฺวาปิ ‘‘สาธุ จิเนฺตตฺวา กเถถ, อกเถเนฺต ปน โว ปพฺพาเชสฺสามี’’ติ ตเชฺชสิเยวฯ จตฺตาโร ปณฺฑิตา ปาสาทา โอตริํสุฯ เสนโก อิตเร อาห – ‘‘สมฺมา, ราชา สุขุมปญฺหํ ปุจฺฉิ, อกถิเต มหนฺตํ ภยํ ภวิสฺสติ, สปฺปายโภชนํ ภุญฺชิตฺวา สมฺมา อุปธาเรถา’’ติฯ เต อตฺตโน อตฺตโน เคหํ คตาฯ ปณฺฑิโตปิ อุฎฺฐาย อุทุมฺพรเทวิยา สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘เทวิ, อชฺช วา หิโยฺย วา ราชา กตฺถ จิรํ อฎฺฐาสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ตาต, ทีฆนฺตเร วาตปาเนน โอโลเกโนฺต จงฺกมตี’’ติฯ ตโต ปณฺฑิโต จิเนฺตสิ ‘‘รญฺญา อิมินา ปเสฺสน กิญฺจิ ทิฎฺฐํ ภวิสฺสตี’’ติฯ โส ตตฺถ คนฺตฺวา พหิ โอโลเกโนฺต เอฬกสุนขานํ กิริยํ ทิสฺวา ‘‘อิเม ทิสฺวา รญฺญา ปโญฺห อภิสงฺขโต’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา เคหํ คโตฯ อิตเรปิ ตโย จิเนฺตตฺวา กิญฺจิ อทิสฺวา เสนกสฺส สนฺติกํ อคมํสุฯ โส เต ปุจฺฉิ ‘‘ทิโฎฺฐ โว ปโญฺห’’ติฯ ‘‘น ทิโฎฺฐ อาจริยา’’ติฯ ‘‘ยทิ เอวํ ราชา โว ปพฺพาเชสฺสติ, กิํ กริสฺสถา’’ติ? ‘‘ตุเมฺหหิ ปน ทิโฎฺฐ’’ติ? ‘‘อหมฺปิ น ปสฺสามี’’ติฯ ‘‘ตุเมฺหสุ อปสฺสเนฺตสุ มยํ กิํ ปสฺสาม, รโญฺญ ปน สนฺติเก ‘จิเนฺตตฺวา กเถสฺสามา’ติ สีหนาทํ นทิตฺวา อาคตมฺหา, อกถิเต อเมฺห ราชา กุชฺฌิสฺสติ, กิํ กโรม, อยํ ปโญฺห น สกฺกา อเมฺหหิ ทฎฺฐุํ , ปณฺฑิเตน ปน สตคุณํ สหสฺสคุณํ สตสหสฺสคุณํ กตฺวา จินฺติโต ภวิสฺสติ, เอถ ตสฺส สนฺติกํ คจฺฉามา’’ติ เต จตฺตาโร ปณฺฑิตา โพธิสตฺตสฺส ฆรทฺวารํ อาคตภาวํ อาโรจาเปตฺวา ‘‘ปวิสนฺตุ ปณฺฑิตา’’ติ วุเตฺต เคหํ ปวิสิตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา เอกมนฺตํ ฐิตา มหาสตฺตํ ปุจฺฉิํสุ ‘‘กิํ ปน, ปณฺฑิต, จินฺติโต ปโญฺห’’ติ? ‘‘อาม, จินฺติโต, มยิ อจิเนฺตเนฺต อโญฺญ โก จินฺตยิสฺสตี’’ติฯ ‘‘เตน หิ ปณฺฑิต อมฺหากมฺปิ กเถถา’’ติฯ

    Rājā tassa kathaṃ sutvā anattamano hutvāpi ‘‘sādhu cintetvā kathetha, akathente pana vo pabbājessāmī’’ti tajjesiyeva. Cattāro paṇḍitā pāsādā otariṃsu. Senako itare āha – ‘‘sammā, rājā sukhumapañhaṃ pucchi, akathite mahantaṃ bhayaṃ bhavissati, sappāyabhojanaṃ bhuñjitvā sammā upadhārethā’’ti. Te attano attano gehaṃ gatā. Paṇḍitopi uṭṭhāya udumbaradeviyā santikaṃ gantvā ‘‘devi, ajja vā hiyyo vā rājā kattha ciraṃ aṭṭhāsī’’ti pucchi. ‘‘Tāta, dīghantare vātapānena olokento caṅkamatī’’ti. Tato paṇḍito cintesi ‘‘raññā iminā passena kiñci diṭṭhaṃ bhavissatī’’ti. So tattha gantvā bahi olokento eḷakasunakhānaṃ kiriyaṃ disvā ‘‘ime disvā raññā pañho abhisaṅkhato’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā gehaṃ gato. Itarepi tayo cintetvā kiñci adisvā senakassa santikaṃ agamaṃsu. So te pucchi ‘‘diṭṭho vo pañho’’ti. ‘‘Na diṭṭho ācariyā’’ti. ‘‘Yadi evaṃ rājā vo pabbājessati, kiṃ karissathā’’ti? ‘‘Tumhehi pana diṭṭho’’ti? ‘‘Ahampi na passāmī’’ti. ‘‘Tumhesu apassantesu mayaṃ kiṃ passāma, rañño pana santike ‘cintetvā kathessāmā’ti sīhanādaṃ naditvā āgatamhā, akathite amhe rājā kujjhissati, kiṃ karoma, ayaṃ pañho na sakkā amhehi daṭṭhuṃ , paṇḍitena pana sataguṇaṃ sahassaguṇaṃ satasahassaguṇaṃ katvā cintito bhavissati, etha tassa santikaṃ gacchāmā’’ti te cattāro paṇḍitā bodhisattassa gharadvāraṃ āgatabhāvaṃ ārocāpetvā ‘‘pavisantu paṇḍitā’’ti vutte gehaṃ pavisitvā paṭisanthāraṃ katvā ekamantaṃ ṭhitā mahāsattaṃ pucchiṃsu ‘‘kiṃ pana, paṇḍita, cintito pañho’’ti? ‘‘Āma, cintito, mayi acintente añño ko cintayissatī’’ti. ‘‘Tena hi paṇḍita amhākampi kathethā’’ti.

    ปณฺฑิโต ‘‘สจาหํ เอเตสํ น กเถสฺสามิ, ราชา เต รฎฺฐา ปพฺพาเชสฺสติ, มํ ปน สตฺตหิ รตเนหิ ปูเชสฺสติ, อิเม อนฺธพาลา มา วินสฺสนฺตุ, กเถสฺสามิ เตส’’นฺติ จิเนฺตตฺวา เต จตฺตาโรปิ นีจาสเน นิสีทาเปตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคณฺหาเปตฺวา รญฺญา ทิฎฺฐตํ อชานาเปตฺวา ‘‘รญฺญา ปุจฺฉิตกาเล เอวํ กเถยฺยาถา’’ติ จตุนฺนมฺปิ จตโสฺส คาถาโย พนฺธิตฺวา ปาฬิเมว อุคฺคณฺหาเปตฺวา อุโยฺยเชสิฯ เต ทุติยทิวเส ราชุปฎฺฐานํ คนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิํสุฯ ราชา เสนกํ ปุจฺฉิ ‘‘ญาโต เต, เสนก, ปโญฺห’’ติ? ‘‘มหาราช, มยิ อชานเนฺต อโญฺญ โก ชานิสฺสตี’’ติฯ ‘‘เตน หิ กเถหี’’ติฯ ‘‘สุณาถ เทวา’’ติ โส อุคฺคหิตนิยาเมเนว คาถมาห –

    Paṇḍito ‘‘sacāhaṃ etesaṃ na kathessāmi, rājā te raṭṭhā pabbājessati, maṃ pana sattahi ratanehi pūjessati, ime andhabālā mā vinassantu, kathessāmi tesa’’nti cintetvā te cattāropi nīcāsane nisīdāpetvā añjaliṃ paggaṇhāpetvā raññā diṭṭhataṃ ajānāpetvā ‘‘raññā pucchitakāle evaṃ katheyyāthā’’ti catunnampi catasso gāthāyo bandhitvā pāḷimeva uggaṇhāpetvā uyyojesi. Te dutiyadivase rājupaṭṭhānaṃ gantvā paññattāsane nisīdiṃsu. Rājā senakaṃ pucchi ‘‘ñāto te, senaka, pañho’’ti? ‘‘Mahārāja, mayi ajānante añño ko jānissatī’’ti. ‘‘Tena hi kathehī’’ti. ‘‘Suṇātha devā’’ti so uggahitaniyāmeneva gāthamāha –

    ‘‘อุคฺคปุตฺตราชปุตฺติยานํ, อุรพฺภสฺส มํสํ ปิยํ มนาปํ;

    ‘‘Uggaputtarājaputtiyānaṃ, urabbhassa maṃsaṃ piyaṃ manāpaṃ;

    น สุนขสฺส เต อเทนฺติ มํสํ, อถ เมณฺฑสฺส สุเณน สขฺยมสฺสา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๒.๙๘);

    Na sunakhassa te adenti maṃsaṃ, atha meṇḍassa suṇena sakhyamassā’’ti. (jā. 1.12.98);

    ตตฺถ อุคฺคปุตฺตราชปุตฺติยานนฺติ อุคฺคตานํ อมจฺจปุตฺตานเญฺจว ราชปุตฺตานญฺจฯ

    Tattha uggaputtarājaputtiyānanti uggatānaṃ amaccaputtānañceva rājaputtānañca.

    คาถํ วตฺวาปิ เสนโก อตฺถํ น ชานาติฯ ราชา ปน อตฺตโน ทิฎฺฐภาเวน ปชานาติ, ตสฺมา ‘‘เสนเกน ตาว ญาโต’’ติ ปุกฺกุสํ ปุจฺฉิฯ โสปิสฺส ‘‘กิํ อหมฺปิ อปณฺฑิโต’’ติ วตฺวา อุคฺคหิตนิยาเมเนว คาถมาห –

    Gāthaṃ vatvāpi senako atthaṃ na jānāti. Rājā pana attano diṭṭhabhāvena pajānāti, tasmā ‘‘senakena tāva ñāto’’ti pukkusaṃ pucchi. Sopissa ‘‘kiṃ ahampi apaṇḍito’’ti vatvā uggahitaniyāmeneva gāthamāha –

    ‘‘จมฺมํ วิหนนฺติ เอฬกสฺส, อสฺสปิฎฺฐตฺถรสฺสุขสฺส เหตุ;

    ‘‘Cammaṃ vihananti eḷakassa, assapiṭṭhattharassukhassa hetu;

    น จ เต สุนขสฺส อตฺถรนฺติ, อถ เมณฺฑสฺส สุเณน สขฺยมสฺสา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๒.๙๙);

    Na ca te sunakhassa attharanti, atha meṇḍassa suṇena sakhyamassā’’ti. (jā. 1.12.99);

    ตสฺสปิ อโตฺถ อปากโฎเยวฯ ราชา ปน อตฺตโน ปากฎตฺตา ‘‘อิมินาปิ ปุกฺกุเสน ญาโต’’ติ กามินฺทํ ปุจฺฉิฯ โสปิ อุคฺคหิตนิยาเมเนว คาถมาห –

    Tassapi attho apākaṭoyeva. Rājā pana attano pākaṭattā ‘‘imināpi pukkusena ñāto’’ti kāmindaṃ pucchi. Sopi uggahitaniyāmeneva gāthamāha –

    ‘‘อาเวลฺลิตสิงฺคิโก หิ เมโณฺฑ, น จ สุนขสฺส วิสาณกานิ อตฺถิ;

    ‘‘Āvellitasiṅgiko hi meṇḍo, na ca sunakhassa visāṇakāni atthi;

    ติณภโกฺข มํสโภชโน จ, อถ เมณฺฑสฺส สุเณน สขฺยมสฺสา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๒.๑๐๐);

    Tiṇabhakkho maṃsabhojano ca, atha meṇḍassa suṇena sakhyamassā’’ti. (jā. 1.12.100);

    ราชา ‘‘อิมินาปิ ญาโต’’ติ เทวินฺทํ ปุจฺฉิฯ โสปิ อุคฺคหิตนิยาเมเนว คาถมาห –

    Rājā ‘‘imināpi ñāto’’ti devindaṃ pucchi. Sopi uggahitaniyāmeneva gāthamāha –

    ‘‘ติณมาสิ ปลาสมาสิ เมโณฺฑ, น จ สุนโข ติณมาสิ โน ปลาสํ;

    ‘‘Tiṇamāsi palāsamāsi meṇḍo, na ca sunakho tiṇamāsi no palāsaṃ;

    คเณฺหยฺย สุโณ สสํ พิฬารํ, อถ เมณฺฑสฺส สุเณน สขฺยมสฺสา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๒.๑๐๑);

    Gaṇheyya suṇo sasaṃ biḷāraṃ, atha meṇḍassa suṇena sakhyamassā’’ti. (jā. 1.12.101);

    ตตฺถ ติณมาสิ ปลาสมาสีติ ติณขาทโก เจว ปณฺณขาทโก จฯ โน ปลาสนฺติ ปณฺณมฺปิ น ขาทติฯ

    Tattha tiṇamāsi palāsamāsīti tiṇakhādako ceva paṇṇakhādako ca. No palāsanti paṇṇampi na khādati.

    อถ ราชา ปณฺฑิตํ ปุจฺฉิ – ‘‘ตาต, ตฺวมฺปิ อิมํ ปญฺหํ ชานาสี’’ติ? ‘‘มหาราช, อวีจิโต ยาว ภวคฺคา มํ ฐเปตฺวา โก อโญฺญ เอตํ ชานิสฺสตี’’ติฯ ‘‘เตน หิ กเถหี’’ติฯ ‘‘สุณ มหาราชา’’ติ ตสฺส ปญฺหสฺส อตฺตโน ปากฎภาวํ ปกาเสโนฺต คาถาทฺวยมาห –

    Atha rājā paṇḍitaṃ pucchi – ‘‘tāta, tvampi imaṃ pañhaṃ jānāsī’’ti? ‘‘Mahārāja, avīcito yāva bhavaggā maṃ ṭhapetvā ko añño etaṃ jānissatī’’ti. ‘‘Tena hi kathehī’’ti. ‘‘Suṇa mahārājā’’ti tassa pañhassa attano pākaṭabhāvaṃ pakāsento gāthādvayamāha –

    ‘‘อฎฺฐฑฺฒปโท จตุปฺปทสฺส, เมโณฺฑ อฎฺฐนโข อทิสฺสมาโน;

    ‘‘Aṭṭhaḍḍhapado catuppadassa, meṇḍo aṭṭhanakho adissamāno;

    ฉาทิยมาหรตี อยํ อิมสฺส, มํสํ อาหรตี อยํ อมุสฺสฯ

    Chādiyamāharatī ayaṃ imassa, maṃsaṃ āharatī ayaṃ amussa.

    ‘‘ปาสาทวรคโต วิเทหเสโฎฺฐ, วีติหารํ อญฺญมญฺญโภชนานํ;

    ‘‘Pāsādavaragato videhaseṭṭho, vītihāraṃ aññamaññabhojanānaṃ;

    อทฺทกฺขิ กิร สกฺขิกํ ชนิโนฺท, พุภุกฺกสฺส ปุณฺณํมุขสฺส เจต’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๒.๑๐๒-๑๐๓);

    Addakkhi kira sakkhikaṃ janindo, bubhukkassa puṇṇaṃmukhassa ceta’’nti. (jā. 1.12.102-103);

    ตตฺถ อฎฺฐฑฺฒปโทติ พฺยญฺชนกุสลตาย เอฬกสฺส จตุปฺปาทํ สนฺธายาหฯ เมโณฺฑติ เอฬโกฯ อฎฺฐนโขติ เอเกกสฺมิํ ปาเท ทฺวินฺนํ ทฺวินฺนํ ขุรานํ วเสเนตํ วุตฺตํฯ อทิสฺสมาโนติ มํสํ อาหรณกาเล อปญฺญายมาโนฯ ฉาทิยนฺติ เคหจฺฉทนํฯ ติณนฺติ อโตฺถฯ อยํ อิมสฺสาติ สุนโข เอฬกสฺสฯ วีติหารนฺติ วีติหรณํฯ อญฺญมญฺญโภชนานนฺติ อญฺญมญฺญสฺส โภชนานํฯ เมโณฺฑ หิ สุนขสฺส โภชนํ หรติ, โส ตสฺส วีติหรติ, สุนโขปิ ตสฺส หรติ, อิตโร วีติหรติฯ อทฺทกฺขีติ ตํ เตสํ อญฺญมญฺญโภชนานํ วีติหรณํ สกฺขิกํ อตฺตโน ปจฺจกฺขํ กตฺวา อทฺทสฯ พุภุกฺกสฺสาติ ภุภูติ สทฺทกรณสุนขสฺสฯ ปุณฺณํมุขสฺสาติ เมณฺฑสฺสฯ อิเมสํ เอตํ มิตฺตสนฺถวํ ราชา สยํ ปสฺสีติฯ

    Tattha aṭṭhaḍḍhapadoti byañjanakusalatāya eḷakassa catuppādaṃ sandhāyāha. Meṇḍoti eḷako. Aṭṭhanakhoti ekekasmiṃ pāde dvinnaṃ dvinnaṃ khurānaṃ vasenetaṃ vuttaṃ. Adissamānoti maṃsaṃ āharaṇakāle apaññāyamāno. Chādiyanti gehacchadanaṃ. Tiṇanti attho. Ayaṃ imassāti sunakho eḷakassa. Vītihāranti vītiharaṇaṃ. Aññamaññabhojanānanti aññamaññassa bhojanānaṃ. Meṇḍo hi sunakhassa bhojanaṃ harati, so tassa vītiharati, sunakhopi tassa harati, itaro vītiharati. Addakkhīti taṃ tesaṃ aññamaññabhojanānaṃ vītiharaṇaṃ sakkhikaṃ attano paccakkhaṃ katvā addasa. Bubhukkassāti bhubhūti saddakaraṇasunakhassa. Puṇṇaṃmukhassāti meṇḍassa. Imesaṃ etaṃ mittasanthavaṃ rājā sayaṃ passīti.

    ราชา อิตเรหิ โพธิสตฺตํ นิสฺสาย ญาตภาวํ อชานโนฺต ‘‘ปญฺจ ปณฺฑิตา อตฺตโน อตฺตโน ญาณพเลน ชานิํสู’’ติ มญฺญมาโน โสมนสฺสปฺปโตฺต หุตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Rājā itarehi bodhisattaṃ nissāya ñātabhāvaṃ ajānanto ‘‘pañca paṇḍitā attano attano ñāṇabalena jāniṃsū’’ti maññamāno somanassappatto hutvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ลาภา วต เม อนปฺปรูปา, ยสฺส เมทิสา ปณฺฑิตา กุลมฺหิ;

    ‘‘Lābhā vata me anapparūpā, yassa medisā paṇḍitā kulamhi;

    ปญฺหสฺส คมฺภีรคตํ นิปุณมตฺถํ, ปฎิวิชฺฌนฺติ สุภาสิเตน ธีรา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๒.๑๐๔);

    Pañhassa gambhīragataṃ nipuṇamatthaṃ, paṭivijjhanti subhāsitena dhīrā’’ti. (jā. 1.12.104);

    ตตฺถ ปฎิวิชฺฌนฺตีติ สุภาสิเตน เต วิทิตฺวา กเถนฺติฯ

    Tattha paṭivijjhantīti subhāsitena te viditvā kathenti.

    อถ เนสํ ‘‘ตุเฎฺฐน นาม ตุฎฺฐากาโร กตฺตโพฺพ’’ติ ตํ กโรโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Atha nesaṃ ‘‘tuṭṭhena nāma tuṭṭhākāro kattabbo’’ti taṃ karonto imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อสฺสตริรถญฺจ เอกเมกํ, ผีตํ คามวรญฺจ เอกเมกํ;

    ‘‘Assatarirathañca ekamekaṃ, phītaṃ gāmavarañca ekamekaṃ;

    สเพฺพสํ โว ทมฺมิ ปณฺฑิตานํ, ปรมปฺปตีตมโน สุภาสิเตนา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๒.๑๐๕);

    Sabbesaṃ vo dammi paṇḍitānaṃ, paramappatītamano subhāsitenā’’ti. (jā. 1.12.105);

    อิติ วตฺวา เตสํ ตํ สพฺพํ ทาเปสิฯ

    Iti vatvā tesaṃ taṃ sabbaṃ dāpesi.

    ทฺวาทสนิปาเต เมณฺฑกปโญฺห นิฎฺฐิโตฯ

    Dvādasanipāte meṇḍakapañho niṭṭhito.

    สิริมนฺตปโญฺห

    Sirimantapañho

    อุทุมฺพรเทวี ปน อิตเรหิ ปณฺฑิตํ นิสฺสาย ปญฺหสฺส ญาตภาวํ ญตฺวา ‘‘รญฺญา มุคฺคํ มาเสน นิพฺพิเสสกํ กโรเนฺตน วิย ปญฺจนฺนํ สมโกว สกฺกาโร กโต, นนุ มยฺหํ กนิฎฺฐสฺส วิเสสํ สกฺการํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ปุจฺฉิ ‘‘เทว, เกน โว ปโญฺห กถิโต’’ติ? ‘‘ปญฺจหิ ปณฺฑิเตหิ, ภเทฺท’’ติฯ ‘‘เทว, จตฺตาโร ชนา ตํ ปญฺหํ กํ นิสฺสาย ชานิํสู’’ติ? ‘‘น ชานามิ, ภเทฺท’’ติฯ ‘‘มหาราช, กิํ เต ชานนฺติ, ปณฺฑิโต ปน ‘มา นสฺสนฺตุ อิเม พาลา’ติ ปญฺหํ อุคฺคณฺหาเปสิ, ตุเมฺห สเพฺพสํ สมกํ สกฺการํ กโรถ, อยุตฺตเมตํ, ปณฺฑิตสฺส วิเสสกํ กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ราชา ‘‘อตฺตานํ นิสฺสาย ญาตภาวํ น กเถสี’’ติ ปณฺฑิตสฺส ตุสฺสิตฺวา อติเรกตรํ สกฺการํ กาตุกาโม จิเนฺตสิ ‘‘โหตุ มม ปุตฺตํ เอกํ ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา กถิตกาเล มหนฺตํ สกฺการํ กริสฺสามี’’ติฯ โส ปญฺหํ จิเนฺตโนฺต สิริมนฺตปญฺหํ จิเนฺตตฺวา เอกทิวสํ ปญฺจนฺนํ ปณฺฑิตานํ อุปฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา สุขนิสินฺนกาเล เสนกํ อาห – ‘‘เสนก, ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติฯ ‘‘ปุจฺฉ เทวา’’ติฯ ราชา สิริมนฺตปเญฺห ปฐมํ คาถมาห –

    Udumbaradevī pana itarehi paṇḍitaṃ nissāya pañhassa ñātabhāvaṃ ñatvā ‘‘raññā muggaṃ māsena nibbisesakaṃ karontena viya pañcannaṃ samakova sakkāro kato, nanu mayhaṃ kaniṭṭhassa visesaṃ sakkāraṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā rañño santikaṃ gantvā pucchi ‘‘deva, kena vo pañho kathito’’ti? ‘‘Pañcahi paṇḍitehi, bhadde’’ti. ‘‘Deva, cattāro janā taṃ pañhaṃ kaṃ nissāya jāniṃsū’’ti? ‘‘Na jānāmi, bhadde’’ti. ‘‘Mahārāja, kiṃ te jānanti, paṇḍito pana ‘mā nassantu ime bālā’ti pañhaṃ uggaṇhāpesi, tumhe sabbesaṃ samakaṃ sakkāraṃ karotha, ayuttametaṃ, paṇḍitassa visesakaṃ kātuṃ vaṭṭatī’’ti. Rājā ‘‘attānaṃ nissāya ñātabhāvaṃ na kathesī’’ti paṇḍitassa tussitvā atirekataraṃ sakkāraṃ kātukāmo cintesi ‘‘hotu mama puttaṃ ekaṃ pañhaṃ pucchitvā kathitakāle mahantaṃ sakkāraṃ karissāmī’’ti. So pañhaṃ cintento sirimantapañhaṃ cintetvā ekadivasaṃ pañcannaṃ paṇḍitānaṃ upaṭṭhānaṃ āgantvā sukhanisinnakāle senakaṃ āha – ‘‘senaka, pañhaṃ pucchissāmī’’ti. ‘‘Puccha devā’’ti. Rājā sirimantapañhe paṭhamaṃ gāthamāha –

    ‘‘ปญฺญายุเปตํ สิริยา วิหีนํ, ยสสฺสินํ วาปิ อเปตปญฺญํ;

    ‘‘Paññāyupetaṃ siriyā vihīnaṃ, yasassinaṃ vāpi apetapaññaṃ;

    ปุจฺฉามิ ตํ เสนก เอตมตฺถํ, กเมตฺถ เสโยฺย กุสลา วทนฺตี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๘๓);

    Pucchāmi taṃ senaka etamatthaṃ, kamettha seyyo kusalā vadantī’’ti. (jā. 1.15.83);

    ตตฺถ กเมตฺถ เสโยฺยติ อิเมสุ ทฺวีสุ กตรํ ปณฺฑิตา เสโยฺยติ วทนฺติฯ

    Tattha kamettha seyyoti imesu dvīsu kataraṃ paṇḍitā seyyoti vadanti.

    อยญฺจ กิร ปโญฺห เสนกสฺส วํสานุคโต, เตน นํ ขิปฺปเมว กเถสิ –

    Ayañca kira pañho senakassa vaṃsānugato, tena naṃ khippameva kathesi –

    ‘‘ธีรา จ พาลา จ หเว ชนินฺท, สิปฺปูปปนฺนา จ อสิปฺปิโน จ;

    ‘‘Dhīrā ca bālā ca have janinda, sippūpapannā ca asippino ca;

    สุชาติมโนฺตปิ อชาติมสฺส, ยสสฺสิโน เปสกรา ภวนฺติ;

    Sujātimantopi ajātimassa, yasassino pesakarā bhavanti;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ, ปโญฺญ นิหีโน สิรีมาว เสโยฺย’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๘๔);

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi, pañño nihīno sirīmāva seyyo’’ti. (jā. 1.15.84);

    ตตฺถ ปโญฺญ นิหีโนติ ปญฺญวา นิหีโน, อิสฺสโรว อุตฺตโมติ อโตฺถฯ

    Tattha pañño nihīnoti paññavā nihīno, issarova uttamoti attho.

    ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวา อิตเร ตโย อปุจฺฉิตฺวา สงฺฆนวกํ หุตฺวา นิสินฺนํ มโหสธปณฺฑิตํ อาห –

    Rājā tassa vacanaṃ sutvā itare tayo apucchitvā saṅghanavakaṃ hutvā nisinnaṃ mahosadhapaṇḍitaṃ āha –

    ‘‘ตุวมฺปิ ปุจฺฉามิ อโนมปญฺญ, มโหสธ เกวลธมฺมทสฺสิ;

    ‘‘Tuvampi pucchāmi anomapañña, mahosadha kevaladhammadassi;

    พาลํ ยสสฺสิํ ปณฺฑิตํ อปฺปโภคํ, กเมตฺถ เสโยฺย กุสลา วทนฺตี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๘๕);

    Bālaṃ yasassiṃ paṇḍitaṃ appabhogaṃ, kamettha seyyo kusalā vadantī’’ti. (jā. 1.15.85);

    ตตฺถ เกวลธมฺมทสฺสีติ สพฺพธมฺมทสฺสิฯ

    Tattha kevaladhammadassīti sabbadhammadassi.

    อถสฺส มหาสโตฺต ‘‘สุณ, มหาราชา’’ติ วตฺวา กเถสิ –

    Athassa mahāsatto ‘‘suṇa, mahārājā’’ti vatvā kathesi –

    ‘‘ปาปานิ กมฺมานิ กโรติ พาโล, อิธเมว เสโยฺย อิติ มญฺญมาโน;

    ‘‘Pāpāni kammāni karoti bālo, idhameva seyyo iti maññamāno;

    อิธโลกทสฺสี ปรโลกมทสฺสี, อุภยตฺถ พาโล กลิมคฺคเหสิ;

    Idhalokadassī paralokamadassī, ubhayattha bālo kalimaggahesi;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ, ปโญฺญว เสโยฺย น ยสสฺสิ พาโล’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๘๖);

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi, paññova seyyo na yasassi bālo’’ti. (jā. 1.15.86);

    ตตฺถ อิธเมว เสโยฺยติ อิธโลเก อิสฺสริยเมว มยฺหํ เสฎฺฐนฺติ มญฺญมาโนฯ กลิมคฺคเหสีติ พาโล อิสฺสริยมาเนน ปาปกมฺมํ กตฺวา นิรยาทิํ อุปปชฺชโนฺต ปรโลเก จ ปุน ตโต อาคนฺตฺวา นีจกุเล ทุกฺขภาวํ ปตฺวา นิพฺพตฺตมาโน อิธโลเก จาติ อุภยตฺถ ปราชยเมว คณฺหาติฯ เอตมฺปิ การณํ อหํ ทิสฺวา ปญฺญาสมฺปโนฺนว อุตฺตโม, อิสฺสโร ปน พาโล น อุตฺตโมติ วทามิฯ

    Tattha idhameva seyyoti idhaloke issariyameva mayhaṃ seṭṭhanti maññamāno. Kalimaggahesīti bālo issariyamānena pāpakammaṃ katvā nirayādiṃ upapajjanto paraloke ca puna tato āgantvā nīcakule dukkhabhāvaṃ patvā nibbattamāno idhaloke cāti ubhayattha parājayameva gaṇhāti. Etampi kāraṇaṃ ahaṃ disvā paññāsampannova uttamo, issaro pana bālo na uttamoti vadāmi.

    เอวํ วุเตฺต ราชา เสนกํ โอโลเกตฺวา ‘‘นนุ มโหสโธ ปญฺญวนฺตเมว อุตฺตโมติ วทตี’’ติ อาหฯ เสนโก ‘‘มหาราช, มโหสโธ ทหโร, อชฺชาปิสฺส มุเข ขีรคโนฺธ วายติ, กิเมส ชานาตี’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Evaṃ vutte rājā senakaṃ oloketvā ‘‘nanu mahosadho paññavantameva uttamoti vadatī’’ti āha. Senako ‘‘mahārāja, mahosadho daharo, ajjāpissa mukhe khīragandho vāyati, kimesa jānātī’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘นิสิปฺปเมตํ วิทธาติ โภคํ, น พนฺธุวา น สรีรวโณฺณ โย;

    ‘‘Nisippametaṃ vidadhāti bhogaṃ, na bandhuvā na sarīravaṇṇo yo;

    ปเสฺสฬมูคํ สุขเมธมานํ, สิรี หิ นํ ภชเต โครวินฺทํ;

    Passeḷamūgaṃ sukhamedhamānaṃ, sirī hi naṃ bhajate goravindaṃ;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ, ปโญฺญ นิหีโน สิรีมาว เสโยฺย’’ติฯ

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi, pañño nihīno sirīmāva seyyo’’ti.

    ตตฺถ เอฬมูคนฺติ ปคฺฆริตลาลมุขํฯ โครวินฺทนฺติ โส กิร ตสฺมิํเยว นคเร อสีติโกฎิวิภโว เสฎฺฐิ วิรูโปฯ นาสฺส ปุโตฺต น จ ธีตา, น กิญฺจิ สิปฺปํ ชานาติฯ กเถนฺตสฺสปิสฺส หนุกสฺส อุโภหิปิ ปเสฺสหิ ลาลาธารา ปคฺฆรติฯ เทวจฺฉรา วิย เทฺว อิตฺถิโย สพฺพาลงฺกาเรหิ วิภูสิตา สุปุปฺผิตานิ นีลุปฺปลานิ คเหตฺวา อุโภสุ ปเสฺสสุ ฐิตา ตํ ลาลํ นีลุปฺปเลหิ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา นีลุปฺปลานิ วาตปาเนน ฉเฑฺฑนฺติฯ สุราโสณฺฑาปิ ปานาคารํ ปวิสนฺตา นีลุปฺปเลหิ อเตฺถ สติ ตสฺส เคหทฺวารํ คนฺตฺวา ‘‘สามิ โครวินฺท, เสฎฺฐี’’ติ วทนฺติฯ โส เตสํ สทฺทํ สุตฺวา วาตปาเน ฐตฺวา ‘‘กิํ, ตาตา’’ติ วทติฯ อถสฺส ลาลาธารา ปคฺฆรติ ฯ ตา อิตฺถิโย ตํ นีลุปฺปเลหิ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา นีลุปฺปลานิ อนฺตรวีถิยํ ขิปนฺติฯ สุราธุตฺตา ตานิ คเหตฺวา อุทเกน วิกฺขาเลตฺวา ปิฬนฺธิตฺวา ปานาคารํ ปวิสนฺติฯ เอวํ สิริสมฺปโนฺน อโหสิฯ เสนโก ตํ อุทาหรณํ กตฺวา ทเสฺสโนฺต เอวมาหฯ

    Tattha eḷamūganti paggharitalālamukhaṃ. Goravindanti so kira tasmiṃyeva nagare asītikoṭivibhavo seṭṭhi virūpo. Nāssa putto na ca dhītā, na kiñci sippaṃ jānāti. Kathentassapissa hanukassa ubhohipi passehi lālādhārā paggharati. Devaccharā viya dve itthiyo sabbālaṅkārehi vibhūsitā supupphitāni nīluppalāni gahetvā ubhosu passesu ṭhitā taṃ lālaṃ nīluppalehi sampaṭicchitvā nīluppalāni vātapānena chaḍḍenti. Surāsoṇḍāpi pānāgāraṃ pavisantā nīluppalehi atthe sati tassa gehadvāraṃ gantvā ‘‘sāmi goravinda, seṭṭhī’’ti vadanti. So tesaṃ saddaṃ sutvā vātapāne ṭhatvā ‘‘kiṃ, tātā’’ti vadati. Athassa lālādhārā paggharati . Tā itthiyo taṃ nīluppalehi sampaṭicchitvā nīluppalāni antaravīthiyaṃ khipanti. Surādhuttā tāni gahetvā udakena vikkhāletvā piḷandhitvā pānāgāraṃ pavisanti. Evaṃ sirisampanno ahosi. Senako taṃ udāharaṇaṃ katvā dassento evamāha.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘กีทิสํ, ตาต, มโหสธปณฺฑิตา’’ติ อาหฯ ปณฺฑิโต ‘‘เทว, กิํ เสนโก ชานาติ, โอทนสิตฺถฎฺฐาเน กาโก วิย ทธิํ ปาตุํ อารทฺธสุนโข วิย จ ยสเมว ปสฺสติ, สีเส ปตนฺตํ มหามุคฺครํ น ปสฺสติ, สุณ, เทวา’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘kīdisaṃ, tāta, mahosadhapaṇḍitā’’ti āha. Paṇḍito ‘‘deva, kiṃ senako jānāti, odanasitthaṭṭhāne kāko viya dadhiṃ pātuṃ āraddhasunakho viya ca yasameva passati, sīse patantaṃ mahāmuggaraṃ na passati, suṇa, devā’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ลทฺธา สุขํ มชฺชติ อปฺปปโญฺญ, ทุเกฺขน ผุโฎฺฐปิ ปโมหเมติ;

    ‘‘Laddhā sukhaṃ majjati appapañño, dukkhena phuṭṭhopi pamohameti;

    อาคนฺตุนา ทุกฺขสุเขน ผุโฎฺฐ, ปเวธติ วาริจโรว ฆเมฺม;

    Āgantunā dukkhasukhena phuṭṭho, pavedhati vāricarova ghamme;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ, ปโญฺญว เสโยฺย น ยสสฺสิ พาโล’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๘๘);

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi, paññova seyyo na yasassi bālo’’ti. (jā. 1.15.88);

    ตตฺถ สุขนฺติ อิสฺสริยสุขํ ลภิตฺวา พาโล ปมชฺชติ, ปมโตฺต สมาโน ปาปํ กโรติฯ ทุเกฺขนาติ กายิกเจตสิกทุเกฺขนฯ อาคนฺตุนาติ น อชฺฌตฺติเกนฯ สตฺตานญฺหิ สุขมฺปิ ทุกฺขมฺปิ อาคนฺตุกเมว, น นิจฺจปวตฺตํฯ ฆเมฺมติ อุทกา อุทฺธริตฺวา อาตเป ขิตฺตมโจฺฉ วิยฯ

    Tattha sukhanti issariyasukhaṃ labhitvā bālo pamajjati, pamatto samāno pāpaṃ karoti. Dukkhenāti kāyikacetasikadukkhena. Āgantunāti na ajjhattikena. Sattānañhi sukhampi dukkhampi āgantukameva, na niccapavattaṃ. Ghammeti udakā uddharitvā ātape khittamaccho viya.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘กีทิสํ อาจริยา’’ติ อาหฯ เสนโก ‘‘เทว, กิเมส ชานาติ, ติฎฺฐนฺตุ ตาว มนุสฺสา, อรเญฺญ ชาตรุเกฺขสุปิ ผลสมฺปนฺนเมว พหู วิหงฺคมา ภชนฺตี’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘kīdisaṃ ācariyā’’ti āha. Senako ‘‘deva, kimesa jānāti, tiṭṭhantu tāva manussā, araññe jātarukkhesupi phalasampannameva bahū vihaṅgamā bhajantī’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ทุมํ ยถา สาทุผลํ อรเญฺญ, สมนฺตโต สมภิสรนฺติ ปกฺขี;

    ‘‘Dumaṃ yathā sāduphalaṃ araññe, samantato samabhisaranti pakkhī;

    เอวมฺปิ อฑฺฒํ สธนํ สโภคํ, พหุชฺชโน ภชติ อตฺถเหตุ;

    Evampi aḍḍhaṃ sadhanaṃ sabhogaṃ, bahujjano bhajati atthahetu;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ, ปโญฺญ นิหีโน สิรีมาว เสโยฺย’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๘๙);

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi, pañño nihīno sirīmāva seyyo’’ti. (jā. 1.15.89);

    ตตฺถ พหุชฺชโนติ มหาชโนฯ

    Tattha bahujjanoti mahājano.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘กีทิสํ ตาตา’’ติ อาหฯ ปณฺฑิโต ‘‘กิเมส มโหทโร ชานาติ, สุณ, เทวา’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘kīdisaṃ tātā’’ti āha. Paṇḍito ‘‘kimesa mahodaro jānāti, suṇa, devā’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘น สาธุ พลวา พาโล, สาหสา วินฺทเต ธนํ;

    ‘‘Na sādhu balavā bālo, sāhasā vindate dhanaṃ;

    กนฺทนฺตเมตํ ทุเมฺมธํ, กฑฺฒนฺติ นิรยํ ภุสํ;

    Kandantametaṃ dummedhaṃ, kaḍḍhanti nirayaṃ bhusaṃ;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ, ปโญฺญว เสโยฺย น ยสสฺสิ พาโล’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๙๐);

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi, paññova seyyo na yasassi bālo’’ti. (jā. 1.15.90);

    ตตฺถ สาหสาติ สาหเสน สาหสิกกมฺมํ กตฺวา ชนํ ปีเฬตฺวา ธนํ วินฺทติฯ อถ นํ นิรยปาลา กนฺทนฺตเมว ทุเมฺมธํ พลวเวทนํ นิรยํ กฑฺฒนฺติฯ

    Tattha sāhasāti sāhasena sāhasikakammaṃ katvā janaṃ pīḷetvā dhanaṃ vindati. Atha naṃ nirayapālā kandantameva dummedhaṃ balavavedanaṃ nirayaṃ kaḍḍhanti.

    ปุน รญฺญา ‘‘กิํ เสนกา’’ติ วุเตฺต เสนโก อิมํ คาถมาห –

    Puna raññā ‘‘kiṃ senakā’’ti vutte senako imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ยา กาจิ นโชฺช คงฺคมภิสฺสวนฺติ, สพฺพาว ตา นามโคตฺตํ ชหนฺติ;

    ‘‘Yā kāci najjo gaṅgamabhissavanti, sabbāva tā nāmagottaṃ jahanti;

    คงฺคา สมุทฺทํ ปฎิปชฺชมานา, น ขายเต อิทฺธิํ ปโญฺญปิ โลเก;

    Gaṅgā samuddaṃ paṭipajjamānā, na khāyate iddhiṃ paññopi loke;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ, ปโญฺญ นิหีโน สิรีมาว เสโยฺย’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๙๑);

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi, pañño nihīno sirīmāva seyyo’’ti. (jā. 1.15.91);

    ตตฺถ นโชฺชติ นินฺนา หุตฺวา สนฺทมานา อนฺตมโส กุนฺนทิโยปิ คงฺคํ อภิสฺสวนฺติฯ ชหนฺตีติ คงฺคาเตฺวว สงฺขฺยํ คจฺฉนฺติ, อตฺตโน นามโคตฺตํ ชหนฺติฯ น ขายเตติ สาปิ คงฺคา สมุทฺทํ ปฎิปชฺชมานา น ปญฺญายติ, สมุโทฺทเตฺวว นามํ ลภติฯ เอวเมว มหาปโญฺญปิ อิสฺสรสนฺติกํ ปโตฺต น ขายติ น ปญฺญายติ,สมุทฺทํ ปวิฎฺฐคงฺคา วิย โหติฯ

    Tattha najjoti ninnā hutvā sandamānā antamaso kunnadiyopi gaṅgaṃ abhissavanti. Jahantīti gaṅgātveva saṅkhyaṃ gacchanti, attano nāmagottaṃ jahanti. Na khāyateti sāpi gaṅgā samuddaṃ paṭipajjamānā na paññāyati, samuddotveva nāmaṃ labhati. Evameva mahāpaññopi issarasantikaṃ patto na khāyati na paññāyati,samuddaṃ paviṭṭhagaṅgā viya hoti.

    ปุน ราชา ‘‘กิํ ปณฺฑิตา’’ติ อาหฯ โส ‘‘สุณ, มหาราชา’’ติ วตฺวา อิมํ คาถาทฺวยมาห –

    Puna rājā ‘‘kiṃ paṇḍitā’’ti āha. So ‘‘suṇa, mahārājā’’ti vatvā imaṃ gāthādvayamāha –

    ‘‘ยเมตมกฺขา อุทธิํ มหนฺตํ, สวนฺติ นโชฺช สพฺพกาลมสงฺขฺยํ;

    ‘‘Yametamakkhā udadhiṃ mahantaṃ, savanti najjo sabbakālamasaṅkhyaṃ;

    โส สาคโร นิจฺจมุฬารเวโค, เวลํ น อเจฺจติ มหาสมุโทฺทฯ

    So sāgaro niccamuḷāravego, velaṃ na acceti mahāsamuddo.

    ‘‘เอวมฺปิ พาลสฺส ปชปฺปิตานิ, ปญฺญํ น อเจฺจติ สิรี กทาจิ;

    ‘‘Evampi bālassa pajappitāni, paññaṃ na acceti sirī kadāci;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ, ปโญฺญว เสโยฺย น ยสสฺสิ พาโล’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๙๒-๙๓);

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi, paññova seyyo na yasassi bālo’’ti. (jā. 1.15.92-93);

    ตตฺถ ยเมตมกฺขาติ ยํ เอตํ อกฺขาสิ วเทสิฯ อสงฺขฺยนฺติ อคณนํฯ เวลํ น อเจฺจตีติ อุฬารเวโคปิ หุตฺวา อูมิสหสฺสํ อุกฺขิปิตฺวาปิ เวลํ อติกฺกมิตุํ น สโกฺกติ, เวลํ ปตฺวา อวสฺสํ สพฺพา อูมิโย ภิชฺชนฺติฯ เอวมฺปิ พาลสฺส ปชปฺปิตานีติ พาลสฺส วจนานิปิ เอวเมว ปญฺญวนฺตํ อติกฺกมิตุํ น สโกฺกนฺติ, ตํ ปตฺวาว ภิชฺชนฺติฯ ปญฺญํ น อเจฺจตีติ ปญฺญวนฺตํ สิริมา นาม นาติกฺกมติฯ น หิ โกจิ มนุโช อตฺถานเตฺถ อุปฺปนฺนกโงฺข ตํฉินฺทนตฺถาย ปญฺญวนฺตํ อติกฺกมิตฺวา พาลสฺส อิสฺสรสฺส ปาทมูลํ คจฺฉติ, ปญฺญวนฺตสฺส ปน ปาทมูเลเยว วินิจฺฉโย นาม ลพฺภตีติฯ

    Tattha yametamakkhāti yaṃ etaṃ akkhāsi vadesi. Asaṅkhyanti agaṇanaṃ. Velaṃ na accetīti uḷāravegopi hutvā ūmisahassaṃ ukkhipitvāpi velaṃ atikkamituṃ na sakkoti, velaṃ patvā avassaṃ sabbā ūmiyo bhijjanti. Evampi bālassa pajappitānīti bālassa vacanānipi evameva paññavantaṃ atikkamituṃ na sakkonti, taṃ patvāva bhijjanti. Paññaṃ na accetīti paññavantaṃ sirimā nāma nātikkamati. Na hi koci manujo atthānatthe uppannakaṅkho taṃchindanatthāya paññavantaṃ atikkamitvā bālassa issarassa pādamūlaṃ gacchati, paññavantassa pana pādamūleyeva vinicchayo nāma labbhatīti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘กถํ เสนกา’’ติ อาหฯ โส ‘‘สุณ, เทวา’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘kathaṃ senakā’’ti āha. So ‘‘suṇa, devā’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อสญฺญโต เจปิ ปเรสมตฺถํ, ภณาติ สนฺธานคโต ยสสฺสี;

    ‘‘Asaññato cepi paresamatthaṃ, bhaṇāti sandhānagato yasassī;

    ตเสฺสว ตํ รูหติ ญาติมเชฺฌ, สิรี หิ นํ การยเต น ปญฺญา;

    Tasseva taṃ rūhati ñātimajjhe, sirī hi naṃ kārayate na paññā;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ, ปโญฺญ นิหีโน สิรีมาว เสโยฺย’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๙๔);

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi, pañño nihīno sirīmāva seyyo’’ti. (jā. 1.15.94);

    ตตฺถ อสญฺญโต เจปีติ อิสฺสโร หิ สเจปิ กายาทีหิ อสญฺญโต ทุสฺสีโลฯ สนฺธานคโตติ วินิจฺฉเย ฐิโต หุตฺวา ปเรสํ อตฺถํ ภณติ, ตสฺมิํ วินิจฺฉยมณฺฑเล มหาปริวารปริวุตสฺส มุสาวาทํ วตฺวา สามิกมฺปิ อสฺสามิกํ กโรนฺตสฺส ตเสฺสว ตํ วจนํ รุหติฯ สิรี หิ นํ ตถา การยเต น ปญฺญา, ตสฺมา ปโญฺญ นิหีโน, สิริมาว เสโยฺยติ วทามิฯ

    Tattha asaññato cepīti issaro hi sacepi kāyādīhi asaññato dussīlo. Sandhānagatoti vinicchaye ṭhito hutvā paresaṃ atthaṃ bhaṇati, tasmiṃ vinicchayamaṇḍale mahāparivāraparivutassa musāvādaṃ vatvā sāmikampi assāmikaṃ karontassa tasseva taṃ vacanaṃ ruhati. Sirī hi naṃ tathā kārayate na paññā, tasmā pañño nihīno, sirimāva seyyoti vadāmi.

    ปุน รญฺญา ‘‘กิํ, ตาตา’’ติ วุเตฺต ปณฺฑิโต ‘‘สุณ, เทว, พาลเสนโก กิํ ชานาตี’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Puna raññā ‘‘kiṃ, tātā’’ti vutte paṇḍito ‘‘suṇa, deva, bālasenako kiṃ jānātī’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ปรสฺส วา อตฺตโน วาปิ เหตุ, พาโล มุสา ภาสติ อปฺปปโญฺญ;

    ‘‘Parassa vā attano vāpi hetu, bālo musā bhāsati appapañño;

    โส นินฺทิโต โหติ สภาย มเชฺฌ, ปจฺฉาปิ โส ทุคฺคติคามี โหติ;

    So nindito hoti sabhāya majjhe, pacchāpi so duggatigāmī hoti;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ, ปโญฺญว เสโยฺย น ยสสฺสิ พาโล’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๙๕);

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi, paññova seyyo na yasassi bālo’’ti. (jā. 1.15.95);

    ตโต เสนโก อิมํ คาถมาห –

    Tato senako imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อตฺถมฺปิ เจ ภาสติ ภูริปโญฺญ, อนาฬฺหิโย อปฺปธโน ทลิโทฺท;

    ‘‘Atthampi ce bhāsati bhūripañño, anāḷhiyo appadhano daliddo;

    น ตสฺส ตํ รูหติ ญาติมเชฺฌ, สิรี จ ปญฺญาณวโต น โหติ;

    Na tassa taṃ rūhati ñātimajjhe, sirī ca paññāṇavato na hoti;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ, ปโญฺญ นิหีโน สิรีมาว เสโยฺย’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๙๖);

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi, pañño nihīno sirīmāva seyyo’’ti. (jā. 1.15.96);

    ตตฺถ อตฺถมฺปีติ การณมฺปิ เจ ภาสติฯ ญาติมเชฺฌติ ปริสมเชฺฌฯ ปญฺญาณวโตติ มหาราช, ปญฺญาณวนฺตสฺส สิริโสภคฺคปฺปตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ปกติยา วิชฺชมานาปิ สิรี นาม น โหติฯ โส หิ ตสฺส สนฺติเก สูริยุคฺคมเน ขโชฺชปนโก วิย ขายตีติ ทเสฺสติฯ

    Tattha atthampīti kāraṇampi ce bhāsati. Ñātimajjheti parisamajjhe. Paññāṇavatoti mahārāja, paññāṇavantassa sirisobhaggappattassa santikaṃ gantvā pakatiyā vijjamānāpi sirī nāma na hoti. So hi tassa santike sūriyuggamane khajjopanako viya khāyatīti dasseti.

    ปุน รญฺญา ‘‘กีทิสํ, ตาตา’’ติ วุเตฺต ปณฺฑิโต ‘‘กิํ ชานาติ, เสนโก, อิธโลกมตฺตเมว โอโลเกติ, น ปรโลก’’นฺติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Puna raññā ‘‘kīdisaṃ, tātā’’ti vutte paṇḍito ‘‘kiṃ jānāti, senako, idhalokamattameva oloketi, na paraloka’’nti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ปรสฺส วา อตฺตโน วาปิ เหตุ, น ภาสติ อลิกํ ภูริปโญฺญ;

    ‘‘Parassa vā attano vāpi hetu, na bhāsati alikaṃ bhūripañño;

    โส ปูชิโต โหติ สภาย มเชฺฌ, ปจฺฉาปิ โส สุคฺคติคามี โหติ;

    So pūjito hoti sabhāya majjhe, pacchāpi so suggatigāmī hoti;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ, ปโญฺญว เสโยฺย น ยสสฺสิ พาโล’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๙๗);

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi, paññova seyyo na yasassi bālo’’ti. (jā. 1.15.97);

    ตโต เสนโก คาถมาห –

    Tato senako gāthamāha –

    ‘‘หตฺถี ควาสฺสา มณิกุณฺฑลา จ, ถิโย จ อิเทฺธสุ กุเลสุ ชาตา;

    ‘‘Hatthī gavāssā maṇikuṇḍalā ca, thiyo ca iddhesu kulesu jātā;

    สพฺพาว ตา อุปโภคา ภวนฺติ, อิทฺธสฺส โปสสฺส อนิทฺธิมโนฺต;

    Sabbāva tā upabhogā bhavanti, iddhassa posassa aniddhimanto;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ, ปโญฺญ นิหีโน สิรีมาว เสโยฺย’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๙๘);

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi, pañño nihīno sirīmāva seyyo’’ti. (jā. 1.15.98);

    ตตฺถ อิทฺธสฺสาติ อิสฺสรสฺสฯ อนิทฺธิมโนฺตติ น เกวลํ ตา นาริโยว, อถ โข สเพฺพ อนิทฺธิมโนฺตปิ สตฺตา ตสฺส อุปโภคา ภวนฺติฯ

    Tattha iddhassāti issarassa. Aniddhimantoti na kevalaṃ tā nāriyova, atha kho sabbe aniddhimantopi sattā tassa upabhogā bhavanti.

    ตโต ปณฺฑิโต ‘‘กิํ เอส ชานาตี’’ติ วตฺวา เอกํ การณํ อาหริตฺวา ทเสฺสโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Tato paṇḍito ‘‘kiṃ esa jānātī’’ti vatvā ekaṃ kāraṇaṃ āharitvā dassento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อสํวิหิตกมฺมนฺตํ , พาลํ ทุเมฺมธมนฺตินํ;

    ‘‘Asaṃvihitakammantaṃ , bālaṃ dummedhamantinaṃ;

    สิรี ชหติ ทุเมฺมธํ, ชิณฺณํว อุรโค ตจํ;

    Sirī jahati dummedhaṃ, jiṇṇaṃva urago tacaṃ;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ;

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi;

    ปโญฺญว เสโยฺย น ยสสฺสิ พาโล’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๙๙);

    Paññova seyyo na yasassi bālo’’ti. (jā. 1.15.99);

    ตตฺถ ‘‘สิรี ชหตี’’ติ ปทสฺส เจติยชาตเกน (ชา. ๑.๘.๔๕ อาทโย) อโตฺถ วเณฺณตโพฺพฯ

    Tattha ‘‘sirī jahatī’’ti padassa cetiyajātakena (jā. 1.8.45 ādayo) attho vaṇṇetabbo.

    อถ เสนโก รญฺญา ‘‘กีทิส’’นฺติ วุเตฺต ‘‘เทว, กิํ เอส ตรุณทารโก ชานาติ, สุณาถา’’ติ วตฺวา ‘‘ปณฺฑิตํ อปฺปฎิภานํ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Atha senako raññā ‘‘kīdisa’’nti vutte ‘‘deva, kiṃ esa taruṇadārako jānāti, suṇāthā’’ti vatvā ‘‘paṇḍitaṃ appaṭibhānaṃ karissāmī’’ti cintetvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ปญฺจ ปณฺฑิตา มยํ ภทฺทเนฺต, สเพฺพ ปญฺชลิกา อุปฎฺฐิตา;

    ‘‘Pañca paṇḍitā mayaṃ bhaddante, sabbe pañjalikā upaṭṭhitā;

    ตฺวํ โน อภิภุยฺย อิสฺสโรสิ, สโกฺกว ภูตปติ เทวราชา;

    Tvaṃ no abhibhuyya issarosi, sakkova bhūtapati devarājā;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ, ปโญฺญ นิหีโน สิรีมาว เสโยฺย’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๑๐๐);

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi, pañño nihīno sirīmāva seyyo’’ti. (jā. 1.15.100);

    อิทํ กิร สุตฺวา ราชา ‘‘สาธุรูปํ เสนเกน การณํ อาภตํ, สกฺขิสฺสติ นุ โข เม ปุโตฺต อิมสฺส วาทํ ภินฺทิตฺวา อญฺญํ การณํ อาหริตุ’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘กีทิสํ ปณฺฑิตา’’ติ อาหฯ เสนเกน กิร อิมสฺมิํ การเณ อาภเต ฐเปตฺวา โพธิสตฺตํ อโญฺญ ตํ วาทํ ภินฺทิตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, ตสฺมา มหาสโตฺต อตฺตโน ญาณพเลน ตสฺส วาทํ ภินฺทโนฺต ‘‘มหาราช, กิเมส พาโล ชานาติ, ยสเมว โอโลเกติ, ปญฺญาย วิเสสํ น ชานาติ, สุณาถา’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Idaṃ kira sutvā rājā ‘‘sādhurūpaṃ senakena kāraṇaṃ ābhataṃ, sakkhissati nu kho me putto imassa vādaṃ bhinditvā aññaṃ kāraṇaṃ āharitu’’nti cintetvā ‘‘kīdisaṃ paṇḍitā’’ti āha. Senakena kira imasmiṃ kāraṇe ābhate ṭhapetvā bodhisattaṃ añño taṃ vādaṃ bhindituṃ samattho nāma natthi, tasmā mahāsatto attano ñāṇabalena tassa vādaṃ bhindanto ‘‘mahārāja, kimesa bālo jānāti, yasameva oloketi, paññāya visesaṃ na jānāti, suṇāthā’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ทาโสว ปญฺญสฺส ยสสฺสิ พาโล, อเตฺถสุ ชาเตสุ ตถาวิเธสุ;

    ‘‘Dāsova paññassa yasassi bālo, atthesu jātesu tathāvidhesu;

    ยํ ปณฺฑิโต นิปุณํ สํวิเธติ, สโมฺมหมาปชฺชติ ตตฺถ พาโล;

    Yaṃ paṇḍito nipuṇaṃ saṃvidheti, sammohamāpajjati tattha bālo;

    เอตมฺปิ ทิสฺวาน อหํ วทามิ, ปโญฺญว เสโยฺย น ยสสฺสิ พาโล’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๑๐๑);

    Etampi disvāna ahaṃ vadāmi, paññova seyyo na yasassi bālo’’ti. (jā. 1.15.101);

    ตตฺถ อเตฺถสูติ กิเจฺจสุ ชาเตสุฯ สํวิเธตีติ สํวิทหติฯ

    Tattha atthesūti kiccesu jātesu. Saṃvidhetīti saṃvidahati.

    อิติ มหาสโตฺต สิเนรุปาทโต สุวณฺณวาลุกํ อุทฺธรโนฺต วิย คคนตเล ปุณฺณจนฺทํ อุฎฺฐาเปโนฺต วิย จ นยการณํ ทเสฺสสิฯ เอวํ มหาสเตฺตน ปญฺญานุภาวํ ทเสฺสตฺวา กถิเต ราชา เสนกํ อาห – ‘‘กีทิสํ, เสนก, สโกฺกโนฺต อุตฺตริปิ กเถหี’’ติฯ โส โกเฎฺฐ ฐปิตธญฺญํ วิย อุคฺคหิตกํ เขเปตฺวา อปฺปฎิภาโน มงฺกุภูโต ปชฺฌายโนฺต นิสีทิฯ สเจ หิ โส อญฺญํ การณํ อาหเรยฺย, น คาถาสหเสฺสนปิ อิมํ ชาตกํ นิฎฺฐาเยถฯ ตสฺส ปน อปฺปฎิภานสฺส ฐิตกาเล คมฺภีรํ โอฆํ อาเนโนฺต วิย มหาสโตฺต อุตฺตริปิ ปญฺญเมว วเณฺณโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Iti mahāsatto sinerupādato suvaṇṇavālukaṃ uddharanto viya gaganatale puṇṇacandaṃ uṭṭhāpento viya ca nayakāraṇaṃ dassesi. Evaṃ mahāsattena paññānubhāvaṃ dassetvā kathite rājā senakaṃ āha – ‘‘kīdisaṃ, senaka, sakkonto uttaripi kathehī’’ti. So koṭṭhe ṭhapitadhaññaṃ viya uggahitakaṃ khepetvā appaṭibhāno maṅkubhūto pajjhāyanto nisīdi. Sace hi so aññaṃ kāraṇaṃ āhareyya, na gāthāsahassenapi imaṃ jātakaṃ niṭṭhāyetha. Tassa pana appaṭibhānassa ṭhitakāle gambhīraṃ oghaṃ ānento viya mahāsatto uttaripi paññameva vaṇṇento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อทฺธา หิ ปญฺญาว สตํ ปสตฺถา, กนฺตา สิรี โภครตา มนุสฺสา;

    ‘‘Addhā hi paññāva sataṃ pasatthā, kantā sirī bhogaratā manussā;

    ญาณญฺจ พุทฺธานมตุลฺยรูปํ, ปญฺญํ น อเจฺจติ สิรี กทาจี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๑๐๒);

    Ñāṇañca buddhānamatulyarūpaṃ, paññaṃ na acceti sirī kadācī’’ti. (jā. 1.15.102);

    ตตฺถ สตนฺติ พุทฺธาทีนํ สปฺปุริสานํฯ โภครตาติ มหาราช, ยสฺมา อนฺธพาลมนุสฺสา โภครตาว, ตสฺมา เตสํ สิรี กนฺตาฯ ยโส นาเมส ปณฺฑิเตหิ ครหิโต พาลานํ กโนฺตติ จายํ อโตฺถ ภิสชาตเกน (ชา. ๑.๑๔.๗๘ อาทโย) วเณฺณตโพฺพฯ พุทฺธานนฺติ สพฺพญฺญุพุทฺธานญฺจ ญาณํฯ กทาจีติ กิสฺมิญฺจิ กาเล ญาณวนฺตํ สิรี นาม นาติกฺกมติ, เทวาติฯ

    Tattha satanti buddhādīnaṃ sappurisānaṃ. Bhogaratāti mahārāja, yasmā andhabālamanussā bhogaratāva, tasmā tesaṃ sirī kantā. Yaso nāmesa paṇḍitehi garahito bālānaṃ kantoti cāyaṃ attho bhisajātakena (jā. 1.14.78 ādayo) vaṇṇetabbo. Buddhānanti sabbaññubuddhānañca ñāṇaṃ. Kadācīti kismiñci kāle ñāṇavantaṃ sirī nāma nātikkamati, devāti.

    ตํ สุตฺวา ราชา มหาสตฺตสฺส ปญฺหพฺยากรเณน ตุโฎฺฐ ฆนวสฺสํ วเสฺสโนฺต วิย มหาสตฺตํ ธเนน ปูเชโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā mahāsattassa pañhabyākaraṇena tuṭṭho ghanavassaṃ vassento viya mahāsattaṃ dhanena pūjento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ยํ ตํ อปุจฺฉิมฺห อกิตฺตยี โน, มโหสธ เกวลธมฺมทสฺสี;

    ‘‘Yaṃ taṃ apucchimha akittayī no, mahosadha kevaladhammadassī;

    ควํ สหสฺสํ อุสภญฺจ นาคํ, อาชญฺญยุเตฺต จ รเถ ทส อิเม;

    Gavaṃ sahassaṃ usabhañca nāgaṃ, ājaññayutte ca rathe dasa ime;

    ปญฺหสฺส เวยฺยากรเณน ตุโฎฺฐ, ททามิ เต คามวรานิ โสฬสา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๑๐๓);

    Pañhassa veyyākaraṇena tuṭṭho, dadāmi te gāmavarāni soḷasā’’ti. (jā. 1.15.103);

    ตตฺถ อุสภญฺจ นาคนฺติ ตสฺส ควํ สหสฺสสฺส อุสภํ กตฺวา อลงฺกตปฎิยตฺตํ อาโรหนียํ นาคํ ทมฺมีติฯ

    Tattha usabhañca nāganti tassa gavaṃ sahassassa usabhaṃ katvā alaṅkatapaṭiyattaṃ ārohanīyaṃ nāgaṃ dammīti.

    วีสตินิปาเต สิริมนฺตปโญฺห นิฎฺฐิโตฯ

    Vīsatinipāte sirimantapañho niṭṭhito.

    ฉนฺนปถปโญฺห

    Channapathapañho

    ตโต ปฎฺฐาย โพธิสตฺตสฺส ยโส มหา อโหสิฯ ตํ สพฺพํ อุทุมฺพรเทวีเยว วิจาเรสิฯ สา ตสฺส โสฬสวสฺสิกกาเล จิเนฺตสิ ‘‘มม กนิโฎฺฐ มหลฺลโก ชาโต, ยโสปิสฺส มหา อโหสิ, อาวาหมสฺส กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ สา รโญฺญ ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ ราชา ‘‘สาธุ ชานาเปหิ น’’นฺติ อาหฯ สา ตํ ชานาเปตฺวา เตน สมฺปฎิจฺฉิเต ‘‘เตน หิ, ตาต, เต กุมาริกํ อาเนมี’’ติ อาหฯ อถ มหาสโตฺต ‘‘กทาจิ อิเมหิ อานีตา มม น รุเจฺจยฺย, สยเมว ตาว อุปธาเรมี’’ติ จิเนฺตตฺวา เอวมาห – ‘‘เทวิ, กติปาหํ มา กิญฺจิ รโญฺญ วเทถ, อหํ เอกํ กุมาริกํ สยํ ปริเยสิตฺวา มม จิตฺตรุจิตํ ตุมฺหากํ อาจิกฺขิสฺสามี’’ติฯ ‘‘เอวํ กโรหิ, ตาตา’’ติฯ โส เทวิํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน ฆรํ คนฺตฺวา สหายกานํ สญฺญํ ทตฺวา อญฺญาตกเวเสน ตุนฺนวายอุปกรณานิ คเหตฺวา เอกโกว อุตฺตรทฺวาเรน นิกฺขมิตฺวา อุตฺตรยวมชฺฌกํ ปายาสิฯ ตทา ปน ตตฺถ เอกํ โปราณเสฎฺฐิกุลํ ปริกฺขีณํ อโหสิฯ ตสฺส กุลสฺส ธีตา อมราเทวี นาม อภิรูปา ทสฺสนียา ปาสาทิกา สพฺพลกฺขณสมฺปนฺนา ปุญฺญวตีฯ สา ตํ ทิวสํ ปาโตว ยาคุํ ปจิตฺวา อาทาย ‘‘ปิตุ กสนฎฺฐานํ คมิสฺสามี’’ติ นิกฺขมิตฺวา ตเมว มคฺคํ ปฎิปชฺชิฯ มหาสโตฺต ตํ อาคจฺฉนฺติํ ทิสฺวา ‘‘สพฺพลกฺขณสมฺปนฺนายํ อิตฺถี, สเจ อปริคฺคหา, อิมาย เม ปาทปริจาริกาย ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตสิฯ

    Tato paṭṭhāya bodhisattassa yaso mahā ahosi. Taṃ sabbaṃ udumbaradevīyeva vicāresi. Sā tassa soḷasavassikakāle cintesi ‘‘mama kaniṭṭho mahallako jāto, yasopissa mahā ahosi, āvāhamassa kātuṃ vaṭṭatī’’ti. Sā rañño tamatthaṃ ārocesi. Rājā ‘‘sādhu jānāpehi na’’nti āha. Sā taṃ jānāpetvā tena sampaṭicchite ‘‘tena hi, tāta, te kumārikaṃ ānemī’’ti āha. Atha mahāsatto ‘‘kadāci imehi ānītā mama na rucceyya, sayameva tāva upadhāremī’’ti cintetvā evamāha – ‘‘devi, katipāhaṃ mā kiñci rañño vadetha, ahaṃ ekaṃ kumārikaṃ sayaṃ pariyesitvā mama cittarucitaṃ tumhākaṃ ācikkhissāmī’’ti. ‘‘Evaṃ karohi, tātā’’ti. So deviṃ vanditvā attano gharaṃ gantvā sahāyakānaṃ saññaṃ datvā aññātakavesena tunnavāyaupakaraṇāni gahetvā ekakova uttaradvārena nikkhamitvā uttarayavamajjhakaṃ pāyāsi. Tadā pana tattha ekaṃ porāṇaseṭṭhikulaṃ parikkhīṇaṃ ahosi. Tassa kulassa dhītā amarādevī nāma abhirūpā dassanīyā pāsādikā sabbalakkhaṇasampannā puññavatī. Sā taṃ divasaṃ pātova yāguṃ pacitvā ādāya ‘‘pitu kasanaṭṭhānaṃ gamissāmī’’ti nikkhamitvā tameva maggaṃ paṭipajji. Mahāsatto taṃ āgacchantiṃ disvā ‘‘sabbalakkhaṇasampannāyaṃ itthī, sace apariggahā, imāya me pādaparicārikāya bhavituṃ vaṭṭatī’’ti cintesi.

    สาปิ ตํ ทิสฺวาว ‘‘สเจ เอวรูปสฺส ปุริสสฺส เคเห ภเวยฺยํ, สกฺกา มยา กุฎุมฺพํ สณฺฐาเปตุ’’นฺติ จิเนฺตสิฯ

    Sāpi taṃ disvāva ‘‘sace evarūpassa purisassa gehe bhaveyyaṃ, sakkā mayā kuṭumbaṃ saṇṭhāpetu’’nti cintesi.

    อถ มหาสโตฺต – ‘‘อิมิสฺสา สปริคฺคหาปริคฺคหภาวํ น ชานามิ, หตฺถมุฎฺฐิยา นํ ปุจฺฉิสฺสามิ, สเจ เอสา ปณฺฑิตา ภวิสฺสติ, ชานิสฺสติฯ โน เจ, น ชานิสฺสติ, อิเธว นํ ฉเฑฺฑตฺวา คจฺฉามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ทูเร ฐิโตว หตฺถมุฎฺฐิมกาสิฯ สาปิ ‘‘อยํ มม สสามิกาสามิกภาวํ ปุจฺฉตี’’ติ ญตฺวา หตฺถํ ปสาเรสิฯ โส อปริคฺคหภาวํ ญตฺวา สมีปํ คนฺตฺวา ‘‘ภเทฺท, กา นาม ตฺว’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘สามิ, อหํ อตีเต วา อนาคเต วา เอตรหิ วา ยํ นตฺถิ, ตนฺนามิกา’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, โลเก อมรา นาม นตฺถิ, ตฺวํ อมรา นาม ภวิสฺสสี’’ติฯ ‘‘เอวํ, สามี’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, กสฺส ยาคุํ หริสฺสสี’’ติ? ‘‘ปุพฺพเทวตาย, สามี’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, ปุพฺพเทวตา นาม มาตาปิตโร, ตว ปิตุ ยาคุํ หริสฺสสิ มเญฺญ’’ติฯ ‘‘เอวํ, สามี’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, ตว ปิตา กิํ กโรตี’’ติ? ‘‘สามิ, เอกํ ทฺวิธา กโรตี’’ติฯ ‘‘เอกสฺส ทฺวิธากรณํ นาม กสนํ, ตว ปิตา กสตี’’ติ ฯ ‘‘เอวํ, สามี’’ติฯ ‘‘กตรสฺมิํ ปน ฐาเน เต ปิตา กสตี’’ติ? ‘‘ยตฺถ สกิํ คตา น เอนฺติ, ตสฺมิํ ฐาเน, สามี’’ติฯ ‘‘สกิํ คตานํ น ปจฺจาคมนฎฺฐานํ นาม สุสานํ, สุสานสนฺติเก กสติ, ภเทฺท’’ติฯ ‘‘เอวํ, สามี’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, อเชฺชว เอสฺสสี’’ติฯ ‘‘สเจ เอสฺสติ, น เอสฺสา’’มิฯ ‘‘โน เจ เอสฺสติ, เอสฺสามิ, สามี’’ติฯ ‘‘ภเทฺท, ปิตา เต มเญฺญ นทีปาเร กสติ, อุทเก เอเนฺต น เอสฺสสิ, อเนเนฺต เอสฺสสี’’ติฯ ‘‘เอวํ, สามี’’ติฯ เอตฺตกํ นาม มหาสโตฺต อาลาปสลฺลาปํ กโรติฯ

    Atha mahāsatto – ‘‘imissā sapariggahāpariggahabhāvaṃ na jānāmi, hatthamuṭṭhiyā naṃ pucchissāmi, sace esā paṇḍitā bhavissati, jānissati. No ce, na jānissati, idheva naṃ chaḍḍetvā gacchāmī’’ti cintetvā dūre ṭhitova hatthamuṭṭhimakāsi. Sāpi ‘‘ayaṃ mama sasāmikāsāmikabhāvaṃ pucchatī’’ti ñatvā hatthaṃ pasāresi. So apariggahabhāvaṃ ñatvā samīpaṃ gantvā ‘‘bhadde, kā nāma tva’’nti pucchi. ‘‘Sāmi, ahaṃ atīte vā anāgate vā etarahi vā yaṃ natthi, tannāmikā’’ti. ‘‘Bhadde, loke amarā nāma natthi, tvaṃ amarā nāma bhavissasī’’ti. ‘‘Evaṃ, sāmī’’ti. ‘‘Bhadde, kassa yāguṃ harissasī’’ti? ‘‘Pubbadevatāya, sāmī’’ti. ‘‘Bhadde, pubbadevatā nāma mātāpitaro, tava pitu yāguṃ harissasi maññe’’ti. ‘‘Evaṃ, sāmī’’ti. ‘‘Bhadde, tava pitā kiṃ karotī’’ti? ‘‘Sāmi, ekaṃ dvidhā karotī’’ti. ‘‘Ekassa dvidhākaraṇaṃ nāma kasanaṃ, tava pitā kasatī’’ti . ‘‘Evaṃ, sāmī’’ti. ‘‘Katarasmiṃ pana ṭhāne te pitā kasatī’’ti? ‘‘Yattha sakiṃ gatā na enti, tasmiṃ ṭhāne, sāmī’’ti. ‘‘Sakiṃ gatānaṃ na paccāgamanaṭṭhānaṃ nāma susānaṃ, susānasantike kasati, bhadde’’ti. ‘‘Evaṃ, sāmī’’ti. ‘‘Bhadde, ajjeva essasī’’ti. ‘‘Sace essati, na essā’’mi. ‘‘No ce essati, essāmi, sāmī’’ti. ‘‘Bhadde, pitā te maññe nadīpāre kasati, udake ente na essasi, anente essasī’’ti. ‘‘Evaṃ, sāmī’’ti. Ettakaṃ nāma mahāsatto ālāpasallāpaṃ karoti.

    อถ นํ อมราเทวี ‘‘ยาคุํ ปิวิสฺสสิ, สามี’’ติ นิมเนฺตสิฯ มหาสโตฺต ‘‘ปฐมเมว ปฎิกฺขิปนํ นาม อวมงฺคล’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ‘‘อาม, ปิวิสฺสามี’’ติ อาหฯ สา ปน ยาคุฆฎํ โอตาเรสิฯ มหาสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘สเจ ปาติํ อโธวิตฺวา หตฺถโธวนํ อทตฺวา ทสฺสติ, เอเตฺถว นํ ปหาย คมิสฺสามี’’ติฯ สา ปน ปาติํ โธวิตฺวา ปาติยา อุทกํ อาหริตฺวา หตฺถโธวนํ ทตฺวา ตุจฺฉปาติํ หเตฺถ อฎฺฐเปตฺวา ภูมิยํ ฐเปตฺวา ฆฎํ อาลุเฬตฺวา ยาคุยา ปูเรสิ, ตตฺถ ปน สิตฺถานิ มหนฺตานิฯ อถ นํ มหาสโตฺต อาห ‘‘กิํ, ภเทฺท, อติพหลา ยาคู’’ติฯ ‘‘อุทกํ น ลทฺธํ, สามี’’ติ ฯ ‘‘เกทาเร อุทกํ น ลทฺธํ ภวิสฺสติ มเญฺญ’’ติฯ ‘‘เอวํ, สามี’’ติฯ สา ปิตุ ยาคุํ ฐเปตฺวา โพธิสตฺตสฺส อทาสิฯ โส ยาคุํ ปิวิตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา ‘‘ภเทฺท, ตุยฺหํ มาตุ เคหํ คมิสฺสามิ, มคฺคํ เม อาจิกฺขา’’ติ อาหฯ สา ‘‘สาธู’’ติ วตฺวา มคฺคํ อาจิกฺขนฺตี เอกกนิปาเต อิมํ คาถมาห –

    Atha naṃ amarādevī ‘‘yāguṃ pivissasi, sāmī’’ti nimantesi. Mahāsatto ‘‘paṭhamameva paṭikkhipanaṃ nāma avamaṅgala’’nti cintetvā ‘‘āma, pivissāmī’’ti āha. Sā pana yāgughaṭaṃ otāresi. Mahāsatto cintesi ‘‘sace pātiṃ adhovitvā hatthadhovanaṃ adatvā dassati, ettheva naṃ pahāya gamissāmī’’ti. Sā pana pātiṃ dhovitvā pātiyā udakaṃ āharitvā hatthadhovanaṃ datvā tucchapātiṃ hatthe aṭṭhapetvā bhūmiyaṃ ṭhapetvā ghaṭaṃ āluḷetvā yāguyā pūresi, tattha pana sitthāni mahantāni. Atha naṃ mahāsatto āha ‘‘kiṃ, bhadde, atibahalā yāgū’’ti. ‘‘Udakaṃ na laddhaṃ, sāmī’’ti . ‘‘Kedāre udakaṃ na laddhaṃ bhavissati maññe’’ti. ‘‘Evaṃ, sāmī’’ti. Sā pitu yāguṃ ṭhapetvā bodhisattassa adāsi. So yāguṃ pivitvā mukhaṃ vikkhāletvā ‘‘bhadde, tuyhaṃ mātu gehaṃ gamissāmi, maggaṃ me ācikkhā’’ti āha. Sā ‘‘sādhū’’ti vatvā maggaṃ ācikkhantī ekakanipāte imaṃ gāthamāha –

    ‘‘เยน สตฺตุพิลงฺคา จ, ทิคุณปลาโส จ ปุปฺผิโต;

    ‘‘Yena sattubilaṅgā ca, diguṇapalāso ca pupphito;

    เยน ททามิ เตน วทามิ, เยน น ททามิ น เตน วทามิ;

    Yena dadāmi tena vadāmi, yena na dadāmi na tena vadāmi;

    เอส มโคฺค ยวมชฺฌกสฺส, เอตํ อนฺนปถํ วิชานาหี’’ติฯ (ชา. ๑.๑.๑๑๒);

    Esa maggo yavamajjhakassa, etaṃ annapathaṃ vijānāhī’’ti. (jā. 1.1.112);

    ตสฺสโตฺถ – ‘‘สามิ, อโนฺตคามํ ปวิสิตฺวา เอกํ สตฺตุอาปณํ ปสฺสิสฺสสิ, ตโต กญฺชิกาปณํ, เตสํ ปุรโต ทิคุณปโณฺณ โกวิฬาโร สุปุปฺผิโต, ตสฺมา ตฺวํ เยน สตฺตุพิลงฺคา จ โกวิฬาโร จ ปุปฺผิโต, เตน คนฺตฺวา โกวิฬารมูเล ฐตฺวา ทกฺขิณํ คณฺห วามํ มุญฺจ, เอส มโคฺค ยวมชฺฌกสฺส ยวมชฺฌกคาเม ฐิตสฺส อมฺหากํ เคหสฺส, เอตํ เอวํ ปฎิจฺฉาเทตฺวา มยา วุตฺตํ ฉนฺนปถํ ปฎิจฺฉนฺนปถํ ฉนฺนปถํ วา ปฎิจฺฉนฺนการณํ วิชานาหี’’ติฯ เอตฺถ หิ เยน ททามีติ เยน หเตฺถน ททามิ, อิทํ ทกฺขิณหตฺถํ สนฺธาย วุตฺตํ, อิตรํ วามหตฺถํฯ เอวํ สา ตสฺส มคฺคํ อาจิกฺขิตฺวา ปิตุ ยาคุํ คเหตฺวา อคมาสิฯ

    Tassattho – ‘‘sāmi, antogāmaṃ pavisitvā ekaṃ sattuāpaṇaṃ passissasi, tato kañjikāpaṇaṃ, tesaṃ purato diguṇapaṇṇo koviḷāro supupphito, tasmā tvaṃ yena sattubilaṅgā ca koviḷāro ca pupphito, tena gantvā koviḷāramūle ṭhatvā dakkhiṇaṃ gaṇha vāmaṃ muñca, esa maggo yavamajjhakassa yavamajjhakagāme ṭhitassa amhākaṃ gehassa, etaṃ evaṃ paṭicchādetvā mayā vuttaṃ channapathaṃ paṭicchannapathaṃ channapathaṃ vā paṭicchannakāraṇaṃ vijānāhī’’ti. Ettha hi yena dadāmīti yena hatthena dadāmi, idaṃ dakkhiṇahatthaṃ sandhāya vuttaṃ, itaraṃ vāmahatthaṃ. Evaṃ sā tassa maggaṃ ācikkhitvā pitu yāguṃ gahetvā agamāsi.

    ฉนฺนปถปโญฺห นิฎฺฐิโตฯ

    Channapathapañho niṭṭhito.

    อมราเทวิปริเยสนา

    Amarādevipariyesanā

    โสปิ ตาย กถิตมเคฺคเนว ตํ เคหํ คโตฯ อถ นํ อมราเทวิยา มาตา ทิสฺวา อาสนํ ทตฺวา ‘‘ยาคุํ ปิวิสฺสสิ, สามี’’ติ อาหฯ ‘‘อมฺม, กนิฎฺฐภคินิยา เม อมราเทวิยา โถกา ยาคุ เม ทินฺนา’’ติฯ ตํ สุตฺวา สา ‘‘ธีตุ เม อตฺถาย อาคโต ภวิสฺสตี’’ติ อญฺญาสิฯ มหาสโตฺต เตสํ ทุคฺคตภาวํ ชานโนฺตปิ ‘‘อมฺม, อหํ ตุนฺนวาโย, กิญฺจิ สิพฺพิตพฺพยุตฺตกํ อตฺถี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อตฺถิ, สามิ, มูลํ ปน นตฺถี’’ติ? ‘‘อมฺม มูเลน กมฺมํ นตฺถิ, อาเนหิ, สิพฺพิสฺสามิ น’’นฺติฯ สา ชิณฺณสาฎกานิ อาหริตฺวา อทาสิฯ โพธิสโตฺต อาหฎาหฎํ นิฎฺฐาเปสิเยวฯ ปุญฺญวโต หิ กิริยา นาม สมิชฺฌติเยวฯ อถ นํ อาห ‘‘อมฺม, วีถิภาเคน อาโรเจยฺยาสี’’ติฯ สา สกลคามํ อาโรเจสิฯ มหาสโตฺต ตุนฺนวายกมฺมํ กตฺวา เอกาเหเนว สหสฺสํ กหาปณํ อุปฺปาเทสิฯ มหลฺลิกาปิสฺส ปาตราสภตฺตํ ปจิตฺวา ทตฺวา ‘‘ตาต, สายมาสํ กิตฺตกํ ปจามี’’ติ อาหฯ ‘‘อมฺม, ยตฺตกา อิมสฺมิํ เคเห ภุญฺชนฺติ, เตสํ ปมาเณนา’’ติฯ สา อเนกสูปพฺยญฺชนํ พหุภตฺตํ ปจิฯ อมราเทวีปิ สายํ สีเสน ทารุกลาปํ, อุจฺฉเงฺคน ปณฺณํ อาทาย อรญฺญโต อาคนฺตฺวา ปุรเคหทฺวาเร ทารุกลาปํ นิกฺขิปิตฺวา ปจฺฉิมทฺวาเรน เคหํ ปาวิสิฯ ปิตาปิสฺสา สายตรํ อาคมาสิฯ มหาสโตฺต นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิฯ อิตรา มาตาปิตโร โภเชตฺวา ปจฺฉา สยํ ภุญฺชิตฺวา มาตาปิตูนํ ปาเท โธวิตฺวา มหาสตฺตสฺส ปาเท โธวิฯ

    Sopi tāya kathitamaggeneva taṃ gehaṃ gato. Atha naṃ amarādeviyā mātā disvā āsanaṃ datvā ‘‘yāguṃ pivissasi, sāmī’’ti āha. ‘‘Amma, kaniṭṭhabhaginiyā me amarādeviyā thokā yāgu me dinnā’’ti. Taṃ sutvā sā ‘‘dhītu me atthāya āgato bhavissatī’’ti aññāsi. Mahāsatto tesaṃ duggatabhāvaṃ jānantopi ‘‘amma, ahaṃ tunnavāyo, kiñci sibbitabbayuttakaṃ atthī’’ti pucchi. ‘‘Atthi, sāmi, mūlaṃ pana natthī’’ti? ‘‘Amma mūlena kammaṃ natthi, ānehi, sibbissāmi na’’nti. Sā jiṇṇasāṭakāni āharitvā adāsi. Bodhisatto āhaṭāhaṭaṃ niṭṭhāpesiyeva. Puññavato hi kiriyā nāma samijjhatiyeva. Atha naṃ āha ‘‘amma, vīthibhāgena āroceyyāsī’’ti. Sā sakalagāmaṃ ārocesi. Mahāsatto tunnavāyakammaṃ katvā ekāheneva sahassaṃ kahāpaṇaṃ uppādesi. Mahallikāpissa pātarāsabhattaṃ pacitvā datvā ‘‘tāta, sāyamāsaṃ kittakaṃ pacāmī’’ti āha. ‘‘Amma, yattakā imasmiṃ gehe bhuñjanti, tesaṃ pamāṇenā’’ti. Sā anekasūpabyañjanaṃ bahubhattaṃ paci. Amarādevīpi sāyaṃ sīsena dārukalāpaṃ, ucchaṅgena paṇṇaṃ ādāya araññato āgantvā puragehadvāre dārukalāpaṃ nikkhipitvā pacchimadvārena gehaṃ pāvisi. Pitāpissā sāyataraṃ āgamāsi. Mahāsatto nānaggarasabhojanaṃ bhuñji. Itarā mātāpitaro bhojetvā pacchā sayaṃ bhuñjitvā mātāpitūnaṃ pāde dhovitvā mahāsattassa pāde dhovi.

    โส ตํ ปริคฺคณฺหโนฺต กติปาหํ ตเตฺถว วสิฯ อถ นํ วีมํสโนฺต เอกทิวสํ อาห – ‘‘ภเทฺท, อฑฺฒนาฬิกตณฺฑุเล คเหตฺวา ตโต มยฺหํ ยาคุญฺจ ปูวญฺจ ภตฺตญฺจ ปจาหี’’ติฯ สา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ตณฺฑุเล โกเฎฺฎตฺวา มูลตณฺฑุเลหิ ภตฺตํ, มชฺฌิมตณฺฑุเลหิ ยาคุํ, กณกาหิ ปูวํ ปจิตฺวา ตทนุรูปํ สูปพฺยญฺชนํ สมฺปาเทตฺวา มหาสตฺตสฺส สพฺยญฺชนํ ยาคุํ อทาสิฯ สา ยาคุ มุเข ฐปิตมตฺตาว สตฺต รสหรณิสหสฺสานิ ผริตฺวา อฎฺฐาสิฯ โส ตสฺสา วีมํสนตฺถเมว ‘‘ภเทฺท, ยาคุํ ปจิตุํ อชานนฺตี กิมตฺถํ มม ตณฺฑุเล นาเสสี’’ติ กุโทฺธ วิย สห เขเฬน นิฎฺฐุภิตฺวา ภูมิยํ ปาเตสิฯ สา ตสฺส อกุชฺฌิตฺวาว ‘‘สามิ, สเจ ยาคุ น สุนฺทรา, ปูวํ ขาทา’’ติ ปูวํ อทาสิฯ ตมฺปิ ตเถว อกาสิฯ ‘‘สเจ, สามิ, ปูวํ น สุนฺทรํ, ภตฺตํ ภุญฺชา’’ติ ภตฺตํ อทาสิฯ ภตฺตมฺปิ ตเถว กตฺวา ‘‘ภเทฺท, ตฺวํ ปจิตุํ อชานนฺตี มม สนฺตกํ กิมตฺถํ นาเสสี’’ติ กุโทฺธ วิย ตีณิปิ เอกโต มทฺทิตฺวา สีสโต ปฎฺฐาย สกลสรีรํ ลิมฺปิตฺวา ‘‘คจฺฉ, ทฺวาเร นิสีทาหี’’ติ อาหฯ สา อกุชฺฌิตฺวาว ‘‘สาธุ, สามี’’ติ คนฺตฺวา ตถา อกาสิฯ โส ตสฺสา นิหตมานภาวํ ญตฺวา ‘‘ภเทฺท, เอหี’’ติ อาหฯ สา อกุชฺฌิตฺวา เอกวจเนเนว อาคตาฯ มหาสโตฺต ปน อาคจฺฉโนฺต กหาปณสหเสฺสน สทฺธิํ เอกสาฎกยุคํ ตมฺพูลปสิพฺพเก ฐเปตฺวา อาคโตฯ อถ โส ตํ สาฎกํ นีหริตฺวา ตสฺสา หเตฺถ ฐเปตฺวา ‘‘ภเทฺท, ตว สหายิกาหิ สทฺธิํ นฺหายิตฺวา อิมํ สาฎกํ นิวาเสตฺวา เอหี’’ติ อาหฯ สา ตถา อกาสิฯ

    So taṃ pariggaṇhanto katipāhaṃ tattheva vasi. Atha naṃ vīmaṃsanto ekadivasaṃ āha – ‘‘bhadde, aḍḍhanāḷikataṇḍule gahetvā tato mayhaṃ yāguñca pūvañca bhattañca pacāhī’’ti. Sā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā taṇḍule koṭṭetvā mūlataṇḍulehi bhattaṃ, majjhimataṇḍulehi yāguṃ, kaṇakāhi pūvaṃ pacitvā tadanurūpaṃ sūpabyañjanaṃ sampādetvā mahāsattassa sabyañjanaṃ yāguṃ adāsi. Sā yāgu mukhe ṭhapitamattāva satta rasaharaṇisahassāni pharitvā aṭṭhāsi. So tassā vīmaṃsanatthameva ‘‘bhadde, yāguṃ pacituṃ ajānantī kimatthaṃ mama taṇḍule nāsesī’’ti kuddho viya saha kheḷena niṭṭhubhitvā bhūmiyaṃ pātesi. Sā tassa akujjhitvāva ‘‘sāmi, sace yāgu na sundarā, pūvaṃ khādā’’ti pūvaṃ adāsi. Tampi tatheva akāsi. ‘‘Sace, sāmi, pūvaṃ na sundaraṃ, bhattaṃ bhuñjā’’ti bhattaṃ adāsi. Bhattampi tatheva katvā ‘‘bhadde, tvaṃ pacituṃ ajānantī mama santakaṃ kimatthaṃ nāsesī’’ti kuddho viya tīṇipi ekato madditvā sīsato paṭṭhāya sakalasarīraṃ limpitvā ‘‘gaccha, dvāre nisīdāhī’’ti āha. Sā akujjhitvāva ‘‘sādhu, sāmī’’ti gantvā tathā akāsi. So tassā nihatamānabhāvaṃ ñatvā ‘‘bhadde, ehī’’ti āha. Sā akujjhitvā ekavacaneneva āgatā. Mahāsatto pana āgacchanto kahāpaṇasahassena saddhiṃ ekasāṭakayugaṃ tambūlapasibbake ṭhapetvā āgato. Atha so taṃ sāṭakaṃ nīharitvā tassā hatthe ṭhapetvā ‘‘bhadde, tava sahāyikāhi saddhiṃ nhāyitvā imaṃ sāṭakaṃ nivāsetvā ehī’’ti āha. Sā tathā akāsi.

    ปณฺฑิโต อุปฺปาทิตธนญฺจ, อาภตธนญฺจ สพฺพํ ตสฺสา มาตาปิตูนํ ทตฺวา สมสฺสาเสตฺวา สสุเร อาปุจฺฉิตฺวา ตํ อาทาย นคราภิมุโข อคมาสิฯ อนฺตรามเคฺค ตสฺสา วีมํสนตฺถาย ฉตฺตญฺจ อุปาหนญฺจ ทตฺวา เอวมาห – ‘‘ภเทฺท, อิมํ ฉตฺตํ คเหตฺวา อตฺตานํ ธาเรหิ, อุปาหนํ อภิรุหิตฺวา ยาหี’’ติฯ สา ตํ คเหตฺวา ตถา อกตฺวา อโพฺภกาเส สูริยสนฺตาเป ฉตฺตํ อธาเรตฺวา วนเนฺต ธาเรตฺวา คจฺฉติ, ถลฎฺฐาเน อุปาหนํ ปฎิมุญฺจิตฺวา อุทกฎฺฐานํ สมฺปตฺตกาเล อภิรุหิตฺวา คจฺฉติฯ โพธิสโตฺต ตํ การณํ ทิสฺวา ปุจฺฉิ ‘‘กิํ, ภเทฺท, ถลฎฺฐาเน อุปาหนํ ปฎิมุญฺจิตฺวา อุทกฎฺฐาเน อภิรุหิตฺวา คจฺฉสิ, สูริยสนฺตาเป ฉตฺตํ อธาเรตฺวา วนเนฺต ธาเรตฺวา’’ติ? สา อาห – ‘‘สามิ, ถลฎฺฐาเน กณฺฎกาทีนิ ปสฺสามิ, อุทกฎฺฐาเน มจฺฉกจฺฉปกณฺฎกาทีนิ น ปสฺสามิ, เตสุ ปาเท ปวิเฎฺฐสุ ทุกฺขเวทนา ภเวยฺย, อโพฺภกาเส สุกฺขรุกฺขกณฺฎกาทีนิ นตฺถิ, วนนฺตรํ ปวิฎฺฐานํ ปน สุกฺขรุกฺขทณฺฑาทิเกสุ มตฺถเก ปติเตสุ ทุกฺขเวทนา ภเวยฺย, ตสฺมา ตานิ ปฎิฆาตนตฺถาย เอวํ กโรมี’’ติฯ

    Paṇḍito uppāditadhanañca, ābhatadhanañca sabbaṃ tassā mātāpitūnaṃ datvā samassāsetvā sasure āpucchitvā taṃ ādāya nagarābhimukho agamāsi. Antarāmagge tassā vīmaṃsanatthāya chattañca upāhanañca datvā evamāha – ‘‘bhadde, imaṃ chattaṃ gahetvā attānaṃ dhārehi, upāhanaṃ abhiruhitvā yāhī’’ti. Sā taṃ gahetvā tathā akatvā abbhokāse sūriyasantāpe chattaṃ adhāretvā vanante dhāretvā gacchati, thalaṭṭhāne upāhanaṃ paṭimuñcitvā udakaṭṭhānaṃ sampattakāle abhiruhitvā gacchati. Bodhisatto taṃ kāraṇaṃ disvā pucchi ‘‘kiṃ, bhadde, thalaṭṭhāne upāhanaṃ paṭimuñcitvā udakaṭṭhāne abhiruhitvā gacchasi, sūriyasantāpe chattaṃ adhāretvā vanante dhāretvā’’ti? Sā āha – ‘‘sāmi, thalaṭṭhāne kaṇṭakādīni passāmi, udakaṭṭhāne macchakacchapakaṇṭakādīni na passāmi, tesu pāde paviṭṭhesu dukkhavedanā bhaveyya, abbhokāse sukkharukkhakaṇṭakādīni natthi, vanantaraṃ paviṭṭhānaṃ pana sukkharukkhadaṇḍādikesu matthake patitesu dukkhavedanā bhaveyya, tasmā tāni paṭighātanatthāya evaṃ karomī’’ti.

    โพธิสโตฺต ทฺวีหิ การเณหิ ตสฺสา กถํ สุตฺวา ตุสฺสิตฺวา คจฺฉโนฺต เอกสฺมิํ ฐาเน ผลสมฺปนฺนํ เอกํ พทรรุกฺขํ ทิสฺวา พทรรุกฺขมูเล นิสีทิฯ สา พทรรุกฺขมูเล นิสินฺนํ มหาสตฺตํ ทิสฺวา ‘‘สามิ, อภิรุหิตฺวา พทรผลํ คเหตฺวา ขาทาหิ, มยฺหมฺปิ เทหี’’ติ อาหฯ ‘‘ภเทฺท, อหํ กิลมามิ, อภิรุหิตุํ น สโกฺกมิ, ตฺวเมว อภิรุหา’’ติฯ สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา พทรรุกฺขํ อภิรุยฺห สาขนฺตเร นิสีทิตฺวา ผลํ โอจินิฯ โพธิสโตฺต ตํ อาห – ‘‘ภเทฺท, ผลํ มยฺหํ เทหี’’ติฯ สา ‘‘อยํ ปุริโส ปณฺฑิโต วา อปณฺฑิโต วา วีมํสิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ตํ อาห ‘‘สามิ, อุณฺหผลํ ขาทิสฺสสิ, อุทาหุ สีตผล’’นฺติ? โส ตํ การณํ อชานโนฺต วิย เอวมาห – ‘‘ภเทฺท, อุณฺหผเลน เม อโตฺถ’’ติ ฯ สา ผลานิ ภูมิยํ ขิปิตฺวา ‘‘สามิ, ขาทา’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต ตํ คเหตฺวา ธเมโนฺต ขาทิฯ ปุน วีมํสมาโน นํ เอวมาห – ‘‘ภเทฺท, สีตลํ เม เทหี’’ติฯ อถ สา พทรผลานิ ติณภูมิยา อุปริ ขิปิฯ โส ตํ คเหตฺวา ขาทิตฺวา ‘‘อยํ ทาริกา อติวิย ปณฺฑิตา’’ติ จิเนฺตตฺวา ตุสฺสิฯ อถ มหาสโตฺต ตํ อาห – ‘‘ภเทฺท, พทรรุกฺขโต โอตราหี’’ติฯ สา มหาสตฺตสฺส วจนํ สุตฺวา รุกฺขโต โอตริตฺวา ฆฎํ คเหตฺวา นทิํ คนฺตฺวา อุทกํ อาเนตฺวา มหาสตฺตสฺส อทาสิฯ มหาสโตฺต ปิวิตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา ตโต อุฎฺฐาย คจฺฉโนฺต นครเมว สมฺปโตฺตฯ

    Bodhisatto dvīhi kāraṇehi tassā kathaṃ sutvā tussitvā gacchanto ekasmiṃ ṭhāne phalasampannaṃ ekaṃ badararukkhaṃ disvā badararukkhamūle nisīdi. Sā badararukkhamūle nisinnaṃ mahāsattaṃ disvā ‘‘sāmi, abhiruhitvā badaraphalaṃ gahetvā khādāhi, mayhampi dehī’’ti āha. ‘‘Bhadde, ahaṃ kilamāmi, abhiruhituṃ na sakkomi, tvameva abhiruhā’’ti. Sā tassa vacanaṃ sutvā badararukkhaṃ abhiruyha sākhantare nisīditvā phalaṃ ocini. Bodhisatto taṃ āha – ‘‘bhadde, phalaṃ mayhaṃ dehī’’ti. Sā ‘‘ayaṃ puriso paṇḍito vā apaṇḍito vā vīmaṃsissāmī’’ti cintetvā taṃ āha ‘‘sāmi, uṇhaphalaṃ khādissasi, udāhu sītaphala’’nti? So taṃ kāraṇaṃ ajānanto viya evamāha – ‘‘bhadde, uṇhaphalena me attho’’ti . Sā phalāni bhūmiyaṃ khipitvā ‘‘sāmi, khādā’’ti āha. Bodhisatto taṃ gahetvā dhamento khādi. Puna vīmaṃsamāno naṃ evamāha – ‘‘bhadde, sītalaṃ me dehī’’ti. Atha sā badaraphalāni tiṇabhūmiyā upari khipi. So taṃ gahetvā khāditvā ‘‘ayaṃ dārikā ativiya paṇḍitā’’ti cintetvā tussi. Atha mahāsatto taṃ āha – ‘‘bhadde, badararukkhato otarāhī’’ti. Sā mahāsattassa vacanaṃ sutvā rukkhato otaritvā ghaṭaṃ gahetvā nadiṃ gantvā udakaṃ ānetvā mahāsattassa adāsi. Mahāsatto pivitvā mukhaṃ vikkhāletvā tato uṭṭhāya gacchanto nagarameva sampatto.

    อถ โส ตํ วีมํสนตฺถาย โทวาริกสฺส เคเห ฐเปตฺวา โทวาริกสฺส ภริยาย อาจิกฺขิตฺวา อตฺตโน นิเวสนํ คนฺตฺวา ปุริเส อามเนฺตตฺวา ‘‘อสุกเคเห อิตฺถิํ ฐเปตฺวา อาคโตมฺหิ, อิมํ สหสฺสํ อาทาย คนฺตฺวา ตํ วีมํสถา’’ติ สหสฺสํ ทตฺวา เปเสสิฯ เต ตถา กริํสุฯ สา อาห – ‘‘อิทํ มม สามิกสฺส ปาทรชมฺปิ น อคฺฆตี’’ติฯ เต อาคนฺตฺวา ปณฺฑิตสฺส อาโรเจสุํฯ ปุนปิ ยาวตติยํ เปเสตฺวา จตุเตฺถ วาเร มหาสโตฺต เตเยว ‘‘เตน หิ นํ หเตฺถ คเหตฺวา กฑฺฒนฺตา อาเนถา’’ติ อาหฯ เต ตถา กริํสุฯ สา มหาสตฺตํ มหาสมฺปตฺติยํ ฐิตํ น สญฺชานิ, นํ โอโลเกตฺวา จ ปน หสิ เจว โรทิ จฯ โส อุภยการณํ ปุจฺฉิฯ อถ นํ สา อาห – ‘‘สามิ, อหํ หสมานา ตว สมฺปตฺติํ โอโลเกตฺวา ‘อยํ อการเณน น ลทฺธา, ปุริมภเว กุสลํ กตฺวา ลทฺธา, อโห ปุญฺญานํ ผลํ นามา’ติ หสิํฯ โรทมานา ปน ‘อิทานิ ปรสฺส รกฺขิตโคปิตวตฺถุมฺหิ อปรชฺฌิตฺวา นิรยํ คมิสฺสตี’ติ ตยิ การุเญฺญน โรทิ’’นฺติฯ

    Atha so taṃ vīmaṃsanatthāya dovārikassa gehe ṭhapetvā dovārikassa bhariyāya ācikkhitvā attano nivesanaṃ gantvā purise āmantetvā ‘‘asukagehe itthiṃ ṭhapetvā āgatomhi, imaṃ sahassaṃ ādāya gantvā taṃ vīmaṃsathā’’ti sahassaṃ datvā pesesi. Te tathā kariṃsu. Sā āha – ‘‘idaṃ mama sāmikassa pādarajampi na agghatī’’ti. Te āgantvā paṇḍitassa ārocesuṃ. Punapi yāvatatiyaṃ pesetvā catutthe vāre mahāsatto teyeva ‘‘tena hi naṃ hatthe gahetvā kaḍḍhantā ānethā’’ti āha. Te tathā kariṃsu. Sā mahāsattaṃ mahāsampattiyaṃ ṭhitaṃ na sañjāni, naṃ oloketvā ca pana hasi ceva rodi ca. So ubhayakāraṇaṃ pucchi. Atha naṃ sā āha – ‘‘sāmi, ahaṃ hasamānā tava sampattiṃ oloketvā ‘ayaṃ akāraṇena na laddhā, purimabhave kusalaṃ katvā laddhā, aho puññānaṃ phalaṃ nāmā’ti hasiṃ. Rodamānā pana ‘idāni parassa rakkhitagopitavatthumhi aparajjhitvā nirayaṃ gamissatī’ti tayi kāruññena rodi’’nti.

    โส ตํ วีมํสิตฺวา สุทฺธภาวํ ญตฺวา ‘‘คจฺฉถ นํ ตเตฺถว เนถา’’ติ วตฺวา เปเสตฺวา ปุน ตุนฺนวายเวสํ คเหตฺวา คนฺตฺวา ตาย สทฺธิํ สยิตฺวา ปุนทิวเส ปาโตว ราชกุลํ ปวิสิตฺวา อุทุมฺพรเทวิยา อาโรเจสิฯ สา รโญฺญ อาโรเจตฺวา อมราเทวิํ สพฺพาลงฺกาเรหิ อลงฺกริตฺวา มหาโยเคฺค นิสีทาเปตฺวา มหเนฺตน สกฺกาเรน มหาสตฺตสฺส เคหํ เนตฺวา มงฺคลํ กาเรสิฯ ราชา โพธิสตฺตสฺส สหสฺสมูลํ ปณฺณาการํ เปเสสิฯ โทวาริเก อาทิํ กตฺวา สกลนครวาสิโน ปณฺณากาเร ปหิณิํสุฯ อมราเทวีปิ รญฺญา ปหิตํ ปณฺณาการํ ทฺวิธา ภินฺทิตฺวา เอกํ โกฎฺฐาสํ รโญฺญ เปเสสิฯ เอเตนุปาเยน สกลนครวาสีนมฺปิ ปณฺณาการํ เปเสตฺวา นครํ สงฺคณฺหิฯ ตโต ปฎฺฐาย มหาสโตฺต ตาย สทฺธิํ สมคฺควาสํ วสโนฺต รโญฺญ อตฺถญฺจ ธมฺมญฺจ อนุสาสิฯ

    So taṃ vīmaṃsitvā suddhabhāvaṃ ñatvā ‘‘gacchatha naṃ tattheva nethā’’ti vatvā pesetvā puna tunnavāyavesaṃ gahetvā gantvā tāya saddhiṃ sayitvā punadivase pātova rājakulaṃ pavisitvā udumbaradeviyā ārocesi. Sā rañño ārocetvā amarādeviṃ sabbālaṅkārehi alaṅkaritvā mahāyogge nisīdāpetvā mahantena sakkārena mahāsattassa gehaṃ netvā maṅgalaṃ kāresi. Rājā bodhisattassa sahassamūlaṃ paṇṇākāraṃ pesesi. Dovārike ādiṃ katvā sakalanagaravāsino paṇṇākāre pahiṇiṃsu. Amarādevīpi raññā pahitaṃ paṇṇākāraṃ dvidhā bhinditvā ekaṃ koṭṭhāsaṃ rañño pesesi. Etenupāyena sakalanagaravāsīnampi paṇṇākāraṃ pesetvā nagaraṃ saṅgaṇhi. Tato paṭṭhāya mahāsatto tāya saddhiṃ samaggavāsaṃ vasanto rañño atthañca dhammañca anusāsi.

    อมราเทวิปริเยสนา นิฎฺฐิตาฯ

    Amarādevipariyesanā niṭṭhitā.

    สพฺพรตนเถนวณฺณนา

    Sabbaratanathenavaṇṇanā

    อเถกทิวสํ เสนโก อิตเร ตโย อตฺตโน สนฺติกํ อาคเต อามเนฺตสิ ‘‘อโมฺภ, มยํ คหปติปุตฺตสฺส มโหสธเสฺสว นปฺปโหม, อิทานิ ปน เตน อตฺตนา พฺยตฺตตรา ภริยา อานีตา, กินฺติ นํ รโญฺญ อนฺตเร ปริภิเนฺทยฺยามา’’ติฯ ‘‘อาจริย, มยํ กิํ ชานาม, ตฺวํเยว ชานาหี’’ติฯ ‘‘โหตุ มา จินฺตยิตฺถ, อเตฺถโก อุปาโย, อหํ รโญฺญ จูฬามณิํ เถเนตฺวา อาหริสฺสามิ, ปุกฺกุส, ตฺวํ สุวณฺณมาลํ อาหร, กามินฺท, ตฺวํ กมฺพลํ, เทวินฺท, ตฺวํ สุวณฺณปาทุกนฺติ เอวํ มยํ จตฺตาโรปิ อุปาเยน ตานิ อาหริสฺสาม, ตโต อมฺหากํ เคเห อฎฺฐเปตฺวา คหปติปุตฺตสฺส เคหํ เปเสสฺสามา’’ติฯ อถ โข เต จตฺตาโรปิ ตถา กริํสุฯ เตสุ เสนโก ตาว จูฬามณิํ ตกฺกฆเฎ ปกฺขิปิตฺวา ทาสิยา หเตฺถ ฐเปตฺวา เปเสสิ ‘‘อิมํ ตกฺกฆฎํ อเญฺญสํ คณฺหนฺตานํ อทตฺวา สเจ มโหสธสฺส เคเห คณฺหาติ, ฆเฎเนว สทฺธิํ เทหี’’ติฯ สา ปณฺฑิตสฺส ฆรทฺวารํ คนฺตฺวา ‘‘ตกฺกํ คณฺหถ, ตกฺกํ คณฺหถา’’ติ อปราปรํ จรติฯ

    Athekadivasaṃ senako itare tayo attano santikaṃ āgate āmantesi ‘‘ambho, mayaṃ gahapatiputtassa mahosadhasseva nappahoma, idāni pana tena attanā byattatarā bhariyā ānītā, kinti naṃ rañño antare paribhindeyyāmā’’ti. ‘‘Ācariya, mayaṃ kiṃ jānāma, tvaṃyeva jānāhī’’ti. ‘‘Hotu mā cintayittha, attheko upāyo, ahaṃ rañño cūḷāmaṇiṃ thenetvā āharissāmi, pukkusa, tvaṃ suvaṇṇamālaṃ āhara, kāminda, tvaṃ kambalaṃ, devinda, tvaṃ suvaṇṇapādukanti evaṃ mayaṃ cattāropi upāyena tāni āharissāma, tato amhākaṃ gehe aṭṭhapetvā gahapatiputtassa gehaṃ pesessāmā’’ti. Atha kho te cattāropi tathā kariṃsu. Tesu senako tāva cūḷāmaṇiṃ takkaghaṭe pakkhipitvā dāsiyā hatthe ṭhapetvā pesesi ‘‘imaṃ takkaghaṭaṃ aññesaṃ gaṇhantānaṃ adatvā sace mahosadhassa gehe gaṇhāti, ghaṭeneva saddhiṃ dehī’’ti. Sā paṇḍitassa gharadvāraṃ gantvā ‘‘takkaṃ gaṇhatha, takkaṃ gaṇhathā’’ti aparāparaṃ carati.

    อมราเทวี ทฺวาเร ฐิตา ตสฺสา กิริยํ ทิสฺวา ‘‘อยํ อญฺญตฺถ น คจฺฉติ, ภวิตพฺพเมตฺถ การเณนา’’ติ อิงฺคิตสญฺญาย ทาสิโย ปฎิกฺกมาเปตฺวา สยเมว ‘‘อมฺม, เอหิ ตกฺกํ คณฺหิสฺสามี’’ติ ปโกฺกสิตฺวา ตสฺสา อาคตกาเล ทาสีนํ สญฺญํ ทตฺวา ตาสุ อนาคจฺฉนฺตีสุ ‘‘คจฺฉ, อมฺม, ทาสิโย ปโกฺกสาหี’’ติ ตเมว เปเสตฺวา ตกฺกฆเฎ หตฺถํ โอตาเรตฺวา มณิํ ทิสฺวา ตํ ทาสิํ ปุจฺฉิ ‘‘อมฺม, ตฺวํ กสฺส สนฺตกา’’ติ? ‘‘อเยฺย, เสนกปณฺฑิตสฺส ทาสีมฺหี’’ติฯ ตโต ตสฺสา นามํ ตสฺสา จ มาตุยา นามํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อสุกา นามา’’ติ วุเตฺต ‘‘อมฺม, อิมํ ตกฺกํ กติมูล’’นฺติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อเยฺย, จตุนาฬิก’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ, อมฺม, อิมํ ตกฺกํ เม เทหี’’ติ วตฺวา ‘‘อเยฺย, ตุเมฺหสุ คณฺหนฺตีสุ มูเลน เม โก อโตฺถ, ฆเฎเนว สทฺธิํ คณฺหถา’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ ยาหี’’ติ ตํ อุโยฺยเชตฺวา สา ‘‘อสุกมาเส อสุกทิวเส เสนกาจริโย อสุกาย นาม ทาสิยา ธีตาย อสุกาย นาม หเตฺถ รโญฺญ จูฬามณิํ ปเหนกตฺถาย ปหิณี’’ติ ปเณฺณ ลิขิตฺวา ตกฺกํ คณฺหิฯ ปุกฺกุโสปิ สุวณฺณมาลํ สุมนปุปฺผจโงฺกฎเก ฐเปตฺวา สุมนปุเปฺผน ปฎิจฺฉาเทตฺวา ตเถว เปเสสิฯ กามิโนฺทปิ กมฺพลํ ปณฺณปจฺฉิยํ ฐเปตฺวา ปเณฺณหิ ฉาเทตฺวา เปเสสิฯ เทวิโนฺทปิ สุวณฺณปาทุกํ ยวกลาปนฺตเร พนฺธิตฺวา เปเสสิฯ สา สพฺพานิปิ ตานิ คเหตฺวา ปเณฺณ อกฺขรานิ อาโรเปตฺวา มหาสตฺตสฺส อาจิกฺขิตฺวา ฐเปสิฯ

    Amarādevī dvāre ṭhitā tassā kiriyaṃ disvā ‘‘ayaṃ aññattha na gacchati, bhavitabbamettha kāraṇenā’’ti iṅgitasaññāya dāsiyo paṭikkamāpetvā sayameva ‘‘amma, ehi takkaṃ gaṇhissāmī’’ti pakkositvā tassā āgatakāle dāsīnaṃ saññaṃ datvā tāsu anāgacchantīsu ‘‘gaccha, amma, dāsiyo pakkosāhī’’ti tameva pesetvā takkaghaṭe hatthaṃ otāretvā maṇiṃ disvā taṃ dāsiṃ pucchi ‘‘amma, tvaṃ kassa santakā’’ti? ‘‘Ayye, senakapaṇḍitassa dāsīmhī’’ti. Tato tassā nāmaṃ tassā ca mātuyā nāmaṃ pucchitvā ‘‘asukā nāmā’’ti vutte ‘‘amma, imaṃ takkaṃ katimūla’’nti pucchi. ‘‘Ayye, catunāḷika’’nti. ‘‘Tena hi, amma, imaṃ takkaṃ me dehī’’ti vatvā ‘‘ayye, tumhesu gaṇhantīsu mūlena me ko attho, ghaṭeneva saddhiṃ gaṇhathā’’ti vutte ‘‘tena hi yāhī’’ti taṃ uyyojetvā sā ‘‘asukamāse asukadivase senakācariyo asukāya nāma dāsiyā dhītāya asukāya nāma hatthe rañño cūḷāmaṇiṃ pahenakatthāya pahiṇī’’ti paṇṇe likhitvā takkaṃ gaṇhi. Pukkusopi suvaṇṇamālaṃ sumanapupphacaṅkoṭake ṭhapetvā sumanapupphena paṭicchādetvā tatheva pesesi. Kāmindopi kambalaṃ paṇṇapacchiyaṃ ṭhapetvā paṇṇehi chādetvā pesesi. Devindopi suvaṇṇapādukaṃ yavakalāpantare bandhitvā pesesi. Sā sabbānipi tāni gahetvā paṇṇe akkharāni āropetvā mahāsattassa ācikkhitvā ṭhapesi.

    เตปิ จตฺตาโร ปณฺฑิตา ราชกุลํ คนฺตฺวา ‘‘กิํ, เทว, ตุเมฺห จูฬามณิํ น ปิฬนฺธถา’’ติ อาหํสุฯ ราชา ‘‘ปิฬนฺธิสฺสามิ อาหรถา’’ติ ปุริเส อาหฯ เต มณิํ น ปสฺสิํสุ, อิตรานิปิ น ปสฺสิํสุเยวฯ อถ เต จตฺตาโร ปณฺฑิตา ‘‘เทว, ตุมฺหากํ อาภรณานิ มโหสธสฺส เคเห อตฺถิ, โส ตานิ สยํ วฬเญฺชติ, ปฎิสตฺตุ เต มหาราช, คหปติปุโตฺต’’ติ ตํ ภินฺทิํสุฯ อถสฺส อตฺถจรกา มนุสฺสา สีฆํ คนฺตฺวา อาโรเจสุํฯ โส ‘‘ราชานํ ทิสฺวา ชานิสฺสามี’’ติ ราชุปฎฺฐานํ อคมาสิฯ ราชา กุชฺฌิตฺวา ‘‘โก ชานิสฺสติ, กิํ ภวิสฺสติ กิํ กริสฺสตี’’ติ อตฺตานํ ปสฺสิตุํ นาทาสิฯ ปณฺฑิโต รโญฺญ กุทฺธภาวํ ญตฺวา อตฺตโน นิเวสนเมว คโตฯ ราชา ‘‘นํ คณฺหถา’’ติ อาณาเปสิฯ ปณฺฑิโต อตฺถจรกานํ วจนํ สุตฺวา ‘‘มยา อปคนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ อมราเทวิยา สญฺญํ ทตฺวา อญฺญาตกเวเสน นครา นิกฺขมิตฺวา ทกฺขิณยวมชฺฌกคามํ คนฺตฺวา ตสฺมิํ กุมฺภการกมฺมํ อกาสิฯ นคเร ‘‘ปณฺฑิโต ปลาโต’’ติ เอกโกลาหลํ ชาตํฯ

    Tepi cattāro paṇḍitā rājakulaṃ gantvā ‘‘kiṃ, deva, tumhe cūḷāmaṇiṃ na piḷandhathā’’ti āhaṃsu. Rājā ‘‘piḷandhissāmi āharathā’’ti purise āha. Te maṇiṃ na passiṃsu, itarānipi na passiṃsuyeva. Atha te cattāro paṇḍitā ‘‘deva, tumhākaṃ ābharaṇāni mahosadhassa gehe atthi, so tāni sayaṃ vaḷañjeti, paṭisattu te mahārāja, gahapatiputto’’ti taṃ bhindiṃsu. Athassa atthacarakā manussā sīghaṃ gantvā ārocesuṃ. So ‘‘rājānaṃ disvā jānissāmī’’ti rājupaṭṭhānaṃ agamāsi. Rājā kujjhitvā ‘‘ko jānissati, kiṃ bhavissati kiṃ karissatī’’ti attānaṃ passituṃ nādāsi. Paṇḍito rañño kuddhabhāvaṃ ñatvā attano nivesanameva gato. Rājā ‘‘naṃ gaṇhathā’’ti āṇāpesi. Paṇḍito atthacarakānaṃ vacanaṃ sutvā ‘‘mayā apagantuṃ vaṭṭatī’’ti amarādeviyā saññaṃ datvā aññātakavesena nagarā nikkhamitvā dakkhiṇayavamajjhakagāmaṃ gantvā tasmiṃ kumbhakārakammaṃ akāsi. Nagare ‘‘paṇḍito palāto’’ti ekakolāhalaṃ jātaṃ.

    เสนกาทโยปิ จตฺตาโร ชนา ตสฺส ปลาตภาวํ ญตฺวา ‘‘มา จินฺตยิตฺถ, มยํ กิํ อปณฺฑิตา’’ติ อญฺญมญฺญํ อชานาเปตฺวาว อมราเทวิยา ปณฺณาการํ ปหิณิํสุ สา เตหิ จตูหิ เปสิตปณฺณาการํ คเหตฺวา ‘‘อสุก-อสุกเวลาย อาคจฺฉตู’’ติ วตฺวา เอกํ กูปํ ขณาเปตฺวา คูถราสิโน สห อุทเกน ตตฺถ ปูเรตฺวา คูถกูปสฺส อุปริตเล ยนฺตผลกาหิ ปิทหิตฺวา กิฬเญฺชน ปฎิจฺฉาเทตฺวา สพฺพํ นิฎฺฐาเปสิฯ อถ เสนโก สายนฺหสมเย นฺหตฺวา อตฺตานํ อลงฺกริตฺวา นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิตฺวา โพธิสตฺตสฺส เคหํ อคมาสิฯ โส ฆรทฺวาเร ฐตฺวา อตฺตโน อาคตภาวํ ชานาเปสิฯ สา ‘‘เอหิ, อาจริยา’’ติ อาหฯ โส คนฺตฺวา ตสฺสา สนฺติเก อฎฺฐาสิฯ สา เอวมาห – ‘‘สามิ, อิทานิ อหํ ตว วสํ คตา, อตฺตโน สรีรํ อนฺหายิตฺวา สยิตุํ อยุตฺต’’นฺติฯ โส ตสฺสา วจนํ สุตฺวา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ สา นิกฺขมิตฺวา อุทกปูรํ ฆฎํ คเหตฺวา อาสิตฺตา วิย ‘‘เอหิ, อาจริย, นฺหานตฺถาย ผลกานิ อารุหา’’ติ วตฺวา ตสฺส ผลกานิ อภิรุยฺห ฐิตกาเล เคหํ ปวิสิตฺวา ผลกโกฎิยํ อกฺกมิตฺวา คูถกูเป ปาเตสิฯ

    Senakādayopi cattāro janā tassa palātabhāvaṃ ñatvā ‘‘mā cintayittha, mayaṃ kiṃ apaṇḍitā’’ti aññamaññaṃ ajānāpetvāva amarādeviyā paṇṇākāraṃ pahiṇiṃsu sā tehi catūhi pesitapaṇṇākāraṃ gahetvā ‘‘asuka-asukavelāya āgacchatū’’ti vatvā ekaṃ kūpaṃ khaṇāpetvā gūtharāsino saha udakena tattha pūretvā gūthakūpassa uparitale yantaphalakāhi pidahitvā kiḷañjena paṭicchādetvā sabbaṃ niṭṭhāpesi. Atha senako sāyanhasamaye nhatvā attānaṃ alaṅkaritvā nānaggarasabhojanaṃ bhuñjitvā bodhisattassa gehaṃ agamāsi. So gharadvāre ṭhatvā attano āgatabhāvaṃ jānāpesi. Sā ‘‘ehi, ācariyā’’ti āha. So gantvā tassā santike aṭṭhāsi. Sā evamāha – ‘‘sāmi, idāni ahaṃ tava vasaṃ gatā, attano sarīraṃ anhāyitvā sayituṃ ayutta’’nti. So tassā vacanaṃ sutvā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Sā nikkhamitvā udakapūraṃ ghaṭaṃ gahetvā āsittā viya ‘‘ehi, ācariya, nhānatthāya phalakāni āruhā’’ti vatvā tassa phalakāni abhiruyha ṭhitakāle gehaṃ pavisitvā phalakakoṭiyaṃ akkamitvā gūthakūpe pātesi.

    ปุกฺกุโสปิ สายนฺหสมเย นฺหตฺวา อลงฺกริตฺวา นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิตฺวา โพธิสตฺตสฺส เคหํ คนฺตฺวา ฆรทฺวาเร ฐตฺวา อตฺตโน อาคตภาวํ ชานาเปสิฯ เอกา ปริจาริกา อิตฺถี อมราเทวิยา อาโรเจสิฯ สา ตสฺสา วจนํ สุตฺวา ‘‘เอหิ, อาจริย, อตฺตโน สรีรํ อนฺหายิตฺวา สยิตุํ อยุตฺต’’นฺติ อาหฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ สา นิกฺขมิตฺวา อุทกปูรํ ฆฎํ คเหตฺวา อาสิญฺจมานา วิย ‘‘เอหิ, อาจริย, นฺหานตฺถาย ผลกานิ อภิรุหา’’ติ อาหฯ ตสฺส ผลกานิ อภิรุยฺห ฐิตกาเล สา เคหํ ปวิสิตฺวา ผลกานิ อากฑฺฒิตฺวา คูถกูเป ปาเตสิฯ ปุกฺกุสํ เสนโก ‘‘โก เอโส’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘อหํ ปุกฺกุโส’’ติฯ ‘‘ตฺวํ โก นาม มนุโสฺส’’ติ? ‘‘อหํ เสนโก’’ติ อญฺญมญฺญํ ปุจฺฉิตฺวา อฎฺฐํสุฯ ตถา อิตเร เทฺวปิ ตเตฺถว ปาเตสิฯ สเพฺพปิ เต เชคุเจฺฉ คูถกูเป อฎฺฐํสุฯ สา วิภาตาย รตฺติยา ตโต อุกฺขิปาเปตฺวา, จตฺตาโรปิ ชเน ขุรมุเณฺฑ การาเปตฺวา ตณฺฑุลานิ คาหาเปตฺวา อุทเกน เตเมตฺวา โกฎฺฎาเปตฺวา จุณฺณํ พหลยาคุํ ปจาเปตฺวา มทฺทิตฺวา สีสโต ปฎฺฐาย สกลสรีรํ วิลิมฺปาเปตฺวา ตูลปิจูนิ คาหาเปตฺวา ตเถว สีสโต ปฎฺฐาย โอกิราเปตฺวา มหาทุกฺขํ ปาเปตฺวา กิลญฺชกุจฺฉิยํ นิปชฺชาเปตฺวา เวเฐตฺวา รโญฺญ อาโรเจตุกามา หุตฺวา เตหิ สทฺธิํ จตฺตาริ รตนานิ คาหาเปตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา – ‘‘เทว, เสตวานรํ นาม มหาปณฺณาการํ ปฎิคฺคณฺหถา’’ติ วตฺวา จตฺตาริ กิลญฺชานิ รโญฺญ ปาทมูเล ฐปาเปสิฯ อถ ราชา วิวราเปตฺวา เสตมกฺกฎสทิเส จตฺตาโรปิ ชเน ปสฺสิฯ อถ สเพฺพ มนุสฺสา ‘‘อโห อทิฎฺฐปุพฺพา, อโห มหาเสตวานรา’’ติ วตฺวา มหาหสิตํ หสิํสุฯ เต จตฺตาโรปิ มหาลชฺชา อเหสุํฯ

    Pukkusopi sāyanhasamaye nhatvā alaṅkaritvā nānaggarasabhojanaṃ bhuñjitvā bodhisattassa gehaṃ gantvā gharadvāre ṭhatvā attano āgatabhāvaṃ jānāpesi. Ekā paricārikā itthī amarādeviyā ārocesi. Sā tassā vacanaṃ sutvā ‘‘ehi, ācariya, attano sarīraṃ anhāyitvā sayituṃ ayutta’’nti āha. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Sā nikkhamitvā udakapūraṃ ghaṭaṃ gahetvā āsiñcamānā viya ‘‘ehi, ācariya, nhānatthāya phalakāni abhiruhā’’ti āha. Tassa phalakāni abhiruyha ṭhitakāle sā gehaṃ pavisitvā phalakāni ākaḍḍhitvā gūthakūpe pātesi. Pukkusaṃ senako ‘‘ko eso’’ti pucchi. ‘‘Ahaṃ pukkuso’’ti. ‘‘Tvaṃ ko nāma manusso’’ti? ‘‘Ahaṃ senako’’ti aññamaññaṃ pucchitvā aṭṭhaṃsu. Tathā itare dvepi tattheva pātesi. Sabbepi te jegucche gūthakūpe aṭṭhaṃsu. Sā vibhātāya rattiyā tato ukkhipāpetvā, cattāropi jane khuramuṇḍe kārāpetvā taṇḍulāni gāhāpetvā udakena temetvā koṭṭāpetvā cuṇṇaṃ bahalayāguṃ pacāpetvā madditvā sīsato paṭṭhāya sakalasarīraṃ vilimpāpetvā tūlapicūni gāhāpetvā tatheva sīsato paṭṭhāya okirāpetvā mahādukkhaṃ pāpetvā kilañjakucchiyaṃ nipajjāpetvā veṭhetvā rañño ārocetukāmā hutvā tehi saddhiṃ cattāri ratanāni gāhāpetvā rañño santikaṃ gantvā rājānaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīditvā – ‘‘deva, setavānaraṃ nāma mahāpaṇṇākāraṃ paṭiggaṇhathā’’ti vatvā cattāri kilañjāni rañño pādamūle ṭhapāpesi. Atha rājā vivarāpetvā setamakkaṭasadise cattāropi jane passi. Atha sabbe manussā ‘‘aho adiṭṭhapubbā, aho mahāsetavānarā’’ti vatvā mahāhasitaṃ hasiṃsu. Te cattāropi mahālajjā ahesuṃ.

    อถ อมราเทวี อตฺตโน สามิโน นิโทฺทสภาวํ กเถนฺตี ราชานํ อาห – ‘‘เทว, มโหสธปณฺฑิโต น โจโร, อิเม จตฺตาโรว โจราฯ เอเตสุ หิ เสนโก มณิโจโร, ปุกฺกุโส สุวณฺณมาลาโจโร, กามิโนฺท กมฺพลโจโร, เทวิโนฺท สุวณฺณปาทุกาโจโรฯ อิเม โจรา อสุกมาเส อสุกทิวเส อสุกทาสิธีตานํ อสุกทาสีนํ หเตฺถ อิมานิ รตนานิ ปหิณนฺติฯ อิมํ ปณฺณํ ปสฺสถ, อตฺตโน สนฺตกญฺจ คณฺหถ, โจเร จ, เทว, ปฎิจฺฉถา’’ติฯ สา จตฺตาโรปิ ชเน มหาวิปฺปการํ ปาเปตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน เคหเมว คตาฯ ราชา โพธิสตฺตสฺส ปลาตภาเวน ตสฺมิํ อาสงฺกาย จ อเญฺญสํ ปณฺฑิตปติมนฺตีนํ อภาเวน จ เตสํ กิญฺจิ อวตฺวา ‘‘ปณฺฑิตา นฺหาเปตฺวา อตฺตโน เคหานิ คจฺฉถา’’ติ เปเสสิฯ จตฺตาโร ชนา มหาวิปฺปการํ ปตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน เคหเมว คตาฯ

    Atha amarādevī attano sāmino niddosabhāvaṃ kathentī rājānaṃ āha – ‘‘deva, mahosadhapaṇḍito na coro, ime cattārova corā. Etesu hi senako maṇicoro, pukkuso suvaṇṇamālācoro, kāmindo kambalacoro, devindo suvaṇṇapādukācoro. Ime corā asukamāse asukadivase asukadāsidhītānaṃ asukadāsīnaṃ hatthe imāni ratanāni pahiṇanti. Imaṃ paṇṇaṃ passatha, attano santakañca gaṇhatha, core ca, deva, paṭicchathā’’ti. Sā cattāropi jane mahāvippakāraṃ pāpetvā rājānaṃ vanditvā attano gehameva gatā. Rājā bodhisattassa palātabhāvena tasmiṃ āsaṅkāya ca aññesaṃ paṇḍitapatimantīnaṃ abhāvena ca tesaṃ kiñci avatvā ‘‘paṇḍitā nhāpetvā attano gehāni gacchathā’’ti pesesi. Cattāro janā mahāvippakāraṃ patvā rājānaṃ vanditvā attano gehameva gatā.

    สพฺพรตนเถนา นิฎฺฐิตาฯ

    Sabbaratanathenā niṭṭhitā.

    ขโชฺชปนกปโญฺห

    Khajjopanakapañho

    อถสฺส ฉเตฺต อธิวตฺถา เทวตา โพธิสตฺตสฺส ธมฺมเทสนํ อสฺสุณนฺตี ‘‘กิํ นุ โข การณ’’นฺติ อาวชฺชมานา ตํ การณํ ญตฺวา ‘‘ปณฺฑิตสฺส อานยนการณํ กริสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา รตฺติภาเค ฉตฺตปิณฺฑิกํ วิวริตฺวา ราชานํ จตุกฺกนิปาเต เทวตาย ปุจฺฉิตปเญฺห อาคเต ‘‘หนฺติ หเตฺถหิ ปาเทหี’’ติอาทิเก จตฺตาโร ปเญฺห ปุจฺฉิฯ ราชา อชานโนฺต ‘‘อหํ น ชานามิ, อเญฺญ ปณฺฑิเต ปุจฺฉิสฺสามี’’ติ เอกทิวสํ โอกาสํ ยาจิตฺวา ปุนทิวเส ‘‘อาคจฺฉนฺตู’’ติ จตุนฺนํ ปณฺฑิตานํ สาสนํ เปเสสิฯ เตหิ ‘‘มยํ ขุรมุณฺฑา วีถิํ โอตรนฺตา ลชฺชามา’’ติ วุเตฺต ราชา จตฺตาโร นาฬิปเฎฺฎ เปเสสิ ‘‘อิเม สีเสสุ กตฺวา อาคจฺฉนฺตู’’ติฯ ตทา กิร เต นาฬิปฎฺฎา อุปฺปนฺนาฯ เต อาคนฺตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิํสุฯ อถ ราชา ‘‘เสนก, อชฺช รตฺติภาเค ฉเตฺต อธิวตฺถา เทวตา มํ จตฺตาโร ปเญฺห ปุจฺฉิ, อหํ ปน อชานโนฺต ‘ปณฺฑิเต ปุจฺฉิสฺสามี’ติ อวจํ, กเถหิ เม เต ปเญฺห’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Athassa chatte adhivatthā devatā bodhisattassa dhammadesanaṃ assuṇantī ‘‘kiṃ nu kho kāraṇa’’nti āvajjamānā taṃ kāraṇaṃ ñatvā ‘‘paṇḍitassa ānayanakāraṇaṃ karissāmī’’ti cintetvā rattibhāge chattapiṇḍikaṃ vivaritvā rājānaṃ catukkanipāte devatāya pucchitapañhe āgate ‘‘hanti hatthehi pādehī’’tiādike cattāro pañhe pucchi. Rājā ajānanto ‘‘ahaṃ na jānāmi, aññe paṇḍite pucchissāmī’’ti ekadivasaṃ okāsaṃ yācitvā punadivase ‘‘āgacchantū’’ti catunnaṃ paṇḍitānaṃ sāsanaṃ pesesi. Tehi ‘‘mayaṃ khuramuṇḍā vīthiṃ otarantā lajjāmā’’ti vutte rājā cattāro nāḷipaṭṭe pesesi ‘‘ime sīsesu katvā āgacchantū’’ti. Tadā kira te nāḷipaṭṭā uppannā. Te āgantvā paññattāsane nisīdiṃsu. Atha rājā ‘‘senaka, ajja rattibhāge chatte adhivatthā devatā maṃ cattāro pañhe pucchi, ahaṃ pana ajānanto ‘paṇḍite pucchissāmī’ti avacaṃ, kathehi me te pañhe’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘หนฺติ หเตฺถหิ ปาเทหิ, มุขญฺจ ปริสุมฺภติ;

    ‘‘Hanti hatthehi pādehi, mukhañca parisumbhati;

    ส เว ราช ปิโย โหติ, กํ เตน ตฺวาภิปสฺสสี’’ติฯ (ชา. ๑.๔.๑๙๗);

    Sa ve rāja piyo hoti, kaṃ tena tvābhipassasī’’ti. (jā. 1.4.197);

    เสนโก อชานโนฺต ‘‘กิํ หนฺติ, กถํ หนฺตี’’ติ ตํ ตํ วิลปิตฺวา เนว อนฺตํ ปสฺสิ, น โกฎิํ ปสฺสิฯ เสสาปิ อปฺปฎิภานา อเหสุํฯ อถ ราชา วิปฺปฎิสารี หุตฺวา ปุน รตฺติภาเค เทวตาย ‘‘ปโญฺห เต ญาโต’’ติ ปุโฎฺฐ ‘‘มยา จตฺตาโร ปณฺฑิตา ปุฎฺฐา, เตปิ น ชานิํสู’’ติ อาหฯ เทวตา ‘‘กิํ เต ชานิสฺสนฺติ, ฐเปตฺวา มโหสธปณฺฑิตํ อโญฺญ โกจิ เอเต ปเญฺห กเถตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิฯ สเจ ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา เอเต ปเญฺห น กถาเปสฺสสิ, อิมินา เต ชลิเตน อยกูเฎน สีสํ ภินฺทิสฺสามี’’ติ ราชานํ ตเชฺชตฺวา ‘‘มหาราช, อคฺคินา อเตฺถ สติ ขโชฺชปนกํ ธมิตุํ น วฎฺฎติ, ขีเรน อเตฺถ สติ วิสาณํ ทุหิตุํ น วฎฺฎตี’’ติ วตฺวา อิมํ ปญฺจกนิปาเต ขโชฺชปนกปญฺหํ อุทาหริ –

    Senako ajānanto ‘‘kiṃ hanti, kathaṃ hantī’’ti taṃ taṃ vilapitvā neva antaṃ passi, na koṭiṃ passi. Sesāpi appaṭibhānā ahesuṃ. Atha rājā vippaṭisārī hutvā puna rattibhāge devatāya ‘‘pañho te ñāto’’ti puṭṭho ‘‘mayā cattāro paṇḍitā puṭṭhā, tepi na jāniṃsū’’ti āha. Devatā ‘‘kiṃ te jānissanti, ṭhapetvā mahosadhapaṇḍitaṃ añño koci ete pañhe kathetuṃ samattho nāma natthi. Sace taṃ pakkosāpetvā ete pañhe na kathāpessasi, iminā te jalitena ayakūṭena sīsaṃ bhindissāmī’’ti rājānaṃ tajjetvā ‘‘mahārāja, agginā atthe sati khajjopanakaṃ dhamituṃ na vaṭṭati, khīrena atthe sati visāṇaṃ duhituṃ na vaṭṭatī’’ti vatvā imaṃ pañcakanipāte khajjopanakapañhaṃ udāhari –

    ‘‘โก นุ สนฺตมฺหิ ปโชฺชเต, อคฺคิปริเยสนํ จรํ;

    ‘‘Ko nu santamhi pajjote, aggipariyesanaṃ caraṃ;

    อทฺทกฺขิ รตฺติ ขโชฺชตํ, ชาตเวทํ อมญฺญถฯ

    Addakkhi ratti khajjotaṃ, jātavedaṃ amaññatha.

    ‘‘สฺวสฺส โคมยจุณฺณานิ, อภิมตฺถํ ติณานิ จ;

    ‘‘Svassa gomayacuṇṇāni, abhimatthaṃ tiṇāni ca;

    วิปรีตาย สญฺญาย, นาสกฺขิ ปชฺชเลตเวฯ

    Viparītāya saññāya, nāsakkhi pajjaletave.

    ‘‘เอวมฺปิ อนุปาเยน, อตฺถํ น ลภเต มิโค;

    ‘‘Evampi anupāyena, atthaṃ na labhate migo;

    วิสาณโต ควํ โทหํ, ยตฺถ ขีรํ น วินฺทติฯ

    Visāṇato gavaṃ dohaṃ, yattha khīraṃ na vindati.

    ‘‘วิวิเธหิ อุปาเยหิ, อตฺถํ ปโปฺปนฺติ มาณวา;

    ‘‘Vividhehi upāyehi, atthaṃ papponti māṇavā;

    นิคฺคเหน อมิตฺตานํ, มิตฺตานํ ปคฺคเหน จฯ

    Niggahena amittānaṃ, mittānaṃ paggahena ca.

    ‘‘เสนาโมกฺขปลาเภน, วลฺลภานํ นเยน จ;

    ‘‘Senāmokkhapalābhena, vallabhānaṃ nayena ca;

    ชคติํ ชคติปาลา, อาวสนฺติ วสุนฺธร’’นฺติฯ (ชา. ๑.๕.๗๕-๗๙);

    Jagatiṃ jagatipālā, āvasanti vasundhara’’nti. (jā. 1.5.75-79);

    ตตฺถ สนฺตมฺหิ ปโชฺชเตติ อคฺคิมฺหิ สเนฺตฯ จรนฺติ จรโนฺตฯ อทฺทกฺขีติ ปสฺสิ, ทิสฺวา จ ปน วณฺณสามญฺญตาย ขโชฺชปนกํ ‘‘ชาตเวโท อยํ ภวิสฺสตี’’ติ อมญฺญิตฺถฯ สฺวสฺสาติ โส อสฺส ขโชฺชปนกสฺส อุปริ สุขุมานิ โคมยจุณฺณานิ เจว ติณานิ จฯ อภิมตฺถนฺติ หเตฺถหิ ฆํสิตฺวา อากิรโนฺต ชณฺณุเกหิ ภูมิยํ ปติฎฺฐาย มุเขน ธมโนฺต ชาเลสฺสามิ นนฺติ วิปรีตาย สญฺญาย วายมโนฺตปิ ชาเลตุํ นาสกฺขิฯ มิโคติ มิคสทิโส อนฺธพาโล เอวํ อนุปาเยน ปริเยสโนฺต อตฺถํ น ลภติฯ ยตฺถาติ ยสฺมิํ วิสาเณ ขีรเมว นตฺถิ, ตโต คาวิํ ทุหโนฺต วิย จ อตฺถํ น วินฺทติฯ เสนาโมกฺขปลาเภนาติ เสนาโมกฺขานํ อมจฺจานํ ลาเภนฯ วลฺลภานนฺติ ปิยมนาปานํ วิสฺสาสิกานํ อมจฺจานํ นเยน จฯ วสุนฺธรนฺติ วสุสงฺขาตานํ รตนานํ ธารณโต วสุนฺธรนฺติ ลทฺธนามํ ชคติํ ชคติปาลา ราชาโน อาวสนฺติฯ

    Tattha santamhi pajjoteti aggimhi sante. Caranti caranto. Addakkhīti passi, disvā ca pana vaṇṇasāmaññatāya khajjopanakaṃ ‘‘jātavedo ayaṃ bhavissatī’’ti amaññittha. Svassāti so assa khajjopanakassa upari sukhumāni gomayacuṇṇāni ceva tiṇāni ca. Abhimatthanti hatthehi ghaṃsitvā ākiranto jaṇṇukehi bhūmiyaṃ patiṭṭhāya mukhena dhamanto jālessāmi nanti viparītāya saññāya vāyamantopi jāletuṃ nāsakkhi. Migoti migasadiso andhabālo evaṃ anupāyena pariyesanto atthaṃ na labhati. Yatthāti yasmiṃ visāṇe khīrameva natthi, tato gāviṃ duhanto viya ca atthaṃ na vindati. Senāmokkhapalābhenāti senāmokkhānaṃ amaccānaṃ lābhena. Vallabhānanti piyamanāpānaṃ vissāsikānaṃ amaccānaṃ nayena ca. Vasundharanti vasusaṅkhātānaṃ ratanānaṃ dhāraṇato vasundharanti laddhanāmaṃ jagatiṃ jagatipālā rājāno āvasanti.

    น เต ตยา สทิสา หุตฺวา อคฺคิมฺหิ วิชฺชมาเนเยว ขโชฺชปนกํ ธมนฺติฯ มหาราช, ตฺวํ ปน อคฺคิมฺหิ สติ ขโชฺชปนกํ ธมโนฺต วิย, ตุลํ ฉเฑฺฑตฺวา หเตฺถน ตุลยโนฺต วิย, ขีเรน อเตฺถ ชาเต วิสาณโต ทุหโนฺต วิย จ, เสนกาทโย ปุจฺฉสิ, เอเต กิํ ชานนฺติฯ ขโชฺชปนกสทิสา เหเตฯ อคฺคิกฺขนฺธสทิโส มโหสโธ ปญฺญาย ชลติ, ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ปุจฺฉฯ อิเม เต ปเญฺห อชานนฺตสฺส ชีวิตํ นตฺถีติ ราชานํ ตเชฺชตฺวา อนฺตรธายิฯ

    Na te tayā sadisā hutvā aggimhi vijjamāneyeva khajjopanakaṃ dhamanti. Mahārāja, tvaṃ pana aggimhi sati khajjopanakaṃ dhamanto viya, tulaṃ chaḍḍetvā hatthena tulayanto viya, khīrena atthe jāte visāṇato duhanto viya ca, senakādayo pucchasi, ete kiṃ jānanti. Khajjopanakasadisā hete. Aggikkhandhasadiso mahosadho paññāya jalati, taṃ pakkosāpetvā puccha. Ime te pañhe ajānantassa jīvitaṃ natthīti rājānaṃ tajjetvā antaradhāyi.

    ขโชฺชปนกปโญฺห นิฎฺฐิโตฯ

    Khajjopanakapañho niṭṭhito.

    ภูริปโญฺห

    Bhūripañho

    อถ ราชา มรณภยตชฺชิโต ปุนทิวเส จตฺตาโร อมเจฺจ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาตา, ตุเมฺห จตฺตาโร จตูสุ รเถสุ ฐตฺวา จตูหิ นครทฺวาเรหิ นิกฺขมิตฺวา ยตฺถ มม ปุตฺตํ มโหสธปณฺฑิตํ ปสฺสถ, ตเตฺถวสฺส สกฺการํ กตฺวา ขิปฺปํ อาเนถา’’ติ อาณาเปสิฯ เตปิ จตฺตาโร เอเกเกน ทฺวาเรน นิกฺขมิํสุฯ เตสุ ตโย ชนา ปณฺฑิตํ น ปสฺสิํสุฯ ทกฺขิณทฺวาเรน นิกฺขโนฺต ปน ทกฺขิณยวมชฺฌกคาเม มหาสตฺตํ มตฺติกํ อาหริตฺวา อาจริยสฺส จกฺกํ วเฎฺฎตฺวา มตฺติกามกฺขิตสรีรํ ปลาลปิฎฺฐเก นิสีทิตฺวา มุฎฺฐิํ มุฎฺฐิํ กตฺวา อปฺปสูปํ ยวภตฺตํ ภุญฺชมานํ ปสฺสิฯ กสฺมา ปเนส เอตํ กมฺมํ อกาสีติ? ราชา กิร ‘‘นิสฺสํสยํ ปณฺฑิโต รชฺชํ คณฺหิสฺสตี’’ติ อาสงฺกติฯ ‘‘โส ‘กุมฺภการกเมฺมน ชีวตี’ติ สุตฺวา นิราสโงฺก ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา เอวมกาสีติฯ โส อมจฺจํ ทิสฺวา อตฺตโน สนฺติกํ อาคตภาวํ ญตฺวา ‘‘อชฺช มยฺหํ ยโส ปุน ปากติโก ภวิสฺสติ, อมราเทวิยา สมฺปาทิตํ นานคฺครสโภชนเมว ภุญฺชิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา คหิตํ ยวภตฺตปิณฺฑํ ฉเฑฺฑตฺวา อุฎฺฐาย มุขํ วิกฺขาเลตฺวา นิสีทิฯ ตสฺมิํ ขเณ โส อมโจฺจ ตํ อุปสงฺกมิฯ โส ปน เสนกปกฺขิโก, ตสฺมา นํ ฆเฎโนฺต ‘‘ปณฺฑิต, อาจริยเสนกสฺส วจนํ นิยฺยานิกํ, ตว นาม ยเส ปริหีเน ตถารูปา ปญฺญา ปติฎฺฐา โหตุํ นาสกฺขิ, อิทานิ มตฺติกามกฺขิโต ปลาลปิเฎฺฐ นิสีทิตฺวา เอวรูปํ ภตฺตํ ภุญฺชสี’’ติ วตฺวา ทสกนิปาเต ภูริปเญฺห ปฐมํ คาถมาห –

    Atha rājā maraṇabhayatajjito punadivase cattāro amacce pakkosāpetvā ‘‘tātā, tumhe cattāro catūsu rathesu ṭhatvā catūhi nagaradvārehi nikkhamitvā yattha mama puttaṃ mahosadhapaṇḍitaṃ passatha, tatthevassa sakkāraṃ katvā khippaṃ ānethā’’ti āṇāpesi. Tepi cattāro ekekena dvārena nikkhamiṃsu. Tesu tayo janā paṇḍitaṃ na passiṃsu. Dakkhiṇadvārena nikkhanto pana dakkhiṇayavamajjhakagāme mahāsattaṃ mattikaṃ āharitvā ācariyassa cakkaṃ vaṭṭetvā mattikāmakkhitasarīraṃ palālapiṭṭhake nisīditvā muṭṭhiṃ muṭṭhiṃ katvā appasūpaṃ yavabhattaṃ bhuñjamānaṃ passi. Kasmā panesa etaṃ kammaṃ akāsīti? Rājā kira ‘‘nissaṃsayaṃ paṇḍito rajjaṃ gaṇhissatī’’ti āsaṅkati. ‘‘So ‘kumbhakārakammena jīvatī’ti sutvā nirāsaṅko bhavissatī’’ti cintetvā evamakāsīti. So amaccaṃ disvā attano santikaṃ āgatabhāvaṃ ñatvā ‘‘ajja mayhaṃ yaso puna pākatiko bhavissati, amarādeviyā sampāditaṃ nānaggarasabhojanameva bhuñjissāmī’’ti cintetvā gahitaṃ yavabhattapiṇḍaṃ chaḍḍetvā uṭṭhāya mukhaṃ vikkhāletvā nisīdi. Tasmiṃ khaṇe so amacco taṃ upasaṅkami. So pana senakapakkhiko, tasmā naṃ ghaṭento ‘‘paṇḍita, ācariyasenakassa vacanaṃ niyyānikaṃ, tava nāma yase parihīne tathārūpā paññā patiṭṭhā hotuṃ nāsakkhi, idāni mattikāmakkhito palālapiṭṭhe nisīditvā evarūpaṃ bhattaṃ bhuñjasī’’ti vatvā dasakanipāte bhūripañhe paṭhamaṃ gāthamāha –

    ‘‘สจฺจํ กิร, ตฺวํ อปิ ภูริปญฺญ, ยา ตาทิสี สิรี ธิตี มตี จ;

    ‘‘Saccaṃ kira, tvaṃ api bhūripañña, yā tādisī sirī dhitī matī ca;

    น ตายเตภาววสูปนิตํ, โย ยวกํ ภุญฺชสิ อปฺปสูป’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๐.๑๔๕);

    Na tāyatebhāvavasūpanitaṃ, yo yavakaṃ bhuñjasi appasūpa’’nti. (jā. 1.10.145);

    ตตฺถ สจฺจํ กิราติ ยํ อาจริยเสนโก อาห, ตํ กิร สจฺจเมวฯ สิรีติ อิสฺสริยํฯ ธิตีติ อโพฺภจฺฉินฺนวีริยํฯ น ตายเตภาววสูปนิตนฺติ อภาวสฺส อวุฑฺฒิยา วสํ อุปนีตํ ตํ น รกฺขติ น โคเปติ, ปติฎฺฐา โหตุํ น สโกฺกติฯ ยวกนฺติ ยวภตฺตํฯ

    Tattha saccaṃ kirāti yaṃ ācariyasenako āha, taṃ kira saccameva. Sirīti issariyaṃ. Dhitīti abbhocchinnavīriyaṃ. Na tāyatebhāvavasūpanitanti abhāvassa avuḍḍhiyā vasaṃ upanītaṃ taṃ na rakkhati na gopeti, patiṭṭhā hotuṃ na sakkoti. Yavakanti yavabhattaṃ.

    อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘อนฺธพาล, อหํ อตฺตโน ปญฺญาพเลน ปุน ตํ ยสํ ปากติกํ กาตุกาโม เอวํ กโรมี’’ติ วตฺวา อิมํ คาถาทฺวยมาห –

    Atha naṃ mahāsatto ‘‘andhabāla, ahaṃ attano paññābalena puna taṃ yasaṃ pākatikaṃ kātukāmo evaṃ karomī’’ti vatvā imaṃ gāthādvayamāha –

    ‘‘สุขํ ทุเกฺขน ปริปาจยโนฺต, กาลากาลํ วิจินํ ฉนฺทฉโนฺน;

    ‘‘Sukhaṃ dukkhena paripācayanto, kālākālaṃ vicinaṃ chandachanno;

    อตฺถสฺส ทฺวารานิ อวาปุรโนฺต, เตนาหํ ตุสฺสามิ ยโวทเนนฯ

    Atthassa dvārāni avāpuranto, tenāhaṃ tussāmi yavodanena.

    ‘‘กาลญฺจ ญตฺวา อภิชีหนาย, มเนฺตหิ อตฺถํ ปริปาจยิตฺวา;

    ‘‘Kālañca ñatvā abhijīhanāya, mantehi atthaṃ paripācayitvā;

    วิชมฺภิสฺสํ สีหวิชมฺภิตานิ, ตายิทฺธิยา ทกฺขสิ มํ ปุนาปี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๑๔๖-๑๔๗);

    Vijambhissaṃ sīhavijambhitāni, tāyiddhiyā dakkhasi maṃ punāpī’’ti. (jā. 1.10.146-147);

    ตตฺถ ทุเกฺขนาติ อิมินา กายิกเจตสิกทุเกฺขน อตฺตโน โปราณกสุขํ ปฎิปากติกกรเณน ปริปาจยโนฺตวเฑฺฒโนฺตฯ กาลากาลนฺติ อยํ ปฎิจฺฉโนฺน หุตฺวา จรณกาโล, อยํ อปฺปฎิจฺฉโนฺนติ เอวํ กาลญฺจ อกาลญฺจ วิจินโนฺต รโญฺญ กุทฺธกาเล ฉเนฺนน จริตพฺพนฺติ ญตฺวา ฉเนฺทน อตฺตโน รุจิยา ฉโนฺน ปฎิจฺฉโนฺน หุตฺวา กุมฺภการกเมฺมน ชีวโนฺต อตฺตโน อตฺถสฺส การณสงฺขาตานิ ทฺวารานิ อวาปุรโนฺต วิหรามิ, เตน การเณนาหํ ยโวทเนน ตุสฺสามีติ อโตฺถฯ อภิชีหนายาติ วีริยกรณสฺสฯ มเนฺตหิ อตฺถํ ปริปาจยิตฺวาติ อตฺตโน ญาณพเลน มม ยสํ วเฑฺฒตฺวา มโนสิลาตเล วิชมฺภมาโน สีโห วิย วิชมฺภิสฺสํ, ตาย อิทฺธิยา มํ ปุนปิ ตฺวํ ปสฺสิสฺสสีติฯ

    Tattha dukkhenāti iminā kāyikacetasikadukkhena attano porāṇakasukhaṃ paṭipākatikakaraṇena paripācayantovaḍḍhento. Kālākālanti ayaṃ paṭicchanno hutvā caraṇakālo, ayaṃ appaṭicchannoti evaṃ kālañca akālañca vicinanto rañño kuddhakāle channena caritabbanti ñatvā chandena attano ruciyā channo paṭicchanno hutvā kumbhakārakammena jīvanto attano atthassa kāraṇasaṅkhātāni dvārāni avāpuranto viharāmi, tena kāraṇenāhaṃ yavodanena tussāmīti attho. Abhijīhanāyāti vīriyakaraṇassa. Mantehi atthaṃ paripācayitvāti attano ñāṇabalena mama yasaṃ vaḍḍhetvā manosilātale vijambhamāno sīho viya vijambhissaṃ, tāya iddhiyā maṃ punapi tvaṃ passissasīti.

    อถ นํ อมโจฺจ อาห – ‘‘ปณฺฑิต, ฉเตฺต อธิวตฺถา เทวตา ราชานํ ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ ราชา จตฺตาโร ปณฺฑิเต ปุจฺฉิฯ เตสุ เอโกปิ ตํ ปญฺหํ กเถตุํ นาสกฺขิ, ตสฺมา ราชา ตว สนฺติกํ มํ ปหิณี’’ติฯ ‘‘เอวํ สเนฺต ปญฺญาย อานุภาวํ กสฺมา น ปสฺสสิ, เอวรูเป หิ กาเล น อิสฺสริยํ ปติฎฺฐา โหติ, ปญฺญาสมฺปโนฺนว ปติฎฺฐา โหตี’’ติ มหาสโตฺต ปญฺญาย อานุภาวํ วเณฺณสิฯ อมโจฺจ รญฺญา ‘‘ปณฺฑิตํ ทิฎฺฐฎฺฐาเนเยว สกฺการํ กตฺวา อาเนถา’’ติ ทินฺนํ กหาปณสหสฺสํ มหาสตฺตสฺส หเตฺถ ฐเปสิฯ กุมฺภกาโร ‘‘มโหสธปณฺฑิโต กิร มยา เปสการกมฺมํ การิโต’’ติ ภยํ อาปชฺชิฯ อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘มา ภายิ, อาจริย, พหูปกาโร ตฺวํ อมฺหาก’’นฺติ อสฺสาเสตฺวา สหสฺสํ ทตฺวา มตฺติกามกฺขิเตเนว สรีเรน รเถ นิสีทิตฺวา นครํ ปาวิสิฯ อมโจฺจ รโญฺญ อาโรเจตฺวา ‘‘ตาต, กุหิํ ปณฺฑิโต ทิโฎฺฐ’’ติ วุเตฺต ‘‘เทว, ทกฺขิณยวมชฺฌกคาเม กุมฺภการกมฺมํ กตฺวา ชีวติ, ตุเมฺห ปโกฺกสถาติ สุตฺวาว อนฺหายิตฺวา มตฺติกามกฺขิเตเนว สรีเรน อาคโต’’ติ อาหฯ ราชา ‘‘สเจ มยฺหํ ปจฺจตฺถิโก อสฺส, อิสฺสริยวิธินา จเรยฺย, นายํ มม ปจฺจตฺถิโก’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘มม ปุตฺตสฺส ‘อตฺตโน ฆรํ คนฺตฺวา นฺหตฺวา อลงฺกริตฺวา มยา ทินฺนวิธาเนน อาคจฺฉตู’ติ วเทยฺยาถา’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา ปณฺฑิโต ตถา กตฺวา อาคนฺตฺวา ‘‘ปวิสตู’’ติ วุเตฺต ปวิสิตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ ราชา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ปณฺฑิตํ วีมํสโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Atha naṃ amacco āha – ‘‘paṇḍita, chatte adhivatthā devatā rājānaṃ pañhaṃ pucchi. Rājā cattāro paṇḍite pucchi. Tesu ekopi taṃ pañhaṃ kathetuṃ nāsakkhi, tasmā rājā tava santikaṃ maṃ pahiṇī’’ti. ‘‘Evaṃ sante paññāya ānubhāvaṃ kasmā na passasi, evarūpe hi kāle na issariyaṃ patiṭṭhā hoti, paññāsampannova patiṭṭhā hotī’’ti mahāsatto paññāya ānubhāvaṃ vaṇṇesi. Amacco raññā ‘‘paṇḍitaṃ diṭṭhaṭṭhāneyeva sakkāraṃ katvā ānethā’’ti dinnaṃ kahāpaṇasahassaṃ mahāsattassa hatthe ṭhapesi. Kumbhakāro ‘‘mahosadhapaṇḍito kira mayā pesakārakammaṃ kārito’’ti bhayaṃ āpajji. Atha naṃ mahāsatto ‘‘mā bhāyi, ācariya, bahūpakāro tvaṃ amhāka’’nti assāsetvā sahassaṃ datvā mattikāmakkhiteneva sarīrena rathe nisīditvā nagaraṃ pāvisi. Amacco rañño ārocetvā ‘‘tāta, kuhiṃ paṇḍito diṭṭho’’ti vutte ‘‘deva, dakkhiṇayavamajjhakagāme kumbhakārakammaṃ katvā jīvati, tumhe pakkosathāti sutvāva anhāyitvā mattikāmakkhiteneva sarīrena āgato’’ti āha. Rājā ‘‘sace mayhaṃ paccatthiko assa, issariyavidhinā careyya, nāyaṃ mama paccatthiko’’ti cintetvā ‘‘mama puttassa ‘attano gharaṃ gantvā nhatvā alaṅkaritvā mayā dinnavidhānena āgacchatū’ti vadeyyāthā’’ti āha. Taṃ sutvā paṇḍito tathā katvā āgantvā ‘‘pavisatū’’ti vutte pavisitvā rājānaṃ vanditvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Rājā paṭisanthāraṃ katvā paṇḍitaṃ vīmaṃsanto imaṃ gāthamāha –

    ‘‘สุขีปิ เหเก น กโรนฺติ ปาปํ, อวณฺณสํสคฺคภยา ปุเนเก;

    ‘‘Sukhīpi heke na karonti pāpaṃ, avaṇṇasaṃsaggabhayā puneke;

    ปหู สมาโน วิปุลตฺถจินฺตี, กิํ การณา เม น กโรสิ ทุกฺข’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๐.๑๔๘);

    Pahū samāno vipulatthacintī, kiṃ kāraṇā me na karosi dukkha’’nti. (jā. 1.10.148);

    ตตฺถ สุขีติ ปณฺฑิต, เอกเจฺจ ‘‘มยํ สุขิโน สมฺปนฺนอิสฺสริยา, อลํ โน เอตฺตเกนา’’ติ อุตฺตริ อิสฺสริยการณา ปาปํ น กโรนฺติ, เอกเจฺจ ‘‘เอวรูปสฺส โน ยสทายกสฺส สามิกสฺส อปรชฺฌนฺตานํ อวโณฺณ ภวิสฺสตี’’ติ อวณฺณสํสคฺคภยา น กโรนฺติฯ เอโก น สมโตฺถ โหติ, เอโก มนฺทปโญฺญ, ตฺวํ ปน สมโตฺถ จ วิปุลตฺถจินฺตี จ, อิจฺฉโนฺต ปน สกลชมฺพุทีเป รชฺชมฺปิ กาเรยฺยาสิฯ กิํ การณา มม รชฺชํ คเหตฺวา ทุกฺขํ น กโรสีติฯ

    Tattha sukhīti paṇḍita, ekacce ‘‘mayaṃ sukhino sampannaissariyā, alaṃ no ettakenā’’ti uttari issariyakāraṇā pāpaṃ na karonti, ekacce ‘‘evarūpassa no yasadāyakassa sāmikassa aparajjhantānaṃ avaṇṇo bhavissatī’’ti avaṇṇasaṃsaggabhayā na karonti. Eko na samattho hoti, eko mandapañño, tvaṃ pana samattho ca vipulatthacintī ca, icchanto pana sakalajambudīpe rajjampi kāreyyāsi. Kiṃ kāraṇā mama rajjaṃ gahetvā dukkhaṃ na karosīti.

    อถ นํ โพธิสโตฺต อาห –

    Atha naṃ bodhisatto āha –

    ‘‘น ปณฺฑิตา อตฺตสุขสฺส เหตุ, ปาปานิ กมฺมานิ สมาจรนฺติ;

    ‘‘Na paṇḍitā attasukhassa hetu, pāpāni kammāni samācaranti;

    ทุเกฺขน ผุฎฺฐา ขลิตาปิ สนฺตา, ฉนฺทา จ โทสา น ชหนฺติ ธมฺม’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๐.๑๔๙);

    Dukkhena phuṭṭhā khalitāpi santā, chandā ca dosā na jahanti dhamma’’nti. (jā. 1.10.149);

    ตตฺถ ขลิตาปีติ สมฺปตฺติโต ขลิตฺวา วิปตฺติยํ ฐิตสภาวา หุตฺวาปิฯ น ชหนฺติ ธมฺมนฺติ ปเวณิยธมฺมมฺปิ สุจริตธมฺมมฺปิ น ชหนฺติฯ

    Tattha khalitāpīti sampattito khalitvā vipattiyaṃ ṭhitasabhāvā hutvāpi. Na jahanti dhammanti paveṇiyadhammampi sucaritadhammampi na jahanti.

    ปุน ราชา ตสฺส วีมํสนตฺถํ ขตฺติยมายํ กเถโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Puna rājā tassa vīmaṃsanatthaṃ khattiyamāyaṃ kathento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘เยน เกนจิ วเณฺณน, มุทุนา ทารุเณน วา;

    ‘‘Yena kenaci vaṇṇena, mudunā dāruṇena vā;

    อุทฺธเร ทีนมตฺตานํ, ปจฺฉา ธมฺมํ สมาจเร’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๑๕๐);

    Uddhare dīnamattānaṃ, pacchā dhammaṃ samācare’’ti. (jā. 1.10.150);

    ตตฺถ ทีนนฺติ ทุคฺคตํ อตฺตานํ อุทฺธริตฺวา สมฺปตฺติยํ ฐเปยฺยาติฯ

    Tattha dīnanti duggataṃ attānaṃ uddharitvā sampattiyaṃ ṭhapeyyāti.

    อถสฺส มหาสโตฺต รุกฺขูปมํ ทเสฺสโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Athassa mahāsatto rukkhūpamaṃ dassento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ยสฺส รุกฺขสฺส ฉายาย, นิสีเทยฺย สเยยฺย วา;

    ‘‘Yassa rukkhassa chāyāya, nisīdeyya sayeyya vā;

    น ตสฺส สาขํ ภเญฺชยฺย, มิตฺตทุโพฺภ หิ ปาปโก’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๑๕๑);

    Na tassa sākhaṃ bhañjeyya, mittadubbho hi pāpako’’ti. (jā. 1.10.151);

    เอวญฺจ ปน วตฺวา – ‘‘มหาราช, ยทิ ปริภุตฺตรุกฺขสฺส สาขํ ภญฺชโนฺตปิ มิตฺตทุพฺภี โหติ , เยหิ ตุเมฺหหิ มม ปิตา อุฬาเร อิสฺสริเย ปติฎฺฐาปิโต, อหญฺจ มหเนฺตน อนุคฺคเหน อนุคฺคหิโต, เตสุ ตุเมฺหสุ อปรชฺฌโนฺต อหํ กถํ นาม มิตฺตทุโพฺภ น ภเวยฺย’’นฺติ สพฺพถาปิ อตฺตโน อมิตฺตทุพฺภิภาวํ กเถตฺวา รโญฺญ จิตฺตาจารํ โจเทโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Evañca pana vatvā – ‘‘mahārāja, yadi paribhuttarukkhassa sākhaṃ bhañjantopi mittadubbhī hoti , yehi tumhehi mama pitā uḷāre issariye patiṭṭhāpito, ahañca mahantena anuggahena anuggahito, tesu tumhesu aparajjhanto ahaṃ kathaṃ nāma mittadubbho na bhaveyya’’nti sabbathāpi attano amittadubbhibhāvaṃ kathetvā rañño cittācāraṃ codento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ยสฺสาปิ ธมฺมํ ปุริโส วิชญฺญา, เย จสฺส กงฺขํ วินยนฺติ สโนฺต;

    ‘‘Yassāpi dhammaṃ puriso vijaññā, ye cassa kaṅkhaṃ vinayanti santo;

    ตํ หิสฺส ทีปญฺจ ปรายณญฺจ, น เตน เมตฺติํ ชรเยถ ปโญฺญ’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๑๕๒);

    Taṃ hissa dīpañca parāyaṇañca, na tena mettiṃ jarayetha pañño’’ti. (jā. 1.10.152);

    ตสฺสโตฺถ – มหาราช, ยสฺส อาจริยสฺส สนฺติกา โย ปุริโส อปฺปมตฺตกมฺปิ ธมฺมํ การณํ ชาเนยฺย, เย จสฺส สโนฺต อุปฺปนฺนํ กงฺขํ วินยนฺติ, ตํ ตสฺส ปติฎฺฐานเฎฺฐน ทีปเญฺจว ปรายณญฺจ, ตาทิเสน อาจริเยน สทฺธิํ ปณฺฑิโต มิตฺตภาวํ นาม น ชีเรยฺย น นาเสยฺยฯ

    Tassattho – mahārāja, yassa ācariyassa santikā yo puriso appamattakampi dhammaṃ kāraṇaṃ jāneyya, ye cassa santo uppannaṃ kaṅkhaṃ vinayanti, taṃ tassa patiṭṭhānaṭṭhena dīpañceva parāyaṇañca, tādisena ācariyena saddhiṃ paṇḍito mittabhāvaṃ nāma na jīreyya na nāseyya.

    อิทานิ ตํ โอวทโนฺต อิมํ คาถาทฺวยมาห –

    Idāni taṃ ovadanto imaṃ gāthādvayamāha –

    ‘‘อลโส คิหี กามโภคี น สาธุ, อสญฺญโต ปพฺพชิโต น สาธุ;

    ‘‘Alaso gihī kāmabhogī na sādhu, asaññato pabbajito na sādhu;

    ราชา น สาธุ อนิสมฺมการี, โย ปณฺฑิโต โกธโน ตํ น สาธุฯ

    Rājā na sādhu anisammakārī, yo paṇḍito kodhano taṃ na sādhu.

    ‘‘นิสมฺม ขตฺติโย กยิรา, นานิสมฺม ทิสมฺปติ;

    ‘‘Nisamma khattiyo kayirā, nānisamma disampati;

    นิสมฺมการิโน ราช, ยโส กิตฺติ จ วฑฺฒตี’’ติฯ (ชา. ๑.๑๐.๑๕๓-๑๕๔);

    Nisammakārino rāja, yaso kitti ca vaḍḍhatī’’ti. (jā. 1.10.153-154);

    ตตฺถ น สาธูติ น สุนฺทโรฯ อนิสมฺมการีติ กิญฺจิ สุตฺวา อนุปธาเรตฺวา อตฺตโน ปจฺจกฺขํ อกตฺวา การโกฯ ยโส กิตฺติ จาติ อิสฺสริยปริวาโร จ คุณกิตฺติ จ เอกเนฺตน วฑฺฒตีติฯ

    Tattha na sādhūti na sundaro. Anisammakārīti kiñci sutvā anupadhāretvā attano paccakkhaṃ akatvā kārako. Yaso kitti cāti issariyaparivāro ca guṇakitti ca ekantena vaḍḍhatīti.

    ภูริปโญฺห นิฎฺฐิโตฯ

    Bhūripañho niṭṭhito.

    เทวตาปโญฺห

    Devatāpañho

    เอวํ วุเตฺต ราชา มหาสตฺตํ สมุสฺสิตเสตจฺฉเตฺต ราชปลฺลเงฺก นิสีทาเปตฺวา สยํ นีจาสเน นิสีทิตฺวา อาห – ‘‘ปณฺฑิต, เสตจฺฉเตฺต อธิวตฺถา เทวตา มํ จตฺตาโร ปเญฺห ปุจฺฉิ, เต อหํ น ชานามิฯ จตฺตาโรปิ ปณฺฑิตา น ชานิํสุ, กเถหิ เม, ตาต, เต ปเญฺห’’ติฯ มหาราช, ฉเตฺต อธิวตฺถา เทวตา วา โหตุ, จาตุมหาราชิกาทโย วา โหนฺตุ, เยน เกนจิ ปุจฺฉิตปญฺหํ อหํ กเถตุํ สโกฺกมิฯ วท, มหาราช, เทวตาย ปุจฺฉิตปเญฺหติฯ อถ ราชา เทวตาย ปุจฺฉิตนิยาเมเนว กเถโนฺต ปฐมํ คาถมาห –

    Evaṃ vutte rājā mahāsattaṃ samussitasetacchatte rājapallaṅke nisīdāpetvā sayaṃ nīcāsane nisīditvā āha – ‘‘paṇḍita, setacchatte adhivatthā devatā maṃ cattāro pañhe pucchi, te ahaṃ na jānāmi. Cattāropi paṇḍitā na jāniṃsu, kathehi me, tāta, te pañhe’’ti. Mahārāja, chatte adhivatthā devatā vā hotu, cātumahārājikādayo vā hontu, yena kenaci pucchitapañhaṃ ahaṃ kathetuṃ sakkomi. Vada, mahārāja, devatāya pucchitapañheti. Atha rājā devatāya pucchitaniyāmeneva kathento paṭhamaṃ gāthamāha –

    ‘‘หนฺติ หเตฺถหิ ปาเทหิ, มุขญฺจ ปริสุมฺภติ;

    ‘‘Hanti hatthehi pādehi, mukhañca parisumbhati;

    ส เว ราช ปิโย โหติ, กํ เตน ตฺวาภิปสฺสสี’’ติฯ (ชา. ๑.๔.๑๙๗);

    Sa ve rāja piyo hoti, kaṃ tena tvābhipassasī’’ti. (jā. 1.4.197);

    ตตฺถ หนฺตีติ ปหรติฯ ปริสุมฺภตีติ ปหรติเยวฯ ส เวติ โส เอวํ กโรโนฺต ปิโย โหติฯ กํ เตน ตฺวาภิปสฺสสีติ เตน ปหรณการเณน ปิยํ กตมํ ปุคฺคลํ ตฺวํ, ราช, อภิปสฺสสีติฯ

    Tattha hantīti paharati. Parisumbhatīti paharatiyeva. Sa veti so evaṃ karonto piyo hoti. Kaṃ tena tvābhipassasīti tena paharaṇakāraṇena piyaṃ katamaṃ puggalaṃ tvaṃ, rāja, abhipassasīti.

    มหาสตฺตสฺส ตํ กถํ สุตฺวาว คคนตเล ปุณฺณจโนฺท วิย อโตฺถ ปากโฎ อโหสิฯ อถ มหาสโตฺต ‘‘สุณ, มหาราช, ยทา หิ มาตุอเงฺก นิปโนฺน ทหรกุมาโร หฎฺฐตุโฎฺฐ กีฬโนฺต มาตรํ หตฺถปาเทหิ ปหรติ, เกเส ลุญฺจติ, มุฎฺฐินา มุขํ ปหรติ, ตทา นํ มาตา ‘โจรปุตฺตก, กถํ ตฺวํ โน เอวํ ปหรสี’ติอาทีนิ เปมสิเนหวเสเนว วตฺวา เปมํ สนฺธาเรตุํ อสโกฺกนฺตี อาลิงฺคิตฺวา ถนนฺตเร นิปชฺชาเปตฺวา มุขํ ปริจุมฺพติฯ อิติ โส ตสฺสา เอวรูเป กาเล ปิยตโร โหติ, ตถา ปิตุโนปี’’ติ เอวํ คคนมเชฺฌ สูริยํ อุฎฺฐาเปโนฺต วิย ปากฎํ กตฺวา ปญฺหํ กเถสิฯ ตํ สุตฺวา เทวตา ฉตฺตปิณฺฑิกํ วิวริตฺวา นิกฺขมิตฺวา อุปฑฺฒํ สรีรํ ทเสฺสตฺวา ‘‘สุกถิโต ปณฺฑิเตน ปโญฺห’’ติ มธุรสฺสเรน สาธุการํ ทตฺวา รตนจโงฺกฎกํ ปูเรตฺวา ทิพฺพปุปฺผคนฺธวาเสหิ โพธิสตฺตํ ปูเชตฺวา อนฺตรธายิฯ ราชาปิ ปณฺฑิตํ ปุปฺผาทีหิ ปูเชตฺวา อิตรํ ปญฺหํ ยาจิตฺวา ‘‘วท, มหาราชา’’ติ วุเตฺต ทุติยํ คาถมาห –

    Mahāsattassa taṃ kathaṃ sutvāva gaganatale puṇṇacando viya attho pākaṭo ahosi. Atha mahāsatto ‘‘suṇa, mahārāja, yadā hi mātuaṅke nipanno daharakumāro haṭṭhatuṭṭho kīḷanto mātaraṃ hatthapādehi paharati, kese luñcati, muṭṭhinā mukhaṃ paharati, tadā naṃ mātā ‘coraputtaka, kathaṃ tvaṃ no evaṃ paharasī’tiādīni pemasinehavaseneva vatvā pemaṃ sandhāretuṃ asakkontī āliṅgitvā thanantare nipajjāpetvā mukhaṃ paricumbati. Iti so tassā evarūpe kāle piyataro hoti, tathā pitunopī’’ti evaṃ gaganamajjhe sūriyaṃ uṭṭhāpento viya pākaṭaṃ katvā pañhaṃ kathesi. Taṃ sutvā devatā chattapiṇḍikaṃ vivaritvā nikkhamitvā upaḍḍhaṃ sarīraṃ dassetvā ‘‘sukathito paṇḍitena pañho’’ti madhurassarena sādhukāraṃ datvā ratanacaṅkoṭakaṃ pūretvā dibbapupphagandhavāsehi bodhisattaṃ pūjetvā antaradhāyi. Rājāpi paṇḍitaṃ pupphādīhi pūjetvā itaraṃ pañhaṃ yācitvā ‘‘vada, mahārājā’’ti vutte dutiyaṃ gāthamāha –

    ‘‘อโกฺกสติ ยถากามํ, อาคมญฺจสฺส อิจฺฉติ;

    ‘‘Akkosati yathākāmaṃ, āgamañcassa icchati;

    ส เว ราช ปิโย โหติ, กํ เตน ตฺวาภิปสฺสสี’’ติฯ (ชา. ๑.๔.๑๙๘);

    Sa ve rāja piyo hoti, kaṃ tena tvābhipassasī’’ti. (jā. 1.4.198);

    อถสฺส มหาสโตฺต – ‘‘มหาราช, มาตา วจนเปสนํ กาตุํ สมตฺถํ สตฺตฎฺฐวสฺสิกํ ปุตฺตํ ‘ตาต, เขตฺตํ คจฺฉ, อนฺตราปณํ คจฺฉา’ติอาทีนิ วตฺวา ‘อมฺม, สเจ อิทญฺจิทญฺจ ขาทนียํ โภชนียํ ทสฺสสิ, คมิสฺสามี’ติ วุเตฺต ‘สาธุ, ปุตฺต, คณฺหาหี’ติ วตฺวา เทติฯ โส ทารโก ตํ ขาทิตฺวา พหิ คนฺตฺวา ทารเกหิ สทฺธิํ กีฬิตฺวา มาตุเปสนํ น คจฺฉติฯ มาตรา ‘‘ตาต, คจฺฉาหี’ติ วุเตฺต โส มาตรํ ‘อมฺม, ตฺวํ สีตาย ฆรจฺฉายาย นิสีทสิ, กิํ ปน อหํ ตว พหิ เปสนกมฺมํ กริสฺสามิ, อหํ ตํ วเญฺจมี’ติ วตฺวา หตฺถวิการมุขวิกาเร กตฺวา คโตฯ สา คจฺฉนฺตํ ทิสฺวา กุชฺฌิตฺวา ทณฺฑกํ คเหตฺวา ‘ตฺวํ มม สนฺตกํ ขาทิตฺวา เขเตฺต กิจฺจํ กาตุํ น อิจฺฉสี’ติ ตเชฺชนฺตี เวเคน ปลายนฺตํ อนุพนฺธิตฺวา ปาปุณิตุํ อสโกฺกนฺตี ‘โจรา ตํ ขณฺฑาขณฺฑํ ฉินฺทนฺตู’ติอาทีนิ วตฺวา ยถากามํ อโกฺกสติ ปริภาสติฯ ยํ ปน มุเขน ภณติ, ตถา หทเย อปฺปมตฺตกมฺปิ น อิจฺฉติ, อาคมนญฺจสฺส อิจฺฉติ, โส ทิวสภาคํ กีฬิตฺวา สายํ เคหํ ปวิสิตุํ อวิสหโนฺต ญาตกานํ สนฺติกํ คจฺฉติฯ มาตาปิสฺส อาคมนมคฺคํ โอโลเกนฺตี อนาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา ‘ปวิสิตุํ น วิสหติ มเญฺญ’ติ โสกสฺส หทยํ ปูเรตฺวา อสฺสุปุเณฺณหิ เนเตฺตหิ ญาติฆเร อุปธาเรนฺตี ปุตฺตํ ทิสฺวา อาลิงฺคิตฺวา สีเส จุมฺพิตฺวา อุโภหิ หเตฺถหิ ทฬฺหํ คเหตฺวา ‘ตาต ปิยปุตฺตก, มม วจนํ หทเย ฐเปสี’ติ อติเรกตรํ เปมํ อุปฺปาเทสิฯ เอวํ, มหาราช, มาตุยา กุทฺธกาเล ปุโตฺต ปิยตโร นาม โหตี’’ติ ทุติยํ ปญฺหํ กเถสิฯ เทวตา ตเถว ปูเชสิฯ

    Athassa mahāsatto – ‘‘mahārāja, mātā vacanapesanaṃ kātuṃ samatthaṃ sattaṭṭhavassikaṃ puttaṃ ‘tāta, khettaṃ gaccha, antarāpaṇaṃ gacchā’tiādīni vatvā ‘amma, sace idañcidañca khādanīyaṃ bhojanīyaṃ dassasi, gamissāmī’ti vutte ‘sādhu, putta, gaṇhāhī’ti vatvā deti. So dārako taṃ khāditvā bahi gantvā dārakehi saddhiṃ kīḷitvā mātupesanaṃ na gacchati. Mātarā ‘‘tāta, gacchāhī’ti vutte so mātaraṃ ‘amma, tvaṃ sītāya gharacchāyāya nisīdasi, kiṃ pana ahaṃ tava bahi pesanakammaṃ karissāmi, ahaṃ taṃ vañcemī’ti vatvā hatthavikāramukhavikāre katvā gato. Sā gacchantaṃ disvā kujjhitvā daṇḍakaṃ gahetvā ‘tvaṃ mama santakaṃ khāditvā khette kiccaṃ kātuṃ na icchasī’ti tajjentī vegena palāyantaṃ anubandhitvā pāpuṇituṃ asakkontī ‘corā taṃ khaṇḍākhaṇḍaṃ chindantū’tiādīni vatvā yathākāmaṃ akkosati paribhāsati. Yaṃ pana mukhena bhaṇati, tathā hadaye appamattakampi na icchati, āgamanañcassa icchati, so divasabhāgaṃ kīḷitvā sāyaṃ gehaṃ pavisituṃ avisahanto ñātakānaṃ santikaṃ gacchati. Mātāpissa āgamanamaggaṃ olokentī anāgacchantaṃ disvā ‘pavisituṃ na visahati maññe’ti sokassa hadayaṃ pūretvā assupuṇṇehi nettehi ñātighare upadhārentī puttaṃ disvā āliṅgitvā sīse cumbitvā ubhohi hatthehi daḷhaṃ gahetvā ‘tāta piyaputtaka, mama vacanaṃ hadaye ṭhapesī’ti atirekataraṃ pemaṃ uppādesi. Evaṃ, mahārāja, mātuyā kuddhakāle putto piyataro nāma hotī’’ti dutiyaṃ pañhaṃ kathesi. Devatā tatheva pūjesi.

    ราชาปิ ปูเชตฺวา ตติยํ ปญฺหํ ยาจิตฺวา ‘‘วท, มหาราชา’’ติ วุเตฺต ตติยํ คาถมาห –

    Rājāpi pūjetvā tatiyaṃ pañhaṃ yācitvā ‘‘vada, mahārājā’’ti vutte tatiyaṃ gāthamāha –

    ‘‘อพฺภกฺขาติ อภูเตน, อลิเกนาภิสารเย;

    ‘‘Abbhakkhāti abhūtena, alikenābhisāraye;

    ส เว ราช ปิโย โหติ, กํ เตน ตฺวาภิปสฺสสี’’ติฯ (ชา. ๑.๔.๑๙๙);

    Sa ve rāja piyo hoti, kaṃ tena tvābhipassasī’’ti. (jā. 1.4.199);

    อถสฺส มหาสโตฺต ‘‘ราช, ยทา อุโภ ชยมฺปติกา รโหคตา โลกสฺสาทรติยา กีฬนฺตา ‘ภเทฺท, ตว มยิ เปมํ นตฺถิ, หทยํ เต พหิ คต’นฺติ เอวํ อญฺญมญฺญํ อภูเตน อพฺภาจิกฺขนฺติ, อลิเกน สาเรนฺติ โจเทนฺติ, ตทา เต อติเรกตรํ อญฺญมญฺญํ ปิยายนฺติฯ เอวมสฺส ปญฺหสฺส อตฺถํ ชานาหี’’ติ กเถสิฯ เทวตา ตเถว ปูเชสิฯ

    Athassa mahāsatto ‘‘rāja, yadā ubho jayampatikā rahogatā lokassādaratiyā kīḷantā ‘bhadde, tava mayi pemaṃ natthi, hadayaṃ te bahi gata’nti evaṃ aññamaññaṃ abhūtena abbhācikkhanti, alikena sārenti codenti, tadā te atirekataraṃ aññamaññaṃ piyāyanti. Evamassa pañhassa atthaṃ jānāhī’’ti kathesi. Devatā tatheva pūjesi.

    ราชาปิ ปูเชตฺวา อิตรํ ปญฺหํ ยาจิตฺวา ‘‘วท, มหาราชา’’ติ วุเตฺต จตุตฺถํ คาถมาห –

    Rājāpi pūjetvā itaraṃ pañhaṃ yācitvā ‘‘vada, mahārājā’’ti vutte catutthaṃ gāthamāha –

    ‘‘หรํ อนฺนญฺจ ปานญฺจ, วตฺถเสนาสนานิ จ;

    ‘‘Haraṃ annañca pānañca, vatthasenāsanāni ca;

    อญฺญทตฺถุหรา สนฺตา, เต เว ราช ปิยา โหนฺติ;

    Aññadatthuharā santā, te ve rāja piyā honti;

    กํ เตน ตฺวาภิปสฺสสี’’ติฯ (ชา. ๑.๔.๒๐๐);

    Kaṃ tena tvābhipassasī’’ti. (jā. 1.4.200);

    อถสฺส มหาสโตฺต ‘‘มหาราช, อยํ ปโญฺห ธมฺมิกสมณพฺราหฺมเณ สนฺธาย วุโตฺตฯ สทฺธานิ หิ กุลานิ อิธโลกปรโลกํ สทฺทหิตฺวา เทนฺติ เจว ทาตุกามานิ จ โหนฺติ, ตานิ ตถารูเป สมณพฺราหฺมเณ ยาจเนฺตปิ ลทฺธํ หรเนฺต ภุญฺชเนฺตปิ ทิสฺวา ‘อเมฺหเยว ยาจนฺติ, อมฺหากํเยว สนฺตกานิ อนฺนปานาทีนิ ปริภุญฺชนฺตี’ติ เตสุ อติเรกตรํ เปมํ กโรนฺติฯ เอวํ โข, มหาราช, อญฺญทตฺถุหรา สนฺตา เอกํเสน ยาจนฺตา เจว ลทฺธํ หรนฺตา จ สมานา ปิยา โหนฺตี’’ติ กเถสิฯ อิมสฺมิํ ปน ปเญฺห กถิเต เทวตา ตเถว ปูเชตฺวา สาธุการํ ทตฺวา สตฺตรตนปูรํ รตนจโงฺกฎกํ ‘‘คณฺห, มหาปณฺฑิตา’’ติ มหาสตฺตสฺส ปาทมูเล ขิปิฯ ราชาปิสฺส อติเรกตรํ ปูชํ กโรโนฺต อติวิย ปสีทิตฺวา เสนาปติฎฺฐานํ อทาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย มหาสตฺตสฺส ยโส มหา อโหสิฯ

    Athassa mahāsatto ‘‘mahārāja, ayaṃ pañho dhammikasamaṇabrāhmaṇe sandhāya vutto. Saddhāni hi kulāni idhalokaparalokaṃ saddahitvā denti ceva dātukāmāni ca honti, tāni tathārūpe samaṇabrāhmaṇe yācantepi laddhaṃ harante bhuñjantepi disvā ‘amheyeva yācanti, amhākaṃyeva santakāni annapānādīni paribhuñjantī’ti tesu atirekataraṃ pemaṃ karonti. Evaṃ kho, mahārāja, aññadatthuharā santā ekaṃsena yācantā ceva laddhaṃ harantā ca samānā piyā hontī’’ti kathesi. Imasmiṃ pana pañhe kathite devatā tatheva pūjetvā sādhukāraṃ datvā sattaratanapūraṃ ratanacaṅkoṭakaṃ ‘‘gaṇha, mahāpaṇḍitā’’ti mahāsattassa pādamūle khipi. Rājāpissa atirekataraṃ pūjaṃ karonto ativiya pasīditvā senāpatiṭṭhānaṃ adāsi. Tato paṭṭhāya mahāsattassa yaso mahā ahosi.

    เทวตาปโญฺห นิฎฺฐิโตฯ

    Devatāpañho niṭṭhito.

    ปญฺจปณฺฑิตปโญฺห

    Pañcapaṇḍitapañho

    ปุน เต จตฺตาโร ปณฺฑิตา ‘‘อโมฺภ, คหปติปุโตฺต อิทานิ มหนฺตตโร ชาโต, กิํ กโรมา’’ติ มนฺตยิํสุฯ อถ เน เสนโก อาห – ‘‘โหตุ ทิโฎฺฐ เม อุปาโย, มยํ คหปติปุตฺตํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘รหสฺสํ นาม กสฺส กเถตุํ วฎฺฎตี’ติ ปุจฺฉิสฺสาม, โส ‘น กสฺสจิ กเถตพฺพ’นฺติ วกฺขติฯ อถ นํ ‘คหปติปุโตฺต เต, เทว, ปจฺจตฺถิโก ชาโต’ติ ปริภินฺทิสฺสามา’’ติฯ เต จตฺตาโรปิ ปณฺฑิตา ตสฺส ฆรํ คนฺตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘ปณฺฑิต, ปญฺหํ ปุจฺฉิตุกามมฺหา’’ติ วตฺวา ‘‘ปุจฺฉถา’’ติ วุเตฺต เสนโก ปุจฺฉิ ‘‘ปณฺฑิต, ปุริเสน นาม กตฺถ ปติฎฺฐาตพฺพ’’นฺติ? ‘‘สเจฺจ ปติฎฺฐาตพฺพ’’นฺติฯ ‘‘สเจฺจ ปติฎฺฐิเตน กิํ อุปฺปาเทตพฺพ’’นฺติ? ‘‘ธนํ อุปฺปาเทตพฺพ’’นฺติฯ ‘‘ธนํ อุปฺปาเทตฺวา กิํ กาตพฺพ’’นฺติ? ‘‘มโนฺต คเหตโพฺพ’’ติฯ ‘‘มนฺตํ คเหตฺวา กิํ กาตพฺพ’’นฺติ? ‘‘อตฺตโน รหสฺสํ ปรสฺส น กเถตพฺพ’’นฺติฯ เต ‘‘สาธุ ปณฺฑิตา’’ติ วตฺวา ตุฎฺฐมานสา หุตฺวา ‘‘อิทานิ คหปติปุตฺตสฺส ปิฎฺฐิํ ปสฺสิสฺสามา’’ติ รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘มหาราช, คหปติปุโตฺต เต ปจฺจตฺถิโก ชาโต’’ติ วทิํสุฯ ‘‘นาหํ ตุมฺหากํ วจนํ สทฺทหามิ, น โส มยฺหํ ปจฺจตฺถิโก ภวิสฺสตี’’ติ ฯ สจฺจํ, มหาราช, สทฺทหถ, อสทฺทหโนฺต ปน ตเมว ปุจฺฉถ ‘‘ปณฺฑิต, อตฺตโน รหสฺสํ นาม กสฺส กเถตพฺพ’’นฺติ? สเจ ปจฺจตฺถิโก น ภวิสฺสติ, ‘‘อสุกสฺส นาม กเถตพฺพ’’นฺติ วกฺขติฯ สเจ ปจฺจตฺถิโก ภวิสฺสติ, ‘‘กสฺสจิ น กเถตพฺพํ, มโนรเถ ปริปุเณฺณ กเถตพฺพ’’นฺติ วกฺขติฯ ตทา อมฺหากํ วจนํ สทฺทหิตฺวา นิกฺกงฺขา ภเวยฺยาถาติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา เอกทิวสํ สเพฺพสุ สมาคนฺตฺวา นิสิเนฺนสุ วีสตินิปาเต ปญฺจปณฺฑิตปเญฺห ปฐมํ คาถมาห –

    Puna te cattāro paṇḍitā ‘‘ambho, gahapatiputto idāni mahantataro jāto, kiṃ karomā’’ti mantayiṃsu. Atha ne senako āha – ‘‘hotu diṭṭho me upāyo, mayaṃ gahapatiputtaṃ upasaṅkamitvā ‘rahassaṃ nāma kassa kathetuṃ vaṭṭatī’ti pucchissāma, so ‘na kassaci kathetabba’nti vakkhati. Atha naṃ ‘gahapatiputto te, deva, paccatthiko jāto’ti paribhindissāmā’’ti. Te cattāropi paṇḍitā tassa gharaṃ gantvā paṭisanthāraṃ katvā ‘‘paṇḍita, pañhaṃ pucchitukāmamhā’’ti vatvā ‘‘pucchathā’’ti vutte senako pucchi ‘‘paṇḍita, purisena nāma kattha patiṭṭhātabba’’nti? ‘‘Sacce patiṭṭhātabba’’nti. ‘‘Sacce patiṭṭhitena kiṃ uppādetabba’’nti? ‘‘Dhanaṃ uppādetabba’’nti. ‘‘Dhanaṃ uppādetvā kiṃ kātabba’’nti? ‘‘Manto gahetabbo’’ti. ‘‘Mantaṃ gahetvā kiṃ kātabba’’nti? ‘‘Attano rahassaṃ parassa na kathetabba’’nti. Te ‘‘sādhu paṇḍitā’’ti vatvā tuṭṭhamānasā hutvā ‘‘idāni gahapatiputtassa piṭṭhiṃ passissāmā’’ti rañño santikaṃ gantvā ‘‘mahārāja, gahapatiputto te paccatthiko jāto’’ti vadiṃsu. ‘‘Nāhaṃ tumhākaṃ vacanaṃ saddahāmi, na so mayhaṃ paccatthiko bhavissatī’’ti . Saccaṃ, mahārāja, saddahatha, asaddahanto pana tameva pucchatha ‘‘paṇḍita, attano rahassaṃ nāma kassa kathetabba’’nti? Sace paccatthiko na bhavissati, ‘‘asukassa nāma kathetabba’’nti vakkhati. Sace paccatthiko bhavissati, ‘‘kassaci na kathetabbaṃ, manorathe paripuṇṇe kathetabba’’nti vakkhati. Tadā amhākaṃ vacanaṃ saddahitvā nikkaṅkhā bhaveyyāthāti. So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā ekadivasaṃ sabbesu samāgantvā nisinnesu vīsatinipāte pañcapaṇḍitapañhe paṭhamaṃ gāthamāha –

    ‘‘ปญฺจ ปณฺฑิตา สมาคตาตฺถ, ปญฺหา เม ปฎิภาติ ตํ สุณาถ;

    ‘‘Pañca paṇḍitā samāgatāttha, pañhā me paṭibhāti taṃ suṇātha;

    นินฺทิยมตฺถํ ปสํสิยํ วา, กเสฺสวาวิกเรยฺย คุยฺหมตฺถ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๑๕);

    Nindiyamatthaṃ pasaṃsiyaṃ vā, kassevāvikareyya guyhamattha’’nti. (jā. 1.15.315);

    เอวํ วุเตฺต เสนโก ‘‘ราชานมฺปิ อมฺหากํเยว อพฺภนฺตเร ปกฺขิปิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Evaṃ vutte senako ‘‘rājānampi amhākaṃyeva abbhantare pakkhipissāmī’’ti cintetvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ตฺวํ อาวิกโรหิ ภูมิปาล, ภตฺตา ภารสโห ตุวํ วเทตํ;

    ‘‘Tvaṃ āvikarohi bhūmipāla, bhattā bhārasaho tuvaṃ vadetaṃ;

    ตว ฉนฺทรุจีนิ สมฺมสิตฺวา, อถ วกฺขนฺติ ชนินฺท ปญฺจ ธีรา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๑๖);

    Tava chandarucīni sammasitvā, atha vakkhanti janinda pañca dhīrā’’ti. (jā. 1.15.316);

    ตตฺถ ภตฺตาติ ตฺวํ อมฺหากํ สามิโก เจว อุปฺปนฺนสฺส จ ภารสฺส สโห, ปฐมํ ตาว ตฺวเมว เอตํ วเทหิฯ ตว ฉนฺทรุจีนีติ ปจฺฉา ตว ฉนฺทเญฺจว รุจฺจนการณานิ จ สมฺมสิตฺวา อิเม ปญฺจ ปณฺฑิตา วกฺขนฺติฯ

    Tattha bhattāti tvaṃ amhākaṃ sāmiko ceva uppannassa ca bhārassa saho, paṭhamaṃ tāva tvameva etaṃ vadehi. Tava chandarucīnīti pacchā tava chandañceva ruccanakāraṇāni ca sammasitvā ime pañca paṇḍitā vakkhanti.

    อถ ราชา อตฺตโน กิเลสวสิกตาย อิมํ คาถมาห –

    Atha rājā attano kilesavasikatāya imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ยา สีลวตี อนญฺญเถยฺยา, ภตฺตุจฺฉนฺทวสานุคา ปิยา มนาปา;

    ‘‘Yā sīlavatī anaññatheyyā, bhattucchandavasānugā piyā manāpā;

    นินฺทิยมตฺถํ ปสํสิยํ วา, ภริยายาวิกเรยฺย คุยฺหมตฺถ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๑๗);

    Nindiyamatthaṃ pasaṃsiyaṃ vā, bhariyāyāvikareyya guyhamattha’’nti. (jā. 1.15.317);

    ตตฺถ อนญฺญเถยฺยาติ กิเลสวเสน อเญฺญน น เถนิตพฺพาฯ

    Tattha anaññatheyyāti kilesavasena aññena na thenitabbā.

    ตโต เสนโก ‘‘อิทานิ ราชานํ อมฺหากํ อพฺภนฺตเร ปกฺขิปิมฺหา’’ติ ตุสฺสิตฺวา สยํกตการณเมว ทีเปโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Tato senako ‘‘idāni rājānaṃ amhākaṃ abbhantare pakkhipimhā’’ti tussitvā sayaṃkatakāraṇameva dīpento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘โย กิจฺฉคตสฺส อาตุรสฺส, สรณํ โหติ คตี ปรายณญฺจ;

    ‘‘Yo kicchagatassa āturassa, saraṇaṃ hoti gatī parāyaṇañca;

    นินฺทิยมตฺถํ ปสํสิยํ วา, สขิโนวาวิกเรยฺย คุยฺหมตฺถ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๑๘);

    Nindiyamatthaṃ pasaṃsiyaṃ vā, sakhinovāvikareyya guyhamattha’’nti. (jā. 1.15.318);

    อถ ราชา ปุกฺกุสํ ปุจฺฉิ ‘‘กถํ, ปุกฺกุส, ปสฺสสิ, นินฺทิยํ วา ปสํสิยํ วา รหสฺสํ กสฺส กเถตพฺพ’’นฺติ? โส กเถโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Atha rājā pukkusaṃ pucchi ‘‘kathaṃ, pukkusa, passasi, nindiyaṃ vā pasaṃsiyaṃ vā rahassaṃ kassa kathetabba’’nti? So kathento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘เชโฎฺฐ อถ มชฺฌิโม กนิโฎฺฐ, โย เจ สีลสมาหิโต ฐิตโตฺต;

    ‘‘Jeṭṭho atha majjhimo kaniṭṭho, yo ce sīlasamāhito ṭhitatto;

    นินฺทิยมตฺถํ ปสํสิยํ วา, ภาตุวาวิกเรยฺย คุยฺหมตฺถ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๑๙);

    Nindiyamatthaṃ pasaṃsiyaṃ vā, bhātuvāvikareyya guyhamattha’’nti. (jā. 1.15.319);

    ตตฺถ ฐิตโตฺตติ ฐิตสภาโว นิพฺพิเสวโนฯ

    Tattha ṭhitattoti ṭhitasabhāvo nibbisevano.

    ตโต ราชา กามินฺทํ ปุจฺฉิ ‘‘กถํ กามินฺท ปสฺสสิ, รหสฺสํ กสฺส กเถตพฺพ’’นฺติ? โส กเถโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Tato rājā kāmindaṃ pucchi ‘‘kathaṃ kāminda passasi, rahassaṃ kassa kathetabba’’nti? So kathento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘โย เว ปิตุหทยสฺส ปทฺธคู, อนุชาโต ปิตรํ อโนมปโญฺญ;

    ‘‘Yo ve pituhadayassa paddhagū, anujāto pitaraṃ anomapañño;

    นินฺทิยมตฺถํ ปสํสิยํ วา, ปุตฺตสฺสาวิกเรยฺย คุยฺหมตฺถ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๒๐);

    Nindiyamatthaṃ pasaṃsiyaṃ vā, puttassāvikareyya guyhamattha’’nti. (jā. 1.15.320);

    ตตฺถ ปทฺธคูติ เปสนการโก โย ปิตุสฺส เปสนํ กโรติ, ปิตุ จิตฺตสฺส วเส วตฺตติ, โอวาทกฺขโม โหตีติ อโตฺถฯ อนุชาโตติ ตโย ปุตฺตา อติชาโต จ อนุชาโต จ อวชาโต จาติฯ อนุปฺปนฺนํ ยสํ อุปฺปาเทโนฺต อติชาโต, กุลภาโร อวชาโต, กุลปเวณิรกฺขโก ปน อนุชาโตฯ ตํ สนฺธาย เอวมาหฯ

    Tattha paddhagūti pesanakārako yo pitussa pesanaṃ karoti, pitu cittassa vase vattati, ovādakkhamo hotīti attho. Anujātoti tayo puttā atijāto ca anujāto ca avajāto cāti. Anuppannaṃ yasaṃ uppādento atijāto, kulabhāro avajāto, kulapaveṇirakkhako pana anujāto. Taṃ sandhāya evamāha.

    ตโต ราชา เทวินฺทํ ปุจฺฉิ – ‘‘กถํ เทวินฺท, ปสฺสสิ, รหสฺสํ กสฺส กเถตพฺพ’’นฺติ? โส อตฺตโน กตการณเมว กเถโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Tato rājā devindaṃ pucchi – ‘‘kathaṃ devinda, passasi, rahassaṃ kassa kathetabba’’nti? So attano katakāraṇameva kathento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘มาตา ทฺวิปทาชนินฺทเสฎฺฐ, ยา นํ โปเสติ ฉนฺทสา ปิเยน;

    ‘‘Mātā dvipadājanindaseṭṭha, yā naṃ poseti chandasā piyena;

    นินฺทิยมตฺถํ ปสํสิยํ วา, มาตุยาวิกเรยฺย คุยฺหมตฺถ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๒๑);

    Nindiyamatthaṃ pasaṃsiyaṃ vā, mātuyāvikareyya guyhamattha’’nti. (jā. 1.15.321);

    ตตฺถ ทฺวิปทาชนินฺทเสฎฺฐาติ ทฺวิปทานํ เสฎฺฐ, ชนินฺทฯ ฉนฺทสา ปิเยนาติ ฉเนฺทน เจว เปเมน จฯ

    Tattha dvipadājanindaseṭṭhāti dvipadānaṃ seṭṭha, janinda. Chandasā piyenāti chandena ceva pemena ca.

    เอวํ เต ปุจฺฉิตฺวา ราชา ปณฺฑิตํ ปุจฺฉิ ‘‘กถํ ปสฺสสิ, ปณฺฑิต, รหสฺสํ กสฺส กเถตพฺพ’’นฺติฯ ‘‘มหาราช, ยาว อตฺตโน อิจฺฉิตํ น นิปฺผชฺชติ, ตาว ปณฺฑิโต อธิวาเสยฺย, กสฺสจิ น กเถยฺยา’’ติ โส อิมํ คาถมาห –

    Evaṃ te pucchitvā rājā paṇḍitaṃ pucchi ‘‘kathaṃ passasi, paṇḍita, rahassaṃ kassa kathetabba’’nti. ‘‘Mahārāja, yāva attano icchitaṃ na nipphajjati, tāva paṇḍito adhivāseyya, kassaci na katheyyā’’ti so imaṃ gāthamāha –

    ‘‘คุยฺหสฺส หิ คุยฺหเมว สาธุ, น หิ คุยฺหสฺส ปสตฺถมาวิกมฺมํ;

    ‘‘Guyhassa hi guyhameva sādhu, na hi guyhassa pasatthamāvikammaṃ;

    อนิปฺผนฺนตา สเหยฺย ธีโร, นิปฺผโนฺนว ยถาสุขํ ภเณยฺยา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๒๒);

    Anipphannatā saheyya dhīro, nipphannova yathāsukhaṃ bhaṇeyyā’’ti. (jā. 1.15.322);

    ตตฺถ อนิปฺผนฺนตาติ มหาราช, ยาว อตฺตโน อิจฺฉิตํ น นิปฺผชฺชติ, ตาว ปณฺฑิโต อธิวาเสยฺย, น กสฺสจิ กเถยฺยาติฯ

    Tattha anipphannatāti mahārāja, yāva attano icchitaṃ na nipphajjati, tāva paṇḍito adhivāseyya, na kassaci katheyyāti.

    ปณฺฑิเตน ปน เอวํ วุเตฺต ราชา อนตฺตมโน อโหสิฯ เสนโก ราชานํ โอโลเกสิ, ราชาปิ เสนกมุขํ โอโลเกสิฯ โพธิสโตฺต เตสํ กิริยํ ทิสฺวาว ชานิ ‘‘อิเม จตฺตาโร ชนา ปฐมเมว มํ รโญฺญ อนฺตเร ปริภินฺทิํสุ, วีมํสนวเสน ปโญฺห ปุจฺฉิโต ภวิสฺสตี’’ติฯ เตสํ ปน กเถนฺตานเญฺญว สูริโย อตฺถงฺคโต, ทีปา ชลิตาฯ ปณฺฑิโต ‘‘ราชกมฺมานิ นาม ภาริยานิ, น ปญฺญายติ ‘กิํ ภวิสฺสตี’ติ, ขิปฺปเมว คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ อุฎฺฐายาสนา ราชานํ วนฺทิตฺวา นิกฺขมิตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อิเมสุ เอโก ‘สหายกสฺส กเถตุํ วฎฺฎตี’ติ อาห , เอโก ‘ภาตุสฺส, เอโก ปุตฺตสฺส, เอโก มาตุ กเถตุํ วฎฺฎตี’ติ อาหฯ อิเมหิ เอตํ กตเมว ภวิสฺสติ, ทิฎฺฐเมว กถิตนฺติ มญฺญามิ, โหตุ อเชฺชว เอตํ ชานิสฺสามี’’ติฯ เต ปน จตฺตาโรปิ อเญฺญสุ ทิวเสสุ ราชกุลา นิกฺขมิตฺวา ราชนิเวสนทฺวาเร เอกสฺส ภตฺตอมฺพณสฺส ปิเฎฺฐ นิสีทิตฺวา กิจฺจกรณียานิ มเนฺตตฺวา ฆรานิ คจฺฉนฺติฯ ตสฺมา ปณฺฑิโต ‘‘อหํ เอเตสํ จตุนฺนํ รหสฺสํ อมฺพณสฺส เหฎฺฐา นิปชฺชิตฺวา ชานิตุํ สกฺกุเณยฺย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา ตํ อมฺพณํ อุกฺขิปาเปตฺวา อตฺถรณํ อตฺถราเปตฺวา อมฺพณสฺส เหฎฺฐา ปวิสิตฺวา ปุริสานํ สญฺญํ อทาสิ ‘‘ตุเมฺห จตูสุ ปณฺฑิเตสุ มเนฺตตฺวา คเตสุ อาคนฺตฺวา มํ อาเนยฺยาถา’’ติฯ เต ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ปกฺกมิํสุฯ เสนโกปิ ราชานํ อาห – ‘‘มหาราช, อมฺหากํ วจนํ น สทฺทหถ, อิทานิ กิํ กริสฺสถา’’ติฯ โส ตสฺส วจนํ คเหตฺวา อนิสาเมตฺวาว ภีตตสิโต หุตฺวา ‘‘อิทานิ กิํ กโรม, เสนก ปณฺฑิตา’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มหาราช, ปปญฺจํ อกตฺวา กญฺจิ อชานาเปตฺวา คหปติปุตฺตํ มาเรตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ราชา ‘‘เสนก, ฐเปตฺวา ตุเมฺห อโญฺญ มม อตฺถกาโม นาม นตฺถิ, ตุเมฺห อตฺตโน สุหเท คเหตฺวา ทฺวารนฺตเร ฐตฺวา คหปติปุตฺตสฺส ปาโตว อุปฎฺฐานํ อาคจฺฉนฺตสฺส ขเคฺคน สีสํ ฉินฺทถา’’ติ อตฺตโน ขคฺครตนํ อทาสิฯ เต ‘‘สาธุ, เทว, มา ภายิ, มยํ ตํ มาเรสฺสามา’’ติ วตฺวา นิกฺขมิตฺวา ‘‘ทิฎฺฐา โน ปจฺจามิตฺตสฺส ปิฎฺฐี’’ติ ภตฺตอมฺพณสฺส ปิเฎฺฐ นิสีทิํสุฯ ตโต เสนโก อาห ‘‘อโมฺภ, โก คหปติปุตฺตํ มาเรสฺสตี’’ติฯ อิตเร ‘‘ตุเมฺหเยว อาจริย, มาเรถา’’ติ ตเสฺสว ภารํ กริํสุฯ

    Paṇḍitena pana evaṃ vutte rājā anattamano ahosi. Senako rājānaṃ olokesi, rājāpi senakamukhaṃ olokesi. Bodhisatto tesaṃ kiriyaṃ disvāva jāni ‘‘ime cattāro janā paṭhamameva maṃ rañño antare paribhindiṃsu, vīmaṃsanavasena pañho pucchito bhavissatī’’ti. Tesaṃ pana kathentānaññeva sūriyo atthaṅgato, dīpā jalitā. Paṇḍito ‘‘rājakammāni nāma bhāriyāni, na paññāyati ‘kiṃ bhavissatī’ti, khippameva gantuṃ vaṭṭatī’’ti uṭṭhāyāsanā rājānaṃ vanditvā nikkhamitvā cintesi ‘‘imesu eko ‘sahāyakassa kathetuṃ vaṭṭatī’ti āha , eko ‘bhātussa, eko puttassa, eko mātu kathetuṃ vaṭṭatī’ti āha. Imehi etaṃ katameva bhavissati, diṭṭhameva kathitanti maññāmi, hotu ajjeva etaṃ jānissāmī’’ti. Te pana cattāropi aññesu divasesu rājakulā nikkhamitvā rājanivesanadvāre ekassa bhattaambaṇassa piṭṭhe nisīditvā kiccakaraṇīyāni mantetvā gharāni gacchanti. Tasmā paṇḍito ‘‘ahaṃ etesaṃ catunnaṃ rahassaṃ ambaṇassa heṭṭhā nipajjitvā jānituṃ sakkuṇeyya’’nti cintetvā taṃ ambaṇaṃ ukkhipāpetvā attharaṇaṃ attharāpetvā ambaṇassa heṭṭhā pavisitvā purisānaṃ saññaṃ adāsi ‘‘tumhe catūsu paṇḍitesu mantetvā gatesu āgantvā maṃ āneyyāthā’’ti. Te ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchitvā pakkamiṃsu. Senakopi rājānaṃ āha – ‘‘mahārāja, amhākaṃ vacanaṃ na saddahatha, idāni kiṃ karissathā’’ti. So tassa vacanaṃ gahetvā anisāmetvāva bhītatasito hutvā ‘‘idāni kiṃ karoma, senaka paṇḍitā’’ti pucchi. ‘‘Mahārāja, papañcaṃ akatvā kañci ajānāpetvā gahapatiputtaṃ māretuṃ vaṭṭatī’’ti. Rājā ‘‘senaka, ṭhapetvā tumhe añño mama atthakāmo nāma natthi, tumhe attano suhade gahetvā dvārantare ṭhatvā gahapatiputtassa pātova upaṭṭhānaṃ āgacchantassa khaggena sīsaṃ chindathā’’ti attano khaggaratanaṃ adāsi. Te ‘‘sādhu, deva, mā bhāyi, mayaṃ taṃ māressāmā’’ti vatvā nikkhamitvā ‘‘diṭṭhā no paccāmittassa piṭṭhī’’ti bhattaambaṇassa piṭṭhe nisīdiṃsu. Tato senako āha ‘‘ambho, ko gahapatiputtaṃ māressatī’’ti. Itare ‘‘tumheyeva ācariya, mārethā’’ti tasseva bhāraṃ kariṃsu.

    อถ เน เสนโก ปุจฺฉิ ‘‘ตุเมฺห ‘รหสฺสํ นาม อสุกสฺส อสุกสฺส กเถตพฺพ’นฺติ วทถ, กิํ โว เอตํ กตํ, อุทาหุ ทิฎฺฐํ สุต’’นฺติ? ‘‘กตํ เอตํ, อาจริยา’’ติฯ ตุเมฺห ‘‘รหสฺสํ นาม สหายกสฺส กเถตพฺพ’’นฺติ วทถ, ‘‘กิํ โว เอตํ กตํ, อุทาหุ ทิฎฺฐํ สุต’’นฺติ? ‘‘กตํ เอตํ มยา’’ติ? ‘‘กเถถ, อาจริยา’’ติฯ ‘‘อิมสฺมิํ รหเสฺส รญฺญา ญาเต ชีวิตํ เม นตฺถี’’ติฯ ‘‘มา ภายถ อาจริย, อิธ ตุมฺหากํ รหสฺสเภทโก นตฺถิ, กเถถา’’ติฯ โส นเขน อมฺพณํ โกเฎฺฎตฺวา ‘‘อตฺถิ นุ โข อิมสฺส เหฎฺฐา คหปติปุโตฺต’’ติ อาหฯ ‘‘อาจริย, คหปติปุโตฺต อตฺตโน อิสฺสริเยน เอวรูปํ ฐานํ น ปวิสิสฺสติ, อิทานิ ยเสน มโตฺต ภวิสฺสติ, กเถถ ตุเมฺห’’ติฯ เสนโก ตาว อตฺตโน รหสฺสํ กเถโนฺต อาห – ‘‘ตุเมฺห อิมสฺมิํ นคเร อสุกํ นาม เวสิํ ชานาถา’’ติ? ‘‘อาม, อาจริยา’’ติฯ ‘‘อิทานิ สา ปญฺญายตี’’ติฯ ‘‘น ปญฺญายติ, อาจริยา’’ติฯ ‘‘อหํ สาลวนุยฺยาเน ตาย สทฺธิํ ปุริสกิจฺจํ กตฺวา ตสฺสา ปิฬนฺธเนสุ โลเภน ตํ มาเรตฺวา ตสฺสาเยว สาฎเกน ภณฺฑิกํ กตฺวา อาหริตฺวา อมฺหากํ ฆเร อสุกภูมิกาย อสุเก นาม คเพฺภ นาคทนฺตเก ลเคฺคสิํ, วฬเญฺชตุํ ๓ วิสหามิ, ปุราณภาวมสฺส โอโลเกมิ, เอวรูปํ อปราธกมฺมํ กตฺวา มยา เอกสฺส สหายกสฺส กถิตํ, น เตน กสฺสจิ กถิตปุพฺพํ, อิมินา การเณน ‘สหายกสฺส คุยฺหํ กเถตพฺพ’นฺติ มยา กถิต’’นฺติฯ ปณฺฑิโต ตสฺส รหสฺสํ สาธุกํ ววตฺถเปตฺวา สลฺลเกฺขสิฯ

    Atha ne senako pucchi ‘‘tumhe ‘rahassaṃ nāma asukassa asukassa kathetabba’nti vadatha, kiṃ vo etaṃ kataṃ, udāhu diṭṭhaṃ suta’’nti? ‘‘Kataṃ etaṃ, ācariyā’’ti. Tumhe ‘‘rahassaṃ nāma sahāyakassa kathetabba’’nti vadatha, ‘‘kiṃ vo etaṃ kataṃ, udāhu diṭṭhaṃ suta’’nti? ‘‘Kataṃ etaṃ mayā’’ti? ‘‘Kathetha, ācariyā’’ti. ‘‘Imasmiṃ rahasse raññā ñāte jīvitaṃ me natthī’’ti. ‘‘Mā bhāyatha ācariya, idha tumhākaṃ rahassabhedako natthi, kathethā’’ti. So nakhena ambaṇaṃ koṭṭetvā ‘‘atthi nu kho imassa heṭṭhā gahapatiputto’’ti āha. ‘‘Ācariya, gahapatiputto attano issariyena evarūpaṃ ṭhānaṃ na pavisissati, idāni yasena matto bhavissati, kathetha tumhe’’ti. Senako tāva attano rahassaṃ kathento āha – ‘‘tumhe imasmiṃ nagare asukaṃ nāma vesiṃ jānāthā’’ti? ‘‘Āma, ācariyā’’ti. ‘‘Idāni sā paññāyatī’’ti. ‘‘Na paññāyati, ācariyā’’ti. ‘‘Ahaṃ sālavanuyyāne tāya saddhiṃ purisakiccaṃ katvā tassā piḷandhanesu lobhena taṃ māretvā tassāyeva sāṭakena bhaṇḍikaṃ katvā āharitvā amhākaṃ ghare asukabhūmikāya asuke nāma gabbhe nāgadantake laggesiṃ, vaḷañjetuṃ 3 visahāmi, purāṇabhāvamassa olokemi, evarūpaṃ aparādhakammaṃ katvā mayā ekassa sahāyakassa kathitaṃ, na tena kassaci kathitapubbaṃ, iminā kāraṇena ‘sahāyakassa guyhaṃ kathetabba’nti mayā kathita’’nti. Paṇḍito tassa rahassaṃ sādhukaṃ vavatthapetvā sallakkhesi.

    ปุกฺกุโสปิ อตฺตโน รหสฺสํ กเถโนฺต อาห – ‘‘มม อูรุยา กุฎฺฐํ อตฺถิ, กนิโฎฺฐ เม ปาโตว กญฺจิ อชานาเปตฺวา ตํ โธวิตฺวา เภสเชฺชน มเกฺขตฺวา อุปริ ปิโลติกํ ทตฺวา พนฺธติฯ ราชา มยิ มุทุจิโตฺต ‘เอหิ ปุกฺกุสา’ติ มํ ปโกฺกสิตฺวา เยภุเยฺยน มม อูรุยาเยว สยติ , สเจ ปน เอตํ ราชา ชาเนยฺย, มํ มาเรยฺยฯ ตํ มม กนิฎฺฐํ ฐเปตฺวา อโญฺญ ชานโนฺต นาม นตฺถิ, เตน การเณน ‘รหสฺสํ นาม ภาตุ กเถตพฺพ’นฺติ มยา วุตฺต’’นฺติฯ กามิโนฺทปิ อตฺตโน รหสฺสํ กเถโนฺต อาห – ‘‘มํ กาฬปเกฺข อุโปสถทิวเส นรเทโว นาม ยโกฺข คณฺหาติ, อหํ อุมฺมตฺตกสุนโข วิย วิรวามิ, สฺวาหํ ตมตฺถํ ปุตฺตสฺส กเถสิํฯ โส มม ยเกฺขน คหิตภาวํ ญตฺวา มํ อโนฺตเคหคเพฺภ นิปชฺชาเปตฺวา ทฺวารํ ปิทหิตฺวา นิกฺขมิตฺวา มม สทฺทํ ปฎิจฺฉาทนตฺถํ ทฺวาเร สมชฺชํ กาเรสิ, อิมินา การเณน ‘รหสฺสํ นาม ปุตฺตสฺส กเถตพฺพ’นฺติ มยา วุตฺต’’นฺติฯ ตโต ตโยปิ เทวินฺทํ ปุจฺฉิํสุฯ โส อตฺตโน รหสฺสํ กเถโนฺต อาห – ‘‘มยา มณิปหํสนกมฺมํ กโรเนฺตน รโญฺญ สนฺตกํ สเกฺกน กุสรโญฺญ ทินฺนํ, สิริปเวสนํ มงฺคลมณิรตนํ เถเนตฺวา มาตุยา ทินฺนํฯ สา กญฺจิ อชานาเปตฺวา มม ราชกุลํ ปวิสนกาเล ตํ มยฺหํ เทติ, อหํ เตน มณินา สิริํ ปเวเสตฺวา ราชนิเวสนํ คจฺฉามิฯ ราชา ตุเมฺหหิ สทฺธิํ อกเถตฺวา ปฐมตรํ มยา สทฺธิํ กเถสิฯ เทวสิกํ อฎฺฐ, โสฬส, ทฺวตฺติํส, จตุสฎฺฐิ กหาปเณ มม ปริพฺพยตฺถาย เทติ ฯ สเจ ตสฺส มณิรตนสฺส ฉนฺนภาวํ ราชา ชาเนยฺย, มยฺหํ ชีวิตํ นตฺถิ, อิมินา การเณน ‘รหสฺสํ นาม มาตุ กเถตพฺพ’นฺติ มยา วุตฺต’’นฺติฯ

    Pukkusopi attano rahassaṃ kathento āha – ‘‘mama ūruyā kuṭṭhaṃ atthi, kaniṭṭho me pātova kañci ajānāpetvā taṃ dhovitvā bhesajjena makkhetvā upari pilotikaṃ datvā bandhati. Rājā mayi muducitto ‘ehi pukkusā’ti maṃ pakkositvā yebhuyyena mama ūruyāyeva sayati , sace pana etaṃ rājā jāneyya, maṃ māreyya. Taṃ mama kaniṭṭhaṃ ṭhapetvā añño jānanto nāma natthi, tena kāraṇena ‘rahassaṃ nāma bhātu kathetabba’nti mayā vutta’’nti. Kāmindopi attano rahassaṃ kathento āha – ‘‘maṃ kāḷapakkhe uposathadivase naradevo nāma yakkho gaṇhāti, ahaṃ ummattakasunakho viya viravāmi, svāhaṃ tamatthaṃ puttassa kathesiṃ. So mama yakkhena gahitabhāvaṃ ñatvā maṃ antogehagabbhe nipajjāpetvā dvāraṃ pidahitvā nikkhamitvā mama saddaṃ paṭicchādanatthaṃ dvāre samajjaṃ kāresi, iminā kāraṇena ‘rahassaṃ nāma puttassa kathetabba’nti mayā vutta’’nti. Tato tayopi devindaṃ pucchiṃsu. So attano rahassaṃ kathento āha – ‘‘mayā maṇipahaṃsanakammaṃ karontena rañño santakaṃ sakkena kusarañño dinnaṃ, siripavesanaṃ maṅgalamaṇiratanaṃ thenetvā mātuyā dinnaṃ. Sā kañci ajānāpetvā mama rājakulaṃ pavisanakāle taṃ mayhaṃ deti, ahaṃ tena maṇinā siriṃ pavesetvā rājanivesanaṃ gacchāmi. Rājā tumhehi saddhiṃ akathetvā paṭhamataraṃ mayā saddhiṃ kathesi. Devasikaṃ aṭṭha, soḷasa, dvattiṃsa, catusaṭṭhi kahāpaṇe mama paribbayatthāya deti . Sace tassa maṇiratanassa channabhāvaṃ rājā jāneyya, mayhaṃ jīvitaṃ natthi, iminā kāraṇena ‘rahassaṃ nāma mātu kathetabba’nti mayā vutta’’nti.

    มหาสโตฺต สเพฺพสมฺปิ คุยฺหํ อตฺตโน ปจฺจกฺขํ อกาสิ ฯ เต ปน อตฺตโน อุทรํ ผาเลตฺวา อนฺตํ พาหิรํ กโรนฺตา วิย รหสฺสํ อญฺญมญฺญํ กเถตฺวา ‘‘ตุเมฺห อปฺปมตฺตา ปาโตว อาคจฺฉถ, คหปติปุตฺตํ มาเรสฺสามา’’ติ อุฎฺฐาย ปกฺกมิํสุฯ เตสํ คตกาเล ปณฺฑิตสฺส ปุริสา อาคนฺตฺวา อมฺพณํ อุกฺขิปิตฺวา มหาสตฺตํ อาทาย ปกฺกมิํสุฯ โส ฆรํ คนฺตฺวา นฺหตฺวา อลงฺกริตฺวา สุโภชนํ ภุญฺชิตฺวา ‘‘อชฺช เม ภคินี อุทุมฺพรเทวี ราชเคหโต สาสนํ เปเสสฺสตี’’ติ ญตฺวา ทฺวาเร ปจฺจายิกํ ปุริสํ ฐเปสิ ‘‘ราชเคหโต อาคตํ สีฆํ ปเวเสตฺวา มม ทเสฺสยฺยาสี’’ติฯ เอวญฺจ ปน วตฺวา สยนปิเฎฺฐ นิปชฺชิฯ ตสฺมิํ ขเณ ราชาปิ สยนปิเฎฺฐ นิปโนฺนว ปณฺฑิตสฺส คุณํ สริตฺวา ‘‘มโหสธปณฺฑิโต สตฺตวสฺสิกกาลโต ปฎฺฐาย มํ อุปฎฺฐหโนฺต น กิญฺจิ มยฺหํ อนตฺถํ อกาสิ, เทวตาย ปุจฺฉิตปเญฺหปิ ปณฺฑิเต อสติ ชีวิตํ เม ลทฺธํ น สิยาฯ เวริปจฺจามิตฺตานํ วจนํ คเหตฺวา ‘อสมธุรํ ปณฺฑิตํ มาเรถา’ติ ขคฺคํ เทเนฺตน อยุตฺตํ มยา กตํ, เสฺว ทานิ นํ ปสฺสิตุํ น ลภิสฺสามี’’ติ โสกํ อุปฺปาเทสิฯ สรีรโต เสทา มุจฺจิํสุฯ โส โสกสมปฺปิโต จิตฺตสฺสาทํ น ลภิฯ อุทุมฺพรเทวีปิ เตน สทฺธิํ เอกสยนคตา ตํ อาการํ ทิสฺวา ‘‘กิํ นุ โข มยฺหํ โกจิ อปราโธ อตฺถิ, อุทาหุ เทวสฺส กิญฺจิ โสกการณํ อุปฺปนฺนํ, ปุจฺฉิสฺสามิ ตาว น’’นฺติ อิมํ คาถมาห –

    Mahāsatto sabbesampi guyhaṃ attano paccakkhaṃ akāsi . Te pana attano udaraṃ phāletvā antaṃ bāhiraṃ karontā viya rahassaṃ aññamaññaṃ kathetvā ‘‘tumhe appamattā pātova āgacchatha, gahapatiputtaṃ māressāmā’’ti uṭṭhāya pakkamiṃsu. Tesaṃ gatakāle paṇḍitassa purisā āgantvā ambaṇaṃ ukkhipitvā mahāsattaṃ ādāya pakkamiṃsu. So gharaṃ gantvā nhatvā alaṅkaritvā subhojanaṃ bhuñjitvā ‘‘ajja me bhaginī udumbaradevī rājagehato sāsanaṃ pesessatī’’ti ñatvā dvāre paccāyikaṃ purisaṃ ṭhapesi ‘‘rājagehato āgataṃ sīghaṃ pavesetvā mama dasseyyāsī’’ti. Evañca pana vatvā sayanapiṭṭhe nipajji. Tasmiṃ khaṇe rājāpi sayanapiṭṭhe nipannova paṇḍitassa guṇaṃ saritvā ‘‘mahosadhapaṇḍito sattavassikakālato paṭṭhāya maṃ upaṭṭhahanto na kiñci mayhaṃ anatthaṃ akāsi, devatāya pucchitapañhepi paṇḍite asati jīvitaṃ me laddhaṃ na siyā. Veripaccāmittānaṃ vacanaṃ gahetvā ‘asamadhuraṃ paṇḍitaṃ mārethā’ti khaggaṃ dentena ayuttaṃ mayā kataṃ, sve dāni naṃ passituṃ na labhissāmī’’ti sokaṃ uppādesi. Sarīrato sedā mucciṃsu. So sokasamappito cittassādaṃ na labhi. Udumbaradevīpi tena saddhiṃ ekasayanagatā taṃ ākāraṃ disvā ‘‘kiṃ nu kho mayhaṃ koci aparādho atthi, udāhu devassa kiñci sokakāraṇaṃ uppannaṃ, pucchissāmi tāva na’’nti imaṃ gāthamāha –

    ‘‘กิํ ตฺวํ วิมโนสิ ราชเสฎฺฐ, ทฺวิปทชนินฺท วจนํ สุโณม เมตํ;

    ‘‘Kiṃ tvaṃ vimanosi rājaseṭṭha, dvipadajaninda vacanaṃ suṇoma metaṃ;

    กิํ จินฺตยมาโน ทุมฺมโนสิ, นูน เทว อปราโธ อตฺถิ มยฺห’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๒๓);

    Kiṃ cintayamāno dummanosi, nūna deva aparādho atthi mayha’’nti. (jā. 1.15.323);

    อถ ราชา กเถโนฺต คาถมาห –

    Atha rājā kathento gāthamāha –

    ‘‘ปเณฺห วโชฺฌ มโหสโธติ, อาณโตฺต เม วมาย ภูริปโญฺญ;

    ‘‘Paṇhe vajjho mahosadhoti, āṇatto me vamāya bhūripañño;

    ตํ จินฺตยมาโน ทุมฺมโนสฺมิ, น หิ เทวี อปราโธ อตฺถิ ตุยฺห’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๒๔);

    Taṃ cintayamāno dummanosmi, na hi devī aparādho atthi tuyha’’nti. (jā. 1.15.324);

    ตตฺถ อาณโตฺตติ ภเทฺท, จตฺตาโร ปณฺฑิตา ‘‘มโหสโธ มม ปจฺจตฺถิโก’’ติ กถยิํสุฯ มยา ตถโต อวิจินิตฺวา ‘‘วเธถ น’’นฺติ ภูริปโญฺญ วธาย อาณโตฺตฯ ตํ การณํ จินฺตยมาโน ทุมฺมโนสฺมีติฯ

    Tattha āṇattoti bhadde, cattāro paṇḍitā ‘‘mahosadho mama paccatthiko’’ti kathayiṃsu. Mayā tathato avicinitvā ‘‘vadhetha na’’nti bhūripañño vadhāya āṇatto. Taṃ kāraṇaṃ cintayamāno dummanosmīti.

    ตสฺสา ตสฺส วจนํ สุตฺวาว มหาสเตฺต สิเนเหน ปพฺพตมโตฺต โสโก อุปฺปชฺชิฯ ตโต สา จิเนฺตสิ ‘‘เอเกน อุปาเยน ราชานํ อสฺสาเสตฺวา รโญฺญ นิทฺทํ โอกฺกมนกาเล มม กนิฎฺฐสฺส สาสนํ ปหิณิสฺสามี’’ติฯ อถ สา ‘‘มหาราช, ตยาเวตํ กตํ คหปติปุตฺตํ มหเนฺต อิสฺสริเย ปติฎฺฐาเปเนฺตน, ตุเมฺหหิ โส เสนาปติฎฺฐาเน ฐปิโต, อิทานิ กิร โส ตุมฺหากํเยว ปจฺจตฺถิโก ชาโต, น โข ปน ปจฺจตฺถิโก ขุทฺทโก นาม อตฺถิ, มาเรตโพฺพว, ตุเมฺห มา จินฺตยิตฺถา’’ติ ราชานํ อสฺสาเสสิฯ โส ตนุภูตโสโก นิทฺทํ โอกฺกมิฯ เทวี อุฎฺฐาย คพฺภํ ปวิสิตฺวา ‘‘ตาต มโหสธ, จตฺตาโร ปณฺฑิตา ตํ ปริภินฺทิํสุ, ราชา กุโทฺธ เสฺว ทฺวารนฺตเร ตํ วธาย อาณาเปสิ, เสฺว ราชกุลํ มา อาคเจฺฉยฺยาสิ, อาคจฺฉโนฺต ปน นครํ หตฺถคตํ กตฺวา สมโตฺถ หุตฺวา อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติ ปณฺณํ ลิขิตฺวา โมทกสฺส อโนฺต ปกฺขิปิตฺวา โมทกํ สุเตฺตน เวเฐตฺวา นวภาชเน กตฺวา ฉาเทตฺวา ลเญฺฉตฺวา อตฺถจาริกาย ทาสิยา อทาสิ ‘‘อิมํ โมทกํ คเหตฺวา มม กนิฎฺฐสฺส เทหี’’ติฯ สา ตถา อกาสิฯ ‘‘รตฺติํ กถํ นิกฺขนฺตา’’ติ น จิเนฺตตพฺพํฯ รญฺญา ปฐมเมว เทวิยา วโร ทิโนฺน, เตน น นํ โกจิ นิวาเรสิฯ โพธิสโตฺต ปณฺณาการํ คเหตฺวา นํ อุโยฺยเชสิฯ สา ปุน อาคนฺตฺวา ทินฺนภาวํ อาโรเจสิฯ ตสฺมิํ ขเณ เทวี อาคนฺตฺวา รญฺญา สทฺธิํ นิปชฺชิฯ มหาสโตฺตปิ โมทกํ ภินฺทิตฺวา ปณฺณํ วาเจตฺวา ตมตฺถํ ญตฺวา กตฺตพฺพกิจฺจํ วิจาเรตฺวา สยเน นิปชฺชิฯ

    Tassā tassa vacanaṃ sutvāva mahāsatte sinehena pabbatamatto soko uppajji. Tato sā cintesi ‘‘ekena upāyena rājānaṃ assāsetvā rañño niddaṃ okkamanakāle mama kaniṭṭhassa sāsanaṃ pahiṇissāmī’’ti. Atha sā ‘‘mahārāja, tayāvetaṃ kataṃ gahapatiputtaṃ mahante issariye patiṭṭhāpentena, tumhehi so senāpatiṭṭhāne ṭhapito, idāni kira so tumhākaṃyeva paccatthiko jāto, na kho pana paccatthiko khuddako nāma atthi, māretabbova, tumhe mā cintayitthā’’ti rājānaṃ assāsesi. So tanubhūtasoko niddaṃ okkami. Devī uṭṭhāya gabbhaṃ pavisitvā ‘‘tāta mahosadha, cattāro paṇḍitā taṃ paribhindiṃsu, rājā kuddho sve dvārantare taṃ vadhāya āṇāpesi, sve rājakulaṃ mā āgaccheyyāsi, āgacchanto pana nagaraṃ hatthagataṃ katvā samattho hutvā āgaccheyyāsī’’ti paṇṇaṃ likhitvā modakassa anto pakkhipitvā modakaṃ suttena veṭhetvā navabhājane katvā chādetvā lañchetvā atthacārikāya dāsiyā adāsi ‘‘imaṃ modakaṃ gahetvā mama kaniṭṭhassa dehī’’ti. Sā tathā akāsi. ‘‘Rattiṃ kathaṃ nikkhantā’’ti na cintetabbaṃ. Raññā paṭhamameva deviyā varo dinno, tena na naṃ koci nivāresi. Bodhisatto paṇṇākāraṃ gahetvā naṃ uyyojesi. Sā puna āgantvā dinnabhāvaṃ ārocesi. Tasmiṃ khaṇe devī āgantvā raññā saddhiṃ nipajji. Mahāsattopi modakaṃ bhinditvā paṇṇaṃ vācetvā tamatthaṃ ñatvā kattabbakiccaṃ vicāretvā sayane nipajji.

    อิตเรปิ จตฺตาโร ชนา ปาโตว ขคฺคํ คเหตฺวา ทฺวารนฺตเร ฐตฺวา ปณฺฑิตํ อปสฺสนฺตา ทุมฺมนา หุตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘กิํ ปณฺฑิตา มาริโต โว คหปติปุโตฺต’’ติ วุเตฺต ‘‘น ปสฺสาม, เทวา’’ติ อาหํสุฯ มหาสโตฺตปิ อรุณุคฺคมเนเยว นครํ อตฺตโน หตฺถคตํ กตฺวา ตตฺถ ตตฺถ อารกฺขํ ฐเปตฺวา มหาชนปริวุโต รถํ อารุยฺห มหเนฺตน ปริวาเรน ราชทฺวารํ อคมาสิฯ ราชา สีหปญฺชรํ อุคฺฆาเฎตฺวา พหิ โอโลเกโนฺต อฎฺฐาสิฯ อถ มหาสโตฺต รถา โอตริตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ ราชา ตํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘สเจ อยํ มม ปจฺจตฺถิโก ภเวยฺย , น มํ วเนฺทยฺยา’’ติฯ อถ นํ ปโกฺกสาเปตฺวา ราชา อาสเน นิสีทิฯ มหาสโตฺตปิ เอกมนฺตํ นิสีทิฯ จตฺตาโรปิ ปณฺฑิตา ตเตฺถว นิสีทิํสุฯ อถ นํ ราชา กิญฺจิ อชานโนฺต วิย ‘‘ตาต, ตฺวํ หิโยฺย คนฺตฺวา อิทานิ อาคจฺฉสิ, กิํ มํ ปริจฺจชสี’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Itarepi cattāro janā pātova khaggaṃ gahetvā dvārantare ṭhatvā paṇḍitaṃ apassantā dummanā hutvā rañño santikaṃ gantvā ‘‘kiṃ paṇḍitā mārito vo gahapatiputto’’ti vutte ‘‘na passāma, devā’’ti āhaṃsu. Mahāsattopi aruṇuggamaneyeva nagaraṃ attano hatthagataṃ katvā tattha tattha ārakkhaṃ ṭhapetvā mahājanaparivuto rathaṃ āruyha mahantena parivārena rājadvāraṃ agamāsi. Rājā sīhapañjaraṃ ugghāṭetvā bahi olokento aṭṭhāsi. Atha mahāsatto rathā otaritvā rājānaṃ vanditvā aṭṭhāsi. Rājā taṃ disvā cintesi ‘‘sace ayaṃ mama paccatthiko bhaveyya , na maṃ vandeyyā’’ti. Atha naṃ pakkosāpetvā rājā āsane nisīdi. Mahāsattopi ekamantaṃ nisīdi. Cattāropi paṇḍitā tattheva nisīdiṃsu. Atha naṃ rājā kiñci ajānanto viya ‘‘tāta, tvaṃ hiyyo gantvā idāni āgacchasi, kiṃ maṃ pariccajasī’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อภิโทสคโต ทานิ เอหิสิ, กิํ สุตฺวา กิํ สงฺกเต มโน เต;

    ‘‘Abhidosagato dāni ehisi, kiṃ sutvā kiṃ saṅkate mano te;

    โก เต กิมโวจ ภูริปญฺญ, อิงฺฆ วจนํ สุโณม พฺรูหิ เมต’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๒๕);

    Ko te kimavoca bhūripañña, iṅgha vacanaṃ suṇoma brūhi meta’’nti. (jā. 1.15.325);

    ตตฺถ อภิโทสคโตติ หิโยฺย ปฐมยาเม คโต อิทานิ อาคโตฯ กิํ สงฺกเตติ กิํ อาสงฺกเตฯ กิมโวจาติ กิํ รโญฺญ สนฺติกํ มา คมีติ ตํ โกจิ อโวจฯ

    Tattha abhidosagatoti hiyyo paṭhamayāme gato idāni āgato. Kiṃ saṅkateti kiṃ āsaṅkate. Kimavocāti kiṃ rañño santikaṃ mā gamīti taṃ koci avoca.

    อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘มหาราช, ตยา เม จตุนฺนํ ปณฺฑิตานํ วจนํ คเหตฺวา วโธ อาณโตฺต, เตนาหํ น เอมี’’ติ โจเทโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Atha naṃ mahāsatto ‘‘mahārāja, tayā me catunnaṃ paṇḍitānaṃ vacanaṃ gahetvā vadho āṇatto, tenāhaṃ na emī’’ti codento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ปเณฺห วโชฺฌ มโหสโธติ, ยทิ เต มนฺตยิตํ ชนินฺท โทสํ;

    ‘‘Paṇhe vajjho mahosadhoti, yadi te mantayitaṃ janinda dosaṃ;

    ภริยาย รโหคโต อสํสิ, คุยฺหํ ปาตุกตํ สุตํ มเมต’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๒๖);

    Bhariyāya rahogato asaṃsi, guyhaṃ pātukataṃ sutaṃ mameta’’nti. (jā. 1.15.326);

    ตตฺถ ยทิ เตติ ยสฺมา ตยาฯ มนฺตยิตนฺติ กถิตํฯ โทสนฺติ อภิโทสํ, รตฺติภาเคติ อโตฺถฯ กสฺส กถิตนฺติ? ภริยายฯ ตฺวญฺหิ หิโยฺย ตสฺสา อิมมตฺถํ รโหคโต อสํสิฯ คุยฺหํ ปาตุกตนฺติ ตสฺสา เอวรูปํ อตฺตโน รหสฺสํ ปาตุกตํฯ สุตํ มเมตนฺติ มยา ปเนตํ ตสฺมิํ ขเณเยว สุตํฯ

    Tattha yadi teti yasmā tayā. Mantayitanti kathitaṃ. Dosanti abhidosaṃ, rattibhāgeti attho. Kassa kathitanti? Bhariyāya. Tvañhi hiyyo tassā imamatthaṃ rahogato asaṃsi. Guyhaṃ pātukatanti tassā evarūpaṃ attano rahassaṃ pātukataṃ. Sutaṃ mametanti mayā panetaṃ tasmiṃ khaṇeyeva sutaṃ.

    ราชา ตํ สุตฺวา ‘‘อิมาย ตงฺขณเญฺญว สาสนํ ปหิตํ ภวิสฺสตี’’ติ กุโทฺธ เทวิํ โอโลเกสิฯ ตํ ญตฺวา มหาสโตฺต ‘‘กิํ, เทว, เทวิยา กุชฺฌถ, อหํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ สพฺพํ ชานามิฯ เทว, ตุมฺหากํ ตาว รหสฺสํ เทวิยา กถิตํ โหตุ, อาจริยเสนกสฺส ปุกฺกุสาทีนํ วา รหสฺสํ มม เกน กถิตํ, อหํ เอเตสมฺปิ รหสฺสํ ชานามิเยวา’’ติ เสนกสฺส ตาว รหสฺสํ กเถโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Rājā taṃ sutvā ‘‘imāya taṅkhaṇaññeva sāsanaṃ pahitaṃ bhavissatī’’ti kuddho deviṃ olokesi. Taṃ ñatvā mahāsatto ‘‘kiṃ, deva, deviyā kujjhatha, ahaṃ atītānāgatapaccuppannaṃ sabbaṃ jānāmi. Deva, tumhākaṃ tāva rahassaṃ deviyā kathitaṃ hotu, ācariyasenakassa pukkusādīnaṃ vā rahassaṃ mama kena kathitaṃ, ahaṃ etesampi rahassaṃ jānāmiyevā’’ti senakassa tāva rahassaṃ kathento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ยํ สาลวนสฺมิํ เสนโก, ปาปกมฺมํ อกาสิ อสพฺภิรูปํ;

    ‘‘Yaṃ sālavanasmiṃ senako, pāpakammaṃ akāsi asabbhirūpaṃ;

    สขิโนว รโหคโต อสํสิ, คุยฺหํ ปาตุกตํ สุตํ มเมต’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๒๗);

    Sakhinova rahogato asaṃsi, guyhaṃ pātukataṃ sutaṃ mameta’’nti. (jā. 1.15.327);

    ตตฺถ อสพฺภิรูปนฺติ อสาธุชาติกํ ลามกํ อกุสลกมฺมํ อกาสิฯ อิมสฺมิํเยว หิ นคเร อสุกํ นาม เวสิํ สาลวนุยฺยาเน ปุริสกิจฺจํ กตฺวา ตํ มาเรตฺวา อลงฺการํ คเหตฺวา ตสฺสาเยว สาฎเกน ภณฺฑิกํ กตฺวา อตฺตโน ฆเร อสุกฎฺฐาเน นาคทนฺตเก ลเคฺคตฺวา ฐเปสิฯ สขิโนวาติ อถ นํ, มหาราช, เอกสฺส สหายกสฺส รโหคโต หุตฺวา อกฺขาสิ, ตมฺปิ มยา สุตํฯ นาหํ เทวสฺส ปจฺจตฺถิโก, เสนโกเยวฯ ยทิ เต ปจฺจตฺถิเกน กมฺมํ อตฺถิ, เสนกํ คณฺหาเปหีติฯ

    Tattha asabbhirūpanti asādhujātikaṃ lāmakaṃ akusalakammaṃ akāsi. Imasmiṃyeva hi nagare asukaṃ nāma vesiṃ sālavanuyyāne purisakiccaṃ katvā taṃ māretvā alaṅkāraṃ gahetvā tassāyeva sāṭakena bhaṇḍikaṃ katvā attano ghare asukaṭṭhāne nāgadantake laggetvā ṭhapesi. Sakhinovāti atha naṃ, mahārāja, ekassa sahāyakassa rahogato hutvā akkhāsi, tampi mayā sutaṃ. Nāhaṃ devassa paccatthiko, senakoyeva. Yadi te paccatthikena kammaṃ atthi, senakaṃ gaṇhāpehīti.

    ราชา เสนกํ โอโลเกตฺวา ‘‘สจฺจํ, เสนกา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ, เทวา’’ติ วุเตฺต ตสฺส พนฺธนาคารปฺปเวสนํ อาณาเปสิฯ ปณฺฑิโต ปุกฺกุสสฺส รหสฺสํ กเถโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Rājā senakaṃ oloketvā ‘‘saccaṃ, senakā’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ, devā’’ti vutte tassa bandhanāgārappavesanaṃ āṇāpesi. Paṇḍito pukkusassa rahassaṃ kathento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘ปุกฺกุสปุริสสฺส เต ชนินฺท, อุปฺปโนฺน โรโค อราชยุโตฺต;

    ‘‘Pukkusapurisassa te janinda, uppanno rogo arājayutto;

    ภาตุจฺจ รโหคโต อสํสิ, คุยฺหํ ปาตุกตํ สุตํ มเมต’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๒๘);

    Bhātucca rahogato asaṃsi, guyhaṃ pātukataṃ sutaṃ mameta’’nti. (jā. 1.15.328);

    ตตฺถ อราชยุโตฺตติ มหาราช, เอตสฺส กุฎฺฐโรโค อุปฺปโนฺน, โส ราชานํ ปตฺตุํ อยุโตฺต, ฉุปนานุจฺฉวิโก น โหติฯ ตุเมฺห จ ‘‘ปุกฺกุสสฺส อูรุ มุทุโก’’ติ เยภุเยฺยน ตสฺส อูรุมฺหิ นิปชฺชถฯ โส ปเนส วณพนฺธปิโลติกาย ผโสฺส, เทวาติฯ

    Tattha arājayuttoti mahārāja, etassa kuṭṭharogo uppanno, so rājānaṃ pattuṃ ayutto, chupanānucchaviko na hoti. Tumhe ca ‘‘pukkusassa ūru muduko’’ti yebhuyyena tassa ūrumhi nipajjatha. So panesa vaṇabandhapilotikāya phasso, devāti.

    ราชา ตมฺปิ โอโลเกตฺวา ‘‘สจฺจํ ปุกฺกุสา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ เทวา’’ติ วุเตฺต ตมฺปิ พนฺธนาคารํ ปเวสาเปสิฯ ปณฺฑิโต กามินฺทสฺสปิ รหสฺสํ กเถโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Rājā tampi oloketvā ‘‘saccaṃ pukkusā’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ devā’’ti vutte tampi bandhanāgāraṃ pavesāpesi. Paṇḍito kāmindassapi rahassaṃ kathento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อาพาโธยํ อสพฺภิรูโป, กามิโนฺท นรเทเวน ผุโฎฺฐ;

    ‘‘Ābādhoyaṃ asabbhirūpo, kāmindo naradevena phuṭṭho;

    ปุตฺตสฺส รโหคโต อสํสิ, คุยฺหํ ปาตุกตํ สุตํ มเมต’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๒๙);

    Puttassa rahogato asaṃsi, guyhaṃ pātukataṃ sutaṃ mameta’’nti. (jā. 1.15.329);

    ตตฺถ อสพฺภิรูโปติ เยน โส อาพาเธน ผุโฎฺฐ อุมฺมตฺตกสุนโข วิย วิรวติ, โส นรเทวยกฺขาพาโธ อสพฺภิชาติโก ลามโก, ราชกุลํ ปวิสิตุํ น ยุโตฺต, มหาราชาติ วทติฯ

    Tattha asabbhirūpoti yena so ābādhena phuṭṭho ummattakasunakho viya viravati, so naradevayakkhābādho asabbhijātiko lāmako, rājakulaṃ pavisituṃ na yutto, mahārājāti vadati.

    ราชา ตมฺปิ โอโลเกตฺวา ‘‘สจฺจํ กามินฺทา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ เทวา’’ติ วุเตฺต ตมฺปิ พนฺธนาคารํ ปเวสาเปสิฯ ปณฺฑิโต เทวินฺทสฺสปิ รหสฺสํ กเถโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Rājā tampi oloketvā ‘‘saccaṃ kāmindā’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ devā’’ti vutte tampi bandhanāgāraṃ pavesāpesi. Paṇḍito devindassapi rahassaṃ kathento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘อฎฺฐวงฺกํ มณิรตนํ อุฬารํ, สโกฺก เต อททา ปิตามหสฺส;

    ‘‘Aṭṭhavaṅkaṃ maṇiratanaṃ uḷāraṃ, sakko te adadā pitāmahassa;

    เทวินฺทสฺส คตํ ตทชฺช หตฺถํ, มาตุจฺจ รโหคโต อสํสิ;

    Devindassa gataṃ tadajja hatthaṃ, mātucca rahogato asaṃsi;

    คุยฺหํ ปาตุกตํ สุตํ มเมต’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๓๐);

    Guyhaṃ pātukataṃ sutaṃ mameta’’nti. (jā. 1.15.330);

    ตตฺถ ปิตามหสฺสาติ ตว ปิตามหสฺส กุสราชสฺสฯ ตทชฺช หตฺถนฺติ ตํ มงฺคลสมฺมตํ มณิรตนํ อชฺช เทวินฺทสฺส หตฺถคตํ, มหาราชาติฯ

    Tattha pitāmahassāti tava pitāmahassa kusarājassa. Tadajja hatthanti taṃ maṅgalasammataṃ maṇiratanaṃ ajja devindassa hatthagataṃ, mahārājāti.

    ราชา ตมฺปิ โอโลเกตฺวา ‘‘สจฺจํ เทวินฺทา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘สจฺจํ เทวา’’ติ วุเตฺต ตมฺปิ พนฺธนาคารํ ปเวสาเปสิฯ เอวํ ‘‘โพธิสตฺตํ วธิสฺสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา สเพฺพปิ เต พนฺธนาคารํ ปวิฎฺฐาฯ โพธิสโตฺต ‘‘มหาราช, อิมินา การเณนาหํ ‘อตฺตโน คุยฺหํ ปรสฺส น กเถตพฺพ’นฺติ วทามิ, วทนฺตา ปน มหาวินาสํ ปตฺตา’’ติ วตฺวา อุตฺตริ ธมฺมํ เทเสโนฺต อิมา คาถา อภาสิ –

    Rājā tampi oloketvā ‘‘saccaṃ devindā’’ti pucchitvā ‘‘saccaṃ devā’’ti vutte tampi bandhanāgāraṃ pavesāpesi. Evaṃ ‘‘bodhisattaṃ vadhissāmā’’ti cintetvā sabbepi te bandhanāgāraṃ paviṭṭhā. Bodhisatto ‘‘mahārāja, iminā kāraṇenāhaṃ ‘attano guyhaṃ parassa na kathetabba’nti vadāmi, vadantā pana mahāvināsaṃ pattā’’ti vatvā uttari dhammaṃ desento imā gāthā abhāsi –

    ‘‘คุยฺหสฺส หิ คุยฺหเมว สาธุ, น คุยฺหสฺส ปสตฺถมาวิกมฺมํ;

    ‘‘Guyhassa hi guyhameva sādhu, na guyhassa pasatthamāvikammaṃ;

    อนิปฺผนฺนตา สเหยฺย ธีโร, นิปฺผโนฺนว ยถาสุขํ ภเณยฺยฯ

    Anipphannatā saheyya dhīro, nipphannova yathāsukhaṃ bhaṇeyya.

    ‘‘น คุยฺหมตฺถํ วิวเรยฺย, รเกฺขยฺย นํ ยถา นิธิํ;

    ‘‘Na guyhamatthaṃ vivareyya, rakkheyya naṃ yathā nidhiṃ;

    น หิ ปาตุกโต สาธุ, คุโยฺห อโตฺถ ปชานตาฯ

    Na hi pātukato sādhu, guyho attho pajānatā.

    ‘‘ถิยา คุยฺหํ น สํเสยฺย, อมิตฺตสฺส จ ปณฺฑิโต;

    ‘‘Thiyā guyhaṃ na saṃseyya, amittassa ca paṇḍito;

    โย จามิเสน สํหีโร, หทยเตฺถโน จ โย นโรฯ

    Yo cāmisena saṃhīro, hadayattheno ca yo naro.

    ‘‘คุยฺหมตฺถํ อสมฺพุทฺธํ, สโมฺพธยติ โย นโร;

    ‘‘Guyhamatthaṃ asambuddhaṃ, sambodhayati yo naro;

    มนฺตเภทภยา ตสฺส, ทาสภูโต ติติกฺขติฯ

    Mantabhedabhayā tassa, dāsabhūto titikkhati.

    ‘‘ยาวโนฺต ปุริสสฺสตฺถํ, คุยฺหํ ชานนฺติ มนฺตินํ;

    ‘‘Yāvanto purisassatthaṃ, guyhaṃ jānanti mantinaṃ;

    ตาวโนฺต ตสฺส อุเพฺพคา, ตสฺมา คุยฺหํ น วิสฺสเชฯ

    Tāvanto tassa ubbegā, tasmā guyhaṃ na vissaje.

    ‘‘วิวิจฺจ ภาเสยฺย ทิวา รหสฺสํ, รตฺติํ คิรํ นาติเวลํ ปมุเญฺจ;

    ‘‘Vivicca bhāseyya divā rahassaṃ, rattiṃ giraṃ nātivelaṃ pamuñce;

    อุปสฺสุติกา หิ สุณนฺติ มนฺตํ, ตสฺมา มโนฺต ขิปฺปมุเปติ เภท’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๕.๓๓๑-๓๓๖);

    Upassutikā hi suṇanti mantaṃ, tasmā manto khippamupeti bheda’’nti. (jā. 1.15.331-336);

    ตตฺถ อมิตฺตสฺส จาติ อิตฺถิยา จ ปจฺจตฺถิกสฺส จ น กเถยฺยฯ สํหีโรติ โย จ เยน เกนจิ อามิเสน สํหีรติ อุปลาปติ สงฺคหํ คจฺฉติ, ตสฺสปิ น สํเสยฺยฯ หทยเตฺถโนติ โย จ อมิโตฺต มิตฺตปติรูปโก มุเขน อญฺญํ กเถติ, หทเยน อญฺญํ จิเนฺตติ, ตสฺสปิ น สํเสยฺยฯ อสมฺพุทฺธนฺติ ปเรหิ อญฺญาตํฯ ‘‘อสโมฺพธ’’นฺติปิ ปาโฐ, ปเรสํ โพเธตุํ อยุตฺตนฺติ อโตฺถฯ ติติกฺขตีติ ตสฺส อโกฺกสมฺปิ ปริภาสมฺปิ ปหารมฺปิ ทาโส วิย หุตฺวา อธิวาเสติฯ มนฺตินนฺติ มนฺติตํ, มนฺตีนํ วา อนฺตเร ยาวโนฺต ชานนฺตีติ อโตฺถฯ ตาวโนฺตติ เต คุยฺหชานนเก ปฎิจฺจ ตตฺตกา ตสฺส อุเพฺพคา สนฺตาสา อุปฺปชฺชนฺติฯ น วิสฺสเชติ น วิสฺสเชฺชยฺย ปรํ น ชานาเปยฺยฯ วิวิจฺจาติ สเจ ทิวา รหสฺสํ มเนฺตตุกาโม โหติ, วิวิตฺตํ โอกาสํ กาเรตฺวา สุปฺปฎิจฺฉนฺนฎฺฐาเน มเนฺตยฺยฯ นาติเวลนฺติ รตฺติํ รหสฺสํ กเถโนฺต ปน อติเวลํ มริยาทาติกฺกนฺตํ มหาสทฺทํ กโรโนฺต คิรํ นปฺปมุเญฺจยฺยฯ อุปสฺสุติกา หีติ มนฺตนฎฺฐานํ อุปคนฺตฺวา ติโรกุฎฺฎาทีสุ ฐตฺวา โสตาโรฯ ตสฺมาติ มหาราช, เตน การเณน โส มโนฺต ขิปฺปเมว เภทมุปาคมีติฯ

    Tattha amittassa cāti itthiyā ca paccatthikassa ca na katheyya. Saṃhīroti yo ca yena kenaci āmisena saṃhīrati upalāpati saṅgahaṃ gacchati, tassapi na saṃseyya. Hadayatthenoti yo ca amitto mittapatirūpako mukhena aññaṃ katheti, hadayena aññaṃ cinteti, tassapi na saṃseyya. Asambuddhanti parehi aññātaṃ. ‘‘Asambodha’’ntipi pāṭho, paresaṃ bodhetuṃ ayuttanti attho. Titikkhatīti tassa akkosampi paribhāsampi pahārampi dāso viya hutvā adhivāseti. Mantinanti mantitaṃ, mantīnaṃ vā antare yāvanto jānantīti attho. Tāvantoti te guyhajānanake paṭicca tattakā tassa ubbegā santāsā uppajjanti. Na vissajeti na vissajjeyya paraṃ na jānāpeyya. Viviccāti sace divā rahassaṃ mantetukāmo hoti, vivittaṃ okāsaṃ kāretvā suppaṭicchannaṭṭhāne manteyya. Nātivelanti rattiṃ rahassaṃ kathento pana ativelaṃ mariyādātikkantaṃ mahāsaddaṃ karonto giraṃ nappamuñceyya. Upassutikā hīti mantanaṭṭhānaṃ upagantvā tirokuṭṭādīsu ṭhatvā sotāro. Tasmāti mahārāja, tena kāraṇena so manto khippameva bhedamupāgamīti.

    ราชา มหาสตฺตสฺส กถํ สุตฺวา ‘‘เอเต สยํ ราชเวริโน หุตฺวา ปณฺฑิตํ มม เวริํ กโรนฺตี’’ติ กุชฺฌิตฺวา ‘‘คจฺฉถ เน นครา นิกฺขมาเปตฺวา สูเลสุ วา อุตฺตาเสถ, สีสานิ วา เตสํ ฉินฺทถา’’ติ อาณาเปสิฯ เตสุ ปจฺฉาพาหํ พนฺธิตฺวา จตุเกฺก จตุเกฺก กสาหิ ปหารสหสฺสํ ทตฺวา นียมาเนสุ ปณฺฑิโต ‘‘เทว, อิเม ตุมฺหากํ โปราณกา อมจฺจา, ขมถ เนสํ อปราธ’’นฺติ ราชานํ ขมาเปสิฯ ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘สาธู’’ติ เต ปโกฺกสาเปตฺวา ตเสฺสว ทาเส กตฺวา อทาสิฯ โส ปน เต ตเตฺถว ภุชิเสฺส อกาสิฯ ราชา ‘‘เตน หิ มม วิชิเต มา วสนฺตู’’ติ ปพฺพาชนียกมฺมํ อาณาเปสิฯ ปณฺฑิโต ‘‘ขมถ, เทว, เอเตสํ อนฺธพาลานํ โทส’’นฺติ ขมาเปตฺวา เตสํ ฐานนฺตรานิ ปุน ปากติกานิ กาเรสิฯ ราชา ‘‘ปจฺจามิเตฺตสุปิ ตาวสฺส เอวรูปา เมตฺตา ภวติ, อเญฺญสุ ชเนสุ กถํ น ภวิสฺสตี’’ติ ปณฺฑิตสฺส อติวิย ปสโนฺน อโหสิฯ ตโต ปฎฺฐาย จตฺตาโร ปณฺฑิตา อุทฺธตทาฐา วิย สปฺปา นิพฺพิสา หุตฺวา กิญฺจิ กเถตุํ นาสกฺขิํสุฯ

    Rājā mahāsattassa kathaṃ sutvā ‘‘ete sayaṃ rājaverino hutvā paṇḍitaṃ mama veriṃ karontī’’ti kujjhitvā ‘‘gacchatha ne nagarā nikkhamāpetvā sūlesu vā uttāsetha, sīsāni vā tesaṃ chindathā’’ti āṇāpesi. Tesu pacchābāhaṃ bandhitvā catukke catukke kasāhi pahārasahassaṃ datvā nīyamānesu paṇḍito ‘‘deva, ime tumhākaṃ porāṇakā amaccā, khamatha nesaṃ aparādha’’nti rājānaṃ khamāpesi. Rājā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘sādhū’’ti te pakkosāpetvā tasseva dāse katvā adāsi. So pana te tattheva bhujisse akāsi. Rājā ‘‘tena hi mama vijite mā vasantū’’ti pabbājanīyakammaṃ āṇāpesi. Paṇḍito ‘‘khamatha, deva, etesaṃ andhabālānaṃ dosa’’nti khamāpetvā tesaṃ ṭhānantarāni puna pākatikāni kāresi. Rājā ‘‘paccāmittesupi tāvassa evarūpā mettā bhavati, aññesu janesu kathaṃ na bhavissatī’’ti paṇḍitassa ativiya pasanno ahosi. Tato paṭṭhāya cattāro paṇḍitā uddhatadāṭhā viya sappā nibbisā hutvā kiñci kathetuṃ nāsakkhiṃsu.

    ปญฺจปณฺฑิตปโญฺห นิฎฺฐิโตฯ

    Pañcapaṇḍitapañho niṭṭhito.

    นิฎฺฐิตา จ ปริภินฺทกถาฯ

    Niṭṭhitā ca paribhindakathā.

    ยุทฺธปราชยกณฺฑํ

    Yuddhaparājayakaṇḍaṃ

    ตโต ปฎฺฐาย ปณฺฑิโตว รโญฺญ อตฺถญฺจ ธมฺมญฺจ อนุสาสติฯ โส จิเนฺตสิ ‘‘รโญฺญ เสตฉตฺตมตฺตเมว, รชฺชํ ปน อหเมว วิจาเรมิ , มยา อปฺปมเตฺตน ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส นคเร มหาปาการํ นาม กาเรสิ, ตถา อนุปาการญฺจ ทฺวารฎฺฎาลเก อนฺตรฎฺฎาลเก อุทกปริขํ กทฺทมปริขํ สุกฺขปริขนฺติ ติโสฺส ปริขาโย กาเรสิ, อโนฺตนคเร ชิณฺณเคหานิ ปฎิสงฺขราเปสิ, มหาโปกฺขรณิโย กาเรตฺวา ตาสุ อุทกนิธานํ กาเรสิ, นคเร สพฺพโกฎฺฐาคารานิ ธญฺญสฺส ปูราเปสิ, หิมวนฺตปฺปเทสโต กุลุปกตาปเสหิ กุทฺรูสกุมุทพีชานิ อาหราเปสิ, อุทกนิทฺธมนานิ โสธาเปตฺวา ตตฺถ โรปาเปสิ, พหินคเรปิ ชิณฺณสาลาปฎิสงฺขรณกมฺมํ กาเรสิฯ กิํ การณา? อนาคตภยปฎิพาหนตฺถํฯ ตโต ตโต อาคตวาณิชเกปิ ‘‘สมฺมา, ตุเมฺห กุโต อาคตตฺถา’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อสุกฎฺฐานโต’’ติ วุเตฺต ‘‘ตุมฺหากํ รญฺญา กิํ ปิย’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อสุกํ นามา’’ติ วุเตฺต เตสํ สมฺมานํ กาเรตฺวา อุโยฺยเชตฺวา อตฺตโน เอกสเต โยเธ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สมฺมา, มยา ทิเนฺน ปณฺณากาเร คเหตฺวา เอกสตราชธานิโย คนฺตฺวา อิเม ปณฺณากาเร อตฺตโน ปิยกามตาย เตสํ ราชูนํ ทตฺวา เตเยว อุปฎฺฐหนฺตา เตสํ กิริยํ วา มนฺตํ วา ญตฺวา มยฺหํ สาสนํ เปเสนฺตา ตเตฺถว วสถ, อหํ โว ปุตฺตทารํ โปเสสฺสามี’’ติ วตฺวา เกสญฺจิ กุณฺฑเล, เกสญฺจิ ปาทุกาโย, เกสญฺจิ ขเคฺค, เกสญฺจิ สุวณฺณมาลาโย อกฺขรานิ ฉินฺทิตฺวา ‘‘ยทา มม กิจฺจํ อตฺถิ, ตทา ปญฺญายนฺตู’’ติ อธิฎฺฐหิตฺวา เตสํ หเตฺถ ทตฺวา เปเสสิฯ เต ตตฺถ ตตฺถ คนฺตฺวา เตสํ เตสํ ราชูนํ ปณฺณาการํ ทตฺวา ‘‘เกนเตฺถนาคตา’’ติ วุเตฺต ‘‘ตุเมฺหว อุปฎฺฐาตุํ อาคตมฺหา’’ติ วตฺวา ‘‘กุโต อาคตตฺถา’’ติ ปุฎฺฐา อาคตฎฺฐานํ อวตฺวา อญฺญานิ ฐานานิ อาจิกฺขิตฺวา ‘‘เตน หิ สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิเต อุปฎฺฐหนฺตา เตสํ อพฺภนฺตริกา อเหสุํฯ

    Tato paṭṭhāya paṇḍitova rañño atthañca dhammañca anusāsati. So cintesi ‘‘rañño setachattamattameva, rajjaṃ pana ahameva vicāremi , mayā appamattena bhavituṃ vaṭṭatī’’ti. So nagare mahāpākāraṃ nāma kāresi, tathā anupākārañca dvāraṭṭālake antaraṭṭālake udakaparikhaṃ kaddamaparikhaṃ sukkhaparikhanti tisso parikhāyo kāresi, antonagare jiṇṇagehāni paṭisaṅkharāpesi, mahāpokkharaṇiyo kāretvā tāsu udakanidhānaṃ kāresi, nagare sabbakoṭṭhāgārāni dhaññassa pūrāpesi, himavantappadesato kulupakatāpasehi kudrūsakumudabījāni āharāpesi, udakaniddhamanāni sodhāpetvā tattha ropāpesi, bahinagarepi jiṇṇasālāpaṭisaṅkharaṇakammaṃ kāresi. Kiṃ kāraṇā? Anāgatabhayapaṭibāhanatthaṃ. Tato tato āgatavāṇijakepi ‘‘sammā, tumhe kuto āgatatthā’’ti pucchitvā ‘‘asukaṭṭhānato’’ti vutte ‘‘tumhākaṃ raññā kiṃ piya’’nti pucchitvā ‘‘asukaṃ nāmā’’ti vutte tesaṃ sammānaṃ kāretvā uyyojetvā attano ekasate yodhe pakkosāpetvā ‘‘sammā, mayā dinne paṇṇākāre gahetvā ekasatarājadhāniyo gantvā ime paṇṇākāre attano piyakāmatāya tesaṃ rājūnaṃ datvā teyeva upaṭṭhahantā tesaṃ kiriyaṃ vā mantaṃ vā ñatvā mayhaṃ sāsanaṃ pesentā tattheva vasatha, ahaṃ vo puttadāraṃ posessāmī’’ti vatvā kesañci kuṇḍale, kesañci pādukāyo, kesañci khagge, kesañci suvaṇṇamālāyo akkharāni chinditvā ‘‘yadā mama kiccaṃ atthi, tadā paññāyantū’’ti adhiṭṭhahitvā tesaṃ hatthe datvā pesesi. Te tattha tattha gantvā tesaṃ tesaṃ rājūnaṃ paṇṇākāraṃ datvā ‘‘kenatthenāgatā’’ti vutte ‘‘tumheva upaṭṭhātuṃ āgatamhā’’ti vatvā ‘‘kuto āgatatthā’’ti puṭṭhā āgataṭṭhānaṃ avatvā aññāni ṭhānāni ācikkhitvā ‘‘tena hi sādhū’’ti sampaṭicchite upaṭṭhahantā tesaṃ abbhantarikā ahesuṃ.

    ตทา กปิลรเฎฺฐ สงฺขพลโก นาม ราชา อาวุธานิ สชฺชาเปสิ, เสนํ สงฺกฑฺฒิฯ ตสฺส สนฺติเก อุปนิกฺขิตฺตกปุริโส ปณฺฑิตสฺส สาสนํ เปเสสิ ‘‘สามิ, มยํ อิธ ปวตฺติํ ‘อิทํ นาม กริสฺสตี’ติ น ชานาม, อาวุธานิ สชฺชาเปติ, เสนํ สงฺกฑฺฒติ, ตุเมฺห ปุริสวิเสเส เปเสตฺวา อิทํ ปวตฺติํ ตถโต ชานาถา’’ติฯ อถ มหาสโตฺต สุวโปตกํ อามเนฺตตฺวา ‘‘สมฺม, กปิลรเฎฺฐ สงฺขพลโก นาม ราชา อาวุธานิ สชฺชาเปสิ, ตฺวํ ตตฺถ คนฺตฺวา ‘อิมํ นาม กโรตี’ติ ตถโต ญตฺวา สกลชมฺพุทีปํ อาหิณฺฑิตฺวา มยฺหํ ปวตฺติํ อาหราหี’’ติ วตฺวา มธุลาเช ขาทาเปตฺวา มธุปานียํ ปาเยตฺวา สตปากสหสฺสปาเกหิ เตเลหิ ปกฺขนฺตรํ มเกฺขตฺวา ปาจีนสีหปญฺชเร ฐตฺวา วิสฺสเชฺชสิฯ โสปิ ตตฺถ คนฺตฺวา ตสฺส ปุริสสฺส สนฺติกา ตสฺส รโญฺญ ปวตฺติํ ตถโต ญตฺวา สกลชมฺพุทีปํ ปริคฺคณฺหโนฺต กปิลรเฎฺฐ อุตฺตรปญฺจาลนครํ ปาปุณิฯ ตทา ตตฺถ จูฬนิพฺรหฺมทโตฺต นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิฯ ตสฺส เกวโฎฺฎ นาม พฺราหฺมโณ อตฺถญฺจ ธมฺมญฺจ อนุสาสติ, ปณฺฑิโต พฺยโตฺตฯ โส ปจฺจูสกาเล ปพุชฺฌิตฺวา ทีปาโลเกน อลงฺกตปฺปฎิยตฺตํ สิริคพฺภํ โอโลเกโนฺต อตฺตโน มหนฺตํ ยสํ ทิสฺวา ‘‘อยํ มม ยโส, กสฺส สนฺตโก’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘น อญฺญสฺส สนฺตโก จูฬนิพฺรหฺมทตฺตสฺส , เอวรูปํ ปน ยสทายกํ ราชานํ สกลชมฺพุทีเป อคฺคราชานํ กาตุํ วฎฺฎติ, อหญฺจ อคฺคปุโรหิโต ภวิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ปาโตว นฺหตฺวา ภุญฺชิตฺวา อลงฺกริตฺวา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘มหาราช, สุขํ สยถา’’ติ สุขเสยฺยํ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, ปณฺฑิตา’’ติ วุเตฺต ราชานํ ‘‘เทว, มเนฺตตพฺพํ อตฺถี’’ติ อาหฯ ‘‘วท, อาจริยา’’ติฯ ‘‘เทว, อโนฺตนคเร รโห นาม น สกฺกา ลทฺธุํ, อุยฺยานํ คจฺฉามา’’ติฯ ‘‘สาธุ, อาจริยา’’ติ ราชา เตน สทฺธิํ อุยฺยานํ คนฺตฺวา พลกายํ พหิ ฐเปตฺวา อารกฺขํ กาเรตฺวา พฺราหฺมเณน สทฺธิํ อุยฺยานํ ปวิสิตฺวา มงฺคลสิลาปเฎฺฎ นิสีทิฯ

    Tadā kapilaraṭṭhe saṅkhabalako nāma rājā āvudhāni sajjāpesi, senaṃ saṅkaḍḍhi. Tassa santike upanikkhittakapuriso paṇḍitassa sāsanaṃ pesesi ‘‘sāmi, mayaṃ idha pavattiṃ ‘idaṃ nāma karissatī’ti na jānāma, āvudhāni sajjāpeti, senaṃ saṅkaḍḍhati, tumhe purisavisese pesetvā idaṃ pavattiṃ tathato jānāthā’’ti. Atha mahāsatto suvapotakaṃ āmantetvā ‘‘samma, kapilaraṭṭhe saṅkhabalako nāma rājā āvudhāni sajjāpesi, tvaṃ tattha gantvā ‘imaṃ nāma karotī’ti tathato ñatvā sakalajambudīpaṃ āhiṇḍitvā mayhaṃ pavattiṃ āharāhī’’ti vatvā madhulāje khādāpetvā madhupānīyaṃ pāyetvā satapākasahassapākehi telehi pakkhantaraṃ makkhetvā pācīnasīhapañjare ṭhatvā vissajjesi. Sopi tattha gantvā tassa purisassa santikā tassa rañño pavattiṃ tathato ñatvā sakalajambudīpaṃ pariggaṇhanto kapilaraṭṭhe uttarapañcālanagaraṃ pāpuṇi. Tadā tattha cūḷanibrahmadatto nāma rājā rajjaṃ kāresi. Tassa kevaṭṭo nāma brāhmaṇo atthañca dhammañca anusāsati, paṇḍito byatto. So paccūsakāle pabujjhitvā dīpālokena alaṅkatappaṭiyattaṃ sirigabbhaṃ olokento attano mahantaṃ yasaṃ disvā ‘‘ayaṃ mama yaso, kassa santako’’ti cintetvā ‘‘na aññassa santako cūḷanibrahmadattassa , evarūpaṃ pana yasadāyakaṃ rājānaṃ sakalajambudīpe aggarājānaṃ kātuṃ vaṭṭati, ahañca aggapurohito bhavissāmī’’ti cintetvā pātova nhatvā bhuñjitvā alaṅkaritvā rañño santikaṃ gantvā ‘‘mahārāja, sukhaṃ sayathā’’ti sukhaseyyaṃ pucchitvā ‘‘āma, paṇḍitā’’ti vutte rājānaṃ ‘‘deva, mantetabbaṃ atthī’’ti āha. ‘‘Vada, ācariyā’’ti. ‘‘Deva, antonagare raho nāma na sakkā laddhuṃ, uyyānaṃ gacchāmā’’ti. ‘‘Sādhu, ācariyā’’ti rājā tena saddhiṃ uyyānaṃ gantvā balakāyaṃ bahi ṭhapetvā ārakkhaṃ kāretvā brāhmaṇena saddhiṃ uyyānaṃ pavisitvā maṅgalasilāpaṭṭe nisīdi.

    ตทา สุวโปตโกปิ ตํ กิริยํ ทิสฺวา ‘‘ภวิตพฺพเมตฺถ การเณน, อชฺช ปณฺฑิตสฺส อาจิกฺขิตพฺพยุตฺตกํ กิญฺจิ สุณิสฺสามี’’ติ อุยฺยานํ ปวิสิตฺวา มงฺคลสาลรุกฺขสฺส ปตฺตนฺตเร นิลียิตฺวา นิสีทิฯ ราชา ‘‘กเถถ, อาจริยา’’ติ อาหฯ ‘‘มหาราช, ตว กเณฺณ อิโต กโรหิ, จตุกฺกโณฺณว มโนฺต ภวิสฺสติฯ สเจ, มหาราช, มม วจนํ กเรยฺยาสิ, สกลชมฺพุทีเป ตํ อคฺคราชานํ กโรมี’’ติฯ โส มหาตณฺหตาย ตสฺส วจนํ สุตฺวา โสมนสฺสปฺปโตฺต หุตฺวา ‘‘กเถถ, อาจริย, กริสฺสามิ เต วจน’’นฺติ อาหฯ ‘‘เทว, มยํ เสนํ สงฺกฑฺฒิตฺวา ปฐมํ ขุทฺทกนครํ รุมฺภิตฺวา คณฺหิสฺสาม, อหญฺหิ จูฬทฺวาเรน นครํ ปวิสิตฺวา ราชานํ วกฺขามิ – มหาราช, ตว ยุเทฺธน กิจฺจํ นตฺถิ, เกวลํ อมฺหากํ รโญฺญ สนฺตโก โหหิ, ตว รชฺชํ ตเวว ภวิสฺสติ, ยุชฺฌโนฺต ปน อมฺหากํ พลวาหนสฺส มหนฺตตาย เอกเนฺตน ปราชิสฺสสี’’ติฯ ‘‘สเจ เม วจนํ กริสฺสติ, สงฺคณฺหิสฺสาม นํฯ โน เจ, ยุชฺฌิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา เทฺว เสนา คเหตฺวา อญฺญํ นครํ คณฺหิสฺสาม, ตโต อญฺญนฺติ เอเตนุปาเยน สกลชมฺพุทีเป รชฺชํ คเหตฺวา ‘ชยปานํ ปิวิสฺสามา’ติ วตฺวา เอกสตราชาโน อมฺหากํ นครํ อาเนตฺวา อุยฺยาเน อาปานมณฺฑปํ กาเรตฺวา ตตฺถ นิสิเนฺน วิสมิสฺสกํ สุรํ ปาเยตฺวา สเพฺพปิ เต ราชาโน ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา เอกสตราชธานีสุ รชฺชํ อมฺหากํ หตฺถคตํ กริสฺสามฯ เอวํ ตฺวํ สกลชมฺพุทีเป อคฺคราชา ภวิสฺสสี’’ติฯ โสปิ ‘‘สาธุ, อาจริย, เอวํ กริสฺสามี’’ติ วทติฯ ‘‘มหาราช, จตุกฺกโณฺณ มโนฺต นาม, อยญฺหิ มโนฺต น สกฺกา อเญฺญน ชานิตุํ, ตสฺมา ปปญฺจํ อกตฺวา สีฆํ นิกฺขมถา’’ติฯ ราชา ตุสฺสิตฺวา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ

    Tadā suvapotakopi taṃ kiriyaṃ disvā ‘‘bhavitabbamettha kāraṇena, ajja paṇḍitassa ācikkhitabbayuttakaṃ kiñci suṇissāmī’’ti uyyānaṃ pavisitvā maṅgalasālarukkhassa pattantare nilīyitvā nisīdi. Rājā ‘‘kathetha, ācariyā’’ti āha. ‘‘Mahārāja, tava kaṇṇe ito karohi, catukkaṇṇova manto bhavissati. Sace, mahārāja, mama vacanaṃ kareyyāsi, sakalajambudīpe taṃ aggarājānaṃ karomī’’ti. So mahātaṇhatāya tassa vacanaṃ sutvā somanassappatto hutvā ‘‘kathetha, ācariya, karissāmi te vacana’’nti āha. ‘‘Deva, mayaṃ senaṃ saṅkaḍḍhitvā paṭhamaṃ khuddakanagaraṃ rumbhitvā gaṇhissāma, ahañhi cūḷadvārena nagaraṃ pavisitvā rājānaṃ vakkhāmi – mahārāja, tava yuddhena kiccaṃ natthi, kevalaṃ amhākaṃ rañño santako hohi, tava rajjaṃ taveva bhavissati, yujjhanto pana amhākaṃ balavāhanassa mahantatāya ekantena parājissasī’’ti. ‘‘Sace me vacanaṃ karissati, saṅgaṇhissāma naṃ. No ce, yujjhitvā jīvitakkhayaṃ pāpetvā dve senā gahetvā aññaṃ nagaraṃ gaṇhissāma, tato aññanti etenupāyena sakalajambudīpe rajjaṃ gahetvā ‘jayapānaṃ pivissāmā’ti vatvā ekasatarājāno amhākaṃ nagaraṃ ānetvā uyyāne āpānamaṇḍapaṃ kāretvā tattha nisinne visamissakaṃ suraṃ pāyetvā sabbepi te rājāno jīvitakkhayaṃ pāpetvā ekasatarājadhānīsu rajjaṃ amhākaṃ hatthagataṃ karissāma. Evaṃ tvaṃ sakalajambudīpe aggarājā bhavissasī’’ti. Sopi ‘‘sādhu, ācariya, evaṃ karissāmī’’ti vadati. ‘‘Mahārāja, catukkaṇṇo manto nāma, ayañhi manto na sakkā aññena jānituṃ, tasmā papañcaṃ akatvā sīghaṃ nikkhamathā’’ti. Rājā tussitvā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi.

    สุวโปตโก ตํ สุตฺวา เตสํ มนฺตปริโยสาเน สาขายํ โอลมฺพกํ โอตาเรโนฺต วิย เกวฎฺฎสฺส สีเส ฉกณปิณฺฑํ ปาเตตฺวา ‘‘กิเมต’’นฺติ มุขํ วิวริตฺวา อุทฺธํ โอโลเกนฺตสฺส อปรมฺปิ มุเข ปาเตตฺวา ‘‘กิริ กิรี’’ติ สทฺทํ วิรวโนฺต สาขโต อุปฺปติตฺวา ‘‘เกวฎฺฎ, ตฺวํ จตุกฺกณฺณมโนฺตติ มญฺญสิ, อิทาเนว ฉกฺกโณฺณ ชาโต, ปุน อฎฺฐกโณฺณ ภวิตฺวา อเนกสตกโณฺณปิ ภวิสฺสตี’’ติ วตฺวา ‘‘คณฺหถ, คณฺหถา’’ติ วทนฺตานเญฺญว วาตเวเคน มิถิลํ คนฺตฺวา ปณฺฑิตสฺส นิเวสนํ ปาวิสิฯ ตสฺส ปน อิทํ วตฺตํ – สเจ กุโตจิ อาภตสาสนํ ปณฺฑิตเสฺสว กเถตพฺพํ โหติ, อถสฺส อํสกูเฎ โอตรติ, สเจ อมราเทวิยาปิ โสตุํ วฎฺฎติ, อุจฺฉเงฺค โอตรติ, สเจ มหาชเนน โสตพฺพํ, ภูมิยํ โอตรติฯ ตทา โส ปณฺฑิตสฺส อํสกูเฎ โอตริฯ ตาย สญฺญาย ‘‘รหเสฺสน ภวิตพฺพ’’นฺติ มหาชโน ปฎิกฺกมิฯ ปณฺฑิโต ตํ คเหตฺวา อุปริปาสาทตลํ อภิรุยฺห ‘‘กิํ เต, ตาต, ทิฎฺฐํ สุต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ อถสฺส โส ‘‘อหํ, เทว, สกลชมฺพุทีเป วิจรโนฺต อญฺญสฺส รโญฺญ สนฺติเก กิญฺจิ คุยฺหํ น ปสฺสามิ, อุตฺตรปญฺจาลนคเร ปน จูฬนิพฺรหฺมทตฺตสฺส ปุโรหิโต เกวโฎฺฎ นาม พฺราหฺมโณ ราชานํ อุยฺยานํ เนตฺวา จตุกฺกณฺณมนฺตํ คณฺหิฯ อถาหํ สาขนฺตเร นิสีทิตฺวา เตสํ มนฺตํ สุณิตฺวา มนฺตปริโยสาเน ตสฺส สีเส จ มุเข จ ฉกณปิณฺฑํ ปาเตตฺวา อาคโตมฺหี’’ติ วตฺวา สพฺพํ กเถสิฯ ‘รญฺญา สมฺปฎิจฺฉิต’’นฺติ วุเตฺต ‘‘สมฺปฎิจฺฉิ, เทวา’’ติ อาหฯ

    Suvapotako taṃ sutvā tesaṃ mantapariyosāne sākhāyaṃ olambakaṃ otārento viya kevaṭṭassa sīse chakaṇapiṇḍaṃ pātetvā ‘‘kimeta’’nti mukhaṃ vivaritvā uddhaṃ olokentassa aparampi mukhe pātetvā ‘‘kiri kirī’’ti saddaṃ viravanto sākhato uppatitvā ‘‘kevaṭṭa, tvaṃ catukkaṇṇamantoti maññasi, idāneva chakkaṇṇo jāto, puna aṭṭhakaṇṇo bhavitvā anekasatakaṇṇopi bhavissatī’’ti vatvā ‘‘gaṇhatha, gaṇhathā’’ti vadantānaññeva vātavegena mithilaṃ gantvā paṇḍitassa nivesanaṃ pāvisi. Tassa pana idaṃ vattaṃ – sace kutoci ābhatasāsanaṃ paṇḍitasseva kathetabbaṃ hoti, athassa aṃsakūṭe otarati, sace amarādeviyāpi sotuṃ vaṭṭati, ucchaṅge otarati, sace mahājanena sotabbaṃ, bhūmiyaṃ otarati. Tadā so paṇḍitassa aṃsakūṭe otari. Tāya saññāya ‘‘rahassena bhavitabba’’nti mahājano paṭikkami. Paṇḍito taṃ gahetvā uparipāsādatalaṃ abhiruyha ‘‘kiṃ te, tāta, diṭṭhaṃ suta’’nti pucchi. Athassa so ‘‘ahaṃ, deva, sakalajambudīpe vicaranto aññassa rañño santike kiñci guyhaṃ na passāmi, uttarapañcālanagare pana cūḷanibrahmadattassa purohito kevaṭṭo nāma brāhmaṇo rājānaṃ uyyānaṃ netvā catukkaṇṇamantaṃ gaṇhi. Athāhaṃ sākhantare nisīditvā tesaṃ mantaṃ suṇitvā mantapariyosāne tassa sīse ca mukhe ca chakaṇapiṇḍaṃ pātetvā āgatomhī’’ti vatvā sabbaṃ kathesi. ‘Raññā sampaṭicchita’’nti vutte ‘‘sampaṭicchi, devā’’ti āha.

    อถสฺส ปณฺฑิโต กตฺตพฺพยุตฺตกํ สกฺการํ กริตฺวา ตํ มุทุปจฺจตฺถรเณ สุวณฺณปญฺชเร สุฎฺฐุ สยาเปตฺวา ‘‘เกวโฎฺฎ มม มโหสธสฺส ปณฺฑิตภาวํ น ชานาติ มเญฺญ, อหํ น ทานิสฺส มนฺตสฺส มตฺถกํ ปาปุณิตุํ ทสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา นครโต ทุคฺคตกุลานิ นีหราเปตฺวา พหิ นิวาสาเปสิ, รฎฺฐชนปททฺวารคาเมสุ สมิทฺธานิ อิสฺสริยกุลานิ อาหริตฺวา อโนฺตนคเร นิวาสาเปสิ, พหุํ ธนธญฺญํ กาเรสิฯ จูฬนิพฺรหฺมทโตฺตปิ เกวฎฺฎสฺส วจนํ คเหตฺวา เสนงฺคปริวุโต คนฺตฺวา เอกํ ขุทฺทกนครํ ปริกฺขิปิฯ เกวโฎฺฎปิ วุตฺตนเยเนว ตตฺถ ปวิสิตฺวา ตํ ราชานํ สญฺญาเปตฺวา อตฺตโน สนฺตกมกาสิฯ เทฺว เสนา เอกโต กตฺวา ตโต อญฺญํ นครํ รุมฺภติฯ เอเตนุปาเยน ปฎิปาฎิยา สพฺพานิ ตานิ นครานิ คณฺหิฯ เอวํ จูฬนิพฺรหฺมทโตฺต เกวฎฺฎสฺส โอวาเท ฐิโต, ฐเปตฺวา เวเทหราชานํ เสสราชาโน สกลชมฺพุทีเป อตฺตโน สนฺตเก อกาสิฯ โพธิสตฺตสฺส ปน อุปนิกฺขิตฺตกปุริสา ‘‘จูฬนิพฺรหฺมทเตฺตน เอตฺตกานิ นครานิ คหิตานิ , อปฺปมโตฺต โหตู’’ติ นิจฺจํ สาสนํ ปหิณิํสุฯ โสปิ เตสํ ‘‘อหํ อิธ อปฺปมโตฺต วสามิ, ตุเมฺหปิ อนุกฺกณฺฐนฺตา อปฺปมโตฺต หุตฺวา วสถา’’ติ ปฎิเปเสสิฯ

    Athassa paṇḍito kattabbayuttakaṃ sakkāraṃ karitvā taṃ mudupaccattharaṇe suvaṇṇapañjare suṭṭhu sayāpetvā ‘‘kevaṭṭo mama mahosadhassa paṇḍitabhāvaṃ na jānāti maññe, ahaṃ na dānissa mantassa matthakaṃ pāpuṇituṃ dassāmī’’ti cintetvā nagarato duggatakulāni nīharāpetvā bahi nivāsāpesi, raṭṭhajanapadadvāragāmesu samiddhāni issariyakulāni āharitvā antonagare nivāsāpesi, bahuṃ dhanadhaññaṃ kāresi. Cūḷanibrahmadattopi kevaṭṭassa vacanaṃ gahetvā senaṅgaparivuto gantvā ekaṃ khuddakanagaraṃ parikkhipi. Kevaṭṭopi vuttanayeneva tattha pavisitvā taṃ rājānaṃ saññāpetvā attano santakamakāsi. Dve senā ekato katvā tato aññaṃ nagaraṃ rumbhati. Etenupāyena paṭipāṭiyā sabbāni tāni nagarāni gaṇhi. Evaṃ cūḷanibrahmadatto kevaṭṭassa ovāde ṭhito, ṭhapetvā vedeharājānaṃ sesarājāno sakalajambudīpe attano santake akāsi. Bodhisattassa pana upanikkhittakapurisā ‘‘cūḷanibrahmadattena ettakāni nagarāni gahitāni , appamatto hotū’’ti niccaṃ sāsanaṃ pahiṇiṃsu. Sopi tesaṃ ‘‘ahaṃ idha appamatto vasāmi, tumhepi anukkaṇṭhantā appamatto hutvā vasathā’’ti paṭipesesi.

    จูฬนิพฺรหฺมทโตฺต สตฺตทิวสสตฺตมาสาธิเกหิ สตฺตสํวจฺฉเรหิ วิเทหรชฺชํ วเชฺชตฺวา เสสํ สกลชมฺพุทีเป รชฺชํ คเหตฺวา เกวฎฺฎํ อาห – ‘‘อาจริย, มิถิลายํ วิเทหรชฺชํ คณฺหามา’’ติฯ ‘‘มหาราช, มโหสธปณฺฑิตสฺส วสนนคเร รชฺชํ คณฺหิตุํ น สกฺขิสฺสามฯ โส หิ เอวํ ญาณสมฺปโนฺน เอวํ อุปายกุสโล’’ติ โส วิตฺถาเรตฺวา จนฺทมณฺฑลํ อุฎฺฐาเปโนฺต วิย มโหสธสฺส คุเณ กเถสิฯ อยญฺหิ สยมฺปิ อุปายกุสโลว, ตสฺมา ‘‘มิถิลนครํ นาม เทว อปฺปมตฺตกํ, สกลชมฺพุทีเป รชฺชํ อมฺหากํ ปโหติ, กิํ โน เอเตนา’’ติ อุปาเยเนว ราชานํ สลฺลกฺขาเปสิฯ เสสราชาโนปิ ‘‘มยํ มิถิลรชฺชํ คเหตฺวาว ชยปานํ ปิวิสฺสามา’’ติ วทนฺติฯ เกวโฎฺฎ เตปิ นิวาเรตฺวา ‘‘วิเทหรชฺชํ คเหตฺวา กิํ กริสฺสาม, โสปิ ราชา อมฺหากํ สนฺตโกว, ตสฺมา นิวตฺตถา’’ติ เต อุปาเยเนว โพเธสิฯ เต ตสฺส วจนํ สุตฺวา นิวตฺติํสุฯ มหาสตฺตสฺส อุปนิกฺขิตฺตกปุริสา สาสนํ เปสยิํสุ ‘‘พฺรหฺมทโตฺต เอกสตราชปริวุโต มิถิลํ อาคจฺฉโนฺตว นิวตฺติตฺวา อตฺตโน นครเมว คโต’’ติฯ โสปิ เตสํ ‘‘อิโต ปฎฺฐาย ตสฺส กิริยํ ชานนฺตู’’ติ ปฎิเปเสสิฯ พฺรหฺมทโตฺตปิ เกวเฎฺฎน สทฺธิํ ‘‘อิทานิ กิํ กริสฺสามี’’ติ มเนฺตตฺวา ‘‘ชยปานํ ปิวิสฺสามา’’ติ วุเตฺต อุยฺยานํ อลงฺกริตฺวา จาฎิสเตสุ จาฎิสหเสฺสสุ สุรํ ฐเปถ, นานาวิธานิ จ มจฺฉมํสาทีนิ อุปเนถา’’ติ เสวเก อาณาเปสิฯ อุปนิกฺขิตฺตกปุริสา ตํ ปวตฺติํ ปณฺฑิตสฺส อาโรเจสุํฯ เต ปน ‘‘วิเสน สุรํ โยเชตฺวา ราชาโน มาเรตุกาโม’’ติ น ชานิํสุฯ มหาสโตฺต ปน สุวโปตกสฺส สนฺติกา สุตตฺตา ตถโต ชานิตฺวา ‘‘เนสํ สุราปานทิวสํ ตถโต ชานิตฺวา มม เปเสถา’’ติ ปฎิสาสนํ เปเสสิฯ เต ตถา กริํสุฯ

    Cūḷanibrahmadatto sattadivasasattamāsādhikehi sattasaṃvaccharehi videharajjaṃ vajjetvā sesaṃ sakalajambudīpe rajjaṃ gahetvā kevaṭṭaṃ āha – ‘‘ācariya, mithilāyaṃ videharajjaṃ gaṇhāmā’’ti. ‘‘Mahārāja, mahosadhapaṇḍitassa vasananagare rajjaṃ gaṇhituṃ na sakkhissāma. So hi evaṃ ñāṇasampanno evaṃ upāyakusalo’’ti so vitthāretvā candamaṇḍalaṃ uṭṭhāpento viya mahosadhassa guṇe kathesi. Ayañhi sayampi upāyakusalova, tasmā ‘‘mithilanagaraṃ nāma deva appamattakaṃ, sakalajambudīpe rajjaṃ amhākaṃ pahoti, kiṃ no etenā’’ti upāyeneva rājānaṃ sallakkhāpesi. Sesarājānopi ‘‘mayaṃ mithilarajjaṃ gahetvāva jayapānaṃ pivissāmā’’ti vadanti. Kevaṭṭo tepi nivāretvā ‘‘videharajjaṃ gahetvā kiṃ karissāma, sopi rājā amhākaṃ santakova, tasmā nivattathā’’ti te upāyeneva bodhesi. Te tassa vacanaṃ sutvā nivattiṃsu. Mahāsattassa upanikkhittakapurisā sāsanaṃ pesayiṃsu ‘‘brahmadatto ekasatarājaparivuto mithilaṃ āgacchantova nivattitvā attano nagarameva gato’’ti. Sopi tesaṃ ‘‘ito paṭṭhāya tassa kiriyaṃ jānantū’’ti paṭipesesi. Brahmadattopi kevaṭṭena saddhiṃ ‘‘idāni kiṃ karissāmī’’ti mantetvā ‘‘jayapānaṃ pivissāmā’’ti vutte uyyānaṃ alaṅkaritvā cāṭisatesu cāṭisahassesu suraṃ ṭhapetha, nānāvidhāni ca macchamaṃsādīni upanethā’’ti sevake āṇāpesi. Upanikkhittakapurisā taṃ pavattiṃ paṇḍitassa ārocesuṃ. Te pana ‘‘visena suraṃ yojetvā rājāno māretukāmo’’ti na jāniṃsu. Mahāsatto pana suvapotakassa santikā sutattā tathato jānitvā ‘‘nesaṃ surāpānadivasaṃ tathato jānitvā mama pesethā’’ti paṭisāsanaṃ pesesi. Te tathā kariṃsu.

    ปณฺฑิโต ‘‘มาทิเส ธรมาเน เอตฺตกานํ ราชูนํ มรณํ อยุตฺตํ, อวสฺสโย เนสํ ภวิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา สหชาตํ โยธสหสฺสํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สมฺมา, จูฬนิพฺรหฺมทโตฺต กิร อุยฺยานํ อลงฺการาเปตฺวา เอกสตราชปริวุโต สุรํ ปาตุกาโม, ตุเมฺห ตตฺถ คนฺตฺวา ราชูนํ อาสเนสุ ปญฺญเตฺตสุ กิสฺมิญฺจิ อนิสิเนฺนเยว ‘จูฬนิพฺรหฺมทตฺตสฺส อนนฺตรํ มหารหํ อาสนํ อมฺหากํ รโญฺญว เทถา’ติ วทนฺตา คเหตฺวา เตสํ ปุริเสหิ ‘ตุเมฺห กสฺส ปุริสา’ติ วุเตฺต ‘วิเทหราชสฺสา’ติ วเทยฺยาถฯ เต ตุเมฺหหิ สทฺธิํ ‘มยํ สตฺตทิวสสตฺตมาสาธิกานิ สตฺตวสฺสานิ รชฺชํ คณฺหนฺตา เอกทิวสมฺปิ วิเทหราชานํ น ปสฺสาม, กิํ ราชา นาเมส, คจฺฉถ ปริยเนฺต อาสนํ คณฺหถา’ติ วทนฺตา กลหํ กริสฺสนฺติฯ อถ ตุเมฺห ‘ฐเปตฺวา พฺรหฺมทตฺตํ อโญฺญ อมฺหากํ รโญฺญ อุตฺตริตโร อิธ นตฺถี’ติ กลหํ วเฑฺฒตฺวา อมฺหากํ รโญฺญ อาสนมตฺตมฺปิ อลภนฺตา ‘น ทานิ โว สุรํ ปาตุํ มจฺฉมํสํ ขาทิตุํ ทสฺสามา’ติ นทนฺตา วคฺคนฺตา มหาโฆสํ กโรนฺตา เตสํ สนฺตาสํ ชเนนฺตา มหเนฺตหิ เลฑฺฑุทเณฺฑหิ สพฺพจาฎิโย ภินฺทิตฺวา มจฺฉมํสํ วิปฺปกิริตฺวา อปริโภคํ กตฺวา ชเวน เสนาย อนฺตรํ ปวิสิตฺวา เทวนครํ ปวิฎฺฐา อสุรา วิย อุโลฺลฬํ อุฎฺฐาเปตฺวา ‘มยํ มิถิลนคเร มโหสธปณฺฑิตสฺส ปุริสา, สโกฺกนฺตา อเมฺห คณฺหถา’ติ ตุมฺหากํ อาคตภาวํ ชานาเปตฺวา อาคจฺฉถา’’ติ เปเสสิฯ เต ‘‘สาธู’’ติ ตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา วนฺทิตฺวา สนฺนทฺธปญฺจาวุธา นิกฺขมิตฺวา ตตฺถ คนฺตฺวา นนฺทนวนมิว อลงฺกตอุยฺยานํ ปวิสิตฺวา สมุสฺสิตเสตจฺฉเตฺต เอกสตราชปลฺลเงฺก อาทิํ กตฺวา อลงฺกตปฺปฎิยตฺตํ สิริวิภวํ ทิสฺวา มหาสเตฺตน วุตฺตนิยาเมเนว สพฺพํ กตฺวา มหาชนํ สโงฺขเภตฺวา มิถิลาภิมุขา ปกฺกมิํสุฯ ราชปุริสาปิ ตํ ปวตฺติํ เตสํ ราชูนํ อาโรเจสุํฯ จูฬนิพฺรหฺมทโตฺตปิ ‘‘เอวรูปสฺส นาม เม วิสโยคสฺส อนฺตราโย กโต’’ติ กุชฺฌิฯ ราชาโนปิ ‘‘อมฺหากํ ชยปานํ ปาตุํ นาทาสี’’ติ กุชฺฌิํสุฯ พลกายาปิ ‘‘มยํ อมูลกํ สุรํ ปาตุํ น ลภิมฺหา’’ติ กุชฺฌิํสุฯ

    Paṇḍito ‘‘mādise dharamāne ettakānaṃ rājūnaṃ maraṇaṃ ayuttaṃ, avassayo nesaṃ bhavissāmī’’ti cintetvā sahajātaṃ yodhasahassaṃ pakkosāpetvā ‘‘sammā, cūḷanibrahmadatto kira uyyānaṃ alaṅkārāpetvā ekasatarājaparivuto suraṃ pātukāmo, tumhe tattha gantvā rājūnaṃ āsanesu paññattesu kismiñci anisinneyeva ‘cūḷanibrahmadattassa anantaraṃ mahārahaṃ āsanaṃ amhākaṃ raññova dethā’ti vadantā gahetvā tesaṃ purisehi ‘tumhe kassa purisā’ti vutte ‘videharājassā’ti vadeyyātha. Te tumhehi saddhiṃ ‘mayaṃ sattadivasasattamāsādhikāni sattavassāni rajjaṃ gaṇhantā ekadivasampi videharājānaṃ na passāma, kiṃ rājā nāmesa, gacchatha pariyante āsanaṃ gaṇhathā’ti vadantā kalahaṃ karissanti. Atha tumhe ‘ṭhapetvā brahmadattaṃ añño amhākaṃ rañño uttaritaro idha natthī’ti kalahaṃ vaḍḍhetvā amhākaṃ rañño āsanamattampi alabhantā ‘na dāni vo suraṃ pātuṃ macchamaṃsaṃ khādituṃ dassāmā’ti nadantā vaggantā mahāghosaṃ karontā tesaṃ santāsaṃ janentā mahantehi leḍḍudaṇḍehi sabbacāṭiyo bhinditvā macchamaṃsaṃ vippakiritvā aparibhogaṃ katvā javena senāya antaraṃ pavisitvā devanagaraṃ paviṭṭhā asurā viya ulloḷaṃ uṭṭhāpetvā ‘mayaṃ mithilanagare mahosadhapaṇḍitassa purisā, sakkontā amhe gaṇhathā’ti tumhākaṃ āgatabhāvaṃ jānāpetvā āgacchathā’’ti pesesi. Te ‘‘sādhū’’ti tassa vacanaṃ sampaṭicchitvā vanditvā sannaddhapañcāvudhā nikkhamitvā tattha gantvā nandanavanamiva alaṅkatauyyānaṃ pavisitvā samussitasetacchatte ekasatarājapallaṅke ādiṃ katvā alaṅkatappaṭiyattaṃ sirivibhavaṃ disvā mahāsattena vuttaniyāmeneva sabbaṃ katvā mahājanaṃ saṅkhobhetvā mithilābhimukhā pakkamiṃsu. Rājapurisāpi taṃ pavattiṃ tesaṃ rājūnaṃ ārocesuṃ. Cūḷanibrahmadattopi ‘‘evarūpassa nāma me visayogassa antarāyo kato’’ti kujjhi. Rājānopi ‘‘amhākaṃ jayapānaṃ pātuṃ nādāsī’’ti kujjhiṃsu. Balakāyāpi ‘‘mayaṃ amūlakaṃ suraṃ pātuṃ na labhimhā’’ti kujjhiṃsu.

    จูฬนิพฺรหฺมทโตฺต เต ราชาโน อามเนฺตตฺวา ‘‘เอถ, โภ, มิถิลํ คนฺตฺวา วิเทหราชสฺส ขเคฺคน สีสํ ฉินฺทิตฺวา ปาเทหิ อกฺกมิตฺวา นิสินฺนา ชยปานํ ปิวิสฺสาม, เสนํ คมนสชฺชํ กโรถา’’ติ วตฺวา ปุน รโหคโต เกวฎฺฎสฺสปิ เอตมตฺถํ กเถตฺวา ‘‘อมฺหากํ เอวรูปสฺส มนฺตสฺส อนฺตรายกรํ ปจฺจามิตฺตํ คณฺหิสฺสาม, เอกสตราชูนํ อฎฺฐารสอโกฺขภณิสงฺขาย เสนาย ปริวุตา คจฺฉาม, เอถ, อาจริยา’’ติ อาหฯ พฺราหฺมโณ อตฺตโน ปณฺฑิตภาเวน จิเนฺตสิ ‘‘มโหสธปณฺฑิตํ ชินิตุํ นาม น สกฺกา, อมฺหากํเยว ลชฺชิตพฺพํ ภวิสฺสติ, นิวตฺตาเปสฺสามิ น’’นฺติฯ อถ นํ เอวมาห – ‘‘มหาราช, น เอส วิเทหราชสฺส ถาโม, มโหสธปณฺฑิตสฺส สํวิธานเมตํ, มหานุภาโว ปเนส, เตน รกฺขิตา มิถิลา สีหรกฺขิตคุหา วิย น สกฺกา เกนจิ คเหตุํ, เกวลํ อมฺหากํ ลชฺชนกํ ภวิสฺสติ, อลํ ตตฺถ คมเนนา’’ติฯ ราชา ปน ขตฺติยมาเนน อิสฺสริยมเทน มโตฺต หุตฺวา ‘‘กิํ โส กริสฺสตี’’ติ วตฺวา เอกสตราชปริวุโต อฎฺฐารสอโกฺขภณิสงฺขาย เสนาย สทฺธิํ นิกฺขมิฯ เกวโฎฺฎปิ อตฺตโน กถํ คณฺหาเปตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘รโญฺญ ปจฺจนีกวุตฺติ นาม อยุตฺตา’’ติ เตน สทฺธิํเยว นิกฺขมิฯ เตปิ โยธา เอกรเตฺตเนว มิถิลํ ปตฺวา อตฺตนา กตกิจฺจํ ปณฺฑิตสฺส กถยิํสุฯ ปฐมํ อุปนิกฺขิตฺตกปุริสาปิสฺส สาสนํ ปหิณิํสุฯ ‘‘จูฬนิพฺรหฺมทโตฺต ‘วิเทหราชานํ คณฺหิสฺสามี’ติ เอกสตราชปริวุโต อาคจฺฉติ, ปณฺฑิโต อปฺปมโตฺต โหตุ, อชฺช อสุกฎฺฐานํ นาม อาคโต, อชฺช อสุกฎฺฐานํ, อชฺช นครํ ปาปุณิสฺสตี’’ติ ปณฺฑิตสฺส นิพทฺธํ เปเสนฺติเยวฯ ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต อปฺปมโตฺต อโหสิฯ วิเทหราชา ปน ‘‘พฺรหฺมทโตฺต กิร อิมํ นครํ คเหตุํ อาคจฺฉตี’’ติ ปรมฺปรโฆเสน อโสฺสสิฯ

    Cūḷanibrahmadatto te rājāno āmantetvā ‘‘etha, bho, mithilaṃ gantvā videharājassa khaggena sīsaṃ chinditvā pādehi akkamitvā nisinnā jayapānaṃ pivissāma, senaṃ gamanasajjaṃ karothā’’ti vatvā puna rahogato kevaṭṭassapi etamatthaṃ kathetvā ‘‘amhākaṃ evarūpassa mantassa antarāyakaraṃ paccāmittaṃ gaṇhissāma, ekasatarājūnaṃ aṭṭhārasaakkhobhaṇisaṅkhāya senāya parivutā gacchāma, etha, ācariyā’’ti āha. Brāhmaṇo attano paṇḍitabhāvena cintesi ‘‘mahosadhapaṇḍitaṃ jinituṃ nāma na sakkā, amhākaṃyeva lajjitabbaṃ bhavissati, nivattāpessāmi na’’nti. Atha naṃ evamāha – ‘‘mahārāja, na esa videharājassa thāmo, mahosadhapaṇḍitassa saṃvidhānametaṃ, mahānubhāvo panesa, tena rakkhitā mithilā sīharakkhitaguhā viya na sakkā kenaci gahetuṃ, kevalaṃ amhākaṃ lajjanakaṃ bhavissati, alaṃ tattha gamanenā’’ti. Rājā pana khattiyamānena issariyamadena matto hutvā ‘‘kiṃ so karissatī’’ti vatvā ekasatarājaparivuto aṭṭhārasaakkhobhaṇisaṅkhāya senāya saddhiṃ nikkhami. Kevaṭṭopi attano kathaṃ gaṇhāpetuṃ asakkonto ‘‘rañño paccanīkavutti nāma ayuttā’’ti tena saddhiṃyeva nikkhami. Tepi yodhā ekaratteneva mithilaṃ patvā attanā katakiccaṃ paṇḍitassa kathayiṃsu. Paṭhamaṃ upanikkhittakapurisāpissa sāsanaṃ pahiṇiṃsu. ‘‘Cūḷanibrahmadatto ‘videharājānaṃ gaṇhissāmī’ti ekasatarājaparivuto āgacchati, paṇḍito appamatto hotu, ajja asukaṭṭhānaṃ nāma āgato, ajja asukaṭṭhānaṃ, ajja nagaraṃ pāpuṇissatī’’ti paṇḍitassa nibaddhaṃ pesentiyeva. Taṃ sutvā mahāsatto appamatto ahosi. Videharājā pana ‘‘brahmadatto kira imaṃ nagaraṃ gahetuṃ āgacchatī’’ti paramparaghosena assosi.

    อถ พฺรหฺมทโตฺต อคฺคปโทเสเยว อุกฺกาสตสหเสฺสน ธาริยมาเนน อาคนฺตฺวา สกลนครํ ปริวาเรสิฯ อถ นํ หตฺถิปาการรถปาการาทีหิ ปริกฺขิปาเปตฺวา เตสุ เตสุ ฐาเนสุ พลคุมฺพํ ฐเปสิฯ มนุสฺสา อุนฺนาเทนฺตา อโปฺผเฎนฺตา เสเฬนฺตา นจฺจนฺตา คชฺชนฺตา ตเชฺชนฺตา มหาโฆสํ กโรนฺตา อฎฺฐํสุฯ ทีโปภาเสน เจว อลงฺกาโรภาเสน จ สกลสตฺตโยชนิกา มิถิลา เอโกภาสา อโหสิฯ หตฺถิอสฺสรถตูริยานํ สเทฺทน ปถวิยา ภิชฺชนกาโล วิย อโหสิฯ จตฺตาโร ปณฺฑิตา อุโลฺลฬสทฺทํ สุตฺวา อชานนฺตา รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘มหาราช, อุโลฺลฬสโทฺท ชาโต, น โข ปน มยํ ชานาม, กิํ นาเมตํ, วีมํสิตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหํสุฯ ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘จูฬนิพฺรหฺมทโตฺต นุ โข อาคโต ภเวยฺยา’’ติ สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา โอโลเกโนฺต ตสฺสาคมนภาวํ ญตฺวา ภีตตสิโต ‘‘นตฺถิ อมฺหากํ ชีวิตํ, สเพฺพ โน ชีวิตกฺขยํ ปาเปสฺสตี’’ติ เตหิ สทฺธิํ สลฺลปโนฺต นิสีทิฯ มหาสโตฺต ปน ตสฺสาคตภาวํ ญตฺวา สีโห วิย อฉมฺภิโต สกลนคเร อารกฺขํ สํวิทหิตฺวา ‘‘ราชานํ อสฺสาเสสฺสามี’’ติ ราชนิเวสนํ อภิรุหิตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ ราชา ตํ ทิสฺวาว ปฎิลทฺธสฺสาโส หุตฺวา ‘‘ฐเปตฺวา มม ปุตฺตํ มโหสธปณฺฑิตํ อโญฺญ มํ อิมมฺหา ทุกฺขา โมเจตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถี’’ติ จิเนฺตตฺวา เตน สทฺธิํ สลฺลปโนฺต อาห –

    Atha brahmadatto aggapadoseyeva ukkāsatasahassena dhāriyamānena āgantvā sakalanagaraṃ parivāresi. Atha naṃ hatthipākārarathapākārādīhi parikkhipāpetvā tesu tesu ṭhānesu balagumbaṃ ṭhapesi. Manussā unnādentā apphoṭentā seḷentā naccantā gajjantā tajjentā mahāghosaṃ karontā aṭṭhaṃsu. Dīpobhāsena ceva alaṅkārobhāsena ca sakalasattayojanikā mithilā ekobhāsā ahosi. Hatthiassarathatūriyānaṃ saddena pathaviyā bhijjanakālo viya ahosi. Cattāro paṇḍitā ulloḷasaddaṃ sutvā ajānantā rañño santikaṃ gantvā ‘‘mahārāja, ulloḷasaddo jāto, na kho pana mayaṃ jānāma, kiṃ nāmetaṃ, vīmaṃsituṃ vaṭṭatī’’ti āhaṃsu. Taṃ sutvā rājā ‘‘cūḷanibrahmadatto nu kho āgato bhaveyyā’’ti sīhapañjaraṃ vivaritvā olokento tassāgamanabhāvaṃ ñatvā bhītatasito ‘‘natthi amhākaṃ jīvitaṃ, sabbe no jīvitakkhayaṃ pāpessatī’’ti tehi saddhiṃ sallapanto nisīdi. Mahāsatto pana tassāgatabhāvaṃ ñatvā sīho viya achambhito sakalanagare ārakkhaṃ saṃvidahitvā ‘‘rājānaṃ assāsessāmī’’ti rājanivesanaṃ abhiruhitvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Rājā taṃ disvāva paṭiladdhassāso hutvā ‘‘ṭhapetvā mama puttaṃ mahosadhapaṇḍitaṃ añño maṃ imamhā dukkhā mocetuṃ samattho nāma natthī’’ti cintetvā tena saddhiṃ sallapanto āha –

    ๕๙๐.

    590.

    ‘‘ปญฺจาโล สพฺพเสนาย, พฺรหฺมทโตฺตยมาคโต;

    ‘‘Pañcālo sabbasenāya, brahmadattoyamāgato;

    สายํ ปญฺจาลิยา เสนา, อปฺปเมโยฺย มโหสธฯ

    Sāyaṃ pañcāliyā senā, appameyyo mahosadha.

    ๕๙๑.

    591.

    ‘‘วีถิมตี ปตฺติมตี, สพฺพสงฺคามโกวิทา;

    ‘‘Vīthimatī pattimatī, sabbasaṅgāmakovidā;

    โอหารินี สทฺทวตี, เภริสงฺขปฺปโพธนาฯ

    Ohārinī saddavatī, bherisaṅkhappabodhanā.

    ๕๙๒.

    592.

    ‘‘โลหวิชฺชาลงฺการาภา, ธชินี วามโรหินี;

    ‘‘Lohavijjālaṅkārābhā, dhajinī vāmarohinī;

    สิปฺปิเยหิ สุสมฺปนฺนา, สูเรหิ สุปฺปติฎฺฐิตาฯ

    Sippiyehi susampannā, sūrehi suppatiṭṭhitā.

    ๕๙๓.

    593.

    ‘‘ทเสตฺถ ปณฺฑิตา อาหุ, ภูริปญฺญา รโหคมา;

    ‘‘Dasettha paṇḍitā āhu, bhūripaññā rahogamā;

    มาตา เอกาทสี รโญฺญ, ปญฺจาลิยํ ปสาสติฯ

    Mātā ekādasī rañño, pañcāliyaṃ pasāsati.

    ๕๙๔.

    594.

    ‘‘อเถเตฺถกสตํ ขตฺยา, อนุยนฺตา ยสสฺสิโน;

    ‘‘Athetthekasataṃ khatyā, anuyantā yasassino;

    อจฺฉินฺนรฎฺฐา พฺยถิตา, ปญฺจาลิยํ วสํ คตาฯ

    Acchinnaraṭṭhā byathitā, pañcāliyaṃ vasaṃ gatā.

    ๕๙๕.

    595.

    ‘‘ยํวทา ตกฺกรา รโญฺญ, อกามา ปิยภาณิโน;

    ‘‘Yaṃvadā takkarā rañño, akāmā piyabhāṇino;

    ปญฺจาลมนุยายนฺติ, อกามา วสิโน คตาฯ

    Pañcālamanuyāyanti, akāmā vasino gatā.

    ๕๙๖.

    596.

    ‘‘ตาย เสนาย มิถิลา, ติสนฺธิปริวาริตา;

    ‘‘Tāya senāya mithilā, tisandhiparivāritā;

    ราชธานี วิเทหานํ, สมนฺตา ปริขญฺญติฯ

    Rājadhānī videhānaṃ, samantā parikhaññati.

    ๕๙๗.

    597.

    ‘‘อุทฺธํ ตารกชาตาว, สมนฺตา ปริวาริตา;

    ‘‘Uddhaṃ tārakajātāva, samantā parivāritā;

    มโหสธ วิชานาหิ, กถํ โมโกฺข ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Mahosadha vijānāhi, kathaṃ mokkho bhavissatī’’ti.

    ตตฺถ สพฺพเสนายาติ สพฺพาย เอกสตราชนายิกาย อฎฺฐารสอโกฺขภณิสงฺขาย เสนาย สทฺธิํ อาคโต กิร, ตาตาติ วทติฯ ปญฺจาลิยาติ ปญฺจาลรโญฺญ สนฺตกาฯ วีถิมตีติ วีถิยา อานีเต ทพฺพสมฺภาเร คเหตฺวา วิจรเนฺตน วฑฺฒกิคเณน สมนฺนาคตาฯ ปตฺติมตีติ ปทสญฺจเรน พลกาเยน สมนฺนาคตาฯ สพฺพสงฺคามโกวิทาติ สพฺพสงฺคาเม กุสลาฯ โอหารินีติ ปรเสนาย อนฺตรํ ปวิสิตฺวา อปญฺญายนฺตาว ปรสีสํ อาหริตุํ สมตฺถาฯ สทฺทวตีติ ทสหิ สเทฺทหิ อวิวิตฺตาฯ เภริสงฺขปฺปโพธนาติ ‘‘เอถ ยาถ ยุชฺฌถา’’ติอาทีนิ ตตฺถ วจีเภเทน ชานาเปตุํ น สกฺกา, ตาทิสานิ ปเนตฺถ กิจฺจานิ เภริสงฺขสเทฺทเหว โพเธนฺตีติ เภริสงฺขปฺปโพธนาฯ โลหวิชฺชาลงฺการาภาติ เอตฺถ โลหวิชฺชาติ โลหสิปฺปานิฯ สตฺตรตนปฎิมณฺฑิตานํ กวจจมฺมชาลิกาสีสกเรณิกาทีนํ เอตํ นามํฯ อลงฺการาติ ราชมหามตฺตาทีนํ อลงฺการาฯ ตสฺมา โลหวิชฺชาหิ เจว อลงฺกาเรหิ จ ภาสตีติ โลหวิชฺชาลงฺการาภาติ อยเมตฺถ อโตฺถฯ ธชินีติ สุวณฺณาทิปฎิมณฺฑิเตหิ นานาวตฺถสมุชฺชเลหิ รถาทีสุ สมุสฺสิตธเชหิ สมนฺนาคตาฯ วามโรหินีติ หตฺถี จ อเสฺส จ อาโรหนฺตา วามปเสฺสน อาโรหนฺติ, เตน ‘‘วามโรหินี’’ติ วุจฺจนฺติ, เตหิ สมนฺนาคตา, อปริมิตหตฺถิอสฺสสมากิณฺณาติ อโตฺถฯ สิปฺปิเยหีติ หตฺถิสิปฺปอสฺสสิปฺปาทีสุ อฎฺฐารสสุ สิเปฺปสุ นิปฺผตฺติํ ปเตฺตหิ สุฎฺฐุ สมนฺนาคตา สุสมากิณฺณาฯ สูเรหีติ ตาต, เอสา กิร เสนา สีหสมานปรกฺกเมหิ สูรโยเธหิ สุปฺปติฎฺฐิตาฯ

    Tattha sabbasenāyāti sabbāya ekasatarājanāyikāya aṭṭhārasaakkhobhaṇisaṅkhāya senāya saddhiṃ āgato kira, tātāti vadati. Pañcāliyāti pañcālarañño santakā. Vīthimatīti vīthiyā ānīte dabbasambhāre gahetvā vicarantena vaḍḍhakigaṇena samannāgatā. Pattimatīti padasañcarena balakāyena samannāgatā. Sabbasaṅgāmakovidāti sabbasaṅgāme kusalā. Ohārinīti parasenāya antaraṃ pavisitvā apaññāyantāva parasīsaṃ āharituṃ samatthā. Saddavatīti dasahi saddehi avivittā. Bherisaṅkhappabodhanāti ‘‘etha yātha yujjhathā’’tiādīni tattha vacībhedena jānāpetuṃ na sakkā, tādisāni panettha kiccāni bherisaṅkhasaddeheva bodhentīti bherisaṅkhappabodhanā. Lohavijjālaṅkārābhāti ettha lohavijjāti lohasippāni. Sattaratanapaṭimaṇḍitānaṃ kavacacammajālikāsīsakareṇikādīnaṃ etaṃ nāmaṃ. Alaṅkārāti rājamahāmattādīnaṃ alaṅkārā. Tasmā lohavijjāhi ceva alaṅkārehi ca bhāsatīti lohavijjālaṅkārābhāti ayamettha attho. Dhajinīti suvaṇṇādipaṭimaṇḍitehi nānāvatthasamujjalehi rathādīsu samussitadhajehi samannāgatā. Vāmarohinīti hatthī ca asse ca ārohantā vāmapassena ārohanti, tena ‘‘vāmarohinī’’ti vuccanti, tehi samannāgatā, aparimitahatthiassasamākiṇṇāti attho. Sippiyehīti hatthisippaassasippādīsu aṭṭhārasasu sippesu nipphattiṃ pattehi suṭṭhu samannāgatā susamākiṇṇā. Sūrehīti tāta, esā kira senā sīhasamānaparakkamehi sūrayodhehi suppatiṭṭhitā.

    อาหูติ ทส กิเรตฺถ เสนาย ปณฺฑิตาติ วทนฺติฯ ภูริปญฺญาติ ปถวิสมาย วิปุลาย ปญฺญาย สมนฺนาคตาฯ รโหคมาติ รโห คมนสีลา รโห นิสีทิตฺวา มนฺตนสีลาฯ เต กิร เอกาหทฺวีหํ จิเนฺตตุํ ลภนฺตา ปถวิํ ปริวเตฺตตุํ อากาเส คณฺหิตุํ สมตฺถาฯ เอกาทสีติ เตหิ กิร ปณฺฑิเตหิ อติเรกตรปญฺญา ปญฺจาลรโญฺญ มาตาฯ สา เตสํ เอกาทสี หุตฺวา ปญฺจาลิยํ เสนํ ปสาสติ อนุสาสติฯ

    Āhūti dasa kirettha senāya paṇḍitāti vadanti. Bhūripaññāti pathavisamāya vipulāya paññāya samannāgatā. Rahogamāti raho gamanasīlā raho nisīditvā mantanasīlā. Te kira ekāhadvīhaṃ cintetuṃ labhantā pathaviṃ parivattetuṃ ākāse gaṇhituṃ samatthā. Ekādasīti tehi kira paṇḍitehi atirekatarapaññā pañcālarañño mātā. Sā tesaṃ ekādasī hutvā pañcāliyaṃ senaṃ pasāsati anusāsati.

    เอกทิวสํ กิเรโก ปุริโส เอกํ ตณฺฑุลนาฬิญฺจ ปุฎกภตฺตญฺจ กหาปณสหสฺสญฺจ คเหตฺวา ‘‘นทิํ ตริสฺสามี’’ติ โอติโณฺณ นทิมชฺฌํ ปตฺวา ตริตุํ อสโกฺกโนฺต ตีเร ฐิเต มนุเสฺส เอวมาห – ‘‘อโมฺภ, มม หเตฺถ เอกา ตณฺฑุลนาฬิ ปุฎกภตฺตํ กหาปณสหสฺสญฺจ อตฺถิ, อิโต ยํ มยฺหํ รุจฺจติ, ตํ ทสฺสามิฯ โย สโกฺกติ, โส มํ อุตฺตาเรตู’’ติฯ อเถโก ถามสมฺปโนฺน ปุริโส คาฬฺหํ นิวาเสตฺวา นทิํ โอคาเหตฺวา ตํ หเตฺถ คเหตฺวา ปรตีรํ อุตฺตาเรตฺวา ‘‘เทหิ เม ทาตพฺพ’’นฺติ อาหฯ ‘‘โส ตณฺฑุลนาฬิํ วา ปุฎกภตฺตํ วา คณฺหาหี’’ติ ฯ ‘‘สมฺม, อหํ ชีวิตํ อคเณตฺวา ตํ อุตฺตาเรสิํ, น เม เอเตหิ อโตฺถ, กหาปณํ เม เทหี’’ติฯ อหํ ‘‘อิโต มยฺหํ ยํ รุจฺจติ, ตํ ทสฺสามี’’ติ อวจํ, อิทานิ มยฺหํ ยํ รุจฺจติ, ตํ ทมฺมิ, อิจฺฉโนฺต คณฺหาติฯ โส สมีเป ฐิตสฺส เอกสฺส กเถสิฯ โสปิ ตํ ‘‘เอส อตฺตโน รุจฺจนกํ ตว เทติ, คณฺหา’’ติ อาหฯ โส ‘‘อหํ น คณฺหิสฺสามี’’ติ ตํ อาทาย วินิจฺฉยํ คนฺตฺวา วินิจฺฉยามจฺจานํ อาโรเจสิฯ เตปิ สพฺพํ สุตฺวา ตเถวาหํสุฯ โส เตสํ วินิจฺฉเยน อตุโฎฺฐ รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ ราชาปิ วินิจฺฉยามเจฺจ ปโกฺกสาเปตฺวา เตสํ สนฺติเก อุภินฺนํ วจนํ สุตฺวา วินิจฺฉินิตุํ อชานโนฺต อตฺตโน ชีวิตํ ปหาย นทิํ โอติณฺณํ ปรชฺชาเปสิฯ

    Ekadivasaṃ kireko puriso ekaṃ taṇḍulanāḷiñca puṭakabhattañca kahāpaṇasahassañca gahetvā ‘‘nadiṃ tarissāmī’’ti otiṇṇo nadimajjhaṃ patvā tarituṃ asakkonto tīre ṭhite manusse evamāha – ‘‘ambho, mama hatthe ekā taṇḍulanāḷi puṭakabhattaṃ kahāpaṇasahassañca atthi, ito yaṃ mayhaṃ ruccati, taṃ dassāmi. Yo sakkoti, so maṃ uttāretū’’ti. Atheko thāmasampanno puriso gāḷhaṃ nivāsetvā nadiṃ ogāhetvā taṃ hatthe gahetvā paratīraṃ uttāretvā ‘‘dehi me dātabba’’nti āha. ‘‘So taṇḍulanāḷiṃ vā puṭakabhattaṃ vā gaṇhāhī’’ti . ‘‘Samma, ahaṃ jīvitaṃ agaṇetvā taṃ uttāresiṃ, na me etehi attho, kahāpaṇaṃ me dehī’’ti. Ahaṃ ‘‘ito mayhaṃ yaṃ ruccati, taṃ dassāmī’’ti avacaṃ, idāni mayhaṃ yaṃ ruccati, taṃ dammi, icchanto gaṇhāti. So samīpe ṭhitassa ekassa kathesi. Sopi taṃ ‘‘esa attano ruccanakaṃ tava deti, gaṇhā’’ti āha. So ‘‘ahaṃ na gaṇhissāmī’’ti taṃ ādāya vinicchayaṃ gantvā vinicchayāmaccānaṃ ārocesi. Tepi sabbaṃ sutvā tathevāhaṃsu. So tesaṃ vinicchayena atuṭṭho rañño santikaṃ gantvā tamatthaṃ ārocesi. Rājāpi vinicchayāmacce pakkosāpetvā tesaṃ santike ubhinnaṃ vacanaṃ sutvā vinicchinituṃ ajānanto attano jīvitaṃ pahāya nadiṃ otiṇṇaṃ parajjāpesi.

    ตสฺมิํ ขเณ รโญฺญ มาตา จลากเทวี นาม อวิทูเร นิสินฺนา อโหสิฯ สา รโญฺญ ทุพฺพินิจฺฉิตภาวํ ญตฺวา ‘‘ตาต, อิมํ อฑฺฑํ ญตฺวาว สุฎฺฐุ วินิจฺฉิต’’นฺติ อาหฯ ‘‘อมฺม, อหํ เอตฺตกํ ชานามิฯ สเจ ตุเมฺห อุตฺตริตรํ ชานาถ, ตุเมฺหว วินิจฺฉินถา’’ติฯ สา ‘‘เอวํ กริสฺสามี’’ติ วตฺวา ตํ ปุริสํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘เอหิ, ตาต, ตว หตฺถคตานิ ตีณิปิ ภูมิยํ ฐเปหี’’ติ ปฎิปาฎิยา ฐปาเปตฺวา ‘‘ตาต, ตฺวํ อุทเก วุยฺหมาโน อิมสฺส กิํ กเถสี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อิทํ นามเยฺย’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ ตว รุจฺจนกํ คณฺหา’’ติ อาหฯ โส สหสฺสตฺถวิกํ คณฺหิฯ อถ นํ สา โถกํ คตกาเล ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาต, สหสฺสํ เต รุจฺจตี’’ติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘อาม, รุจฺจตี’’ติ วุเตฺต ‘‘ตาต, ตยา ‘อิโต ยํ มยฺหํ รุจฺจติ, ตํ ทสฺสามี’ติ อิมสฺส วุตฺตํ, น วุตฺต’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘วุตฺตํ เทวี’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ อิมํ สหสฺสํ เอตสฺส เทหี’’ติ วตฺวา ทาเปสิฯ โส โรทโนฺต ปริเทวโนฺต อทาสิฯ ตสฺมิํ ขเณ ราชา อมจฺจา จ ตุสฺสิตฺวา สาธุการํ ปวตฺตยิํสุฯ ตโต ปฎฺฐาย ตสฺสา ปณฺฑิตภาโว สพฺพตฺถ ปากโฎ ชาโตฯ ตํ สนฺธาย วิเทหราชา ‘‘มาตา เอกาทสี รโญฺญ’’ติ อาหฯ

    Tasmiṃ khaṇe rañño mātā calākadevī nāma avidūre nisinnā ahosi. Sā rañño dubbinicchitabhāvaṃ ñatvā ‘‘tāta, imaṃ aḍḍaṃ ñatvāva suṭṭhu vinicchita’’nti āha. ‘‘Amma, ahaṃ ettakaṃ jānāmi. Sace tumhe uttaritaraṃ jānātha, tumheva vinicchinathā’’ti. Sā ‘‘evaṃ karissāmī’’ti vatvā taṃ purisaṃ pakkosāpetvā ‘‘ehi, tāta, tava hatthagatāni tīṇipi bhūmiyaṃ ṭhapehī’’ti paṭipāṭiyā ṭhapāpetvā ‘‘tāta, tvaṃ udake vuyhamāno imassa kiṃ kathesī’’ti pucchitvā ‘‘idaṃ nāmayye’’ti vutte ‘‘tena hi tava ruccanakaṃ gaṇhā’’ti āha. So sahassatthavikaṃ gaṇhi. Atha naṃ sā thokaṃ gatakāle pakkosāpetvā ‘‘tāta, sahassaṃ te ruccatī’’ti pucchitvā ‘‘āma, ruccatī’’ti vutte ‘‘tāta, tayā ‘ito yaṃ mayhaṃ ruccati, taṃ dassāmī’ti imassa vuttaṃ, na vutta’’nti pucchitvā ‘‘vuttaṃ devī’’ti vutte ‘‘tena hi imaṃ sahassaṃ etassa dehī’’ti vatvā dāpesi. So rodanto paridevanto adāsi. Tasmiṃ khaṇe rājā amaccā ca tussitvā sādhukāraṃ pavattayiṃsu. Tato paṭṭhāya tassā paṇḍitabhāvo sabbattha pākaṭo jāto. Taṃ sandhāya videharājā ‘‘mātā ekādasī rañño’’ti āha.

    ขตฺยาติ ขตฺติยาฯ อจฺฉินฺนรฎฺฐาติ จูฬนิพฺรหฺมทเตฺตน อจฺฉินฺทิตฺวา คหิตรฎฺฐาฯ พฺยถิตาติ มรณภยภีตา อญฺญํ คเหตพฺพคหณํ อปสฺสนฺตาฯ ปญฺจาลิยํ วสํ คตาติ เอตสฺส ปญฺจาลรโญฺญ วสํ คตาติ อโตฺถฯ สามิวจนเตฺถ หิ เอตํ อุปโยควจนํฯ ยํวทา ตกฺกราติ ยํ มุเขน วทนฺติ, ตํ รโญฺญ กาตุํ สโกฺกนฺตาวฯ วสิโน คตาติ ปุเพฺพ สยํวสิโน อิทานิ ปนสฺส วสํ คตาติ อโตฺถฯ ติสนฺธีติ ปฐมํ หตฺถิปากาเรน ปริกฺขิตฺตา, ตโต รถปากาเรน, ตโต อสฺสปากาเรน, ตโต โยธปตฺติปากาเรน ปริกฺขิตฺตาติ อิเมหิ จตูหิ สเงฺขเปหิ ติสนฺธีหิ ปริวาริตาฯ หตฺถิรถานญฺหิ อนฺตรํ เอโก สนฺธิ, รถอสฺสานํ อนฺตรํ เอโก สนฺธิ, อสฺสปตฺตีนํ อนฺตรํ เอโก สนฺธิฯ ปริขญฺญตีติ ขนียติฯ อิมญฺหิ อิทานิ อุปฺปาเฎตฺวา คณฺหิตุกามา วิย สมนฺตโต ขนนฺติฯ อุทฺธํ ตารกชาตาวาติ ตาต, ยาย เสนาย สมนฺตา ปริวาริตา, สา อเนกสตสหสฺสทณฺฑทีปิกาหิ อุทฺธํ ตารกชาตา วิย ขายติฯ วิชานาหีติ ตาต มโหสธปณฺฑิต, อวีจิโต ยาว ภวคฺคา อโญฺญ ตยา สทิโส อุปายกุสโล ปณฺฑิโต นาม นตฺถิ, ปณฺฑิตภาโว นาม เอวรูเปสุ ฐาเนสุ ปญฺญายติ, ตสฺมา ตฺวเมว ชานาหิ, กถํ อมฺหากํ อิโต ทุกฺขา ปโมโกฺข ภวิสฺสตีติฯ

    Khatyāti khattiyā. Acchinnaraṭṭhāti cūḷanibrahmadattena acchinditvā gahitaraṭṭhā. Byathitāti maraṇabhayabhītā aññaṃ gahetabbagahaṇaṃ apassantā. Pañcāliyaṃ vasaṃ gatāti etassa pañcālarañño vasaṃ gatāti attho. Sāmivacanatthe hi etaṃ upayogavacanaṃ. Yaṃvadā takkarāti yaṃ mukhena vadanti, taṃ rañño kātuṃ sakkontāva. Vasino gatāti pubbe sayaṃvasino idāni panassa vasaṃ gatāti attho. Tisandhīti paṭhamaṃ hatthipākārena parikkhittā, tato rathapākārena, tato assapākārena, tato yodhapattipākārena parikkhittāti imehi catūhi saṅkhepehi tisandhīhi parivāritā. Hatthirathānañhi antaraṃ eko sandhi, rathaassānaṃ antaraṃ eko sandhi, assapattīnaṃ antaraṃ eko sandhi. Parikhaññatīti khanīyati. Imañhi idāni uppāṭetvā gaṇhitukāmā viya samantato khananti. Uddhaṃ tārakajātāvāti tāta, yāya senāya samantā parivāritā, sā anekasatasahassadaṇḍadīpikāhi uddhaṃ tārakajātā viya khāyati. Vijānāhīti tāta mahosadhapaṇḍita, avīcito yāva bhavaggā añño tayā sadiso upāyakusalo paṇḍito nāma natthi, paṇḍitabhāvo nāma evarūpesu ṭhānesu paññāyati, tasmā tvameva jānāhi, kathaṃ amhākaṃ ito dukkhā pamokkho bhavissatīti.

    อิมํ รโญฺญ กถํ สุตฺวา มหาสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘อยํ ราชา อติวิย มรณภยภีโต, คิลานสฺส โข ปน เวโชฺช ปฎิสรณํ, ฉาตสฺส โภชนํ, ปิปาสิตสฺส ปานียํ, อิมสฺสปิ มํ ฐเปตฺวา อญฺญํ ปฎิสรณํ นตฺถิ, อสฺสาเสสฺสามิ น’’นฺติฯ อถ มหาสโตฺต มโนสิลาตเล นทโนฺต สีโห วิย ‘‘มา ภายิ, มหาราช, รชฺชสุขํ อนุภว, อหํ เลฑฺฑุํ

    Imaṃ rañño kathaṃ sutvā mahāsatto cintesi ‘‘ayaṃ rājā ativiya maraṇabhayabhīto, gilānassa kho pana vejjo paṭisaraṇaṃ, chātassa bhojanaṃ, pipāsitassa pānīyaṃ, imassapi maṃ ṭhapetvā aññaṃ paṭisaraṇaṃ natthi, assāsessāmi na’’nti. Atha mahāsatto manosilātale nadanto sīho viya ‘‘mā bhāyi, mahārāja, rajjasukhaṃ anubhava, ahaṃ leḍḍuṃ

    คเหตฺวา กากํ วิย, ธนุํ คเหตฺวา มกฺกฎํ วิย จ, อิมํ อฎฺฐารสอโกฺขภณิสงฺขํ เสนํ อุทเร พนฺธสาฎกานมฺปิ อสฺสามิกํ กตฺวา ปลาเปสฺสามี’’ติ วตฺวา นวมํ คาถมาห –

    Gahetvā kākaṃ viya, dhanuṃ gahetvā makkaṭaṃ viya ca, imaṃ aṭṭhārasaakkhobhaṇisaṅkhaṃ senaṃ udare bandhasāṭakānampi assāmikaṃ katvā palāpessāmī’’ti vatvā navamaṃ gāthamāha –

    ๕๙๘.

    598.

    ‘‘ปาเท เทว ปสาเรหิ, ภุญฺช กาเม รมสฺสุ จ;

    ‘‘Pāde deva pasārehi, bhuñja kāme ramassu ca;

    หิตฺวา ปญฺจาลิยํ เสนํ, พฺรหฺมทโตฺต ปลายิตี’’ติฯ

    Hitvā pañcāliyaṃ senaṃ, brahmadatto palāyitī’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ‘‘เทว, ตฺวํ ยถาสุขํ อตฺตโน รชฺชสุขสงฺขาเต เต ปาเท ปสาเรหิ, ปสาเรโนฺต จ สงฺคาเม จิตฺตํ อกตฺวา ภุญฺช, กาเม รมสฺสุ จ, เอส พฺรหฺมทโตฺต อิมํ เสนํ ฉเฑฺฑตฺวา ปลายิสฺสตี’’ติฯ

    Tassattho – ‘‘deva, tvaṃ yathāsukhaṃ attano rajjasukhasaṅkhāte te pāde pasārehi, pasārento ca saṅgāme cittaṃ akatvā bhuñja, kāme ramassu ca, esa brahmadatto imaṃ senaṃ chaḍḍetvā palāyissatī’’ti.

    เอวํ ปณฺฑิโต ราชานํ สมสฺสาเสตฺวา วนฺทิตฺวา ราชนิเวสนา นิกฺขมิตฺวา นคเร ฉณเภริํ จราเปตฺวา นาคเร อาห – ‘‘อโมฺภ, ตุเมฺห มา จินฺตยิตฺถ, สตฺตาหํ มาลาคนฺธวิเลปนปานโภชนาทีนิ สมฺปาเทตฺวา ฉณกีฬํ ปฎฺฐเปถฯ ตตฺถ ตตฺถ มนุสฺสา ยถารูปํ มหาปานํ ปิวนฺตุ, คนฺธพฺพํ กโรนฺตุ, วาเทนฺตุ วคฺคนฺตุ เสเฬนฺตุ นทนฺตุ นจฺจนฺตุ คายนฺตุ อโปฺผเฎนฺตุ, ปริพฺพโย ปน โว มม สนฺตโกว โหตุ, อหํ มโหสธปณฺฑิโต นาม, ปสฺสิสฺสถ เม อานุภาว’’นฺติฯ เต ตถา กริํสุฯ ตทา คีตวาทิตาทิสทฺทํ พหินคเร ฐิตา สุณนฺติ, จูฬทฺวาเรน มนุสฺสา นครํ ปวิสนฺติฯ ฐเปตฺวา ปฎิสตฺตุํ ทิฎฺฐํ ทิฎฺฐํ น คณฺหนฺติ, ตสฺมา สญฺจาโร น ฉิชฺชติ, นครํ ปวิฎฺฐมนุสฺสา ฉณกีฬนิสฺสิตํ ชนํ ปสฺสนฺติฯ

    Evaṃ paṇḍito rājānaṃ samassāsetvā vanditvā rājanivesanā nikkhamitvā nagare chaṇabheriṃ carāpetvā nāgare āha – ‘‘ambho, tumhe mā cintayittha, sattāhaṃ mālāgandhavilepanapānabhojanādīni sampādetvā chaṇakīḷaṃ paṭṭhapetha. Tattha tattha manussā yathārūpaṃ mahāpānaṃ pivantu, gandhabbaṃ karontu, vādentu vaggantu seḷentu nadantu naccantu gāyantu apphoṭentu, paribbayo pana vo mama santakova hotu, ahaṃ mahosadhapaṇḍito nāma, passissatha me ānubhāva’’nti. Te tathā kariṃsu. Tadā gītavāditādisaddaṃ bahinagare ṭhitā suṇanti, cūḷadvārena manussā nagaraṃ pavisanti. Ṭhapetvā paṭisattuṃ diṭṭhaṃ diṭṭhaṃ na gaṇhanti, tasmā sañcāro na chijjati, nagaraṃ paviṭṭhamanussā chaṇakīḷanissitaṃ janaṃ passanti.

    จูฬนิพฺรหฺมทโตฺตปิ นคเร โกลาหลํ สุตฺวา อมเจฺจ เอวมาห – ‘‘อโมฺภ, อเมฺหสุ อฎฺฐารสอโกฺขภณิยา เสนาย นครํ ปริวาเรตฺวา ฐิเตสุ นครวาสีนํ ภยํ วา สารชฺชํ วา นตฺถิ, อานนฺทิตา โสมนสฺสปฺปตฺตา อโปฺผเฎนฺติ นทนฺติ เสเฬนฺติ นจฺจนฺติ คายนฺติ, กิํ นาเมต’’นฺติ? อถ นํ อุปนิกฺขิตฺตกปุริสา มุสาวาทํ กตฺวา เอวมาหํสุ ‘‘เทว, มยํ เอเกน กเมฺมน จูฬทฺวาเรน นครํ ปวิสิตฺวา ฉณนิสฺสิตํ มหาชนํ ทิสฺวา ปุจฺฉิมฺหา ‘อโมฺภ , สกลชมฺพุทีปราชาโน อาคนฺตฺวา ตุมฺหากํ นครํ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตา, ตุเมฺห ปน อติปมตฺตา, กิํ นาเมต’นฺติ? เต เอวมาหํสุ ‘อโมฺภ, อมฺหากํ รโญฺญ กุมารกาเล เอโก มโนรโถ อโหสิ สกลชมฺพุทีปราชูหิ นคเร ปริวาริเต ฉณํ กริสฺสามีติ, ตสฺส อชฺช มโนรโถ มตฺถกํ ปโตฺต, ตสฺมา ฉณเภริํ จราเปตฺวา สยํ มหาตเล มหาปานํ ปิวตี’’’ติฯ

    Cūḷanibrahmadattopi nagare kolāhalaṃ sutvā amacce evamāha – ‘‘ambho, amhesu aṭṭhārasaakkhobhaṇiyā senāya nagaraṃ parivāretvā ṭhitesu nagaravāsīnaṃ bhayaṃ vā sārajjaṃ vā natthi, ānanditā somanassappattā apphoṭenti nadanti seḷenti naccanti gāyanti, kiṃ nāmeta’’nti? Atha naṃ upanikkhittakapurisā musāvādaṃ katvā evamāhaṃsu ‘‘deva, mayaṃ ekena kammena cūḷadvārena nagaraṃ pavisitvā chaṇanissitaṃ mahājanaṃ disvā pucchimhā ‘ambho , sakalajambudīparājāno āgantvā tumhākaṃ nagaraṃ parikkhipitvā ṭhitā, tumhe pana atipamattā, kiṃ nāmeta’nti? Te evamāhaṃsu ‘ambho, amhākaṃ rañño kumārakāle eko manoratho ahosi sakalajambudīparājūhi nagare parivārite chaṇaṃ karissāmīti, tassa ajja manoratho matthakaṃ patto, tasmā chaṇabheriṃ carāpetvā sayaṃ mahātale mahāpānaṃ pivatī’’’ti.

    ราชา เตสํ กถํ สุตฺวา กุชฺฌิตฺวา เสนํ อาณาเปสิ – ‘‘โภโนฺต, คจฺฉถ, ขิปฺปํ อิโต จิโต จ นครํ อวตฺถริตฺวา ปริขํ ภินฺทิตฺวา ปาการํ มทฺทนฺตา ทฺวารฎฺฎาลเก ภินฺทนฺตา นครํ ปวิสิตฺวา สกเฎหิ กุมฺภณฺฑานิ วิย มหาชนสฺส สีสานิ คณฺหถ, วิเทหรโญฺญ สีสํ อาหรถา’’ติฯ ตํ สุตฺวา สูรโยธา นานาวุธหตฺถา ทฺวารสมีปํ คนฺตฺวา ปณฺฑิตสฺส ปุริเสหิ สกฺขรวาลุกกลลสิญฺจนปาสาณปตนาทีหิ อุปทฺทุตา ปฎิกฺกมนฺติฯ ‘‘ปาการํ ภินฺทิสฺสามา’’ติ ปริขํ โอติเณฺณปิ อนฺตรฎฺฎาลเกสุ ฐิตา อุสุสตฺติโตมราทีหิ วิชฺฌนฺตา มหาวินาสํ ปาเปนฺติฯ ปณฺฑิตสฺส โยธา จูฬนิพฺรหฺมทตฺตสฺส โยเธ หตฺถวิการาทีนิ ทเสฺสตฺวา นานปฺปกาเรหิ อโกฺกสนฺติ ปริภาสนฺติ ตเชฺชนฺติฯ ‘‘ตุเมฺห กิลมนฺตา ภตฺตํ อลภนฺตา โถกํ ปิวิสฺสถ ขาทิสฺสถา’’ติ สุราปิฎฺฐกานิ เจว มจฺฉมํสสูลานิ จ ปสาเรตฺวา สยเมว ปิวนฺติ ขาทนฺติ, อนุปากาเร จงฺกมนฺติฯ อิตเร กิญฺจิ กาตุํ อสโกฺกนฺตา จูฬนิพฺรหฺมทตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘เทว, ฐเปตฺวา อิทฺธิมเนฺต อเญฺญหิ นิทฺธริตุํ น สกฺกา’’ติ วทิํสุฯ

    Rājā tesaṃ kathaṃ sutvā kujjhitvā senaṃ āṇāpesi – ‘‘bhonto, gacchatha, khippaṃ ito cito ca nagaraṃ avattharitvā parikhaṃ bhinditvā pākāraṃ maddantā dvāraṭṭālake bhindantā nagaraṃ pavisitvā sakaṭehi kumbhaṇḍāni viya mahājanassa sīsāni gaṇhatha, videharañño sīsaṃ āharathā’’ti. Taṃ sutvā sūrayodhā nānāvudhahatthā dvārasamīpaṃ gantvā paṇḍitassa purisehi sakkharavālukakalalasiñcanapāsāṇapatanādīhi upaddutā paṭikkamanti. ‘‘Pākāraṃ bhindissāmā’’ti parikhaṃ otiṇṇepi antaraṭṭālakesu ṭhitā ususattitomarādīhi vijjhantā mahāvināsaṃ pāpenti. Paṇḍitassa yodhā cūḷanibrahmadattassa yodhe hatthavikārādīni dassetvā nānappakārehi akkosanti paribhāsanti tajjenti. ‘‘Tumhe kilamantā bhattaṃ alabhantā thokaṃ pivissatha khādissathā’’ti surāpiṭṭhakāni ceva macchamaṃsasūlāni ca pasāretvā sayameva pivanti khādanti, anupākāre caṅkamanti. Itare kiñci kātuṃ asakkontā cūḷanibrahmadattassa santikaṃ gantvā ‘‘deva, ṭhapetvā iddhimante aññehi niddharituṃ na sakkā’’ti vadiṃsu.

    ราชา จตุปญฺจาหํ วสิตฺวา คเหตพฺพยุตฺตกํ อปสฺสโนฺต เกวฎฺฎํ ปุจฺฉิ ‘‘อาจริย, นครํ คณฺหิตุํ น สโกฺกม, เอโกปิ อุปสงฺกมิตุํ สมโตฺถ นตฺถิ, กิํ กาตพฺพ’’นฺติฯ เกวโฎฺฎ ‘‘โหตุ, มหาราช, นครํ นาม พหิอุทกํ โหติ, อุทกกฺขเยน นํ คณฺหิสฺสาม, มนุสฺสา อุทเกน กิลมนฺตา ทฺวารํ วิวริสฺสนฺตี’’ติ อาหฯ โส ‘‘อเตฺถโส อุปาโย’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ ตโต ปฎฺฐาย อุทกํ ปเวเสตุํ น เทนฺติฯ ปณฺฑิตสฺส อุปนิกฺขิตฺตกปุริสา ปณฺณํ ลิขิตฺวา กเณฺฑ พนฺธิตฺวา ตํ ปวตฺติํ เปเสสุํฯ เตนปิ ปฐมเมว อาณตฺตํ ‘‘โย โย กเณฺฑ ปณฺณํ ปสฺสติ, โส โส เม อาหรตู’’ติฯ อเถโก ปุริโส ตํ ทิสฺวา ปณฺฑิตสฺส ทเสฺสสิฯ โส ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา ‘‘น เม ปณฺฑิตภาวํ ชานนฺตี’’ติ สฎฺฐิหตฺถํ เวฬุํ ทฺวิธา ผาเลตฺวา ปริสุทฺธํ โสธาเปตฺวา ปุน เอกโต กตฺวา จเมฺมน พนฺธิตฺวา อุปริ กลเลน มเกฺขตฺวา หิมวนฺตโต อิทฺธิมนฺตตาปเสหิ อานีตํ กุทฺรูสกุมุทพีชํ โปกฺขรณิตีเร กลเลสุ โรปาเปตฺวา อุปริ เวฬุํ ฐปาเปตฺวา อุทกสฺส ปูราเปสิฯ เอกรเตฺตเนว วฑฺฒิตฺวา ปุปฺผํ เวฬุมตฺถกโต อุคฺคนฺตฺวา รตนมตฺตํ อฎฺฐาสิฯ

    Rājā catupañcāhaṃ vasitvā gahetabbayuttakaṃ apassanto kevaṭṭaṃ pucchi ‘‘ācariya, nagaraṃ gaṇhituṃ na sakkoma, ekopi upasaṅkamituṃ samattho natthi, kiṃ kātabba’’nti. Kevaṭṭo ‘‘hotu, mahārāja, nagaraṃ nāma bahiudakaṃ hoti, udakakkhayena naṃ gaṇhissāma, manussā udakena kilamantā dvāraṃ vivarissantī’’ti āha. So ‘‘attheso upāyo’’ti sampaṭicchi. Tato paṭṭhāya udakaṃ pavesetuṃ na denti. Paṇḍitassa upanikkhittakapurisā paṇṇaṃ likhitvā kaṇḍe bandhitvā taṃ pavattiṃ pesesuṃ. Tenapi paṭhamameva āṇattaṃ ‘‘yo yo kaṇḍe paṇṇaṃ passati, so so me āharatū’’ti. Atheko puriso taṃ disvā paṇḍitassa dassesi. So taṃ pavattiṃ ñatvā ‘‘na me paṇḍitabhāvaṃ jānantī’’ti saṭṭhihatthaṃ veḷuṃ dvidhā phāletvā parisuddhaṃ sodhāpetvā puna ekato katvā cammena bandhitvā upari kalalena makkhetvā himavantato iddhimantatāpasehi ānītaṃ kudrūsakumudabījaṃ pokkharaṇitīre kalalesu ropāpetvā upari veḷuṃ ṭhapāpetvā udakassa pūrāpesi. Ekaratteneva vaḍḍhitvā pupphaṃ veḷumatthakato uggantvā ratanamattaṃ aṭṭhāsi.

    อถ นํ อุปฺปาเฎตฺวา ‘‘อิทํ จูฬนิพฺรหฺมทตฺตสฺส เทถา’’ติ อตฺตโน ปุริสานํ ทาเปสิฯ เต ตสฺส ทณฺฑกํ วลยํ กตฺวา ‘‘อโมฺภ, พฺรหฺมทตฺตสฺส ปาทมูลิกา ฉาตเกน มา มริตฺถ, คณฺหเถตํ อุปฺปลํ ปิฬนฺธิตฺวา ทณฺฑกํ กุจฺฉิปูรํ ขาทถา’’ติ วตฺวา ขิปิํสุฯ ตเมโก ปณฺฑิตสฺส อุปนิกฺขิตฺตกปุริโส อุฎฺฐาย คณฺหิ, อถ ตํ รโญฺญ สนฺติกํ อาหริตฺวา ‘‘ปสฺสถ, เทว, อิมสฺส ทณฺฑกํ, น โน อิโต ปุเพฺพ เอวํ ทีฆทณฺฑโก ทิฎฺฐปุโพฺพ’’ติ วตฺวา ‘‘มินถ น’’นฺติ วุเตฺต ปณฺฑิตสฺส ปุริสา สฎฺฐิหตฺถํ ทณฺฑกํ อสีติหตฺถํ กตฺวา มินิํสุฯ ปุน รญฺญา ‘‘กเตฺถตํ ชาต’’นฺติ วุเตฺต เอโก มุสาวาทํ กตฺวา เอวมาห – ‘‘เทว, อหํ เอกทิวสํ ปิปาสิโต หุตฺวา ‘สุรํ ปิวิสฺสามี’ติ จูฬทฺวาเรน นครํ ปวิโฎฺฐ, นาครานํ อุทกกีฬตฺถาย กตํ มหาโปกฺขรณิํ ปสฺสิํ, มหาชโน นาวาย นิสีทิตฺวา ปุปฺผานิ คณฺหาติฯ ตตฺถ อิทํ ตีรปฺปเทเส ชาตํ, คมฺภีรฎฺฐาเน ชาตสฺส ปน ทณฺฑโก สตหโตฺถ ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Atha naṃ uppāṭetvā ‘‘idaṃ cūḷanibrahmadattassa dethā’’ti attano purisānaṃ dāpesi. Te tassa daṇḍakaṃ valayaṃ katvā ‘‘ambho, brahmadattassa pādamūlikā chātakena mā marittha, gaṇhathetaṃ uppalaṃ piḷandhitvā daṇḍakaṃ kucchipūraṃ khādathā’’ti vatvā khipiṃsu. Tameko paṇḍitassa upanikkhittakapuriso uṭṭhāya gaṇhi, atha taṃ rañño santikaṃ āharitvā ‘‘passatha, deva, imassa daṇḍakaṃ, na no ito pubbe evaṃ dīghadaṇḍako diṭṭhapubbo’’ti vatvā ‘‘minatha na’’nti vutte paṇḍitassa purisā saṭṭhihatthaṃ daṇḍakaṃ asītihatthaṃ katvā miniṃsu. Puna raññā ‘‘katthetaṃ jāta’’nti vutte eko musāvādaṃ katvā evamāha – ‘‘deva, ahaṃ ekadivasaṃ pipāsito hutvā ‘suraṃ pivissāmī’ti cūḷadvārena nagaraṃ paviṭṭho, nāgarānaṃ udakakīḷatthāya kataṃ mahāpokkharaṇiṃ passiṃ, mahājano nāvāya nisīditvā pupphāni gaṇhāti. Tattha idaṃ tīrappadese jātaṃ, gambhīraṭṭhāne jātassa pana daṇḍako satahattho bhavissatī’’ti.

    ตํ สุตฺวา ราชา เกวฎฺฎํ อาห – ‘‘อาจริย, น สกฺกา อุทกกฺขเยน อิทํ คณฺหิตุํ, หรเถกํ อุปาย’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ, เทว, ธญฺญกฺขเยน คณฺหิสฺสาม, นครํ นาม พหิธญฺญํ โหตี’’ติฯ เอวํ โหตุ อาจริยาติ, ปณฺฑิโต ปุริมนเยเนว ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา ‘‘น เม เกวฎฺฎพฺราหฺมโณ ปณฺฑิตภาวํ ชานาตี’’ติ อนุปาการมตฺถเก กลลํ กตฺวา วีหิํ ตตฺถ โรปาเปสิฯ โพธิสตฺตานํ อธิปฺปาโย นาม สมิชฺฌตีติ วีหี เอกรเตฺตเนว วุฎฺฐาย ปาการมตฺถเก นีลา หุตฺวา ปญฺญายนฺติฯ ตํ ทิสฺวา จูฬนิพฺรหฺมทโตฺต ‘‘อโมฺภ, กิเมตํ ปาการมตฺถเก นีลํ หุตฺวา ปญฺญายตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ปณฺฑิตสฺส อุปนิกฺขิตฺตกปุริโส รโญฺญ วจนํ มุขโต ชิวฺหํ ลุญฺจโนฺต วิย คเหตฺวา ‘‘เทว, คหปติปุโตฺต มโหสธปณฺฑิโต อนาคตภยํ ทิสฺวา ปุเพฺพว รฎฺฐโต ธญฺญํ อาหราเปตฺวา โกฎฺฐาคาราทีนิ ปูราเปตฺวา เสสธญฺญํ ปาการปเสฺส นิกฺขิปาเปสิฯ เต กิร วีหโย อาตเปน สุกฺขนฺตา วเสฺสน เตเมนฺตา ตเตฺถว สสฺสํ ชเนสุํฯ อหํ เอกทิวสํ เอเกน กเมฺมน จูฬทฺวาเรน ปวิสิตฺวา ปาการมตฺถเก วีหิราสิโต วีหิํ หเตฺถน คเหตฺวา วีถิยํ ฉเฑฺฑเนฺต ปสฺสิํฯ อถ เต มํ ปริหาสนฺตา ‘ฉาโตสิ มเญฺญ, วีหิํสาฎกทสเนฺต พนฺธิตฺวา ตว เคหํ หริตฺวา โกเฎฺฎตฺวา ปจาเปตฺวา ภุญฺชาหี’ติ วทิํสู’’ติ อาโรเจสิฯ

    Taṃ sutvā rājā kevaṭṭaṃ āha – ‘‘ācariya, na sakkā udakakkhayena idaṃ gaṇhituṃ, harathekaṃ upāya’’nti. ‘‘Tena hi, deva, dhaññakkhayena gaṇhissāma, nagaraṃ nāma bahidhaññaṃ hotī’’ti. Evaṃ hotu ācariyāti, paṇḍito purimanayeneva taṃ pavattiṃ ñatvā ‘‘na me kevaṭṭabrāhmaṇo paṇḍitabhāvaṃ jānātī’’ti anupākāramatthake kalalaṃ katvā vīhiṃ tattha ropāpesi. Bodhisattānaṃ adhippāyo nāma samijjhatīti vīhī ekaratteneva vuṭṭhāya pākāramatthake nīlā hutvā paññāyanti. Taṃ disvā cūḷanibrahmadatto ‘‘ambho, kimetaṃ pākāramatthake nīlaṃ hutvā paññāyatī’’ti pucchi. Paṇḍitassa upanikkhittakapuriso rañño vacanaṃ mukhato jivhaṃ luñcanto viya gahetvā ‘‘deva, gahapatiputto mahosadhapaṇḍito anāgatabhayaṃ disvā pubbeva raṭṭhato dhaññaṃ āharāpetvā koṭṭhāgārādīni pūrāpetvā sesadhaññaṃ pākārapasse nikkhipāpesi. Te kira vīhayo ātapena sukkhantā vassena tementā tattheva sassaṃ janesuṃ. Ahaṃ ekadivasaṃ ekena kammena cūḷadvārena pavisitvā pākāramatthake vīhirāsito vīhiṃ hatthena gahetvā vīthiyaṃ chaḍḍente passiṃ. Atha te maṃ parihāsantā ‘chātosi maññe, vīhiṃsāṭakadasante bandhitvā tava gehaṃ haritvā koṭṭetvā pacāpetvā bhuñjāhī’ti vadiṃsū’’ti ārocesi.

    ตํ สุตฺวา ราชา เกวฎฺฎํ ‘‘อาจริย, ธญฺญกฺขเยนปิ คณฺหิตุํ น สกฺกา, อยมฺปิ อนุปาโย’’ติ อาหฯ ‘‘เตน หิ, เทว, ทารุกฺขเยน คณฺหิสฺสาม, นครํ นาม พหิทารุกํ โหตี’’ติฯ ‘‘เอวํ โหตุ, อาจริยา’’ติฯ ปณฺฑิโต ปุริมนเยเนว ตํ ปวตฺติํ ญตฺวา ปาการมตฺถเก วีหิํ อติกฺกมิตฺวา ปญฺญายมานํ ทารุราสิํ กาเรสิฯ ปณฺฑิตสฺส มนุสฺสา จูฬนิพฺรหฺมทตฺตสฺส ปุริเสหิ สทฺธิํ ปริหาสํ กโรนฺตา ‘‘สเจ ฉาตตฺถ, ยาคุภตฺตํ ปจิตฺวา ภุญฺชถา’’ติ มหนฺตมหนฺตานิ ทารูนิ ขิปิํสุฯ ราชา ‘‘ปาการมตฺถเกน ทารูนิ ปญฺญายนฺติ, กิเมต’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เทว, คหปติปุโตฺต กิร มโหสธปณฺฑิโต อนาคตภยํ ทิสฺวา ทารูนิ อาหราเปตฺวา กุลานํ ปจฺฉาเคเหสุ ฐปาเปตฺวา อติเรกานิ ปาการํ นิสฺสาย ฐปาเปสี’’ติ อุปนิกฺขิตฺตกานเญฺญว สนฺติกา วจนํ สุตฺวา เกวฎฺฎํ อาห – ‘‘อาจริย, ทารุกฺขเยนปิ น สกฺกา อเมฺหหิ คณฺหิตุํ, อาหรเถกํ อุปาย’’นฺติฯ ‘‘มา จินฺตยิตฺถ, มหาราช, อโญฺญ อุปาโย อตฺถี’’ติฯ ‘‘อาจริย, กิํ อุปาโย นาเมส, นาหํ ตว อุปายสฺส อนฺตํ ปสฺสามิ, น สกฺกา อเมฺหหิ เวเทหํ คณฺหิตุํ, อมฺหากํ นครเมว คมิสฺสามา’’ติฯ ‘‘เทว, ‘จูฬนิพฺรหฺมทโตฺต เอกสตขตฺติเยหิ สทฺธิํ เวเทหํ คณฺหิตุํ นาสกฺขี’ติ อมฺหากํ ลชฺชนกํ ภวิสฺสติ, กิํ ปน มโหสโธว ปณฺฑิโต, อหมฺปิ ปณฺฑิโตเยว, เอกํ เลสํ กริสฺสามี’’ติฯ ‘‘กิํ เลโส นาม, อาจริยา’’ติฯ ‘‘ธมฺมยุทฺธํ นาม กริสฺสาม, เทวา’’ติฯ ‘‘กิเมตํ ธมฺมยุทฺธํ นามา’’ติ? ‘‘มหาราช น เสนา ยุชฺฌิสฺสนฺติ, ทฺวินฺนํ ปน ราชูนํ เทฺว ปณฺฑิตา เอกฎฺฐาเน ภวิสฺสนฺติฯ เตสุ โย วนฺทิสฺสติ, ตสฺส ปราชโย ภวิสฺสติฯ มโหสโธ ปน อิมํ มนฺตํ น ชานาติ, อหํ มหลฺลโก, โส ทหโร, มํ ทิสฺวาว วนฺทิสฺสติ, ตทา วิเทโห ปราชิโต นาม ภวิสฺสติ, อถ มยํ วิเทหํ ปราเชตฺวา อตฺตโน นครเมว คมิสฺสาม, เอวํ โน ลชฺชนกํ น ภวิสฺสติฯ อิทํ ธมฺมยุทฺธํ นามา’’ติฯ

    Taṃ sutvā rājā kevaṭṭaṃ ‘‘ācariya, dhaññakkhayenapi gaṇhituṃ na sakkā, ayampi anupāyo’’ti āha. ‘‘Tena hi, deva, dārukkhayena gaṇhissāma, nagaraṃ nāma bahidārukaṃ hotī’’ti. ‘‘Evaṃ hotu, ācariyā’’ti. Paṇḍito purimanayeneva taṃ pavattiṃ ñatvā pākāramatthake vīhiṃ atikkamitvā paññāyamānaṃ dārurāsiṃ kāresi. Paṇḍitassa manussā cūḷanibrahmadattassa purisehi saddhiṃ parihāsaṃ karontā ‘‘sace chātattha, yāgubhattaṃ pacitvā bhuñjathā’’ti mahantamahantāni dārūni khipiṃsu. Rājā ‘‘pākāramatthakena dārūni paññāyanti, kimeta’’nti pucchitvā ‘‘deva, gahapatiputto kira mahosadhapaṇḍito anāgatabhayaṃ disvā dārūni āharāpetvā kulānaṃ pacchāgehesu ṭhapāpetvā atirekāni pākāraṃ nissāya ṭhapāpesī’’ti upanikkhittakānaññeva santikā vacanaṃ sutvā kevaṭṭaṃ āha – ‘‘ācariya, dārukkhayenapi na sakkā amhehi gaṇhituṃ, āharathekaṃ upāya’’nti. ‘‘Mā cintayittha, mahārāja, añño upāyo atthī’’ti. ‘‘Ācariya, kiṃ upāyo nāmesa, nāhaṃ tava upāyassa antaṃ passāmi, na sakkā amhehi vedehaṃ gaṇhituṃ, amhākaṃ nagarameva gamissāmā’’ti. ‘‘Deva, ‘cūḷanibrahmadatto ekasatakhattiyehi saddhiṃ vedehaṃ gaṇhituṃ nāsakkhī’ti amhākaṃ lajjanakaṃ bhavissati, kiṃ pana mahosadhova paṇḍito, ahampi paṇḍitoyeva, ekaṃ lesaṃ karissāmī’’ti. ‘‘Kiṃ leso nāma, ācariyā’’ti. ‘‘Dhammayuddhaṃ nāma karissāma, devā’’ti. ‘‘Kimetaṃ dhammayuddhaṃ nāmā’’ti? ‘‘Mahārāja na senā yujjhissanti, dvinnaṃ pana rājūnaṃ dve paṇḍitā ekaṭṭhāne bhavissanti. Tesu yo vandissati, tassa parājayo bhavissati. Mahosadho pana imaṃ mantaṃ na jānāti, ahaṃ mahallako, so daharo, maṃ disvāva vandissati, tadā videho parājito nāma bhavissati, atha mayaṃ videhaṃ parājetvā attano nagarameva gamissāma, evaṃ no lajjanakaṃ na bhavissati. Idaṃ dhammayuddhaṃ nāmā’’ti.

    ปณฺฑิโต ตมฺปิ รหสฺสํ ปุริมนเยเนว ญตฺวา ‘‘สเจ เกวฎฺฎสฺส ปรชฺชามิ, นาหํ ปณฺฑิโตสฺมี’’ติ จิเนฺตสิฯ จูฬนิพฺรหฺมทโตฺตปิ ‘‘โสภโน, อาจริย, อุปาโย’’ติ วตฺวา ‘‘เสฺว ธมฺมยุทฺธํ ภวิสฺสติ, ทฺวินฺนมฺปิ ปณฺฑิตานํ ธเมฺมน ชยปราชโย ภวิสฺสติฯ โย ธมฺมยุทฺธํ น กริสฺสติ, โสปิ ปราชิโต นาม ภวิสฺสตี’’ติ ปณฺณํ ลิขาเปตฺวา จูฬทฺวาเรน เวเทหสฺส เปเสสิฯ ตํ สุตฺวา เวเทโห ปณฺฑิตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ตมตฺถํ อาจิกฺขิฯ ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ปณฺฑิโต ‘‘สาธุ, เทว, เสฺว ปาโตว ปจฺฉิมทฺวาเร ธมฺมยุทฺธมณฺฑลํ สเชฺชสฺสนฺติ, ‘ธมฺมยุทฺธมณฺฑลํ อาคจฺฉตู’ติ เปเสถา’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา ราชา อาคตทูตเสฺสว หเตฺถ ปณฺณกํ อทาสิฯ ปณฺฑิโต ปุนทิวเส ‘‘เกวฎฺฎเสฺสว ปราชโย โหตู’’ติ ปจฺฉิมทฺวาเร ธมฺมยุทฺธมณฺฑลํ สชฺชาเปสิฯ เตปิ โข เอกสตปุริสา ‘‘โก ชานาติ, กิํ ภวิสฺสตี’’ติ ปณฺฑิตสฺส อารกฺขตฺถาย เกวฎฺฎํ ปริวารยิํสุฯ เตปิ เอกสตราชาโน ธมฺมยุทฺธมณฺฑลํ คนฺตฺวา ปาจีนทิสํ โอโลเกนฺตา อฎฺฐํสุ, ตถา เกวฎฺฎพฺราหฺมโณปิฯ

    Paṇḍito tampi rahassaṃ purimanayeneva ñatvā ‘‘sace kevaṭṭassa parajjāmi, nāhaṃ paṇḍitosmī’’ti cintesi. Cūḷanibrahmadattopi ‘‘sobhano, ācariya, upāyo’’ti vatvā ‘‘sve dhammayuddhaṃ bhavissati, dvinnampi paṇḍitānaṃ dhammena jayaparājayo bhavissati. Yo dhammayuddhaṃ na karissati, sopi parājito nāma bhavissatī’’ti paṇṇaṃ likhāpetvā cūḷadvārena vedehassa pesesi. Taṃ sutvā vedeho paṇḍitaṃ pakkosāpetvā tamatthaṃ ācikkhi. Taṃ pavattiṃ sutvā paṇḍito ‘‘sādhu, deva, sve pātova pacchimadvāre dhammayuddhamaṇḍalaṃ sajjessanti, ‘dhammayuddhamaṇḍalaṃ āgacchatū’ti pesethā’’ti āha. Taṃ sutvā rājā āgatadūtasseva hatthe paṇṇakaṃ adāsi. Paṇḍito punadivase ‘‘kevaṭṭasseva parājayo hotū’’ti pacchimadvāre dhammayuddhamaṇḍalaṃ sajjāpesi. Tepi kho ekasatapurisā ‘‘ko jānāti, kiṃ bhavissatī’’ti paṇḍitassa ārakkhatthāya kevaṭṭaṃ parivārayiṃsu. Tepi ekasatarājāno dhammayuddhamaṇḍalaṃ gantvā pācīnadisaṃ olokentā aṭṭhaṃsu, tathā kevaṭṭabrāhmaṇopi.

    โพธิสโตฺต ปน ปาโตว คโนฺธทเกน นฺหตฺวา สตสหสฺสคฺฆนกํ กาสิกวตฺถํ นิวาเสตฺวา สพฺพาลงฺการปฎิมณฺฑิโต นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน ราชทฺวารํ คนฺตฺวา ‘‘ปวิสตุ เม ปุโตฺต’’ติ วุเตฺต ปวิสิตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ ฐตฺวา ‘‘กุหิํ คมิสฺสสิ, ตาตา’’ติ วุเตฺต ‘‘ธมฺมยุทฺธมณฺฑลํ คมิสฺสามี’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘เทว, เกวฎฺฎพฺราหฺมณํ มณิรตเนน วเญฺจตุกาโมมฺหิ, อฎฺฐวงฺกํ มณิรตนํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘คณฺห, ตาตา’’ติฯ โส ตํ คเหตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา ราชนิเวสนา โอติโณฺณ สหชาเตหิ โยธสหเสฺสหิ ปริวุโต นวุติกหาปณสหสฺสคฺฆนกํ เสตสินฺธวยุตฺตํ รถวรมารุยฺห ปาตราสเวลาย ทฺวารสมีปํ ปาปุณิฯ เกวโฎฺฎ ปน ‘‘อิทานิ อาคมิสฺสติ, อิทานิ อาคมิสฺสตี’’ติ ตสฺสาคมนํ โอโลเกโนฺตเยว อฎฺฐาสิ, โอโลกเนน ทีฆคีวตํ ปโตฺต วิย อโหสิ, สูริยเตเชน เสทา มุจฺจนฺติฯ มหาสโตฺตปิ มหาปริวารตาย มหาสมุโทฺท วิย อโชฺฌตฺถรโนฺต เกสรสีโห วิย อฉมฺภิโต วิคตโลมหํโส ทฺวารํ วิวราเปตฺวา นครา นิกฺขมฺม รถา โอรุยฺห สีโห วิย วิชมฺภมาโน ปายาสิฯ เอกสตราชาโนปิ ตสฺส รูปสิริํ ทิสฺวา ‘‘เอส กิร สิริวฑฺฒนเสฎฺฐิปุโตฺต มโหสธปณฺฑิโต ปญฺญาย สกลชมฺพุทีเป อทุติโย’’ติ อุกฺกุฎฺฐิสหสฺสานิ ปวตฺตยิํสุฯ

    Bodhisatto pana pātova gandhodakena nhatvā satasahassagghanakaṃ kāsikavatthaṃ nivāsetvā sabbālaṅkārapaṭimaṇḍito nānaggarasabhojanaṃ bhuñjitvā mahantena parivārena rājadvāraṃ gantvā ‘‘pavisatu me putto’’ti vutte pavisitvā rājānaṃ vanditvā ekamantaṃ ṭhatvā ‘‘kuhiṃ gamissasi, tātā’’ti vutte ‘‘dhammayuddhamaṇḍalaṃ gamissāmī’’ti āha. ‘‘Kiṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti? ‘‘Deva, kevaṭṭabrāhmaṇaṃ maṇiratanena vañcetukāmomhi, aṭṭhavaṅkaṃ maṇiratanaṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Gaṇha, tātā’’ti. So taṃ gahetvā rājānaṃ vanditvā rājanivesanā otiṇṇo sahajātehi yodhasahassehi parivuto navutikahāpaṇasahassagghanakaṃ setasindhavayuttaṃ rathavaramāruyha pātarāsavelāya dvārasamīpaṃ pāpuṇi. Kevaṭṭo pana ‘‘idāni āgamissati, idāni āgamissatī’’ti tassāgamanaṃ olokentoyeva aṭṭhāsi, olokanena dīghagīvataṃ patto viya ahosi, sūriyatejena sedā muccanti. Mahāsattopi mahāparivāratāya mahāsamuddo viya ajjhottharanto kesarasīho viya achambhito vigatalomahaṃso dvāraṃ vivarāpetvā nagarā nikkhamma rathā oruyha sīho viya vijambhamāno pāyāsi. Ekasatarājānopi tassa rūpasiriṃ disvā ‘‘esa kira sirivaḍḍhanaseṭṭhiputto mahosadhapaṇḍito paññāya sakalajambudīpe adutiyo’’ti ukkuṭṭhisahassāni pavattayiṃsu.

    โสปิ มรุคณปริวุโต วิย สโกฺก อโนเมน สิริวิภเวน ตํ มณิรตนํ หเตฺถน คเหตฺวา เกวฎฺฎาภิมุโข อคมาสิฯ เกวโฎฺฎปิ ตํ ทิสฺวาว สกภาเวน สณฺฐาตุํ อสโกฺกโนฺต ปจฺจุคฺคมนํ กตฺวา เอวมาห – ‘‘ปณฺฑิต มโหสธ, มยํ เทฺว ปณฺฑิตา, อมฺหากํ ตุเมฺห นิสฺสาย เอตฺตกํ กาลํ วสนฺตานํ ตุเมฺหหิ ปณฺณาการมตฺตมฺปิ น เปสิตปุพฺพํ, กสฺมา เอวมกตฺถา’’ติ? อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘ปณฺฑิต, ตุมฺหากํ อนุจฺฉวิกํ ปณฺณาการํ โอโลเกนฺตา อชฺช มยํ อิมํ มณิรตนํ ลภิมฺหา, หนฺท, อิมํ มณิรตนํ คณฺหถ, เอวรูปํ นาม อญฺญํ มณิรตนํ นตฺถี’’ติ อาหฯ โส ตสฺส หเตฺถ ชลมานํ มณิรตนํ ทิสฺวา ‘‘ทาตุกาโม เม ภวิสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘เตน หิ, ปณฺฑิต, เทหี’’ติ หตฺถํ ปสาเรสิฯ มหาสโตฺต ‘‘คณฺหาหิ, อาจริยา’’ติ ขิปิตฺวา ปสาริตหตฺถสฺส องฺคุลีสุ ปาเตสิฯ พฺราหฺมโณ ครุํ มณิรตนํ องฺคุลีหิ ธาเรตุํ นาสกฺขิฯ มณิรตนํ ปริคฬิตฺวา มหาสตฺตสฺส ปาทมูเล ปติฯ พฺราหฺมโณ โลเภน ‘‘คณฺหิสฺสามิ น’’นฺติ ตสฺส ปาทมูเล โอณโต อโหสิฯ อถสฺส มหาสโตฺต อุฎฺฐาตุํ อทตฺวา เอเกน หเตฺถน ขนฺธฎฺฐิเก, เอเกน ปิฎฺฐิกจฺฉายํ คเหตฺวา ‘‘อุเฎฺฐถ อาจริย, อุเฎฺฐถ อาจริย, อหํ อติทหโร ตุมฺหากํ นตฺตุมโตฺต, มา มํ วนฺทถา’’ติ วทโนฺต อปราปรํ กตฺวา มุขํ ภูมิยํ ฆํสิตฺวา โลหิตมกฺขิตํ กตฺวา ‘‘อนฺธพาล, ตฺวํ มม สนฺติกา วนฺทนํ ปจฺจาสีสสี’’ติ คีวายํ คเหตฺวา ขิปิฯ โส อุสภมเตฺต ฐาเน ปติตฺวา อุฎฺฐาย ปลายิฯ มณิรตนํ ปน มหาสตฺตสฺส มนุสฺสาเยว คณฺหิํสุฯ

    Sopi marugaṇaparivuto viya sakko anomena sirivibhavena taṃ maṇiratanaṃ hatthena gahetvā kevaṭṭābhimukho agamāsi. Kevaṭṭopi taṃ disvāva sakabhāvena saṇṭhātuṃ asakkonto paccuggamanaṃ katvā evamāha – ‘‘paṇḍita mahosadha, mayaṃ dve paṇḍitā, amhākaṃ tumhe nissāya ettakaṃ kālaṃ vasantānaṃ tumhehi paṇṇākāramattampi na pesitapubbaṃ, kasmā evamakatthā’’ti? Atha naṃ mahāsatto ‘‘paṇḍita, tumhākaṃ anucchavikaṃ paṇṇākāraṃ olokentā ajja mayaṃ imaṃ maṇiratanaṃ labhimhā, handa, imaṃ maṇiratanaṃ gaṇhatha, evarūpaṃ nāma aññaṃ maṇiratanaṃ natthī’’ti āha. So tassa hatthe jalamānaṃ maṇiratanaṃ disvā ‘‘dātukāmo me bhavissatī’’ti cintetvā ‘‘tena hi, paṇḍita, dehī’’ti hatthaṃ pasāresi. Mahāsatto ‘‘gaṇhāhi, ācariyā’’ti khipitvā pasāritahatthassa aṅgulīsu pātesi. Brāhmaṇo garuṃ maṇiratanaṃ aṅgulīhi dhāretuṃ nāsakkhi. Maṇiratanaṃ parigaḷitvā mahāsattassa pādamūle pati. Brāhmaṇo lobhena ‘‘gaṇhissāmi na’’nti tassa pādamūle oṇato ahosi. Athassa mahāsatto uṭṭhātuṃ adatvā ekena hatthena khandhaṭṭhike, ekena piṭṭhikacchāyaṃ gahetvā ‘‘uṭṭhetha ācariya, uṭṭhetha ācariya, ahaṃ atidaharo tumhākaṃ nattumatto, mā maṃ vandathā’’ti vadanto aparāparaṃ katvā mukhaṃ bhūmiyaṃ ghaṃsitvā lohitamakkhitaṃ katvā ‘‘andhabāla, tvaṃ mama santikā vandanaṃ paccāsīsasī’’ti gīvāyaṃ gahetvā khipi. So usabhamatte ṭhāne patitvā uṭṭhāya palāyi. Maṇiratanaṃ pana mahāsattassa manussāyeva gaṇhiṃsu.

    โพธิสตฺตสฺส ปน ‘‘อุเฎฺฐถ อาจริย, อุเฎฺฐถ อาจริย, มา มํ วนฺทถา’’ติ วจีโฆโส สกลปริสํ ฉาเทตฺวา อฎฺฐาสิฯ ‘‘เกวฎฺฎพฺราหฺมโณ มโหสธสฺส ปาเท วนฺทตี’’ติ ปุริสาปิสฺส เอกปฺปหาเรเนว อุนฺนาทาทีนิ อกํสุฯ พฺรหฺมทตฺตํ อาทิํ กตฺวา สเพฺพปิ เต ราชาโน เกวฎฺฎํ มหาสตฺตสฺส ปาทมูเล โอณตํ อทฺทสํสุเยวฯ เต ‘‘อมฺหากํ ปณฺฑิเตน มโหสโธ วนฺทิโต, อิทานิ ปราชิตมฺหา, น โน ชีวิตํ ทสฺสตี’’ติ อตฺตโน อตฺตโน อเสฺส อภิรุหิตฺวา อุตฺตรปญฺจาลาภิมุขา ปลายิตุํ อารภิํสุฯ เต ปลายเนฺต ทิสฺวา โพธิสตฺตสฺส ปุริสา ‘‘จูฬนิพฺรหฺมทโตฺต เอกสตขตฺติเย คเหตฺวา ปลายตี’’ติ ปุน อุกฺกุฎฺฐิมกํสุฯ ตํ สุตฺวา เต ราชาโน มรณภยภีตา ภิโยฺยโสมตฺตาย ปลายนฺตา เสนงฺคํ ภินฺทิํสุฯ โพธิสตฺตสฺส ปุริสาปิ นทนฺตา วคฺคนฺตา สุฎฺฐุตรํ โกลาหลมกํสุ ฯ มหาสโตฺต เสนงฺคปริวุโต นครเมว ปาวิสิฯ จูฬนิพฺรหฺมทตฺตสฺส เสนาปิ ติโยชนมตฺตํ ปกฺขนฺทิฯ

    Bodhisattassa pana ‘‘uṭṭhetha ācariya, uṭṭhetha ācariya, mā maṃ vandathā’’ti vacīghoso sakalaparisaṃ chādetvā aṭṭhāsi. ‘‘Kevaṭṭabrāhmaṇo mahosadhassa pāde vandatī’’ti purisāpissa ekappahāreneva unnādādīni akaṃsu. Brahmadattaṃ ādiṃ katvā sabbepi te rājāno kevaṭṭaṃ mahāsattassa pādamūle oṇataṃ addasaṃsuyeva. Te ‘‘amhākaṃ paṇḍitena mahosadho vandito, idāni parājitamhā, na no jīvitaṃ dassatī’’ti attano attano asse abhiruhitvā uttarapañcālābhimukhā palāyituṃ ārabhiṃsu. Te palāyante disvā bodhisattassa purisā ‘‘cūḷanibrahmadatto ekasatakhattiye gahetvā palāyatī’’ti puna ukkuṭṭhimakaṃsu. Taṃ sutvā te rājāno maraṇabhayabhītā bhiyyosomattāya palāyantā senaṅgaṃ bhindiṃsu. Bodhisattassa purisāpi nadantā vaggantā suṭṭhutaraṃ kolāhalamakaṃsu . Mahāsatto senaṅgaparivuto nagarameva pāvisi. Cūḷanibrahmadattassa senāpi tiyojanamattaṃ pakkhandi.

    เกวโฎฺฎ อสฺสํ อภิรุยฺห นลาเฎ โลหิตํ ปุญฺฉมาโน เสนํ ปตฺวา อสฺสปิฎฺฐิยํ นิสิโนฺนว ‘‘โภโนฺต มา ปลายถ, โภโนฺต มา ปลายถ, นาหํ คหปติปุตฺตํ วนฺทามิ, ติฎฺฐถ ติฎฺฐถา’’ติ อาหฯ เสนา อสทฺทหนฺตา อฎฺฐตฺวา อาคจฺฉนฺตํ เกวฎฺฎํ อโกฺกสนฺตา ปริภาสนฺตา ‘‘ปาปธมฺม ทุฎฺฐพฺราหฺมณ, ‘ธมฺมยุทฺธํ นาม กริสฺสามี’ติ วตฺวา นตฺตุมตฺตํ อปฺปโหนฺตมฺปิ วนฺทติ, นตฺถิ ตว กตฺตพฺพ’’นฺติ กถํ อสุณนฺตา วิย คจฺฉเนฺตวฯ โส เวเคน คนฺตฺวา เสนํ ปาปุณิตฺวา ‘‘โภโนฺต วจนํ สทฺทหถ มยฺหํ, นาหํ ตํ วนฺทามิ, มณิรตเนน มํ วเญฺจสี’’ติ สเพฺพปิ เต ราชาโน นานาการเณหิ สโมฺพเธตฺวา อตฺตโน กถํ คณฺหาเปตฺวา ตถา ภินฺนํ เสนํ ปฎินิวเตฺตสิฯ สา ปน ตาว มหตี เสนา สเจ เอเกกปํสุมุฎฺฐิํ วา เอเกกเลฑฺฑุํ วา คเหตฺวา นคราภิมุขา ขิเปยฺย, ปริขํ ปูเรตฺวา ปาการปฺปมาณา ราสิ ภเวยฺยฯ โพธิสตฺตานํ ปน อธิปฺปาโย นาม สมิชฺฌติเยว, ตสฺมา เอโกปิ ปํสุมุฎฺฐิํ วา เลฑฺฑุํ วา นคราภิมุขํ ขิปโนฺต นาม นาโหสิฯ สเพฺพปิ เต นิวตฺติตฺวา อตฺตโน อตฺตโน ขนฺธาวารฎฺฐานเมว ปจฺจาคมิํสุ ฯ

    Kevaṭṭo assaṃ abhiruyha nalāṭe lohitaṃ puñchamāno senaṃ patvā assapiṭṭhiyaṃ nisinnova ‘‘bhonto mā palāyatha, bhonto mā palāyatha, nāhaṃ gahapatiputtaṃ vandāmi, tiṭṭhatha tiṭṭhathā’’ti āha. Senā asaddahantā aṭṭhatvā āgacchantaṃ kevaṭṭaṃ akkosantā paribhāsantā ‘‘pāpadhamma duṭṭhabrāhmaṇa, ‘dhammayuddhaṃ nāma karissāmī’ti vatvā nattumattaṃ appahontampi vandati, natthi tava kattabba’’nti kathaṃ asuṇantā viya gacchanteva. So vegena gantvā senaṃ pāpuṇitvā ‘‘bhonto vacanaṃ saddahatha mayhaṃ, nāhaṃ taṃ vandāmi, maṇiratanena maṃ vañcesī’’ti sabbepi te rājāno nānākāraṇehi sambodhetvā attano kathaṃ gaṇhāpetvā tathā bhinnaṃ senaṃ paṭinivattesi. Sā pana tāva mahatī senā sace ekekapaṃsumuṭṭhiṃ vā ekekaleḍḍuṃ vā gahetvā nagarābhimukhā khipeyya, parikhaṃ pūretvā pākārappamāṇā rāsi bhaveyya. Bodhisattānaṃ pana adhippāyo nāma samijjhatiyeva, tasmā ekopi paṃsumuṭṭhiṃ vā leḍḍuṃ vā nagarābhimukhaṃ khipanto nāma nāhosi. Sabbepi te nivattitvā attano attano khandhāvāraṭṭhānameva paccāgamiṃsu .

    ราชา เกวฎฺฎํ ปุจฺฉิ ‘‘กิํ กโรม, อาจริยา’’ติฯ ‘‘เทว, กสฺสจิ จูฬทฺวาเรน นิกฺขมิตุํ อทตฺวา สญฺจารํ ฉินฺทาม, มนุสฺสา นิกฺขมิตุํ อลภนฺตา อุกฺกณฺฐิตฺวา ทฺวารํ วิวริสฺสนฺติ, อถ มยํ ปจฺจามิตฺตํ คณฺหิสฺสามา’’ติฯ ปณฺฑิโต ตํ ปวตฺติํ ปุริมนเยเนว ญตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อิเมสุ จิรํ อิเธว วสเนฺตสุ ผาสุกํ นาม นตฺถิฯ อุปาเยเนว เต ปลาเปตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ โส ‘‘มเนฺตน เต ปลาเปสฺสามี’’ติ เอกํ มนฺตกุสลํ อุปธาเรโนฺต อนุเกวฎฺฎํ นาม พฺราหฺมณํ ทิสฺวา ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อาจริย, อมฺหากํ เอกํ กมฺมํ นิทฺธริตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ กโรม, ปณฺฑิต, วเทหี’’ติฯ ‘‘อาจริย, ตุเมฺห อนุปากาเร ฐตฺวา อมฺหากํ มนุสฺสานํ ปมาทํ โอโลเกตฺวา อนฺตรนฺตรา พฺรหฺมทตฺตสฺส มนุสฺสานํ ปูวมจฺฉมํสาทีนิ ขิปิตฺวา ‘‘อโมฺภ, อิทญฺจิทญฺจ ขาทถ มา อุกฺกณฺฐถ, อญฺญํ กติปาหํ วสิตุํ วายมถ, นครวาสิโน ปญฺชเร พทฺธกุกฺกุฎา วิย อุกฺกณฺฐิตา นจิรเสฺสว โว ทฺวารํ วิวริสฺสนฺติฯ อถ ตุเมฺห เวเทหญฺจ ทุฎฺฐคหปติปุตฺตญฺจ คณฺหิสฺสถา’’ติ วเทยฺยาถ ฯ อมฺหากํ มนุสฺสา ตํ กถํ สุตฺวา ตุเมฺห อโกฺกสิตฺวา ตเชฺชตฺวา พฺรหฺมทตฺตสฺส มนุสฺสานํ ปสฺสนฺตานเญฺญว ตุเมฺห หตฺถปาเทสุ คเหตฺวา เวฬุเปสิกาทีหิ ปหรนฺตา วิย หุตฺวา เกเส โอหาเรตฺวา ปญฺจ จูฬา คาหาเปตฺวา อิฎฺฐกจุเณฺณน โอกิราเปตฺวา กณวีรมาลํ กเณฺณ กตฺวา กติปยปหาเร ทตฺวา ปิฎฺฐิยํ ราชิโย ทเสฺสตฺวา ปาการํ อาโรเปตฺวา สิกฺกาย ปกฺขิปิตฺวา โยเตฺตน โอตาเรตฺวา ‘‘คจฺฉ มนฺตเภทก, โจรา’’ติ จูฬนิพฺรหฺมทตฺตสฺส มนุสฺสานํ ทสฺสนฺติฯ เต ตํ รโญฺญ สนฺติกํ อาเนสฺสนฺติฯ ราชา ตํ ทิสฺวา ‘‘โก เต อปราโธ’’ติ ปุจฺฉิสฺสติฯ อถสฺส เอวํ วเทยฺยาถ ‘‘มหาราช, มยฺหํ ปุเพฺพ ยโส มหโนฺต, คหปติปุโตฺต มนฺตเภทโก’’ติ มํ กุชฺฌิตฺวา รโญฺญ กเถตฺวา สพฺพํ เม วิภวํ อจฺฉินฺทิ, ‘‘อหํ มม ยสเภทกสฺส คหปติปุตฺตสฺส สีสํ คณฺหาเปสฺสามี’’ติ ตุมฺหากํ มนุสฺสานํ อุกฺกณฺฐิตโมจเนน เอเตสํ ฐิตานํ ขาทนียํ วา โภชนียํ วา เทมิฯ เอตฺตเกน มํ โปราณเวรํ หทเย กตฺวา อิมํ พฺยสนํ ปาเปสิฯ ‘‘ตํ สพฺพํ ตุมฺหากํ มนุสฺสา ชานนฺติ, มหาราชา’’ติ นานปฺปกาเรหิ ตํ สทฺทหาเปตฺวา วิสฺสาเส อุปฺปเนฺน วเทยฺยาถ ‘‘มหาราช, ตุเมฺห มมํ ลทฺธกาลโต ปฎฺฐาย มา จินฺตยิตฺถฯ อิทานิ เวเทหสฺส จ คหปติปุตฺตสฺส จ ชีวิตํ นตฺถิ, อหํ อิมสฺมิํ นคเร ปาการสฺส ถิรฎฺฐานทุพฺพลฎฺฐานญฺจ ปริขายํ กุมฺภีลาทีนํ อตฺถิฎฺฐานญฺจ นตฺถิฎฺฐานญฺจ ชานามิ, น จิรเสฺสว โว นครํ คเหตฺวา ทสฺสามี’’ติฯ อถ โส ราชา สทฺทหิตฺวา ตุมฺหากํ สกฺการํ กริสฺสติ, เสนาวาหนญฺจ ปฎิจฺฉาเปสฺสติฯ อถสฺส เสนํ วาฬกุมฺภีลฎฺฐาเนสุเยว โอตาเรยฺยาถฯ ตสฺส เสนา กุมฺภีลภเยน น โอตริสฺสติ, ตทา ตุเมฺห ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ เสนาย, เทว, คหปติปุเตฺตน ลโญฺช ทิโนฺน, สเพฺพ ราชาโน จ อาจริยเกวฎฺฎญฺจ อาทิํ กตฺวา น เกนจิ ลโญฺช อคฺคหิโต นาม อตฺถิฯ เกวลํ เอเต ตุเมฺห ปริวาเรตฺวา จรนฺติ, สเพฺพ ปน คหปติปุตฺตสฺส สนฺตกาว, อหเมโกว ตุมฺหากํ ปุริโสฯ สเจ เม น สทฺทหถ, สเพฺพ ราชาโน อลงฺกริตฺวา มํ ทสฺสนาย อาคจฺฉนฺตู’’ติ เปเสถฯ ‘‘อถ เนสํ คหปติปุเตฺตน อตฺตโน นามรูปํ ลิขิตฺวา ทิเนฺนสุ วตฺถาลงฺการขคฺคาทีสุ อกฺขรานิ ทิสฺวา นิฎฺฐํ คเจฺฉยฺยาถา’’ติ วเทยฺยาถฯ โส ตถา กตฺวา ตานิ ทิสฺวา นิฎฺฐํ คนฺตฺวา ภีตตสิโต เต ราชาโน อุโยฺยเชตฺวา ‘‘อิทานิ กิํ กโรม ปณฺฑิตา’’ติ ตุเมฺห ปุจฺฉิสฺสติฯ ตเมนํ ตุเมฺห เอวํ วเทยฺยาถ ‘‘มหาราช, คหปติปุโตฺต พหุมาโยฯ สเจ อญฺญานิ กติปยทิวสานิ วสิสฺสถ, สพฺพํ โว เสนํ อตฺตโน หตฺถคตํ กตฺวา ตุเมฺห คณฺหิสฺสติฯ ตสฺมา ปปญฺจํ อกตฺวา อเชฺชว มชฺฌิมยามานนฺตเร อสฺสปิฎฺฐิยํ นิสีทิตฺวา ปลายิสฺสาม, มา โน ปรหเตฺถ มรณํ โหตู’’ติฯ โส ตุมฺหากํ วจนํ สุตฺวา ตถา กริสฺสติฯ ตุเมฺห ตสฺส ปลายนเวลาย นิวตฺติตฺวา อมฺหากํ มนุเสฺส ชานาเปยฺยาถาติฯ

    Rājā kevaṭṭaṃ pucchi ‘‘kiṃ karoma, ācariyā’’ti. ‘‘Deva, kassaci cūḷadvārena nikkhamituṃ adatvā sañcāraṃ chindāma, manussā nikkhamituṃ alabhantā ukkaṇṭhitvā dvāraṃ vivarissanti, atha mayaṃ paccāmittaṃ gaṇhissāmā’’ti. Paṇḍito taṃ pavattiṃ purimanayeneva ñatvā cintesi ‘‘imesu ciraṃ idheva vasantesu phāsukaṃ nāma natthi. Upāyeneva te palāpetuṃ vaṭṭatī’’ti. So ‘‘mantena te palāpessāmī’’ti ekaṃ mantakusalaṃ upadhārento anukevaṭṭaṃ nāma brāhmaṇaṃ disvā taṃ pakkosāpetvā ‘‘ācariya, amhākaṃ ekaṃ kammaṃ niddharituṃ vaṭṭatī’’ti āha. ‘‘Kiṃ karoma, paṇḍita, vadehī’’ti. ‘‘Ācariya, tumhe anupākāre ṭhatvā amhākaṃ manussānaṃ pamādaṃ oloketvā antarantarā brahmadattassa manussānaṃ pūvamacchamaṃsādīni khipitvā ‘‘ambho, idañcidañca khādatha mā ukkaṇṭhatha, aññaṃ katipāhaṃ vasituṃ vāyamatha, nagaravāsino pañjare baddhakukkuṭā viya ukkaṇṭhitā nacirasseva vo dvāraṃ vivarissanti. Atha tumhe vedehañca duṭṭhagahapatiputtañca gaṇhissathā’’ti vadeyyātha . Amhākaṃ manussā taṃ kathaṃ sutvā tumhe akkositvā tajjetvā brahmadattassa manussānaṃ passantānaññeva tumhe hatthapādesu gahetvā veḷupesikādīhi paharantā viya hutvā kese ohāretvā pañca cūḷā gāhāpetvā iṭṭhakacuṇṇena okirāpetvā kaṇavīramālaṃ kaṇṇe katvā katipayapahāre datvā piṭṭhiyaṃ rājiyo dassetvā pākāraṃ āropetvā sikkāya pakkhipitvā yottena otāretvā ‘‘gaccha mantabhedaka, corā’’ti cūḷanibrahmadattassa manussānaṃ dassanti. Te taṃ rañño santikaṃ ānessanti. Rājā taṃ disvā ‘‘ko te aparādho’’ti pucchissati. Athassa evaṃ vadeyyātha ‘‘mahārāja, mayhaṃ pubbe yaso mahanto, gahapatiputto mantabhedako’’ti maṃ kujjhitvā rañño kathetvā sabbaṃ me vibhavaṃ acchindi, ‘‘ahaṃ mama yasabhedakassa gahapatiputtassa sīsaṃ gaṇhāpessāmī’’ti tumhākaṃ manussānaṃ ukkaṇṭhitamocanena etesaṃ ṭhitānaṃ khādanīyaṃ vā bhojanīyaṃ vā demi. Ettakena maṃ porāṇaveraṃ hadaye katvā imaṃ byasanaṃ pāpesi. ‘‘Taṃ sabbaṃ tumhākaṃ manussā jānanti, mahārājā’’ti nānappakārehi taṃ saddahāpetvā vissāse uppanne vadeyyātha ‘‘mahārāja, tumhe mamaṃ laddhakālato paṭṭhāya mā cintayittha. Idāni vedehassa ca gahapatiputtassa ca jīvitaṃ natthi, ahaṃ imasmiṃ nagare pākārassa thiraṭṭhānadubbalaṭṭhānañca parikhāyaṃ kumbhīlādīnaṃ atthiṭṭhānañca natthiṭṭhānañca jānāmi, na cirasseva vo nagaraṃ gahetvā dassāmī’’ti. Atha so rājā saddahitvā tumhākaṃ sakkāraṃ karissati, senāvāhanañca paṭicchāpessati. Athassa senaṃ vāḷakumbhīlaṭṭhānesuyeva otāreyyātha. Tassa senā kumbhīlabhayena na otarissati, tadā tumhe rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘tumhākaṃ senāya, deva, gahapatiputtena lañjo dinno, sabbe rājāno ca ācariyakevaṭṭañca ādiṃ katvā na kenaci lañjo aggahito nāma atthi. Kevalaṃ ete tumhe parivāretvā caranti, sabbe pana gahapatiputtassa santakāva, ahamekova tumhākaṃ puriso. Sace me na saddahatha, sabbe rājāno alaṅkaritvā maṃ dassanāya āgacchantū’’ti pesetha. ‘‘Atha nesaṃ gahapatiputtena attano nāmarūpaṃ likhitvā dinnesu vatthālaṅkārakhaggādīsu akkharāni disvā niṭṭhaṃ gaccheyyāthā’’ti vadeyyātha. So tathā katvā tāni disvā niṭṭhaṃ gantvā bhītatasito te rājāno uyyojetvā ‘‘idāni kiṃ karoma paṇḍitā’’ti tumhe pucchissati. Tamenaṃ tumhe evaṃ vadeyyātha ‘‘mahārāja, gahapatiputto bahumāyo. Sace aññāni katipayadivasāni vasissatha, sabbaṃ vo senaṃ attano hatthagataṃ katvā tumhe gaṇhissati. Tasmā papañcaṃ akatvā ajjeva majjhimayāmānantare assapiṭṭhiyaṃ nisīditvā palāyissāma, mā no parahatthe maraṇaṃ hotū’’ti. So tumhākaṃ vacanaṃ sutvā tathā karissati. Tumhe tassa palāyanavelāya nivattitvā amhākaṃ manusse jānāpeyyāthāti.

    ตํ สุตฺวา อนุเกวฎฺฎพฺราหฺมโณ ‘‘สาธุ ปณฺฑิต, กริสฺสามิ เต วจน’’นฺติ อาหฯ ‘‘เตน หิ กติปยปหาเร สหิตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘ปณฺฑิต , มม ชีวิตญฺจ หตฺถปาเท จ ฐเปตฺวา เสสํ อตฺตโน รุจิวเสน กโรหี’’ติฯ โส ตสฺส เคเห มนุสฺสานํ สกฺการํ กาเรตฺวา อนุเกวฎฺฎํ วุตฺตนเยน วิปฺปการํ ปาเปตฺวา โยเตฺตน โอตาเรตฺวา พฺรหฺมทตฺตมนุสฺสานํ ทาเปสิฯ อถ เต ตํ คเหตฺวา ตสฺส ทเสฺสสุํฯ ราชา ตํ วีมํสิตฺวา สทฺทหิตฺวา สกฺการมสฺส กตฺวา เสนํ ปฎิจฺฉาเปสิฯ โสปิ ตํ วาฬกุมฺภีลฎฺฐาเนสุเยว โอตาเรติฯ มนุสฺสา กุมฺภีเลหิ ขชฺชมานา อฎฺฎาลกฎฺฐิเตหิ มนุเสฺสหิ อุสุสตฺติโตมเรหิ วิชฺฌิยมานา มหาวินาสํ ปาปุณนฺติฯ ตโต ปฎฺฐาย โกจิ ภเยน อุปคนฺตุํ น สโกฺกติฯ อนุเกวโฎฺฎ ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา ‘‘ตุมฺหากํ อตฺถาย ยุชฺฌนกา นาม นตฺถิ, สเพฺพหิ ลโญฺช คหิโต, อสทฺทหโนฺต ปโกฺกสาเปตฺวา นิวตฺถวตฺถาทีสุ อกฺขรานิ โอโลเกถา’’ติ อาหฯ ราชา ตถา กตฺวา สเพฺพสํ วตฺถาทีสุ อกฺขรานิ ทิสฺวา ‘‘อทฺธา อิเมหิ ลโญฺช คหิโต’’ติ นิฎฺฐํ คนฺตฺวา ‘‘อาจริย, อิทานิ กิํ กตฺตพฺพ’’นฺติ ปุจฺฉิตฺวา ‘‘เทว, อญฺญํ กาตพฺพํ นตฺถิฯ สเจ ปปญฺจํ กริสฺสถ, คหปติปุโตฺต โว คณฺหิสฺสติ, อาจริยเกวโฎฺฎปิ เกวลํ นลาเฎ วณํ กตฺวา จรติ, ลโญฺช ปน เอเตนปิ คหิโตฯ อยญฺหิ มณิรตนํ คเหตฺวา ตุเมฺห ติโยชนํ ปลาเปสิ, ปุน สทฺทหาเปตฺวา นิวเตฺตสิ, อยมฺปิ ปริภินฺทโกวฯ เอกรตฺติวาโสปิ มยฺหํ น รุจฺจติ, อเชฺชว มชฺฌิมยามสมนนฺตเร ปลายิตุํ วฎฺฎติ, มํ ฐเปตฺวา อโญฺญ ตว สุหทโย นาม นตฺถี’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ อาจริย ตุเมฺหเยว เม อสฺสํ กเปฺปตฺวา ยานสชฺชํ กโรถา’’ติ อาหฯ

    Taṃ sutvā anukevaṭṭabrāhmaṇo ‘‘sādhu paṇḍita, karissāmi te vacana’’nti āha. ‘‘Tena hi katipayapahāre sahituṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Paṇḍita , mama jīvitañca hatthapāde ca ṭhapetvā sesaṃ attano rucivasena karohī’’ti. So tassa gehe manussānaṃ sakkāraṃ kāretvā anukevaṭṭaṃ vuttanayena vippakāraṃ pāpetvā yottena otāretvā brahmadattamanussānaṃ dāpesi. Atha te taṃ gahetvā tassa dassesuṃ. Rājā taṃ vīmaṃsitvā saddahitvā sakkāramassa katvā senaṃ paṭicchāpesi. Sopi taṃ vāḷakumbhīlaṭṭhānesuyeva otāreti. Manussā kumbhīlehi khajjamānā aṭṭālakaṭṭhitehi manussehi ususattitomarehi vijjhiyamānā mahāvināsaṃ pāpuṇanti. Tato paṭṭhāya koci bhayena upagantuṃ na sakkoti. Anukevaṭṭo rājānaṃ upasaṅkamitvā ‘‘tumhākaṃ atthāya yujjhanakā nāma natthi, sabbehi lañjo gahito, asaddahanto pakkosāpetvā nivatthavatthādīsu akkharāni olokethā’’ti āha. Rājā tathā katvā sabbesaṃ vatthādīsu akkharāni disvā ‘‘addhā imehi lañjo gahito’’ti niṭṭhaṃ gantvā ‘‘ācariya, idāni kiṃ kattabba’’nti pucchitvā ‘‘deva, aññaṃ kātabbaṃ natthi. Sace papañcaṃ karissatha, gahapatiputto vo gaṇhissati, ācariyakevaṭṭopi kevalaṃ nalāṭe vaṇaṃ katvā carati, lañjo pana etenapi gahito. Ayañhi maṇiratanaṃ gahetvā tumhe tiyojanaṃ palāpesi, puna saddahāpetvā nivattesi, ayampi paribhindakova. Ekarattivāsopi mayhaṃ na ruccati, ajjeva majjhimayāmasamanantare palāyituṃ vaṭṭati, maṃ ṭhapetvā añño tava suhadayo nāma natthī’’ti vutte ‘‘tena hi ācariya tumheyeva me assaṃ kappetvā yānasajjaṃ karothā’’ti āha.

    พฺราหฺมโณ ตสฺส นิจฺฉเยน ปลายนภาวํ ญตฺวา ‘‘มา ภายิ, มหาราชา’’ติ อสฺสาเสตฺวา พหิ นิกฺขมิตฺวา อุปนิกฺขิตฺตกปุริสานํ ‘‘อชฺช ราชา ปลายิสฺสติ, มา นิทฺทายิตฺถา’’ติ โอวาทํ ทตฺวา รโญฺญ อโสฺส ยถา อากฑฺฒิโต สุฎฺฐุตรํ ปลายติ, เอวํ อวกปฺปนาย กเปฺปตฺวา มชฺฌิมยามสมนนฺตเร ‘‘กปฺปิโต, เทว, อโสฺส, เวลํ ชานาหี’’ติ อาหฯ ราชา อสฺสํ อภิรุหิตฺวา ปลายิฯ อนุเกวโฎฺฎปิ อสฺสํ อภิรุหิตฺวา เตน สทฺธิํ คจฺฉโนฺต วิย โถกํ คนฺตฺวา นิวโตฺตฯ อวกปฺปนาย กปฺปิตอโสฺส อากฑฺฒิยมาโนปิ ราชานํ คเหตฺวา ปลายิฯ อนุเกวโฎฺฎ เสนาย อนฺตรํ ปวิสิตฺวา ‘‘จูฬนิพฺรหฺมทโตฺต ปลาโต’’ติ อุกฺกุฎฺฐิมกาสิฯ อุปนิกฺขิตฺตกปุริสาปิ อตฺตโน มนุเสฺสหิ สทฺธิํ อุปโฆสิํสุฯ เสสราชาโน ตํ สุตฺวา ‘‘มโหสธปณฺฑิโต ทฺวารํ วิวริตฺวา นิกฺขโนฺต ภวิสฺสติ, น โน ทานิ ชีวิตํ ทสฺสตี’’ติ ภีตตสิตา อุปโภคปริโภคภณฺฑานิปิ อโนโลเกตฺวา อิโต จิโต จ ปลายิํสุฯ มนุสฺสา ‘‘ราชาโน ปลายนฺตี’’ติ สุฎฺฐุตรํ อุปโฆสิํสุฯ ตํ สุตฺวา ทฺวารฎฺฎาลกาทีสุ ฐิตาปิ อุนฺนาทิํสุ อโปฺผฎยิํสุฯ อิติ ตสฺมิํ ขเณ ปถวี วิย ภิชฺชมานา สมุโทฺท วิย สงฺขุภิโต สกลนครํ อโนฺต จ พหิ จ เอกนินฺนาทํ อโหสิฯ อฎฺฐารสอโกฺขภณิสงฺขา มนุสฺสา ‘‘มโหสธปณฺฑิเตน กิร พฺรหฺมทโตฺต เอกสตราชาโน จ คหิตา’’ติ มรณภยภีตา อตฺตโน อตฺตโน อุทรพทฺธสาฎกมฺปิ ฉเฑฺฑตฺวา ปลายิํสุฯ ขนฺธาวารฎฺฐานํ ตุจฺฉํ อโหสิฯ จูฬนิพฺรหฺมทโตฺต เอกสเต ขตฺติเย คเหตฺวา อตฺตโน นครเมว คโตฯ ปุนทิวเส ปน ปาโตว นครทฺวารานิ วิวริตฺวา พลกายา นครา นิกฺขมิตฺวา มหาวิโลปํ ทิสฺวา ‘‘กิํ กโรม, ปณฺฑิตา’’ติ มหาสตฺตสฺส อาโรจยิํสุฯ โส อาห – ‘‘เอเตหิ ฉฑฺฑิตํ ธนํ อมฺหากํ ปาปุณาติ, สเพฺพสํ ราชูนํ สนฺตกํ อมฺหากํ รโญฺญ, เทถ, เสฎฺฐีนญฺจ เกวฎฺฎพฺราหฺมณสฺส จ สนฺตกํ อมฺหากํ อาหรถ, อวเสสํ ปน นครวาสิโน คณฺหนฺตู’’ติฯ เตสํ มหคฺฆรตนภณฺฑเมว อาหรนฺตานํ อฑฺฒมาโส วีติวโตฺตฯ เสสํ ปน จตูหิ มาเสหิ อาหริํสุฯ มหาสโตฺต อนุเกวฎฺฎสฺส มหนฺตํ สกฺการมกาสิฯ ตโต ปฎฺฐาย จ กิร มิถิลวาสิโน พหู หิรญฺญสุวณฺณา ชาตาฯ พฺรหฺมทตฺตสฺสปิ เตหิ ราชูหิ สทฺธิํ อุตฺตรปญฺจาลนคเร วสนฺตสฺส เอกวสฺสํ อตีตํฯ

    Brāhmaṇo tassa nicchayena palāyanabhāvaṃ ñatvā ‘‘mā bhāyi, mahārājā’’ti assāsetvā bahi nikkhamitvā upanikkhittakapurisānaṃ ‘‘ajja rājā palāyissati, mā niddāyitthā’’ti ovādaṃ datvā rañño asso yathā ākaḍḍhito suṭṭhutaraṃ palāyati, evaṃ avakappanāya kappetvā majjhimayāmasamanantare ‘‘kappito, deva, asso, velaṃ jānāhī’’ti āha. Rājā assaṃ abhiruhitvā palāyi. Anukevaṭṭopi assaṃ abhiruhitvā tena saddhiṃ gacchanto viya thokaṃ gantvā nivatto. Avakappanāya kappitaasso ākaḍḍhiyamānopi rājānaṃ gahetvā palāyi. Anukevaṭṭo senāya antaraṃ pavisitvā ‘‘cūḷanibrahmadatto palāto’’ti ukkuṭṭhimakāsi. Upanikkhittakapurisāpi attano manussehi saddhiṃ upaghosiṃsu. Sesarājāno taṃ sutvā ‘‘mahosadhapaṇḍito dvāraṃ vivaritvā nikkhanto bhavissati, na no dāni jīvitaṃ dassatī’’ti bhītatasitā upabhogaparibhogabhaṇḍānipi anoloketvā ito cito ca palāyiṃsu. Manussā ‘‘rājāno palāyantī’’ti suṭṭhutaraṃ upaghosiṃsu. Taṃ sutvā dvāraṭṭālakādīsu ṭhitāpi unnādiṃsu apphoṭayiṃsu. Iti tasmiṃ khaṇe pathavī viya bhijjamānā samuddo viya saṅkhubhito sakalanagaraṃ anto ca bahi ca ekaninnādaṃ ahosi. Aṭṭhārasaakkhobhaṇisaṅkhā manussā ‘‘mahosadhapaṇḍitena kira brahmadatto ekasatarājāno ca gahitā’’ti maraṇabhayabhītā attano attano udarabaddhasāṭakampi chaḍḍetvā palāyiṃsu. Khandhāvāraṭṭhānaṃ tucchaṃ ahosi. Cūḷanibrahmadatto ekasate khattiye gahetvā attano nagarameva gato. Punadivase pana pātova nagaradvārāni vivaritvā balakāyā nagarā nikkhamitvā mahāvilopaṃ disvā ‘‘kiṃ karoma, paṇḍitā’’ti mahāsattassa ārocayiṃsu. So āha – ‘‘etehi chaḍḍitaṃ dhanaṃ amhākaṃ pāpuṇāti, sabbesaṃ rājūnaṃ santakaṃ amhākaṃ rañño, detha, seṭṭhīnañca kevaṭṭabrāhmaṇassa ca santakaṃ amhākaṃ āharatha, avasesaṃ pana nagaravāsino gaṇhantū’’ti. Tesaṃ mahaggharatanabhaṇḍameva āharantānaṃ aḍḍhamāso vītivatto. Sesaṃ pana catūhi māsehi āhariṃsu. Mahāsatto anukevaṭṭassa mahantaṃ sakkāramakāsi. Tato paṭṭhāya ca kira mithilavāsino bahū hiraññasuvaṇṇā jātā. Brahmadattassapi tehi rājūhi saddhiṃ uttarapañcālanagare vasantassa ekavassaṃ atītaṃ.

    พฺรหฺมทตฺตสฺส ยุทฺธปราชยกณฺฑํ นิฎฺฐิตํฯ

    Brahmadattassa yuddhaparājayakaṇḍaṃ niṭṭhitaṃ.

    สุวกณฺฑํ

    Suvakaṇḍaṃ

    อเถกทิวสํ เกวโฎฺฎ อาทาเส มุขํ โอโลเกโนฺต นลาเฎ วณํ ทิสฺวา ‘‘อิทํ คหปติปุตฺตสฺส กมฺมํ, เตนาหํ เอตฺตกานํ ราชูนํ อนฺตเร ลชฺชาปิโต’’ติ จิเนฺตตฺวา สมุปฺปนฺนโกโธ หุตฺวา ‘‘กทา นุ ขฺวสฺส ปิฎฺฐิํ ปสฺสิตุํ สมโตฺถ ภวิสฺสามี’’ติ จิเนฺตโนฺต ‘‘อเตฺถโส อุปาโย, อมฺหากํ รโญฺญ ธีตา ปญฺจาลจนฺที นาม อุตฺตมรูปธรา เทวจฺฉราปฎิภาคา, ตํ วิเทหรโญฺญ ทสฺสามา’’ติ วตฺวา ‘‘เวเทหํ กาเมน ปโลเภตฺวา คิลิตพฬิสํ วิย มจฺฉํ สทฺธิํ มโหสเธน อาเนตฺวา อุโภ เต มาเรตฺวา ชยปานํ ปิวิสฺสามา’’ติ สนฺนิฎฺฐานํ กตฺวา ราชานํ อุปสงฺกมิตฺวา อาห – ‘‘เทว, เอโก มโนฺต อตฺถี’’ติฯ ‘‘อาจริย, ตว มนฺตํ นิสฺสาย อุทรพทฺธสาฎกสฺสปิ อสฺสามิโน ชาตมฺหา, อิทานิ กิํ กริสฺสสิ, ตุณฺหี โหหี’’ติฯ ‘‘มหาราช, อิมินา อุปาเยน สทิโส อโญฺญ นตฺถี’’ติฯ ‘‘เตน หิ ภณาหี’’ติฯ ‘‘มหาราช, อเมฺหหิ ทฺวีหิเยว เอกโต ภวิตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ ‘‘เอวํ โหตู’’ติฯ อถ นํ พฺราหฺมโณ อุปริปาสาทตลํ อาโรเปตฺวา อาห – ‘‘มหาราช, วิเทหราชานํ กิเลเสน ปโลเภตฺวา อิธาเนตฺวา สทฺธิํ คหปติปุเตฺตน มาเรสฺสามา’’ติฯ ‘‘สุนฺทโร, อาจริย, อุปาโย, กถํ ปน ตํ ปโลเภตฺวา อาเนสฺสามา’’ติ? ‘‘มหาราช, ธีตา โว ปญฺฉาลจนฺที อุตฺตมรูปธรา, ตสฺสา รูปสมฺปตฺติํ จาตุริยวิลาเสน กวีหิ คีตํ พนฺธาเปตฺวา ตานิ กพฺพานิ มิถิลายํ คายาเปตฺวา ‘เอวรูปํ อิตฺถิรตนํ อลภนฺตสฺส วิเทหนรินฺทสฺส กิํ รเชฺชนา’ติ ตสฺส สวนสํสเคฺคเนว ปฎิพทฺธภาวํ ญตฺวา อหํ ตตฺถ คนฺตฺวา ทิวสํ ววตฺถเปสฺสามิฯ โส มยิ ทิวสํ ววตฺถเปตฺวา อาคเต คิลิตพฬิโส วิย มโจฺฉ คหปติปุตฺตํ คเหตฺวา อาคมิสฺสติ, อถ เน มาเรสฺสามา’’ติฯ

    Athekadivasaṃ kevaṭṭo ādāse mukhaṃ olokento nalāṭe vaṇaṃ disvā ‘‘idaṃ gahapatiputtassa kammaṃ, tenāhaṃ ettakānaṃ rājūnaṃ antare lajjāpito’’ti cintetvā samuppannakodho hutvā ‘‘kadā nu khvassa piṭṭhiṃ passituṃ samattho bhavissāmī’’ti cintento ‘‘attheso upāyo, amhākaṃ rañño dhītā pañcālacandī nāma uttamarūpadharā devaccharāpaṭibhāgā, taṃ videharañño dassāmā’’ti vatvā ‘‘vedehaṃ kāmena palobhetvā gilitabaḷisaṃ viya macchaṃ saddhiṃ mahosadhena ānetvā ubho te māretvā jayapānaṃ pivissāmā’’ti sanniṭṭhānaṃ katvā rājānaṃ upasaṅkamitvā āha – ‘‘deva, eko manto atthī’’ti. ‘‘Ācariya, tava mantaṃ nissāya udarabaddhasāṭakassapi assāmino jātamhā, idāni kiṃ karissasi, tuṇhī hohī’’ti. ‘‘Mahārāja, iminā upāyena sadiso añño natthī’’ti. ‘‘Tena hi bhaṇāhī’’ti. ‘‘Mahārāja, amhehi dvīhiyeva ekato bhavituṃ vaṭṭatī’’ti. ‘‘Evaṃ hotū’’ti. Atha naṃ brāhmaṇo uparipāsādatalaṃ āropetvā āha – ‘‘mahārāja, videharājānaṃ kilesena palobhetvā idhānetvā saddhiṃ gahapatiputtena māressāmā’’ti. ‘‘Sundaro, ācariya, upāyo, kathaṃ pana taṃ palobhetvā ānessāmā’’ti? ‘‘Mahārāja, dhītā vo pañchālacandī uttamarūpadharā, tassā rūpasampattiṃ cāturiyavilāsena kavīhi gītaṃ bandhāpetvā tāni kabbāni mithilāyaṃ gāyāpetvā ‘evarūpaṃ itthiratanaṃ alabhantassa videhanarindassa kiṃ rajjenā’ti tassa savanasaṃsaggeneva paṭibaddhabhāvaṃ ñatvā ahaṃ tattha gantvā divasaṃ vavatthapessāmi. So mayi divasaṃ vavatthapetvā āgate gilitabaḷiso viya maccho gahapatiputtaṃ gahetvā āgamissati, atha ne māressāmā’’ti.

    ราชา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ตุสฺสิตฺวา ‘‘สุนฺทโร อุปาโย, อาจริย, เอวํ กริสฺสามา’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ ตํ ปน มนฺตํ จูฬนิพฺรหฺมทตฺตสฺส สยนปาลิกา สาฬิกา สุตฺวา ปจฺจกฺขมกาสิฯ ราชา นิปุเณ กพฺพกาเร ปโกฺกสาเปตฺวา พหุํ ธนํ ทตฺวา ธีตรํ เตสํ ทเสฺสตฺวา ‘‘ตาตา, เอติสฺสา รูปสมฺปตฺติํ นิสฺสาย กพฺพํ กโรถา’’ติ อาหฯ เต อติมโนหรานิ คีตานิ พนฺธิตฺวา ราชานํ สาวยิํสุฯ ราชา ตุสฺสิตฺวา พหุํ ธนํ เตสํ อทาสิฯ กวีนํ สนฺติกา นฎา สิกฺขิตฺวา สมชฺชมณฺฑเล คายิํสุฯ อิติ ตานิ วิตฺถาริตานิ อเหสุํฯ เตสุ มนุสฺสานํ อนฺตเร วิตฺถาริตตฺตํ คเตสุ ราชา คายเก ปโกฺกสาเปตฺวา อาห – ‘‘ตาตา, ตุเมฺห มหาสกุเณ คเหตฺวา รตฺติภาเค รุกฺขํ อภิรุยฺห ตตฺถ นิสินฺนา คายิตฺวา ปจฺจูสกาเล เตสํ คีวาสุ กํสตาเล พนฺธิตฺวา เต อุปฺปาเตตฺวา โอตรถา’’ติฯ โส กิร ‘‘ปญฺจาลรโญฺญ ธีตุ สรีรวณฺณํ เทวตาปิ คายนฺตี’’ติ ปากฎภาวกรณตฺถํ ตถา กาเรสิฯ ปุน ราชา กวี ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาตา, อิทานิ ตุเมฺห ‘เอวรูปา กุมาริกา ชมฺพุทีปตเล อญฺญสฺส รโญฺญ นานุจฺฉวิกา, มิถิลายํ เวเทหรโญฺญ อนุจฺฉวิกา’ติ รโญฺญ จ อิสฺสริยํ อิมาย จ รูปํ วเณฺณตฺวา คีตานิ พนฺธถา’’ติ อาหฯ เต ตถา กตฺวา รโญฺญ อาโรจยิํสุฯ

    Rājā tassa vacanaṃ sutvā tussitvā ‘‘sundaro upāyo, ācariya, evaṃ karissāmā’’ti sampaṭicchi. Taṃ pana mantaṃ cūḷanibrahmadattassa sayanapālikā sāḷikā sutvā paccakkhamakāsi. Rājā nipuṇe kabbakāre pakkosāpetvā bahuṃ dhanaṃ datvā dhītaraṃ tesaṃ dassetvā ‘‘tātā, etissā rūpasampattiṃ nissāya kabbaṃ karothā’’ti āha. Te atimanoharāni gītāni bandhitvā rājānaṃ sāvayiṃsu. Rājā tussitvā bahuṃ dhanaṃ tesaṃ adāsi. Kavīnaṃ santikā naṭā sikkhitvā samajjamaṇḍale gāyiṃsu. Iti tāni vitthāritāni ahesuṃ. Tesu manussānaṃ antare vitthāritattaṃ gatesu rājā gāyake pakkosāpetvā āha – ‘‘tātā, tumhe mahāsakuṇe gahetvā rattibhāge rukkhaṃ abhiruyha tattha nisinnā gāyitvā paccūsakāle tesaṃ gīvāsu kaṃsatāle bandhitvā te uppātetvā otarathā’’ti. So kira ‘‘pañcālarañño dhītu sarīravaṇṇaṃ devatāpi gāyantī’’ti pākaṭabhāvakaraṇatthaṃ tathā kāresi. Puna rājā kavī pakkosāpetvā ‘‘tātā, idāni tumhe ‘evarūpā kumārikā jambudīpatale aññassa rañño nānucchavikā, mithilāyaṃ vedeharañño anucchavikā’ti rañño ca issariyaṃ imāya ca rūpaṃ vaṇṇetvā gītāni bandhathā’’ti āha. Te tathā katvā rañño ārocayiṃsu.

    ราชา เตสํ ธนํ ทตฺวา ปุน คายเก ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘ตาตา, มิถิลํ คนฺตฺวา ตตฺถ อิมินาว อุปาเยน คายถา’’ติ เปเสสิฯ เต ตานิ คายนฺตา อนุปุเพฺพน มิถิลํ คนฺตฺวา สมชฺชมณฺฑเล คายิํสุฯ ตานิ สุตฺวา มหาชโน อุกฺกุฎฺฐิสหสฺสานิ ปวเตฺตตฺวา เตสํ พหุํ ธนํ อทาสิฯ เต รตฺติสมเย รุเกฺขสุปิ คายิตฺวา ปจฺจูสกาเล สกุณานํ คีวาสุ กํสตาเล พนฺธิตฺวา โอตรนฺติฯ อากาเส กํสตาลสทฺทํ สุตฺวา ‘‘ปญฺจาลราชธีตุ สรีรวณฺณํ เทวตาปิ คายนฺตี’’ติ สกลนคเร เอกโกลาหลํ อโหสิฯ ราชา สุตฺวา คายเก ปโกฺกสาเปตฺวา อโนฺตนิเวสเน สมชฺชํ กาเรตฺวา ‘‘เอวรูปํ กิร อุตฺตมรูปธรํ ธีตรํ จูฬนิราชา มยฺหํ ทาตุกาโม’’ติ ตุสฺสิตฺวา เตสํ พหุํ ธนํ อทาสิฯ เต อาคนฺตฺวา พฺรหฺมทตฺตสฺส อาโรเจสุํฯ อถ นํ เกวโฎฺฎ อาห – ‘‘อิทานิ, มหาราช, ทิวสํ ววตฺถปนตฺถาย คมิสฺสามี’’ติฯ ‘‘สาธุ, อาจริย, กิํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘โถกํ ปณฺณาการ’’นฺติฯ ‘‘เตน หิ คณฺหา’’ติ ทาเปสิฯ โส ตํ อาทาย มหเนฺตน ปริวาเรน เวเทหรฎฺฐํ ปาปุณิฯ ตสฺสาคมนํ สุตฺวา นคเร เอกโกลาหลํ ชาตํ ‘‘จูฬนิราชา กิร เวเทโห จ มิตฺตสนฺถวํ กริสฺสนฺติ, จูฬนิราชา อตฺตโน ธีตรํ อมฺหากํ รโญฺญ ทสฺสติ , เกวโฎฺฎ ทิวสํ ววตฺถเปตุํ เอตี’’ติฯ เวเทหราชาปิ สุณิ, มหาสโตฺตปิ, สุตฺวาน ปนสฺส เอตทโหสิ ‘‘ตสฺสาคมนํ มยฺหํ น รุจฺจติ, ตถโต นํ ชานิสฺสามี’’ติฯ โส จูฬนิสนฺติเก อุปนิกฺขิตฺตกปุริสานํ สาสนํ เปเสสิ ‘‘อิมมตฺถํ ตถโต ชานิตฺวา เปเสนฺตู’’ติฯ อถ เต ‘‘มยเมตํ ตถโต น ชานาม, ราชา จ เกวโฎฺฎ จ สยนคเพฺภ นิสีทิตฺวา มเนฺตนฺติ, รโญฺญ ปน สยนปาลิกา สาฬิกา สกุณิกา เอตมตฺถํ ชาเนยฺยา’’ติ ปฎิเปสยิํสุฯ

    Rājā tesaṃ dhanaṃ datvā puna gāyake pakkosāpetvā ‘‘tātā, mithilaṃ gantvā tattha imināva upāyena gāyathā’’ti pesesi. Te tāni gāyantā anupubbena mithilaṃ gantvā samajjamaṇḍale gāyiṃsu. Tāni sutvā mahājano ukkuṭṭhisahassāni pavattetvā tesaṃ bahuṃ dhanaṃ adāsi. Te rattisamaye rukkhesupi gāyitvā paccūsakāle sakuṇānaṃ gīvāsu kaṃsatāle bandhitvā otaranti. Ākāse kaṃsatālasaddaṃ sutvā ‘‘pañcālarājadhītu sarīravaṇṇaṃ devatāpi gāyantī’’ti sakalanagare ekakolāhalaṃ ahosi. Rājā sutvā gāyake pakkosāpetvā antonivesane samajjaṃ kāretvā ‘‘evarūpaṃ kira uttamarūpadharaṃ dhītaraṃ cūḷanirājā mayhaṃ dātukāmo’’ti tussitvā tesaṃ bahuṃ dhanaṃ adāsi. Te āgantvā brahmadattassa ārocesuṃ. Atha naṃ kevaṭṭo āha – ‘‘idāni, mahārāja, divasaṃ vavatthapanatthāya gamissāmī’’ti. ‘‘Sādhu, ācariya, kiṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti? ‘‘Thokaṃ paṇṇākāra’’nti. ‘‘Tena hi gaṇhā’’ti dāpesi. So taṃ ādāya mahantena parivārena vedeharaṭṭhaṃ pāpuṇi. Tassāgamanaṃ sutvā nagare ekakolāhalaṃ jātaṃ ‘‘cūḷanirājā kira vedeho ca mittasanthavaṃ karissanti, cūḷanirājā attano dhītaraṃ amhākaṃ rañño dassati , kevaṭṭo divasaṃ vavatthapetuṃ etī’’ti. Vedeharājāpi suṇi, mahāsattopi, sutvāna panassa etadahosi ‘‘tassāgamanaṃ mayhaṃ na ruccati, tathato naṃ jānissāmī’’ti. So cūḷanisantike upanikkhittakapurisānaṃ sāsanaṃ pesesi ‘‘imamatthaṃ tathato jānitvā pesentū’’ti. Atha te ‘‘mayametaṃ tathato na jānāma, rājā ca kevaṭṭo ca sayanagabbhe nisīditvā mantenti, rañño pana sayanapālikā sāḷikā sakuṇikā etamatthaṃ jāneyyā’’ti paṭipesayiṃsu.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘ยถา ปจฺจามิตฺตานํ โอกาโส น โหติ, เอวํ สุวิภตฺตํ กตฺวา สุสชฺชิตํ นครํ อหํ เกวฎฺฎสฺส ทฎฺฐุํ น ทสฺสามี’’ติฯ โส นครทฺวารโต ยาว ราชเคหา, ราชเคหโต จ ยาว อตฺตเคหา, คมนมคฺคํ อุโภสุ ปเสฺสสุ กิลเญฺชหิ ปริกฺขิปาเปตฺวา มตฺถเกปิ กิลเญฺชหิ ปฎิจฺฉาทาเปตฺวา จิตฺตกมฺมํ การาเปตฺวา ภูมิยํ ปุปฺผานิ วิกิริตฺวา ปุณฺณฆเฎ ฐปาเปตฺวา กทลิโย พนฺธาเปตฺวา ธเช ปคฺคณฺหาเปสิฯ เกวโฎฺฎ นครํ ปวิสิตฺวา สุวิภตฺตํ นครํ อปสฺสโนฺต ‘‘รญฺญา เม มโคฺค อลงฺการาปิโต’’ติ จิเนฺตตฺวา นครสฺส อทสฺสนตฺถํ กตภาวํ น ชานิฯ โส คนฺตฺวา ราชานํ ทิสฺวา ปณฺณาการํ ปฎิจฺฉาเปตฺวา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิตฺวา รญฺญา กตสกฺการสมฺมาโน อาคตการณํ อาโรเจโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā mahāsatto cintesi ‘‘yathā paccāmittānaṃ okāso na hoti, evaṃ suvibhattaṃ katvā susajjitaṃ nagaraṃ ahaṃ kevaṭṭassa daṭṭhuṃ na dassāmī’’ti. So nagaradvārato yāva rājagehā, rājagehato ca yāva attagehā, gamanamaggaṃ ubhosu passesu kilañjehi parikkhipāpetvā matthakepi kilañjehi paṭicchādāpetvā cittakammaṃ kārāpetvā bhūmiyaṃ pupphāni vikiritvā puṇṇaghaṭe ṭhapāpetvā kadaliyo bandhāpetvā dhaje paggaṇhāpesi. Kevaṭṭo nagaraṃ pavisitvā suvibhattaṃ nagaraṃ apassanto ‘‘raññā me maggo alaṅkārāpito’’ti cintetvā nagarassa adassanatthaṃ katabhāvaṃ na jāni. So gantvā rājānaṃ disvā paṇṇākāraṃ paṭicchāpetvā paṭisanthāraṃ katvā ekamantaṃ nisīditvā raññā katasakkārasammāno āgatakāraṇaṃ ārocento dve gāthā abhāsi –

    ๕๙๙.

    599.

    ‘‘ราชา สนฺถวกาโม เต, รตนานิ ปเวจฺฉติ;

    ‘‘Rājā santhavakāmo te, ratanāni pavecchati;

    อาคจฺฉนฺตุ อิโต ทูตา, มญฺชุกา ปิยภาณิโนฯ

    Āgacchantu ito dūtā, mañjukā piyabhāṇino.

    ๖๐๐.

    600.

    ‘‘ภาสนฺตุ มุทุกา วาจา, ยา วาจา ปฎินนฺทิตา;

    ‘‘Bhāsantu mudukā vācā, yā vācā paṭinanditā;

    ปญฺจาโล จ วิเทโห จ, อุโภ เอกา ภวนฺตุ เต’’ติฯ

    Pañcālo ca videho ca, ubho ekā bhavantu te’’ti.

    ตตฺถ สนฺถวกาโมติ มหาราช, อมฺหากํ ราชา ตยา สทฺธิํ มิตฺตสนฺถวํ กาตุกาโมฯ รตนานีติ อิตฺถิรตนํ อตฺตโน ธีตรํ อาทิํ กตฺวา ตุมฺหากํ สพฺพรตนานิ ทสฺสติฯ อาคจฺฉนฺตูติ อิโต ปฎฺฐาย กิร อุตฺตรปญฺจาลนครโต ปณฺณาการํ คเหตฺวา มธุรวจนา ปิยภาณิโน ทูตา อิธ อาคจฺฉนฺตุ, อิโต จ ตตฺถ คจฺฉนฺตุฯ เอกา ภวนฺตูติ คโงฺคทกํ วิย ยมุโนทเกน สทฺธิํ สํสนฺทนฺตา เอกสทิสาว โหนฺตูติฯ

    Tattha santhavakāmoti mahārāja, amhākaṃ rājā tayā saddhiṃ mittasanthavaṃ kātukāmo. Ratanānīti itthiratanaṃ attano dhītaraṃ ādiṃ katvā tumhākaṃ sabbaratanāni dassati. Āgacchantūti ito paṭṭhāya kira uttarapañcālanagarato paṇṇākāraṃ gahetvā madhuravacanā piyabhāṇino dūtā idha āgacchantu, ito ca tattha gacchantu. Ekā bhavantūti gaṅgodakaṃ viya yamunodakena saddhiṃ saṃsandantā ekasadisāva hontūti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘มหาราช, อมฺหากํ ราชา อญฺญํ มหามตฺตํ เปเสตุกาโม หุตฺวาปิ ‘อโญฺญ มนาปํ กตฺวา สาสนํ อาโรเจตุํ น สกฺขิสฺสตี’ติ มํ เปเสสิ ‘อาจริย, ตุเมฺห ราชานํ สาธุกํ ปโพเธตฺวา อาทาย อาคจฺฉถา’ติ, คจฺฉถ ราชเสฎฺฐ อภิรูปญฺจ กุมาริกํ ลภิสฺสถ, อมฺหากญฺจ รญฺญา สทฺธิํ มิตฺตภาโว ปติฎฺฐหิสฺสตี’’ติ อาหฯ โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา ตุฎฺฐมานโส ‘‘อุตฺตมรูปธรํ กิร กุมาริกํ ลภิสฺสามี’’ติ สวนสํสเคฺคน พชฺฌิตฺวา ‘‘อาจริย, ตุมฺหากญฺจ กิร มโหสธปณฺฑิตสฺส จ ธมฺมยุเทฺธ วิวาโท อโหสิ, คจฺฉถ ปุตฺตํ เม ปสฺสถ, อุโภปิ ปณฺฑิตา อญฺญมญฺญํ ขมาเปตฺวา มเนฺตตฺวา เอถา’’ติ อาหฯ ตํ สุตฺวา เกวโฎฺฎ ‘‘ปสฺสิสฺสามิ ปณฺฑิต’’นฺติ ตํ ปสฺสิตุํ อคมาสิฯ มหาสโตฺตปิ ตํ ทิวสํ ‘‘เตน เม ปาปธเมฺมน สทฺธิํ สลฺลาโป มา โหตู’’ติ ปาโตว โถกํ สปฺปิํ ปิวิ, เคหมฺปิสฺส พหเลน อลฺลโคมเยน เลปาเปสิ, ถเมฺภ เตเลน มเกฺขสิ, ตสฺส นิปนฺนมญฺจกํ ฐเปตฺวา เสสานิ มญฺจปีฐาทีนิ นีหราเปสิฯ

    Evañca pana vatvā ‘‘mahārāja, amhākaṃ rājā aññaṃ mahāmattaṃ pesetukāmo hutvāpi ‘añño manāpaṃ katvā sāsanaṃ ārocetuṃ na sakkhissatī’ti maṃ pesesi ‘ācariya, tumhe rājānaṃ sādhukaṃ pabodhetvā ādāya āgacchathā’ti, gacchatha rājaseṭṭha abhirūpañca kumārikaṃ labhissatha, amhākañca raññā saddhiṃ mittabhāvo patiṭṭhahissatī’’ti āha. So tassa vacanaṃ sutvā tuṭṭhamānaso ‘‘uttamarūpadharaṃ kira kumārikaṃ labhissāmī’’ti savanasaṃsaggena bajjhitvā ‘‘ācariya, tumhākañca kira mahosadhapaṇḍitassa ca dhammayuddhe vivādo ahosi, gacchatha puttaṃ me passatha, ubhopi paṇḍitā aññamaññaṃ khamāpetvā mantetvā ethā’’ti āha. Taṃ sutvā kevaṭṭo ‘‘passissāmi paṇḍita’’nti taṃ passituṃ agamāsi. Mahāsattopi taṃ divasaṃ ‘‘tena me pāpadhammena saddhiṃ sallāpo mā hotū’’ti pātova thokaṃ sappiṃ pivi, gehampissa bahalena allagomayena lepāpesi, thambhe telena makkhesi, tassa nipannamañcakaṃ ṭhapetvā sesāni mañcapīṭhādīni nīharāpesi.

    โส มนุสฺสานํ สญฺญมทาสิ ‘‘ตาตา, พฺราหฺมเณ กเถตุํ อารเทฺธ เอวํ วเทยฺยาถ ‘พฺราหฺมณ, มา ปณฺฑิเตน สทฺธิํ กถยิตฺถ, อชฺช เตน ติขิณสปฺปิ ปิวิต’นฺติฯ มยิ จ เตน สทฺธิํ กถนาการํ กโรเนฺตปิ ‘เทว ติขิณสปฺปิ เต ปิวิตํ, มา กเถถา’ติ มํ นิวาเรถา’’ติฯ เอวํ วิจาเรตฺวา มหาสโตฺต รตฺตปฎํ นิวาเสตฺวา สตฺตสุ ทฺวารโกฎฺฐเกสุ มนุเสฺส ฐเปตฺวา สตฺตเม ทฺวารโกฎฺฐเก ปฎมญฺจเก นิปชฺชิฯ เกวโฎฺฎปิสฺส ปฐมทฺวารโกฎฺฐเก ฐตฺวา ‘‘กหํ ปณฺฑิโต’’ติ ปุจฺฉิฯ อถ นํ เต มนุสฺสา ‘‘พฺราหฺมณ, มา สทฺทมกริ, สเจปิ อาคจฺฉิตุกาโม, ตุณฺหี หุตฺวา เอหิ, อชฺช ปณฺฑิเตน ติขิณสปฺปิ ปีตํ, มหาสทฺทํ กาตุํ น ลพฺภตี’’ติ อาหํสุฯ เสสทฺวารโกฎฺฐเกสุปิ นํ ตเถว อาหํสุฯ โส สตฺตมทฺวารโกฎฺฐกํ อติกฺกมิตฺวา ปณฺฑิตสฺส สนฺติกํ อคมาสิฯ ปณฺฑิโต กถนาการํ ทเสฺสสิฯ อถ นํ มนุสฺสา ‘‘เทว, มา กถยิตฺถ, ติขิณสปฺปิ เต ปีตํ, กิํ เต อิมินา ทุฎฺฐพฺราหฺมเณน สทฺธิํ กถิเตนา’’ติ วตฺวา วารยิํสุฯ อิติ โส ตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา เนว นิสีทิตุํ, น อาสนํ นิสฺสาย ฐิตฎฺฐานํ ลภิ, อลฺลโคมยํ อกฺกมิตฺวา อฎฺฐาสิฯ

    So manussānaṃ saññamadāsi ‘‘tātā, brāhmaṇe kathetuṃ āraddhe evaṃ vadeyyātha ‘brāhmaṇa, mā paṇḍitena saddhiṃ kathayittha, ajja tena tikhiṇasappi pivita’nti. Mayi ca tena saddhiṃ kathanākāraṃ karontepi ‘deva tikhiṇasappi te pivitaṃ, mā kathethā’ti maṃ nivārethā’’ti. Evaṃ vicāretvā mahāsatto rattapaṭaṃ nivāsetvā sattasu dvārakoṭṭhakesu manusse ṭhapetvā sattame dvārakoṭṭhake paṭamañcake nipajji. Kevaṭṭopissa paṭhamadvārakoṭṭhake ṭhatvā ‘‘kahaṃ paṇḍito’’ti pucchi. Atha naṃ te manussā ‘‘brāhmaṇa, mā saddamakari, sacepi āgacchitukāmo, tuṇhī hutvā ehi, ajja paṇḍitena tikhiṇasappi pītaṃ, mahāsaddaṃ kātuṃ na labbhatī’’ti āhaṃsu. Sesadvārakoṭṭhakesupi naṃ tatheva āhaṃsu. So sattamadvārakoṭṭhakaṃ atikkamitvā paṇḍitassa santikaṃ agamāsi. Paṇḍito kathanākāraṃ dassesi. Atha naṃ manussā ‘‘deva, mā kathayittha, tikhiṇasappi te pītaṃ, kiṃ te iminā duṭṭhabrāhmaṇena saddhiṃ kathitenā’’ti vatvā vārayiṃsu. Iti so tassa santikaṃ gantvā neva nisīdituṃ, na āsanaṃ nissāya ṭhitaṭṭhānaṃ labhi, allagomayaṃ akkamitvā aṭṭhāsi.

    อถ นํ โอโลเกตฺวา เอโก อกฺขีนิ นิมีลิ, เอโก ภมุกํ อุกฺขิปิ, เอโก กปฺปรํ กณฺฑูยิฯ โส เตสํ กิริยํ โอโลเกตฺวา มงฺกุภูโต ‘‘คจฺฉามหํ ปณฺฑิตา’’ติ วตฺวา อปเรน ‘‘อเร ทุฎฺฐพฺราหฺมณ, ‘มา สทฺทมกาสี’ติ วุโตฺต สทฺทเมว กโรสิ, อฎฺฐีนิ เต ภินฺทิสฺสามี’’ติ วุเตฺต ภีตตสิโต หุตฺวา นิวตฺติตฺวา โอโลเกสิฯ อถ นํ อโญฺญ เวฬุเปสิกาย ปิฎฺฐิยํ ตาเลสิ, อโญฺญ คีวายํ คเหตฺวา ขิปิ, อโญฺญ ปิฎฺฐิยํ หตฺถตเลน ปหริฯ โส ทีปิมุขา มุตฺตมิโค วิย ภีตตสิโต นิกฺขมิตฺวา ราชเคหํ คโตฯ ราชา จิเนฺตสิ ‘‘อชฺช มม ปุโตฺต อิมํ ปวตฺติํ สุตฺวา ตุโฎฺฐ ภวิสฺสติ, ทฺวินฺนํ ปณฺฑิตานํ มหติยา ธมฺมสากจฺฉาย ภวิตพฺพํ, อชฺช อุโภ อญฺญมญฺญํ ขมาเปสฺสนฺติ, ลาภา วต เม’’ติฯ โส เกวฎฺฎํ ทิสฺวา ปณฺฑิเตน สทฺธิํ สํสนฺทนาการํ ปุจฺฉโนฺต คาถมาห –

    Atha naṃ oloketvā eko akkhīni nimīli, eko bhamukaṃ ukkhipi, eko kapparaṃ kaṇḍūyi. So tesaṃ kiriyaṃ oloketvā maṅkubhūto ‘‘gacchāmahaṃ paṇḍitā’’ti vatvā aparena ‘‘are duṭṭhabrāhmaṇa, ‘mā saddamakāsī’ti vutto saddameva karosi, aṭṭhīni te bhindissāmī’’ti vutte bhītatasito hutvā nivattitvā olokesi. Atha naṃ añño veḷupesikāya piṭṭhiyaṃ tālesi, añño gīvāyaṃ gahetvā khipi, añño piṭṭhiyaṃ hatthatalena pahari. So dīpimukhā muttamigo viya bhītatasito nikkhamitvā rājagehaṃ gato. Rājā cintesi ‘‘ajja mama putto imaṃ pavattiṃ sutvā tuṭṭho bhavissati, dvinnaṃ paṇḍitānaṃ mahatiyā dhammasākacchāya bhavitabbaṃ, ajja ubho aññamaññaṃ khamāpessanti, lābhā vata me’’ti. So kevaṭṭaṃ disvā paṇḍitena saddhiṃ saṃsandanākāraṃ pucchanto gāthamāha –

    ๖๐๑.

    601.

    ‘‘กถํ นุ เกวฎฺฎ มโหสเธน, สมาคโม อาสิ ตทิงฺฆ พฺรูหิ;

    ‘‘Kathaṃ nu kevaṭṭa mahosadhena, samāgamo āsi tadiṅgha brūhi;

    กจฺจิ เต ปฎินิชฺฌโตฺต, กจฺจิ ตุโฎฺฐ มโหสโธ’’ติฯ

    Kacci te paṭinijjhatto, kacci tuṭṭho mahosadho’’ti.

    ตตฺถ ปฎินิชฺฌโตฺตติ ธมฺมยุทฺธมณฺฑเล ปวตฺตวิคฺคหสฺส วูปสมนตฺถํ กจฺจิ ตฺวํ เตน, โส จ ตยา นิชฺฌโตฺต ขมาปิโตฯ กจฺจิ ตุโฎฺฐติ กจฺจิ ตุมฺหากํ รญฺญา เปสิตํ ปวตฺติํ สุตฺวา ตุโฎฺฐติฯ

    Tattha paṭinijjhattoti dhammayuddhamaṇḍale pavattaviggahassa vūpasamanatthaṃ kacci tvaṃ tena, so ca tayā nijjhatto khamāpito. Kacci tuṭṭhoti kacci tumhākaṃ raññā pesitaṃ pavattiṃ sutvā tuṭṭhoti.

    ตํ สุตฺวา เกวโฎฺฎ ‘‘มหาราช, ตุเมฺห ‘ปณฺฑิโต’ติ ตํ คเหตฺวา วิจรถ, ตโต อสปฺปุริสตโร นาม นตฺถี’’ติ คาถมาห –

    Taṃ sutvā kevaṭṭo ‘‘mahārāja, tumhe ‘paṇḍito’ti taṃ gahetvā vicaratha, tato asappurisataro nāma natthī’’ti gāthamāha –

    ๖๐๒.

    602.

    ‘‘อนริยรูโป ปุริโส ชนินฺท, อสโมฺมทโก ถโทฺธ อสพฺภิรูโป;

    ‘‘Anariyarūpo puriso janinda, asammodako thaddho asabbhirūpo;

    ยถา มูโค จ พธิโร จ, น กิญฺจิตฺถํ อภาสถา’’ติฯ

    Yathā mūgo ca badhiro ca, na kiñcitthaṃ abhāsathā’’ti.

    ตตฺถ อสพฺภิรูโปติ อปณฺฑิตชาติโกฯ น กิญฺจิตฺถนฺติ มยา สห กิญฺจิ อตฺถํ น ภาสิตฺถ, เตเนว นํ อปณฺฑิโตติ มญฺญามีติ โพธิสตฺตสฺส อคุณํ กเถสิฯ

    Tattha asabbhirūpoti apaṇḍitajātiko. Na kiñcitthanti mayā saha kiñci atthaṃ na bhāsittha, teneva naṃ apaṇḍitoti maññāmīti bodhisattassa aguṇaṃ kathesi.

    ราชา ตสฺส วจนํ อนภินนฺทิตฺวา อปฺปฎิโกฺกสิตฺวา ตสฺส จ เตน สทฺธิํ อาคตานญฺจ ปริพฺพยเญฺจว นิวาสเคหญฺจ ทาเปตฺวา ‘‘คจฺฉถาจริย, วิสฺสมถา’’ติ ตํ อุโยฺยเชตฺวา ‘‘มม ปุโตฺต ปณฺฑิโต ปฎิสนฺถารกุสโล, อิมินา กิร สทฺธิํ เนว ปฎิสนฺถารํ อกาสิ, น ตุฎฺฐิํ ปเวเทสิฯ กิญฺจิ เตน อนาคตภยํ ทิฎฺฐํ ภวิสฺสตี’’ติ สยเมว กถํ สมุฎฺฐาเปสิ –

    Rājā tassa vacanaṃ anabhinanditvā appaṭikkositvā tassa ca tena saddhiṃ āgatānañca paribbayañceva nivāsagehañca dāpetvā ‘‘gacchathācariya, vissamathā’’ti taṃ uyyojetvā ‘‘mama putto paṇḍito paṭisanthārakusalo, iminā kira saddhiṃ neva paṭisanthāraṃ akāsi, na tuṭṭhiṃ pavedesi. Kiñci tena anāgatabhayaṃ diṭṭhaṃ bhavissatī’’ti sayameva kathaṃ samuṭṭhāpesi –

    ๖๐๓.

    603.

    ‘‘อทฺธา อิทํ มนฺตปทํ สุทุทฺทสํ, อโตฺถ สุโทฺธ นรวิริเยน ทิโฎฺฐ;

    ‘‘Addhā idaṃ mantapadaṃ sududdasaṃ, attho suddho naraviriyena diṭṭho;

    ตถา หิ กาโย มม สมฺปเวธติ, หิตฺวา สยํ โก ปรหตฺถเมสฺสตี’’ติฯ

    Tathā hi kāyo mama sampavedhati, hitvā sayaṃ ko parahatthamessatī’’ti.

    ตตฺถ อิทนฺติ ยํ มม ปุเตฺตน ทิฎฺฐํ, อทฺธา อิทํ มนฺตปทํ อเญฺญน อิตรปุริเสน สุทุทฺทสํฯ นรวิริเยนาติ วีริยวเนฺตน มโหสธปณฺฑิเตน สุโทฺธ อโตฺถ ทิโฎฺฐ ภวิสฺสติฯ สยนฺติ สกํ รฎฺฐํ หิตฺวา โก ปรหตฺถํ คมิสฺสติฯ

    Tattha idanti yaṃ mama puttena diṭṭhaṃ, addhā idaṃ mantapadaṃ aññena itarapurisena sududdasaṃ. Naraviriyenāti vīriyavantena mahosadhapaṇḍitena suddho attho diṭṭho bhavissati. Sayanti sakaṃ raṭṭhaṃ hitvā ko parahatthaṃ gamissati.

    ‘‘มม ปุเตฺตน พฺราหฺมณสฺส อาคมเน โทโส ทิโฎฺฐ ภวิสฺสติฯ อยญฺหิ อาคจฺฉโนฺต น มิตฺตสนฺถวตฺถาย อาคมิสฺสติ, มํ ปน กาเมน ปโลเภตฺวา นครํ เนตฺวา คณฺหนตฺถาย อาคเตน ภวิตพฺพํฯ ตํ อนาคตภยํ ทิฎฺฐํ ภวิสฺสติ ปณฺฑิเตนา’’ติ ตสฺส ตมตฺถํ อาวเชฺชตฺวา ภีตตสิตสฺส นิสินฺนกาเล จตฺตาโร ปณฺฑิตา อาคมิํสุฯ ราชา เสนกํ ปุจฺฉิ ‘‘เสนก, รุจฺจติ เต อุตฺตรปญฺจาลนครํ คนฺตฺวา จูฬนิราชสฺส ธีตุ อานยน’’นฺติ? กิํ กเถถ มหาราช, น หิ สิริํ อาคจฺฉนฺติํ ทเณฺฑน ปหริตฺวา ปลาเปตุํ วฎฺฎติฯ สเจ ตุเมฺห ตตฺถ คนฺตฺวา ตํ คณฺหิสฺสถ, ฐเปตฺวา จูฬนิพฺรหฺมทตฺตํ อโญฺญ ตุเมฺหหิ สโม ชมฺพุทีปตเล น ภวิสฺสติฯ กิํ การณา? เชฎฺฐราชธีตาย คหิตตฺตาฯ โส หิ ‘‘เสสราชาโน มม มนุสฺสา, เวเทโห เอโกว มยา สทิโส’’ติ สกลชมฺพุทีเป อุตฺตมรูปธรํ ธีตรํ ตุมฺหากํ ทาตุกาโม ชาโต, กโรถสฺส วจนํฯ มยมฺปิ ตุเมฺห นิสฺสาย วตฺถาลงฺกาเร ลภิสฺสามาติฯ ราชา เสเสปิ ปุจฺฉิฯ เตปิ ตเถว กเถสุํฯ ตสฺส เตหิ สทฺธิํ กเถนฺตเสฺสว เกวฎฺฎพฺราหฺมโณ อตฺตโน นิวาสเคหา นิกฺขมิตฺวา ‘‘ราชานํ อามเนฺตตฺวา คมิสฺสามี’’ติ อาคนฺตฺวา ‘‘มหาราช, น สกฺกา อเมฺหหิ ปปญฺจํ กาตุํ, คมิสฺสาม มยํ นรินฺทา’’ติ อาหฯ ราชา ตสฺส สกฺการํ กตฺวา ตํ อุโยฺยเชสิฯ มหาสโตฺต ตสฺส คมนภาวํ ญตฺวา นฺหตฺวา อลงฺกริตฺวา ราชุปฎฺฐานํ อาคนฺตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ราชา จิเนฺตสิ ‘‘ปุโตฺต เม มโหสธปณฺฑิโต มหามนฺตี มนฺตปารงฺคโต อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อตฺถํ ชานาติฯ อมฺหากํ ตตฺถ คนฺตุํ ยุตฺตภาวํ วา อยุตฺตภาวํ วา ปณฺฑิโต ชานิสฺสตี’’ติฯ โส อตฺตนา ปฐมํ จินฺติตํ อวตฺวา ราครโตฺต โมหมูโฬฺห หุตฺวา ตํ ปุจฺฉโนฺต คาถมาห –

    ‘‘Mama puttena brāhmaṇassa āgamane doso diṭṭho bhavissati. Ayañhi āgacchanto na mittasanthavatthāya āgamissati, maṃ pana kāmena palobhetvā nagaraṃ netvā gaṇhanatthāya āgatena bhavitabbaṃ. Taṃ anāgatabhayaṃ diṭṭhaṃ bhavissati paṇḍitenā’’ti tassa tamatthaṃ āvajjetvā bhītatasitassa nisinnakāle cattāro paṇḍitā āgamiṃsu. Rājā senakaṃ pucchi ‘‘senaka, ruccati te uttarapañcālanagaraṃ gantvā cūḷanirājassa dhītu ānayana’’nti? Kiṃ kathetha mahārāja, na hi siriṃ āgacchantiṃ daṇḍena paharitvā palāpetuṃ vaṭṭati. Sace tumhe tattha gantvā taṃ gaṇhissatha, ṭhapetvā cūḷanibrahmadattaṃ añño tumhehi samo jambudīpatale na bhavissati. Kiṃ kāraṇā? Jeṭṭharājadhītāya gahitattā. So hi ‘‘sesarājāno mama manussā, vedeho ekova mayā sadiso’’ti sakalajambudīpe uttamarūpadharaṃ dhītaraṃ tumhākaṃ dātukāmo jāto, karothassa vacanaṃ. Mayampi tumhe nissāya vatthālaṅkāre labhissāmāti. Rājā sesepi pucchi. Tepi tatheva kathesuṃ. Tassa tehi saddhiṃ kathentasseva kevaṭṭabrāhmaṇo attano nivāsagehā nikkhamitvā ‘‘rājānaṃ āmantetvā gamissāmī’’ti āgantvā ‘‘mahārāja, na sakkā amhehi papañcaṃ kātuṃ, gamissāma mayaṃ narindā’’ti āha. Rājā tassa sakkāraṃ katvā taṃ uyyojesi. Mahāsatto tassa gamanabhāvaṃ ñatvā nhatvā alaṅkaritvā rājupaṭṭhānaṃ āgantvā rājānaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Rājā cintesi ‘‘putto me mahosadhapaṇḍito mahāmantī mantapāraṅgato atītānāgatapaccuppannaṃ atthaṃ jānāti. Amhākaṃ tattha gantuṃ yuttabhāvaṃ vā ayuttabhāvaṃ vā paṇḍito jānissatī’’ti. So attanā paṭhamaṃ cintitaṃ avatvā rāgaratto mohamūḷho hutvā taṃ pucchanto gāthamāha –

    ๖๐๔.

    604.

    ‘‘ฉนฺนญฺหิ เอกาว มตี สเมติ, เย ปณฺฑิตา อุตฺตมภูริปตฺตา;

    ‘‘Channañhi ekāva matī sameti, ye paṇḍitā uttamabhūripattā;

    ยานํ อยานํ อถ วาปิ ฐานํ, มโหสธ ตฺวมฺปิ มติํ กโรหี’’ติฯ

    Yānaṃ ayānaṃ atha vāpi ṭhānaṃ, mahosadha tvampi matiṃ karohī’’ti.

    ตตฺถ ฉนฺนนฺติ ปณฺฑิต, เกวฎฺฎพฺราหฺมณสฺส จ มม จ อิเมสญฺจ จตุนฺนนฺติ ฉนฺนํ อมฺหากํ เอกาว มติ เอโกเยว อชฺฌาสโย คโงฺคทกํ วิย ยมุโนทเกน สํสนฺทติ สเมติฯ เย มยํ ฉปิ ชนา ปณฺฑิตา อุตฺตมภูริปตฺตา, เตสํ โน ฉนฺนมฺปิ จูฬนิราชธีตุ อานยนํ รุจฺจตีติฯ ฐานนฺติ อิเธว วาโสฯ มติํ กโรหีติ อมฺหากํ รุจฺจนกํ นาม อปฺปมาณํ, ตฺวมฺปิ จิเนฺตหิ, กิํ อมฺหากํ อาวาหตฺถาย ตตฺถ ยานํ, อุทาหุ อยานํ, อทุ อิเธว วาโส รุจฺจตีติฯ

    Tattha channanti paṇḍita, kevaṭṭabrāhmaṇassa ca mama ca imesañca catunnanti channaṃ amhākaṃ ekāva mati ekoyeva ajjhāsayo gaṅgodakaṃ viya yamunodakena saṃsandati sameti. Ye mayaṃ chapi janā paṇḍitā uttamabhūripattā, tesaṃ no channampi cūḷanirājadhītu ānayanaṃ ruccatīti. Ṭhānanti idheva vāso. Matiṃ karohīti amhākaṃ ruccanakaṃ nāma appamāṇaṃ, tvampi cintehi, kiṃ amhākaṃ āvāhatthāya tattha yānaṃ, udāhu ayānaṃ, adu idheva vāso ruccatīti.

    ตํ สุตฺวา ปณฺฑิโต ‘‘อยํ ราชา อติวิย กามคิโทฺธ อนฺธพาลภาเวน อิเมสํ จตุนฺนํ วจนํ คณฺหาติ, คมเน โทสํ กเถตฺวา นิวเตฺตสฺสามิ น’’นิ จิเนฺตตฺวา จตโสฺส คาถาโย อภาสิ –

    Taṃ sutvā paṇḍito ‘‘ayaṃ rājā ativiya kāmagiddho andhabālabhāvena imesaṃ catunnaṃ vacanaṃ gaṇhāti, gamane dosaṃ kathetvā nivattessāmi na’’ni cintetvā catasso gāthāyo abhāsi –

    ๖๐๕.

    605.

    ‘‘ชานาสิ โข ราช มหานุภาโว, มหพฺพโล จูฬนิพฺรหฺมทโตฺต;

    ‘‘Jānāsi kho rāja mahānubhāvo, mahabbalo cūḷanibrahmadatto;

    ราชา จ ตํ อิจฺฉติ มารณตฺถํ, มิคํ ยถา โอกจเรน ลุโทฺทฯ

    Rājā ca taṃ icchati māraṇatthaṃ, migaṃ yathā okacarena luddo.

    ๖๐๖.

    606.

    ‘‘ยถาปิ มโจฺฉ พฬิสํ, วงฺกํ มํเสน ฉาทิตํ;

    ‘‘Yathāpi maccho baḷisaṃ, vaṅkaṃ maṃsena chāditaṃ;

    อามคิโทฺธ น ชานาติ, มโจฺฉ มรณมตฺตโนฯ

    Āmagiddho na jānāti, maccho maraṇamattano.

    ๖๐๗.

    607.

    ‘‘เอวเมว ตุวํ ราช, จูฬเนยฺยสฺส ธีตรํ;

    ‘‘Evameva tuvaṃ rāja, cūḷaneyyassa dhītaraṃ;

    กามคิโทฺธ น ชานาสิ, มโจฺฉว มรณมตฺตโนฯ

    Kāmagiddho na jānāsi, macchova maraṇamattano.

    ๖๐๘.

    608.

    ‘‘สเจ คจฺฉสิ ปญฺจาลํ, ขิปฺปมตฺตํ ชหิสฺสสิ;

    ‘‘Sace gacchasi pañcālaṃ, khippamattaṃ jahissasi;

    มิคํ ปนฺถานุพนฺธํว, มหนฺตํ ภยเมสฺสตี’’ติฯ

    Migaṃ panthānubandhaṃva, mahantaṃ bhayamessatī’’ti.

    ตตฺถ ราชาติ วิเทหํ อาลปติฯ มหานุภาโวติ มหายโสฯ มหพฺพโลติ อฎฺฐรสอโกฺขภณิสเงฺขน พเลน สมนฺนาคโตฯ มารณตฺถนฺติ มารณสฺส อตฺถายฯ โอกจเรนาติ โอกจาริกาย มิคิยาฯ ลุโทฺท หิ เอกํ มิคิํ สิกฺขาเปตฺวา รชฺชุเกน พนฺธิตฺวา อรญฺญํ เนตฺวา มิคานํ โคจรฎฺฐาเน ฐเปสิฯ สา พาลมิคํ อตฺตโน สนฺติกํ อาเนตุกามา สกสญฺญาย ราคํ ชเนนฺตี วิรวติฯ ตสฺสา สทฺทํ สุตฺวา พาลมิโค มิคคณปริวุโต วนคุเมฺพ นิปโนฺน เสสมิคีสุ สญฺญํ อกตฺวา ตสฺสา สทฺทสฺสวนสํสเคฺคน พโทฺธ วุฎฺฐาย นิกฺขมิตฺวา คีวํ อุกฺขิปิตฺวา กิเลสวเสน ตํ มิคิํ อุปคนฺตฺวา ลุทฺทสฺส ปสฺสํ ทตฺวา ติฎฺฐติฯ ตเมนํ โส ติขิณาย สตฺติยา วิชฺฌิตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปติฯ ตตฺถ ลุโทฺท วิย จูฬนิราชา, โอกจาริกา วิย อสฺส ธีตา, ลุทฺทสฺส หเตฺถ อาวุธํ วิย เกวฎฺฎพฺราหฺมโณฯ อิติ ยถา โอกจเรน ลุโทฺท มิคํ มารณตฺถาย อิจฺฉติ, เอวํ โสปิ ราชา ตํ อิจฺฉตีติ อโตฺถฯ

    Tattha rājāti videhaṃ ālapati. Mahānubhāvoti mahāyaso. Mahabbaloti aṭṭharasaakkhobhaṇisaṅkhena balena samannāgato. Māraṇatthanti māraṇassa atthāya. Okacarenāti okacārikāya migiyā. Luddo hi ekaṃ migiṃ sikkhāpetvā rajjukena bandhitvā araññaṃ netvā migānaṃ gocaraṭṭhāne ṭhapesi. Sā bālamigaṃ attano santikaṃ ānetukāmā sakasaññāya rāgaṃ janentī viravati. Tassā saddaṃ sutvā bālamigo migagaṇaparivuto vanagumbe nipanno sesamigīsu saññaṃ akatvā tassā saddassavanasaṃsaggena baddho vuṭṭhāya nikkhamitvā gīvaṃ ukkhipitvā kilesavasena taṃ migiṃ upagantvā luddassa passaṃ datvā tiṭṭhati. Tamenaṃ so tikhiṇāya sattiyā vijjhitvā jīvitakkhayaṃ pāpeti. Tattha luddo viya cūḷanirājā, okacārikā viya assa dhītā, luddassa hatthe āvudhaṃ viya kevaṭṭabrāhmaṇo. Iti yathā okacarena luddo migaṃ māraṇatthāya icchati, evaṃ sopi rājā taṃ icchatīti attho.

    อามคิโทฺธติ พฺยามสตคมฺภีเร อุทเก วสโนฺตปิ ตสฺมิํ พฬิสสฺส วงฺกฎฺฐานํ ฉาเทตฺวา ฐิเต อามสงฺขาเต อามิเส คิโทฺธ หุตฺวา พฬิสํ คิลติ, อตฺตโน มรณํ น ชานาติฯ ธีตรนฺติ จูฬนิพาฬิสิกสฺส เกวฎฺฎพฺราหฺมณสฺส วจนพฬิสํ ฉาเทตฺวา ฐิตํ อามิสสทิสํฯ ตสฺส รโญฺญ ธีตรํ กามคิโทฺธ หุตฺวา มโจฺฉ อตฺตโน มรณสงฺขาตํ อามิสํ วิย น ชานาสิฯ ปญฺจาลนฺติ อุตฺตรปญฺจาลนครํฯ อตฺตนฺติ อตฺตานํฯ ปนฺถานุพนฺธนฺติ ยถา คามทฺวารมคฺคํ อนุพนฺธมิคํ มหนฺตํ ภยเมสฺสติ, ตญฺหิ มิคํ มารณตฺถาย อาวุธานิ คเหตฺวา นิกฺขเนฺตสุ มนุเสฺสสุ เย เย ปสฺสนฺติ, เต เต มาเรนฺติ, เอวํ อุตฺตรปญฺจาลนครํ คจฺฉนฺตมฺปิ ตํ มหนฺตํ มรณภยํ เอสฺสติ อุปคมิสฺสตีติฯ

    Āmagiddhoti byāmasatagambhīre udake vasantopi tasmiṃ baḷisassa vaṅkaṭṭhānaṃ chādetvā ṭhite āmasaṅkhāte āmise giddho hutvā baḷisaṃ gilati, attano maraṇaṃ na jānāti. Dhītaranti cūḷanibāḷisikassa kevaṭṭabrāhmaṇassa vacanabaḷisaṃ chādetvā ṭhitaṃ āmisasadisaṃ. Tassa rañño dhītaraṃ kāmagiddho hutvā maccho attano maraṇasaṅkhātaṃ āmisaṃ viya na jānāsi. Pañcālanti uttarapañcālanagaraṃ. Attanti attānaṃ. Panthānubandhanti yathā gāmadvāramaggaṃ anubandhamigaṃ mahantaṃ bhayamessati, tañhi migaṃ māraṇatthāya āvudhāni gahetvā nikkhantesu manussesu ye ye passanti, te te mārenti, evaṃ uttarapañcālanagaraṃ gacchantampi taṃ mahantaṃ maraṇabhayaṃ essati upagamissatīti.

    เอวํ มหาสโตฺต จตูหิ คาถาหิ ราชานํ นิคฺคณฺหิตฺวา กเถสิฯ โส ราชา เตน อติวิย นิคฺคหิโตว ‘‘อยํ มํ อตฺตโน ทาสํ วิย มญฺญติ, ราชาติ สญฺญมฺปิ น กโรติ, อคฺคราเชน ‘ธีตรํ ทสฺสามี’ติ มม สนฺติกํ เปสิตํ ญตฺวา เอกมฺปิ มงฺคลปฎิสํยุตฺตํ กถํ อกเถตฺวา มํ ‘พาลมิโค วิย, คิลิตพฬิสมโจฺฉ วิย ปนฺถานุพนฺธมิโค วิย, มรณํ ปาปุณิสฺสตี’ติ วทตี’’ติ กุชฺฌิตฺวา อนนฺตรํ คาถมาห –

    Evaṃ mahāsatto catūhi gāthāhi rājānaṃ niggaṇhitvā kathesi. So rājā tena ativiya niggahitova ‘‘ayaṃ maṃ attano dāsaṃ viya maññati, rājāti saññampi na karoti, aggarājena ‘dhītaraṃ dassāmī’ti mama santikaṃ pesitaṃ ñatvā ekampi maṅgalapaṭisaṃyuttaṃ kathaṃ akathetvā maṃ ‘bālamigo viya, gilitabaḷisamaccho viya panthānubandhamigo viya, maraṇaṃ pāpuṇissatī’ti vadatī’’ti kujjhitvā anantaraṃ gāthamāha –

    ๖๐๙.

    609.

    ‘‘มยเมว พาลมฺหเส เอฬมูคา, เย อุตฺตมตฺถานิ ตยี ลปิมฺหา;

    ‘‘Mayameva bālamhase eḷamūgā, ye uttamatthāni tayī lapimhā;

    กิเมว ตฺวํ นงฺคลโกฎิวโฑฺฒ, อตฺถานิ ชานาสิ ยถาปิ อเญฺญ’’ติฯ

    Kimeva tvaṃ naṅgalakoṭivaḍḍho, atthāni jānāsi yathāpi aññe’’ti.

    ตตฺถ พาลมฺหเสติ พาลามฺหฯ เอฬมูคาติ ลาลมุขา มยเมวฯ อุตฺตมตฺถานีติ อุตฺตมอิตฺถิรตนปฎิลาภการณานิฯ ตยี ลวิมฺหาติ ตว สนฺติเก กถยิมฺหาฯ กิเมวาติ ครหเตฺถ นิปาโตฯ นงฺคลโกฎิวโฑฺฒติ คหปติปุโตฺต ทหรกาลโต ปฎฺฐาย นงฺคลโกฎิํ วหโนฺตเยว วฑฺฒติ, ตมตฺถํ สนฺธาย ‘‘ตฺวํ คหปติกมฺมเมว ชานาสิ, น ขตฺติยานํ มงฺคลกมฺม’’นฺติ อิมินา อธิปฺปาเยเนวมาหฯ อเญฺญติ ยถา เกวโฎฺฎ วา เสนกาทโย วา อเญฺญ ปณฺฑิตา อิมานิ ขตฺติยานํ มงฺคลตฺถานิ ชานนฺติ, ตถา ตฺวํ ตานิ กิํ ชานาสิ, คหปติกมฺมชานนเมว ตวานุจฺฉวิกนฺติฯ

    Tattha bālamhaseti bālāmha. Eḷamūgāti lālamukhā mayameva. Uttamatthānīti uttamaitthiratanapaṭilābhakāraṇāni. Tayī lavimhāti tava santike kathayimhā. Kimevāti garahatthe nipāto. Naṅgalakoṭivaḍḍhoti gahapatiputto daharakālato paṭṭhāya naṅgalakoṭiṃ vahantoyeva vaḍḍhati, tamatthaṃ sandhāya ‘‘tvaṃ gahapatikammameva jānāsi, na khattiyānaṃ maṅgalakamma’’nti iminā adhippāyenevamāha. Aññeti yathā kevaṭṭo vā senakādayo vā aññe paṇḍitā imāni khattiyānaṃ maṅgalatthāni jānanti, tathā tvaṃ tāni kiṃ jānāsi, gahapatikammajānanameva tavānucchavikanti.

    อิติ นํ อโกฺกสิตฺวา ปริภาสิตฺวา ‘‘คหปติปุโตฺต มม มงฺคลนฺตรายํ กโรติ, นีหรถ น’’นฺติ นีหราเปตุํ คาถมาห –

    Iti naṃ akkositvā paribhāsitvā ‘‘gahapatiputto mama maṅgalantarāyaṃ karoti, nīharatha na’’nti nīharāpetuṃ gāthamāha –

    ๖๑๐.

    610.

    ‘‘อิมํ คเล คเหตฺวาน, นาเสถ วิชิตา มม;

    ‘‘Imaṃ gale gahetvāna, nāsetha vijitā mama;

    โย เม รตนลาภสฺส, อนฺตรายาย ภาสตี’’ติฯ

    Yo me ratanalābhassa, antarāyāya bhāsatī’’ti.

    โส รโญฺญ กุทฺธภาวํ ญตฺวา ‘‘สเจ โข ปน มํ โกจิ รโญฺญ วจนํ คเหตฺวา หเตฺถ วา คีวาย วา ปรามเสยฺย, ตํ เม อลํ อสฺส ยาวชีวํ ลชฺชิตุํ, ตสฺมา สยเมว นิกฺขมิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน เคหํ คโตฯ ราชาปิ เกวลํ โกธวเสเนว วทติ, โพธิสเตฺต ปน ครุจิตฺตตาย น กญฺจิ ตถา กาตุํ อาณาเปสิฯ อถ มหาสโตฺต ‘‘อยํ ราชา พาโล อตฺตโน หิตาหิตํ น ชานาติ , กามคิโทฺธ หุตฺวา ‘ตสฺส ธีตรํ ลภิสฺสามิเยวา’ติ อนาคตภยํ อชานิตฺวา คจฺฉโนฺต มหาวินาสํ ปาปุณิสฺสติฯ นาสฺส กถํ หทเย กาตุํ วฎฺฎติ, พหุปกาโร เม เอส มหายสทายโก, อิมสฺส มยา ปจฺจเยน ภวิตุํ วฎฺฎติฯ ปฐมํ โข ปน สุวโปตกํ เปเสตฺวา ตถโต ญตฺวา ปจฺฉา อหํ คมิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา สุวโปตกํ เปเสสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    So rañño kuddhabhāvaṃ ñatvā ‘‘sace kho pana maṃ koci rañño vacanaṃ gahetvā hatthe vā gīvāya vā parāmaseyya, taṃ me alaṃ assa yāvajīvaṃ lajjituṃ, tasmā sayameva nikkhamissāmī’’ti cintetvā rājānaṃ vanditvā attano gehaṃ gato. Rājāpi kevalaṃ kodhavaseneva vadati, bodhisatte pana garucittatāya na kañci tathā kātuṃ āṇāpesi. Atha mahāsatto ‘‘ayaṃ rājā bālo attano hitāhitaṃ na jānāti , kāmagiddho hutvā ‘tassa dhītaraṃ labhissāmiyevā’ti anāgatabhayaṃ ajānitvā gacchanto mahāvināsaṃ pāpuṇissati. Nāssa kathaṃ hadaye kātuṃ vaṭṭati, bahupakāro me esa mahāyasadāyako, imassa mayā paccayena bhavituṃ vaṭṭati. Paṭhamaṃ kho pana suvapotakaṃ pesetvā tathato ñatvā pacchā ahaṃ gamissāmī’’ti cintetvā suvapotakaṃ pesesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๖๑๑.

    611.

    ‘‘ตโต จ โส อปกฺกมฺม, เวเทหสฺส อุปนฺติกา;

    ‘‘Tato ca so apakkamma, vedehassa upantikā;

    อถ อามนฺตยี ทูตํ, มาธรํ สุวปณฺฑิตํฯ

    Atha āmantayī dūtaṃ, mādharaṃ suvapaṇḍitaṃ.

    ๖๑๒.

    612.

    ‘‘เอหิ สมฺม หริตปกฺข, เวยฺยาวจฺจํ กโรหิ เม;

    ‘‘Ehi samma haritapakkha, veyyāvaccaṃ karohi me;

    อตฺถิ ปญฺจาลราชสฺส, สาฬิกา สยนปาลิกาฯ

    Atthi pañcālarājassa, sāḷikā sayanapālikā.

    ๖๑๓.

    613.

    ‘‘ตํ พนฺธเนน ปุจฺฉสฺสุ, สา หิ สพฺพสฺส โกวิทา;

    ‘‘Taṃ bandhanena pucchassu, sā hi sabbassa kovidā;

    สา เตสํ สพฺพํ ชานาติ, รโญฺญ จ โกสิยสฺส จฯ

    Sā tesaṃ sabbaṃ jānāti, rañño ca kosiyassa ca.

    ๖๑๔.

    614.

    ‘‘อาโมติ โส ปฎิสฺสุตฺวา, มาธโร สุวปณฺฑิโต;

    ‘‘Āmoti so paṭissutvā, mādharo suvapaṇḍito;

    อคมาสิ หริตปโกฺข, สาฬิกาย อุปนฺติกํฯ

    Agamāsi haritapakkho, sāḷikāya upantikaṃ.

    ๖๑๕.

    615.

    ‘‘ตโต จ โข โส คนฺตฺวาน, มาธโร สุวปณฺฑิโต;

    ‘‘Tato ca kho so gantvāna, mādharo suvapaṇḍito;

    อถามนฺตยิ สุฆรํ, สาฬิกํ มญฺชุภาณิกํฯ

    Athāmantayi sugharaṃ, sāḷikaṃ mañjubhāṇikaṃ.

    ๖๑๖.

    616.

    ‘‘กจฺจิ เต สุฆเร ขมนียํ, กจฺจิ เวเสฺส อนามยํ;

    ‘‘Kacci te sughare khamanīyaṃ, kacci vesse anāmayaṃ;

    กจฺจิ เต มธุนา ลาชา, ลพฺภเต สุฆเร ตุวํฯ

    Kacci te madhunā lājā, labbhate sughare tuvaṃ.

    ๖๑๗.

    617.

    ‘‘กุสลเญฺจว เม สมฺม, อโถ สมฺม อนามยํ;

    ‘‘Kusalañceva me samma, atho samma anāmayaṃ;

    อโถ เม มธุนา ลาชา, ลพฺภเต สุวปณฺฑิตฯ

    Atho me madhunā lājā, labbhate suvapaṇḍita.

    ๖๑๘.

    618.

    ‘‘กุโต นุ สมฺม อาคมฺม, กสฺส วา ปหิโต ตุวํ;

    ‘‘Kuto nu samma āgamma, kassa vā pahito tuvaṃ;

    น จ เมสิ อิโต ปุเพฺพ, ทิโฎฺฐ วา ยทิ วา สุโต’’ติฯ

    Na ca mesi ito pubbe, diṭṭho vā yadi vā suto’’ti.

    ตตฺถ หริตปกฺขาติ หริตปตฺตสมานปกฺขาฯ เวยฺยาวจฺจนฺติ ‘‘เอหิ, สมฺมา’’ติ วุเตฺต อาคนฺตฺวา อเงฺก นิสินฺนํ ‘‘สมฺม, อเญฺญน มนุสฺสภูเตน กาตุํ อสกฺกุเณยฺยํ มเมกํ เวยฺยาวฎิกํ กโรหี’’ติ อาหฯ

    Tattha haritapakkhāti haritapattasamānapakkhā. Veyyāvaccanti ‘‘ehi, sammā’’ti vutte āgantvā aṅke nisinnaṃ ‘‘samma, aññena manussabhūtena kātuṃ asakkuṇeyyaṃ mamekaṃ veyyāvaṭikaṃ karohī’’ti āha.

    ‘‘กิํ กโรมิ, เทวา’’ติ วุเตฺต ‘‘สมฺม, เกวฎฺฎพฺราหฺมณสฺส ทูเตเยฺยนาคตการณํ ฐเปตฺวา ราชานญฺจ เกวฎฺฎญฺจ อเญฺญ น ชานนฺติ, อุโภว รโญฺญ สยนคเพฺภ นิสินฺนา มนฺตยิํสุฯ ตสฺส ปน อตฺถิ ปญฺจาลราชสฺส สาฬิกา สยนปาลิกาฯ สา กิร ตํ รหสฺสํ ชานาติ, ตฺวํ ตตฺถ คนฺตฺวา ตาย สทฺธิํ เมถุนปฎิสํยุตฺตํ วิสฺสาสํ กตฺวา เตสํ ตํ รหสฺสํ พนฺธเนน ปุจฺฉสฺสุฯ ตํ สาฬิกํ ปฎิจฺฉเนฺน ปเทเส ยถา ตํ โกจิ น ชานาติ, เอวํ ปุจฺฉฯ สเจ หิ เต โกจิ สทฺทํ สุณาติ, ชีวิตํ เต นตฺถิ, ตสฺมา ปฎิจฺฉเนฺน ฐาเน สณิกํ ปุจฺฉา’’ติฯ สา เตสํ สพฺพนฺติ สา เตสํ รโญฺญ จ โกสิยโคตฺตสฺส จ เกวฎฺฎสฺสาติ ทฺวินฺนมฺปิ ชนานํ สพฺพํ รหสฺสํ ชานาติฯ

    ‘‘Kiṃ karomi, devā’’ti vutte ‘‘samma, kevaṭṭabrāhmaṇassa dūteyyenāgatakāraṇaṃ ṭhapetvā rājānañca kevaṭṭañca aññe na jānanti, ubhova rañño sayanagabbhe nisinnā mantayiṃsu. Tassa pana atthi pañcālarājassa sāḷikā sayanapālikā. Sā kira taṃ rahassaṃ jānāti, tvaṃ tattha gantvā tāya saddhiṃ methunapaṭisaṃyuttaṃ vissāsaṃ katvā tesaṃ taṃ rahassaṃ bandhanena pucchassu. Taṃ sāḷikaṃ paṭicchanne padese yathā taṃ koci na jānāti, evaṃ puccha. Sace hi te koci saddaṃ suṇāti, jīvitaṃ te natthi, tasmā paṭicchanne ṭhāne saṇikaṃ pucchā’’ti. Sā tesaṃ sabbanti sā tesaṃ rañño ca kosiyagottassa ca kevaṭṭassāti dvinnampi janānaṃ sabbaṃ rahassaṃ jānāti.

    อาโมตีติ ภิกฺขเว, โส สุวโปตโก ปณฺฑิเตน ปุริมนเยเนว สกฺการํ กตฺวา เปสิโต ‘‘อาโม’’ติ ตสฺส ปฎิสฺสุตฺวา มหาสตฺตํ วนฺทิตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา วิวฎสีหปญฺชเรน นิกฺขมิตฺวา วาตเวเคน สิวิรเฎฺฐ อริฎฺฐปุรํ นาม คนฺตฺวา ตตฺถ ปวตฺติํ สลฺลเกฺขตฺวา สาฬิกาย สนฺติกํ คโตฯ กถํ? โส หิ ราชนิเวสนสฺส กญฺจนถุปิกาย นิสีทิตฺวา ราคนิสฺสิตํ มธุรรวํ รวิฯ กิํ การณา? อิมํ สทฺทํ สุตฺวา สาฬิกา ปฎิรวิสฺสติ, ตาย สญฺญาย ตสฺสา สนฺติกํ คมิสฺสามีติฯ สาปิ ตสฺส สทฺทํ สุตฺวา ราชสยนสฺส สนฺติเก สุวณฺณปญฺชเร นิสินฺนา ราครตฺตจิตฺตา หุตฺวา ติกฺขตฺตุํ ปฎิรวิฯ โส โถกํ คนฺตฺวา ปุนปฺปุนํ สทฺทํ กตฺวา ตาย กตสทฺทานุสาเรน กเมน สีหปญฺชรอุมฺมาเร ฐตฺวา ปริสฺสยาภาวํ โอโลเกตฺวา ตสฺสา สนฺติกํ คโตฯ อถ นํ สา ‘‘เอหิ, สมฺม, สุวณฺณปญฺชเร นิสีทา’’ติ อาหฯ โส คนฺตฺวา นิสีทิฯ อามนฺตยีติ เอวํ โส คนฺตฺวา เมถุนปฎิสํยุตฺตํ วิสฺสาสํ กตฺตุกาโม หุตฺวา ตํ อามเนฺตสิฯ สุฆรนฺติ กญฺจนปญฺชเร วสนตาย สุนฺทรฆรํฯ เวเสฺสติ เวสฺสิเก เวสฺสชาติเกฯ สาฬิกา กิร สกุเณสุ เวสฺสชาติกา นาม, เตน ตํ เอวํ อาลปติฯ ตุวนฺติ สุฆเร ตํ ปุจฺฉามิ ‘‘กจฺจิ เต มธุนา สทฺธิํ ลาชา ลพฺภตี’’ติฯ อาคมฺมาติ สมฺม, กุโต อาคนฺตฺวา อิธ ปวิโฎฺฐติ ปุจฺฉติฯ กสฺส วาติ เกน วา เปสิโต ตฺวํ อิธาคโตติฯ

    Āmotīti bhikkhave, so suvapotako paṇḍitena purimanayeneva sakkāraṃ katvā pesito ‘‘āmo’’ti tassa paṭissutvā mahāsattaṃ vanditvā padakkhiṇaṃ katvā vivaṭasīhapañjarena nikkhamitvā vātavegena siviraṭṭhe ariṭṭhapuraṃ nāma gantvā tattha pavattiṃ sallakkhetvā sāḷikāya santikaṃ gato. Kathaṃ? So hi rājanivesanassa kañcanathupikāya nisīditvā rāganissitaṃ madhuraravaṃ ravi. Kiṃ kāraṇā? Imaṃ saddaṃ sutvā sāḷikā paṭiravissati, tāya saññāya tassā santikaṃ gamissāmīti. Sāpi tassa saddaṃ sutvā rājasayanassa santike suvaṇṇapañjare nisinnā rāgarattacittā hutvā tikkhattuṃ paṭiravi. So thokaṃ gantvā punappunaṃ saddaṃ katvā tāya katasaddānusārena kamena sīhapañjaraummāre ṭhatvā parissayābhāvaṃ oloketvā tassā santikaṃ gato. Atha naṃ sā ‘‘ehi, samma, suvaṇṇapañjare nisīdā’’ti āha. So gantvā nisīdi. Āmantayīti evaṃ so gantvā methunapaṭisaṃyuttaṃ vissāsaṃ kattukāmo hutvā taṃ āmantesi. Sugharanti kañcanapañjare vasanatāya sundaragharaṃ. Vesseti vessike vessajātike. Sāḷikā kira sakuṇesu vessajātikā nāma, tena taṃ evaṃ ālapati. Tuvanti sughare taṃ pucchāmi ‘‘kacci te madhunā saddhiṃ lājā labbhatī’’ti. Āgammāti samma, kuto āgantvā idha paviṭṭhoti pucchati. Kassa vāti kena vā pesito tvaṃ idhāgatoti.

    โส ตสฺสา วจนํ สุตฺวา ‘‘สจาหํ ‘มิถิลโต อาคโต’ติ วกฺขามิ, เอสา มรณมาปนฺนาปิ มยา สทฺธิํ วิสฺสาสํ น กริสฺสติฯ สิวิรเฎฺฐ โข ปน อริฎฺฐปุรํ สลฺลเกฺขตฺวา อาคโต, ตสฺมา มุสาวาทํ กตฺวา สิวิราเชน เปสิโต หุตฺวา ตโต อาคตภาวํ กเถสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    So tassā vacanaṃ sutvā ‘‘sacāhaṃ ‘mithilato āgato’ti vakkhāmi, esā maraṇamāpannāpi mayā saddhiṃ vissāsaṃ na karissati. Siviraṭṭhe kho pana ariṭṭhapuraṃ sallakkhetvā āgato, tasmā musāvādaṃ katvā sivirājena pesito hutvā tato āgatabhāvaṃ kathessāmī’’ti cintetvā āha –

    ๖๑๙.

    619.

    ‘‘อโหสิํ สิวิราชสฺส, ปาสาเท สยนปาลโก;

    ‘‘Ahosiṃ sivirājassa, pāsāde sayanapālako;

    ตโต โส ธมฺมิโก ราชา, พเทฺธ โมเจสิ พนฺธนา’’ติฯ

    Tato so dhammiko rājā, baddhe mocesi bandhanā’’ti.

    ตตฺถ พเทฺธติ อตฺตโน ธมฺมิกตาย สเพฺพ พทฺธเก พนฺธนา โมเจสิฯ เอวํ โมเจโนฺต มมฺปิ สทฺทหิตฺวา ‘‘มุญฺจถ น’’นฺติ โมจาเปสิฯ โสหํ วิวฎา สุวณฺณปญฺชรา นิกฺขมิตฺวาปิ พหิปาสาเท ยตฺถิจฺฉามิ, ตตฺถ โคจรํ คเหตฺวา สุวณฺณปญฺชเรเยว วสามิฯ ยถา ตฺวํ, น เอวํ นิจฺจกาลํ ปญฺชเรเยว อจฺฉามีติฯ

    Tattha baddheti attano dhammikatāya sabbe baddhake bandhanā mocesi. Evaṃ mocento mampi saddahitvā ‘‘muñcatha na’’nti mocāpesi. Sohaṃ vivaṭā suvaṇṇapañjarā nikkhamitvāpi bahipāsāde yatthicchāmi, tattha gocaraṃ gahetvā suvaṇṇapañjareyeva vasāmi. Yathā tvaṃ, na evaṃ niccakālaṃ pañjareyeva acchāmīti.

    อถสฺส สา อตฺตโน อตฺถาย สุวณฺณตฎฺฎเก ฐปิเต มธุลาเช เจว มธุโรทกญฺจ ทตฺวา ‘‘สมฺม, ตฺวํ ทูรโต อาคโต, เกนเตฺถน อิธาคโตสี’’ติ ปุจฺฉิฯ โส ตสฺสา วจนํ สุตฺวา รหสฺสํ โสตุกาโม มุสาวาทํ กตฺวา อาห –

    Athassa sā attano atthāya suvaṇṇataṭṭake ṭhapite madhulāje ceva madhurodakañca datvā ‘‘samma, tvaṃ dūrato āgato, kenatthena idhāgatosī’’ti pucchi. So tassā vacanaṃ sutvā rahassaṃ sotukāmo musāvādaṃ katvā āha –

    ๖๒๐.

    620.

    ‘‘ตสฺส เมกา ทุติยาสิ, สาฬิกา มญฺชุภาณิกา;

    ‘‘Tassa mekā dutiyāsi, sāḷikā mañjubhāṇikā;

    ตํ ตตฺถ อวธี เสโน, เปกฺขโต สุฆเร มมา’’ติฯ

    Taṃ tattha avadhī seno, pekkhato sughare mamā’’ti.

    ตตฺถ ตสฺส เมกาติ ตสฺส มยฺหํ เอกาฯ ทุติยาสีติ ปุราณทุติยิกา อโหสิฯ

    Tattha tassa mekāti tassa mayhaṃ ekā. Dutiyāsīti purāṇadutiyikā ahosi.

    อถ นํ สา ปุจฺฉิ ‘‘กถํ ปน เต ภริยํ เสโน อวธี’’ติ? โส ตสฺสา อาจิกฺขโนฺต ‘‘สุณ ภเทฺท, เอกทิวสํ อมฺหากํ ราชา อุทกกีฬํ คจฺฉโนฺต มมฺปิ ปโกฺกสิฯ อถาหํ ภริยํ อาทาย เตน สทฺธิํ คนฺตฺวา กีฬิตฺวา สายนฺหสมเย เตเนว สทฺธิํ ปจฺจาคนฺตฺวา รญฺญา สทฺธิํเยว ปาสาทํ อภิรุยฺห สรีรํ สุกฺขาปนตฺถาย ภริยํ อาทาย สีหปญฺชเรน นิกฺขมิตฺวา กูฎาคารกุจฺฉิยํ นิสีทิํฯ ตสฺมิํ ขเณ เอโก เสโน กูฎาคารา นิกฺขโนฺต อเมฺห คณฺหิตุํ ปกฺขนฺทิฯ อหํ มรณภยภีโต เวเคน ปลายิํฯ สา ปน ตทา ครุคพฺภา อโหสิ, ตสฺมา เวเคน ปลายิตุํ นาสกฺขิฯ อถ โส มยฺหํ ปสฺสนฺตเสฺสว ตํ มาเรตฺวา อาทาย คโตฯ อถ มํ ตสฺสา โสเกน โรทมานํ ทิสฺวา อมฺหากํ ราชา ‘สมฺม, กิํ โรทสี’ติ ปุจฺฉิตฺวา ตมตฺถํ สุตฺวา ‘มา พาฬฺหํ, สมฺม, โรทสิ, อญฺญํ ภริยํ ปริเยสาหี’ติ วตฺวา ‘กิํ, เทว, อญฺญาย อนาจาราย ทุสฺสีลาย ภริยาย อานีตาย, ตโตปิ เอกเกเนว จริตุํ วร’นฺติ วุเตฺต ‘สมฺม, อหํ เอกํ สกุณิกํ สีลาจารสมฺปนฺนํ อโสฺสสิํ, ตว ภริยาย สทิสเมวฯ จูฬนิราชสฺส หิ สยนปาลิกา สาฬิกา เอวรูปา, ตฺวํ ตตฺถ คนฺตฺวา ตสฺสา มนํ ปุจฺฉิตฺวา โอกาสํ กาเรตฺวา สเจ เต รุจฺจติ, อาคนฺตฺวา อมฺหากํ อาจิกฺขฯ อถาหํ โว วิวาหํ กตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน ตํ อาเนสฺสามา’ติ วตฺวา มํ อิธ ปหิณิ, เตนมฺหิ การเณนาคโต’’ติ วตฺวา คาถํ อาห –

    Atha naṃ sā pucchi ‘‘kathaṃ pana te bhariyaṃ seno avadhī’’ti? So tassā ācikkhanto ‘‘suṇa bhadde, ekadivasaṃ amhākaṃ rājā udakakīḷaṃ gacchanto mampi pakkosi. Athāhaṃ bhariyaṃ ādāya tena saddhiṃ gantvā kīḷitvā sāyanhasamaye teneva saddhiṃ paccāgantvā raññā saddhiṃyeva pāsādaṃ abhiruyha sarīraṃ sukkhāpanatthāya bhariyaṃ ādāya sīhapañjarena nikkhamitvā kūṭāgārakucchiyaṃ nisīdiṃ. Tasmiṃ khaṇe eko seno kūṭāgārā nikkhanto amhe gaṇhituṃ pakkhandi. Ahaṃ maraṇabhayabhīto vegena palāyiṃ. Sā pana tadā garugabbhā ahosi, tasmā vegena palāyituṃ nāsakkhi. Atha so mayhaṃ passantasseva taṃ māretvā ādāya gato. Atha maṃ tassā sokena rodamānaṃ disvā amhākaṃ rājā ‘samma, kiṃ rodasī’ti pucchitvā tamatthaṃ sutvā ‘mā bāḷhaṃ, samma, rodasi, aññaṃ bhariyaṃ pariyesāhī’ti vatvā ‘kiṃ, deva, aññāya anācārāya dussīlāya bhariyāya ānītāya, tatopi ekakeneva carituṃ vara’nti vutte ‘samma, ahaṃ ekaṃ sakuṇikaṃ sīlācārasampannaṃ assosiṃ, tava bhariyāya sadisameva. Cūḷanirājassa hi sayanapālikā sāḷikā evarūpā, tvaṃ tattha gantvā tassā manaṃ pucchitvā okāsaṃ kāretvā sace te ruccati, āgantvā amhākaṃ ācikkha. Athāhaṃ vo vivāhaṃ katvā mahantena parivārena taṃ ānessāmā’ti vatvā maṃ idha pahiṇi, tenamhi kāraṇenāgato’’ti vatvā gāthaṃ āha –

    ๖๒๑.

    621.

    ‘‘ตสฺสา กามา หิ สมฺมโตฺต, อาคโตสฺมิ ตวนฺติ เก;

    ‘‘Tassā kāmā hi sammatto, āgatosmi tavanti ke;

    สเจ กเรยฺย โอกาสํ, อุภโยว วสามเส’’ติฯ

    Sace kareyya okāsaṃ, ubhayova vasāmase’’ti.

    สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา โสมนสฺสปฺปตฺตา อโหสิฯ เอวํ สเนฺตปิ อตฺตโน ปิยภาวํ อชานาเปตฺวา อนิจฺฉมานา วิย อาห –

    Sā tassa vacanaṃ sutvā somanassappattā ahosi. Evaṃ santepi attano piyabhāvaṃ ajānāpetvā anicchamānā viya āha –

    ๖๒๒.

    622.

    ‘‘สุโวว สุวิํ กาเมยฺย, สาฬิโก ปน สาฬิกํ;

    ‘‘Suvova suviṃ kāmeyya, sāḷiko pana sāḷikaṃ;

    สุวสฺส สาฬิกาเยว, สํวาโส โหติ กีทิโส’’ติฯ

    Suvassa sāḷikāyeva, saṃvāso hoti kīdiso’’ti.

    ตตฺถ สุโวติ สมฺม สุวปณฺฑิต, สุโวว สุวิํ กาเมยฺยฯ กีทิโสติ อสมานชาติกานํ สํวาโส นาม กีทิโส โหติฯ สุโว หิ สมานชาติกํ สุวิํ ทิสฺวา จิรสนฺถวมฺปิ สาฬิกํ ชหิสฺสติ, โส ปิยวิปฺปโยโค มหโต ทุกฺขาย ภวิสฺสติ, อสมานชาติกานํ สํวาโส นาม น สเมตีติฯ

    Tattha suvoti samma suvapaṇḍita, suvova suviṃ kāmeyya. Kīdisoti asamānajātikānaṃ saṃvāso nāma kīdiso hoti. Suvo hi samānajātikaṃ suviṃ disvā cirasanthavampi sāḷikaṃ jahissati, so piyavippayogo mahato dukkhāya bhavissati, asamānajātikānaṃ saṃvāso nāma na sametīti.

    อิตโร ตํ สุตฺวา ‘‘อยํ มํ น ปฎิกฺขิปติ, ปริหารเมว กโรติ, อทฺธา มํ อิจฺฉิสฺสติ, นานาวิธาหิ นํ อุปมาหิ สทฺทหาเปสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Itaro taṃ sutvā ‘‘ayaṃ maṃ na paṭikkhipati, parihārameva karoti, addhā maṃ icchissati, nānāvidhāhi naṃ upamāhi saddahāpessāmī’’ti cintetvā āha –

    ๖๒๓.

    623.

    ‘‘โยยํ กาเม กามยติ, อปิ จณฺฑาลิกามปิ;

    ‘‘Yoyaṃ kāme kāmayati, api caṇḍālikāmapi;

    สโพฺพ หิ สทิโส โหติ, นตฺถิ กาเม อสาทิโส’’ติฯ

    Sabbo hi sadiso hoti, natthi kāme asādiso’’ti.

    ตตฺถ จณฺฑาลิกามปีติ จณฺฑาลิกํ อปิฯ สทิโสติ จิตฺตสทิสตาย สโพฺพ สํวาโส สทิโสว โหติฯ กามสฺมิญฺหิ จิตฺตเมว ปมาณํ, น ชาตีติฯ

    Tattha caṇḍālikāmapīti caṇḍālikaṃ api. Sadisoti cittasadisatāya sabbo saṃvāso sadisova hoti. Kāmasmiñhi cittameva pamāṇaṃ, na jātīti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา มนุเสฺสสุ ตาว นานาชาติกานํ สมานภาวทสฺสนตฺถํ อตีตํ อาหริตฺวา ทเสฺสโนฺต อนนฺตรํ คาถมาห –

    Evañca pana vatvā manussesu tāva nānājātikānaṃ samānabhāvadassanatthaṃ atītaṃ āharitvā dassento anantaraṃ gāthamāha –

    ๖๒๔.

    624.

    ‘‘อตฺถิ ชมฺปาวตี นาม, มาตา สิวิสฺส ราชิโน;

    ‘‘Atthi jampāvatī nāma, mātā sivissa rājino;

    สา ภริยา วาสุเทวสฺส, กณฺหสฺส มเหสี ปิยา’’ติฯ

    Sā bhariyā vāsudevassa, kaṇhassa mahesī piyā’’ti.

    ตตฺถ ชมฺปาวตีติ สิวิรโญฺญ มาตา ชมฺปาวตี นาม จณฺฑาลี อโหสิฯ สา กณฺหายนโคตฺตสฺส ทสภาติกานํ เชฎฺฐกสฺส วาสุเทวสฺส ปิยา มเหสี อโหสิฯ โส กิเรกทิวสํ ทฺวารวติโต นิกฺขมิตฺวา อุยฺยานํ คจฺฉโนฺต นครํ ปวิสนฺติํ เอกมเนฺต ฐิตํ อภิรูปํ เอกํ จณฺฑาลิกํ ทิสฺวาว ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา ‘‘กิํ ชาติกา’’ติ ปุจฺฉาเปตฺวา ‘‘จณฺฑาลชาติกา’’ติ สุตฺวาปิ ปฎิพทฺธจิตฺตตาย อสามิกภาวํ ปุจฺฉาเปตฺวา ‘‘อสามิกา’’ติ สุตฺวา ตํ อาทาย ตโต นิวตฺติตฺวา นิเวสนํ เนตฺวา อคฺคมเหสิํ อกาสิฯ สา สิวิํ นาม ปุตฺตํ วิชายิฯ โส ปิตุ อจฺจเยน ทฺวารวติยํ รชฺชํ กาเรสิฯ ตํ สนฺธาเยตํ วุตฺตํฯ

    Tattha jampāvatīti sivirañño mātā jampāvatī nāma caṇḍālī ahosi. Sā kaṇhāyanagottassa dasabhātikānaṃ jeṭṭhakassa vāsudevassa piyā mahesī ahosi. So kirekadivasaṃ dvāravatito nikkhamitvā uyyānaṃ gacchanto nagaraṃ pavisantiṃ ekamante ṭhitaṃ abhirūpaṃ ekaṃ caṇḍālikaṃ disvāva paṭibaddhacitto hutvā ‘‘kiṃ jātikā’’ti pucchāpetvā ‘‘caṇḍālajātikā’’ti sutvāpi paṭibaddhacittatāya asāmikabhāvaṃ pucchāpetvā ‘‘asāmikā’’ti sutvā taṃ ādāya tato nivattitvā nivesanaṃ netvā aggamahesiṃ akāsi. Sā siviṃ nāma puttaṃ vijāyi. So pitu accayena dvāravatiyaṃ rajjaṃ kāresi. Taṃ sandhāyetaṃ vuttaṃ.

    อิติ โส อิมํ อุทาหรณํ อาหริตฺวา ‘‘เอวรูโปปิ นาม ขตฺติโย จณฺฑาลิยา สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปสิ, อเมฺหสุ ติรจฺฉานคเตสุ กิํ วตฺตพฺพํ, อญฺญมญฺญํ สํวาสโรจนํเยว ปมาณ’’นฺติ วตฺวา อปรมฺปิ อุทาหรณํ อาหรโนฺต อาห –

    Iti so imaṃ udāharaṇaṃ āharitvā ‘‘evarūpopi nāma khattiyo caṇḍāliyā saddhiṃ saṃvāsaṃ kappesi, amhesu tiracchānagatesu kiṃ vattabbaṃ, aññamaññaṃ saṃvāsarocanaṃyeva pamāṇa’’nti vatvā aparampi udāharaṇaṃ āharanto āha –

    ๖๒๕.

    625.

    ‘‘รฎฺฐวตี กิมฺปุริสี, สาปิ วจฺฉํ อกามยิ;

    ‘‘Raṭṭhavatī kimpurisī, sāpi vacchaṃ akāmayi;

    มนุโสฺส มิคิยา สทฺธิํ, นตฺถิ กาเม อสาทิโส’’ติฯ

    Manusso migiyā saddhiṃ, natthi kāme asādiso’’ti.

    ตตฺถ วจฺฉนฺติ เอวํนามกํ ตาปสํฯ กถํ ปน สา ตํ กาเมสีติ? อตีตสฺมิญฺหิ เอโก พฺราหฺมโณ กาเมสุ อาทีนวํ ทิสฺวา มหนฺตํ ยสํ ปหาย อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา หิมวเนฺต ปณฺณสาลํ มาเปตฺวา วสิฯ ตสฺส ปณฺณสาลโต อวิทูเร เอกิสฺสา คุหาย พหู กินฺนรา วสนฺติฯ ตเตฺถว เอโก มกฺกฎโก ทฺวาเร วสติฯ โส ชาลํ วิเนตฺวา เตสํ สีสํ ภินฺทิตฺวา โลหิตํ ปิวติฯ กินฺนรา นาม ทุพฺพลา โหนฺติ ภีรุกชาติกาฯ โสปิ มกฺกฎโก อติวิสาโลฯ เต ตสฺส กิญฺจิ กาตุํ อสโกฺกนฺตา ตํ ตาปสํ อุปสงฺกมิตฺวา กตปฎิสนฺถารา อาคตการณํ ปุฎฺฐา ‘‘เทว, เอโก มกฺกฎโก ชีวิตํ โน หนติ, ตุเมฺห ฐเปตฺวา อมฺหากํ อญฺญํ ปฎิสรณํ น ปสฺสาม, ตํ มาเรตฺวา อมฺหากํ โสตฺถิภาวํ กโรหี’’ติ อาหํสุฯ ตํ สุตฺวา ตาปโส ‘‘อเปถ น มาทิสา ปาณาติปาตํ กโรนฺตี’’ติ อปสาเทสิฯ เตสุ รฎฺฐวตี นาม กินฺนรี อภิรูปา ปาสาทิกา อสามิกา อโหสิฯ เต ตํ อลงฺกริตฺวา ตาปสสฺส สนฺติกํ เนตฺวา ‘‘เทว, อยํ เต ปาทปริจาริกา โหตุ, อมฺหากํ ปจฺจามิตฺตํ วเธหี’’ติ อาหํสุฯ ตาปโส ตํ ทิสฺวาว ปฎิพทฺธจิโตฺต หุตฺวา ตาย สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปตฺวา คุหาทฺวาเร ฐตฺวา โคจรตฺถาย นิกฺขนฺตํ มกฺกฎกํ มุคฺคเรน โปเถตฺวา ชีวิตกฺขยํ ปาเปสิฯ โส ตาย สทฺธิํ สมคฺควาสํ วสโนฺต ปุตฺตธีตาหิ วฑฺฒิตฺวา ตเตฺถว กาลมกาสิฯ เอวํ สา ตํ กาเมสิฯ สุวโปตโก อิมํ อุทาหรณํ อาหริตฺวา ‘‘วจฺฉตาปโส ตาว มนุโสฺส หุตฺวา ติรจฺฉานคตาย กินฺนริยา สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปสิ, กิมงฺคํ ปน อมฺหากํ? มยญฺหิ อุโภ ปกฺขิโนว ติรจฺฉานคตาวา’’ติ ทีเปโนฺต ‘‘มนุโสฺส มิคิยา สทฺธิ’’นฺติ อาหฯ เอวํ มนุสฺสา ติรจฺฉานคตาหิ สทฺธิํ สมคฺควาสํ วสนฺติ, นตฺถิ กาเม อสาทิโส นาม, จิตฺตเมว ปมาณนฺติ กเถสิฯ

    Tattha vacchanti evaṃnāmakaṃ tāpasaṃ. Kathaṃ pana sā taṃ kāmesīti? Atītasmiñhi eko brāhmaṇo kāmesu ādīnavaṃ disvā mahantaṃ yasaṃ pahāya isipabbajjaṃ pabbajitvā himavante paṇṇasālaṃ māpetvā vasi. Tassa paṇṇasālato avidūre ekissā guhāya bahū kinnarā vasanti. Tattheva eko makkaṭako dvāre vasati. So jālaṃ vinetvā tesaṃ sīsaṃ bhinditvā lohitaṃ pivati. Kinnarā nāma dubbalā honti bhīrukajātikā. Sopi makkaṭako ativisālo. Te tassa kiñci kātuṃ asakkontā taṃ tāpasaṃ upasaṅkamitvā katapaṭisanthārā āgatakāraṇaṃ puṭṭhā ‘‘deva, eko makkaṭako jīvitaṃ no hanati, tumhe ṭhapetvā amhākaṃ aññaṃ paṭisaraṇaṃ na passāma, taṃ māretvā amhākaṃ sotthibhāvaṃ karohī’’ti āhaṃsu. Taṃ sutvā tāpaso ‘‘apetha na mādisā pāṇātipātaṃ karontī’’ti apasādesi. Tesu raṭṭhavatī nāma kinnarī abhirūpā pāsādikā asāmikā ahosi. Te taṃ alaṅkaritvā tāpasassa santikaṃ netvā ‘‘deva, ayaṃ te pādaparicārikā hotu, amhākaṃ paccāmittaṃ vadhehī’’ti āhaṃsu. Tāpaso taṃ disvāva paṭibaddhacitto hutvā tāya saddhiṃ saṃvāsaṃ kappetvā guhādvāre ṭhatvā gocaratthāya nikkhantaṃ makkaṭakaṃ muggarena pothetvā jīvitakkhayaṃ pāpesi. So tāya saddhiṃ samaggavāsaṃ vasanto puttadhītāhi vaḍḍhitvā tattheva kālamakāsi. Evaṃ sā taṃ kāmesi. Suvapotako imaṃ udāharaṇaṃ āharitvā ‘‘vacchatāpaso tāva manusso hutvā tiracchānagatāya kinnariyā saddhiṃ saṃvāsaṃ kappesi, kimaṅgaṃ pana amhākaṃ? Mayañhi ubho pakkhinova tiracchānagatāvā’’ti dīpento ‘‘manusso migiyā saddhi’’nti āha. Evaṃ manussā tiracchānagatāhi saddhiṃ samaggavāsaṃ vasanti, natthi kāme asādiso nāma, cittameva pamāṇanti kathesi.

    สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘สามิ, จิตฺตํ นาม สพฺพกาลํ เอกสทิสํ น โหติ, ปิยวิปฺปโยคสฺส ภายามี’’ติ อาหฯ โสปิ สุวโปตโก อิตฺถิมายาสุ กุสโล, เตน ตํ วีมํสโนฺต ปุน คาถมาห –

    Sā tassa vacanaṃ sutvā ‘‘sāmi, cittaṃ nāma sabbakālaṃ ekasadisaṃ na hoti, piyavippayogassa bhāyāmī’’ti āha. Sopi suvapotako itthimāyāsu kusalo, tena taṃ vīmaṃsanto puna gāthamāha –

    ๖๒๖.

    626.

    ‘‘หนฺท ขฺวาหํ คมิสฺสามิ, สาฬิเก มญฺชุภาณิเก;

    ‘‘Handa khvāhaṃ gamissāmi, sāḷike mañjubhāṇike;

    ปจฺจกฺขานุปทเญฺหตํ, อติมญฺญสิ นูน ม’’นฺติฯ

    Paccakkhānupadañhetaṃ, atimaññasi nūna ma’’nti.

    ตตฺถ ปจฺจกฺขานุปทํ เหตนฺติ ยํ ตฺวํ วเทสิ, สพฺพเมตํ ปจฺจกฺขานสฺส อนุปทํ, ปจฺจกฺขานการณํ ปจฺจกฺขานโกฎฺฐาโส ปเนสฯ อติมญฺญสิ นูน มนฺติ ‘‘นูน มํ อิจฺฉติ อย’’นฺติ ตฺวํ มํ อติกฺกมิตฺวา มญฺญสิ, มยฺหํ สารํ น ชานาสิ ฯ อหญฺหิ ราชปูชิโต, น มยฺหํ ภริยา ทุลฺลภา, อญฺญํ ภริยํ ปริเยสิสฺสามีติฯ

    Tattha paccakkhānupadaṃ hetanti yaṃ tvaṃ vadesi, sabbametaṃ paccakkhānassa anupadaṃ, paccakkhānakāraṇaṃ paccakkhānakoṭṭhāso panesa. Atimaññasi nūna manti ‘‘nūna maṃ icchati aya’’nti tvaṃ maṃ atikkamitvā maññasi, mayhaṃ sāraṃ na jānāsi . Ahañhi rājapūjito, na mayhaṃ bhariyā dullabhā, aññaṃ bhariyaṃ pariyesissāmīti.

    สา ตสฺส วจนํ สุตฺวาว ภิชฺชมานหทยา วิย ตสฺส สห ทสฺสเนเนว อุปฺปนฺนกามรติยา อนุฑยฺหมานา วิย หุตฺวาปิ อตฺตโน อิตฺถิมายาย อนิจฺฉมานา วิย หุตฺวา ทิยฑฺฒํ คาถมาห –

    Sā tassa vacanaṃ sutvāva bhijjamānahadayā viya tassa saha dassaneneva uppannakāmaratiyā anuḍayhamānā viya hutvāpi attano itthimāyāya anicchamānā viya hutvā diyaḍḍhaṃ gāthamāha –

    ๖๒๗.

    627.

    ‘‘น สิรี ตรมานสฺส, มาธร สุวปณฺฑิต;

    ‘‘Na sirī taramānassa, mādhara suvapaṇḍita;

    อิเธว ตาว อจฺฉสฺสุ, ยาว ราชาน ทกฺขสิ;

    Idheva tāva acchassu, yāva rājāna dakkhasi;

    โสสฺสิ สทฺทํ มุทิงฺคานํ, อานุภาวญฺจ ราชิโน’’ติฯ

    Sossi saddaṃ mudiṅgānaṃ, ānubhāvañca rājino’’ti.

    ตตฺถ น สิรีติ สมฺม สุวปณฺฑิต, ตรมานสฺส สิรี นาม น โหติ, ตรมาเนน กตกมฺมํ น โสภติ, ‘‘ฆราวาโส จ นาเมส อติครุโก’’ติ จิเนฺตตฺวา ตุเลตฺวา กาตโพฺพฯ อิเธว ตาว อจฺฉสฺสุ, ยาว มหเนฺตน ยเสน สมนฺนาคตํ อมฺหากํ ราชานํ ปสฺสิสฺสสิฯ โสสฺสีติ สายนฺหสมเย กินฺนริสมานลีลาหิ อุตฺตมรูปธราหิ นารีหิ วชฺชมานานํ มุทิงฺคานํ อเญฺญสญฺจ คีตวาทิตานํ สทฺทํ ตฺวํ สุณิสฺสสิ, รโญฺญ จ อานุภาวํ มหนฺตํ สิริโสภคฺคํ ปสฺสิสฺสสิฯ ‘‘สมฺม, กิํ ตฺวํ ตุริโตสิ, กิํ เลสมฺปิ น ชานาสิ, อจฺฉสฺสุ ตาว, ปจฺฉา ชานิสฺสามา’’ติฯ

    Tattha na sirīti samma suvapaṇḍita, taramānassa sirī nāma na hoti, taramānena katakammaṃ na sobhati, ‘‘gharāvāso ca nāmesa atigaruko’’ti cintetvā tuletvā kātabbo. Idheva tāva acchassu, yāva mahantena yasena samannāgataṃ amhākaṃ rājānaṃ passissasi. Sossīti sāyanhasamaye kinnarisamānalīlāhi uttamarūpadharāhi nārīhi vajjamānānaṃ mudiṅgānaṃ aññesañca gītavāditānaṃ saddaṃ tvaṃ suṇissasi, rañño ca ānubhāvaṃ mahantaṃ sirisobhaggaṃ passissasi. ‘‘Samma, kiṃ tvaṃ turitosi, kiṃ lesampi na jānāsi, acchassu tāva, pacchā jānissāmā’’ti.

    อถ เต สายนฺหสมนนฺตเร เมถุนสํวาสํ กริํสุ, สมคฺคา สโมฺมทมานา ปิยสํวาสํ วสิํสุฯ อถ นํ สุวโปตโก ‘‘น อิทาเนสา มยฺหํ รหสฺสํ คุหิสฺสติ, อิทานิ นํ ปุจฺฉิตฺวา คนฺตุํ วฎฺฎตี’’ติ จิเนฺตตฺวา ‘‘สาฬิเก’’ติ อาหฯ ‘‘กิํ, สามี’’ติ? ‘‘อหํ กิญฺจิ เต วตฺตุกาโมมฺหี’’ติฯ ‘‘วท, สามี’’ติฯ ‘‘โหตุ, อชฺช อมฺหากํ มงฺคลทิวโส, อญฺญตรสฺมิํ ทิวเส ชานิสฺสามี’’ติฯ ‘‘สเจ มงฺคลปฎิสํยุตฺตา กถา ภวิสฺสติ, กเถหิฯ โน เจ, มา กเถหิ สามี’’ติฯ ‘‘มงฺคลกถาเวสา, ภเทฺท’’ติฯ ‘‘เตน หิ กเถหี’’ติฯ อถ นํ ‘‘ภเทฺท, สเจ โสตุกามา ภวิสฺสสิ, กเถสฺสามิ เต’’ติ วตฺวา ตํ รหสฺสํ ปุจฺฉโนฺต ทิยฑฺฒํ คาถมาห –

    Atha te sāyanhasamanantare methunasaṃvāsaṃ kariṃsu, samaggā sammodamānā piyasaṃvāsaṃ vasiṃsu. Atha naṃ suvapotako ‘‘na idānesā mayhaṃ rahassaṃ guhissati, idāni naṃ pucchitvā gantuṃ vaṭṭatī’’ti cintetvā ‘‘sāḷike’’ti āha. ‘‘Kiṃ, sāmī’’ti? ‘‘Ahaṃ kiñci te vattukāmomhī’’ti. ‘‘Vada, sāmī’’ti. ‘‘Hotu, ajja amhākaṃ maṅgaladivaso, aññatarasmiṃ divase jānissāmī’’ti. ‘‘Sace maṅgalapaṭisaṃyuttā kathā bhavissati, kathehi. No ce, mā kathehi sāmī’’ti. ‘‘Maṅgalakathāvesā, bhadde’’ti. ‘‘Tena hi kathehī’’ti. Atha naṃ ‘‘bhadde, sace sotukāmā bhavissasi, kathessāmi te’’ti vatvā taṃ rahassaṃ pucchanto diyaḍḍhaṃ gāthamāha –

    ๖๒๘.

    628.

    ‘‘โย นุ ขฺวายํ ติโพฺพ สโทฺท, ติโรชนปเท สุโต;

    ‘‘Yo nu khvāyaṃ tibbo saddo, tirojanapade suto;

    ธีตา ปญฺจาลราชสฺส, โอสธี วิย วณฺณินี;

    Dhītā pañcālarājassa, osadhī viya vaṇṇinī;

    ตํ ทสฺสติ วิเทหานํ, โส วิวาโห ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Taṃ dassati videhānaṃ, so vivāho bhavissatī’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – โย นุ โข อยํ สโทฺท ติโพฺพ พหโล, ติโรชนปเท สุโต ปรรเฎฺฐสุ ชนปเทสุ วิสฺสุโต ปญฺญาโต ปากโฎ ปตฺถโฎฯ กินฺติ? ธีตา ปญฺจาลราชสฺส โอสธีตารกา วิย วิโรจมานา ตาย เอว สมานวณฺณินี อตฺถิ, ตํ โส วิเทหานํ ทสฺสติ, โส วิวาโห ภวิสฺสติฯ โย โส เอวํ ปตฺถโฎ สโทฺท, อหํ ตํ สุตฺวา จิเนฺตสิํ ‘‘อยํ กุมาริกา อุตฺตมรูปธรา, วิเทหราชาปิ จูฬนิรโญฺญ ปฎิสตฺตุ อโหสิฯ อเญฺญ พหู ราชาโน จูฬนิพฺรหฺมทตฺตสฺส วสวตฺติโน สนฺติ, เตสํ อทตฺวา กิํ การณา วิเทหสฺส ธีตรํ ทสฺสตี’’ติ?

    Tassattho – yo nu kho ayaṃ saddo tibbo bahalo, tirojanapade suto pararaṭṭhesu janapadesu vissuto paññāto pākaṭo patthaṭo. Kinti? Dhītā pañcālarājassa osadhītārakā viya virocamānā tāya eva samānavaṇṇinī atthi, taṃ so videhānaṃ dassati, so vivāho bhavissati. Yo so evaṃ patthaṭo saddo, ahaṃ taṃ sutvā cintesiṃ ‘‘ayaṃ kumārikā uttamarūpadharā, videharājāpi cūḷanirañño paṭisattu ahosi. Aññe bahū rājāno cūḷanibrahmadattassa vasavattino santi, tesaṃ adatvā kiṃ kāraṇā videhassa dhītaraṃ dassatī’’ti?

    สา ตสฺส วจนํ สุตฺวา เอวมาห – ‘‘สามิ, กิํ การณา มงฺคลทิวเส อวมงฺคลํ กเถสี’’ติ? ‘‘อหํ, ภเทฺท, ‘มงฺคล’นฺติ กเถมิ, ตฺวํ ‘อวมงฺคล’นฺติ กเถสิ, กิํ นุ โข เอต’’นฺติ? ‘‘สามิ, อมิตฺตานมฺปิ เตสํ เอวรูปา มงฺคลกิริยา มา โหตู’’ติฯ ‘‘กเถหิ ตาว ภเทฺท’’ติฯ ‘‘สามิ, น สกฺกา กเถตุ’’นฺติฯ ‘‘ภเทฺท, ตยา วิทิตํ รหสฺสํ มม อกถิตกาลโต ปฎฺฐาย นตฺถิ อมฺหากํ สมคฺคสํวาโส’’ติฯ สา เตน นิปฺปีฬิยมานา ‘‘เตน หิ, สามิ, สุณาหี’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Sā tassa vacanaṃ sutvā evamāha – ‘‘sāmi, kiṃ kāraṇā maṅgaladivase avamaṅgalaṃ kathesī’’ti? ‘‘Ahaṃ, bhadde, ‘maṅgala’nti kathemi, tvaṃ ‘avamaṅgala’nti kathesi, kiṃ nu kho eta’’nti? ‘‘Sāmi, amittānampi tesaṃ evarūpā maṅgalakiriyā mā hotū’’ti. ‘‘Kathehi tāva bhadde’’ti. ‘‘Sāmi, na sakkā kathetu’’nti. ‘‘Bhadde, tayā viditaṃ rahassaṃ mama akathitakālato paṭṭhāya natthi amhākaṃ samaggasaṃvāso’’ti. Sā tena nippīḷiyamānā ‘‘tena hi, sāmi, suṇāhī’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ๖๒๙.

    629.

    ‘‘เอทิโส มา อมิตฺตานํ, วิวาโห โหตุ มาธร;

    ‘‘Ediso mā amittānaṃ, vivāho hotu mādhara;

    ยถา ปญฺจาลราชสฺส, เวเทเหน ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Yathā pañcālarājassa, vedehena bhavissatī’’ti.

    อิมํ คาถํ วตฺวา ปุน เตน ‘‘ภเทฺท, กสฺมา เอวรูปํ กถํ กเถสี’’ติ วุเตฺต ‘‘เตน หิ สุณาหิ, เอตฺถ โทสํ เต กเถสฺสามี’’ติ วตฺวา อิมํ คาถมาห –

    Imaṃ gāthaṃ vatvā puna tena ‘‘bhadde, kasmā evarūpaṃ kathaṃ kathesī’’ti vutte ‘‘tena hi suṇāhi, ettha dosaṃ te kathessāmī’’ti vatvā imaṃ gāthamāha –

    ๖๓๐.

    630.

    ‘‘อานยิตฺวาน เวเทหํ, ปญฺจาลานํ รเถสโภ;

    ‘‘Ānayitvāna vedehaṃ, pañcālānaṃ rathesabho;

    ตโต นํ ฆาตยิสฺสติ, นสฺส สขี ภวิสฺสตี’’ติฯ

    Tato naṃ ghātayissati, nassa sakhī bhavissatī’’ti.

    ตตฺถ ตโต นํ ฆาตยิสฺสตีติ ยทา โส อิมํ นครํ อาคโต ภวิสฺสติ, ตทา เตน สทฺธิํ สขิภาวํ มิตฺตธมฺมํ น กริสฺสติ, ทฎฺฐุมฺปิสฺส ธีตรํ น ทสฺสติฯ เอโก กิรสฺส ปน อตฺถธมฺมานุสาสโก มโหสธปณฺฑิโต นาม อตฺถิ, เตน สทฺธิํ ตํ ฆาเตสฺสติฯ เต อุโภ ชเน ฆาเตตฺวา ชยปานํ ปิวิสฺสามาติ เกวโฎฺฎ รญฺญา สทฺธิํ มเนฺตตฺวา ตํ คณฺหิตฺวา อาคนฺตุํ คโตติฯ

    Tattha tato naṃ ghātayissatīti yadā so imaṃ nagaraṃ āgato bhavissati, tadā tena saddhiṃ sakhibhāvaṃ mittadhammaṃ na karissati, daṭṭhumpissa dhītaraṃ na dassati. Eko kirassa pana atthadhammānusāsako mahosadhapaṇḍito nāma atthi, tena saddhiṃ taṃ ghātessati. Te ubho jane ghātetvā jayapānaṃ pivissāmāti kevaṭṭo raññā saddhiṃ mantetvā taṃ gaṇhitvā āgantuṃ gatoti.

    เอวํ สา คุยฺหมนฺตํ นิเสฺสสํ กตฺวา สุวปณฺฑิตสฺส กเถสิฯ ตํ สุตฺวา สุวปณฺฑิโต ‘‘อาจริโย เกวโฎฺฎ อุปายกุสโล, อจฺฉริยํ ตสฺส รโญฺญ เอวรูเปน อุปาเยน ฆาตน’’นฺติ เกวฎฺฎํ วเณฺณตฺวา ‘‘เอวรูเปน อวมงฺคเลน อมฺหากํ โก อโตฺถ, ตุณฺหีภูตา สยามา’’ติ วตฺวา อาคมนกมฺมสฺส นิปฺผตฺติํ ญตฺวา ตํ รตฺติํ ตาย สทฺธิํ วสิตฺวา ‘‘ภเทฺท, อหํ สิวิรฎฺฐํ คนฺตฺวา มนาปาย ภริยาย ลทฺธภาวํ สิวิรโญฺญ เทวิยา จ อาโรเจสฺสามี’’ติ คมนํ อนุชานาเปตุํ อาห –

    Evaṃ sā guyhamantaṃ nissesaṃ katvā suvapaṇḍitassa kathesi. Taṃ sutvā suvapaṇḍito ‘‘ācariyo kevaṭṭo upāyakusalo, acchariyaṃ tassa rañño evarūpena upāyena ghātana’’nti kevaṭṭaṃ vaṇṇetvā ‘‘evarūpena avamaṅgalena amhākaṃ ko attho, tuṇhībhūtā sayāmā’’ti vatvā āgamanakammassa nipphattiṃ ñatvā taṃ rattiṃ tāya saddhiṃ vasitvā ‘‘bhadde, ahaṃ siviraṭṭhaṃ gantvā manāpāya bhariyāya laddhabhāvaṃ sivirañño deviyā ca ārocessāmī’’ti gamanaṃ anujānāpetuṃ āha –

    ๖๓๑.

    631.

    ‘‘หนฺท โข มํ อนุชานาหิ, รตฺติโย สตฺตมตฺติโย;

    ‘‘Handa kho maṃ anujānāhi, rattiyo sattamattiyo;

    ยาวาหํ สิวิราชสฺส, อาโรเจมิ มเหสิโน;

    Yāvāhaṃ sivirājassa, ārocemi mahesino;

    ลโทฺธ จ เม อาวสโถ, สาฬิกาย อุปนฺติก’’นฺติฯ

    Laddho ca me āvasatho, sāḷikāya upantika’’nti.

    ตตฺถ มเหสิโนติ มเหสิยา จสฺสฯ อาวสโถติ วสนฎฺฐานํฯ อุปนฺติกนฺติ อถ เน ‘‘เอถ ตสฺสา สนฺติกํ คจฺฉามา’’ติ วตฺวา อฎฺฐเม ทิวเส อิธาเนตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน ตํ คเหตฺวา คมิสฺสามิ, ยาว มมาคมนํ, ตาว มา อุกฺกณฺฐีติฯ

    Tattha mahesinoti mahesiyā cassa. Āvasathoti vasanaṭṭhānaṃ. Upantikanti atha ne ‘‘etha tassā santikaṃ gacchāmā’’ti vatvā aṭṭhame divase idhānetvā mahantena parivārena taṃ gahetvā gamissāmi, yāva mamāgamanaṃ, tāva mā ukkaṇṭhīti.

    ตํ สุตฺวา สาฬิกา เตน วิโยคํ อนิจฺฉมานาปิ ตสฺส วจนํ ปฎิกฺขิปิตุํ อสโกฺกนฺตี อนนฺตรํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā sāḷikā tena viyogaṃ anicchamānāpi tassa vacanaṃ paṭikkhipituṃ asakkontī anantaraṃ gāthamāha –

    ๖๓๒.

    632.

    ‘‘หนฺท โข ตํ อนุชานามิ, รตฺติโย สตฺตมตฺติโย;

    ‘‘Handa kho taṃ anujānāmi, rattiyo sattamattiyo;

    สเจ ตฺวํ สตฺตรเตฺตน, นาคจฺฉสิ มมนฺติเก;

    Sace tvaṃ sattarattena, nāgacchasi mamantike;

    มเญฺญ โอกฺกนฺตสตฺตํ มํ, มตาย อาคมิสฺสสี’’ติฯ

    Maññe okkantasattaṃ maṃ, matāya āgamissasī’’ti.

    ตตฺถ มเญฺญ โอกฺกนฺตสตฺตํ มนฺติ เอวํ สเนฺต อหํ มํ อปคตชีวิตํ สลฺลเกฺขมิฯ โส ตฺวํ อฎฺฐเม ทิวเส อนาคจฺฉโนฺต มยิ มตาย อาคมิสฺสสิ, ตสฺมา มา ปปญฺจํ อกาสีติฯ

    Tattha maññe okkantasattaṃ manti evaṃ sante ahaṃ maṃ apagatajīvitaṃ sallakkhemi. So tvaṃ aṭṭhame divase anāgacchanto mayi matāya āgamissasi, tasmā mā papañcaṃ akāsīti.

    อิตโรปิ ‘‘ภเทฺท, กิํ วเทสิ, มยฺหมฺปิ อฎฺฐเม ทิวเส ตํ อปสฺสนฺตสฺส กุโต ชีวิต’’นฺติ วาจาย วตฺวา หทเยน ปน ‘‘ชีว วา ตฺวํ มร วา, กิํ ตยา มยฺห’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อุฎฺฐาย โถกํ สิวิรฎฺฐาภิมุโข คนฺตฺวา นิวตฺติตฺวา มิถิลํ คนฺตฺวา ปณฺฑิตสฺส อํสกูเฎ โอตริตฺวา มหาสเตฺตน ปน ตาย สญฺญาย อุปริปาสาทํ อาโรเปตฺวา ปุโฎฺฐ สพฺพํ ตํ ปวตฺติํ ปณฺฑิตสฺส อาโรเจสิฯ โสปิสฺส ปุริมนเยเนว สพฺพํ สกฺการมกาสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Itaropi ‘‘bhadde, kiṃ vadesi, mayhampi aṭṭhame divase taṃ apassantassa kuto jīvita’’nti vācāya vatvā hadayena pana ‘‘jīva vā tvaṃ mara vā, kiṃ tayā mayha’’nti cintetvā uṭṭhāya thokaṃ siviraṭṭhābhimukho gantvā nivattitvā mithilaṃ gantvā paṇḍitassa aṃsakūṭe otaritvā mahāsattena pana tāya saññāya uparipāsādaṃ āropetvā puṭṭho sabbaṃ taṃ pavattiṃ paṇḍitassa ārocesi. Sopissa purimanayeneva sabbaṃ sakkāramakāsi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๖๓๓.

    633.

    ‘‘ตโต จ โข โส คนฺตฺวาน, มาธโร สุวปณฺฑิโต;

    ‘‘Tato ca kho so gantvāna, mādharo suvapaṇḍito;

    มโหสธสฺส อกฺขาสิ, สาฬิกาวจนํ อิท’’นฺติฯ

    Mahosadhassa akkhāsi, sāḷikāvacanaṃ ida’’nti.

    ตตฺถ สาฬิกาวจนํ อิทนฺติ อิทํ สาฬิกาย วจนนฺติ สพฺพํ วิตฺถาเรตฺวา กเถสีติฯ

    Tattha sāḷikāvacanaṃ idanti idaṃ sāḷikāya vacananti sabbaṃ vitthāretvā kathesīti.

    สุวขณฺฑํ นิฎฺฐิตํฯ

    Suvakhaṇḍaṃ niṭṭhitaṃ.

    มหาอุมงฺคกณฺฑํ

    Mahāumaṅgakaṇḍaṃ

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต จิเนฺตสิ ‘‘ราชา มม อนิจฺฉมานเสฺสว คมิสฺสติ, คนฺตฺวา จ ปน มหาวินาสํ ปาปุณิสฺสติฯ อถ มยฺหํ ‘เอวรูปสฺส นาม ยสทายกสฺส รโญฺญ วจนํ หทเย กตฺวา ตสฺส สงฺคหํ นากาสี’ติ ครหาปิ อุปฺปชฺชิสฺสติ, มาทิเส ปณฺฑิเต วิชฺชมาเน กิํการณา เอส นสฺสิสฺสติ, อหํ รโญฺญ ปุเรตรเมว คนฺตฺวา จูฬนิํ ทิสฺวา สุวิภตฺตํ กตฺวา วิเทหรโญฺญ นิวาสตฺถาย นครํ มาเปตฺวา คาวุตมตฺตํ ชงฺฆอุมงฺคํ, อฑฺฒโยชนิกญฺจ มหาอุมงฺคํ, กาเรตฺวา จูฬนิรโญฺญ ธีตรํ อภิสิญฺจิตฺวา อมฺหากํ รโญฺญปาทปริจาริกํ กตฺวา อฎฺฐารสอโกฺขภณิสเงฺขหิ พเลหิ เอกสตราชูสุ ปริวาเรตฺวา ฐิเตเสฺวว อมฺหากํ ราชานํ ราหุมุขโต จนฺทํ วิย โมเจตฺวา อาทายาคมนํ นาม มม ภาโร’’ติฯ ตเสฺสวํ จิเนฺตนฺตสฺส สรีเร ปีติ อุปฺปชฺชิฯ โส ปีติเวเคน อุทานํ อุทาเนโนฺต อิมํ อุปฑฺฒคาถมาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto cintesi ‘‘rājā mama anicchamānasseva gamissati, gantvā ca pana mahāvināsaṃ pāpuṇissati. Atha mayhaṃ ‘evarūpassa nāma yasadāyakassa rañño vacanaṃ hadaye katvā tassa saṅgahaṃ nākāsī’ti garahāpi uppajjissati, mādise paṇḍite vijjamāne kiṃkāraṇā esa nassissati, ahaṃ rañño puretarameva gantvā cūḷaniṃ disvā suvibhattaṃ katvā videharañño nivāsatthāya nagaraṃ māpetvā gāvutamattaṃ jaṅghaumaṅgaṃ, aḍḍhayojanikañca mahāumaṅgaṃ, kāretvā cūḷanirañño dhītaraṃ abhisiñcitvā amhākaṃ raññopādaparicārikaṃ katvā aṭṭhārasaakkhobhaṇisaṅkhehi balehi ekasatarājūsu parivāretvā ṭhitesveva amhākaṃ rājānaṃ rāhumukhato candaṃ viya mocetvā ādāyāgamanaṃ nāma mama bhāro’’ti. Tassevaṃ cintentassa sarīre pīti uppajji. So pītivegena udānaṃ udānento imaṃ upaḍḍhagāthamāha –

    ๖๓๔.

    634.

    ‘‘ยเสฺสว ฆเร ภุเญฺชยฺย โภคํ, ตเสฺสว อตฺถํ ปุริโส จเรยฺยา’’ติฯ

    ‘‘Yasseva ghare bhuñjeyya bhogaṃ, tasseva atthaṃ puriso careyyā’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – ยสฺส รโญฺญ สนฺติเก ปุริโส มหนฺตํ อิสฺสริยํ ลภิตฺวา โภคํ ภุเญฺชยฺย, อโกฺกสนฺตสฺสปิ ปหรนฺตสฺสปิ คเล คเหตฺวา นิกฺกฑฺฒนฺตสฺสปิ ตเสฺสว อตฺถํ หิตํ วุฑฺฒิํ ปณฺฑิโต กายทฺวาราทีหิ ตีหิ ทฺวาเรหิ จเรยฺยฯ น หิ มิตฺตทุพฺภิกมฺมํ ปณฺฑิเตหิ กาตพฺพนฺติฯ

    Tassattho – yassa rañño santike puriso mahantaṃ issariyaṃ labhitvā bhogaṃ bhuñjeyya, akkosantassapi paharantassapi gale gahetvā nikkaḍḍhantassapi tasseva atthaṃ hitaṃ vuḍḍhiṃ paṇḍito kāyadvārādīhi tīhi dvārehi careyya. Na hi mittadubbhikammaṃ paṇḍitehi kātabbanti.

    อิติ จิเนฺตตฺวา โส นฺหตฺวา อลงฺกริตฺวา มหเนฺตน ยเสน ราชกุลํ คนฺตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ ฐิโต อาห – ‘‘กิํ, เทว, คจฺฉิสฺสถ อุตฺตรปญฺจาลนคร’’นฺติ? ‘‘อาม, ตาต, ปญฺจาลจนฺทิํ อลภนฺตสฺส มม กิํ รเชฺชน, มา มํ ปริจฺจชิ, มยา สทฺธิํเยว เอหิฯ ตตฺถ อมฺหากํ คตการณา เทฺว อตฺถา นิปฺผชฺชิสฺสนฺติ, อิตฺถิรตนญฺจ ลจฺฉามิ, รญฺญา จ เม สทฺธิํ เมตฺติ ปติฎฺฐหิสฺสตี’’ติฯ อถ นํ ปณฺฑิโต ‘‘เตน หิ, เทว, อหํ ปุเร คนฺตฺวา ตุมฺหากํ นิเวสนานิ มาเปสฺสามิ, ตุเมฺห มยา ปหิตสาสเนน อาคเจฺฉยฺยาถา’’ติ วทโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –

    Iti cintetvā so nhatvā alaṅkaritvā mahantena yasena rājakulaṃ gantvā rājānaṃ vanditvā ekamantaṃ ṭhito āha – ‘‘kiṃ, deva, gacchissatha uttarapañcālanagara’’nti? ‘‘Āma, tāta, pañcālacandiṃ alabhantassa mama kiṃ rajjena, mā maṃ pariccaji, mayā saddhiṃyeva ehi. Tattha amhākaṃ gatakāraṇā dve atthā nipphajjissanti, itthiratanañca lacchāmi, raññā ca me saddhiṃ metti patiṭṭhahissatī’’ti. Atha naṃ paṇḍito ‘‘tena hi, deva, ahaṃ pure gantvā tumhākaṃ nivesanāni māpessāmi, tumhe mayā pahitasāsanena āgaccheyyāthā’’ti vadanto dve gāthā abhāsi –

    ‘‘หนฺทาหํ คจฺฉามิ ปุเร ชนินฺท, ปญฺจาลราชสฺส ปุรํ สุรมฺมํ;

    ‘‘Handāhaṃ gacchāmi pure janinda, pañcālarājassa puraṃ surammaṃ;

    นิเวสนานิ มาเปตุํ, เวเทหสฺส ยสสฺสิโนฯ

    Nivesanāni māpetuṃ, vedehassa yasassino.

    ๖๓๕.

    635.

    ‘‘นิเวสนานิ มาเปตฺวา, เวเทหสฺส ยสสฺสิโน;

    ‘‘Nivesanāni māpetvā, vedehassa yasassino;

    ยทา เต ปหิเณยฺยามิ, ตทา เอยฺยาสิ ขตฺติยา’’ติฯ

    Yadā te pahiṇeyyāmi, tadā eyyāsi khattiyā’’ti.

    ตตฺถ เวเทหสฺสาติ ตว วิเทหราชสฺสฯ เอยฺยาสีติ อาคเจฺฉยฺยาสีติฯ

    Tattha vedehassāti tava videharājassa. Eyyāsīti āgaccheyyāsīti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘น กิร มํ ปณฺฑิโต ปริจฺจชตี’’ติ หฎฺฐตุโฎฺฐ หุตฺวา อาห – ‘‘ตาต, ตว ปุเร คจฺฉนฺตสฺส กิํ ลทฺธุํ วฎฺฎตี’’ติ? ‘‘พลวาหนํ, เทวา’’ติฯ ‘‘ยตฺตกํ อิจฺฉสิ, ตตฺตกํ คณฺห, ตาตา’’ติฯ ‘‘จตฺตาริ พนฺธนาคารานิ วิวราเปตฺวา โจรานํ สงฺขลิกพนฺธนานิ ภินฺทาเปตฺวา เตปิ มยา สทฺธิํ เปเสถ เทวา’’ติฯ ‘‘ยถารุจิ กโรหิ, ตาตา’’ติฯ มหาสโตฺต พนฺธนาคารทฺวารานิ วิวราเปตฺวา สูเร มหาโยเธ คตฎฺฐาเน กมฺมํ นิปฺผาเทตุํ สมเตฺถ นีหราเปตฺวา ‘‘มํ อุปฎฺฐหถา’’ติ วตฺวา เตสํ สกฺการํ กาเรตฺวา วฑฺฒกิกมฺมารจมฺมการอิฎฺฐกปาสาณการจิตฺตการาทโย นานาสิปฺปกุสลา อฎฺฐารส เสนิโย อาทาย วาสิผรสุกุทฺทาลขณิตฺติอาทีนิ พหูนิ อุปกรณานิ คาหาเปตฺวา มหาพลกายปริวุโต นครา นิกฺขมิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘na kira maṃ paṇḍito pariccajatī’’ti haṭṭhatuṭṭho hutvā āha – ‘‘tāta, tava pure gacchantassa kiṃ laddhuṃ vaṭṭatī’’ti? ‘‘Balavāhanaṃ, devā’’ti. ‘‘Yattakaṃ icchasi, tattakaṃ gaṇha, tātā’’ti. ‘‘Cattāri bandhanāgārāni vivarāpetvā corānaṃ saṅkhalikabandhanāni bhindāpetvā tepi mayā saddhiṃ pesetha devā’’ti. ‘‘Yathāruci karohi, tātā’’ti. Mahāsatto bandhanāgāradvārāni vivarāpetvā sūre mahāyodhe gataṭṭhāne kammaṃ nipphādetuṃ samatthe nīharāpetvā ‘‘maṃ upaṭṭhahathā’’ti vatvā tesaṃ sakkāraṃ kāretvā vaḍḍhakikammāracammakāraiṭṭhakapāsāṇakāracittakārādayo nānāsippakusalā aṭṭhārasa seniyo ādāya vāsipharasukuddālakhaṇittiādīni bahūni upakaraṇāni gāhāpetvā mahābalakāyaparivuto nagarā nikkhami. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๖๓๖.

    636.

    ‘‘ตโต จ ปายาสิ ปุเร มโหสโธ, ปญฺจาลราชสฺส ปุรํ สุรมฺมํ;

    ‘‘Tato ca pāyāsi pure mahosadho, pañcālarājassa puraṃ surammaṃ;

    นิเวสนานิ มาเปตุํ, เวเทหสฺส ยสสฺสิโน’’ติฯ

    Nivesanāni māpetuṃ, vedehassa yasassino’’ti.

    มหาสโตฺตปิ คจฺฉโนฺต โยชนนฺตเร โยชนนฺตเร เอเกกํ คามํ นิเวเสตฺวา เอเกกํ อมจฺจํ ‘‘ตุเมฺห รโญฺญ ปญฺจาลจนฺทิํ คเหตฺวา นิวตฺตนกาเล หตฺถิอสฺสรเถ กเปฺปตฺวา ราชานํ อาทาย ปจฺจามิเตฺต ปฎิพาหนฺตา ขิปฺปํ มิถิลํ ปาเปยฺยาถา’’ติ วตฺวา ฐเปสิฯ คงฺคาตีรํ ปน ปตฺวา อานนฺทกุมารํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘อานนฺท, ตฺวํ ตีณิ วฑฺฒกิสตานิ อาทาย อุทฺธํคงฺคํ คนฺตฺวา สารทารูนิ คาหาเปตฺวา ติสตมตฺตา นาวา มาเปตฺวา นครสฺสตฺถาย ตเตฺถว ตจฺฉาเปตฺวา สลฺลหุกานํ ทารูนํ นาวาย ปูราเปตฺวา ขิปฺปํ อาคเจฺฉยฺยาสี’’ติ เปเสสิฯ สยํ ปน นาวาย คงฺคํ ตริตฺวา โอติณฺณฎฺฐานโต ปฎฺฐาย ปทสญฺญาเยว คเณตฺวา ‘‘อิทํ อฑฺฒโยชนฎฺฐานํ, เอตฺถ มหาอุมโงฺค ภวิสฺสติ, อิมสฺมิํ ฐาเน รโญฺญ นิเวสนนครํ ภวิสฺสติ, อิโต ปฎฺฐาย ยาว ราชเคหา คาวุตมเตฺต ฐาเน ชงฺฆอุมโงฺค ภวิสฺสตี’’ติ ปริจฺฉินฺทิตฺวา นครํ ปาวิสิฯ จูฬนิราชา โพธิสตฺตสฺส อาคมนํ สุตฺวา ‘‘อิทานิ เม มโนรโถ มตฺถกํ ปาปุณิสฺสติ, ปจฺจามิตฺตานํ ปิฎฺฐิํ ปสฺสิสฺสามิ, อิมสฺมิํ อาคเต เวเทโหปิ น จิรเสฺสว อาคมิสฺสติ, อถ เน อุโภปิ มาเรตฺวา สกลชมฺพุทีปตเล เอกรชฺชํ กริสฺสามี’’ติ ปรมตุฎฺฐิํ ปโตฺต อโหสิฯ สกลนครํ สงฺขุภิ ‘‘เอส กิร มโหสธปณฺฑิโต, อิมินา กิร เอกสตราชาโน เลฑฺฑุนา กากา วิย ปลาปิตา’’ติฯ

    Mahāsattopi gacchanto yojanantare yojanantare ekekaṃ gāmaṃ nivesetvā ekekaṃ amaccaṃ ‘‘tumhe rañño pañcālacandiṃ gahetvā nivattanakāle hatthiassarathe kappetvā rājānaṃ ādāya paccāmitte paṭibāhantā khippaṃ mithilaṃ pāpeyyāthā’’ti vatvā ṭhapesi. Gaṅgātīraṃ pana patvā ānandakumāraṃ pakkosāpetvā ‘‘ānanda, tvaṃ tīṇi vaḍḍhakisatāni ādāya uddhaṃgaṅgaṃ gantvā sāradārūni gāhāpetvā tisatamattā nāvā māpetvā nagarassatthāya tattheva tacchāpetvā sallahukānaṃ dārūnaṃ nāvāya pūrāpetvā khippaṃ āgaccheyyāsī’’ti pesesi. Sayaṃ pana nāvāya gaṅgaṃ taritvā otiṇṇaṭṭhānato paṭṭhāya padasaññāyeva gaṇetvā ‘‘idaṃ aḍḍhayojanaṭṭhānaṃ, ettha mahāumaṅgo bhavissati, imasmiṃ ṭhāne rañño nivesananagaraṃ bhavissati, ito paṭṭhāya yāva rājagehā gāvutamatte ṭhāne jaṅghaumaṅgo bhavissatī’’ti paricchinditvā nagaraṃ pāvisi. Cūḷanirājā bodhisattassa āgamanaṃ sutvā ‘‘idāni me manoratho matthakaṃ pāpuṇissati, paccāmittānaṃ piṭṭhiṃ passissāmi, imasmiṃ āgate vedehopi na cirasseva āgamissati, atha ne ubhopi māretvā sakalajambudīpatale ekarajjaṃ karissāmī’’ti paramatuṭṭhiṃ patto ahosi. Sakalanagaraṃ saṅkhubhi ‘‘esa kira mahosadhapaṇḍito, iminā kira ekasatarājāno leḍḍunā kākā viya palāpitā’’ti.

    มหาสโตฺต นาคเรสุ อตฺตโน รูปสมฺปตฺติํ ปสฺสเนฺตสุเยว ราชทฺวารํ คนฺตฺวา รโญฺญ ปฎิเวเทตฺวา ‘‘ปวิสตู’’ติ วุเตฺต ปวิสิตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ อถ นํ ราชา ปฎิสนฺถารํ กตฺวา ‘‘ตาต, ราชา กทา อาคมิสฺสตี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มยา เปสิตกาเล, เทวา’’ติฯ ‘‘ตฺวํ ปน กิมตฺถํ อาคโตสี’’ติฯ ‘‘อมฺหากํ รโญฺญ นิเวสนํ มาเปตุํ, เทวา’’ติฯ ‘‘สาธุ, ตาตา’’ติฯ อถสฺส เสนาย ปริพฺพยํ ทาเปตฺวา มหาสตฺตสฺส มหนฺตํ สกฺการํ กาเรตฺวา นิเวสนเคหํ ทาเปตฺวา ‘‘ตาต, ยาว เต ราชา นาคจฺฉติ, ตาว อนุกฺกณฺฐมาโน อมฺหากมฺปิ กตฺตพฺพยุตฺตกํ กโรโนฺตว วสาหิ ตฺว’’นฺติ อาหฯ โส กิร ราชนิเวสนํ อภิรุหโนฺตว มหาโสปานปาทมูเล ฐตฺวา ‘‘อิธ ชงฺฆอุมงฺคทฺวารํ ภวิสฺสตี’’ติ สลฺลเกฺขสิฯ อถสฺส เอตทโหสิ ‘‘ราชา ‘อมฺหากมฺปิ กตฺตพฺพยุตฺตกํ กโรหี’ติ วทติ, อุมเงฺค ขณิยมาเน ยถา อิทํ โสปานํ น โอสกฺกติ, ตถา กาตุํ วฎฺฎตี’’ติฯ อถ ราชานํ เอวมาห – ‘‘เทว, อหํ ปวิสโนฺต โสปานปาทมูเล ฐตฺวา นวกมฺมํ โอโลเกโนฺต มหาโสปาเน โทสํ ปสฺสิํฯ สเจ เต รุจฺจติ, อหํ ทารูนิ ลภโนฺต มนาปํ กตฺวา อตฺถเรยฺย’’นฺติฯ ‘‘สาธุ, ปณฺฑิต, อตฺถราหี’’ติฯ โส ‘‘อิธ อุมงฺคทฺวารํ ภวิสฺสตี’’ติ สลฺลเกฺขตฺวา ตํ โปราณโสปานํ หริตฺวา ยตฺถ อุมงฺคทฺวารํ ภวิสฺสติ, ตตฺถ ปํสุโน อปตนตฺถาย ผลกสนฺถารํ กาเรตฺวา ยถา โสปานํ น โอสกฺกติ, เอวํ นิจฺจลํ กตฺวา โสปานํ อตฺถริฯ ราชา ตํ การณํ อชานโนฺต ‘‘มม สิเนเหน กโรตี’’ติ มญฺญิฯ

    Mahāsatto nāgaresu attano rūpasampattiṃ passantesuyeva rājadvāraṃ gantvā rañño paṭivedetvā ‘‘pavisatū’’ti vutte pavisitvā rājānaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Atha naṃ rājā paṭisanthāraṃ katvā ‘‘tāta, rājā kadā āgamissatī’’ti pucchi. ‘‘Mayā pesitakāle, devā’’ti. ‘‘Tvaṃ pana kimatthaṃ āgatosī’’ti. ‘‘Amhākaṃ rañño nivesanaṃ māpetuṃ, devā’’ti. ‘‘Sādhu, tātā’’ti. Athassa senāya paribbayaṃ dāpetvā mahāsattassa mahantaṃ sakkāraṃ kāretvā nivesanagehaṃ dāpetvā ‘‘tāta, yāva te rājā nāgacchati, tāva anukkaṇṭhamāno amhākampi kattabbayuttakaṃ karontova vasāhi tva’’nti āha. So kira rājanivesanaṃ abhiruhantova mahāsopānapādamūle ṭhatvā ‘‘idha jaṅghaumaṅgadvāraṃ bhavissatī’’ti sallakkhesi. Athassa etadahosi ‘‘rājā ‘amhākampi kattabbayuttakaṃ karohī’ti vadati, umaṅge khaṇiyamāne yathā idaṃ sopānaṃ na osakkati, tathā kātuṃ vaṭṭatī’’ti. Atha rājānaṃ evamāha – ‘‘deva, ahaṃ pavisanto sopānapādamūle ṭhatvā navakammaṃ olokento mahāsopāne dosaṃ passiṃ. Sace te ruccati, ahaṃ dārūni labhanto manāpaṃ katvā atthareyya’’nti. ‘‘Sādhu, paṇḍita, attharāhī’’ti. So ‘‘idha umaṅgadvāraṃ bhavissatī’’ti sallakkhetvā taṃ porāṇasopānaṃ haritvā yattha umaṅgadvāraṃ bhavissati, tattha paṃsuno apatanatthāya phalakasanthāraṃ kāretvā yathā sopānaṃ na osakkati, evaṃ niccalaṃ katvā sopānaṃ atthari. Rājā taṃ kāraṇaṃ ajānanto ‘‘mama sinehena karotī’’ti maññi.

    เอวํ ตํ ทิวสํ เตเนว นวกเมฺมน วีตินาเมตฺวา ปุนทิวเส ราชานํ อาห – ‘‘เทว, สเจ อมฺหากํ รโญฺญ วสนฎฺฐานํ ชาเนยฺยาม, มนาปํ กตฺวา ปฎิชเคฺคยฺยามา’’ติฯ สาธุ, ปณฺฑิต, ฐเปตฺวา มม นิเวสนํ สกลนคเร ยํ นิเวสนํ อิจฺฉสิ, ตํ คณฺหาติฯ มหาราช, มยํ อาคนฺตุกา, ตุมฺหากํ พหู วลฺลภา โยธา, เต อตฺตโน อตฺตโน เคเหสุ คยฺหมาเนสุ อเมฺหหิ สทฺธิํ กลหํ กริสฺสนฺติฯ ‘‘ตทา, เทว, เตหิ สทฺธิํ มยํ กิํ กริสฺสามา’’ติ? ‘‘เตสํ วจนํ มา คณฺหฯ ยํ อิจฺฉสิ, ตํ ฐานเมว คณฺหาเปหี’’ติฯ ‘‘เทว, เต ปุนปฺปุนํ อาคนฺตฺวา ตุมฺหากํ กเถสฺสนฺติ, เตน ตุมฺหากํ จิตฺตสุขํ น ลภิสฺสติฯ สเจ ปน อิเจฺฉยฺยาถ, ยาว มยํ นิเวสนานิ คณฺหาม, ตาว อมฺหากํเยว มนุสฺสา โทวาริกา อสฺสุฯ ตโต เต ทฺวารํ อลภิตฺวา นาคมิสฺสนฺติฯ เอวํ สเนฺต ตุมฺหากมฺปิ จิตฺตสุขํ ลภิสฺสตี’’ติฯ ราชา ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ

    Evaṃ taṃ divasaṃ teneva navakammena vītināmetvā punadivase rājānaṃ āha – ‘‘deva, sace amhākaṃ rañño vasanaṭṭhānaṃ jāneyyāma, manāpaṃ katvā paṭijaggeyyāmā’’ti. Sādhu, paṇḍita, ṭhapetvā mama nivesanaṃ sakalanagare yaṃ nivesanaṃ icchasi, taṃ gaṇhāti. Mahārāja, mayaṃ āgantukā, tumhākaṃ bahū vallabhā yodhā, te attano attano gehesu gayhamānesu amhehi saddhiṃ kalahaṃ karissanti. ‘‘Tadā, deva, tehi saddhiṃ mayaṃ kiṃ karissāmā’’ti? ‘‘Tesaṃ vacanaṃ mā gaṇha. Yaṃ icchasi, taṃ ṭhānameva gaṇhāpehī’’ti. ‘‘Deva, te punappunaṃ āgantvā tumhākaṃ kathessanti, tena tumhākaṃ cittasukhaṃ na labhissati. Sace pana iccheyyātha, yāva mayaṃ nivesanāni gaṇhāma, tāva amhākaṃyeva manussā dovārikā assu. Tato te dvāraṃ alabhitvā nāgamissanti. Evaṃ sante tumhākampi cittasukhaṃ labhissatī’’ti. Rājā ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi.

    มหาสโตฺต โสปานปาทมูเล โสปานสีเส มหาทฺวาเรติ สพฺพตฺถ อตฺตโน มนุเสฺสเยว ฐเปตฺวา ‘‘กสฺสจิ ปวิสิตุํ มา อทตฺถา’’ติ วตฺวา อถ รโญฺญ มาตุ นิเวสนํ คนฺตฺวา ‘‘ภินฺทนาการํ ทเสฺสถา’’ติ มนุเสฺส อาณาเปสิฯ เต ทฺวารโกฎฺฐกาลินฺทโต ปฎฺฐาย อิฎฺฐกา จ มตฺติกา จ อปเนตุํ อารภิํสุฯ ราชมาตา ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา อาคนฺตฺวา ‘‘กิสฺส, ตาตา, มม เคหํ ภินฺทถา’’ติ อาหฯ ‘‘มโหสธปณฺฑิโต ภินฺทาเปตฺวา อตฺตโน รโญฺญ นิเวสนํ กาตุกาโม’’ติฯ ‘‘ยทิ เอวํ อิเธว วสถา’’ติฯ ‘‘อมฺหากํ รโญฺญ มหนฺตํ พลวาหนํ, อิทํ นปฺปโหติ, อญฺญํ มหนฺตํ เคหํ กริสฺสามา’’ติฯ ‘‘ตุเมฺห มํ น ชานาถ, อหํ ราชมาตา, อิทานิ ปุตฺตสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ชานิสฺสามี’’ติฯ ‘‘มยํ รโญฺญ วจเนน ภินฺทาม, สโกฺกนฺตี วาเรหี’’ติฯ สา กุชฺฌิตฺวา ‘‘อิทานิ โว กตฺตพฺพํ ชานิสฺสามี’’ติ ราชทฺวารํ อคมาสิฯ อถ นํ ‘‘มา ปวิสา’’ติ โทวาริกา วารยิํสุฯ ‘‘อหํ ราชมาตา’’ติฯ ‘‘น มยํ ตํ ชานาม, มยํ รญฺญา ‘กสฺสจิ ปวิสิตุํ มา อทตฺถา’ติ อาณตฺตา, คจฺฉ ตฺว’’นฺติฯ สา คเหตพฺพคหณํ อปสฺสนฺตี นิวตฺติตฺวา อตฺตโน นิเวสนํ โอโลเกนฺตี อฎฺฐาสิฯ อถ นํ เอโก ปุริโส ‘‘กิํ อิธ กโรสิ, คจฺฉสิ, น คจฺฉสี’’ติ คีวาย คเหตฺวา ภูมิยํ ปาเตสิฯ

    Mahāsatto sopānapādamūle sopānasīse mahādvāreti sabbattha attano manusseyeva ṭhapetvā ‘‘kassaci pavisituṃ mā adatthā’’ti vatvā atha rañño mātu nivesanaṃ gantvā ‘‘bhindanākāraṃ dassethā’’ti manusse āṇāpesi. Te dvārakoṭṭhakālindato paṭṭhāya iṭṭhakā ca mattikā ca apanetuṃ ārabhiṃsu. Rājamātā taṃ pavattiṃ sutvā āgantvā ‘‘kissa, tātā, mama gehaṃ bhindathā’’ti āha. ‘‘Mahosadhapaṇḍito bhindāpetvā attano rañño nivesanaṃ kātukāmo’’ti. ‘‘Yadi evaṃ idheva vasathā’’ti. ‘‘Amhākaṃ rañño mahantaṃ balavāhanaṃ, idaṃ nappahoti, aññaṃ mahantaṃ gehaṃ karissāmā’’ti. ‘‘Tumhe maṃ na jānātha, ahaṃ rājamātā, idāni puttassa santikaṃ gantvā jānissāmī’’ti. ‘‘Mayaṃ rañño vacanena bhindāma, sakkontī vārehī’’ti. Sā kujjhitvā ‘‘idāni vo kattabbaṃ jānissāmī’’ti rājadvāraṃ agamāsi. Atha naṃ ‘‘mā pavisā’’ti dovārikā vārayiṃsu. ‘‘Ahaṃ rājamātā’’ti. ‘‘Na mayaṃ taṃ jānāma, mayaṃ raññā ‘kassaci pavisituṃ mā adatthā’ti āṇattā, gaccha tva’’nti. Sā gahetabbagahaṇaṃ apassantī nivattitvā attano nivesanaṃ olokentī aṭṭhāsi. Atha naṃ eko puriso ‘‘kiṃ idha karosi, gacchasi, na gacchasī’’ti gīvāya gahetvā bhūmiyaṃ pātesi.

    สา จิเนฺตสิ ‘‘อทฺธา อิเม รโญฺญ อาณตฺตา ภวิสฺสนฺติ, อิตรถา เอวํ กาตุํ น สกฺขิสฺสนฺติ, ปณฺฑิตเสฺสว สนฺติกํ คจฺฉิสฺสามี’’ติฯ สา คนฺตฺวา ‘‘ตาต มโหสธ, กสฺมา มม นิเวสนํ ภินฺทาเปสี’’ติ อาหฯ โส ตาย สทฺธิํ น กเถสิ, สนฺติเก ฐิโต ปุริโส ปนสฺส ‘‘เทวิ, กิํ กเถสี’’ติ อาหฯ ‘‘ตาต, มโหสธปณฺฑิโต กสฺมา มม เคหํ ภินฺทาเปตี’’ติ? ‘‘เวเทหรโญฺญ วสนฎฺฐานํ กาตุ’’นฺติฯ ‘‘กิํ, ตาต, เอวํ มหเนฺต นคเร อญฺญตฺถ นิเวสนฎฺฐานํ น ลพฺภตี’’ติ มญฺญติฯ ‘‘อิมํ สตสหสฺสํ ลญฺชํ คเหตฺวา อญฺญตฺถ เคหํ กาเรตู’’ติฯ ‘‘สาธุ, เทวิ, ตุมฺหากํ เคหํ วิสฺสชฺชาเปสฺสามิ, ลญฺชสฺส คหิตภาวํ มา กสฺสจิ กถยิตฺถฯ มา โน อเญฺญปิ ลญฺชํ ทตฺวา เคหานิ วิสฺสชฺชาเปตุกามา อเหสุ’’นฺติฯ สาธุ, ตาต, ‘‘รโญฺญ มาตา ลญฺชํ อทาสี’’ติ มยฺหมฺปิ ลชฺชนกเมว, ตสฺมา น กสฺสจิ กเถสฺสามีติฯ โส ‘‘สาธู’’ติ ตสฺสา สนฺติกา สตสหสฺสํ คเหตฺวา เคหํ วิสฺสชฺชาเปตฺวา เกวฎฺฎสฺส เคหํ อคมาสิฯ โสปิ ทฺวารํ คนฺตฺวา เวฬุเปสิกาหิ ปิฎฺฐิจมฺมุปฺปาฎนํ ลภิตฺวา คเหตพฺพคหณํ อปสฺสโนฺต ปุน เคหํ คนฺตฺวา สตสหสฺสเมว อทาสิฯ เอเตนุปาเยน สกลนคเร เคหฎฺฐานํ คณฺหเนฺตน ลญฺชํ คเหตฺวา ลทฺธกหาปณานเญฺญว นว โกฎิโย ชาตาฯ

    Sā cintesi ‘‘addhā ime rañño āṇattā bhavissanti, itarathā evaṃ kātuṃ na sakkhissanti, paṇḍitasseva santikaṃ gacchissāmī’’ti. Sā gantvā ‘‘tāta mahosadha, kasmā mama nivesanaṃ bhindāpesī’’ti āha. So tāya saddhiṃ na kathesi, santike ṭhito puriso panassa ‘‘devi, kiṃ kathesī’’ti āha. ‘‘Tāta, mahosadhapaṇḍito kasmā mama gehaṃ bhindāpetī’’ti? ‘‘Vedeharañño vasanaṭṭhānaṃ kātu’’nti. ‘‘Kiṃ, tāta, evaṃ mahante nagare aññattha nivesanaṭṭhānaṃ na labbhatī’’ti maññati. ‘‘Imaṃ satasahassaṃ lañjaṃ gahetvā aññattha gehaṃ kāretū’’ti. ‘‘Sādhu, devi, tumhākaṃ gehaṃ vissajjāpessāmi, lañjassa gahitabhāvaṃ mā kassaci kathayittha. Mā no aññepi lañjaṃ datvā gehāni vissajjāpetukāmā ahesu’’nti. Sādhu, tāta, ‘‘rañño mātā lañjaṃ adāsī’’ti mayhampi lajjanakameva, tasmā na kassaci kathessāmīti. So ‘‘sādhū’’ti tassā santikā satasahassaṃ gahetvā gehaṃ vissajjāpetvā kevaṭṭassa gehaṃ agamāsi. Sopi dvāraṃ gantvā veḷupesikāhi piṭṭhicammuppāṭanaṃ labhitvā gahetabbagahaṇaṃ apassanto puna gehaṃ gantvā satasahassameva adāsi. Etenupāyena sakalanagare gehaṭṭhānaṃ gaṇhantena lañjaṃ gahetvā laddhakahāpaṇānaññeva nava koṭiyo jātā.

    มหาสโตฺต สกลนครํ วิจริตฺวา ราชกุลํ อคมาสิฯ อถ นํ ราชา ปุจฺฉิ ‘‘กิํ, ปณฺฑิต, ลทฺธํ เต วสนฎฺฐาน’’นฺติ? ‘‘มหาราช, อเทนฺตา นาม นตฺถิ, อปิจ โข ปน เคเหสุ คยฺหมาเนสุ กิลมนฺติฯ เตสํ ปิยวิปฺปโยคํ กาตุํ อมฺหากํ อยุตฺตํฯ พหินคเร คาวุตมเตฺต ฐาเน คงฺคาย จ นครสฺส จ อนฺตเร อสุกฎฺฐาเน อมฺหากํ รโญฺญ วสนนครํ กริสฺสามี’’ติฯ ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘อโนฺตนคเร ยุชฺฌิตุมฺปิ ทุกฺขํ, เนว สกเสนา, น ปรเสนา ญาตุํ สกฺกาฯ พหินคเร ปน สุขํ ยุทฺธํ กาตุํ, ตสฺมา พหินคเรเยว เต โกเฎฺฎตฺวา มาเรสฺสามา’’ติ ตุสฺสิตฺวา ‘‘สาธุ, ปณฺฑิต, ตยา สลฺลกฺขิตฎฺฐาเนเยว กาเรหี’’ติ อาหฯ ‘‘มหาราช, อหํ กาเรสฺสามิ, ตุมฺหากํ ปน มนุเสฺสหิ ทารุปณฺณาทีนํ อตฺถาย อมฺหากํ นวกมฺมฎฺฐานํ นาคนฺตพฺพํฯ อาคจฺฉนฺตา หิ กลหํ กริสฺสนฺติ, เตเนว ตุมฺหากญฺจ อมฺหากญฺจ จิตฺตสุขํ น ภวิสฺสตี’’ติฯ ‘‘สาธุ, ปณฺฑิต, เตน ปเสฺสน นิสญฺจารํ กาเรหี’’ติฯ ‘‘เทว, อมฺหากํ หตฺถี อุทกาภิรตา อุทเกเยว กีฬิสฺสนฺติฯ อุทเก อาวิเล ชาเต ‘มโหสธสฺส อาคตกาลโต ปฎฺฐาย ปสนฺนํ อุทกํ ปาตุํ น ลภามา’ติ สเจ นาครา กุชฺฌิสฺสนฺติ, ตมฺปิ สหิตพฺพ’’นฺติ ฯ ราชา ‘‘วิสฺสตฺถา ตุมฺหากํ หตฺถี กีฬนฺตู’’ติ วตฺวา นคเร เภริํ จราเปสิ – ‘‘โย อิโต นิกฺขมิตฺวา มโหสธสฺส นครมาปิตฎฺฐานํ คจฺฉติ, ตสฺส สหสฺสทโณฺฑ’’ติฯ

    Mahāsatto sakalanagaraṃ vicaritvā rājakulaṃ agamāsi. Atha naṃ rājā pucchi ‘‘kiṃ, paṇḍita, laddhaṃ te vasanaṭṭhāna’’nti? ‘‘Mahārāja, adentā nāma natthi, apica kho pana gehesu gayhamānesu kilamanti. Tesaṃ piyavippayogaṃ kātuṃ amhākaṃ ayuttaṃ. Bahinagare gāvutamatte ṭhāne gaṅgāya ca nagarassa ca antare asukaṭṭhāne amhākaṃ rañño vasananagaraṃ karissāmī’’ti. Taṃ sutvā rājā ‘‘antonagare yujjhitumpi dukkhaṃ, neva sakasenā, na parasenā ñātuṃ sakkā. Bahinagare pana sukhaṃ yuddhaṃ kātuṃ, tasmā bahinagareyeva te koṭṭetvā māressāmā’’ti tussitvā ‘‘sādhu, paṇḍita, tayā sallakkhitaṭṭhāneyeva kārehī’’ti āha. ‘‘Mahārāja, ahaṃ kāressāmi, tumhākaṃ pana manussehi dārupaṇṇādīnaṃ atthāya amhākaṃ navakammaṭṭhānaṃ nāgantabbaṃ. Āgacchantā hi kalahaṃ karissanti, teneva tumhākañca amhākañca cittasukhaṃ na bhavissatī’’ti. ‘‘Sādhu, paṇḍita, tena passena nisañcāraṃ kārehī’’ti. ‘‘Deva, amhākaṃ hatthī udakābhiratā udakeyeva kīḷissanti. Udake āvile jāte ‘mahosadhassa āgatakālato paṭṭhāya pasannaṃ udakaṃ pātuṃ na labhāmā’ti sace nāgarā kujjhissanti, tampi sahitabba’’nti . Rājā ‘‘vissatthā tumhākaṃ hatthī kīḷantū’’ti vatvā nagare bheriṃ carāpesi – ‘‘yo ito nikkhamitvā mahosadhassa nagaramāpitaṭṭhānaṃ gacchati, tassa sahassadaṇḍo’’ti.

    มหาสโตฺต ราชานํ วนฺทิตฺวา อตฺตโน ปริสํ อาทาย นิกฺขมิตฺวา ยถาปริจฺฉินฺนฎฺฐาเน นครํ มาเปตุํ อารภิฯ ปารคงฺคาย วคฺคุลิํ นาม คามํ กาเรตฺวา หตฺถิอสฺสรถวาหนเญฺจว โคพลิพทฺทญฺจ ตตฺถ ฐเปตฺวา นครกรณํ วิจาเรโนฺต ‘‘เอตฺตกา อิทํ กโรนฺตู’’ติ สพฺพกมฺมานิ วิภชิตฺวา อุมงฺคกมฺมํ ปฎฺฐเปสิฯ มหาอุมงฺคทฺวารํ คงฺคาติเตฺถ อโหสิฯ สฎฺฐิมตฺตานิ โยธสตานิ มหาอุมงฺคํ ขณนฺติฯ มหเนฺตหิ จมฺมปสิพฺพเกหิ วาลุกปํสุํ หริตฺวา คงฺคาย ปาเตนฺติฯ ปาติตปาติตํ ปํสุํ หตฺถี มทฺทนฺติ, คงฺคา อาฬุลา สนฺทติฯ นครวาสิโน ‘‘มโหสธสฺส อาคตกาลโต ปฎฺฐาย ปสนฺนํ อุทกํ ปาตุํ น ลภาม, คงฺคา อาฬุลา สนฺทติ, กิํ นุ โข เอต’’นฺติ วทนฺติฯ อถ เนสํ ปณฺฑิตสฺส อุปนิกฺขิตฺตกปุริสา อาโรเจนฺติ ‘‘มโหสธสฺส กิร หตฺถี อุทกํ กีฬนฺตา คงฺคาย กทฺทมํ กโรนฺติ, เตน คงฺคา อาฬุลา สนฺทตี’’ติฯ

    Mahāsatto rājānaṃ vanditvā attano parisaṃ ādāya nikkhamitvā yathāparicchinnaṭṭhāne nagaraṃ māpetuṃ ārabhi. Pāragaṅgāya vagguliṃ nāma gāmaṃ kāretvā hatthiassarathavāhanañceva gobalibaddañca tattha ṭhapetvā nagarakaraṇaṃ vicārento ‘‘ettakā idaṃ karontū’’ti sabbakammāni vibhajitvā umaṅgakammaṃ paṭṭhapesi. Mahāumaṅgadvāraṃ gaṅgātitthe ahosi. Saṭṭhimattāni yodhasatāni mahāumaṅgaṃ khaṇanti. Mahantehi cammapasibbakehi vālukapaṃsuṃ haritvā gaṅgāya pātenti. Pātitapātitaṃ paṃsuṃ hatthī maddanti, gaṅgā āḷulā sandati. Nagaravāsino ‘‘mahosadhassa āgatakālato paṭṭhāya pasannaṃ udakaṃ pātuṃ na labhāma, gaṅgā āḷulā sandati, kiṃ nu kho eta’’nti vadanti. Atha nesaṃ paṇḍitassa upanikkhittakapurisā ārocenti ‘‘mahosadhassa kira hatthī udakaṃ kīḷantā gaṅgāya kaddamaṃ karonti, tena gaṅgā āḷulā sandatī’’ti.

    โพธิสตฺตานํ อธิปฺปาโย นาม สมิชฺฌติ, ตสฺมา อุมเงฺค มูลานิ วา ขาณุกานิ วา มรุมฺพานิ วา ปาสาณานิ วา สเพฺพปิ ภูมิยํ ปวิสิํสุฯ ชงฺฆอุมงฺคสฺส ทฺวารํ ตสฺมิํเยว นคเร อโหสิฯ ตีณิ ปุริสสตานิ ชงฺฆอุมงฺคํ ขณนฺติ , จมฺมปสิพฺพเกหิ ปํสุํหริตฺวา ตสฺมิํ นคเร ปาเตนฺติฯ ปาติตปาติตํ อุทเกน มทฺทาเปตฺวา ปาการํ จินนฺติ, อญฺญานิ วา กมฺมานิ กโรนฺติฯ มหาอุมงฺคสฺส ปวิสนทฺวารํ นคเร อโหสิ อฎฺฐารสหตฺถุเพฺพเธน ยนฺตยุตฺตทฺวาเรน สมนฺนาคตํฯ ตญฺหิ เอกาย อาณิยา อกฺกนฺตาย ปิธียติ, เอกาย อาณิยา อกฺกนฺตาย วิวรียติฯ มหาอุมงฺคสฺส ทฺวีสุ ปเสฺสสุ อิฎฺฐกาหิ จินิตฺวา สุธากมฺมํ กาเรสิ, มตฺถเก ผลเกน ฉนฺนํ กาเรตฺวา อุโลฺลกํ มตฺติกาย ลิมฺปาเปตฺวา เสตกมฺมํ กาเรตฺวา จิตฺตกมฺมํ กาเรสิฯ สพฺพานิ ปเนตฺถ อสีติ มหาทฺวารานิ จตุสฎฺฐิ จูฬทฺวารานิ อเหสุํ, สพฺพานิ ยนฺตยุตฺตาเนวฯ เอกาย อาณิยา อกฺกนฺตาย สพฺพาเนว ปิธียนฺติ, เอกาย อาณิยา อกฺกนฺตาย สพฺพาเนว วิวรียนฺติฯ ทฺวีสุ ปเสฺสสุ อเนกสตทีปาลยา อเหสุํ, เตปิ ยนฺตยุตฺตาเยวฯ เอกสฺมิํ วิวริยมาเน สเพฺพ วิวรียนฺติ, เอกสฺมิํ ปิธียมาเน สเพฺพ ปิธียนฺติฯ ทฺวีสุ ปเสฺสสุ เอกสตานํ ขตฺติยานํ เอกสตสยนคพฺภา อเหสุํฯ เอเกกสฺมิํ คเพฺภ นานาวณฺณปจฺจตฺถรณตฺถตํ เอเกกํ มหาสยนํ สมุสฺสิตเสตจฺฉตฺตํ, เอเกกํ มหาสยนํ นิสฺสาย เอเกกํ มาตุคามรูปกํ อุตฺตมรูปธรํ ปติฎฺฐิตํฯ ตํ หเตฺถน อปรามสิตฺวา ‘‘มนุสฺสรูป’’นฺติ น สกฺกา ญาตุํ, อปิจ อุมงฺคสฺส อุโภสุ ปเสฺสสุ กุสลา จิตฺตการา นานปฺปการํ จิตฺตกมฺมํ กริํสุฯ สกฺกวิลาสสิเนรุสตฺตปริภณฺฑจกฺกวาฬสาครสตฺตมหาสร- จตุมหาทีป-หิมวนฺต-อโนตตฺตสร-มโนสิลาตล จนฺทิมสูริย-จาตุมหาราชิกาทิฉกามาวจรสมฺปตฺติโยปิ สพฺพา อุมเงฺคเยว ทสฺสยิํสุฯ ภูมิยํ รชตปฎฺฎวณฺณา วาลุกา โอกิริํสุ, อุปริ อุโลฺลกปทุมานิ ทเสฺสสุํฯ อุโภสุ ปเสฺสสุ นานปฺปกาเร อาปเณปิ ทสฺสยิํสุฯ เตสุ เตสุ ฐาเนสุ คนฺธทามปุปฺผทามาทีนิ โอลเมฺพตฺวา สุธมฺมาเทวสภํ วิย อุมงฺคํ อลงฺกริํสุฯ

    Bodhisattānaṃ adhippāyo nāma samijjhati, tasmā umaṅge mūlāni vā khāṇukāni vā marumbāni vā pāsāṇāni vā sabbepi bhūmiyaṃ pavisiṃsu. Jaṅghaumaṅgassa dvāraṃ tasmiṃyeva nagare ahosi. Tīṇi purisasatāni jaṅghaumaṅgaṃ khaṇanti , cammapasibbakehi paṃsuṃharitvā tasmiṃ nagare pātenti. Pātitapātitaṃ udakena maddāpetvā pākāraṃ cinanti, aññāni vā kammāni karonti. Mahāumaṅgassa pavisanadvāraṃ nagare ahosi aṭṭhārasahatthubbedhena yantayuttadvārena samannāgataṃ. Tañhi ekāya āṇiyā akkantāya pidhīyati, ekāya āṇiyā akkantāya vivarīyati. Mahāumaṅgassa dvīsu passesu iṭṭhakāhi cinitvā sudhākammaṃ kāresi, matthake phalakena channaṃ kāretvā ullokaṃ mattikāya limpāpetvā setakammaṃ kāretvā cittakammaṃ kāresi. Sabbāni panettha asīti mahādvārāni catusaṭṭhi cūḷadvārāni ahesuṃ, sabbāni yantayuttāneva. Ekāya āṇiyā akkantāya sabbāneva pidhīyanti, ekāya āṇiyā akkantāya sabbāneva vivarīyanti. Dvīsu passesu anekasatadīpālayā ahesuṃ, tepi yantayuttāyeva. Ekasmiṃ vivariyamāne sabbe vivarīyanti, ekasmiṃ pidhīyamāne sabbe pidhīyanti. Dvīsu passesu ekasatānaṃ khattiyānaṃ ekasatasayanagabbhā ahesuṃ. Ekekasmiṃ gabbhe nānāvaṇṇapaccattharaṇatthataṃ ekekaṃ mahāsayanaṃ samussitasetacchattaṃ, ekekaṃ mahāsayanaṃ nissāya ekekaṃ mātugāmarūpakaṃ uttamarūpadharaṃ patiṭṭhitaṃ. Taṃ hatthena aparāmasitvā ‘‘manussarūpa’’nti na sakkā ñātuṃ, apica umaṅgassa ubhosu passesu kusalā cittakārā nānappakāraṃ cittakammaṃ kariṃsu. Sakkavilāsasinerusattaparibhaṇḍacakkavāḷasāgarasattamahāsara- catumahādīpa-himavanta-anotattasara-manosilātala candimasūriya-cātumahārājikādichakāmāvacarasampattiyopi sabbā umaṅgeyeva dassayiṃsu. Bhūmiyaṃ rajatapaṭṭavaṇṇā vālukā okiriṃsu, upari ullokapadumāni dassesuṃ. Ubhosu passesu nānappakāre āpaṇepi dassayiṃsu. Tesu tesu ṭhānesu gandhadāmapupphadāmādīni olambetvā sudhammādevasabhaṃ viya umaṅgaṃ alaṅkariṃsu.

    ตานิปิ โข ตีณิ วฑฺฒกิสตานิ ตีณิ นาวาสตานิ พนฺธิตฺวา นิฎฺฐิตปริกมฺมานํ ทพฺพสมฺภารานํ ปูเรตฺวา คงฺคาย อาหริตฺวา ปณฺฑิตสฺส อาโรเจสุํ ฯ ตานิ โส นคเร อุปโยคํ เนตฺวา ‘‘มยา อาณตฺตทิวเสเยว อาหเรยฺยาถา’’ติ วตฺวา นาวา ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐาเน ฐปาเปสิฯ นคเร อุทกปริขา, กทฺทมปริขา, สุกฺขปริขาติ ติโสฺส ปริขาโย กาเรสิฯ อฎฺฐารสหโตฺถ ปากาโร โคปุรฎฺฎาลโก ราชนิเวสนานิ หตฺถิสาลาทโย โปกฺขรณิโยติ สพฺพเมตํ นิฎฺฐํ อคมาสิฯ อิติ มหาอุมโงฺค ชงฺฆอุมโงฺค นครนฺติ สพฺพเมตํ จตูหิ มาเสหิ นิฎฺฐิตํฯ อถ มหาสโตฺต จตุมาสจฺจเยน รโญฺญ อาคมนตฺถาย ทูตํ ปาเหสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Tānipi kho tīṇi vaḍḍhakisatāni tīṇi nāvāsatāni bandhitvā niṭṭhitaparikammānaṃ dabbasambhārānaṃ pūretvā gaṅgāya āharitvā paṇḍitassa ārocesuṃ . Tāni so nagare upayogaṃ netvā ‘‘mayā āṇattadivaseyeva āhareyyāthā’’ti vatvā nāvā paṭicchannaṭṭhāne ṭhapāpesi. Nagare udakaparikhā, kaddamaparikhā, sukkhaparikhāti tisso parikhāyo kāresi. Aṭṭhārasahattho pākāro gopuraṭṭālako rājanivesanāni hatthisālādayo pokkharaṇiyoti sabbametaṃ niṭṭhaṃ agamāsi. Iti mahāumaṅgo jaṅghaumaṅgo nagaranti sabbametaṃ catūhi māsehi niṭṭhitaṃ. Atha mahāsatto catumāsaccayena rañño āgamanatthāya dūtaṃ pāhesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๖๓๗.

    637.

    ‘‘นิเวสนานิ มาเปตฺวา, เวเทหสฺส ยสสฺสิโน;

    ‘‘Nivesanāni māpetvā, vedehassa yasassino;

    อถสฺส ปาหิณี ทูตํ, เวเทหํ มิถิลคฺคหํ;

    Athassa pāhiṇī dūtaṃ, vedehaṃ mithilaggahaṃ;

    เอหิ ทานิ มหาราช, มาปิตํ เต นิเวสน’’นฺติฯ

    Ehi dāni mahārāja, māpitaṃ te nivesana’’nti.

    ตตฺถ ปาหิณีติ เปเสสิฯ

    Tattha pāhiṇīti pesesi.

    ราชา ทูตสฺส วจนํ สุตฺวา ตุฎฺฐจิโตฺต หุตฺวา มหเนฺตน ปริวาเรน นครา นิกฺขมิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Rājā dūtassa vacanaṃ sutvā tuṭṭhacitto hutvā mahantena parivārena nagarā nikkhami. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๖๓๘.

    638.

    ‘‘ตโต จ ราชา ปายาสิ, เสนาย จตุรงฺคิยา;

    ‘‘Tato ca rājā pāyāsi, senāya caturaṅgiyā;

    อนนฺตวาหนํ ทฎฺฐุํ, ผีตํ กปิลิยํ ปุร’’นฺติฯ

    Anantavāhanaṃ daṭṭhuṃ, phītaṃ kapiliyaṃ pura’’nti.

    ตตฺถ อนนฺตวาหนนฺติ อปริมิตหตฺถิอสฺสาทิวาหนํฯ กปิลิยํ ปุรนฺติ กปิลรเฎฺฐ มาปิตํ นครํฯ

    Tattha anantavāhananti aparimitahatthiassādivāhanaṃ. Kapiliyaṃ puranti kapilaraṭṭhe māpitaṃ nagaraṃ.

    โส อนุปุเพฺพน คนฺตฺวา คงฺคาตีรํ ปาปุณิฯ อถ นํ มหาสโตฺต ปจฺจุคฺคนฺตฺวา อตฺตนา กตนครํ ปเวเสสิฯ โส ตตฺถ ปาสาทวรคโต นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิตฺวา โถกํ วิสฺสมิตฺวา สายนฺหสมเย อตฺตโน อาคตภาวํ ญาเปตุํ จูฬนิรโญฺญ ทูตํ เปเสสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    So anupubbena gantvā gaṅgātīraṃ pāpuṇi. Atha naṃ mahāsatto paccuggantvā attanā katanagaraṃ pavesesi. So tattha pāsādavaragato nānaggarasabhojanaṃ bhuñjitvā thokaṃ vissamitvā sāyanhasamaye attano āgatabhāvaṃ ñāpetuṃ cūḷanirañño dūtaṃ pesesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๖๓๙.

    639.

    ‘‘ตโต จ โข โส คนฺตฺวาน, พฺรหฺมทตฺตสฺส ปาหิณิ;

    ‘‘Tato ca kho so gantvāna, brahmadattassa pāhiṇi;

    อาคโตสฺมิ มหาราช, ตว ปาทานิ วนฺทิตุํฯ

    Āgatosmi mahārāja, tava pādāni vandituṃ.

    ๖๔๐.

    640.

    ‘‘ททาหิ ทานิ เม ภริยํ, นาริํ สพฺพงฺคโสภินิํ;

    ‘‘Dadāhi dāni me bhariyaṃ, nāriṃ sabbaṅgasobhiniṃ;

    สุวเณฺณน ปฎิจฺฉนฺนํ, ทาสีคณปุรกฺขต’’นฺติฯ

    Suvaṇṇena paṭicchannaṃ, dāsīgaṇapurakkhata’’nti.

    ตตฺถ วนฺทิตุนฺติ เวเทโห มหลฺลโก, จูฬนิราชา ตสฺส ปุตฺตนตฺตมโตฺตปิ น โหติ, กิเลสวเสน มุจฺฉิโต ปน หุตฺวา ‘‘ชามาตเรน นาม สสุโร วนฺทนีโย’’ติ จิเนฺตตฺวา ตสฺส จิตฺตํ อชานโนฺตว วนฺทนสาสนํ ปหิณิฯ ททาหิ ทานีติ อหํ ตยา ‘‘ธีตรํ ทสฺสามี’’ติ ปโกฺกสาปิโต, ตํ เม อิทานิ เทหีติ ปหิณิฯ สุวเณฺณน ปฎิจฺฉนฺนนฺติ สุวณฺณาลงฺกาเรน ปฎิมณฺฑิตํฯ

    Tattha vanditunti vedeho mahallako, cūḷanirājā tassa puttanattamattopi na hoti, kilesavasena mucchito pana hutvā ‘‘jāmātarena nāma sasuro vandanīyo’’ti cintetvā tassa cittaṃ ajānantova vandanasāsanaṃ pahiṇi. Dadāhi dānīti ahaṃ tayā ‘‘dhītaraṃ dassāmī’’ti pakkosāpito, taṃ me idāni dehīti pahiṇi. Suvaṇṇena paṭicchannanti suvaṇṇālaṅkārena paṭimaṇḍitaṃ.

    จูฬนิราชา ทูตสฺส วจนํ สุตฺวา โสมนสฺสปฺปโตฺต ‘‘อิทานิ เม ปจฺจามิโตฺต กุหิํ คมิสฺสติ, อุภินฺนมฺปิ เนสํ สีสานิ ฉินฺทิตฺวา ชยปานํ ปิวิสฺสามา’’ติ จิเนฺตตฺวา เกวลํ โสมนสฺสํ ทเสฺสโนฺต ทูตสฺส สกฺการํ กตฺวา อนนฺตรํ คาถมาห –

    Cūḷanirājā dūtassa vacanaṃ sutvā somanassappatto ‘‘idāni me paccāmitto kuhiṃ gamissati, ubhinnampi nesaṃ sīsāni chinditvā jayapānaṃ pivissāmā’’ti cintetvā kevalaṃ somanassaṃ dassento dūtassa sakkāraṃ katvā anantaraṃ gāthamāha –

    ๖๔๑.

    641.

    ‘‘สฺวาคตํ เตว เวเทห, อโถ เต อทุราคตํ;

    ‘‘Svāgataṃ teva vedeha, atho te adurāgataṃ;

    นกฺขตฺตเญฺญว ปริปุจฺฉ, อหํ กญฺญํ ททามิ เต;

    Nakkhattaññeva paripuccha, ahaṃ kaññaṃ dadāmi te;

    สุวเณฺณน ปฎิจฺฉนฺนํ, ทาสีคณปุรกฺขต’’นฺติฯ

    Suvaṇṇena paṭicchannaṃ, dāsīgaṇapurakkhata’’nti.

    ตตฺถ เวเทหาติ เวเทหสฺส สาสนํ สุตฺวา ตํ ปุรโต ฐิตํ วิย อาลปติฯ อถ วา ‘‘เอวํ พฺรหฺมทเตฺตน วุตฺตนฺติ วเทหี’’ติ ทูตํ อาณาเปโนฺต เอวมาหฯ

    Tattha vedehāti vedehassa sāsanaṃ sutvā taṃ purato ṭhitaṃ viya ālapati. Atha vā ‘‘evaṃ brahmadattena vuttanti vadehī’’ti dūtaṃ āṇāpento evamāha.

    ตํ สุตฺวา ทูโต เวเทหสฺส สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘เทว, มงฺคลกิริยาย อนุจฺฉวิกํ นกฺขตฺตํ กิร ชานาหิ, ราชา เต ธีตรํ เทตี’’ติ อาหฯ โส ‘‘อเชฺชว นกฺขตฺตํ โสภน’’นฺติ ปุน ทูตํ ปหิณิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Taṃ sutvā dūto vedehassa santikaṃ gantvā ‘‘deva, maṅgalakiriyāya anucchavikaṃ nakkhattaṃ kira jānāhi, rājā te dhītaraṃ detī’’ti āha. So ‘‘ajjeva nakkhattaṃ sobhana’’nti puna dūtaṃ pahiṇi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๖๔๒.

    642.

    ‘‘ตโต จ ราชา เวเทโห, นกฺขตฺตํ ปริปุจฺฉถ;

    ‘‘Tato ca rājā vedeho, nakkhattaṃ paripucchatha;

    นกฺขตฺตํ ปริปุจฺฉิตฺวา, พฺรหฺมทตฺตสฺส ปาหิณิฯ

    Nakkhattaṃ paripucchitvā, brahmadattassa pāhiṇi.

    ๖๔๓.

    643.

    ‘‘ททาหิ ทานิ เม ภริยํ, นาริํ สพฺพงฺคโสภินิํ;

    ‘‘Dadāhi dāni me bhariyaṃ, nāriṃ sabbaṅgasobhiniṃ;

    สุวเณฺณน ปฎิจฺฉนฺนํ, ทาสีคณปุรกฺขต’’นฺติฯ

    Suvaṇṇena paṭicchannaṃ, dāsīgaṇapurakkhata’’nti.

    จูฬนิราชาปิ –

    Cūḷanirājāpi –

    ๖๔๔.

    644.

    ‘‘ททามิ ทานิ เต ภริยํ, นาริํ สพฺพงฺคโสภินิํ;

    ‘‘Dadāmi dāni te bhariyaṃ, nāriṃ sabbaṅgasobhiniṃ;

    สุวเณฺณน ปฎิจฺฉนฺนํ, ทาสีคณปุรกฺขต’’นฺติฯ –

    Suvaṇṇena paṭicchannaṃ, dāsīgaṇapurakkhata’’nti. –

    อิมํ คาถํ วตฺวา ‘‘อิทานิ เปเสมิ, อิทานิ เปเสมี’’ติ มุสาวาทํ กตฺวา เอกสตราชูนํ สญฺญํ อทาสิ ‘‘อฎฺฐารสอโกฺขภณิสงฺขาย เสนาย สทฺธิํ สเพฺพ ยุทฺธสชฺชา หุตฺวา นิกฺขมนฺตุ, อชฺช อุภินฺนมฺปิ ปจฺจตฺถิกานํ สีสานิ ฉินฺทิตฺวา เสฺว ชยปานํ ปิวิสฺสามา’’ติฯ เต สเพฺพปิ นิกฺขมิํสุฯ สยํ นิกฺขโนฺต ปน มาตรํ จลากเทวิญฺจ อคฺคมเหสิํ, นนฺทาเทวิญฺจ, ปุตฺตํ ปญฺจาลจนฺทญฺจ, ธีตรํ ปญฺจาลจนฺทิญฺจาติ จตฺตาโร ชเน โอโรเธหิ สทฺธิํ ปาสาเท นิวาสาเปตฺวา นิกฺขมิฯ โพธิสโตฺตปิ เวเทหรโญฺญ เจว เตน สทฺธิํ อาคตเสนาย จ มหนฺตํ สกฺการํ กาเรสิ ฯ เกจิ มนุสฺสา สุรํ ปิวนฺติ, เกจิ มจฺฉมํสาทีนิ ขาทนฺติ, เกจิ ทูรมคฺคา อาคตตฺตา กิลนฺตา สยนฺติฯ วิเทหราชา ปน เสนกาทโย จตฺตาโร ปณฺฑิเต คเหตฺวา อมจฺจคณปริวุโต อลงฺกตมหาตเล นิสีทิฯ

    Imaṃ gāthaṃ vatvā ‘‘idāni pesemi, idāni pesemī’’ti musāvādaṃ katvā ekasatarājūnaṃ saññaṃ adāsi ‘‘aṭṭhārasaakkhobhaṇisaṅkhāya senāya saddhiṃ sabbe yuddhasajjā hutvā nikkhamantu, ajja ubhinnampi paccatthikānaṃ sīsāni chinditvā sve jayapānaṃ pivissāmā’’ti. Te sabbepi nikkhamiṃsu. Sayaṃ nikkhanto pana mātaraṃ calākadeviñca aggamahesiṃ, nandādeviñca, puttaṃ pañcālacandañca, dhītaraṃ pañcālacandiñcāti cattāro jane orodhehi saddhiṃ pāsāde nivāsāpetvā nikkhami. Bodhisattopi vedeharañño ceva tena saddhiṃ āgatasenāya ca mahantaṃ sakkāraṃ kāresi . Keci manussā suraṃ pivanti, keci macchamaṃsādīni khādanti, keci dūramaggā āgatattā kilantā sayanti. Videharājā pana senakādayo cattāro paṇḍite gahetvā amaccagaṇaparivuto alaṅkatamahātale nisīdi.

    จูฬนิราชาปิ อฎฺฐารสอโกฺขภณิสงฺขาย เสนาย สพฺพํ ตํ นครํ ติสนฺติํ จตุสเงฺขปํ ปริกฺขิปิตฺวา อเนกสตสหสฺสาหิ อุกฺกาหิ ธาริยมานาหิ อรุเณ อุคฺคจฺฉเนฺตเยว คหณสโชฺช หุตฺวา อฎฺฐาสิฯ ตํ ญตฺวา มหาสโตฺต อตฺตโน โยธานํ ตีณิ สตานิ เปเสสิ ‘‘ตุเมฺห ชงฺฆอุมเงฺคน คนฺตฺวา รโญฺญ มาตรญฺจ อคฺคมเหสิญฺจ ปุตฺตญฺจ ธีตรญฺจ ชงฺฆอุมเงฺคน อาเนตฺวา มหาอุมเงฺคน เนตฺวา อุมงฺคทฺวารโต พหิ อกตฺวา อโนฺตอุมเงฺคเยว ฐเปตฺวา ยาว อมฺหากํ อาคมนา รกฺขนฺตา ตตฺถ ฐตฺวา อมฺหากํ อาคมนกาเล อุมงฺคา นีหริตฺวา อุมงฺคทฺวาเร มหาวิสาลมาฬเก ฐเปถา’’ติฯ เต ตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา ชงฺฆอุมเงฺคน คนฺตฺวา โสปานปาทมูเล ผลกสนฺถรณํ อุคฺฆาเฎตฺวา โสปานปาทมูเล โสปานสีเส มหาตเลติ เอตฺตเก ฐาเน อารกฺขมนุเสฺส จ ขุชฺชาทิปริจาริกาโย จ หตฺถปาเทสุ พนฺธิตฺวา มุขญฺจ ปิทหิตฺวา ตตฺถ ตตฺถ ปฎิจฺฉนฺนฎฺฐาเน ฐเปตฺวา รโญฺญ ปฎิยตฺตํ ขาทนียโภชนียํ กิญฺจิ ขาทิตฺวา กิญฺจิ ภินฺทิตฺวา จุณฺณวิจุณฺณํ กตฺวา อปริโภคํ กตฺวา ฉเฑฺฑตฺวา อุปริปาสาทํ อภิรุหิํสุฯ ตทา จลากเทวี นนฺทาเทวิญฺจ ราชปุตฺตญฺจ ราชธีตรญฺจ คเหตฺวา ‘‘โก ชานาติ, กิํ ภวิสฺสตี’’ติ มญฺญมานา อตฺตนา สทฺธิํ เอกสยเนเยว สยาเปสิฯ เต โยธา คพฺภทฺวาเร ฐตฺวา ปโกฺกสิํสุฯ สา นิกฺขมิตฺวา ‘‘กิํ, ตาตา’’ติ อาหฯ ‘‘เทวิ, อมฺหากํ ราชา เวเทหญฺจ มโหสธญฺจ ชีวิตกฺขยํ ปาเปตฺวา สกลชมฺพุทีเป เอกรชฺชํ กตฺวา เอกสตราชปริวุโต มหเนฺตน ยเสน อชฺช มหาชยปานํ ปิวโนฺต ตุเมฺห จตฺตาโรปิ ชเน คเหตฺวา อาเนหี’’ติ อเมฺห ปหิณีติฯ

    Cūḷanirājāpi aṭṭhārasaakkhobhaṇisaṅkhāya senāya sabbaṃ taṃ nagaraṃ tisantiṃ catusaṅkhepaṃ parikkhipitvā anekasatasahassāhi ukkāhi dhāriyamānāhi aruṇe uggacchanteyeva gahaṇasajjo hutvā aṭṭhāsi. Taṃ ñatvā mahāsatto attano yodhānaṃ tīṇi satāni pesesi ‘‘tumhe jaṅghaumaṅgena gantvā rañño mātarañca aggamahesiñca puttañca dhītarañca jaṅghaumaṅgena ānetvā mahāumaṅgena netvā umaṅgadvārato bahi akatvā antoumaṅgeyeva ṭhapetvā yāva amhākaṃ āgamanā rakkhantā tattha ṭhatvā amhākaṃ āgamanakāle umaṅgā nīharitvā umaṅgadvāre mahāvisālamāḷake ṭhapethā’’ti. Te tassa vacanaṃ sampaṭicchitvā jaṅghaumaṅgena gantvā sopānapādamūle phalakasantharaṇaṃ ugghāṭetvā sopānapādamūle sopānasīse mahātaleti ettake ṭhāne ārakkhamanusse ca khujjādiparicārikāyo ca hatthapādesu bandhitvā mukhañca pidahitvā tattha tattha paṭicchannaṭṭhāne ṭhapetvā rañño paṭiyattaṃ khādanīyabhojanīyaṃ kiñci khāditvā kiñci bhinditvā cuṇṇavicuṇṇaṃ katvā aparibhogaṃ katvā chaḍḍetvā uparipāsādaṃ abhiruhiṃsu. Tadā calākadevī nandādeviñca rājaputtañca rājadhītarañca gahetvā ‘‘ko jānāti, kiṃ bhavissatī’’ti maññamānā attanā saddhiṃ ekasayaneyeva sayāpesi. Te yodhā gabbhadvāre ṭhatvā pakkosiṃsu. Sā nikkhamitvā ‘‘kiṃ, tātā’’ti āha. ‘‘Devi, amhākaṃ rājā vedehañca mahosadhañca jīvitakkhayaṃ pāpetvā sakalajambudīpe ekarajjaṃ katvā ekasatarājaparivuto mahantena yasena ajja mahājayapānaṃ pivanto tumhe cattāropi jane gahetvā ānehī’’ti amhe pahiṇīti.

    เตปิ เตสํ วจนํ สทฺทหิตฺวา ปาสาทา โอตริตฺวา โสปานปาทมูลํ อคมิํสุฯ อถ เน คเหตฺวา ชงฺฆอุมงฺคํ ปวิสิํสุฯ เต อาหํสุ ‘‘มยํ เอตฺตกํ กาลํ อิธ วสนฺตา อิมํ วีถิํ น โอติณฺณปุพฺพา’’ติฯ ‘‘เทวิ, อิมํ วีถิํ น สพฺพทา โอตรนฺติ, มงฺคลวีถิ นาเมสา, อชฺช มงฺคลทิวสภาเวน ราชา อิมินา มเคฺคน อาเนตุํ อาณาเปสี’’ติฯ เต เตสํ วจนํ สทฺทหิํสุฯ อเถกเจฺจ เต จตฺตาโร คเหตฺวา คจฺฉิํสุฯ เอกเจฺจ นิวตฺติตฺวา ราชนิเวสเน รตนคเพฺภ วิวริตฺวา ยถิจฺฉิตํ รตนสารํ คเหตฺวา อาคมิํสุฯ อิตเรปิ จตฺตาโร ขตฺติยา ปุรโต มหาอุมงฺคํ ปตฺวา อลงฺกตเทวสภํ วิย อุมงฺคํ ทิสฺวา ‘‘รโญฺญ อตฺถาย สชฺชิต’’นฺติ สญฺญํ กริํสุฯ อถ เน คงฺคาย อวิทูรฐานํ เนตฺวา อโนฺตอุมเงฺคเยว อลงฺกตคเพฺภ นิสีทาเปตฺวา เอกเจฺจ อารกฺขํ คเหตฺวา อจฺฉิํสุฯ เอกเจฺจ เตสํ อานีตภาวํ ญาเปตุํ คนฺตฺวา โพธิสตฺตสฺส อาโรเจสุํฯ โส เตสํ กถํ สุตฺวา ‘‘อิทานิ เม มโนรโถ มตฺถกํ ปาปุณิสฺสตี’’ติ โสมนสฺสชาโต รโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา เอกมนฺตํ อฎฺฐาสิฯ ราชาปิ กิเลสาตุรตาย ‘‘อิทานิ เม ธีตรํ เปเสสฺสติ, อิทานิ เม ธีตรํ เปเสสฺสตี’’ติ ปลฺลงฺกโต อุฎฺฐาย วาตปาเนน โอโลเกโนฺต อเนเกหิ อุกฺกาสตสหเสฺสหิ เอโกภาสํ ชาตํ นครํ มหติยา เสนาย ปริวุตํ ทิสฺวา อาสงฺกิตปริสงฺกิโต ‘‘กิํ นุ โข เอต’’นฺติ ปณฺฑิเตหิ สทฺธิํ มเนฺตโนฺต คาถมาห –

    Tepi tesaṃ vacanaṃ saddahitvā pāsādā otaritvā sopānapādamūlaṃ agamiṃsu. Atha ne gahetvā jaṅghaumaṅgaṃ pavisiṃsu. Te āhaṃsu ‘‘mayaṃ ettakaṃ kālaṃ idha vasantā imaṃ vīthiṃ na otiṇṇapubbā’’ti. ‘‘Devi, imaṃ vīthiṃ na sabbadā otaranti, maṅgalavīthi nāmesā, ajja maṅgaladivasabhāvena rājā iminā maggena ānetuṃ āṇāpesī’’ti. Te tesaṃ vacanaṃ saddahiṃsu. Athekacce te cattāro gahetvā gacchiṃsu. Ekacce nivattitvā rājanivesane ratanagabbhe vivaritvā yathicchitaṃ ratanasāraṃ gahetvā āgamiṃsu. Itarepi cattāro khattiyā purato mahāumaṅgaṃ patvā alaṅkatadevasabhaṃ viya umaṅgaṃ disvā ‘‘rañño atthāya sajjita’’nti saññaṃ kariṃsu. Atha ne gaṅgāya avidūraṭhānaṃ netvā antoumaṅgeyeva alaṅkatagabbhe nisīdāpetvā ekacce ārakkhaṃ gahetvā acchiṃsu. Ekacce tesaṃ ānītabhāvaṃ ñāpetuṃ gantvā bodhisattassa ārocesuṃ. So tesaṃ kathaṃ sutvā ‘‘idāni me manoratho matthakaṃ pāpuṇissatī’’ti somanassajāto rañño santikaṃ gantvā ekamantaṃ aṭṭhāsi. Rājāpi kilesāturatāya ‘‘idāni me dhītaraṃ pesessati, idāni me dhītaraṃ pesessatī’’ti pallaṅkato uṭṭhāya vātapānena olokento anekehi ukkāsatasahassehi ekobhāsaṃ jātaṃ nagaraṃ mahatiyā senāya parivutaṃ disvā āsaṅkitaparisaṅkito ‘‘kiṃ nu kho eta’’nti paṇḍitehi saddhiṃ mantento gāthamāha –

    ๖๔๕.

    645.

    ‘‘หตฺถี อสฺสา รถา ปตฺตี, เสนา ติฎฺฐนฺติ วมฺมิตา;

    ‘‘Hatthī assā rathā pattī, senā tiṭṭhanti vammitā;

    อุกฺกา ปทิตฺตา ฌายนฺติ, กิํ นุ มญฺญนฺติ ปณฺฑิตา’’ติฯ

    Ukkā padittā jhāyanti, kiṃ nu maññanti paṇḍitā’’ti.

    ตตฺถ กิํ นุ มญฺญนฺตีติ จูฬนิราชา อมฺหากํ ตุโฎฺฐ, อุทาหุ กุโทฺธ, กิํ นุ ปณฺฑิตา มญฺญนฺตีติ ปุจฺฉิฯ

    Tattha kiṃ nu maññantīti cūḷanirājā amhākaṃ tuṭṭho, udāhu kuddho, kiṃ nu paṇḍitā maññantīti pucchi.

    ตํ สุตฺวา เสนโก อาห – ‘‘มา จินฺตยิตฺถ, มหาราช, อติพหู อุกฺกา ปญฺญายนฺติ, ราชา ตุมฺหากํ ทาตุํ ธีตรํ คเหตฺวา เอติ มเญฺญ’’ติฯ ปุกฺกุโสปิ ‘‘ตุมฺหากํ อาคนฺตุกสกฺการํ กาตุํ อารกฺขํ คเหตฺวา ฐิโต ภวิสฺสตี’’ติ อาหฯ เอวํ เตสํ ยํ ยํ รุจฺจติ, ตํ ตํ กถยิํสุฯ ราชา ปน ‘‘อสุกฎฺฐาเน เสนา ติฎฺฐนฺตุ, อสุกฎฺฐาเน อารกฺขํ คณฺหถ, อปฺปมตฺตา โหถา’’ติ วทนฺตานํ สทฺทํ สุตฺวา โอโลเกโนฺต สนฺนทฺธปญฺจาวุธํ เสนํ ปสฺสิตฺวา มรณภยภีโต หุตฺวา มหาสตฺตสฺส กถํ ปจฺจาสีสโนฺต อิตรํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā senako āha – ‘‘mā cintayittha, mahārāja, atibahū ukkā paññāyanti, rājā tumhākaṃ dātuṃ dhītaraṃ gahetvā eti maññe’’ti. Pukkusopi ‘‘tumhākaṃ āgantukasakkāraṃ kātuṃ ārakkhaṃ gahetvā ṭhito bhavissatī’’ti āha. Evaṃ tesaṃ yaṃ yaṃ ruccati, taṃ taṃ kathayiṃsu. Rājā pana ‘‘asukaṭṭhāne senā tiṭṭhantu, asukaṭṭhāne ārakkhaṃ gaṇhatha, appamattā hothā’’ti vadantānaṃ saddaṃ sutvā olokento sannaddhapañcāvudhaṃ senaṃ passitvā maraṇabhayabhīto hutvā mahāsattassa kathaṃ paccāsīsanto itaraṃ gāthamāha –

    ๖๔๖.

    646.

    ‘‘หตฺถี อสฺสา รถา ปตฺตี, เสนา ติฎฺฐนฺติ วมฺมิตา;

    ‘‘Hatthī assā rathā pattī, senā tiṭṭhanti vammitā;

    อุกฺกา ปทิตฺตา ฌายนฺติ, กิํ นุ กาหนฺติ ปณฺฑิตา’’ติฯ

    Ukkā padittā jhāyanti, kiṃ nu kāhanti paṇḍitā’’ti.

    ตตฺถ กิํ นุ กาหนฺติ ปณฺฑิตาติ ปณฺฑิต, กิํ นาม จิเนฺตสิ, อิมา เสนา อมฺหากํ กิํ กริสฺสนฺตีติฯ

    Tattha kiṃ nu kāhanti paṇḍitāti paṇḍita, kiṃ nāma cintesi, imā senā amhākaṃ kiṃ karissantīti.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘อิมํ อนฺธพาลํ โถกํ สนฺตาเสตฺวา ปจฺฉา มม ปญฺญาพลํ ทเสฺสตฺวา อสฺสาเสสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘imaṃ andhabālaṃ thokaṃ santāsetvā pacchā mama paññābalaṃ dassetvā assāsessāmī’’ti cintetvā āha –

    ๖๔๗.

    647.

    ‘‘รกฺขติ ตํ มหาราช, จูฬเนโยฺย มหพฺพโล;

    ‘‘Rakkhati taṃ mahārāja, cūḷaneyyo mahabbalo;

    ปทุโฎฺฐ พฺรหฺมทเตฺตน, ปาโต ตํ ฆาตยิสฺสตี’’ติฯ

    Paduṭṭho brahmadattena, pāto taṃ ghātayissatī’’ti.

    ตํ สุตฺวา สเพฺพ มรณภยตชฺชิตา ชาตาฯ รโญฺญ กโณฺฑ สุสฺสิ มุเข เขโฬ ปริฉิชฺชิ, สรีเร ทาโห อุปฺปชฺชิฯ โส มรณภยภีโต ปริเทวโนฺต เทฺว คาถา อาห –

    Taṃ sutvā sabbe maraṇabhayatajjitā jātā. Rañño kaṇḍo sussi mukhe kheḷo parichijji, sarīre dāho uppajji. So maraṇabhayabhīto paridevanto dve gāthā āha –

    ๖๔๘.

    648.

    ‘‘อุเพฺพธติ เม หทยํ, มุขญฺจ ปริสุสฺสติ;

    ‘‘Ubbedhati me hadayaṃ, mukhañca parisussati;

    นิพฺพุติํ นาธิคจฺฉามิ, อคฺคิทโฑฺฒว อาตเปฯ

    Nibbutiṃ nādhigacchāmi, aggidaḍḍhova ātape.

    ๖๔๙.

    649.

    ‘‘กมฺมารานํ ยถา อุกฺกา, อโตฺถ ฌายติ โน พหิ;

    ‘‘Kammārānaṃ yathā ukkā, attho jhāyati no bahi;

    เอวมฺปิ หทยํ มยฺหํ, อโนฺต ฌายติ โน พหี’’ติฯ

    Evampi hadayaṃ mayhaṃ, anto jhāyati no bahī’’ti.

    ตตฺถ อุเพฺพธตีติ ตาต มโหสธปณฺฑิต, หทยํ เม มหาวาตปฺปหริตํ วิย ปลฺลวํ กมฺปติฯ อโนฺต ฌายตีติ โส ‘‘อุกฺกา วิย มยฺหํ หทยมํสํ อพฺภนฺตเร ฌายติ, พหิ ปน น ฌายตี’’ติ ปริเทวติฯ

    Tattha ubbedhatīti tāta mahosadhapaṇḍita, hadayaṃ me mahāvātappaharitaṃ viya pallavaṃ kampati. Anto jhāyatīti so ‘‘ukkā viya mayhaṃ hadayamaṃsaṃ abbhantare jhāyati, bahi pana na jhāyatī’’ti paridevati.

    มหาสโตฺต ตสฺส ปริเทวิตสทฺทํ สุตฺวา ‘‘อยํ อนฺธพาโล อเญฺญสุ ทิวเสสุ มม วจนํ น อกาสิ, ภิโยฺย นํ นิคฺคณฺหิสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Mahāsatto tassa paridevitasaddaṃ sutvā ‘‘ayaṃ andhabālo aññesu divasesu mama vacanaṃ na akāsi, bhiyyo naṃ niggaṇhissāmī’’ti cintetvā āha –

    ๖๕๐.

    650.

    ‘‘ปมโตฺต มนฺตนาตีโต, ภินฺนมโนฺตสิ ขตฺติย;

    ‘‘Pamatto mantanātīto, bhinnamantosi khattiya;

    อิทานิ โข ตํ ตายนฺตุ, ปณฺฑิตา มนฺติโน ชนาฯ

    Idāni kho taṃ tāyantu, paṇḍitā mantino janā.

    ๖๕๑.

    651.

    ‘‘อกตฺวามจฺจสฺส วจนํ, อตฺถกามหิเตสิโน;

    ‘‘Akatvāmaccassa vacanaṃ, atthakāmahitesino;

    อตฺตปีติรโต ราชา, มิโค กูเฎว โอหิโตฯ

    Attapītirato rājā, migo kūṭeva ohito.

    ๖๕๒.

    652.

    ‘‘ยถาปิ มโจฺฉ พฬิสํ, วงฺกํ มํเสน ฉาทิตํ;

    ‘‘Yathāpi maccho baḷisaṃ, vaṅkaṃ maṃsena chāditaṃ;

    อามคิโทฺธ น ชานาติ, มโจฺฉ มรณมตฺตโนฯ

    Āmagiddho na jānāti, maccho maraṇamattano.

    ๖๕๓.

    653.

    ‘‘เอวเมว ตุวํ ราช, จูฬเนยฺยสฺส ธีตรํ;

    ‘‘Evameva tuvaṃ rāja, cūḷaneyyassa dhītaraṃ;

    กามคิโทฺธ น ชานาสิ, มโจฺฉว มรณมตฺตโนฯ

    Kāmagiddho na jānāsi, macchova maraṇamattano.

    ๖๕๔.

    654.

    ‘‘สเจ คจฺฉสิ ปญฺจาลํ, ขิปฺปมตฺตํ ชหิสฺสสิ;

    ‘‘Sace gacchasi pañcālaṃ, khippamattaṃ jahissasi;

    มิคํ ปนฺถานุพนฺธํว, มหนฺตํ ภยเมสฺสติฯ

    Migaṃ panthānubandhaṃva, mahantaṃ bhayamessati.

    ๖๕๕.

    655.

    ‘‘อนริยรูโป ปุริโส ชนินฺท, อหีว อุจฺฉงฺคคโต ฑเสยฺย;

    ‘‘Anariyarūpo puriso janinda, ahīva ucchaṅgagato ḍaseyya;

    น เตน มิตฺติํ กยิราถ ธีโร, ทุโกฺข หเว กาปุริเสน สงฺคโมฯ

    Na tena mittiṃ kayirātha dhīro, dukkho have kāpurisena saṅgamo.

    ๖๕๖.

    656.

    ‘‘ยเทว ชญฺญา ปุริสํ ชนินฺท, สีลวายํ พหุสฺสุโต;

    ‘‘Yadeva jaññā purisaṃ janinda, sīlavāyaṃ bahussuto;

    เตเนว มิตฺติํ กยิราถ ธีโร, สุโข หเว สปฺปุริเสน สงฺคโม’’ติฯ

    Teneva mittiṃ kayirātha dhīro, sukho have sappurisena saṅgamo’’ti.

    ตตฺถ ปมโตฺตติ มหาราช, ตฺวํ กาเมน ปมโตฺตฯ มนฺตนาตีโตติ มยา อนาคตภยํ ทิสฺวา ปญฺญาย ปริจฺฉินฺทิตฺวา มนฺติตมนฺตนํ อติกฺกมโนฺตฯ ภินฺนมโนฺตติ มนฺตนาติกฺกนฺตตฺตาเยว ภินฺนมโนฺต, โย วา เต เสนกาทีหิ สทฺธิํ มโนฺต คหิโต, เอโส ภิโนฺนติปิ ภินฺนมโนฺตสิ ชาโตฯ ปณฺฑิตาติ อิเม เสนกาทโย จตฺตาโร ชนา อิทานิ ตํ รกฺขนฺตุ, ปสฺสามิ เนสํ พลนฺติ ทีเปติฯ อกตฺวามจฺจสฺสาติ มม อุตฺตมอมจฺจสฺส วจนํ อกตฺวาฯ อตฺตปีติรโตติ อตฺตโน กิเลสปีติยา อภิรโต หุตฺวาฯ มิโค กูเฎว โอหิโตติ ยถา นาม นิวาปโลเภน อาคโต มิโค กูฎปาเส พชฺฌติ, เอวํ มม วจนํ อคฺคเหตฺวา ‘‘ปญฺจาลจนฺทิํ ลภิสฺสามี’’ติ กิเลสโลเภน อาคนฺตฺวา อิทานิ กูฎปาเส พโทฺธ มิโค วิย ชาโตสีติฯ

    Tattha pamattoti mahārāja, tvaṃ kāmena pamatto. Mantanātītoti mayā anāgatabhayaṃ disvā paññāya paricchinditvā mantitamantanaṃ atikkamanto. Bhinnamantoti mantanātikkantattāyeva bhinnamanto, yo vā te senakādīhi saddhiṃ manto gahito, eso bhinnotipi bhinnamantosi jāto. Paṇḍitāti ime senakādayo cattāro janā idāni taṃ rakkhantu, passāmi nesaṃ balanti dīpeti. Akatvāmaccassāti mama uttamaamaccassa vacanaṃ akatvā. Attapītiratoti attano kilesapītiyā abhirato hutvā. Migo kūṭeva ohitoti yathā nāma nivāpalobhena āgato migo kūṭapāse bajjhati, evaṃ mama vacanaṃ aggahetvā ‘‘pañcālacandiṃ labhissāmī’’ti kilesalobhena āgantvā idāni kūṭapāse baddho migo viya jātosīti.

    ‘‘ยถาปิ มโจฺจ’’ติ คาถาทฺวยํ ‘‘ตทา มยา อยํ อุปมา อาภตา’’ติ ทเสฺสตุํ วุตฺตํฯ ‘‘สเจ คจฺฉสี’’ติ คาถาปิ ‘‘น เกวลํ เอตฺตกเมว, อิมมฺปิ อหํ อาหริ’’นฺติ ทเสฺสตุํ วุตฺตาฯ อนริยรูโปติ เกวฎฺฎพฺราหฺมณสทิโส อสปฺปุริสชาติโก นิลฺลชฺชปุริโสฯ น เตน มิตฺตินฺติ ตาทิเสน สทฺธิํ มิตฺติธมฺมํ น กยิราถ, ตฺวํ ปน เกวเฎฺฎน สทฺธิํ มิตฺติธมฺมํ กตฺวา ตสฺส วจนํ คณฺหิฯ ทุโกฺขติ เอวรูเปน สทฺธิํ สงฺคโม นาม เอกวารมฺปิ กโต อิธโลเกปิ ปรโลเกปิ มหาทุกฺขาวหนโต ทุโกฺข นาม โหติฯ ยเทวาติ ยํ เอว, อยเมว วา ปาโฐฯ สุโขติ อิธโลเกปิ ปรโลเกปิ สุโขเยวฯ

    ‘‘Yathāpi macco’’ti gāthādvayaṃ ‘‘tadā mayā ayaṃ upamā ābhatā’’ti dassetuṃ vuttaṃ. ‘‘Sace gacchasī’’ti gāthāpi ‘‘na kevalaṃ ettakameva, imampi ahaṃ āhari’’nti dassetuṃ vuttā. Anariyarūpoti kevaṭṭabrāhmaṇasadiso asappurisajātiko nillajjapuriso. Na tena mittinti tādisena saddhiṃ mittidhammaṃ na kayirātha, tvaṃ pana kevaṭṭena saddhiṃ mittidhammaṃ katvā tassa vacanaṃ gaṇhi. Dukkhoti evarūpena saddhiṃ saṅgamo nāma ekavārampi kato idhalokepi paralokepi mahādukkhāvahanato dukkho nāma hoti. Yadevāti yaṃ eva, ayameva vā pāṭho. Sukhoti idhalokepi paralokepi sukhoyeva.

    อถ นํ ‘‘ปุน เอวรูปํ กริสฺสตี’’ติ สุฎฺฐุตรํ นิคฺคณฺหโนฺต ปุเพฺพ รญฺญา กถิตกถํ อาหริตฺวา ทเสฺสโนฺต –

    Atha naṃ ‘‘puna evarūpaṃ karissatī’’ti suṭṭhutaraṃ niggaṇhanto pubbe raññā kathitakathaṃ āharitvā dassento –

    ๖๕๗.

    657.

    ‘‘พาโล ตุวํ เอฬมูโคสิ ราช, โย อุตฺตมตฺถานิ มยี ลปิโตฺถ;

    ‘‘Bālo tuvaṃ eḷamūgosi rāja, yo uttamatthāni mayī lapittho;

    กิเมวหํ นงฺคลโกฎิวโฑฺฒ, อตฺถานิ ชานามิ ยถาปิ อเญฺญฯ

    Kimevahaṃ naṅgalakoṭivaḍḍho, atthāni jānāmi yathāpi aññe.

    ๖๕๘.

    658.

    ‘‘อิมํ คเล คเหตฺวาน, นาเสถ วิชิตา มม;

    ‘‘Imaṃ gale gahetvāna, nāsetha vijitā mama;

    โย เม รตนลาภสฺส, อนฺตรายาย ภาสตี’’ติฯ –

    Yo me ratanalābhassa, antarāyāya bhāsatī’’ti. –

    อิมา เทฺว คาถา วตฺวา ‘‘มหาราช, อหํ คหปติปุโตฺต, ยถา ตว อเญฺญ เสนกาทโย ปณฺฑิตา อตฺถานิ ชานนฺติ, ตถา กิเมว อหํ ชานิสฺสํ, อโคจโร เอส มยฺหํ, คหปติสิปฺปเมวาหํ ชานามิ, อยํ อโตฺถ เสนกาทีนํ ปณฺฑิตานํ ปากโฎ โหติ, อชฺช เต อฎฺฐารสอโกฺขภณิสงฺขาย เสนาย ปริวาริตสฺส เสนกาทโย อวสฺสยา โหนฺตุ, มํ ปน คีวายํ คเหตฺวา นิกฺกฑฺฒิตุํ อาณาเปสิ, อิทานิ มํ กสฺมา ปุจฺฉสี’’ติ เอวํ สุนิคฺคหิตํ นิคฺคณฺหิฯ

    Imā dve gāthā vatvā ‘‘mahārāja, ahaṃ gahapatiputto, yathā tava aññe senakādayo paṇḍitā atthāni jānanti, tathā kimeva ahaṃ jānissaṃ, agocaro esa mayhaṃ, gahapatisippamevāhaṃ jānāmi, ayaṃ attho senakādīnaṃ paṇḍitānaṃ pākaṭo hoti, ajja te aṭṭhārasaakkhobhaṇisaṅkhāya senāya parivāritassa senakādayo avassayā hontu, maṃ pana gīvāyaṃ gahetvā nikkaḍḍhituṃ āṇāpesi, idāni maṃ kasmā pucchasī’’ti evaṃ suniggahitaṃ niggaṇhi.

    ตํ สุตฺวา ราชา จิเนฺตสิ ‘‘ปณฺฑิโต มยา กถิตโทสเมว กเถติฯ ปุเพฺพว หิ อิทํ อนาคตภยํ ชานิ, เตน มํ อติวิย นิคฺคณฺหาติ, น โข ปนายํ เอตฺตกํ กาลํ นิกฺกมฺมโกว อจฺฉิสฺสติ, อวสฺสํ อิมินา มยฺหํ โสตฺถิภาโว กโต ภวิสฺสตี’’ติฯ อถ นํ ปริคฺคณฺหโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –

    Taṃ sutvā rājā cintesi ‘‘paṇḍito mayā kathitadosameva katheti. Pubbeva hi idaṃ anāgatabhayaṃ jāni, tena maṃ ativiya niggaṇhāti, na kho panāyaṃ ettakaṃ kālaṃ nikkammakova acchissati, avassaṃ iminā mayhaṃ sotthibhāvo kato bhavissatī’’ti. Atha naṃ pariggaṇhanto dve gāthā abhāsi –

    ๖๕๙.

    659.

    ‘‘มโหสธ อตีเตน, นานุวิชฺฌนฺติ ปณฺฑิตา,

    ‘‘Mahosadha atītena, nānuvijjhanti paṇḍitā,

    กิํ มํ อสฺสํว สมฺพทฺธํ, ปโตเทเนว วิชฺฌสิฯ

    Kiṃ maṃ assaṃva sambaddhaṃ, patodeneva vijjhasi.

    ๖๖๐.

    660.

    ‘‘สเจ ปสฺสสิ โมกฺขํ วา, เขมํ วา ปน ปสฺสสิ;

    ‘‘Sace passasi mokkhaṃ vā, khemaṃ vā pana passasi;

    เตเนว มํ อนุสาส, กิํ อตีเตน วิชฺฌสี’’ติฯ

    Teneva maṃ anusāsa, kiṃ atītena vijjhasī’’ti.

    ตตฺถ นานุวิชฺฌนฺตีติ อตีตโทสํ คเหตฺวา มุขสตฺตีหิ น วิชฺฌนฺติฯ อสฺสํว สมฺพทฺธนฺติ สตฺตุเสนาย ปริวุตตฺตา สุฎฺฐุ พนฺธิตฺวา ฐปิตํ อสฺสํ วิย กิํ มํ วิชฺฌสิฯ เตเนว มนฺติ เอวํ เต โมโกฺข ภวิสฺสติ, เอวํ เขมนฺติ เตเนว โสตฺถิภาเวน มํ อนุสาส อสฺสาเสหิ, ตญฺหิ ฐเปตฺวา อญฺญํ เม ปฎิสรณํ นตฺถีติฯ

    Tattha nānuvijjhantīti atītadosaṃ gahetvā mukhasattīhi na vijjhanti. Assaṃva sambaddhanti sattusenāya parivutattā suṭṭhu bandhitvā ṭhapitaṃ assaṃ viya kiṃ maṃ vijjhasi. Teneva manti evaṃ te mokkho bhavissati, evaṃ khemanti teneva sotthibhāvena maṃ anusāsa assāsehi, tañhi ṭhapetvā aññaṃ me paṭisaraṇaṃ natthīti.

    อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘อยํ ราชา อติวิย อนฺธพาโล, ปุริสวิเสสํ น ชานาติ, โถกํ กิลเมตฺวา ปจฺฉา ตสฺส อวสฺสโย ภวิสฺสมี’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Atha naṃ mahāsatto ‘‘ayaṃ rājā ativiya andhabālo, purisavisesaṃ na jānāti, thokaṃ kilametvā pacchā tassa avassayo bhavissamī’’ti cintetvā āha –

    ๖๖๑.

    661.

    ‘‘อตีตํ มานุสํ กมฺมํ, ทุกฺกรํ ทุรภิสมฺภวํ;

    ‘‘Atītaṃ mānusaṃ kammaṃ, dukkaraṃ durabhisambhavaṃ;

    น ตํ สโกฺกปิ โมเจตุํ, ตฺวํ ปชานสฺสุ ขตฺติยฯ

    Na taṃ sakkopi mocetuṃ, tvaṃ pajānassu khattiya.

    ๖๖๒.

    662.

    ‘‘สนฺติ เวหายสา นาคา, อิทฺธิมโนฺต ยสสฺสิโน;

    ‘‘Santi vehāyasā nāgā, iddhimanto yasassino;

    เตปิ อาทาย คเจฺฉยฺยุํ, ยสฺส โหนฺติ ตถาวิธาฯ

    Tepi ādāya gaccheyyuṃ, yassa honti tathāvidhā.

    ๖๖๓.

    663.

    ‘‘สนฺติ เวหายสา อสฺสา, อิทฺธิมโนฺต ยสสฺสิโน;

    ‘‘Santi vehāyasā assā, iddhimanto yasassino;

    เตปิ อาทาย คเจฺฉยฺยุํ, ยสฺส โหนฺติ ตถาวิธาฯ

    Tepi ādāya gaccheyyuṃ, yassa honti tathāvidhā.

    ๖๖๔.

    664.

    ‘‘สนฺติ เวหายสา ปกฺขี, อิทฺธิมโนฺต ยสสฺสิโน;

    ‘‘Santi vehāyasā pakkhī, iddhimanto yasassino;

    เตปิ อาทาย คเจฺฉยฺยุํ, ยสฺส โหนฺติ ตถาวิธาฯ

    Tepi ādāya gaccheyyuṃ, yassa honti tathāvidhā.

    ๖๖๕.

    665.

    ‘‘สนฺติ เวหายสา ยกฺขา, อิทฺธิมโนฺต ยสสฺสิโน;

    ‘‘Santi vehāyasā yakkhā, iddhimanto yasassino;

    เตปิ อาทาย คเจฺฉยฺยุํ, ยสฺส โหนฺติ ตถาวิธาฯ

    Tepi ādāya gaccheyyuṃ, yassa honti tathāvidhā.

    ๖๖๖.

    666.

    ‘‘อตีตํ มานุสํ กมฺมํ, ทุกฺกรํ ทุรภิสมฺภวํ;

    ‘‘Atītaṃ mānusaṃ kammaṃ, dukkaraṃ durabhisambhavaṃ;

    น ตํ สโกฺกมิ โมเจตุํ, อนฺตลิเกฺขน ขตฺติยา’’ติฯ

    Na taṃ sakkomi mocetuṃ, antalikkhena khattiyā’’ti.

    ตตฺถ กมฺมนฺติ มหาราช, อิทํ อิโต ตว โมจนํ นาม อตีตํ, มนุเสฺสหิ กตฺตพฺพกมฺมํ อตีตํฯ ทุกฺกรํ ทุรภิสมฺภวนฺติ เนว กาตุํ, น สมฺภวิตุํ สกฺกาฯ น ตํ สโกฺกมีติ อหํ ตํ อิโต โมเจตุํ น สโกฺกมิฯ ตฺวํ ปชานสฺสุ ขตฺติยาติ มหาราช, ตฺวเมเวตฺถ กตฺตพฺพํ ชานสฺสุฯ เวหายสาติ อากาเสน คมนสมตฺถาฯ นาคาติ หตฺถิโนฯ ยสฺสาติ ยสฺส รโญฺญฯ ตถาวิธาติ ฉทฺทนฺตกุเล วา อุโปสถกุเล วา ชาตา นาคา โหนฺติ, ตํ ราชานํ เต อาทาย คเจฺฉยฺยุํฯ อสฺสาติ วลาหกอสฺสราชกุเล ชาตา อสฺสาฯ ปกฺขีติ ครุฬฺหํ สนฺธายาหฯ ยกฺขาติ สาตาคิราทโย ยกฺขาฯ อนฺตลิเกฺขนาติ อนฺตลิเกฺขน โมเจตุํ น สโกฺกมิ, ตํ อาทาย อากาเสน มิถิลํ เนตุํ น สโกฺกมีติ อโตฺถฯ

    Tattha kammanti mahārāja, idaṃ ito tava mocanaṃ nāma atītaṃ, manussehi kattabbakammaṃ atītaṃ. Dukkaraṃ durabhisambhavanti neva kātuṃ, na sambhavituṃ sakkā. Na taṃ sakkomīti ahaṃ taṃ ito mocetuṃ na sakkomi. Tvaṃ pajānassu khattiyāti mahārāja, tvamevettha kattabbaṃ jānassu. Vehāyasāti ākāsena gamanasamatthā. Nāgāti hatthino. Yassāti yassa rañño. Tathāvidhāti chaddantakule vā uposathakule vā jātā nāgā honti, taṃ rājānaṃ te ādāya gaccheyyuṃ. Assāti valāhakaassarājakule jātā assā. Pakkhīti garuḷhaṃ sandhāyāha. Yakkhāti sātāgirādayo yakkhā. Antalikkhenāti antalikkhena mocetuṃ na sakkomi, taṃ ādāya ākāsena mithilaṃ netuṃ na sakkomīti attho.

    ราชา ตํ สุตฺวา อปฺปฎิภาโน นิสีทิฯ อถ เสนโก จิเนฺตสิ ‘‘อิทานิ รโญฺญ เจว อมฺหากญฺจ ฐเปตฺวา ปณฺฑิตํ อญฺญํ ปฎิสรณํ นตฺถิ, ราชา ปนสฺส กถํ สุตฺวา มรณภยตชฺชิโต กิญฺจิ วตฺตุํ น สโกฺกติ, อหํ ปณฺฑิตํ ยาจิสฺสามี’’ติฯ โส ยาจโนฺต เทฺว คาถา อภาสิ –

    Rājā taṃ sutvā appaṭibhāno nisīdi. Atha senako cintesi ‘‘idāni rañño ceva amhākañca ṭhapetvā paṇḍitaṃ aññaṃ paṭisaraṇaṃ natthi, rājā panassa kathaṃ sutvā maraṇabhayatajjito kiñci vattuṃ na sakkoti, ahaṃ paṇḍitaṃ yācissāmī’’ti. So yācanto dve gāthā abhāsi –

    ๖๖๗.

    667.

    ‘‘อตีรทสฺสี ปุริโส, มหเนฺต อุทกณฺณเว;

    ‘‘Atīradassī puriso, mahante udakaṇṇave;

    ยตฺถ โส ลภเต คาธํ, ตตฺถ โส วินฺทเต สุขํฯ

    Yattha so labhate gādhaṃ, tattha so vindate sukhaṃ.

    ๖๖๘.

    668.

    ‘‘เอวํ อมฺหญฺจ รโญฺญ จ, ตฺวํ ปติฎฺฐา มโหสธ;

    ‘‘Evaṃ amhañca rañño ca, tvaṃ patiṭṭhā mahosadha;

    ตฺวํ โนสิ มนฺตินํ เสโฎฺฐ, อเมฺห ทุกฺขา ปโมจยา’’ติฯ

    Tvaṃ nosi mantinaṃ seṭṭho, amhe dukkhā pamocayā’’ti.

    ตตฺถ อตีรทสฺสีติ สมุเทฺท ภินฺนนาโว ตีรํ อปสฺสโนฺตฯ ยตฺถาติ อูมิเวคพฺภาหโต วิจรโนฺต ยมฺหิ ปเทเส ปติฎฺฐํ ลภติฯ ปโมจยาติ ปุเพฺพปิ มิถิลํ ปริวาเรตฺวา ฐิตกาเล ตยาว ปโมจิตมฺหา, อิทานิปิ ตฺวเมว อเมฺห ทุกฺขา โมเจหีติ ยาจิฯ

    Tattha atīradassīti samudde bhinnanāvo tīraṃ apassanto. Yatthāti ūmivegabbhāhato vicaranto yamhi padese patiṭṭhaṃ labhati. Pamocayāti pubbepi mithilaṃ parivāretvā ṭhitakāle tayāva pamocitamhā, idānipi tvameva amhe dukkhā mocehīti yāci.

    อถ นํ นิคฺคณฺหโนฺต มหาสโตฺต คาถาย อชฺฌภาสิ –

    Atha naṃ niggaṇhanto mahāsatto gāthāya ajjhabhāsi –

    ๖๖๙.

    669.

    ‘‘อตีตํ มานุสํ กมฺมํ, ทุกฺกรํ ทุรภิสมฺภวํ;

    ‘‘Atītaṃ mānusaṃ kammaṃ, dukkaraṃ durabhisambhavaṃ;

    น ตํ สโกฺกมิ โมเจตุํ, ตฺวํ ปชานสฺสุ เสนกา’’ติฯ

    Na taṃ sakkomi mocetuṃ, tvaṃ pajānassu senakā’’ti.

    ตตฺถ ปชานสฺสุ เสนกาติ เสนก, อหํ น สโกฺกมิ, ตฺวํ ปน อิมํ ราชานํ อากาเสน มิถิลํ เนหีติฯ

    Tattha pajānassu senakāti senaka, ahaṃ na sakkomi, tvaṃ pana imaṃ rājānaṃ ākāsena mithilaṃ nehīti.

    ราชา คเหตพฺพคหณํ อปสฺสโนฺต มรณภยตชฺชิโต มหาสเตฺตน สทฺธิํ กเถตุํ อสโกฺกโนฺต ‘‘กทาจิ เสนโกปิ กิญฺจิ อุปายํ ชาเนยฺย, ปุจฺฉิสฺสามิ ตาว น’’นฺติ ปุจฺฉโนฺต คาถมาห –

    Rājā gahetabbagahaṇaṃ apassanto maraṇabhayatajjito mahāsattena saddhiṃ kathetuṃ asakkonto ‘‘kadāci senakopi kiñci upāyaṃ jāneyya, pucchissāmi tāva na’’nti pucchanto gāthamāha –

    ๖๗๐.

    670.

    ‘‘สุโณหิ เมตํ วจนํ, ปสฺส เสนํ มหพฺภยํ;

    ‘‘Suṇohi metaṃ vacanaṃ, passa senaṃ mahabbhayaṃ;

    เสนกํ ทานิ ปุจฺฉามิ, กิํ กิจฺจํ อิธ มญฺญสี’’ติฯ

    Senakaṃ dāni pucchāmi, kiṃ kiccaṃ idha maññasī’’ti.

    ตตฺถ กิํ กิจฺจนฺติ กิํ กาตพฺพยุตฺตกํ อิธ มญฺญสิ, มโหสเธนมฺหิ ปริจฺจโตฺต, ยทิ ตฺวํ ชานาสิ, วเทหีติฯ

    Tattha kiṃ kiccanti kiṃ kātabbayuttakaṃ idha maññasi, mahosadhenamhi pariccatto, yadi tvaṃ jānāsi, vadehīti.

    ตํ สุตฺวา เสนโก ‘‘มํ ราชา อุปายํ ปุจฺฉติ, โสภโน วา โหตุ มา วา, กเถสฺสามิ เอกํ อุปาย’’นฺติ จิเนฺตตฺวา คาถมาห –

    Taṃ sutvā senako ‘‘maṃ rājā upāyaṃ pucchati, sobhano vā hotu mā vā, kathessāmi ekaṃ upāya’’nti cintetvā gāthamāha –

    ๖๗๑.

    671.

    ‘‘อคฺคิํ วา ทฺวารโต เทม, คณฺหามเส วิกนฺตนํ;

    ‘‘Aggiṃ vā dvārato dema, gaṇhāmase vikantanaṃ;

    อญฺญมญฺญํ วธิตฺวาน, ขิปฺปํ หิสฺสาม ชีวิตํ;

    Aññamaññaṃ vadhitvāna, khippaṃ hissāma jīvitaṃ;

    มา โน ราชา พฺรหฺมทโตฺต, จิรํ ทุเกฺขน มารยี’’ติฯ

    Mā no rājā brahmadatto, ciraṃ dukkhena mārayī’’ti.

    ตตฺถ ทฺวารโตติ ทฺวารํ ปิทหิตฺวา ตตฺถ อคฺคิํ เทมฯ วิกนฺตนนฺติ อญฺญมญฺญํ วิกนฺตนํ สตฺถํ คณฺหามฯ หิสฺสามาติ ชีวิตํ ขิปฺปํ ชหิสฺสาม, อลงฺกตปาสาโทเยว โน ทารุจิตโก ภวิสฺสติฯ

    Tattha dvāratoti dvāraṃ pidahitvā tattha aggiṃ dema. Vikantananti aññamaññaṃ vikantanaṃ satthaṃ gaṇhāma. Hissāmāti jīvitaṃ khippaṃ jahissāma, alaṅkatapāsādoyeva no dārucitako bhavissati.

    ตํ สุตฺวา ราชา อนตฺตมโน ‘‘อตฺตโน ปุตฺตทารสฺส เอวรูปํ จิตกํ กโรหี’’ติ วตฺวา ปุกฺกุสาทโย ปุจฺฉิฯ เตปิ อตฺตโน ปติรูปา พาลกถาเยว กถยิํสุฯ เตน วุตฺตํ –

    Taṃ sutvā rājā anattamano ‘‘attano puttadārassa evarūpaṃ citakaṃ karohī’’ti vatvā pukkusādayo pucchi. Tepi attano patirūpā bālakathāyeva kathayiṃsu. Tena vuttaṃ –

    ๖๗๒.

    672.

    ‘‘สุโณหิ เมตํ วจนํ, ปสฺส เสนํ มหพฺภยํ;

    ‘‘Suṇohi metaṃ vacanaṃ, passa senaṃ mahabbhayaṃ;

    ปุกฺกุสํ ทานิ ปุจฺฉามิ, กิํ กิจฺจํ อิธ มญฺญสิฯ

    Pukkusaṃ dāni pucchāmi, kiṃ kiccaṃ idha maññasi.

    ๖๗๓.

    673.

    ‘‘วิสํ ขาทิตฺวา มียาม, ขิปฺปํ หิสฺสาม ชีวิตํ;

    ‘‘Visaṃ khāditvā mīyāma, khippaṃ hissāma jīvitaṃ;

    มา โน ราชา พฺรหฺมทโตฺต, จิรํ ทุเกฺขน มารยิฯ

    Mā no rājā brahmadatto, ciraṃ dukkhena mārayi.

    ๖๗๔.

    674.

    ‘‘สุโณหิ เมตํ วจนํ, ปสฺส เสนํ มหพฺภยํ;

    ‘‘Suṇohi metaṃ vacanaṃ, passa senaṃ mahabbhayaṃ;

    กามินฺทํ ทานิ ปุจฺฉามิ, กิํ กิจฺจํ อิธ มญฺญสิฯ

    Kāmindaṃ dāni pucchāmi, kiṃ kiccaṃ idha maññasi.

    ๖๗๕.

    675.

    ‘‘รชฺชุยา พชฺฌ มียาม, ปปาตา ปปตามเส;

    ‘‘Rajjuyā bajjha mīyāma, papātā papatāmase;

    มา โน ราชา พฺรหฺมทโตฺต, จิรํ ทุเกฺขน มารยิฯ

    Mā no rājā brahmadatto, ciraṃ dukkhena mārayi.

    ๖๗๖.

    676.

    ‘‘สุโณหิ เมตํ วจนํ, ปสฺส เสนํ มหพฺภยํ;

    ‘‘Suṇohi metaṃ vacanaṃ, passa senaṃ mahabbhayaṃ;

    เทวินฺทํ ทานิ ปุจฺฉามิ, กิํ กิจฺจํ อิธ มญฺญสิฯ

    Devindaṃ dāni pucchāmi, kiṃ kiccaṃ idha maññasi.

    ๖๗๗.

    677.

    ‘‘อคฺคิํ วา ทฺวารโต เทม, คณฺหามเส วิกนฺตนํ;

    ‘‘Aggiṃ vā dvārato dema, gaṇhāmase vikantanaṃ;

    อญฺญมญฺญํ วธิตฺวาน, ขิปฺปํ หิสฺสาม ชีวิตํ;

    Aññamaññaṃ vadhitvāna, khippaṃ hissāma jīvitaṃ;

    น โน สโกฺกติ โมเจตุํ, สุเขเนว มโหสโธ’’ติฯ

    Na no sakkoti mocetuṃ, sukheneva mahosadho’’ti.

    อปิจ เอเตสุ เทวิโนฺท ‘‘อยํ ราชา กิํ กโรติ, อคฺคิมฺหิ สเนฺต ขโชฺชปนกํ ธมติ, ฐเปตฺวา มโหสธํ อโญฺญ อิธ โสตฺถิภาวํ กาตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถิ, อยํ ตํ อปุจฺฉิตฺวา อเมฺห ปุจฺฉติ, มยํ กิํ ชานามา’’ติ จิเนฺตตฺวา อญฺญํ อุปายํ อปสฺสโนฺต เสนเกน กถิตเมว กเถตฺวา มหาสตฺตํ วเณฺณโนฺต เทฺว ปาเท อาหฯ ตตฺรายํ อธิปฺปาโย – ‘‘มหาราช, มยํ สเพฺพปิ ปณฺฑิตเมว ยาจามฯ สเจ ปน ยาจิยมาโนปิ น โน สโกฺกติ โมเจตุํ สุเขเนว มโหสโธ, อถ เสนกสฺส วจนํ กริสฺสามา’’ติฯ

    Apica etesu devindo ‘‘ayaṃ rājā kiṃ karoti, aggimhi sante khajjopanakaṃ dhamati, ṭhapetvā mahosadhaṃ añño idha sotthibhāvaṃ kātuṃ samattho nāma natthi, ayaṃ taṃ apucchitvā amhe pucchati, mayaṃ kiṃ jānāmā’’ti cintetvā aññaṃ upāyaṃ apassanto senakena kathitameva kathetvā mahāsattaṃ vaṇṇento dve pāde āha. Tatrāyaṃ adhippāyo – ‘‘mahārāja, mayaṃ sabbepi paṇḍitameva yācāma. Sace pana yāciyamānopi na no sakkoti mocetuṃ sukheneva mahosadho, atha senakassa vacanaṃ karissāmā’’ti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ปุเพฺพ โพธิสตฺตสฺส กถิตโทสํ สริตฺวา เตน สทฺธิํ กเถตุํ อสโกฺกโนฺต ตสฺส สุณนฺตเสฺสว ปริเทวโนฺต อาห –

    Taṃ sutvā rājā pubbe bodhisattassa kathitadosaṃ saritvā tena saddhiṃ kathetuṃ asakkonto tassa suṇantasseva paridevanto āha –

    ๖๗๘.

    678.

    ‘‘ยถา กทลิโน สารํ, อเนฺวสํ นาธิคจฺฉติ;

    ‘‘Yathā kadalino sāraṃ, anvesaṃ nādhigacchati;

    เอวํ อเนฺวสมานา นํ, ปญฺหํ นชฺฌคมามเสฯ

    Evaṃ anvesamānā naṃ, pañhaṃ najjhagamāmase.

    ๖๗๙.

    679.

    ‘‘ยถา สิมฺพลิโน สารํ, อเนฺวสํ นาธิคจฺฉติ;

    ‘‘Yathā simbalino sāraṃ, anvesaṃ nādhigacchati;

    เอวํ อเนฺวสมานา นํ, ปญฺหํ นชฺฌคมามเสฯ

    Evaṃ anvesamānā naṃ, pañhaṃ najjhagamāmase.

    ๖๘๐.

    680.

    ‘‘อเทเส วต โน วุฎฺฐํ, กุญฺชรานํ วโนทเก;

    ‘‘Adese vata no vuṭṭhaṃ, kuñjarānaṃ vanodake;

    สกาเส ทุมฺมนุสฺสานํ, พาลานํ อวิชานตํฯ

    Sakāse dummanussānaṃ, bālānaṃ avijānataṃ.

    ๖๘๑.

    681.

    ‘‘อุเพฺพธติ เม หทยํ, มุขญฺจ ปริสุสฺสติ;

    ‘‘Ubbedhati me hadayaṃ, mukhañca parisussati;

    นิพฺพุติํ นาธิคจฺฉามิ, อคฺคิทโฑฺฒว อาตเปฯ

    Nibbutiṃ nādhigacchāmi, aggidaḍḍhova ātape.

    ๖๘๒.

    682.

    ‘‘กมฺมารานํ ยถา อุกฺกา, อโนฺต ฌายติ โน พหิ;

    ‘‘Kammārānaṃ yathā ukkā, anto jhāyati no bahi;

    เอวมฺปิ หทยํ มยฺหํ, อโนฺต ฌายติ โน พหี’’ติฯ

    Evampi hadayaṃ mayhaṃ, anto jhāyati no bahī’’ti.

    ตตฺถ กทลิโนติ ยถา กทลิกฺขนฺธสฺส นิสฺสารตฺตา สารตฺถิโก ปุริโส อเนฺวสโนฺตปิ ตโต สารํ นาธิคจฺฉติ, เอวํ มยํ อิมมฺหา ทุกฺขา มุจฺจนุปายํ ปญฺหํ ปญฺจ ปณฺฑิเต ปุจฺฉิตฺวา อเนฺวสมานาปิ ปญฺหํ นชฺฌคมามเสฯ อเมฺหหิ ปุจฺฉิตํ อุปายํ อชานนฺตา อสฺสุณนฺตา วิย ชาตา, มยํ ตํ ปญฺหํ นาธิคจฺฉามฯ ทุติยคาถายปิ เอเสว นโยฯ กุญฺชรานํ วโนทเกติ ยถา กุญฺชรานํ นิรุทเก ฐาเน วุฎฺฐํ อเทเส วุฎฺฐํ นาม โหติ, เต หิ ตถารูเป นิรุทเก วนคหเน ปเทเส วสนฺตา ขิปฺปเมว ปจฺจามิตฺตานํ วสํ คจฺฉนฺติ, เอวํ อเมฺหหิปิ อิเมสํ ทุมฺมนุสฺสานํ พาลานํ สนฺติเก วสเนฺตหิ อเทเส วุฎฺฐํฯ เอตฺตเกสุ หิ ปณฺฑิเตสุ เอโกปิ เม อิทานิ ปฎิสรณํ นตฺถีติ นานาวิเธน วิลปติฯ

    Tattha kadalinoti yathā kadalikkhandhassa nissārattā sāratthiko puriso anvesantopi tato sāraṃ nādhigacchati, evaṃ mayaṃ imamhā dukkhā muccanupāyaṃ pañhaṃ pañca paṇḍite pucchitvā anvesamānāpi pañhaṃ najjhagamāmase. Amhehi pucchitaṃ upāyaṃ ajānantā assuṇantā viya jātā, mayaṃ taṃ pañhaṃ nādhigacchāma. Dutiyagāthāyapi eseva nayo. Kuñjarānaṃ vanodaketi yathā kuñjarānaṃ nirudake ṭhāne vuṭṭhaṃ adese vuṭṭhaṃ nāma hoti, te hi tathārūpe nirudake vanagahane padese vasantā khippameva paccāmittānaṃ vasaṃ gacchanti, evaṃ amhehipi imesaṃ dummanussānaṃ bālānaṃ santike vasantehi adese vuṭṭhaṃ. Ettakesu hi paṇḍitesu ekopi me idāni paṭisaraṇaṃ natthīti nānāvidhena vilapati.

    ตํ สุตฺวา ปณฺฑิโต ‘‘อยํ ราชา อติวิย กิลมติฯ สเจ นํ น อสฺสาเสสฺสามิ, หทเยน ผลิเตน มริสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา อสฺสาเสสิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Taṃ sutvā paṇḍito ‘‘ayaṃ rājā ativiya kilamati. Sace naṃ na assāsessāmi, hadayena phalitena marissatī’’ti cintetvā assāsesi. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๖๘๓.

    683.

    ‘‘ตโต โส ปณฺฑิโต ธีโร, อตฺถทสฺสี มโหสโธ;

    ‘‘Tato so paṇḍito dhīro, atthadassī mahosadho;

    เวเทหํ ทุกฺขิตํ ทิสฺวา, อิทํ วจนมพฺรวิฯ

    Vedehaṃ dukkhitaṃ disvā, idaṃ vacanamabravi.

    ๖๘๔.

    684.

    ‘‘มา ตฺวํ ภายิ มหาราช, มา ตฺวํ ภายิ รเถสภ;

    ‘‘Mā tvaṃ bhāyi mahārāja, mā tvaṃ bhāyi rathesabha;

    อหํ ตํ โมจยิสฺสามิ, ราหุคฺคหํว จนฺทิมํฯ

    Ahaṃ taṃ mocayissāmi, rāhuggahaṃva candimaṃ.

    ๖๘๕.

    685.

    ‘‘มา ตฺวํ ภายิ มหาราช, มา ตฺวํ ภายิ รเถสภ;

    ‘‘Mā tvaṃ bhāyi mahārāja, mā tvaṃ bhāyi rathesabha;

    อหํ ตํ โมจยิสฺสามิ, ราหุคฺคหํว สูริยํฯ

    Ahaṃ taṃ mocayissāmi, rāhuggahaṃva sūriyaṃ.

    ๖๘๖.

    686.

    ‘‘มา ตฺวํ ภายิ มหาราช, มา ตฺวํ ภายิ รเถสภ;

    ‘‘Mā tvaṃ bhāyi mahārāja, mā tvaṃ bhāyi rathesabha;

    อหํ ตํ โมจยิสฺสามิ, ปเงฺก สนฺนํว กุญฺชรํฯ

    Ahaṃ taṃ mocayissāmi, paṅke sannaṃva kuñjaraṃ.

    ๖๘๗.

    687.

    ‘‘มา ตฺวํ ภายิ มหาราช, มา ตฺวํ ภายิ รเถสภ;

    ‘‘Mā tvaṃ bhāyi mahārāja, mā tvaṃ bhāyi rathesabha;

    อหํ ตํ โมจยิสฺสามิ, เปฬาพทฺธํว ปนฺนคํฯ

    Ahaṃ taṃ mocayissāmi, peḷābaddhaṃva pannagaṃ.

    ๖๘๘.

    688.

    ‘‘มา ตฺวํ ภายิ มหาราช, มา ตฺวํ ภายิ รเถสภ;

    ‘‘Mā tvaṃ bhāyi mahārāja, mā tvaṃ bhāyi rathesabha;

    อหํ ตํ โมจยิสฺสามิ, ปกฺขิํ พทฺธํว ปญฺชเรฯ

    Ahaṃ taṃ mocayissāmi, pakkhiṃ baddhaṃva pañjare.

    ๖๘๙.

    689.

    ‘‘มา ตฺวํ ภายิ มหาราช, มา ตฺวํ ภายิ รเถสภ;

    ‘‘Mā tvaṃ bhāyi mahārāja, mā tvaṃ bhāyi rathesabha;

    อหํ ตํ โมจยิสฺสามิ, มเจฺฉ ชาลคเตริวฯ

    Ahaṃ taṃ mocayissāmi, macche jālagateriva.

    ๖๙๐.

    690.

    ‘‘มา ตฺวํ ภายิ มหาราช, มา ตฺวํ ภายิ รเถสภ;

    ‘‘Mā tvaṃ bhāyi mahārāja, mā tvaṃ bhāyi rathesabha;

    อหํ ตํ โมจยิสฺสามิ, สโยคฺคพลวาหนํฯ

    Ahaṃ taṃ mocayissāmi, sayoggabalavāhanaṃ.

    ๖๙๑.

    691.

    ‘‘มา ตฺวํ ภายิ มหาราช, มา ตฺวํ ภายิ รเถสภ;

    ‘‘Mā tvaṃ bhāyi mahārāja, mā tvaṃ bhāyi rathesabha;

    ปญฺจาลํ วาหยิสฺสามิ, กากเสนํว เลฑฺฑุนาฯ

    Pañcālaṃ vāhayissāmi, kākasenaṃva leḍḍunā.

    ๖๙๒.

    692.

    ‘‘อทุ ปญฺญา กิมตฺถิยา, อมโจฺจ วาปิ ตาทิโส;

    ‘‘Adu paññā kimatthiyā, amacco vāpi tādiso;

    โย ตํ สมฺพาธปกฺขนฺทํ, ทุกฺขา น ปริโมจเย’’ติฯ

    Yo taṃ sambādhapakkhandaṃ, dukkhā na parimocaye’’ti.

    ตตฺถ อิทนฺติ ทวฑาหทเฑฺฒ อรเญฺญ ฆนวสฺสํ วสฺสาเปโนฺต วิย นํ อสฺสาเสโนฺต อิทํ ‘‘มา ตฺวํ ภายิ, มหาราชา’’ติอาทิกํ วจนํ อพฺรวิฯ ตตฺถ สนฺนนฺติ ลคฺคํฯ เปฬาพทฺธนฺติ เปฬาย อพฺภนฺตรคตํ สปฺปํฯ ปญฺจาลนฺติ เอตํ เอวํ มหนฺติมฺปิ ปญฺจาลรโญฺญ เสนํฯ วาหยิสฺสามีติ ปลาเปสฺสามิ ฯ อทูติ นามเตฺถ นิปาโต, ปญฺญา นาม กิมตฺถิยาติ อโตฺถฯ อมโจฺจ วาปิ ตาทิโสติ ตาทิโส ปญฺญาย สมฺปโนฺน อมโจฺจ วาปิ กิมตฺถิโย, โย ตํ เอวํ มรณสมฺพาธปฺปตฺตํ ทุกฺขา น ปริโมจเยฯ มหาราช, อหํ ปฐมตรํ อาคจฺฉโนฺต นาม กิมตฺถํ อาคโตติ มญฺญสิฯ มา ภายิ, อหํ ตํ อิมมฺหา ทุกฺขา โมจยิสฺสามีติ อสฺสาเสสิฯ

    Tattha idanti davaḍāhadaḍḍhe araññe ghanavassaṃ vassāpento viya naṃ assāsento idaṃ ‘‘mā tvaṃ bhāyi, mahārājā’’tiādikaṃ vacanaṃ abravi. Tattha sannanti laggaṃ. Peḷābaddhanti peḷāya abbhantaragataṃ sappaṃ. Pañcālanti etaṃ evaṃ mahantimpi pañcālarañño senaṃ. Vāhayissāmīti palāpessāmi . Adūti nāmatthe nipāto, paññā nāma kimatthiyāti attho. Amacco vāpi tādisoti tādiso paññāya sampanno amacco vāpi kimatthiyo, yo taṃ evaṃ maraṇasambādhappattaṃ dukkhā na parimocaye. Mahārāja, ahaṃ paṭhamataraṃ āgacchanto nāma kimatthaṃ āgatoti maññasi. Mā bhāyi, ahaṃ taṃ imamhā dukkhā mocayissāmīti assāsesi.

    โสปิ ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘อิทานิ เม ชีวิตํ ลทฺธ’’นฺติ อสฺสาสํ ปฎิลภิฯ โพธิสเตฺตน สีหนาเท กเต สเพฺพ จ ตุสฺสิํสุฯ อถ นํ เสนโก ปุจฺฉิ ‘‘ปณฺฑิต, ตฺวํ สเพฺพ อเมฺห คเหตฺวา คจฺฉโนฺต เกนุปาเยน คมิสฺสสี’’ติ? ‘‘อลงฺกตอุมเงฺคน เนสฺสามิ, ตุเมฺห คมนสชฺชา โหถา’’ติ วตฺวา อุมงฺคทฺวารวิวรณตฺถํ โยเธ อาณาเปโนฺต คาถมาห –

    Sopi tassa vacanaṃ sutvā ‘‘idāni me jīvitaṃ laddha’’nti assāsaṃ paṭilabhi. Bodhisattena sīhanāde kate sabbe ca tussiṃsu. Atha naṃ senako pucchi ‘‘paṇḍita, tvaṃ sabbe amhe gahetvā gacchanto kenupāyena gamissasī’’ti? ‘‘Alaṅkataumaṅgena nessāmi, tumhe gamanasajjā hothā’’ti vatvā umaṅgadvāravivaraṇatthaṃ yodhe āṇāpento gāthamāha –

    ๖๙๓.

    693.

    ‘‘เอถ มาณวา อุเฎฺฐถ, มุขํ โสเธถ สนฺธิโน;

    ‘‘Etha māṇavā uṭṭhetha, mukhaṃ sodhetha sandhino;

    เวเทโห สหมเจฺจหิ, อุมเงฺคน คมิสฺสตี’’ติฯ

    Vedeho sahamaccehi, umaṅgena gamissatī’’ti.

    ตตฺถ มาณวาติ ตรุณาธิวจนํฯ มุขํ โสเธถาติ อุมงฺคทฺวารํ วิวรถฯ สนฺธิโนติ ฆรสนฺธิโน จ ทฺวารํ โสเธถ, เอกสตานํ สยนคพฺภานํ ทฺวารํ วิวรถ, อเนกสตานํ ทีปาลยานํ ทฺวารํ วิวรถาติฯ

    Tattha māṇavāti taruṇādhivacanaṃ. Mukhaṃ sodhethāti umaṅgadvāraṃ vivaratha. Sandhinoti gharasandhino ca dvāraṃ sodhetha, ekasatānaṃ sayanagabbhānaṃ dvāraṃ vivaratha, anekasatānaṃ dīpālayānaṃ dvāraṃ vivarathāti.

    เต อุฎฺฐาย อุมงฺคทฺวารํ วิวริํสุฯ สกโล อุมโงฺค เอโกภาโส อลงฺกตเทวสภา วิย วิโรจิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Te uṭṭhāya umaṅgadvāraṃ vivariṃsu. Sakalo umaṅgo ekobhāso alaṅkatadevasabhā viya viroci. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๖๙๔.

    694.

    ‘‘ตสฺส ตํ วจนํ สุตฺวา, ปณฺฑิตสฺสานุจาริโน;

    ‘‘Tassa taṃ vacanaṃ sutvā, paṇḍitassānucārino;

    อุมงฺคทฺวารํ วิวริํสุ, ยนฺตยุเตฺต จ อคฺคเฬ’’ติฯ

    Umaṅgadvāraṃ vivariṃsu, yantayutte ca aggaḷe’’ti.

    ตตฺถ อนุจาริโนติ เวยฺยาวจฺจกราฯ ยนฺตยุเตฺต จ อคฺคเฬติ สูจิฆฎิกสมฺปนฺนานิ จ ทฺวารกวาฎานิฯ

    Tattha anucārinoti veyyāvaccakarā. Yantayutte ca aggaḷeti sūcighaṭikasampannāni ca dvārakavāṭāni.

    เต อุมงฺคทฺวารํ วิวริตฺวา มหาสตฺตสฺส อาโรเจสุํฯ โส รโญฺญ สญฺญมทาสิ ‘‘กาโล, เทว, ปาสาทา โอตรถา’’ติฯ ตํ สุตฺวา ราชา โอตริฯ อถ เสนโก สีสโต นาฬิปฎฺฎํ อปเนตฺวา สาฎกํ โอมุญฺจิตฺวา กจฺฉํ ทฬฺหํ พนฺธิฯ อถ นํ มหาสโตฺต ทิสฺวา ‘‘เสนก, กิํ กโรสี’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘ปณฺฑิต, อุมเงฺคน คจฺฉเนฺตหิ นาม เวฐนํ โมเจตฺวา กจฺฉํ ทฬฺหํ พนฺธิตฺวา คนฺตพฺพ’’นฺติ ฯ ‘‘เสนก, ‘อุมงฺคํ ปวิสโนฺต โอนมิตฺวา ชณฺณุเกหิ ปติฎฺฐาย ปวิสิสฺสามี’ติ มา สญฺญมกาสิฯ สเจ หตฺถินา คนฺตุกาโมสิ, หตฺถิํ อภิรุยฺห คจฺฉาหิฯ สเจ อเสฺสน คนฺตุกาโมสิ, อสฺสํ อภิรุยฺห คจฺฉาหิฯ อุโจฺจ อุมโงฺค อฎฺฐารสหตฺถุเพฺพโธ วิสาลทฺวาโร, ตฺวํ ยถารุจิยา อลงฺกตปฺปฎิยโตฺต รโญฺญ ปุรโต คจฺฉาหี’’ติ อาหฯ โพธิสโตฺต กิร เสนกสฺส คมนํ ปุรโต วิจาเรตฺวา ราชานํ มเชฺฌ กตฺวา สยํ ปจฺฉโต อโหสิฯ กิํ การณา? ราชา อลงฺกตอุมงฺคํ โอโลเกโนฺต มา สณิกํ อคมาสีติฯ อุมเงฺค มหาชนสฺส ยาคุภตฺตขาทนียาทีนิ อปฺปมาณานิ อเหสุํฯ เต มนุสฺสา ขาทนฺตา ปิวนฺตา อุมงฺคํ โอโลเกนฺตา คจฺฉนฺติฯ มหาสโตฺต ‘‘ยาถ มหาราช, ยาถ มหาราชา’’ติ โจเทโนฺต ปจฺฉโต ยาติฯ ราชา อลงฺกตเทวสภํ วิย อุมงฺคํ โอโลเกโนฺต ยาติฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Te umaṅgadvāraṃ vivaritvā mahāsattassa ārocesuṃ. So rañño saññamadāsi ‘‘kālo, deva, pāsādā otarathā’’ti. Taṃ sutvā rājā otari. Atha senako sīsato nāḷipaṭṭaṃ apanetvā sāṭakaṃ omuñcitvā kacchaṃ daḷhaṃ bandhi. Atha naṃ mahāsatto disvā ‘‘senaka, kiṃ karosī’’ti pucchi. ‘‘Paṇḍita, umaṅgena gacchantehi nāma veṭhanaṃ mocetvā kacchaṃ daḷhaṃ bandhitvā gantabba’’nti . ‘‘Senaka, ‘umaṅgaṃ pavisanto onamitvā jaṇṇukehi patiṭṭhāya pavisissāmī’ti mā saññamakāsi. Sace hatthinā gantukāmosi, hatthiṃ abhiruyha gacchāhi. Sace assena gantukāmosi, assaṃ abhiruyha gacchāhi. Ucco umaṅgo aṭṭhārasahatthubbedho visāladvāro, tvaṃ yathāruciyā alaṅkatappaṭiyatto rañño purato gacchāhī’’ti āha. Bodhisatto kira senakassa gamanaṃ purato vicāretvā rājānaṃ majjhe katvā sayaṃ pacchato ahosi. Kiṃ kāraṇā? Rājā alaṅkataumaṅgaṃ olokento mā saṇikaṃ agamāsīti. Umaṅge mahājanassa yāgubhattakhādanīyādīni appamāṇāni ahesuṃ. Te manussā khādantā pivantā umaṅgaṃ olokentā gacchanti. Mahāsatto ‘‘yātha mahārāja, yātha mahārājā’’ti codento pacchato yāti. Rājā alaṅkatadevasabhaṃ viya umaṅgaṃ olokento yāti. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๖๙๕.

    695.

    ‘‘ปุรโต เสนโก ยาติ, ปจฺฉโต จ มโหสโธ;

    ‘‘Purato senako yāti, pacchato ca mahosadho;

    มเชฺฌ จ ราชา เวเทโห, อมจฺจปริวาริโต’’ติฯ

    Majjhe ca rājā vedeho, amaccaparivārito’’ti.

    รโญฺญ อาคตภาวํ ญตฺวา เต มาณวา ราชมาตรญฺจ เทวิญฺจ ปุตฺตญฺจ ธีตรญฺจ อุมงฺคา นีหริตฺวา มหาวิสาลมาฬเก ฐเปสุํฯ ราชาปิ โพธิสเตฺตน สทฺธิํ อุมงฺคา นิกฺขมิฯ เต ราชานญฺจ ปณฺฑิตญฺจ ทิสฺวา ‘‘นิสฺสํสยํ ปรหตฺถํ คตมฺหา, อเมฺห คเหตฺวา อาคเตหิ ปณฺฑิตสฺส ปุริเสหิ ภวิตพฺพ’’นฺติ มรณภยตชฺชิตา มหาวิรวํ วิรวิํสุฯ จูฬนิราชาปิ กิร เวเทหรโญฺญ ปลายนภเยน คงฺคาโต คาวุตมตฺตฎฺฐาเน อฎฺฐาสิฯ โส สนฺนิสินฺนาย รตฺติยา เตสํ วิรวํ สุตฺวา ‘‘นนฺทาเทวิยา วิย สโทฺท’’ติ วตฺตุกาโมปิ ‘‘กุหิํ นนฺทาเทวิํ ปสฺสิสฺสสี’’ติ ปริหาสภเยน น กิญฺจิ อาหฯ มหาสโตฺต ปน ตสฺมิํ ฐาเน ปญฺจาลจนฺทิํ กุมาริกํ รตนราสิมฺหิ ฐเปตฺวา อภิสิญฺจิตฺวา ‘‘มหาราช, ตฺวํ อิมิสฺสา การณา อาคโต, อยํ เต อคฺคมเหสี โหตู’’ติ อาหฯ ตีณิ นาวาสตานิ อุปฎฺฐาเปสุํ, ราชา วิสาลมาฬกา โอตริตฺวา อลงฺกตนาวํ อภิรุหิฯ เตปิ จตฺตาโร ขตฺติยา นาวํ อภิรุหิํสุฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Rañño āgatabhāvaṃ ñatvā te māṇavā rājamātarañca deviñca puttañca dhītarañca umaṅgā nīharitvā mahāvisālamāḷake ṭhapesuṃ. Rājāpi bodhisattena saddhiṃ umaṅgā nikkhami. Te rājānañca paṇḍitañca disvā ‘‘nissaṃsayaṃ parahatthaṃ gatamhā, amhe gahetvā āgatehi paṇḍitassa purisehi bhavitabba’’nti maraṇabhayatajjitā mahāviravaṃ viraviṃsu. Cūḷanirājāpi kira vedeharañño palāyanabhayena gaṅgāto gāvutamattaṭṭhāne aṭṭhāsi. So sannisinnāya rattiyā tesaṃ viravaṃ sutvā ‘‘nandādeviyā viya saddo’’ti vattukāmopi ‘‘kuhiṃ nandādeviṃ passissasī’’ti parihāsabhayena na kiñci āha. Mahāsatto pana tasmiṃ ṭhāne pañcālacandiṃ kumārikaṃ ratanarāsimhi ṭhapetvā abhisiñcitvā ‘‘mahārāja, tvaṃ imissā kāraṇā āgato, ayaṃ te aggamahesī hotū’’ti āha. Tīṇi nāvāsatāni upaṭṭhāpesuṃ, rājā visālamāḷakā otaritvā alaṅkatanāvaṃ abhiruhi. Tepi cattāro khattiyā nāvaṃ abhiruhiṃsu. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๖๙๖.

    696.

    ‘‘อุมงฺคา นิกฺขมิตฺวาน, เวเทโห นาวมารุหิ;

    ‘‘Umaṅgā nikkhamitvāna, vedeho nāvamāruhi;

    อภิรุฬฺหญฺจ ตํ ญตฺวา, อนุสาสิ มโหสโธฯ

    Abhiruḷhañca taṃ ñatvā, anusāsi mahosadho.

    ๖๙๗.

    697.

    ‘‘อยํ เต สสุโร เทว, อยํ สสฺสุ ชนาธิป;

    ‘‘Ayaṃ te sasuro deva, ayaṃ sassu janādhipa;

    ยถา มาตุ ปฎิปตฺติ, เอวํ เต โหตุ สสฺสุยาฯ

    Yathā mātu paṭipatti, evaṃ te hotu sassuyā.

    ๖๙๘.

    698.

    ‘‘ยถาปิ นิยโก ภาตา, สอุทริโย เอกมาตุโก;

    ‘‘Yathāpi niyako bhātā, saudariyo ekamātuko;

    เอวํ ปญฺจาลจโนฺท เต, ทยิตโพฺพ รเถสภฯ

    Evaṃ pañcālacando te, dayitabbo rathesabha.

    ๖๙๙.

    699.

    ‘‘อยํ ปญฺจาลจนฺที เต, ราชปุตฺตี อภิจฺฉิตา;

    ‘‘Ayaṃ pañcālacandī te, rājaputtī abhicchitā;

    กามํ กโรหิ เต ตาย, ภริยา เต รเถสภา’’ติฯ

    Kāmaṃ karohi te tāya, bhariyā te rathesabhā’’ti.

    ตตฺถ อนุสาสีติ เอวํ กิรสฺส อโหสิ ‘‘กทาจิ เอโส กุชฺฌิตฺวา จูฬนิรโญฺญ มาตรํ มาเรยฺย, อภิรูปาย นนฺทาเทวิยา สทฺธิํ สํวาสํ กเปฺปยฺย, ราชกุมารํ วา มาเรยฺย, ปฎิญฺญมสฺส คณฺหิสฺสามี’’ติฯ ตสฺมา ‘‘อยํ เต’’ติอาทีนิ วทโนฺต อนุสาสิฯ ตตฺถ อยํ เต สสุโรติ อยํ ตว สสุรสฺส จูฬนิรโญฺญ ปุโตฺต ปญฺจาลจนฺทิยา กนิฎฺฐภาติโก, อยํ เต อิทานิ สสุโรฯ อยํ สสฺสูติ อยํ อิมิสฺสา มาตา นนฺทาเทวี นาม ตว สสฺสุฯ ยถามาตูติ ยถา มาตุ ปุตฺตา วตฺตปฺปฎิวตฺตํ กโรนฺติ , เอวํ เต เอติสฺสา โหตุ, พลวติํ มาตุสญฺญํ ปจฺจุปฎฺฐาเปตฺวา มา นํ กทาจิ โลภจิเตฺตน โอโลเกหิฯ นิยโกติ อชฺฌตฺติโก เอกปิตรา ชาโตฯ เอกมาตุโกติ เอกมาตรา ชาโตฯ ทยิตโพฺพติ ปิยายิตโพฺพฯ ภริยาติ อยํ เต ภริยา, มา เอติสฺสา อวมานํ อกาสีติ รโญฺญ ปฎิญฺญํ คณฺหิฯ

    Tattha anusāsīti evaṃ kirassa ahosi ‘‘kadāci eso kujjhitvā cūḷanirañño mātaraṃ māreyya, abhirūpāya nandādeviyā saddhiṃ saṃvāsaṃ kappeyya, rājakumāraṃ vā māreyya, paṭiññamassa gaṇhissāmī’’ti. Tasmā ‘‘ayaṃ te’’tiādīni vadanto anusāsi. Tattha ayaṃ te sasuroti ayaṃ tava sasurassa cūḷanirañño putto pañcālacandiyā kaniṭṭhabhātiko, ayaṃ te idāni sasuro. Ayaṃ sassūti ayaṃ imissā mātā nandādevī nāma tava sassu. Yathāmātūti yathā mātu puttā vattappaṭivattaṃ karonti , evaṃ te etissā hotu, balavatiṃ mātusaññaṃ paccupaṭṭhāpetvā mā naṃ kadāci lobhacittena olokehi. Niyakoti ajjhattiko ekapitarā jāto. Ekamātukoti ekamātarā jāto. Dayitabboti piyāyitabbo. Bhariyāti ayaṃ te bhariyā, mā etissā avamānaṃ akāsīti rañño paṭiññaṃ gaṇhi.

    ราชาปิ ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ ราชมาตรํ ปน อารพฺภ กิญฺจิ น กเถสิฯ กิํ การณา? ตสฺสา มหลฺลกภาเวเนวฯ อิทํ ปน สพฺพํ โพธิสโตฺต ตีเร ฐตฺวาว กเถสิฯ อถ นํ ราชา มหาทุกฺขโต มุตฺตตาย คนฺตุกาโม หุตฺวา ‘‘ตาต, ตฺวํ ตีเร ฐิโตว กเถสี’’ติ วตฺวา คาถมาห –

    Rājāpi ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Rājamātaraṃ pana ārabbha kiñci na kathesi. Kiṃ kāraṇā? Tassā mahallakabhāveneva. Idaṃ pana sabbaṃ bodhisatto tīre ṭhatvāva kathesi. Atha naṃ rājā mahādukkhato muttatāya gantukāmo hutvā ‘‘tāta, tvaṃ tīre ṭhitova kathesī’’ti vatvā gāthamāha –

    ๗๐๐.

    700.

    ‘‘อารุยฺห นาวํ ตรมาโน, กิํ นุ ตีรมฺหิ ติฎฺฐสิ;

    ‘‘Āruyha nāvaṃ taramāno, kiṃ nu tīramhi tiṭṭhasi;

    กิจฺฉา มุตฺตามฺห ทุกฺขโต, ยาม ทานิ มโหสธา’’ติฯ

    Kicchā muttāmha dukkhato, yāma dāni mahosadhā’’ti.

    มหาสโตฺต ‘‘เทว, ตุเมฺหหิ สทฺธิํ คมนํ นาม มยฺหํ อยุตฺต’’นฺติ วตฺวา อาห –

    Mahāsatto ‘‘deva, tumhehi saddhiṃ gamanaṃ nāma mayhaṃ ayutta’’nti vatvā āha –

    ๗๐๑.

    701.

    ‘‘เนส ธโมฺม มหาราช, โยหํ เสนาย นายโก;

    ‘‘Nesa dhammo mahārāja, yohaṃ senāya nāyako;

    เสนงฺคํ ปริหาเปตฺวา, อตฺตานํ ปริโมจเยฯ

    Senaṅgaṃ parihāpetvā, attānaṃ parimocaye.

    ๗๐๒.

    702.

    ‘‘นิเวสนมฺหิ เต เทว, เสนงฺคํ ปริหาปิตํ;

    ‘‘Nivesanamhi te deva, senaṅgaṃ parihāpitaṃ;

    ตํ ทินฺนํ พฺรหฺมทเตฺตน, อานยิสฺสํ รเถสภา’’ติฯ

    Taṃ dinnaṃ brahmadattena, ānayissaṃ rathesabhā’’ti.

    ตตฺถ ธโมฺมติ สภาโวฯ นิเวสนมฺหีติ ตํ นครํ สนฺธายาหฯ ปริโมจเยติ ปริโมเจยฺยํฯ ปริหาปิตนฺติ ฉฑฺฑิตํฯ เตสุ หิ มนุเสฺสสุ ทูรมคฺคํ อาคตตฺตา เกจิ กิลนฺตา นิทฺทํ โอกฺกนฺตา เกจิ ขาทนฺตา ปิวนฺตา อมฺหากํ นิกฺขนฺตภาวมฺปิ น ชานิํสุ, เกจิ คิลานาฯ มยา สทฺธิํ จตฺตาโร มาเส กมฺมํ กตฺวา มม อุปการกา มนุสฺสา เจตฺถ พหู, น สกฺกา มยา เอกมนุสฺสมฺปิ ฉเฑฺฑตฺวา คนฺตุํ, อหํ ปน นิวตฺติตฺวา สพฺพมฺปิ ตํ ตว เสนํ พฺรหฺมทเตฺตน ทินฺนํ อปฺปฎิวิทฺธํ อาเนสฺสามิฯ ตุเมฺห, มหาราช, กตฺถจิ อวิลมฺพนฺตา สีฆํ คจฺฉถฯ มยา เอวา อนฺตรามเคฺค หตฺถิวาหนาทีนิ ฐปิตานิ, กิลนฺตกิลนฺตานิ ปหาย สมตฺถสมเตฺถหิ สีฆํ มิถิลเมว ปวิสถาติฯ

    Tattha dhammoti sabhāvo. Nivesanamhīti taṃ nagaraṃ sandhāyāha. Parimocayeti parimoceyyaṃ. Parihāpitanti chaḍḍitaṃ. Tesu hi manussesu dūramaggaṃ āgatattā keci kilantā niddaṃ okkantā keci khādantā pivantā amhākaṃ nikkhantabhāvampi na jāniṃsu, keci gilānā. Mayā saddhiṃ cattāro māse kammaṃ katvā mama upakārakā manussā cettha bahū, na sakkā mayā ekamanussampi chaḍḍetvā gantuṃ, ahaṃ pana nivattitvā sabbampi taṃ tava senaṃ brahmadattena dinnaṃ appaṭividdhaṃ ānessāmi. Tumhe, mahārāja, katthaci avilambantā sīghaṃ gacchatha. Mayā evā antarāmagge hatthivāhanādīni ṭhapitāni, kilantakilantāni pahāya samatthasamatthehi sīghaṃ mithilameva pavisathāti.

    ตโต ราชา คาถมาห –

    Tato rājā gāthamāha –

    ๗๐๓.

    703.

    ‘‘อปฺปเสโน มหาเสนํ, กถํ วิคฺคยฺห ฐสฺสสิ;

    ‘‘Appaseno mahāsenaṃ, kathaṃ viggayha ṭhassasi;

    ทุพฺพโล พลวเนฺตน, วิหญฺญิสฺสสิ ปณฺฑิตา’’ติฯ

    Dubbalo balavantena, vihaññissasi paṇḍitā’’ti.

    ตตฺถ วิคฺคยฺหาติ ปริปฺผริตฺวาฯ วิหญฺญิสฺสสีติ หญฺญิสฺสสิฯ

    Tattha viggayhāti parippharitvā. Vihaññissasīti haññissasi.

    ตโต โพธิสโตฺต อาห –

    Tato bodhisatto āha –

    ๗๐๔.

    704.

    ‘‘อปฺปเสโนปิ เจ มนฺตี, มหาเสนํ อมนฺตินํ;

    ‘‘Appasenopi ce mantī, mahāsenaṃ amantinaṃ;

    ชินาติ ราชา ราชาโน, อาทิโจฺจวุทยํ ตม’’นฺติฯ

    Jināti rājā rājāno, ādiccovudayaṃ tama’’nti.

    ตตฺถ มนฺตีติ มนฺตาย สมนฺนาคโต ปญฺญวา อุปายกุสโลฯ อมนฺตินนฺติ อนุปายกุสลํ ชินาติ, ปญฺญวา ทุปฺปญฺญํ ชินาติฯ ราชา ราชาโนติ เอโกปิ จ เอวรูโป ราชา พหูปิ ทุปฺปญฺญราชาโน ชินาติเยวฯ ยถา กินฺติ? อาทิโจฺจวุทยํ ตมนฺติ, ยถา อาทิโจฺจ อุทยโนฺต ตมํ วิทฺธํเสตฺวา อาโลกํ ทเสฺสติ, เอวํ ชินาติ เจว สูริโย วิย วิโรจติ จฯ

    Tattha mantīti mantāya samannāgato paññavā upāyakusalo. Amantinanti anupāyakusalaṃ jināti, paññavā duppaññaṃ jināti. Rājā rājānoti ekopi ca evarūpo rājā bahūpi duppaññarājāno jinātiyeva. Yathā kinti? Ādiccovudayaṃ tamanti, yathā ādicco udayanto tamaṃ viddhaṃsetvā ālokaṃ dasseti, evaṃ jināti ceva sūriyo viya virocati ca.

    อิทํ วตฺวา มหาสโตฺต ราชานํ ‘‘คจฺฉถ ตุเมฺห’’ติ วนฺทิตฺวา อุโยฺยเชสิฯ โส ‘‘มุโตฺต วตมฺหิ อมิตฺตหตฺถโต, อิมิสฺสา จ ลทฺธตฺตา มโนรโถปิ เม มตฺถกํ ปโตฺต’’ติ โพธิสตฺตสฺส คุเณ อาวเชฺชตฺวา อุปฺปนฺนปีติปาโมโชฺช ปณฺฑิตสฺส คุเณ เสนกสฺส กเถโนฺต คาถมาห –

    Idaṃ vatvā mahāsatto rājānaṃ ‘‘gacchatha tumhe’’ti vanditvā uyyojesi. So ‘‘mutto vatamhi amittahatthato, imissā ca laddhattā manorathopi me matthakaṃ patto’’ti bodhisattassa guṇe āvajjetvā uppannapītipāmojjo paṇḍitassa guṇe senakassa kathento gāthamāha –

    ๗๐๕.

    705.

    ‘‘สุสุขํ วต สํวาโส, ปณฺฑิเตหีติ เสนก;

    ‘‘Susukhaṃ vata saṃvāso, paṇḍitehīti senaka;

    ปกฺขีว ปญฺชเร พเทฺธ, มเจฺฉ ชาลคเตริว;

    Pakkhīva pañjare baddhe, macche jālagateriva;

    อมิตฺตหตฺถตฺตคเต, โมจยี โน มโหสโธ’’ติฯ

    Amittahatthattagate, mocayī no mahosadho’’ti.

    ตตฺถ สุสุขํ วตาติ อติสุขํ วต อิทํ, โย สํวาโส ปณฺฑิเตหิฯ อิตีติ การณเตฺถ นิปาโตฯ อิทํ วุตฺตํ โหติ – ยสฺมา อมิตฺตหตฺถคเต โมจยิ โน มโหสโธ, ตสฺมา, เสนก, วทามิฯ สุสุขํ วต อิทํ, โย เอส ปณฺฑิเตหิ สํวาโสติฯ

    Tattha susukhaṃ vatāti atisukhaṃ vata idaṃ, yo saṃvāso paṇḍitehi. Itīti kāraṇatthe nipāto. Idaṃ vuttaṃ hoti – yasmā amittahatthagate mocayi no mahosadho, tasmā, senaka, vadāmi. Susukhaṃ vata idaṃ, yo esa paṇḍitehi saṃvāsoti.

    ตํ สุตฺวา เสนโกปิ ปณฺฑิตสฺส คุเณ กเถโนฺต อาห –

    Taṃ sutvā senakopi paṇḍitassa guṇe kathento āha –

    ๗๐๖.

    706.

    ‘‘เอวเมตํ มหาราช, ปณฺฑิตา หิ สุขาวหา;

    ‘‘Evametaṃ mahārāja, paṇḍitā hi sukhāvahā;

    ปกฺขีว ปญฺชเร พเทฺธ, มเจฺฉ ชาลคเตริว;

    Pakkhīva pañjare baddhe, macche jālagateriva;

    อมิตฺตหตฺถตฺตคเต, โมจยี โน มโหสโธ’’ติฯ

    Amittahatthattagate, mocayī no mahosadho’’ti.

    อถ เวเทหราชา นทิํ อุตฺตริตฺวา โยชนนฺตเร โยชนนฺตเร มหาสเตฺตน การิตคามํ สมฺปโตฺตฯ ตตฺรสฺส โพธิสเตฺตน ฐปิตมนุสฺสา หตฺถิวาหนาทีนิ เจว อนฺนปานาทีนิ จ อทํสุฯ โส กิลเนฺต หตฺถิอสฺสรถาทโย ฐเปตฺวา อิตเร อาทาย เตหิ สทฺธิํ อญฺญํ คามํ ปาปุณิฯ เอเตนุปาเยน โยชนสติกํ มคฺคํ อติกฺกมิตฺวา ปุนทิวเส ปาโตว มิถิลํ ปาวิสิฯ มหาสโตฺตปิ อุมงฺคทฺวารํ คนฺตฺวา อตฺตนา สนฺนทฺธขคฺคํ โอมุญฺจิตฺวา อุมงฺคทฺวาเร วาลุกํ วิยูหิตฺวา ฐเปสิฯ ฐเปตฺวา จ ปน อุมงฺคํ ปวิสิตฺวา อุมเงฺคน คนฺตฺวา นครํ ปวิสิตฺวา ปาสาทํ อภิรุยฺห คโนฺธทเกน นฺหตฺวา นานคฺครสโภชนํ ภุญฺชิตฺวา สยนวรคโต ‘‘มโนรโถ เม มตฺถกํ ปโตฺต’’ติ อาวเชฺชโนฺต นิปชฺชิฯ อถ ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน จูฬนิราชา เสนงฺคํ วิจารยมาโน ตํ นครํ อุปาคมิฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Atha vedeharājā nadiṃ uttaritvā yojanantare yojanantare mahāsattena kāritagāmaṃ sampatto. Tatrassa bodhisattena ṭhapitamanussā hatthivāhanādīni ceva annapānādīni ca adaṃsu. So kilante hatthiassarathādayo ṭhapetvā itare ādāya tehi saddhiṃ aññaṃ gāmaṃ pāpuṇi. Etenupāyena yojanasatikaṃ maggaṃ atikkamitvā punadivase pātova mithilaṃ pāvisi. Mahāsattopi umaṅgadvāraṃ gantvā attanā sannaddhakhaggaṃ omuñcitvā umaṅgadvāre vālukaṃ viyūhitvā ṭhapesi. Ṭhapetvā ca pana umaṅgaṃ pavisitvā umaṅgena gantvā nagaraṃ pavisitvā pāsādaṃ abhiruyha gandhodakena nhatvā nānaggarasabhojanaṃ bhuñjitvā sayanavaragato ‘‘manoratho me matthakaṃ patto’’ti āvajjento nipajji. Atha tassā rattiyā accayena cūḷanirājā senaṅgaṃ vicārayamāno taṃ nagaraṃ upāgami. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๗๐๗.

    707.

    ‘‘รกฺขิตฺวา กสิณํ รตฺติํ, จูฬเนโยฺย มหพฺพโล;

    ‘‘Rakkhitvā kasiṇaṃ rattiṃ, cūḷaneyyo mahabbalo;

    อุเทนฺตํ อรุณุคฺคสฺมิํ, อุปการิํ อุปาคมิฯ

    Udentaṃ aruṇuggasmiṃ, upakāriṃ upāgami.

    ๗๐๘.

    708.

    ‘‘อารุยฺห ปวรํ นาคํ, พลวนฺตํ สฎฺฐิหายนํ;

    ‘‘Āruyha pavaraṃ nāgaṃ, balavantaṃ saṭṭhihāyanaṃ;

    ราชา อโวจ ปญฺจาโล, จูฬเนโยฺย มหพฺพโลฯ

    Rājā avoca pañcālo, cūḷaneyyo mahabbalo.

    ๗๐๙.

    709.

    ‘‘สนฺนโทฺธ มณิวเมฺมน, สรมาทาย ปาณินา;

    ‘‘Sannaddho maṇivammena, saramādāya pāṇinā;

    เปสิเย อชฺฌภาสิตฺถ, ปุถุคุเมฺพ สมาคเต’’ติฯ

    Pesiye ajjhabhāsittha, puthugumbe samāgate’’ti.

    ตตฺถ กสิณนฺติ สกลํ นิเสฺสสํฯ อุเทนฺตนฺติ อุเทเนฺตฯ อุปการินฺติ ปญฺจาลนครํ อุปาทาย มหาสเตฺตนการิตตฺตา ‘‘อุปการี’’ติ ลทฺธนามกํ ตํ นครํ อุปาคมิฯ อโวจาติ อตฺตโน เสนํ อโวจฯ เปสิเยติ อตฺตโน เปสนการเกฯ อชฺฌภาสิตฺถาติ อธิอภาสิตฺถ, ปุเรตรเมว อภาสิตฺถ, ปุถุคุเมฺพติ พหูสุ สิเปฺปสุ ปติฎฺฐิเต อเนกสิปฺปชานนเกติฯ

    Tattha kasiṇanti sakalaṃ nissesaṃ. Udentanti udente. Upakārinti pañcālanagaraṃ upādāya mahāsattenakāritattā ‘‘upakārī’’ti laddhanāmakaṃ taṃ nagaraṃ upāgami. Avocāti attano senaṃ avoca. Pesiyeti attano pesanakārake. Ajjhabhāsitthāti adhiabhāsittha, puretarameva abhāsittha, puthugumbeti bahūsu sippesu patiṭṭhite anekasippajānanaketi.

    อิทานิ เต สรูปโต ทเสฺสตุมาห –

    Idāni te sarūpato dassetumāha –

    ๗๑๐.

    710.

    ‘‘หตฺถาโรเห อนีกเฎฺฐ, รถิเก ปตฺติการเก;

    ‘‘Hatthārohe anīkaṭṭhe, rathike pattikārake;

    อุปาสนมฺหิ กตหเตฺถ, วาลเวเธ สมาคเต’’ติฯ

    Upāsanamhi katahatthe, vālavedhe samāgate’’ti.

    ตตฺถ อุปาสนมฺหีติ ธนุสิเปฺปฯ กตหเตฺถติ อวิรชฺฌนเวธิตาย สมฺปนฺนหเตฺถฯ

    Tattha upāsanamhīti dhanusippe. Katahattheti avirajjhanavedhitāya sampannahatthe.

    อิทานิ ราชา เวเทหํ ชีวคฺคาหํ คณฺหาเปตุํ อาณาเปโนฺต อาห –

    Idāni rājā vedehaṃ jīvaggāhaṃ gaṇhāpetuṃ āṇāpento āha –

    ๗๑๑.

    711.

    ‘‘เปเสถ กุญฺชเร ทนฺตี, พลวเนฺต สฎฺฐิหายเน;

    ‘‘Pesetha kuñjare dantī, balavante saṭṭhihāyane;

    มทฺทนฺตุ กุญฺชรา นครํ, เวเทเหน สุมาปิตํฯ

    Maddantu kuñjarā nagaraṃ, vedehena sumāpitaṃ.

    ๗๑๒.

    712.

    ‘‘วจฺฉทนฺตมุขา เสตา, ติกฺขคฺคา อฎฺฐิเวธิโน;

    ‘‘Vacchadantamukhā setā, tikkhaggā aṭṭhivedhino;

    ปณุนฺนา ธนุเวเคน, สมฺปตนฺตุตรีตราฯ

    Paṇunnā dhanuvegena, sampatantutarītarā.

    ๗๑๓.

    713.

    ‘‘มาณวา วมฺมิโน สูรา, จิตฺรทณฺฑยุตาวุธา;

    ‘‘Māṇavā vammino sūrā, citradaṇḍayutāvudhā;

    ปกฺขนฺทิโน มหานาคา, หตฺถีนํ โหนฺตุ สมฺมุขาฯ

    Pakkhandino mahānāgā, hatthīnaṃ hontu sammukhā.

    ๗๑๔.

    714.

    ‘‘สตฺติโย เตลโธตาโย, อจฺจิมนฺตา ปภสฺสรา;

    ‘‘Sattiyo teladhotāyo, accimantā pabhassarā;

    วิโชฺชตมานา ติฎฺฐนฺตุ, สตรํสีว ตารกาฯ

    Vijjotamānā tiṭṭhantu, sataraṃsīva tārakā.

    ๗๑๕.

    715.

    ‘‘อาวุธพลวนฺตานํ , คุณิกายูรธารินํ;

    ‘‘Āvudhabalavantānaṃ , guṇikāyūradhārinaṃ;

    เอตาทิสานํ โยธานํ, สงฺคาเม อปลายินํ;

    Etādisānaṃ yodhānaṃ, saṅgāme apalāyinaṃ;

    เวเทโห กุโต มุจฺจิสฺสติ, สเจ ปกฺขีว กาหิติฯ

    Vedeho kuto muccissati, sace pakkhīva kāhiti.

    ๗๑๖.

    716.

    ‘‘ติํส เม ปุริสนาวุโตฺย, สเพฺพเวเกกนิจฺจิตา;

    ‘‘Tiṃsa me purisanāvutyo, sabbevekekaniccitā;

    เยสํ สมํ น ปสฺสามิ, เกวลํ มหีมํ จรํฯ

    Yesaṃ samaṃ na passāmi, kevalaṃ mahīmaṃ caraṃ.

    ๗๑๗.

    717.

    ‘‘นาคา จ กปฺปิตา ทนฺตี, พลวโนฺต สฎฺฐิหายนา;

    ‘‘Nāgā ca kappitā dantī, balavanto saṭṭhihāyanā;

    เยสํ ขเนฺธสุ โสภนฺติ, กุมารา จารุทสฺสนาฯ

    Yesaṃ khandhesu sobhanti, kumārā cārudassanā.

    ๗๑๘.

    718.

    ‘‘ปีตาลงฺการา ปีตวสนา, ปีตุตฺตรนิวาสนา;

    ‘‘Pītālaṅkārā pītavasanā, pītuttaranivāsanā;

    นาคขเนฺธสุ โสภนฺติ, เทวปุตฺตาว นนฺทเนฯ

    Nāgakhandhesu sobhanti, devaputtāva nandane.

    ๗๑๙.

    719.

    ‘‘ปาฐีนวณฺณา เนตฺติํสา, เตลโธตา ปภสฺสรา;

    ‘‘Pāṭhīnavaṇṇā nettiṃsā, teladhotā pabhassarā;

    นิฎฺฐิตา นรธีเรภิ, สมธารา สุนิสฺสิตาฯ

    Niṭṭhitā naradhīrebhi, samadhārā sunissitā.

    ๗๒๐.

    720.

    ‘‘เวลฺลาลิโน วีตมลา, สิกฺกายสมยา ทฬา;

    ‘‘Vellālino vītamalā, sikkāyasamayā daḷā;

    คหิตา พลวเนฺตภิ, สุปฺปหารปฺปหาริภิฯ

    Gahitā balavantebhi, suppahārappahāribhi.

    ๗๒๑.

    721.

    ‘‘สุวณฺณถรุสมฺปนฺนา, โลหิตกจฺฉุปธาริตา;

    ‘‘Suvaṇṇatharusampannā, lohitakacchupadhāritā;

    วิวตฺตมานา โสภนฺติ, วิชฺชูวพฺภฆนนฺตเรฯ

    Vivattamānā sobhanti, vijjūvabbhaghanantare.

    ๗๒๒.

    722.

    ‘‘ปฎากา วมฺมิโน สูรา, อสิจมฺมสฺส โกวิทา;

    ‘‘Paṭākā vammino sūrā, asicammassa kovidā;

    ธนุคฺคหา สิกฺขิตรา, นาคขเนฺธ นิปาติโนฯ

    Dhanuggahā sikkhitarā, nāgakhandhe nipātino.

    ๗๒๓.

    723.

    ‘‘เอตาทิเสหิ ปริกฺขิโตฺต, นตฺถิ โมโกฺข อิโต ตว;

    ‘‘Etādisehi parikkhitto, natthi mokkho ito tava;

    ปภาวํ เต น ปสฺสามิ, เยน ตฺวํ มิถิลํ วเช’’ติฯ

    Pabhāvaṃ te na passāmi, yena tvaṃ mithilaṃ vaje’’ti.

    ตตฺถ ทนฺตีติ สมฺปนฺนทเนฺตฯ วจฺฉทนฺตมุขาติ นิขาทนสทิสมุขาฯ ปณุนฺนาติ วิสฺสฎฺฐาฯ สมฺปตนฺตุตรีตราติ เอวรูปา สรา อิตรีตรา สมฺปตนฺตุ สมาคจฺฉนฺตุฯ ฆนเมฆวสฺสํ วิย สรวสฺสํ วสฺสถาติ อาณาเปสิฯ มาณวาติ ตรุณโยธาฯ วมฺมิโนติ วมฺมหตฺถาฯ จิตฺรทณฺฑยุตาวุธาติ จิตฺรทณฺฑยุเตฺตหิ อาวุเธหิ สมนฺนาคตาฯ ปกฺขนฺทิโนติ สงฺคามปกฺขนฺทิกาฯ มหานาคาติ มหานาเคสุ โกญฺจนาทํ กตฺวา อาคจฺฉเนฺตสุปิ นิจฺจลา ฐตฺวา เตสํ ทเนฺต คเหตฺวา ลุญฺจิตุํ สมตฺถา โยธาฯ สตรํสีว ตารกาติ สตรํสี วิย โอสธิตารกาฯ อาวุธพลวนฺตานนฺติ อาวุธพเลน ยุตฺตานํ สมนฺนาคตานํฯ คุณิกายูรธารินนฺติ คุณิ วุจฺจติ กวจํ, กวจานิ เจว กายูราภรณานิ จ ธาเรนฺตานํ, กวจสงฺขาตานิ วา กายูรานิ ธาเรนฺตานํฯ สเจ ปกฺขีว กาหิตีติ สเจปิ ปกฺขี วิย อากาเส ปกฺขนฺทนํ กริสฺสติ, ตถาปิ กิํ มุจฺจิสฺสตีติ วทติฯ

    Tattha dantīti sampannadante. Vacchadantamukhāti nikhādanasadisamukhā. Paṇunnāti vissaṭṭhā. Sampatantutarītarāti evarūpā sarā itarītarā sampatantu samāgacchantu. Ghanameghavassaṃ viya saravassaṃ vassathāti āṇāpesi. Māṇavāti taruṇayodhā. Vamminoti vammahatthā. Citradaṇḍayutāvudhāti citradaṇḍayuttehi āvudhehi samannāgatā. Pakkhandinoti saṅgāmapakkhandikā. Mahānāgāti mahānāgesu koñcanādaṃ katvā āgacchantesupi niccalā ṭhatvā tesaṃ dante gahetvā luñcituṃ samatthā yodhā. Sataraṃsīva tārakāti sataraṃsī viya osadhitārakā. Āvudhabalavantānanti āvudhabalena yuttānaṃ samannāgatānaṃ. Guṇikāyūradhārinanti guṇi vuccati kavacaṃ, kavacāni ceva kāyūrābharaṇāni ca dhārentānaṃ, kavacasaṅkhātāni vā kāyūrāni dhārentānaṃ. Sace pakkhīva kāhitīti sacepi pakkhī viya ākāse pakkhandanaṃ karissati, tathāpi kiṃ muccissatīti vadati.

    ติํส เม ปุริสนาวุโตฺยติ ปุริสานํ ติํสสหสฺสานิ นวุติสตานิ ติํสนาวุโตฺยติ วุจฺจนฺติฯ สเพฺพเวเกกนิจฺจิตาติ เอตฺตกา มยฺหํ ปเรสํ หตฺถโต อาวุธํ คเหตฺวา ปจฺจามิตฺตานํ สีสปาตนสมตฺถา เอเกกํ วิจินิตฺวา คหิตา อนิวตฺติโน โยธาติ ทเสฺสติฯ เกวลํ มหีมํ จรนฺติ สกลมฺปิ อิมํ มหิํ จรโนฺต เยสํ สมํ สทิสํ น ปสฺสามิ, กุโต อุตฺตริตรํ, เตเยว เม โยธา เอตฺตกาติ ทเสฺสติฯ จารุทสฺสนาติ จารุ วุจฺจติ สุวณฺณํ, สุวณฺณวณฺณาติ อโตฺถฯ ปีตาลงฺการาติ ปีตวณฺณสุวณฺณาลงฺการาฯ ปีตวสนาติ ปีตวณฺณสุวณฺณวตฺถาฯ ปีตุตฺตรนิวาสนาติ ปีตอุตฺตราสงฺคนิวตฺถาฯ ปาฐีนวณฺณาติ ปาสาณมจฺฉสทิสาฯ เนตฺติํสาติ ขคฺคาฯ นรธีเรภีติ ปณฺฑิตปุริเสหิฯ สุนิสฺสิตาติ สุนิสิตา อติติขิณาฯ

    Tiṃsa me purisanāvutyoti purisānaṃ tiṃsasahassāni navutisatāni tiṃsanāvutyoti vuccanti. Sabbevekekaniccitāti ettakā mayhaṃ paresaṃ hatthato āvudhaṃ gahetvā paccāmittānaṃ sīsapātanasamatthā ekekaṃ vicinitvā gahitā anivattino yodhāti dasseti. Kevalaṃ mahīmaṃ caranti sakalampi imaṃ mahiṃ caranto yesaṃ samaṃ sadisaṃ na passāmi, kuto uttaritaraṃ, teyeva me yodhā ettakāti dasseti. Cārudassanāti cāru vuccati suvaṇṇaṃ, suvaṇṇavaṇṇāti attho. Pītālaṅkārāti pītavaṇṇasuvaṇṇālaṅkārā. Pītavasanāti pītavaṇṇasuvaṇṇavatthā. Pītuttaranivāsanāti pītauttarāsaṅganivatthā. Pāṭhīnavaṇṇāti pāsāṇamacchasadisā. Nettiṃsāti khaggā. Naradhīrebhīti paṇḍitapurisehi. Sunissitāti sunisitā atitikhiṇā.

    เวลฺลาลิโนติ ฐิตมชฺฌนฺหิเก สูริโย วิย วิโชฺชตมานาฯ สิกฺกายสมยาติ สตฺต วาเร โกญฺจสกุเณ ขาทาเปตฺวา คหิเตน สิกฺกายเสน กตาฯ สุปฺปหารปฺปหาริภีติ ทฬฺหปฺปหาเรหิ โยเธหิฯ โลหิตกจฺฉุปธาริตาติ โลหิตวณฺณาย โกสิยา สมนฺนาคตาฯ ปฎากาติ อากาเส ปริวตฺตนสมตฺถาฯ สูราติ ชาติสูราฯ อสิจมฺมสฺส โกวิทาติ เอเตสํ คหเณ กุสลาฯ ธนุคฺคหาติ ธนุคฺคหกาฯ สิกฺขิตราติ เอตสฺมิํ ธนุคฺคหเณ อติวิย สิกฺขิตาฯ นาคขเนฺธ นิปาติโนติ หตฺถิกฺขเนฺธ ขเคฺคน ฉินฺทิตฺวา นิปาตนสมตฺถาฯ นตฺถิ โมโกฺขติ อโมฺภ, เวเทห, ตฺวํ ปฐมํ ตาว คหปติปุตฺตสฺสานุภาเวน มุโตฺตสิ, อิทานิ ปน นตฺถิ ตว โมโกฺขติ วทติฯ ปภาวํ เตติ อิทานิ เต ราชานุภาวํ น ปสฺสามิ, เยน ตฺวํ มิถิลํ คมิสฺสสิ ขิปฺปํ, ชาเล ปวิฎฺฐมโจฺฉ วิย ชาโตสีติฯ

    Vellālinoti ṭhitamajjhanhike sūriyo viya vijjotamānā. Sikkāyasamayāti satta vāre koñcasakuṇe khādāpetvā gahitena sikkāyasena katā. Suppahārappahāribhīti daḷhappahārehi yodhehi. Lohitakacchupadhāritāti lohitavaṇṇāya kosiyā samannāgatā. Paṭākāti ākāse parivattanasamatthā. Sūrāti jātisūrā. Asicammassa kovidāti etesaṃ gahaṇe kusalā. Dhanuggahāti dhanuggahakā. Sikkhitarāti etasmiṃ dhanuggahaṇe ativiya sikkhitā. Nāgakhandhe nipātinoti hatthikkhandhe khaggena chinditvā nipātanasamatthā. Natthi mokkhoti ambho, vedeha, tvaṃ paṭhamaṃ tāva gahapatiputtassānubhāvena muttosi, idāni pana natthi tava mokkhoti vadati. Pabhāvaṃ teti idāni te rājānubhāvaṃ na passāmi, yena tvaṃ mithilaṃ gamissasi khippaṃ, jāle paviṭṭhamaccho viya jātosīti.

    จูฬนิราชา เวเทหํ ตเชฺชโนฺต ‘‘อิทานิ นํ คณฺหิสฺสามี’’ติ วชิรงฺกุเสน นาคํ โจเทโนฺต ‘‘คณฺหถ, ภินฺทถ, วิชฺฌถา’’ติ เสนํ อาณาเปโนฺต อุปการินครํ อวตฺถรโนฺต วิย อุปาคมิฯ อถ นํ มหาสตฺตสฺส อุปนิกฺขิตฺตกปุริสา ‘‘โก ชานาติ, กิํ ภวิสฺสตี’’ติ อตฺตโน อุปฎฺฐาเก คเหตฺวา ปริวารยิํสุฯ ตสฺมิํ ขเณ โพธิสโตฺต สิริสยนา วุฎฺฐาย กตสรีรปฺปฎิชคฺคโน ภุตฺตปาตราโส อลงฺกตปฺปฎิยโตฺต สตสหสฺสคฺฆนกํ กาสิกวตฺถํ นิวาเสตฺวา รตฺตกมฺพลํ เอกํเส กริตฺวา สตฺตรตนวิจิตฺตํ วลญฺชนทณฺฑกํ อาทาย สุวณฺณปาทุกํ อารุยฺห เทวจฺฉราย วิย อลงฺกตอิตฺถิยา วาลพีชนิยา พีชิยมาโน อลงฺกตปาสาเท สีหปญฺชรํ วิวริตฺวา จูฬนิรโญฺญ อตฺตานํ ทเสฺสโนฺต สกฺกเทวราชลีลาย อปราปรํ จงฺกมิฯ จูฬนิราชาปิ ตสฺส รูปสิริํ โอโลเกตฺวา จิตฺตํ ปสาเทตุํ นาสกฺขิ, ‘‘อิทานิ นํ คณฺหิสฺสามี’’ติ ตุริตตุริโตว หตฺถิํ เปเสสิฯ ปณฺฑิโต จิเนฺตสิ ‘‘อยํ ‘เวเทโห เม ลโทฺธ’ติ สญฺญาย ตุริตตุริโตว อาคจฺฉติ, น ชานาติ อตฺตโน ปุตฺตทารํ คเหตฺวา อมฺหากํ รโญฺญ คตภาวํ, สุวณฺณาทาสสทิสํ มม มุขํ ทเสฺสตฺวา กเถสฺสามิ เตน สทฺธิ’’นฺติฯ โส วาตปาเน ฐิโตว มธุรสฺสรํ นิจฺฉาเรตฺวา เตน สทฺธิํ กเถโนฺต อาห –

    Cūḷanirājā vedehaṃ tajjento ‘‘idāni naṃ gaṇhissāmī’’ti vajiraṅkusena nāgaṃ codento ‘‘gaṇhatha, bhindatha, vijjhathā’’ti senaṃ āṇāpento upakārinagaraṃ avattharanto viya upāgami. Atha naṃ mahāsattassa upanikkhittakapurisā ‘‘ko jānāti, kiṃ bhavissatī’’ti attano upaṭṭhāke gahetvā parivārayiṃsu. Tasmiṃ khaṇe bodhisatto sirisayanā vuṭṭhāya katasarīrappaṭijaggano bhuttapātarāso alaṅkatappaṭiyatto satasahassagghanakaṃ kāsikavatthaṃ nivāsetvā rattakambalaṃ ekaṃse karitvā sattaratanavicittaṃ valañjanadaṇḍakaṃ ādāya suvaṇṇapādukaṃ āruyha devaccharāya viya alaṅkataitthiyā vālabījaniyā bījiyamāno alaṅkatapāsāde sīhapañjaraṃ vivaritvā cūḷanirañño attānaṃ dassento sakkadevarājalīlāya aparāparaṃ caṅkami. Cūḷanirājāpi tassa rūpasiriṃ oloketvā cittaṃ pasādetuṃ nāsakkhi, ‘‘idāni naṃ gaṇhissāmī’’ti turitaturitova hatthiṃ pesesi. Paṇḍito cintesi ‘‘ayaṃ ‘vedeho me laddho’ti saññāya turitaturitova āgacchati, na jānāti attano puttadāraṃ gahetvā amhākaṃ rañño gatabhāvaṃ, suvaṇṇādāsasadisaṃ mama mukhaṃ dassetvā kathessāmi tena saddhi’’nti. So vātapāne ṭhitova madhurassaraṃ nicchāretvā tena saddhiṃ kathento āha –

    ๗๒๔.

    724.

    ‘‘กิํ นุ สนฺตรมาโนว, นาคํ เปเสสิ กุญฺชรํ;

    ‘‘Kiṃ nu santaramānova, nāgaṃ pesesi kuñjaraṃ;

    ปหฎฺฐรูโป อาปตสิ, สิทฺธโตฺถสฺมีติ มญฺญสิฯ

    Pahaṭṭharūpo āpatasi, siddhatthosmīti maññasi.

    ๗๒๕.

    725.

    ‘‘โอหเรตํ ธนุํ จาปํ, ขุรปฺปํ ปฎิสํหร;

    ‘‘Oharetaṃ dhanuṃ cāpaṃ, khurappaṃ paṭisaṃhara;

    โอหเรตํ สุภํ วมฺมํ, เวฬุริยมณิสนฺถต’’นฺติฯ

    Oharetaṃ subhaṃ vammaṃ, veḷuriyamaṇisanthata’’nti.

    ตตฺถ กุญฺชรนฺติ เสฎฺฐํฯ ปหฎฺฐรูโปติ หฎฺฐตุฎฺฐจิโตฺต โสมนสฺสชาโตฯ อาปตสีติ อาคจฺฉสิฯ สิทฺธโตฺถสฺมีติ นิปฺผนฺนโตฺถสฺมิ, มโนรโถ เม มตฺถกํ ปโตฺตติ มญฺญสิฯ โอหเรตนฺติ อิมํ จาปสงฺขาตํ ธนุํ โอหร, อวหร, ฉเฑฺฑหิ, โก นุ เต เอเตนโตฺถฯ ปฎิสํหราติ อปเนตฺวา อญฺญสฺส วา เทหิ, ปฎิจฺฉเนฺน วา ฐาเน ฐเปหิ, กิํ ขุรเปฺปน กริสฺสสิฯ วมฺมนฺติ เอตํ วมฺมมฺปิ อปเนหิฯ อิทํ ตยา หิโยฺย ปฎิมุกฺกํ ภวิสฺสติ, ฉเฑฺฑหิ นํ, มา เต สรีรํ อุปฺปณฺฑุกํ อโหสิ, อกิลเมตฺวา ปาโตว นครํ ปวิสาหีติ รญฺญา สทฺธิํ เกฬิมกาสิฯ

    Tattha kuñjaranti seṭṭhaṃ. Pahaṭṭharūpoti haṭṭhatuṭṭhacitto somanassajāto. Āpatasīti āgacchasi. Siddhatthosmīti nipphannatthosmi, manoratho me matthakaṃ pattoti maññasi. Oharetanti imaṃ cāpasaṅkhātaṃ dhanuṃ ohara, avahara, chaḍḍehi, ko nu te etenattho. Paṭisaṃharāti apanetvā aññassa vā dehi, paṭicchanne vā ṭhāne ṭhapehi, kiṃ khurappena karissasi. Vammanti etaṃ vammampi apanehi. Idaṃ tayā hiyyo paṭimukkaṃ bhavissati, chaḍḍehi naṃ, mā te sarīraṃ uppaṇḍukaṃ ahosi, akilametvā pātova nagaraṃ pavisāhīti raññā saddhiṃ keḷimakāsi.

    โส ตสฺส วจนํ สุตฺวา ‘‘คหปติปุโตฺต มยา สทฺธิํ เกฬิํ กโรติ, อชฺช เต กตฺตพฺพํ ชานิสฺสามี’’ติ ตํ ตเชฺชโนฺต คาถมาห –

    So tassa vacanaṃ sutvā ‘‘gahapatiputto mayā saddhiṃ keḷiṃ karoti, ajja te kattabbaṃ jānissāmī’’ti taṃ tajjento gāthamāha –

    ๗๒๖.

    726.

    ‘‘ปสนฺนมุขวโณฺณสิ , มฺหิตปุพฺพญฺจ ภาสสิ;

    ‘‘Pasannamukhavaṇṇosi , mhitapubbañca bhāsasi;

    โหติ โข มรณกาเล, เอทิสี วณฺณสมฺปทา’’ติฯ

    Hoti kho maraṇakāle, edisī vaṇṇasampadā’’ti.

    ตตฺถ มฺหิตปุพฺพญฺจาติ ปฐมํ มฺหิตํ กตฺวา ปจฺฉา ภาสโนฺต มฺหิตปุพฺพเมว ภาสสิ, มํ กิสฺมิญฺจิ น คเณสิฯ โหติ โขติ มรณกาเล นาม วณฺณสมฺปทา โหติเยว, ตสฺมา ตฺวํ วิโรจสิ, อชฺช เต สีสํ ฉินฺทิตฺวา ชยปานํ ปิวิสฺสามาติฯ

    Tattha mhitapubbañcāti paṭhamaṃ mhitaṃ katvā pacchā bhāsanto mhitapubbameva bhāsasi, maṃ kismiñci na gaṇesi. Hoti khoti maraṇakāle nāma vaṇṇasampadā hotiyeva, tasmā tvaṃ virocasi, ajja te sīsaṃ chinditvā jayapānaṃ pivissāmāti.

    เอวํ ตสฺส เตน สทฺธิํ กถนกาเล มหาพลกาโย มหาสตฺตสฺส รูปสิริํ ทิสฺวา ‘‘อโมฺภ, อมฺหากํ ราชา มโหสธปณฺฑิเตน สทฺธิํ มเนฺตติ , กิํ นุ โข กเถสิ, เอเตสํ กถํ สุณิสฺสามา’’ติ รโญฺญ สนฺติกเมว อคมาสิฯ ปณฺฑิโตปิ ตสฺส กถํ สุตฺวา ‘‘น มํ ‘มโหสธปณฺฑิโต’ติ ชานาสิฯ นาหํ อตฺตานํ มาเรตุํ ทสฺสามิ, มโนฺต เต , เทว, ภิโนฺน, เกวเฎฺฎน จ ตยา จ หทเยน จินฺติตํ น ชาตํ, มุเขน กถิตเมว ชาต’’นฺติ ปกาเสโนฺต อาห –

    Evaṃ tassa tena saddhiṃ kathanakāle mahābalakāyo mahāsattassa rūpasiriṃ disvā ‘‘ambho, amhākaṃ rājā mahosadhapaṇḍitena saddhiṃ manteti , kiṃ nu kho kathesi, etesaṃ kathaṃ suṇissāmā’’ti rañño santikameva agamāsi. Paṇḍitopi tassa kathaṃ sutvā ‘‘na maṃ ‘mahosadhapaṇḍito’ti jānāsi. Nāhaṃ attānaṃ māretuṃ dassāmi, manto te , deva, bhinno, kevaṭṭena ca tayā ca hadayena cintitaṃ na jātaṃ, mukhena kathitameva jāta’’nti pakāsento āha –

    ๗๒๗.

    727.

    โมฆํ เต คชฺชิตํ ราช, ภินฺนมโนฺตสิ ขตฺติย;

    Moghaṃ te gajjitaṃ rāja, bhinnamantosi khattiya;

    ทุคฺคโณฺหสิ ตยา ราชา, ขฬุเงฺกเนว สินฺธโวฯ

    Duggaṇhosi tayā rājā, khaḷuṅkeneva sindhavo.

    ๗๒๘.

    728.

    ‘‘ติโณฺณ หิโยฺย ราชา คงฺคํ, สามโจฺจ สปริชฺชโน;

    ‘‘Tiṇṇo hiyyo rājā gaṅgaṃ, sāmacco saparijjano;

    หํสราชํ ยถา ธโงฺก, อนุชฺชวํ ปติสฺสสี’’ติฯ

    Haṃsarājaṃ yathā dhaṅko, anujjavaṃ patissasī’’ti.

    ตตฺถ ภินฺนมโนฺตสีติ โย ตยา เกวเฎฺฎน สทฺธิํ สยนคเพฺภ มโนฺต คหิโต, ตํ มนฺตํ น ชานาตีติ มา สญฺญํ กริ, ปเคว โส มยา ญาโต, ภินฺนมโนฺต อสิ ชาโตฯ ทุคฺคโณฺหสิ ตยาติ มหาราช, ตยา อมฺหากํ ราชา อสฺสขฬุเงฺกน สินฺธโว วิย ทุคฺคโณฺหสิ, ขฬุงฺกํ อารุเฬฺหน ชวสมฺปนฺนํ อาชานียํ อารุยฺห คจฺฉโนฺต วิย คเหตุํ น สกฺกาติ อโตฺถฯ ขฬุโงฺก วิย หิ เกวโฎฺฎ, ตํ อารุฬฺหปุริโส วิย ตฺวํ, ชวสมฺปโนฺน สินฺธโว วิย อหํ, ตํ อารุฬฺหปุริโส วิย อมฺหากํ ราชาติ ทเสฺสติฯ ติโณฺณ หิโยฺยติ หิโยฺยว อุตฺติโณฺณฯ โส จ โข สามโจฺจ สปริชโน, น เอกโกว ปลายิตฺวา คโตฯ อนุชฺชวนฺติ สเจ ปน ตฺวํ ตํ อนุชวิสฺสสิ อนุพนฺธิสฺสสิ, อถ ยถา สุวณฺณหํสราชํ อนุชวโนฺต ธโงฺก อนฺตราว ปติสฺสติ, เอวํ ปติสฺสสิ, อนฺตราว วินาสํ ปาปุณิสฺสสีติ วทติฯ

    Tattha bhinnamantosīti yo tayā kevaṭṭena saddhiṃ sayanagabbhe manto gahito, taṃ mantaṃ na jānātīti mā saññaṃ kari, pageva so mayā ñāto, bhinnamanto asi jāto. Duggaṇhosi tayāti mahārāja, tayā amhākaṃ rājā assakhaḷuṅkena sindhavo viya duggaṇhosi, khaḷuṅkaṃ āruḷhena javasampannaṃ ājānīyaṃ āruyha gacchanto viya gahetuṃ na sakkāti attho. Khaḷuṅko viya hi kevaṭṭo, taṃ āruḷhapuriso viya tvaṃ, javasampanno sindhavo viya ahaṃ, taṃ āruḷhapuriso viya amhākaṃ rājāti dasseti. Tiṇṇo hiyyoti hiyyova uttiṇṇo. So ca kho sāmacco saparijano, na ekakova palāyitvā gato. Anujjavanti sace pana tvaṃ taṃ anujavissasi anubandhissasi, atha yathā suvaṇṇahaṃsarājaṃ anujavanto dhaṅko antarāva patissati, evaṃ patissasi, antarāva vināsaṃ pāpuṇissasīti vadati.

    อิทานิ โส อฉมฺภิตเกสรสีโห วิย อุทาหรณํ อาหรโนฺต อาห –

    Idāni so achambhitakesarasīho viya udāharaṇaṃ āharanto āha –

    ๗๒๙.

    729.

    ‘‘สิงฺคาลา รตฺติภาเคน, ผุลฺลํ ทิสฺวาน กิํสุกํ;

    ‘‘Siṅgālā rattibhāgena, phullaṃ disvāna kiṃsukaṃ;

    มํสเปสีติ มญฺญนฺตา, ปริพฺยูฬฺหา มิคาธมาฯ

    Maṃsapesīti maññantā, paribyūḷhā migādhamā.

    ๗๓๐.

    730.

    ‘‘วีติวตฺตาสุ รตฺตีสุ, อุคฺคตสฺมิํ ทิวากเร;

    ‘‘Vītivattāsu rattīsu, uggatasmiṃ divākare;

    กิํ สุกํ ผุลฺลิตํ ทิสฺวา, อาสจฺฉินฺนา มิคาธมาฯ

    Kiṃ sukaṃ phullitaṃ disvā, āsacchinnā migādhamā.

    ๗๓๑.

    731.

    ‘‘เอวเมว ตุวํ ราช, เวเทหํ ปริวาริย;

    ‘‘Evameva tuvaṃ rāja, vedehaṃ parivāriya;

    อาสจฺฉิโนฺน คมิสฺสสิ, สิงฺคาลา กิํสุกํ ยถา’’ติฯ

    Āsacchinno gamissasi, siṅgālā kiṃsukaṃ yathā’’ti.

    ตตฺถ ทิสฺวานาติ จนฺทาโลเกน โอโลเกตฺวาฯ ปริพฺยูฬฺหาติ ปาโตว มํสเปสิํ ขาทิตฺวา คมิสฺสามาติ ปริวาเรตฺวา อฎฺฐํสุฯ วีติวตฺตาสูติ เต ยาสุ ยาสุ รตฺตีสุ เอวํ อฎฺฐํสุ, ตาสุ ตาสุ รตฺตีสุ อตีตาสุฯ ทิสฺวาติ สูริยาโลเกน กิํสุกํ ทิสฺวา ‘‘น อิทํ มํส’’นฺติ ญตฺวา ฉินฺนาสา หุตฺวา ปลายิํสุฯ สิงฺคาลาติ ยถา สิงฺคาลา กิํสุกํ ปริวาเรตฺวา อาสจฺฉินฺนา คตา, เอวํ ตุวมฺปิ อิธ เวเทหรโญฺญ นตฺถิภาวํ ญตฺวา อาสจฺฉิโนฺน หุตฺวา คมิสฺสสิ, เสนํ คเหตฺวา ปลายิสฺสสีติ ทีเปติฯ

    Tattha disvānāti candālokena oloketvā. Paribyūḷhāti pātova maṃsapesiṃ khāditvā gamissāmāti parivāretvā aṭṭhaṃsu. Vītivattāsūti te yāsu yāsu rattīsu evaṃ aṭṭhaṃsu, tāsu tāsu rattīsu atītāsu. Disvāti sūriyālokena kiṃsukaṃ disvā ‘‘na idaṃ maṃsa’’nti ñatvā chinnāsā hutvā palāyiṃsu. Siṅgālāti yathā siṅgālā kiṃsukaṃ parivāretvā āsacchinnā gatā, evaṃ tuvampi idha vedeharañño natthibhāvaṃ ñatvā āsacchinno hutvā gamissasi, senaṃ gahetvā palāyissasīti dīpeti.

    ราชา ตสฺส อฉมฺภิตวจนํ สุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อยํ คหปติปุโตฺต อติสูโร หุตฺวา กเถสิ, นิสฺสํสยํ เวเทโห ปลาโต ภวิสฺสตี’’ติฯ โส อติวิย กุชฺฌิตฺวา ‘‘ปุเพฺพ มยํ คหปติปุตฺตํ นิสฺสาย อุทรสาฎกสฺสปิ อสฺสามิกา ชาตา, อิทานิ เตน อมฺหากํ หตฺถคโต ปจฺจามิโตฺต ปลาปิโต, พหุสฺส วต โน อนตฺถสฺส การโก, อุภินฺนํ กตฺตพฺพการณํ อิมเสฺสว กริสฺสามี’’ติ ตสฺส การณํ กาตุํ อาณาเปโนฺต อาห –

    Rājā tassa achambhitavacanaṃ sutvā cintesi ‘‘ayaṃ gahapatiputto atisūro hutvā kathesi, nissaṃsayaṃ vedeho palāto bhavissatī’’ti. So ativiya kujjhitvā ‘‘pubbe mayaṃ gahapatiputtaṃ nissāya udarasāṭakassapi assāmikā jātā, idāni tena amhākaṃ hatthagato paccāmitto palāpito, bahussa vata no anatthassa kārako, ubhinnaṃ kattabbakāraṇaṃ imasseva karissāmī’’ti tassa kāraṇaṃ kātuṃ āṇāpento āha –

    ๗๓๒.

    732.

    ‘‘อิมสฺส หเตฺถ ปาเท จ, กณฺณนาสญฺจ ฉินฺทถ;

    ‘‘Imassa hatthe pāde ca, kaṇṇanāsañca chindatha;

    โย เม อมิตฺตํ หตฺถคตํ, เวเทหํ ปริโมจยิฯ

    Yo me amittaṃ hatthagataṃ, vedehaṃ parimocayi.

    ๗๓๓.

    733.

    ‘‘อิมํ มํสํว ปาตพฺยํ, สูเล กตฺวา ปจนฺตุ นํ;

    ‘‘Imaṃ maṃsaṃva pātabyaṃ, sūle katvā pacantu naṃ;

    โย เม อมิตฺตํ หตฺถคตํ, เวเทหํ ปริโมจยิฯ

    Yo me amittaṃ hatthagataṃ, vedehaṃ parimocayi.

    ๗๓๔.

    734.

    ‘‘ยถาปิ อาสภํ จมฺมํ, ปถพฺยา วิตนียติ;

    ‘‘Yathāpi āsabhaṃ cammaṃ, pathabyā vitanīyati;

    สีหสฺส อโถ พฺยคฺฆสฺส, โหติ สงฺกุสมาหตํฯ

    Sīhassa atho byagghassa, hoti saṅkusamāhataṃ.

    ๗๓๕.

    735.

    ‘‘เอวํ ตํ วิตนิตฺวาน, เวธยิสฺสามิ สตฺติยา;

    ‘‘Evaṃ taṃ vitanitvāna, vedhayissāmi sattiyā;

    โย เม อมิตฺตํ หตฺถคตํ, เวเทหํ ปริโมจยี’’ติฯ

    Yo me amittaṃ hatthagataṃ, vedehaṃ parimocayī’’ti.

    ตตฺถ ปาตพฺยนฺติ ปาจยิตพฺพํ ปจิตพฺพยุตฺตกํ มิคาทีนํ มํสํ วิย อิมํ คหปติปุตฺตํ สูเล อาวุณิตฺวา ปจนฺตุฯ สีหสฺส อโถ พฺยคฺฆสฺสาติ เอเตสญฺจ ยถา จมฺมํ สงฺกุสมาหตํ โหติ, เอวํ โหตุฯ เวธยิสฺสามีติ วิชฺฌาเปสฺสามิฯ

    Tattha pātabyanti pācayitabbaṃ pacitabbayuttakaṃ migādīnaṃ maṃsaṃ viya imaṃ gahapatiputtaṃ sūle āvuṇitvā pacantu. Sīhassa atho byagghassāti etesañca yathā cammaṃ saṅkusamāhataṃ hoti, evaṃ hotu. Vedhayissāmīti vijjhāpessāmi.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต หสิตํ กตฺวา ‘‘อยํ ราชา อตฺตโน เทวิยา จ พนฺธวานญฺจ มยา มิถิลํ ปหิตภาวํ น ชานาติ, เตน เม อิมํ กมฺมการณํ วิจาเรติ, โกธวเสน โข ปน มํ อุสุนา วา วิเชฺฌยฺย, อญฺญํ วา อตฺตโน รุจฺจนกํ กเรยฺย, โสกาตุรํ อิมํ เวทนาปฺปตฺตํ กตฺวา หตฺถิปิเฎฺฐเยว วิสญฺญิํ นํ นิปชฺชาเปตุํ ตํ การณํ อาโรเจสฺสามี’’ติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto hasitaṃ katvā ‘‘ayaṃ rājā attano deviyā ca bandhavānañca mayā mithilaṃ pahitabhāvaṃ na jānāti, tena me imaṃ kammakāraṇaṃ vicāreti, kodhavasena kho pana maṃ usunā vā vijjheyya, aññaṃ vā attano ruccanakaṃ kareyya, sokāturaṃ imaṃ vedanāppattaṃ katvā hatthipiṭṭheyeva visaññiṃ naṃ nipajjāpetuṃ taṃ kāraṇaṃ ārocessāmī’’ti cintetvā āha –

    ๗๓๖.

    736.

    ‘‘สเจ เม หเตฺถ ปาเท จ, กณฺณนาสญฺจ เฉจฺฉสิ;

    ‘‘Sace me hatthe pāde ca, kaṇṇanāsañca checchasi;

    เอวํ ปญฺจาลจนฺทสฺส, เวเทโห เฉทยิสฺสติฯ

    Evaṃ pañcālacandassa, vedeho chedayissati.

    ๗๓๗.

    737.

    ‘‘สเจ เม หเตฺถ ปาเท จ, กณฺณนาสญฺจ เฉจฺฉสิ;

    ‘‘Sace me hatthe pāde ca, kaṇṇanāsañca checchasi;

    เอวํ ปญฺจาลจนฺทิยา, เวเทโห เฉทยิสฺสติฯ

    Evaṃ pañcālacandiyā, vedeho chedayissati.

    ๗๓๘.

    738.

    ‘‘สเจ เม หเตฺถ ปาเท จ, กณฺณนาสญฺจ เฉจฺฉสิ;

    ‘‘Sace me hatthe pāde ca, kaṇṇanāsañca checchasi;

    เอวํ นนฺทาย เทวิยา, เวเทโห เฉทยิสฺสติฯ

    Evaṃ nandāya deviyā, vedeho chedayissati.

    ๗๓๙.

    739.

    ‘‘สเจ เม หเตฺถ ปาเท จ, กณฺณนาสญฺจ เฉจฺฉสิ;

    ‘‘Sace me hatthe pāde ca, kaṇṇanāsañca checchasi;

    เอวํ เต ปุตฺตทารสฺส, เวเทโห เฉทยิสฺสติฯ

    Evaṃ te puttadārassa, vedeho chedayissati.

    ๗๔๐.

    740.

    ‘‘สเจ มํสํว ปาตพฺยํ, สูเล กตฺวา ปจิสฺสสิ;

    ‘‘Sace maṃsaṃva pātabyaṃ, sūle katvā pacissasi;

    เอวํ ปญฺจาลจนฺทสฺส, เวเทโห ปาจยิสฺสติฯ

    Evaṃ pañcālacandassa, vedeho pācayissati.

    ๗๔๑.

    741.

    ‘‘สเจ มํสํว ปาตพฺยํ, สูเล กตฺวา ปจิสฺสสิ;

    ‘‘Sace maṃsaṃva pātabyaṃ, sūle katvā pacissasi;

    เอวํ ปญฺจาลจนฺทิยา, เวเทโห ปาจยิสฺสติฯ

    Evaṃ pañcālacandiyā, vedeho pācayissati.

    ๗๔๒.

    742.

    ‘‘สเจ มํสํว ปาตพฺยํ, สูเล กตฺวา ปจิสฺสสิ;

    ‘‘Sace maṃsaṃva pātabyaṃ, sūle katvā pacissasi;

    เอวํ นนฺทาย เทวิยา, เวเทโห ปาจยิสฺสติฯ

    Evaṃ nandāya deviyā, vedeho pācayissati.

    ๗๔๓.

    743.

    ‘‘สเจ มํสํว ปาตพฺยํ, สูเล กตฺวา ปจิสฺสสิ;

    ‘‘Sace maṃsaṃva pātabyaṃ, sūle katvā pacissasi;

    เอวํ เต ปุตฺตทารสฺส, เวเทโห ปาจยิสฺสติฯ

    Evaṃ te puttadārassa, vedeho pācayissati.

    ๗๔๔.

    744.

    ‘‘สเจ มํ วิตนิตฺวาน, เวธยิสฺสสิ สตฺติยา;

    ‘‘Sace maṃ vitanitvāna, vedhayissasi sattiyā;

    เอวํ ปญฺจาลจนฺทสฺส, เวเทโห เวธยิสฺสติฯ

    Evaṃ pañcālacandassa, vedeho vedhayissati.

    ๗๔๕.

    745.

    ‘‘สเจ มํ วิตนิตฺวาน, เวธยิสฺสสิ สตฺติยา;

    ‘‘Sace maṃ vitanitvāna, vedhayissasi sattiyā;

    เอวํ ปญฺจาลจนฺทิยา, เวเทโห เวธยิสฺสติฯ

    Evaṃ pañcālacandiyā, vedeho vedhayissati.

    ๗๔๖.

    746.

    ‘‘สเจ มํ วิตนิตฺวาน, เวธยิสฺสสิ สตฺติยา;

    ‘‘Sace maṃ vitanitvāna, vedhayissasi sattiyā;

    เอวํ นนฺทาย เทวิยา, เวเทโห เวธยิสฺสติฯ

    Evaṃ nandāya deviyā, vedeho vedhayissati.

    ๗๔๗.

    747.

    ‘‘สเจ มํ วิตนิตฺวาน, เวธยิสฺสสิ สตฺติยา;

    ‘‘Sace maṃ vitanitvāna, vedhayissasi sattiyā;

    เอวํ เต ปุตฺตทารสฺส, เวเทโห เวธยิสฺสติ;

    Evaṃ te puttadārassa, vedeho vedhayissati;

    เอวํ โน มนฺติตํ รโห, เวเทเหน มยา สหฯ

    Evaṃ no mantitaṃ raho, vedehena mayā saha.

    ๗๔๘.

    748.

    ‘‘ยถาปิ ปลสตํ จมฺมํ, โกนฺติมนฺตาสุนิฎฺฐิตํ;

    ‘‘Yathāpi palasataṃ cammaṃ, kontimantāsuniṭṭhitaṃ;

    อุเปติ ตนุตาณาย, สรานํ ปฎิหนฺตเวฯ

    Upeti tanutāṇāya, sarānaṃ paṭihantave.

    ๗๔๙.

    749.

    ‘‘สุขาวโห ทุกฺขนุโท, เวเทหสฺส ยสสฺสิโน;

    ‘‘Sukhāvaho dukkhanudo, vedehassa yasassino;

    มติํ เต ปฎิหญฺญามิ, อุสุํ ปลสเตน วา’’ติฯ

    Matiṃ te paṭihaññāmi, usuṃ palasatena vā’’ti.

    ตตฺถ เฉทยิสฺสตีติ ‘‘ปณฺฑิตสฺส กิร จูฬนินา หตฺถปาทา ฉินฺนา’’ติ สุตฺวาว เฉทยิสฺสติฯ ปุตฺตทารสฺสาติ มม เอกสฺส ฉินฺทนปจฺจยา ตว ทฺวินฺนํ ปุตฺตานเญฺจว อคฺคมเหสิยา จาติ ติณฺณมฺปิ ชนานํ อมฺหากํ ราชา เฉทยิสฺสติฯ เอวํ โน มนฺติตํ รโหติ มหาราช, มยา จ เวเทหราเชน จ เอวํ รหสิ มนฺติตํ ‘‘ยํ ยํ อิธ มยฺหํ จูฬนิราชา กาเรติ, ตํ ตํ ตตฺถ ตสฺส ปุตฺตทารานํ กาตพฺพ’’นฺติฯ ปลสตนฺติ ปลสตปฺปมาณํ พหู ขาเร ขาทาเปตฺวา มุทุภาวํ อุปนีตํ จมฺมํฯ โกนฺติมนฺตาสุนิฎฺฐิตนฺติ โกนฺติมนฺตา วุจฺจติ จมฺมการสตฺถํ, ตาย กนฺตนลิขิตานํ วเสน กตตฺตา สุฎฺฐุ นิฎฺฐิตํฯ ตนุตาณายาติ ยถา ตํ จมฺมํ สงฺคาเม สรานํ ปฎิหนฺตเว สรีรตาณํ อุเปติ, สเร ปฎิหนิตฺวา สรีรํ รกฺขติฯ สุขาวโหติ มหาราช, อหมฺปิ อมฺหากํ รโญฺญ ปจฺจามิตฺตานํ วารณเตฺถน ตํ สรปริตฺตาณจมฺมํ วิย สุขาวโหฯ ทุกฺขนุโทติ กายิกสุขเจตสิกสุขญฺจ อาวหามิ, ทุกฺขญฺจ นุเทมิฯ มตินฺติ ตสฺมา ตว มติํ ปญฺญํ อุสุํ เตน ปลสตจเมฺมน วิย อตฺตโน มติยา ปฎิหนิสฺสามีติฯ

    Tattha chedayissatīti ‘‘paṇḍitassa kira cūḷaninā hatthapādā chinnā’’ti sutvāva chedayissati. Puttadārassāti mama ekassa chindanapaccayā tava dvinnaṃ puttānañceva aggamahesiyā cāti tiṇṇampi janānaṃ amhākaṃ rājā chedayissati. Evaṃ no mantitaṃ rahoti mahārāja, mayā ca vedeharājena ca evaṃ rahasi mantitaṃ ‘‘yaṃ yaṃ idha mayhaṃ cūḷanirājā kāreti, taṃ taṃ tattha tassa puttadārānaṃ kātabba’’nti. Palasatanti palasatappamāṇaṃ bahū khāre khādāpetvā mudubhāvaṃ upanītaṃ cammaṃ. Kontimantāsuniṭṭhitanti kontimantā vuccati cammakārasatthaṃ, tāya kantanalikhitānaṃ vasena katattā suṭṭhu niṭṭhitaṃ. Tanutāṇāyāti yathā taṃ cammaṃ saṅgāme sarānaṃ paṭihantave sarīratāṇaṃ upeti, sare paṭihanitvā sarīraṃ rakkhati. Sukhāvahoti mahārāja, ahampi amhākaṃ rañño paccāmittānaṃ vāraṇatthena taṃ saraparittāṇacammaṃ viya sukhāvaho. Dukkhanudoti kāyikasukhacetasikasukhañca āvahāmi, dukkhañca nudemi. Matinti tasmā tava matiṃ paññaṃ usuṃ tena palasatacammena viya attano matiyā paṭihanissāmīti.

    ตํ สุตฺวา ราชา จิเนฺตสิ ‘‘คหปติปุโตฺต กิํ กเถติ, ยถา กิร อหํ เอตสฺส กริสฺสามิ, เอวํ เวเทหราชา มม ปุตฺตทารานํ กมฺมการณํ กริสฺสติ, น ชานาติ มม ปุตฺตทารานํ อารกฺขสฺส สุสํวิหิตภาวํ, ‘อิทานิ มาเรสฺสตี’ติ มรณภเยน วิลปติ, นาสฺส วจนํ สทฺทหามี’’ติฯ มหาสโตฺต ‘‘อยํ มํ มรณภเยน กเถตีติ มญฺญติ, ชานาเปสฺสามิ น’’นฺติ จิเนฺตตฺวา อาห –

    Taṃ sutvā rājā cintesi ‘‘gahapatiputto kiṃ katheti, yathā kira ahaṃ etassa karissāmi, evaṃ vedeharājā mama puttadārānaṃ kammakāraṇaṃ karissati, na jānāti mama puttadārānaṃ ārakkhassa susaṃvihitabhāvaṃ, ‘idāni māressatī’ti maraṇabhayena vilapati, nāssa vacanaṃ saddahāmī’’ti. Mahāsatto ‘‘ayaṃ maṃ maraṇabhayena kathetīti maññati, jānāpessāmi na’’nti cintetvā āha –

    ๗๕๐.

    750.

    ‘‘อิงฺฆ ปสฺส มหาราช, สุญฺญํ อเนฺตปุรํ ตว;

    ‘‘Iṅgha passa mahārāja, suññaṃ antepuraṃ tava;

    โอโรธา จ กุมารา จ, ตว มาตา จ ขตฺติย;

    Orodhā ca kumārā ca, tava mātā ca khattiya;

    อุมงฺคา นีหริตฺวาน, เวเทหสฺสุปนามิตา’’ติฯ

    Umaṅgā nīharitvāna, vedehassupanāmitā’’ti.

    ตตฺถ อุมงฺคาติ มหาราช, มยา อตฺตโน มาณเว เปเสตฺวา ปาสาทา โอตราเปตฺวา ชงฺฆอุมเงฺคน อาหราเปตฺวา มหาอุมงฺคา นีหริตฺวา พนฺธวา เต เวเทหสฺส อุปนามิตาติฯ

    Tattha umaṅgāti mahārāja, mayā attano māṇave pesetvā pāsādā otarāpetvā jaṅghaumaṅgena āharāpetvā mahāumaṅgā nīharitvā bandhavā te vedehassa upanāmitāti.

    ตํ สุตฺวา ราชา จิเนฺตสิ ‘‘ปณฺฑิโต อติวิย ทฬฺหํ กตฺวา กเถติ, มยา จ รตฺติภาเค คงฺคาปเสฺส นนฺทาเทวิยา สโทฺท วิย สุโต, มหาปโญฺญ ปณฺฑิโต กทาจิ สจฺจํ ภเณยฺยา’’ติฯ โส อุปฺปนฺนพลวโสโกปิ สติํ อุปฎฺฐาเปตฺวา อโสจโนฺต วิย เอกํ อมจฺจํ ปโกฺกสาเปตฺวา ชานนตฺถาย เปเสโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā cintesi ‘‘paṇḍito ativiya daḷhaṃ katvā katheti, mayā ca rattibhāge gaṅgāpasse nandādeviyā saddo viya suto, mahāpañño paṇḍito kadāci saccaṃ bhaṇeyyā’’ti. So uppannabalavasokopi satiṃ upaṭṭhāpetvā asocanto viya ekaṃ amaccaṃ pakkosāpetvā jānanatthāya pesento imaṃ gāthamāha –

    ๗๕๑.

    751.

    ‘‘อิงฺฆ อเนฺตปุรํ มยฺหํ, คนฺตฺวาน วิจินาถ นํ;

    ‘‘Iṅgha antepuraṃ mayhaṃ, gantvāna vicinātha naṃ;

    ยถา อิมสฺส วจนํ, สจฺจํ วา ยทิ วา มุสา’’ติฯ

    Yathā imassa vacanaṃ, saccaṃ vā yadi vā musā’’ti.

    โส สปริวาโร ราชนิเวสนํ คนฺตฺวา ทฺวารํ วิวริตฺวา อโนฺต ปวิสิตฺวา หตฺถปาเท พนฺธิตฺวา มุขญฺจ ปิทหิตฺวา นาคทนฺตเกสุ โอลคฺคิเต อเนฺตปุรปาลเก จ ขุชฺชวามนกาทโย จ ภาชนานิ ภินฺทิตฺวา ตตฺถ ตตฺถ วิปฺปกิณฺณขาทนียโภชนียญฺจ รตนฆรทฺวารานิ วิวริตฺวา กตรตนวิโลปํ วิวฎทฺวารํ สิริคพฺภญฺจ ยถาวิวเฎหิ เอว วาตปาเนหิ ปวิสิตฺวา จรมานํ กากคณญฺจ ฉฑฺฑิตคามสทิสํ สุสานภูมิยํ วิย จ นิสฺสิริกํ ราชนิเวสนญฺจ ทิสฺวา ปุนาคนฺตฺวา รโญฺญ อาโรเจโนฺต อาห –

    So saparivāro rājanivesanaṃ gantvā dvāraṃ vivaritvā anto pavisitvā hatthapāde bandhitvā mukhañca pidahitvā nāgadantakesu olaggite antepurapālake ca khujjavāmanakādayo ca bhājanāni bhinditvā tattha tattha vippakiṇṇakhādanīyabhojanīyañca ratanagharadvārāni vivaritvā kataratanavilopaṃ vivaṭadvāraṃ sirigabbhañca yathāvivaṭehi eva vātapānehi pavisitvā caramānaṃ kākagaṇañca chaḍḍitagāmasadisaṃ susānabhūmiyaṃ viya ca nissirikaṃ rājanivesanañca disvā punāgantvā rañño ārocento āha –

    ๗๕๒.

    752.

    ‘‘เอวเมตํ มหาราช, ยถา อาห มโหสโธ;

    ‘‘Evametaṃ mahārāja, yathā āha mahosadho;

    สุญฺญํ อเนฺตปุรํ สพฺพํ, กากปฎฺฎนกํ ยถา’’ติฯ

    Suññaṃ antepuraṃ sabbaṃ, kākapaṭṭanakaṃ yathā’’ti.

    ตตฺถ กากปฎฺฎนกํ ยถาติ มจฺฉคเนฺธน อาคเตหิ กากคเณหิ สมากิโณฺณ สมุทฺทตีเร ฉฑฺฑิตคามโก วิยฯ

    Tattha kākapaṭṭanakaṃ yathāti macchagandhena āgatehi kākagaṇehi samākiṇṇo samuddatīre chaḍḍitagāmako viya.

    ตํ สุตฺวา ราชา จตุนฺนํ ชนานํ ปิยวิปฺปโยคสมฺภเวน โสเกน กมฺปมาโน ‘‘อิทํ มม ทุกฺขํ คหปติปุตฺตํ นิสฺสาย อุปฺปนฺน’’นฺติ ทเณฺฑน ฆฎฺฎิโต อาสีวิโส วิย โพธิสตฺตสฺส อติวิย กุชฺฌิฯ มหาสโตฺต ตสฺสาการํ ทิสฺวา ‘‘อยํ ราชา มหายโส กทาจิ โกธวเสน ‘กิํ มม เอเตหี’ติ ขตฺติยมาเนน มํ วิเหเฐยฺย, ยํนูนาหํ นนฺทาเทวิํ อิมินา อทิฎฺฐปุพฺพํ วิย กโรโนฺต ตสฺสา สรีรวณฺณํ วเณฺณยฺยํฯ อถ โส ตํ อนุสฺสริตฺวา ‘สจาหํ มโหสธํ มาเรสฺสามิ, เอวรูปํ อิตฺถิรตนํ น ลภิสฺสามิ, อมาเรโนฺต ปุน ตํ ลภิสฺสามี’ติ อตฺตโน ภริยาย สิเนเหน น กิญฺจิ มยฺหํ กริสฺสตี’’ติ จิเนฺตตฺวา อตฺตโน อนุรกฺขณตฺถํ ปาสาเท ฐิโตว รตฺตกมฺพลนฺตรา สุวณฺณวณฺณํ พาหุํ นีหริตฺวา ตสฺสา คตมคฺคาจิกฺขนวเสน วเณฺณโนฺต อาห –

    Taṃ sutvā rājā catunnaṃ janānaṃ piyavippayogasambhavena sokena kampamāno ‘‘idaṃ mama dukkhaṃ gahapatiputtaṃ nissāya uppanna’’nti daṇḍena ghaṭṭito āsīviso viya bodhisattassa ativiya kujjhi. Mahāsatto tassākāraṃ disvā ‘‘ayaṃ rājā mahāyaso kadāci kodhavasena ‘kiṃ mama etehī’ti khattiyamānena maṃ viheṭheyya, yaṃnūnāhaṃ nandādeviṃ iminā adiṭṭhapubbaṃ viya karonto tassā sarīravaṇṇaṃ vaṇṇeyyaṃ. Atha so taṃ anussaritvā ‘sacāhaṃ mahosadhaṃ māressāmi, evarūpaṃ itthiratanaṃ na labhissāmi, amārento puna taṃ labhissāmī’ti attano bhariyāya sinehena na kiñci mayhaṃ karissatī’’ti cintetvā attano anurakkhaṇatthaṃ pāsāde ṭhitova rattakambalantarā suvaṇṇavaṇṇaṃ bāhuṃ nīharitvā tassā gatamaggācikkhanavasena vaṇṇento āha –

    ๗๕๓.

    753.

    ‘‘อิโต คตา มหาราช, นารี สพฺพงฺคโสภนา;

    ‘‘Ito gatā mahārāja, nārī sabbaṅgasobhanā;

    โกสมฺพผลกสุโสฺสณี, หํสคคฺครภาณินีฯ

    Kosambaphalakasussoṇī, haṃsagaggarabhāṇinī.

    ๗๕๔.

    754.

    ‘‘อิโต นีตา มหาราช, นารี สพฺพงฺคโสภนา;

    ‘‘Ito nītā mahārāja, nārī sabbaṅgasobhanā;

    โกเสยฺยวสนา สามา, ชาตรูปสุเมขลาฯ

    Koseyyavasanā sāmā, jātarūpasumekhalā.

    ๗๕๕.

    755.

    ‘‘สุรตฺตปาทา กลฺยาณี, สุวณฺณมณิเมขลา;

    ‘‘Surattapādā kalyāṇī, suvaṇṇamaṇimekhalā;

    ปาเรวตกฺขี สุตนู, พิโมฺพฎฺฐา ตนุมชฺฌิมาฯ

    Pārevatakkhī sutanū, bimboṭṭhā tanumajjhimā.

    ๗๕๖.

    756.

    ‘‘สุชาตา ภุชลฎฺฐีว, เวทีว ตนุมชฺฌิมา;

    ‘‘Sujātā bhujalaṭṭhīva, vedīva tanumajjhimā;

    ทีฆสฺสา เกสา อสิตา, อีสกคฺคปเวลฺลิตาฯ

    Dīghassā kesā asitā, īsakaggapavellitā.

    ๗๕๗.

    757.

    ‘‘สุชาตา มิคฉาปาว, เหมนฺตคฺคิสิขาริว;

    ‘‘Sujātā migachāpāva, hemantaggisikhāriva;

    นทีว คิริทุเคฺคสุ, สญฺฉนฺนา ขุทฺทเวฬุภิฯ

    Nadīva giriduggesu, sañchannā khuddaveḷubhi.

    ๗๕๘.

    758.

    ‘‘นาคนาสูรุ กลฺยาณี, ปรมา ติมฺพรุตฺถนี;

    ‘‘Nāganāsūru kalyāṇī, paramā timbarutthanī;

    นาติทีฆา นาติรสฺสา, นาโลมา นาติโลมสา’’ติฯ

    Nātidīghā nātirassā, nālomā nātilomasā’’ti.

    ตตฺถ อิโตติ อุมงฺคํ ทเสฺสติฯ โกสมฺพผลกสุโสฺสณีติ วิสาลกญฺจนผลกํ วิย สุนฺทรโสณีฯ หํสคคฺครภาณินีติ โคจรตฺถาย วิจรนฺตานํ หํสโปตกานํ วิย คคฺคเรน มธุเรน สเรน สมนฺนาคตาฯ โกเสยฺยวสนาติ กญฺจนขจิตโกเสยฺยวตฺถวสนาฯ สามาติ สุวณฺณสามาฯ ปาเรวตกฺขีติ ปญฺจสุ ปสาเทสุ รตฺตฎฺฐาเน ปาเรวตสกุณิสทิสกฺขีฯ สุตนูติ โสภนสรีราฯ พิโมฺพฎฺฐาติ พิมฺพผลํ วิย สุรชฺชิตมโฎฺฐฎฺฐปริโยสานาฯ ตนุมชฺฌิมาติ กรมิตตนุมชฺฌิมาฯ สุชาตา ภุชลฎฺฐีวาติ วิชมฺภนกาเล วาเตริตรตฺตปลฺลววิลาสินี สุชาตา ภุชลตา วิย วิโรจติฯ เวทีวาติ กญฺจนเวทิ วิย ตนุมชฺฌิมาฯ อีสกคฺคปเวลฺลิตาติ อีสกํ อเคฺคสุ โอนตาฯ อีสกคฺคปเวลฺลิตา วา เนตฺติํสาย อคฺคํ วิย วินตาฯ

    Tattha itoti umaṅgaṃ dasseti. Kosambaphalakasussoṇīti visālakañcanaphalakaṃ viya sundarasoṇī. Haṃsagaggarabhāṇinīti gocaratthāya vicarantānaṃ haṃsapotakānaṃ viya gaggarena madhurena sarena samannāgatā. Koseyyavasanāti kañcanakhacitakoseyyavatthavasanā. Sāmāti suvaṇṇasāmā. Pārevatakkhīti pañcasu pasādesu rattaṭṭhāne pārevatasakuṇisadisakkhī. Sutanūti sobhanasarīrā. Bimboṭṭhāti bimbaphalaṃ viya surajjitamaṭṭhoṭṭhapariyosānā. Tanumajjhimāti karamitatanumajjhimā. Sujātā bhujalaṭṭhīvāti vijambhanakāle vāteritarattapallavavilāsinī sujātā bhujalatā viya virocati. Vedīvāti kañcanavedi viya tanumajjhimā. Īsakaggapavellitāti īsakaṃ aggesu onatā. Īsakaggapavellitā vā nettiṃsāya aggaṃ viya vinatā.

    มิคฉาปาวาติ ปพฺพตสานุมฺหิ สุชาตา เอกวสฺสิกพฺยคฺฆโปติกา วิย วิลาสกุตฺติยุตฺตาฯ เหมนฺตคฺคิสิขาริวาติ โอภาสสมฺปนฺนตาย เหมเนฺต อคฺคิสิขา วิย โสภติฯ ขุทฺทเวฬุภีติ ยถา ขุทฺทเกหิ อุทกเวฬูหิ สญฺฉนฺนา นที โสภติ, เอวํ ตนุกโลมาย โลมราชิยา โสภติฯ กลฺยาณีติ ฉวิมํสเกสนฺหารุอฎฺฐีนํ วเสน ปญฺจวิเธน กลฺยาเณน สมนฺนาคตาฯ ปรมา ติมฺพรุตฺถนีติ ติมฺพรุตฺถนี ปรมา อุตฺตมา, สุวณฺณผลเก ฐปิตสุวณฺณวณฺณติมฺพรุผลทฺวยมิวสฺสา สุสณฺฐานสมฺปนฺนํ นิรนฺตรํ ถนยุคลํฯ

    Migachāpāvāti pabbatasānumhi sujātā ekavassikabyagghapotikā viya vilāsakuttiyuttā. Hemantaggisikhārivāti obhāsasampannatāya hemante aggisikhā viya sobhati. Khuddaveḷubhīti yathā khuddakehi udakaveḷūhi sañchannā nadī sobhati, evaṃ tanukalomāya lomarājiyā sobhati. Kalyāṇīti chavimaṃsakesanhāruaṭṭhīnaṃ vasena pañcavidhena kalyāṇena samannāgatā. Paramā timbarutthanīti timbarutthanī paramā uttamā, suvaṇṇaphalake ṭhapitasuvaṇṇavaṇṇatimbaruphaladvayamivassā susaṇṭhānasampannaṃ nirantaraṃ thanayugalaṃ.

    เอวํ มหาสเตฺต ตสฺสา รูปสิริํ วเณฺณเนฺตว ตสฺส สา ปุเพฺพ อทิฎฺฐปุพฺพา วิย อโหสิ, พลวสิเนหํ อุปฺปาเทสิฯ อถสฺส สิเนหุปฺปตฺติภาวํ ญตฺวา มหาสโตฺต อนนฺตรํ คาถมาห –

    Evaṃ mahāsatte tassā rūpasiriṃ vaṇṇenteva tassa sā pubbe adiṭṭhapubbā viya ahosi, balavasinehaṃ uppādesi. Athassa sinehuppattibhāvaṃ ñatvā mahāsatto anantaraṃ gāthamāha –

    ๗๕๙.

    759.

    ‘‘นนฺทาย นูน มรเณน, นนฺทสิ สิริวาหน;

    ‘‘Nandāya nūna maraṇena, nandasi sirivāhana;

    อหญฺจ นูน นนฺทา จ, คจฺฉาม สมสาธน’’นฺติฯ

    Ahañca nūna nandā ca, gacchāma samasādhana’’nti.

    ตตฺถ สิริวาหนาติ สิริสมฺปนฺนวาหน มหาราช, นูน ตฺวํ เอวํ อุตฺตมรูปธราย นนฺทาย มรเณน นนฺทสีติ วทติฯ คจฺฉามาติ สเจ หิ ตฺวํ มํ มาเรสฺสสิ, เอกํเสเนว อมฺหากํ ราชา นนฺทํ มาเรสฺสติฯ อิติ นนฺทา จ อหญฺจ ยมสฺส สนฺติกํ คมิสฺสาม, ยโม อเมฺห อุโภ ทิสฺวา นนฺทํ มยฺหเมว ทสฺสติ, ตสฺส ตุยฺหํ มํ มาเรตฺวา ตาทิสํ อิตฺถิรตนํ อลภนฺตสฺส กิํ รเชฺชน, นาหํ อตฺตโน มรเณน ปริหานิํ ปสฺสามิ, เทวาติฯ

    Tattha sirivāhanāti sirisampannavāhana mahārāja, nūna tvaṃ evaṃ uttamarūpadharāya nandāya maraṇena nandasīti vadati. Gacchāmāti sace hi tvaṃ maṃ māressasi, ekaṃseneva amhākaṃ rājā nandaṃ māressati. Iti nandā ca ahañca yamassa santikaṃ gamissāma, yamo amhe ubho disvā nandaṃ mayhameva dassati, tassa tuyhaṃ maṃ māretvā tādisaṃ itthiratanaṃ alabhantassa kiṃ rajjena, nāhaṃ attano maraṇena parihāniṃ passāmi, devāti.

    อิติ มหาสโตฺต เอตฺตเก ฐาเน นนฺทเมว วเณฺณสิ, น อิตเร ตโย ชเนฯ กิํการณา? สตฺตา หิ นาม ปิยภริยาสุ วิย เสเสสุ อาลยํ น กโรนฺติ, มาตรํ วา สรโนฺต ปุตฺตธีตโรปิ สริสฺสตีติ ตสฺมา ตเมว วเณฺณสิ, ราชมาตรํ ปน มหลฺลิกาภาเวน น วเณฺณสิฯ ญาณสมฺปเนฺน มหาสเตฺต มธุรสฺสเรน วเณฺณเนฺตเยว นนฺทาเทวี อาคนฺตฺวา รโญฺญ ปุรโต ฐิตา วิย อโหสิฯ ตโต ราชา จิเนฺตสิ ‘‘ฐเปตฺวา มโหสธํ อโญฺญ มม ภริยํ อาเนตุํ สมโตฺถ นาม นตฺถี’’ติฯ อถสฺส นํ สรนฺตสฺส โสโก อุปฺปชฺชิฯ อถ นํ มหาสโตฺต ‘‘มา จินฺตยิตฺถ, มหาราช, เทวี จ เต ปุโตฺต จ มาตา จ ตโยปิ อาคจฺฉิสฺสนฺติ, มม คมนเมเวตฺถ ปมาณํ, ตสฺมา ตฺวํ อสฺสาสํ ปฎิลภ, นรินฺทา’’ติ ราชานํ อสฺสาเสสิฯ อถ ราชา จิเนฺตสิ ‘‘อหํ อตฺตโน นครํ สุรกฺขิตํ สุโคปิตํ การาเปตฺวา อิมํ อุปการินครํ เอตฺตเกน พลวาหเนน ปริกฺขิปิตฺวาว ฐิโตฯ อยํ ปน ปณฺฑิโต เอวํ สุโคปิตาปิ มม นครา เทวิญฺจ เม ปุตฺตญฺจ มาตรญฺจ อาเนตฺวา เวเทหสฺส ทาเปสิฯ อเมฺหสุ จ เอวํ ปริวาเรตฺวา ฐิเตเสฺวว เอกสฺสปิ อชานนฺตสฺส เวเทหํ สเสนาวาหนํ ปลาเปสิฯ กิํ นุ โข ทิพฺพมายํ ชานาติ, อุทาหุ จกฺขุโมหน’’นฺติฯ อถ นํ ปุจฺฉโนฺต อาห –

    Iti mahāsatto ettake ṭhāne nandameva vaṇṇesi, na itare tayo jane. Kiṃkāraṇā? Sattā hi nāma piyabhariyāsu viya sesesu ālayaṃ na karonti, mātaraṃ vā saranto puttadhītaropi sarissatīti tasmā tameva vaṇṇesi, rājamātaraṃ pana mahallikābhāvena na vaṇṇesi. Ñāṇasampanne mahāsatte madhurassarena vaṇṇenteyeva nandādevī āgantvā rañño purato ṭhitā viya ahosi. Tato rājā cintesi ‘‘ṭhapetvā mahosadhaṃ añño mama bhariyaṃ ānetuṃ samattho nāma natthī’’ti. Athassa naṃ sarantassa soko uppajji. Atha naṃ mahāsatto ‘‘mā cintayittha, mahārāja, devī ca te putto ca mātā ca tayopi āgacchissanti, mama gamanamevettha pamāṇaṃ, tasmā tvaṃ assāsaṃ paṭilabha, narindā’’ti rājānaṃ assāsesi. Atha rājā cintesi ‘‘ahaṃ attano nagaraṃ surakkhitaṃ sugopitaṃ kārāpetvā imaṃ upakārinagaraṃ ettakena balavāhanena parikkhipitvāva ṭhito. Ayaṃ pana paṇḍito evaṃ sugopitāpi mama nagarā deviñca me puttañca mātarañca ānetvā vedehassa dāpesi. Amhesu ca evaṃ parivāretvā ṭhitesveva ekassapi ajānantassa vedehaṃ sasenāvāhanaṃ palāpesi. Kiṃ nu kho dibbamāyaṃ jānāti, udāhu cakkhumohana’’nti. Atha naṃ pucchanto āha –

    ๗๖๐.

    760.

    ‘‘ทิพฺพํ อธียเส มายํ, อกาสิ จกฺขุโมหนํ;

    ‘‘Dibbaṃ adhīyase māyaṃ, akāsi cakkhumohanaṃ;

    โย เม อมิตฺตํ หตฺถคตํ, เวเทหํ ปริโมจยี’’ติฯ

    Yo me amittaṃ hatthagataṃ, vedehaṃ parimocayī’’ti.

    ตํ สุตฺวา มหาสโตฺต ‘‘อหํ ทิพฺพมายํ ชานามิ, ปณฺฑิตา หิ นาม ทิพฺพมายํ อุคฺคณฺหิตฺวา ภเย สมฺปเตฺต อตฺตานมฺปิ ปรมฺปิ ทุกฺขโต โมจยนฺติเยวา’’ติ วตฺวา อาห –

    Taṃ sutvā mahāsatto ‘‘ahaṃ dibbamāyaṃ jānāmi, paṇḍitā hi nāma dibbamāyaṃ uggaṇhitvā bhaye sampatte attānampi parampi dukkhato mocayantiyevā’’ti vatvā āha –

    ๗๖๑.

    761.

    ‘‘อธียนฺติ มหาราช, ทิพฺพมายิธ ปณฺฑิตา;

    ‘‘Adhīyanti mahārāja, dibbamāyidha paṇḍitā;

    เต โมจยนฺติ อตฺตานํ, ปณฺฑิตา มนฺติโน ชนาฯ

    Te mocayanti attānaṃ, paṇḍitā mantino janā.

    ๗๖๒.

    762.

    ‘‘สนฺติ มาณวปุตฺตา เม, กุสลา สนฺธิเฉทกา;

    ‘‘Santi māṇavaputtā me, kusalā sandhichedakā;

    เยสํ กเตน มเคฺคน, เวทโห มิถิลํ คโต’’ติฯ

    Yesaṃ katena maggena, vedaho mithilaṃ gato’’ti.

    ตตฺถ ทิพฺพมายิธาติ ทิพฺพมายํ อิธฯ มาณวปุตฺตาติ อุปฎฺฐากตรุณโยธาฯ เยสํ กเตนาติ เยหิ กเตนฯ มเคฺคนาติ อลงฺกตอุมเงฺคนฯ

    Tattha dibbamāyidhāti dibbamāyaṃ idha. Māṇavaputtāti upaṭṭhākataruṇayodhā. Yesaṃ katenāti yehi katena. Maggenāti alaṅkataumaṅgena.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘อลงฺกตอุมเงฺคน กิร คโต, กีทิโส นุ โข อุมโงฺค’’ติ อุมงฺคํ ทฎฺฐุกาโม อโหสิฯ อถสฺส อิจฺฉิตํ ญตฺวา มหาสโตฺต ‘‘ราชา อุมงฺคํ ทฎฺฐุกาโม, ทเสฺสสฺสามิสฺส อุมงฺค’’นฺติ ทเสฺสโนฺต อาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘alaṅkataumaṅgena kira gato, kīdiso nu kho umaṅgo’’ti umaṅgaṃ daṭṭhukāmo ahosi. Athassa icchitaṃ ñatvā mahāsatto ‘‘rājā umaṅgaṃ daṭṭhukāmo, dassessāmissa umaṅga’’nti dassento āha –

    ๗๖๓.

    763.

    ‘‘อิงฺฆ ปสฺส มหาราช, อุมงฺคํ สาธุ มาปิตํ;

    ‘‘Iṅgha passa mahārāja, umaṅgaṃ sādhu māpitaṃ;

    หตฺถีนํ อถ อสฺสานํ, รถานํ อถ ปตฺตินํ;

    Hatthīnaṃ atha assānaṃ, rathānaṃ atha pattinaṃ;

    อาโลกภูตํ ติฎฺฐนฺตํ, อุมงฺคํ สาธุ มาปิต’’นฺติฯ

    Ālokabhūtaṃ tiṭṭhantaṃ, umaṅgaṃ sādhu māpita’’nti.

    ตตฺถ หตฺถีนนฺติ อิฎฺฐกกมฺมจิตฺตกมฺมวเสน กตานํ เอเตสํ หตฺถิอาทีนํ ปนฺตีหิ อุปโสภิตํ อลงฺกตเทวสภาสทิสํ เอโกภาสํ หุตฺวา ติฎฺฐนฺตํ อุมงฺคํ ปสฺส, เทวาติฯ

    Tattha hatthīnanti iṭṭhakakammacittakammavasena katānaṃ etesaṃ hatthiādīnaṃ pantīhi upasobhitaṃ alaṅkatadevasabhāsadisaṃ ekobhāsaṃ hutvā tiṭṭhantaṃ umaṅgaṃ passa, devāti.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ‘‘มหาราช, มม ปญฺญาย มาปิเต จนฺทสฺส จ สูริยสฺส จ อุฎฺฐิตฎฺฐาเน วิย ปากเฎ อลงฺกตอุมเงฺค อสีติมหาทฺวารานิ จตุสฎฺฐิจูฬทฺวารานิ เอกสตสยนคเพฺภ อเนกสตทีปคเพฺภ จ ปสฺส, มยา สทฺธิํ สมโคฺค สโมฺมทมาโน หุตฺวา อตฺตโน พเลน สทฺธิํ อุปการินครํ ปวิส, เทวา’’ติ นครทฺวารํ วิวราเปสิฯ ราชา เอกสตราชปริวาโร นครํ ปาวิสิฯ มหาสโตฺต ปาสาทา โอรุยฺห ราชานํ วนฺทิตฺวา สปริวารํ อาทาย อุมงฺคํ ปาวิสิฯ ราชา อลงฺกตเทวสภํ วิย อุมงฺคํ ทิสฺวา โพธิสตฺตสฺส คุเณ วเณฺณโนฺต อาห –

    Evañca pana vatvā ‘‘mahārāja, mama paññāya māpite candassa ca sūriyassa ca uṭṭhitaṭṭhāne viya pākaṭe alaṅkataumaṅge asītimahādvārāni catusaṭṭhicūḷadvārāni ekasatasayanagabbhe anekasatadīpagabbhe ca passa, mayā saddhiṃ samaggo sammodamāno hutvā attano balena saddhiṃ upakārinagaraṃ pavisa, devā’’ti nagaradvāraṃ vivarāpesi. Rājā ekasatarājaparivāro nagaraṃ pāvisi. Mahāsatto pāsādā oruyha rājānaṃ vanditvā saparivāraṃ ādāya umaṅgaṃ pāvisi. Rājā alaṅkatadevasabhaṃ viya umaṅgaṃ disvā bodhisattassa guṇe vaṇṇento āha –

    ๗๖๔.

    764.

    ‘‘ลาภา วต วิเทหานํ, ยสฺสิเมทิสา ปณฺฑิตา;

    ‘‘Lābhā vata videhānaṃ, yassimedisā paṇḍitā;

    ฆเร วสนฺติ วิชิเต, ยถา ตฺวํสิ มโหสธา’’ติฯ

    Ghare vasanti vijite, yathā tvaṃsi mahosadhā’’ti.

    ตตฺถ วิเทหานนฺติ เอวรูปานํ ปณฺฑิตานํ อากรสฺส อุฎฺฐานฎฺฐานภูตสฺส วิเทหานํ ชนปทสฺส ลาภา วตฯ ยสฺสิเมทิสาติ ยสฺส อิเม เอวรูปา ปณฺฑิตา อุปายกุสลา สนฺติเก วา เอกฆเร วา เอกชนปเท วา เอกรเฎฺฐ วา วสนฺติ, ตสฺสปิ ลาภา วตฯ ยถา ตฺวํสีติ ยถา ตฺวํ อสิ, ตาทิเสน ปณฺฑิเตน สทฺธิํเยว เอกรเฎฺฐ วา เอกชนปเท วา เอกนคเร วา เอกฆเร วา วสิตุํ ลภนฺติฯ เตสํ วิเทหรฎฺฐวาสีนเญฺจว มิถิลนครวาสีนญฺจ ตยา สทฺธิํ เอกโต วสิตุํ ลภนฺตานํ ลาภา วตาติ วทติฯ

    Tattha videhānanti evarūpānaṃ paṇḍitānaṃ ākarassa uṭṭhānaṭṭhānabhūtassa videhānaṃ janapadassa lābhā vata. Yassimedisāti yassa ime evarūpā paṇḍitā upāyakusalā santike vā ekaghare vā ekajanapade vā ekaraṭṭhe vā vasanti, tassapi lābhā vata. Yathā tvaṃsīti yathā tvaṃ asi, tādisena paṇḍitena saddhiṃyeva ekaraṭṭhe vā ekajanapade vā ekanagare vā ekaghare vā vasituṃ labhanti. Tesaṃ videharaṭṭhavāsīnañceva mithilanagaravāsīnañca tayā saddhiṃ ekato vasituṃ labhantānaṃ lābhā vatāti vadati.

    อถสฺส มหาสโตฺต เอกสตสยนคเพฺภ ทเสฺสติฯ เอกสฺส ทฺวาเร วิวเฎ สเพฺพสํ วิวรียติฯ เอกสฺส ทฺวาเร ปิทหิเต สเพฺพสํ ปิธียติฯ ราชา อุมงฺคํ โอโลเกโนฺต ปุรโต คจฺฉติ, ปณฺฑิโต ปน ปจฺฉโตฯ สพฺพา เสนา อุมงฺคเมว ปาวิสิฯ ราชา อุมงฺคโต นิกฺขมิฯ ปณฺฑิโต ตสฺส นิกฺขนฺตภาวํ ญตฺวา สยํ นิกฺขมิตฺวา อเญฺญสํ นิกฺขมิตุํ อทตฺวา อุมงฺคทฺวารํ ปิทหโนฺต อาณิํ อกฺกมิฯ ตาวเทว อสีติมหาทฺวารานิ จตุสฎฺฐิจูฬทฺวารานิ เอกสตสยนคพฺภทฺวารานิ อเนกสตทีปคพฺภทฺวารานิ จ เอกปฺปหาเรเนว ปิทหิํสุฯ สกโล อุมโงฺค โลกนฺตริยนิรโย วิย อนฺธกาโร อโหสิฯ มหาชโน ภีตตสิโต อโหสิฯ มหาสโตฺต หิโยฺย อุมงฺคํ ปวิสโนฺต ยํ ขคฺคํ วาลุเก ฐเปสิ, ตํ คเหตฺวา ภูมิโต อฎฺฐารสหตฺถุเพฺพธํ อากาสํ อุลฺลงฺฆิตฺวา โอรุยฺห ราชานํ หเตฺถ คเหตฺวา อสิํ อุคฺคิริตฺวา ตาเสตฺวา ‘‘มหาราช, สกลชมฺพุทีเป รชฺชํ กสฺส รชฺช’’นฺติ ปุจฺฉิฯ โส ภีโต ‘‘ตุยฺหเมว ปณฺฑิตา’’ติ วตฺวา ‘‘อภยํ เม เทหี’’ติ อาหฯ ‘‘มา ภายิตฺถ, มหาราช, นาหํ ตํ มาเรตุกามตาย ขคฺคํ ปรามสิํ, มม ปญฺญานุภาวํ ทเสฺสตุํ ปรามสิ’’นฺติ ขคฺคํ รโญฺญ อทาสิฯ อถ นํ ขคฺคํ คเหตฺวา ฐิตํ ‘‘มหาราช, สเจ มํ มาเรตุกาโมสิ, อิทาเนว อิมินา ขเคฺคน มาเรหิฯ อถ อภยํ ทาตุกาโม, อภยํ เทหี’’ติ อาหฯ ‘‘ปณฺฑิต, มยา ตุยฺหมฺปิ อภยํ ทินฺนเมว, ตฺวํ มา จินฺตยี’’ติ อสิํ ฐเปตฺวา อุโภปิ อญฺญมญฺญํ อทุพฺภาย สปถํ กริํสุฯ

    Athassa mahāsatto ekasatasayanagabbhe dasseti. Ekassa dvāre vivaṭe sabbesaṃ vivarīyati. Ekassa dvāre pidahite sabbesaṃ pidhīyati. Rājā umaṅgaṃ olokento purato gacchati, paṇḍito pana pacchato. Sabbā senā umaṅgameva pāvisi. Rājā umaṅgato nikkhami. Paṇḍito tassa nikkhantabhāvaṃ ñatvā sayaṃ nikkhamitvā aññesaṃ nikkhamituṃ adatvā umaṅgadvāraṃ pidahanto āṇiṃ akkami. Tāvadeva asītimahādvārāni catusaṭṭhicūḷadvārāni ekasatasayanagabbhadvārāni anekasatadīpagabbhadvārāni ca ekappahāreneva pidahiṃsu. Sakalo umaṅgo lokantariyanirayo viya andhakāro ahosi. Mahājano bhītatasito ahosi. Mahāsatto hiyyo umaṅgaṃ pavisanto yaṃ khaggaṃ vāluke ṭhapesi, taṃ gahetvā bhūmito aṭṭhārasahatthubbedhaṃ ākāsaṃ ullaṅghitvā oruyha rājānaṃ hatthe gahetvā asiṃ uggiritvā tāsetvā ‘‘mahārāja, sakalajambudīpe rajjaṃ kassa rajja’’nti pucchi. So bhīto ‘‘tuyhameva paṇḍitā’’ti vatvā ‘‘abhayaṃ me dehī’’ti āha. ‘‘Mā bhāyittha, mahārāja, nāhaṃ taṃ māretukāmatāya khaggaṃ parāmasiṃ, mama paññānubhāvaṃ dassetuṃ parāmasi’’nti khaggaṃ rañño adāsi. Atha naṃ khaggaṃ gahetvā ṭhitaṃ ‘‘mahārāja, sace maṃ māretukāmosi, idāneva iminā khaggena mārehi. Atha abhayaṃ dātukāmo, abhayaṃ dehī’’ti āha. ‘‘Paṇḍita, mayā tuyhampi abhayaṃ dinnameva, tvaṃ mā cintayī’’ti asiṃ ṭhapetvā ubhopi aññamaññaṃ adubbhāya sapathaṃ kariṃsu.

    อถ ราชา โพธิสตฺตํ อาห – ‘‘ปณฺฑิต, เอวํ ญาณพลสมฺปโนฺน หุตฺวา รชฺชํ กสฺมา น คณฺหาสี’’ติ? ‘‘มหาราช, อหํ อิจฺฉมาโน อเชฺชว สกลชมฺพุทีเป ราชาโน มาเรตฺวา รชฺชํ คเณฺหยฺยํ, ปรํ มาเรตฺวา จ ยสคฺคหณํ นาม ปณฺฑิเตหิ น ปสตฺถ’’นฺติฯ ‘‘ปณฺฑิต, มหาชโน ทฺวารํ อลภมาโน ปริเทวติ, อุมงฺคทฺวารํ วิวริตฺวา มหาชนสฺส ชีวิตทานํ เทหี’’ติ ฯ โส ทฺวารํ วิวริ, สกโล อุมโงฺค เอโกภาโส อโหสิฯ มหาชโน อสฺสาสํ ปฎิลภิฯ สเพฺพ ราชาโน อตฺตโน เสนาย สทฺธิํ นิกฺขมิตฺวา ปณฺฑิตสฺส สนฺติกํ อาคมิํสุฯ โส รญฺญา สทฺธิํ วิสาลมาฬเก อฎฺฐาสิฯ อถ นํ เต ราชาโน อาหํสุ ‘‘ปณฺฑิต, ตํ นิสฺสาย ชีวิตํ ลทฺธํ, สเจ มุหุตฺตํ อุมงฺคทฺวารํ น วิวริตฺถ, สเพฺพสํ โน ตเตฺถว มรณํ อภวิสฺสา’’ติฯ ‘‘น มหาราชาโน อิทาเนว ตุเมฺหหิ มเญฺญว นิสฺสาย ชีวิตํ ลทฺธํ, ปุเพฺพปิ ลทฺธํเยวา’’ติฯ ‘‘กทา, ปณฺฑิตา’’ติ? ‘‘ฐเปตฺวา อมฺหากํ นครํ สกลชมฺพุทีเป รชฺชํ คเหตฺวา อุตฺตรปญฺจาลนครํ คนฺตฺวา อุยฺยาเน ชยปานํ ปาตุํ สุราย ปฎิยตฺตกาลํ สรถา’’ติ? ‘‘อาม, ปณฺฑิตา’’ติฯ ตทา เอส ราชา เกวเฎฺฎน สทฺธิํ ทุมฺมนฺติเตน วิสโยชิตาย สุราย เจว มจฺฉมํเสหิ จ ตุเมฺห มาเรตุํ กิจฺจมกาสิฯ อถาหํ ‘‘มาทิเส ปณฺฑิเต ธรมาเน อิเม อนาถมรณํ มา มรนฺตู’’ติ อตฺตโน โยเธ เปเสตฺวา สพฺพภาชนานิ ภินฺทาเปตฺวา เอเตสํ มนฺตํ ภินฺทิตฺวา ตุมฺหากํ ชีวิตทานํ อทาสินฺติฯ

    Atha rājā bodhisattaṃ āha – ‘‘paṇḍita, evaṃ ñāṇabalasampanno hutvā rajjaṃ kasmā na gaṇhāsī’’ti? ‘‘Mahārāja, ahaṃ icchamāno ajjeva sakalajambudīpe rājāno māretvā rajjaṃ gaṇheyyaṃ, paraṃ māretvā ca yasaggahaṇaṃ nāma paṇḍitehi na pasattha’’nti. ‘‘Paṇḍita, mahājano dvāraṃ alabhamāno paridevati, umaṅgadvāraṃ vivaritvā mahājanassa jīvitadānaṃ dehī’’ti . So dvāraṃ vivari, sakalo umaṅgo ekobhāso ahosi. Mahājano assāsaṃ paṭilabhi. Sabbe rājāno attano senāya saddhiṃ nikkhamitvā paṇḍitassa santikaṃ āgamiṃsu. So raññā saddhiṃ visālamāḷake aṭṭhāsi. Atha naṃ te rājāno āhaṃsu ‘‘paṇḍita, taṃ nissāya jīvitaṃ laddhaṃ, sace muhuttaṃ umaṅgadvāraṃ na vivarittha, sabbesaṃ no tattheva maraṇaṃ abhavissā’’ti. ‘‘Na mahārājāno idāneva tumhehi maññeva nissāya jīvitaṃ laddhaṃ, pubbepi laddhaṃyevā’’ti. ‘‘Kadā, paṇḍitā’’ti? ‘‘Ṭhapetvā amhākaṃ nagaraṃ sakalajambudīpe rajjaṃ gahetvā uttarapañcālanagaraṃ gantvā uyyāne jayapānaṃ pātuṃ surāya paṭiyattakālaṃ sarathā’’ti? ‘‘Āma, paṇḍitā’’ti. Tadā esa rājā kevaṭṭena saddhiṃ dummantitena visayojitāya surāya ceva macchamaṃsehi ca tumhe māretuṃ kiccamakāsi. Athāhaṃ ‘‘mādise paṇḍite dharamāne ime anāthamaraṇaṃ mā marantū’’ti attano yodhe pesetvā sabbabhājanāni bhindāpetvā etesaṃ mantaṃ bhinditvā tumhākaṃ jīvitadānaṃ adāsinti.

    เต สเพฺพปิ อุพฺพิคฺคมานสา หุตฺวา จูฬนิราชานํ ปุจฺฉิํสุ ‘‘สจฺจํ กิร, มหาราชา’’ติ? ‘‘อาม, มยา เกวฎฺฎสฺส กถํ คเหตฺวา กตํ, สจฺจเมว ปณฺฑิโต กเถตี’’ติฯ เต สเพฺพปิ มหาสตฺตํ อาลิงฺคิตฺวา ‘‘ปณฺฑิต, ตฺวํ สเพฺพสํ โน ปติฎฺฐา ชาโต, ตํ นิสฺสาย มยํ ชีวิตํ ลภิมฺหา’’ติ สพฺพปสาธเนหิ มหาสตฺตสฺส ปูชํ กริํสุฯ ปณฺฑิโต ราชานํ อาห – ‘‘มหาราช, ตุเมฺห มา จินฺตยิตฺถ, ปาปมิตฺตสํสคฺคเสฺสว เอส โทโส, อิเม ราชาโน ขมาเปถา’’ติฯ ราชา ‘‘มยา ทุปฺปุริสํ นิสฺสาย ตุมฺหากํ เอวรูปํ กตํ, เอส มยฺหํ โทโส, ขมถ เม โทสํ, ปุน เอวรูปํ น กริสฺสามี’’ติ ขมาเปสิฯ เต อญฺญมญฺญํ อจฺจยํ เทเสตฺวา สมคฺคา สโมฺมทมานา อเหสุํฯ อถ ราชา พหูนิ ขาทนียโภชนียคนฺธมาลาทีนิ อาหราเปตฺวา สเพฺพหิ สทฺธิํ สตฺตาหํ อุมเงฺคเยว กีฬิตฺวา นครํ ปวิสิตฺวา มหาสตฺตสฺส มหาสกฺการํ กาเรตฺวา เอกสตราชปริวุโต มหาตเล นิสีทิตฺวา ปณฺฑิตํ อตฺตโน สนฺติเก วสาเปตุกามตาย อาห –

    Te sabbepi ubbiggamānasā hutvā cūḷanirājānaṃ pucchiṃsu ‘‘saccaṃ kira, mahārājā’’ti? ‘‘Āma, mayā kevaṭṭassa kathaṃ gahetvā kataṃ, saccameva paṇḍito kathetī’’ti. Te sabbepi mahāsattaṃ āliṅgitvā ‘‘paṇḍita, tvaṃ sabbesaṃ no patiṭṭhā jāto, taṃ nissāya mayaṃ jīvitaṃ labhimhā’’ti sabbapasādhanehi mahāsattassa pūjaṃ kariṃsu. Paṇḍito rājānaṃ āha – ‘‘mahārāja, tumhe mā cintayittha, pāpamittasaṃsaggasseva esa doso, ime rājāno khamāpethā’’ti. Rājā ‘‘mayā duppurisaṃ nissāya tumhākaṃ evarūpaṃ kataṃ, esa mayhaṃ doso, khamatha me dosaṃ, puna evarūpaṃ na karissāmī’’ti khamāpesi. Te aññamaññaṃ accayaṃ desetvā samaggā sammodamānā ahesuṃ. Atha rājā bahūni khādanīyabhojanīyagandhamālādīni āharāpetvā sabbehi saddhiṃ sattāhaṃ umaṅgeyeva kīḷitvā nagaraṃ pavisitvā mahāsattassa mahāsakkāraṃ kāretvā ekasatarājaparivuto mahātale nisīditvā paṇḍitaṃ attano santike vasāpetukāmatāya āha –

    ๗๖๕.

    765.

    ‘‘วุตฺติญฺจ ปริหารญฺจ, ทิคุณํ ภตฺตเวตนํ;

    ‘‘Vuttiñca parihārañca, diguṇaṃ bhattavetanaṃ;

    ททามิ วิปุเล โภเค, ภุญฺช กาเม รมสฺสุ จ;

    Dadāmi vipule bhoge, bhuñja kāme ramassu ca;

    มา วิเทหํ ปจฺจคมา, กิํ วิเทโห กริสฺสตี’’ติฯ

    Mā videhaṃ paccagamā, kiṃ videho karissatī’’ti.

    ตตฺถ วุตฺตินฺติ ยสนิสฺสิตํ ชีวิตวุตฺติํฯ ปริหารนฺติ คามนิคมทานํฯ ภตฺตนฺติ นิวาปํฯ เวตนนฺติ ปริพฺพยํฯ โภเคติ อเญฺญปิ เต วิปุเล โภเค ททามิฯ

    Tattha vuttinti yasanissitaṃ jīvitavuttiṃ. Parihāranti gāmanigamadānaṃ. Bhattanti nivāpaṃ. Vetananti paribbayaṃ. Bhogeti aññepi te vipule bhoge dadāmi.

    ปณฺฑิโต ตํ ปฎิกฺขิปโนฺต อาห –

    Paṇḍito taṃ paṭikkhipanto āha –

    ๗๖๖.

    766.

    ‘‘โย จเชถ มหาราช, ภตฺตารํ ธนการณา;

    ‘‘Yo cajetha mahārāja, bhattāraṃ dhanakāraṇā;

    อุภินฺนํ โหติ คารโยฺห, อตฺตโน จ ปรสฺส จ;

    Ubhinnaṃ hoti gārayho, attano ca parassa ca;

    ยาว ชีเวยฺย เวเทโห, นาญฺญสฺส ปุริโส สิยาฯ

    Yāva jīveyya vedeho, nāññassa puriso siyā.

    ๗๖๗.

    767.

    ‘‘โย จเชถ มหาราช, ภตฺตารํ ธนการณา;

    ‘‘Yo cajetha mahārāja, bhattāraṃ dhanakāraṇā;

    อุภินฺนํ โหติ คารโยฺห, อตฺตโน จ ปรสฺส จ;

    Ubhinnaṃ hoti gārayho, attano ca parassa ca;

    ยาว ติเฎฺฐยฺย เวเทโห, นาญฺญสฺส วิชิเต วเส’’ติฯ

    Yāva tiṭṭheyya vedeho, nāññassa vijite vase’’ti.

    ตตฺถ อตฺตโน จ ปรสฺส จาติ เอวรูปญฺหิ ‘‘ธนการณา มยา อตฺตโน ภตฺตารํ ปริจฺจชเนฺตน ปาปํ กต’’นฺติ อตฺตาปิ อตฺตานํ ครหติ, ‘‘อิมินา ธนการณา อตฺตโน ภตฺตา ปริจฺจโตฺต, ปาปธโมฺม อย’’นฺติ ปโรปิ ครหติฯ ตสฺมา น สกฺกา ตสฺมิํ ธรเนฺต มยา อญฺญสฺส วิชิเต วสิตุนฺติฯ

    Tattha attano ca parassa cāti evarūpañhi ‘‘dhanakāraṇā mayā attano bhattāraṃ pariccajantena pāpaṃ kata’’nti attāpi attānaṃ garahati, ‘‘iminā dhanakāraṇā attano bhattā pariccatto, pāpadhammo aya’’nti paropi garahati. Tasmā na sakkā tasmiṃ dharante mayā aññassa vijite vasitunti.

    อถ นํ ราชา อาห – ‘‘เตน หิ, ปณฺฑิต, ตว รโญฺญ ทิวงฺคตกาเล อิธาคนฺตุํ ปฎิญฺญํ เทหี’’ติฯ โส ‘‘สาธุ, เทว, อหํ ชีวโนฺต อาคมิสฺสามี’’ติ อาหฯ อถสฺส ราชา สตฺตาหํ มหาสกฺการํ กตฺวา สตฺตาหจฺจเยน ปุน อาปุจฺฉนกาเล ‘‘อหํ เต, ปณฺฑิต, อิทญฺจิทญฺจ ทมฺมี’’ติ วทโนฺต คาถมาห –

    Atha naṃ rājā āha – ‘‘tena hi, paṇḍita, tava rañño divaṅgatakāle idhāgantuṃ paṭiññaṃ dehī’’ti. So ‘‘sādhu, deva, ahaṃ jīvanto āgamissāmī’’ti āha. Athassa rājā sattāhaṃ mahāsakkāraṃ katvā sattāhaccayena puna āpucchanakāle ‘‘ahaṃ te, paṇḍita, idañcidañca dammī’’ti vadanto gāthamāha –

    ๗๖๘.

    768.

    ‘‘ทมฺมิ นิกฺขสหสฺสํ เต, คามาสีติญฺจ กาสิสุ;

    ‘‘Dammi nikkhasahassaṃ te, gāmāsītiñca kāsisu;

    ทาสิสตานิ จตฺตาริ, ทมฺมิ ภริยาสตญฺจ เต;

    Dāsisatāni cattāri, dammi bhariyāsatañca te;

    สพฺพํ เสนงฺคมาทาย, โสตฺถิํ คจฺฉ มโหสธา’’ติฯ

    Sabbaṃ senaṅgamādāya, sotthiṃ gaccha mahosadhā’’ti.

    ตตฺถ นิกฺขสหสฺสนฺติ ปญฺจสุวเณฺณน นิเกฺขน นิกฺขานํ สหสฺสํฯ คามาติ เย คามา สํวจฺฉเร สํวจฺฉเร สหสฺสสหสฺสุฎฺฐานกา, เต จ คาเม เต ทมฺมิฯ กาสิสูติ กาสิรเฎฺฐฯ ตํ วิเทหรฎฺฐสฺส อาสนฺนํ, ตสฺมา ตตฺถสฺส อสีติคาเม อทาสิฯ

    Tattha nikkhasahassanti pañcasuvaṇṇena nikkhena nikkhānaṃ sahassaṃ. Gāmāti ye gāmā saṃvacchare saṃvacchare sahassasahassuṭṭhānakā, te ca gāme te dammi. Kāsisūti kāsiraṭṭhe. Taṃ videharaṭṭhassa āsannaṃ, tasmā tatthassa asītigāme adāsi.

    โสปิ ราชานํ อาห – ‘‘มหาราช, ตุเมฺห พนฺธวานํ มา จินฺตยิตฺถ, อหํ มม รโญฺญ คมนกาเลเยว ‘มหาราช, นนฺทาเทวิํ มาตุฎฺฐาเน ฐเปยฺยาสิ, ปญฺจาลจนฺทํ กนิฎฺฐฎฺฐาเน’ติ วตฺวา ธีตาย เต อภิเสกํ ทาเปตฺวา ราชานํ อุโยฺยเชสิํ, มาตรญฺจ เทวิญฺจ ปุตฺตญฺจ สีฆเมว เปเสสฺสามี’’ติฯ โส ‘‘สาธุ, ปณฺฑิตา’’ติ อตฺตโน ธีตุ ทาตพฺพานิ ทาสิทาสวตฺถาลงฺการสุวณฺณหิรญฺญอลงฺกตหตฺถิอสฺสรถาทีนิ ‘‘อิมานิ ตสฺสา ทเทยฺยาสี’’ติ มหาสตฺตํ ปฎิจฺฉาเปตฺวา เสนาวาหนสฺส กตฺตพฺพกิจฺจํ วิจาเรโนฺต อาห –

    Sopi rājānaṃ āha – ‘‘mahārāja, tumhe bandhavānaṃ mā cintayittha, ahaṃ mama rañño gamanakāleyeva ‘mahārāja, nandādeviṃ mātuṭṭhāne ṭhapeyyāsi, pañcālacandaṃ kaniṭṭhaṭṭhāne’ti vatvā dhītāya te abhisekaṃ dāpetvā rājānaṃ uyyojesiṃ, mātarañca deviñca puttañca sīghameva pesessāmī’’ti. So ‘‘sādhu, paṇḍitā’’ti attano dhītu dātabbāni dāsidāsavatthālaṅkārasuvaṇṇahiraññaalaṅkatahatthiassarathādīni ‘‘imāni tassā dadeyyāsī’’ti mahāsattaṃ paṭicchāpetvā senāvāhanassa kattabbakiccaṃ vicārento āha –

    ๗๖๙.

    769.

    ‘‘ยาว ททนฺตุ หตฺถีนํ, อสฺสานํ ทิคุณํ วิธํ;

    ‘‘Yāva dadantu hatthīnaṃ, assānaṃ diguṇaṃ vidhaṃ;

    ตเปฺปนฺตุ อนฺนปาเนน, รถิเก ปตฺติการเก’’ติฯ

    Tappentu annapānena, rathike pattikārake’’ti.

    ตตฺถ ยาวาติ น เกวลํ ทิคุณเมว, ยาว ปโหติ, ตาว หตฺถีนญฺจ อสฺสานญฺจ ยวโคธุมาทิวิธํ เทถาติ วทติฯ ตเปฺปนฺตูติ ยตฺตเกน เต อนฺตรามเคฺค อกิลนฺตา คจฺฉนฺติ, ตตฺตกํ เทนฺตา ตเปฺปนฺตุฯ

    Tattha yāvāti na kevalaṃ diguṇameva, yāva pahoti, tāva hatthīnañca assānañca yavagodhumādividhaṃ dethāti vadati. Tappentūti yattakena te antarāmagge akilantā gacchanti, tattakaṃ dentā tappentu.

    เอวญฺจ ปน วตฺวา ปณฺฑิตํ อุโยฺยเชโนฺต อาห –

    Evañca pana vatvā paṇḍitaṃ uyyojento āha –

    ๗๗๐.

    770.

    ‘‘หตฺถี อเสฺส รเถ ปตฺตี, คเจฺฉวาทาย ปณฺฑิต;

    ‘‘Hatthī asse rathe pattī, gacchevādāya paṇḍita;

    ปสฺสตุ ตํ มหาราชา, เวเทโห มิถิลํ คต’’นฺติฯ

    Passatu taṃ mahārājā, vedeho mithilaṃ gata’’nti.

    ตตฺถ มิถิลํ คตนฺติ โสตฺถินา ตํ มิถิลนครํ สมฺปตฺตํ ปสฺสตุฯ

    Tattha mithilaṃ gatanti sotthinā taṃ mithilanagaraṃ sampattaṃ passatu.

    อิติ โส ปณฺฑิตสฺส มหนฺตํ สกฺการํ กตฺวา อุโยฺยเชสิฯ เตปิ เอกสตราชาโน มหาสตฺตสฺส สกฺการํ กตฺวา พหุํ ปณฺณาการํ อทํสุฯ เตสํ สนฺติเก อุปนิกฺขิตฺตกปุริสาปิ ปณฺฑิตเมว ปริวารยิํสุฯ โส มหเนฺตน ปริวาเรน ปริวุโต มคฺคํ ปฎิปชฺชิตฺวา อนฺตรามเคฺคเยว จูฬนิรญฺญา ทินฺนคามโต อายํ อาหราเปตุํ ปุริเส เปเสตฺวา วิเทหรฎฺฐํ สมฺปาปุณิฯ เสนโกปิ กินฺตรามเคฺค อตฺตโน ปุริสํ ฐเปสิ ‘‘จูฬนิรโญฺญ ปุน อาคมนํ วา อนาคมนํ วา ชานิตฺวา ยสฺส กสฺสจิ อาคมนญฺจ มยฺหํ อาโรเจยฺยาสี’’ติฯ โส ติโยชนมตฺถเกเยว มหาสตฺตํ ทิสฺวา อาคนฺตฺวา ‘‘ปณฺฑิโต มหเนฺตน ปริวาเรน อาคจฺฉตี’’ติ เสนกสฺส อาโรเจสิฯ โส ตํ สุตฺวา ราชกุลํ อคมาสิ ฯ ราชาปิ ปาสาทตเล ฐิโต วาตปาเนน โอโลเกโนฺต มหติํ เสนํ ทิสฺวา ‘‘มโหสธปณฺฑิตสฺส เสนา มนฺทา, อยํ อติวิย มหตี เสนา ทิสฺสติ, กิํ นุ โข จูฬนิราชา อาคโต สิยา’’ติ ภีตตสิโต ตมตฺถํ ปุจฺฉโนฺต อาห –

    Iti so paṇḍitassa mahantaṃ sakkāraṃ katvā uyyojesi. Tepi ekasatarājāno mahāsattassa sakkāraṃ katvā bahuṃ paṇṇākāraṃ adaṃsu. Tesaṃ santike upanikkhittakapurisāpi paṇḍitameva parivārayiṃsu. So mahantena parivārena parivuto maggaṃ paṭipajjitvā antarāmaggeyeva cūḷaniraññā dinnagāmato āyaṃ āharāpetuṃ purise pesetvā videharaṭṭhaṃ sampāpuṇi. Senakopi kintarāmagge attano purisaṃ ṭhapesi ‘‘cūḷanirañño puna āgamanaṃ vā anāgamanaṃ vā jānitvā yassa kassaci āgamanañca mayhaṃ āroceyyāsī’’ti. So tiyojanamatthakeyeva mahāsattaṃ disvā āgantvā ‘‘paṇḍito mahantena parivārena āgacchatī’’ti senakassa ārocesi. So taṃ sutvā rājakulaṃ agamāsi . Rājāpi pāsādatale ṭhito vātapānena olokento mahatiṃ senaṃ disvā ‘‘mahosadhapaṇḍitassa senā mandā, ayaṃ ativiya mahatī senā dissati, kiṃ nu kho cūḷanirājā āgato siyā’’ti bhītatasito tamatthaṃ pucchanto āha –

    ๗๗๑.

    771.

    ‘‘หตฺถี อสฺสา รถา ปตฺตี, เสนา ปทิสฺสเต มหา;

    ‘‘Hatthī assā rathā pattī, senā padissate mahā;

    จตุรงฺคินี ภีสรูปา, กิํ นุ มญฺญสิ ปณฺฑิตา’’ติฯ

    Caturaṅginī bhīsarūpā, kiṃ nu maññasi paṇḍitā’’ti.

    อถสฺส เสนโก ตมตฺถํ อาโรเจโนฺต อาห –

    Athassa senako tamatthaṃ ārocento āha –

    ๗๗๒.

    772.

    ‘‘อานโนฺท เต มหาราช, อุตฺตโม ปฎิทิสฺสติ;

    ‘‘Ānando te mahārāja, uttamo paṭidissati;

    สพฺพํ เสนงฺคมาทาย, โสตฺถิํ ปโตฺต มโหสโธ’’ติฯ

    Sabbaṃ senaṅgamādāya, sotthiṃ patto mahosadho’’ti.

    ตํ สุตฺวา ราชา อาห – ‘‘เสนก, ปณฺฑิตสฺส เสนา มนฺทา, อยํ ปน มหตี’’ติฯ ‘‘มหาราช, จูฬนิราชา เตน ปสาทิโต ภวิสฺสติ, เตนสฺส ปสเนฺนน ทินฺนา ภวิสฺสตี’’ติฯ ราชา นคเร เภริํ จราเปสิ ‘‘นครํ อลงฺกริตฺวา ปณฺฑิตสฺส ปจฺจุคฺคมนํ กโรนฺตู’’ติฯ นาครา ตถา กริํสุฯ ปณฺฑิโต นครํ ปวิสิตฺวา ราชกุลํ คนฺตฺวา ราชานํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ อถ นํ ราชา อุฎฺฐาย อาลิงฺคิตฺวา ปลฺลงฺกวรคโต ปฎิสนฺถารํ กโรโนฺต อาห –

    Taṃ sutvā rājā āha – ‘‘senaka, paṇḍitassa senā mandā, ayaṃ pana mahatī’’ti. ‘‘Mahārāja, cūḷanirājā tena pasādito bhavissati, tenassa pasannena dinnā bhavissatī’’ti. Rājā nagare bheriṃ carāpesi ‘‘nagaraṃ alaṅkaritvā paṇḍitassa paccuggamanaṃ karontū’’ti. Nāgarā tathā kariṃsu. Paṇḍito nagaraṃ pavisitvā rājakulaṃ gantvā rājānaṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Atha naṃ rājā uṭṭhāya āliṅgitvā pallaṅkavaragato paṭisanthāraṃ karonto āha –

    ๗๗๓.

    773.

    ‘‘ยถา เปตํ สุสานสฺมิํ, ฉเฑฺฑตฺวา จตุโร ชนา;

    ‘‘Yathā petaṃ susānasmiṃ, chaḍḍetvā caturo janā;

    เอวํ กปิลเยฺย ตฺยมฺห, ฉฑฺฑยิตฺวา อิธาคตาฯ

    Evaṃ kapilayye tyamha, chaḍḍayitvā idhāgatā.

    ๗๗๔.

    774.

    ‘‘อถ ตฺวํ เกน วเณฺณน, เกน วา ปน เหตุนา;

    ‘‘Atha tvaṃ kena vaṇṇena, kena vā pana hetunā;

    เกน วา อตฺถชาเตน, อตฺตานํ ปริโมจยี’’ติฯ

    Kena vā atthajātena, attānaṃ parimocayī’’ti.

    ตตฺถ จตุโร ชนาติ ปณฺฑิต, ยถา นาม กาลกตํ จตุโร ชนา มญฺจเกน สุสานํ เนตฺวา ตตฺถ ฉเฑฺฑตฺวา อนเปกฺขา คจฺฉนฺติ, เอวํ กปิลเยฺย รเฎฺฐ ตํ ฉเฑฺฑตฺวา มยํ อิมาคตาติ อโตฺถฯ เกน วเณฺณนาติ เกน การเณนฯ เหตุนาติ ปจฺจเยนฯ อตฺถชาเตนาติ อเตฺถนฯ อตฺตานํ ปริโมจยีติ อมิตฺตหตฺถคโต เกน การเณน ปจฺจเยน เกน อเตฺถน ตฺวํ อตฺตานํ ปริโมเจสีติ ปุจฺฉติฯ

    Tattha caturo janāti paṇḍita, yathā nāma kālakataṃ caturo janā mañcakena susānaṃ netvā tattha chaḍḍetvā anapekkhā gacchanti, evaṃ kapilayye raṭṭhe taṃ chaḍḍetvā mayaṃ imāgatāti attho. Kena vaṇṇenāti kena kāraṇena. Hetunāti paccayena. Atthajātenāti atthena. Attānaṃ parimocayīti amittahatthagato kena kāraṇena paccayena kena atthena tvaṃ attānaṃ parimocesīti pucchati.

    ตโต มหาสโตฺต อาห –

    Tato mahāsatto āha –

    ๗๗๕.

    775.

    ‘‘อตฺถํ อเตฺถน เวเทห, มนฺตํ มเนฺตน ขตฺติย;

    ‘‘Atthaṃ atthena vedeha, mantaṃ mantena khattiya;

    ปริวารยิํ ราชานํ, ชมฺพุทีปํว สาคโร’’ติฯ

    Parivārayiṃ rājānaṃ, jambudīpaṃva sāgaro’’ti.

    ตสฺสโตฺถ – อหํ, มหาราช, เตน จินฺติตํ อตฺถํ อตฺตโน จินฺติเตน อเตฺถน, เตน จ มนฺติตํ มนฺตํ อตฺตโน มนฺติเตน มเนฺตน ปริวาเรสิํฯ น เกวลญฺจ เอตฺตกเมว, เอกสตราชปริวารํ ปน ตํ ราชานํ ชมฺพุทีปํ สาคโร วิย ปริวารยิสฺสนฺติฯ สพฺพํ อตฺตโน กตกมฺมํ วิตฺถาเรตฺวา กเถสิฯ

    Tassattho – ahaṃ, mahārāja, tena cintitaṃ atthaṃ attano cintitena atthena, tena ca mantitaṃ mantaṃ attano mantitena mantena parivāresiṃ. Na kevalañca ettakameva, ekasatarājaparivāraṃ pana taṃ rājānaṃ jambudīpaṃ sāgaro viya parivārayissanti. Sabbaṃ attano katakammaṃ vitthāretvā kathesi.

    ตํ สุตฺวา ราชา อติวิย ตุสฺสิฯ อถสฺส ปณฺฑิโต จูฬนิรญฺญา อตฺตโน ทินฺนํ ปณฺณาการํ อาจิกฺขโนฺต อาห –

    Taṃ sutvā rājā ativiya tussi. Athassa paṇḍito cūḷaniraññā attano dinnaṃ paṇṇākāraṃ ācikkhanto āha –

    ๗๗๖.

    776.

    ‘‘ทินฺนํ นิกฺขสหสฺสํ เม, คามาสีติ จ กาสิสุ;

    ‘‘Dinnaṃ nikkhasahassaṃ me, gāmāsīti ca kāsisu;

    ทาสิสตานิ จตฺตาริ, ทินฺนํ ภริยาสตญฺจ เม;

    Dāsisatāni cattāri, dinnaṃ bhariyāsatañca me;

    สพฺพํ เสนงฺคมาทาย, โสตฺถินามฺหิ อิธาคโต’’ติฯ

    Sabbaṃ senaṅgamādāya, sotthināmhi idhāgato’’ti.

    ตโต ราชา อติวิย ตุฎฺฐปหโฎฺฐ มหาสตฺตสฺส คุณํ วเณฺณโนฺต ตเมว อุทานํ อุทาเนสิ –

    Tato rājā ativiya tuṭṭhapahaṭṭho mahāsattassa guṇaṃ vaṇṇento tameva udānaṃ udānesi –

    ๗๗๗.

    777.

    ‘‘สุสุขํ วต สํวาโส, ปณฺฑิเตหีติ เสนก;

    ‘‘Susukhaṃ vata saṃvāso, paṇḍitehīti senaka;

    ปกฺขีว ปญฺชเร พเทฺธ มเจฺฉ ชาลคเตริว;

    Pakkhīva pañjare baddhe macche jālagateriva;

    อมิตฺตหตฺถตฺตคเต, โมจยี โน มโหสโธ’’ติฯ

    Amittahatthattagate, mocayī no mahosadho’’ti.

    เสนโกปิ ตสฺส วจนํ สมฺปฎิจฺฉโนฺต ตเมว คาถมาห –

    Senakopi tassa vacanaṃ sampaṭicchanto tameva gāthamāha –

    ๗๗๘.

    778.

    ‘‘เอวเมตํ มหาราช, ปณฺฑิตา หิ สุขาวหา;

    ‘‘Evametaṃ mahārāja, paṇḍitā hi sukhāvahā;

    ปกฺขีว ปญฺชเร พเทฺธ, มเจฺฉ ชาลคเตริว;

    Pakkhīva pañjare baddhe, macche jālagateriva;

    อมิตฺตหตฺถตฺตคเต, โมจยี โน มโหสโธ’’ติฯ

    Amittahatthattagate, mocayī no mahosadho’’ti.

    อถ ราชา นคเร ฉณเภริํ จราเปตฺวา ‘‘สตฺตาหํ มหาฉณํ กโรนฺตุ, เยสํ มยิ สิเนโห อตฺถิ, เต สเพฺพ ปณฺฑิตสฺส สกฺการํ สมฺมานํ กโรนฺตู’’ติ อาณาเปโนฺต อาห –

    Atha rājā nagare chaṇabheriṃ carāpetvā ‘‘sattāhaṃ mahāchaṇaṃ karontu, yesaṃ mayi sineho atthi, te sabbe paṇḍitassa sakkāraṃ sammānaṃ karontū’’ti āṇāpento āha –

    ๗๗๙.

    779.

    ‘‘อาหญฺญนฺตุ สพฺพวีณา, เภริโย ทินฺทิมานิ จ;

    ‘‘Āhaññantu sabbavīṇā, bheriyo dindimāni ca;

    ธเมนฺตุ มาคธา สงฺขา, วคฺคู นทนฺตุ ทุนฺทุภี’’ติฯ

    Dhamentu māgadhā saṅkhā, vaggū nadantu dundubhī’’ti.

    ตตฺถ อาหญฺญนฺตูติ วาทิยนฺตุฯ มาคธา สงฺขาติ มคธรเฎฺฐ สญฺชาตา สงฺขาฯ ทุนฺทุภีติ มหาเภริโยฯ

    Tattha āhaññantūti vādiyantu. Māgadhā saṅkhāti magadharaṭṭhe sañjātā saṅkhā. Dundubhīti mahābheriyo.

    อถ เต นาครา จ ชานปทา จ ปกติยาปิ ปณฺฑิตสฺส สกฺการํ กาตุกามา เภริสทฺทํ สุตฺวา อติเรกตรํ อกํสุฯ ตมตฺถํ ปกาเสโนฺต สตฺถา อาห –

    Atha te nāgarā ca jānapadā ca pakatiyāpi paṇḍitassa sakkāraṃ kātukāmā bherisaddaṃ sutvā atirekataraṃ akaṃsu. Tamatthaṃ pakāsento satthā āha –

    ๗๘๐.

    780.

    ‘‘โอโรธา จ กุมารา จ, เวสิยานา จ พฺราหฺมณา;

    ‘‘Orodhā ca kumārā ca, vesiyānā ca brāhmaṇā;

    พหุํ อนฺนญฺจ ปานญฺจ, ปณฺฑิตสฺสาภิหารยุํฯ

    Bahuṃ annañca pānañca, paṇḍitassābhihārayuṃ.

    ๗๘๑.

    781.

    ‘‘หตฺถาโรหา อนีกฎฺฐา, รถิกา ปตฺติการกา;

    ‘‘Hatthārohā anīkaṭṭhā, rathikā pattikārakā;

    พหุํ อนฺนญฺจ ปานญฺจ, ปณฺฑิตสฺสาภิหารยุํฯ

    Bahuṃ annañca pānañca, paṇḍitassābhihārayuṃ.

    ๗๘๒.

    782.

    ‘‘สมาคตา ชานปทา, เนคมา จ สมาคตา;

    ‘‘Samāgatā jānapadā, negamā ca samāgatā;

    พหุํ อนฺนญฺจ ปานญฺจ, ปณฺฑิตสฺสาภิหารยุํฯ

    Bahuṃ annañca pānañca, paṇḍitassābhihārayuṃ.

    ๗๘๓.

    783.

    ‘‘พหุชโน ปสโนฺนสิ, ทิสฺวา ปณฺฑิตมาคตํ;

    ‘‘Bahujano pasannosi, disvā paṇḍitamāgataṃ;

    ปณฺฑิตมฺหิ อนุปฺปเตฺต, เจลุเกฺขโป อวตฺตถา’’ติฯ

    Paṇḍitamhi anuppatte, celukkhepo avattathā’’ti.

    ตตฺถ โอโรธาติ อุทุมฺพรเทวิํ อาทิํ กตฺวา อเนฺตปุริกาฯ อภิหารยุนฺติ อภิหาราเปสุํ, ปหิณิํสูติ อโตฺถฯ พหุชโนติ ภิกฺขเว, นครวาสิโน จ จตุทฺวารคามวาสิโน จ ชนปทวาสิโน จาติ พหุชโน ปสโนฺน อโหสิฯ ทิสฺวา ปณฺฑิตมาคตนฺติ ปณฺฑิตํ มิถิลํ อาคตํ ทิสฺวาฯ อวตฺตถาติ ปณฺฑิตมฺหิ มิถิลํ อนุปฺปเตฺต ‘‘อยํ โน ปฐมเมว ปจฺจามิตฺตวสํ คตํ ราชานํ โมเจตฺวา เปเสตฺวา ปจฺฉา เอกสตราชาโน อญฺญมญฺญํ ขมาเปตฺวา สมเคฺค กตฺวา จูฬนิํ ปสาเทตฺวา เตน ทินฺนํ มหนฺตํ ยสํ อาทาย อาคโต’’ติ ตุฎฺฐจิเตฺตน ชเนน ปวตฺติโต เจลุเกฺขโป ปวตฺตถฯ

    Tattha orodhāti udumbaradeviṃ ādiṃ katvā antepurikā. Abhihārayunti abhihārāpesuṃ, pahiṇiṃsūti attho. Bahujanoti bhikkhave, nagaravāsino ca catudvāragāmavāsino ca janapadavāsino cāti bahujano pasanno ahosi. Disvā paṇḍitamāgatanti paṇḍitaṃ mithilaṃ āgataṃ disvā. Avattathāti paṇḍitamhi mithilaṃ anuppatte ‘‘ayaṃ no paṭhamameva paccāmittavasaṃ gataṃ rājānaṃ mocetvā pesetvā pacchā ekasatarājāno aññamaññaṃ khamāpetvā samagge katvā cūḷaniṃ pasādetvā tena dinnaṃ mahantaṃ yasaṃ ādāya āgato’’ti tuṭṭhacittena janena pavattito celukkhepo pavattatha.

    อถ มหาสโตฺต ฉณาวสาเน ราชกุลํ อาคนฺตฺวา ‘‘มหาราช, จูฬนิรโญฺญ มาตรญฺจ เทวิญฺจ ปุตฺตญฺจ สีฆํ เปเสตุํ วฎฺฎตี’’ติ อาหฯ ‘‘สาธุ, ตาต, เปเสหี’’ติฯ โส เตสํ ติณฺณํ ชนานํ มหนฺตํ สกฺการํ กตฺวา อตฺตนา สทฺธิํ อาคตเสนายปิ สกฺการํ สมฺมานํ กาเรตฺวา เต ตโย ชเน มหเนฺตน ปริวาเรน อตฺตโน ปุริเสหิ สทฺธิํ เปเสสิฯ รญฺญา อตฺตโน ทินฺนา สตภริยา จ จตฺตาริ ทาสิสตานิ จ นนฺทาเทวิยา สทฺธิํ เปเสสิ, อตฺตนา สทฺธิํ อาคตเสนมฺปิ เตหิ สทฺธิํเยว เปเสสิฯ เต มหเนฺตน ปริวาเรน อุตฺตรปญฺจาลนครํ ปาปุณิํสุฯ อถ ราชา มาตรํ ปุจฺฉิ ‘‘กิํ, อมฺม, เวเทหราเชน เต สงฺคโห กโต’’ติ? ‘‘กิํ ตาต, กเถสิ, มํ เทวตาฐาเน ฐเปตฺวา สกฺการมกาสิ, นนฺทาเทวิมฺปิ มาตุฎฺฐาเน ฐเปสิ, ปญฺจาลจนฺทํ กนิฎฺฐภาติกฎฺฐาเน ฐเปสี’’ติฯ ตํ สุตฺวา ราชา อติวิย ตุสฺสิตฺวา พหุํ ปณฺณาการํ เปเสสิฯ ตโต ปฎฺฐาย เต อุโภปิ สมคฺคา สโมฺมทมานา วสิํสูติฯ

    Atha mahāsatto chaṇāvasāne rājakulaṃ āgantvā ‘‘mahārāja, cūḷanirañño mātarañca deviñca puttañca sīghaṃ pesetuṃ vaṭṭatī’’ti āha. ‘‘Sādhu, tāta, pesehī’’ti. So tesaṃ tiṇṇaṃ janānaṃ mahantaṃ sakkāraṃ katvā attanā saddhiṃ āgatasenāyapi sakkāraṃ sammānaṃ kāretvā te tayo jane mahantena parivārena attano purisehi saddhiṃ pesesi. Raññā attano dinnā satabhariyā ca cattāri dāsisatāni ca nandādeviyā saddhiṃ pesesi, attanā saddhiṃ āgatasenampi tehi saddhiṃyeva pesesi. Te mahantena parivārena uttarapañcālanagaraṃ pāpuṇiṃsu. Atha rājā mātaraṃ pucchi ‘‘kiṃ, amma, vedeharājena te saṅgaho kato’’ti? ‘‘Kiṃ tāta, kathesi, maṃ devatāṭhāne ṭhapetvā sakkāramakāsi, nandādevimpi mātuṭṭhāne ṭhapesi, pañcālacandaṃ kaniṭṭhabhātikaṭṭhāne ṭhapesī’’ti. Taṃ sutvā rājā ativiya tussitvā bahuṃ paṇṇākāraṃ pesesi. Tato paṭṭhāya te ubhopi samaggā sammodamānā vasiṃsūti.

    มหาอุมงฺคขณฺฑํ นิฎฺฐิตํฯ

    Mahāumaṅgakhaṇḍaṃ niṭṭhitaṃ.

    ทกรกฺขสปโญฺห

    Dakarakkhasapañho

    ปญฺจาลจนฺที วิเทหรญฺญา ปิยา อโหสิ มนาปาฯ สา ทุติเย สํวจฺฉเร ปุตฺตํ วิชายิฯ ตสฺส ทสเม สํวจฺฉเร เวเทหราชา กาลมกาสิฯ โพธิสโตฺต ตสฺส ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา ‘‘เทว, อหํ ตว อยฺยกสฺส จูฬนิรโญฺญ สนฺติกํ คมิสฺสามี’’ติ อาปุจฺฉิฯ ปณฺฑิต, มา มํ ทหรํ ฉเฑฺฑตฺวา คมิตฺถ, อหํ ตํ ปิตุฎฺฐาเน ฐเปตฺวา สกฺการํ กริสฺสามีติฯ ปญฺจาลจนฺทีปิ นํ ‘‘ปณฺฑิต, ตุมฺหากํ คตกาเล อญฺญํ ปฎิสรณํ นตฺถิ, มา คมิตฺถา’’ติ ยาจิฯ โสปิ ‘‘มยา รโญฺญ ปฎิญฺญา ทินฺนา, น สกฺกา อคนฺตุ’’นฺติ มหาชนสฺส กลุนํ ปริเทวนฺตเสฺสว อตฺตโน อุปฎฺฐาเก คเหตฺวา นครา นิกฺขมิตฺวา อุตฺตรปญฺจาลนครํ คโตฯ ราชา ตสฺสาคมนํ สุตฺวา ปจฺจุคฺคนฺตฺวา มหเนฺตน สกฺกาเรน นครํ ปเวเสตฺวา มหนฺตํ เคหํ ทตฺวา ฐเปตฺวา ปฐมทิเนฺน อสีติคาเม น อญฺญํ โภคํ อทาสิฯ โส ตํ ราชานํ อุปฎฺฐาสิฯ

    Pañcālacandī videharaññā piyā ahosi manāpā. Sā dutiye saṃvacchare puttaṃ vijāyi. Tassa dasame saṃvacchare vedeharājā kālamakāsi. Bodhisatto tassa chattaṃ ussāpetvā ‘‘deva, ahaṃ tava ayyakassa cūḷanirañño santikaṃ gamissāmī’’ti āpucchi. Paṇḍita, mā maṃ daharaṃ chaḍḍetvā gamittha, ahaṃ taṃ pituṭṭhāne ṭhapetvā sakkāraṃ karissāmīti. Pañcālacandīpi naṃ ‘‘paṇḍita, tumhākaṃ gatakāle aññaṃ paṭisaraṇaṃ natthi, mā gamitthā’’ti yāci. Sopi ‘‘mayā rañño paṭiññā dinnā, na sakkā agantu’’nti mahājanassa kalunaṃ paridevantasseva attano upaṭṭhāke gahetvā nagarā nikkhamitvā uttarapañcālanagaraṃ gato. Rājā tassāgamanaṃ sutvā paccuggantvā mahantena sakkārena nagaraṃ pavesetvā mahantaṃ gehaṃ datvā ṭhapetvā paṭhamadinne asītigāme na aññaṃ bhogaṃ adāsi. So taṃ rājānaṃ upaṭṭhāsi.

    ตทา เภรี นาม ปริพฺพาชิกา ราชเคเห ภุญฺชติ, สา ปณฺฑิตา พฺยตฺตาฯ ตาย มหาสโตฺต น ทิฎฺฐปุโพฺพ, ‘‘มโหสธปณฺฑิโต กิร ราชานํ อุปฎฺฐาตี’’ติ สทฺทเมว สุณาติฯ เตนปิ สา น ทิฎฺฐปุพฺพา, ‘‘เภรี นาม ปริพฺพาชิกา ราชเคเห ภุญฺชตี’’ติ สทฺทเมว สุณาติฯ นนฺทาเทวี ปน ‘‘ปิยวิปฺปโยคํ กตฺวา อเมฺห กิลมาเปสี’’ติ โพธิสเตฺต อนตฺตมนา อโหสิฯ สา ปญฺจสตา วลฺลภิตฺถิโย อาณาเปสิ ‘‘มโหสธสฺส เอกํ โทสํ อุปธาเรตฺวา รโญฺญ อนฺตเร ปริภินฺทิตุํ วายมถา’’ติฯ ตา ตสฺส อนฺตรํ โอโลเกนฺติโย วิจรนฺติฯ

    Tadā bherī nāma paribbājikā rājagehe bhuñjati, sā paṇḍitā byattā. Tāya mahāsatto na diṭṭhapubbo, ‘‘mahosadhapaṇḍito kira rājānaṃ upaṭṭhātī’’ti saddameva suṇāti. Tenapi sā na diṭṭhapubbā, ‘‘bherī nāma paribbājikā rājagehe bhuñjatī’’ti saddameva suṇāti. Nandādevī pana ‘‘piyavippayogaṃ katvā amhe kilamāpesī’’ti bodhisatte anattamanā ahosi. Sā pañcasatā vallabhitthiyo āṇāpesi ‘‘mahosadhassa ekaṃ dosaṃ upadhāretvā rañño antare paribhindituṃ vāyamathā’’ti. Tā tassa antaraṃ olokentiyo vicaranti.

    อเถกทิวสํ สา ปริพฺพาชิกา ภุญฺชิตฺวา ราชเคหา นิกฺขนฺตี โพธิสตฺตํ ราชุปฎฺฐานํ อาคจฺฉนฺตํ ราชงฺคเณ ปสฺสิฯ โส ตํ วนฺทิตฺวา อฎฺฐาสิฯ สา ‘‘อยํ กิร ปณฺฑิโต, ชานิสฺสามิ ตาวสฺส ปณฺฑิตภาวํ วา อปณฺฑิตภาวํ วา’’ติ หตฺถมุทฺทาย ปญฺหํ ปุจฺฉนฺตี โพธิสตฺตํ โอโลเกตฺวา หตฺถํ ปสาเรสิฯ สา กิร ‘‘กีทิสํ, ปณฺฑิต, ราชา ตํ ปรเทสโต อาเนตฺวา อิทานิ ปฎิชคฺคติ, น ปฎิชคฺคตี’’ติ มนสาว ปญฺหํ ปุจฺฉิฯ โพธิสโตฺต ‘‘อยํ หตฺถมุทฺทาย มํ ปญฺหํ ปุจฺฉตี’’ติ ญตฺวา ปญฺหํ วิสฺสเชฺชโนฺต หตฺถมุฎฺฐิํ อกาสิฯ โส กิร ‘‘อเยฺย, มม ปฎิญฺญํ คเหตฺวา ปโกฺกสิตฺวา อิทานิ ราชา คาฬฺหมุฎฺฐิว ชาโต, น เม อปุพฺพํ กิญฺจิ เทตี’’ติ มนสาว ปญฺหํ วิสฺสเชฺชสิฯ สา ตํ การณํ ญตฺวา หตฺถํ อุกฺขิปิตฺวา อตฺตโน สีสํ ปรามสิฯ เตน อิทํ ทเสฺสติ ‘‘ปณฺฑิต, สเจ กิลมสิ, มยํ วิย กสฺมา น ปพฺพชสี’’ติ? ตํ ญตฺวา มหาสโตฺต อตฺตโน กุจฺฉิํ ปรามสิฯ เตน อิทํ ทเสฺสติ ‘‘อเยฺย, มม โปสิตพฺพา ปุตฺตทารา พหุตรา, เตน น ปพฺพชามี’’ติฯ อิติ สา หตฺถมุทฺทาย ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา อตฺตโน อาวาสเมว อคมาสิฯ มหาสโตฺตปิ ตํ วนฺทิตฺวา ราชุปฎฺฐานํ คโตฯ

    Athekadivasaṃ sā paribbājikā bhuñjitvā rājagehā nikkhantī bodhisattaṃ rājupaṭṭhānaṃ āgacchantaṃ rājaṅgaṇe passi. So taṃ vanditvā aṭṭhāsi. Sā ‘‘ayaṃ kira paṇḍito, jānissāmi tāvassa paṇḍitabhāvaṃ vā apaṇḍitabhāvaṃ vā’’ti hatthamuddāya pañhaṃ pucchantī bodhisattaṃ oloketvā hatthaṃ pasāresi. Sā kira ‘‘kīdisaṃ, paṇḍita, rājā taṃ paradesato ānetvā idāni paṭijaggati, na paṭijaggatī’’ti manasāva pañhaṃ pucchi. Bodhisatto ‘‘ayaṃ hatthamuddāya maṃ pañhaṃ pucchatī’’ti ñatvā pañhaṃ vissajjento hatthamuṭṭhiṃ akāsi. So kira ‘‘ayye, mama paṭiññaṃ gahetvā pakkositvā idāni rājā gāḷhamuṭṭhiva jāto, na me apubbaṃ kiñci detī’’ti manasāva pañhaṃ vissajjesi. Sā taṃ kāraṇaṃ ñatvā hatthaṃ ukkhipitvā attano sīsaṃ parāmasi. Tena idaṃ dasseti ‘‘paṇḍita, sace kilamasi, mayaṃ viya kasmā na pabbajasī’’ti? Taṃ ñatvā mahāsatto attano kucchiṃ parāmasi. Tena idaṃ dasseti ‘‘ayye, mama positabbā puttadārā bahutarā, tena na pabbajāmī’’ti. Iti sā hatthamuddāya pañhaṃ pucchitvā attano āvāsameva agamāsi. Mahāsattopi taṃ vanditvā rājupaṭṭhānaṃ gato.

    นนฺทาเทวิยา ปยุตฺตา วลฺลภิตฺถิโย สีหปญฺชเร ฐิตา ตํ กิริยํ ทิสฺวา จูฬนิรโญฺญ สนฺติกํ คนฺตฺวา ‘‘เทว, มโหสโธ เภริปริพฺพาชิกาย สทฺธิํ เอกโต หุตฺวา ตุมฺหากํ รชฺชํ คณฺหิตุกาโม, ตุมฺหากํ ปจฺจตฺถิโก โหตี’’ติ ปริภินฺทิํสุฯ ราชา อาห – ‘‘กิํ โว ทิฎฺฐํ วา สุตํ วา’’ติ? มหาราช , ปริพฺพาชิกา ภุญฺชิตฺวา โอตรนฺตี มโหสธํ ทิสฺวา ราชานํ หตฺถตลํ วิย ขลมณฺฑลํ วิย จ สมํ กตฺวา ‘‘รชฺชํ อตฺตโน หตฺถคตํ กาตุํ สโกฺกสี’’ติ หตฺถํ ปสาเรสิฯ มโหสโธปิ ขคฺคคฺคหณาการํ ทเสฺสโนฺต ‘‘กติปาหจฺจเยน สีสํ ฉินฺทิตฺวา รชฺชํ อตฺตโน หตฺถคตํ กริสฺสามี’’ติ มุฎฺฐิํ อกาสิฯ สา ‘‘สีสเมว ฉินฺทาหี’’ติ อตฺตโน หตฺถํ อุกฺขิปิตฺวา สีสํ ปรามสิฯ มโหสโธ ‘‘มเชฺฌเยว นํ ฉินฺทิสฺสามี’’ติ กุจฺฉิํ ปรามสิฯ อปฺปมตฺตา, มหาราช, โหถ, มโหสธํ ฆาเตตุํ วฎฺฎตีติฯ โส ตาสํ กถํ สุตฺวา จิเนฺตสิ ‘‘น สกฺกา ปณฺฑิเตน มยิ ทุสฺสิตุํ, ปริพฺพาชิกํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติฯ

    Nandādeviyā payuttā vallabhitthiyo sīhapañjare ṭhitā taṃ kiriyaṃ disvā cūḷanirañño santikaṃ gantvā ‘‘deva, mahosadho bheriparibbājikāya saddhiṃ ekato hutvā tumhākaṃ rajjaṃ gaṇhitukāmo, tumhākaṃ paccatthiko hotī’’ti paribhindiṃsu. Rājā āha – ‘‘kiṃ vo diṭṭhaṃ vā sutaṃ vā’’ti? Mahārāja , paribbājikā bhuñjitvā otarantī mahosadhaṃ disvā rājānaṃ hatthatalaṃ viya khalamaṇḍalaṃ viya ca samaṃ katvā ‘‘rajjaṃ attano hatthagataṃ kātuṃ sakkosī’’ti hatthaṃ pasāresi. Mahosadhopi khaggaggahaṇākāraṃ dassento ‘‘katipāhaccayena sīsaṃ chinditvā rajjaṃ attano hatthagataṃ karissāmī’’ti muṭṭhiṃ akāsi. Sā ‘‘sīsameva chindāhī’’ti attano hatthaṃ ukkhipitvā sīsaṃ parāmasi. Mahosadho ‘‘majjheyeva naṃ chindissāmī’’ti kucchiṃ parāmasi. Appamattā, mahārāja, hotha, mahosadhaṃ ghātetuṃ vaṭṭatīti. So tāsaṃ kathaṃ sutvā cintesi ‘‘na sakkā paṇḍitena mayi dussituṃ, paribbājikaṃ pucchissāmī’’ti.

    โส ปุนทิวเส ปริพฺพาชิกาย ภุตฺตกาเล ตํ อุปสงฺกมิตฺวา ปุจฺฉิ ‘‘อเยฺย, กจฺจิ เต มโหสธปณฺฑิโต ทิโฎฺฐ’’ติ? ‘‘อาม, มหาราช, หิโยฺย อิโต ภุญฺชิตฺวา นิกฺขนฺติยา ทิโฎฺฐ’’ติฯ ‘‘โกจิ ปน โว กถาสลฺลาโป อโหสี’’ติฯ ‘‘มหาราช, สลฺลาโป นตฺถิ, ‘โส ปน ปณฺฑิโต’ติ สุตฺวา ‘สเจ ปณฺฑิโต, อิทํ ชานิสฺสตี’ติ หตฺถมุทฺทาย นํ ปญฺหํ ปุจฺฉนฺตี ‘‘ปณฺฑิต, กจฺจิ เต ราชา ปสาริตหโตฺถ, น สงฺกุจิตหโตฺถ, กจฺจิ เต สงฺคณฺหาตี’’ติ หตฺถํ ปสาเรสิํฯ ปณฺฑิโต – ‘‘ราชา มม ปฎิญฺญํ คเหตฺวา ปโกฺกสิตฺวา อิทานิ กิญฺจิ น เทตี’’ติ มุฎฺฐิมกาสิฯ อถาหํ – ‘‘สเจ กิลมสิ, มยํ วิย กสฺมา น ปพฺพชสี’’ติ สีสํ ปรามสิํฯ โส – ‘‘มม โปเสตพฺพา ปุตฺตทารา พหุตรา, เตน น ปพฺพชามี’’ติ อตฺตโน กุจฺฉิํ ปรามสีติฯ ‘‘ปณฺฑิโต, อเยฺย, มโหสโธ’’ติ? ‘‘อาม, มหาราช, ปถวิตเล ปญฺญาย เตน สทิโส นาม นตฺถี’’ติฯ ราชา ตสฺสา กถํ สุตฺวา ตํ วนฺทิตฺวา อุโยฺยเชสิฯ ตสฺสา คตกาเล ปณฺฑิโต ราชุปฎฺฐานํ ปวิโฎฺฐฯ อถ นํ ปุจฺฉิ ‘‘กจฺจิ เต, ปณฺฑิต, เภรี นาม ปริพฺพาชิกา ทิฎฺฐา’’ติ? ‘‘อาม, มหาราช, หิโยฺย อิโต นิกฺขนฺติํ ปสฺสิํ, สา หตฺถมุทฺทาย เอวํ มํ ปญฺหํ ปุจฺฉิ, อหญฺจสฺสา ตเถว วิสฺสเชฺชสิ’’นฺติ ตาย กถิตนิยาเมเนว กเถสิฯ ราชา ตํ ทิวสํ ปสีทิตฺวา ปณฺฑิตสฺส เสนาปติฎฺฐานํ อทาสิ, สพฺพกิจฺจานิ ตเมว ปฎิจฺฉาเปสิฯ ตสฺส ยโส มหา อโหสิฯ

    So punadivase paribbājikāya bhuttakāle taṃ upasaṅkamitvā pucchi ‘‘ayye, kacci te mahosadhapaṇḍito diṭṭho’’ti? ‘‘Āma, mahārāja, hiyyo ito bhuñjitvā nikkhantiyā diṭṭho’’ti. ‘‘Koci pana vo kathāsallāpo ahosī’’ti. ‘‘Mahārāja, sallāpo natthi, ‘so pana paṇḍito’ti sutvā ‘sace paṇḍito, idaṃ jānissatī’ti hatthamuddāya naṃ pañhaṃ pucchantī ‘‘paṇḍita, kacci te rājā pasāritahattho, na saṅkucitahattho, kacci te saṅgaṇhātī’’ti hatthaṃ pasāresiṃ. Paṇḍito – ‘‘rājā mama paṭiññaṃ gahetvā pakkositvā idāni kiñci na detī’’ti muṭṭhimakāsi. Athāhaṃ – ‘‘sace kilamasi, mayaṃ viya kasmā na pabbajasī’’ti sīsaṃ parāmasiṃ. So – ‘‘mama posetabbā puttadārā bahutarā, tena na pabbajāmī’’ti attano kucchiṃ parāmasīti. ‘‘Paṇḍito, ayye, mahosadho’’ti? ‘‘Āma, mahārāja, pathavitale paññāya tena sadiso nāma natthī’’ti. Rājā tassā kathaṃ sutvā taṃ vanditvā uyyojesi. Tassā gatakāle paṇḍito rājupaṭṭhānaṃ paviṭṭho. Atha naṃ pucchi ‘‘kacci te, paṇḍita, bherī nāma paribbājikā diṭṭhā’’ti? ‘‘Āma, mahārāja, hiyyo ito nikkhantiṃ passiṃ, sā hatthamuddāya evaṃ maṃ pañhaṃ pucchi, ahañcassā tatheva vissajjesi’’nti tāya kathitaniyāmeneva kathesi. Rājā taṃ divasaṃ pasīditvā paṇḍitassa senāpatiṭṭhānaṃ adāsi, sabbakiccāni tameva paṭicchāpesi. Tassa yaso mahā ahosi.

    รโญฺญ ทินฺนยสานนฺตรเมว โส จิเนฺตสิ ‘‘รญฺญา เอกปฺปหาเรเนว มยฺหํ อติมหนฺตํ อิสฺสริยํ ทินฺนํ, ราชาโน โข ปน มาเรตุกามาปิ เอวํ กโรนฺติเยว, ยํนูนาหํ ‘มม สุหทโย วา โน วา’ติ ราชานํ วีมํเสยฺยํ, น โข ปนโญฺญ ชานิตุํ สกฺขิสฺสติ, เภรี ปริพฺพาชิกา ญาณสมฺปนฺนา, สา เอเกนุปาเยน ชานิสฺสตี’’ติฯ โส พหูนิ คนฺธมาลาทีนิ คเหตฺวา ปริพฺพาชิกาย อาวาสํ คนฺตฺวา ตํ ปูชยิตฺวา วนฺทิตฺวา ‘‘อเยฺย, ตุเมฺหหิ รโญฺญ มม คุณกถาย กถิตทิวสโต ปฎฺฐาย ราชา อโชฺฌตฺถริตฺวา มยฺหํ อติมหนฺตํ ยสํ เทติ, ตํ โข ปน ‘สภาเวน วา เทติ, โน วา’ติ น ชานามิ, สาธุ วตสฺส, สเจ เอเกนุปาเยน รโญฺญ มยิ สิเนหภาวํ ชาเนยฺยาถา’’ติ อาหฯ สา ‘‘สาธู’’ติ ปฎิสฺสุณิตฺวา ปุนทิวเส ราชเคหํ คจฺฉมานา ทกรกฺขสปญฺหํ นาม จิเนฺตสิฯ เอวํ กิรสฺสา อโหสิ ‘‘อหํ จรปุริโส วิย หุตฺวา อุปาเยน ราชานํ ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา ‘ปณฺฑิตสฺส สุหทโย วา, โน วา’ติ ชานิสฺสามี’’ติฯ สา คนฺตฺวา กตภตฺตกิจฺจา นิสีทิฯ ราชาปิ นํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิฯ ตสฺสา เอตทโหสิ ‘‘สเจ ราชา ปณฺฑิตสฺส อุปริ ทุหทโย ภวิสฺสติ, ปญฺหํ ปุโฎฺฐ อตฺตโน ทุหทยภาวํ มหาชนมเชฺฌเยว กเถสฺสติ, ตํ อยุตฺตํ, เอกมเนฺต นํ ปญฺหํ ปุจฺฉิสฺสามี’’ติฯ สา ‘‘รโห ปจฺจาสีสามิ, มหาราชา’’ติ อาหฯ ราชา มนุเสฺส ปฎิกฺกมาเปสิฯ อถ นํ สา อาห – ‘‘มหาราช, ตํ ปญฺหํ ปุจฺฉามี’’ติฯ ‘‘ปุจฺฉ, อเยฺย, ชานโนฺต กเถสฺสามี’’ติฯ อถ สา ทกรกฺขสปเญฺห ปฐมํ คาถมาห –

    Rañño dinnayasānantarameva so cintesi ‘‘raññā ekappahāreneva mayhaṃ atimahantaṃ issariyaṃ dinnaṃ, rājāno kho pana māretukāmāpi evaṃ karontiyeva, yaṃnūnāhaṃ ‘mama suhadayo vā no vā’ti rājānaṃ vīmaṃseyyaṃ, na kho panañño jānituṃ sakkhissati, bherī paribbājikā ñāṇasampannā, sā ekenupāyena jānissatī’’ti. So bahūni gandhamālādīni gahetvā paribbājikāya āvāsaṃ gantvā taṃ pūjayitvā vanditvā ‘‘ayye, tumhehi rañño mama guṇakathāya kathitadivasato paṭṭhāya rājā ajjhottharitvā mayhaṃ atimahantaṃ yasaṃ deti, taṃ kho pana ‘sabhāvena vā deti, no vā’ti na jānāmi, sādhu vatassa, sace ekenupāyena rañño mayi sinehabhāvaṃ jāneyyāthā’’ti āha. Sā ‘‘sādhū’’ti paṭissuṇitvā punadivase rājagehaṃ gacchamānā dakarakkhasapañhaṃ nāma cintesi. Evaṃ kirassā ahosi ‘‘ahaṃ carapuriso viya hutvā upāyena rājānaṃ pañhaṃ pucchitvā ‘paṇḍitassa suhadayo vā, no vā’ti jānissāmī’’ti. Sā gantvā katabhattakiccā nisīdi. Rājāpi naṃ vanditvā ekamantaṃ nisīdi. Tassā etadahosi ‘‘sace rājā paṇḍitassa upari duhadayo bhavissati, pañhaṃ puṭṭho attano duhadayabhāvaṃ mahājanamajjheyeva kathessati, taṃ ayuttaṃ, ekamante naṃ pañhaṃ pucchissāmī’’ti. Sā ‘‘raho paccāsīsāmi, mahārājā’’ti āha. Rājā manusse paṭikkamāpesi. Atha naṃ sā āha – ‘‘mahārāja, taṃ pañhaṃ pucchāmī’’ti. ‘‘Puccha, ayye, jānanto kathessāmī’’ti. Atha sā dakarakkhasapañhe paṭhamaṃ gāthamāha –

    ‘‘สเจ โว วุยฺหมานานํ, สตฺตนฺนํ อุทกณฺณเว;

    ‘‘Sace vo vuyhamānānaṃ, sattannaṃ udakaṇṇave;

    มนุสฺสพลิเมสาโน, นาวํ คเณฺหยฺย รกฺขโส;

    Manussabalimesāno, nāvaṃ gaṇheyya rakkhaso;

    อนุปุพฺพํ กถํ ทตฺวา, มุเญฺจสิ ทกรกฺขสา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๖.๒๒๔);

    Anupubbaṃ kathaṃ datvā, muñcesi dakarakkhasā’’ti. (jā. 1.16.224);

    ตตฺถ สตฺตนฺนนฺติ ตุมฺหากํ มาตา จ นนฺทาเทวี จ ติขิณมนฺติกุมาโร จ ธนุเสขสหาโย จ ปุโรหิโต จ มโหสโธ จ ตุเมฺห จาติ อิเมสํ สตฺตนฺนํฯ อุทกณฺณเวติ คมฺภีรวิตฺถเต อุทเกฯ มนุสฺสพลิเมสาโนติ มนุสฺสพลิํ คเวสโนฺตฯ คเณฺหยฺยาติ ถามสมฺปโนฺน ทกรกฺขโส อุทกํ ทฺวิธา กตฺวา นิกฺขมิตฺวา ตํ นาวํ คเณฺหยฺย, คเหตฺวา จ ปน ‘‘มหาราช, อิเม ฉ ชเน มม อนุปฎิปาฎิยา เทหิ, ตํ วิสฺสเชฺชสฺสามี’’ติ วเทยฺยฯ อถ ตฺวํ อนุปุพฺพํ กถํ ทตฺวา มุเญฺจสิ ทกรกฺขสา, กํ ปฐมํ ทตฺวา…เป.… กํ ฉฎฺฐํ ทตฺวา ทกรกฺขสโต มุเญฺจยฺยาสีติ?

    Tattha sattannanti tumhākaṃ mātā ca nandādevī ca tikhiṇamantikumāro ca dhanusekhasahāyo ca purohito ca mahosadho ca tumhe cāti imesaṃ sattannaṃ. Udakaṇṇaveti gambhīravitthate udake. Manussabalimesānoti manussabaliṃ gavesanto. Gaṇheyyāti thāmasampanno dakarakkhaso udakaṃ dvidhā katvā nikkhamitvā taṃ nāvaṃ gaṇheyya, gahetvā ca pana ‘‘mahārāja, ime cha jane mama anupaṭipāṭiyā dehi, taṃ vissajjessāmī’’ti vadeyya. Atha tvaṃ anupubbaṃ kathaṃ datvā muñcesi dakarakkhasā, kaṃ paṭhamaṃ datvā…pe… kaṃ chaṭṭhaṃ datvā dakarakkhasato muñceyyāsīti?

    ตํ สุตฺวา ราชา อตฺตโน ยถาชฺฌาสยํ กเถโนฺต อิมํ คาถมาห –

    Taṃ sutvā rājā attano yathājjhāsayaṃ kathento imaṃ gāthamāha –

    ‘‘มาตรํ ปฐมํ ทชฺชํ, ภริยํ ทตฺวาน ภาตรํ;

    ‘‘Mātaraṃ paṭhamaṃ dajjaṃ, bhariyaṃ datvāna bhātaraṃ;

    ตโต สหายํ ทตฺวาน, ปญฺจมํ ทชฺชํ พฺราหฺมณํ;

    Tato sahāyaṃ datvāna, pañcamaṃ dajjaṃ brāhmaṇaṃ;

    ฉฎฺฐาหํ ทชฺชมตฺตานํ, เนว ทชฺชํ มโหสธ’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๖.๒๒๕);

    Chaṭṭhāhaṃ dajjamattānaṃ, neva dajjaṃ mahosadha’’nti. (jā. 1.16.225);

    ตตฺถ ฉฎฺฐาหนฺติ อเยฺย, ปญฺจเม ขาทิเต อถาหํ ‘‘โภ ทกรกฺขส, มุขํ วิวรา’’ติ วตฺวา เตน มุเข วิวเฎ ทฬฺหํ กจฺฉํ พนฺธิตฺวา อิมํ รชฺชสิริํ อคเณตฺวา ‘‘อิทานิ มํ ขาทา’’ติ ตสฺส มุเข ปเตยฺยํ, น เตฺวว ชีวมาโน มโหสธปณฺฑิตํ ทเทยฺยนฺติ, เอตฺตเกน อยํ ปโญฺห นิฎฺฐิโตฯ

    Tattha chaṭṭhāhanti ayye, pañcame khādite athāhaṃ ‘‘bho dakarakkhasa, mukhaṃ vivarā’’ti vatvā tena mukhe vivaṭe daḷhaṃ kacchaṃ bandhitvā imaṃ rajjasiriṃ agaṇetvā ‘‘idāni maṃ khādā’’ti tassa mukhe pateyyaṃ, na tveva jīvamāno mahosadhapaṇḍitaṃ dadeyyanti, ettakena ayaṃ pañho niṭṭhito.

    เอวํ ญาตํ ปริพฺพาชิกาย รโญฺญ มหาสเตฺต สุหทยตํ, น ปน เอตฺตเกเนว ปณฺฑิตสฺส คุโณ จโนฺท วิย ปากโฎ โหติฯ เตนสฺสา เอตทโหสิ ‘‘อหํ มหาชนมเชฺฌ เอเตสํ คุณํ กถยิสฺสามิ, ราชา เตสํ อคุณํ กเถตฺวา ปณฺฑิตสฺส คุณํ กเถสฺสติ, เอวํ ปณฺฑิตสฺส คุโณ นเภ ปุณฺณจโนฺท วิย ปากโฎ ภวิสฺสตี’’ติฯ สา สพฺพํ อเนฺตปุรชนํ สนฺนิปาตาเปตฺวา อาทิโต ปฎฺฐาย ปุน ราชานํ ตเมว ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา เตน ตเถว วุเตฺต ‘‘มหาราช, ตฺวํ ‘มาตรํ ปฐมํ ทสฺสามี’ติ วทสิ, มาตา นาม มหาคุณา, ตุยฺหญฺจ มาตา น อเญฺญสํ มาตุสทิสาฯ พหูปการา เต เอสา’’ติ ตสฺสา คุณํ กเถนฺตี คาถาทฺวยมาห –

    Evaṃ ñātaṃ paribbājikāya rañño mahāsatte suhadayataṃ, na pana ettakeneva paṇḍitassa guṇo cando viya pākaṭo hoti. Tenassā etadahosi ‘‘ahaṃ mahājanamajjhe etesaṃ guṇaṃ kathayissāmi, rājā tesaṃ aguṇaṃ kathetvā paṇḍitassa guṇaṃ kathessati, evaṃ paṇḍitassa guṇo nabhe puṇṇacando viya pākaṭo bhavissatī’’ti. Sā sabbaṃ antepurajanaṃ sannipātāpetvā ādito paṭṭhāya puna rājānaṃ tameva pañhaṃ pucchitvā tena tatheva vutte ‘‘mahārāja, tvaṃ ‘mātaraṃ paṭhamaṃ dassāmī’ti vadasi, mātā nāma mahāguṇā, tuyhañca mātā na aññesaṃ mātusadisā. Bahūpakārā te esā’’ti tassā guṇaṃ kathentī gāthādvayamāha –

    ‘‘โปเสตา เต ชเนตฺตี จ, ทีฆรตฺตานุกมฺปิกา;

    ‘‘Posetā te janettī ca, dīgharattānukampikā;

    ฉพฺภี ตยิ ปทุสฺสติ, ปณฺฑิตา อตฺถทสฺสินี;

    Chabbhī tayi padussati, paṇḍitā atthadassinī;

    อญฺญํ อุปนิสํ กตฺวา, วธา ตํ ปริโมจยิฯ

    Aññaṃ upanisaṃ katvā, vadhā taṃ parimocayi.

    ‘‘ตํ ตาทิสิํ ปาณททิํ, โอรสํ คพฺภธารินิํ;

    ‘‘Taṃ tādisiṃ pāṇadadiṃ, orasaṃ gabbhadhāriniṃ;

    มาตรํ เกน โทเสน, ทชฺชาสิ ทกรกฺขิโน’’ติฯ (ชา. ๑.๑๖.๒๒๖-๒๒๗);

    Mātaraṃ kena dosena, dajjāsi dakarakkhino’’ti. (jā. 1.16.226-227);

    ตตฺถ โปเสตาติ ทหรกาเล เทฺว ตโย วาเร นฺหาเปตฺวา ปาเยตฺวา โภเชตฺวา ตํ โปเสสิฯ ทีฆรตฺตานุกมฺปิกาติ จิรกาลํ มุทุนา หิตจิเตฺตน อนุกมฺปิกาฯ ฉมฺภี ตยิ ปทุสฺสตีติ ยทา ตยิ ฉมฺภี นาม พฺราหฺมโณ ปทุสฺสิ, ตทา สา ปณฺฑิตา อตฺถทสฺสินี อญฺญํ ตว ปฎิรูปกํ กตฺวา ตํ วธา ปริโมจยิฯ

    Tattha posetāti daharakāle dve tayo vāre nhāpetvā pāyetvā bhojetvā taṃ posesi. Dīgharattānukampikāti cirakālaṃ mudunā hitacittena anukampikā. Chambhī tayi padussatīti yadā tayi chambhī nāma brāhmaṇo padussi, tadā sā paṇḍitā atthadassinī aññaṃ tava paṭirūpakaṃ katvā taṃ vadhā parimocayi.

    จูฬนิสฺส กิร มหาจูฬนี นาม ปิตา อโหสิฯ สา อิมสฺส ทหรกาเล ปุโรหิเตน สทฺธิํ เมถุนํ ปฎิเสวิตฺวา ราชานํ วิเสน มาราเปตฺวา พฺราหฺมณสฺส ฉตฺตํ อุสฺสาเปตฺวา ตสฺส อคฺคมเหสี หุตฺวา เอกทิวสํ ‘‘อมฺม, ฉาโตมฺหี’’ติ วุเตฺต ปุตฺตสฺส ผาณิเตน สทฺธิํ ปูวขชฺชกํ ทาเปสิฯ อถ นํ มกฺขิกา ปริวารยิํสุ, โส ‘‘อิมํ นิมฺมกฺขิกํ กตฺวา ขาทิสฺสามี’’ติ โถกํ ปฎิกฺกมิตฺวา ภูมิยํ ผาณิตพินฺทูนิ ปาเตตฺวา อตฺตโน สนฺติเก มกฺขิกา โปเถตฺวา ปลาเปสิฯ ตา คนฺตฺวา อิตรํ ผาณิตํ ปริวารยิํสุฯ โส นิมฺมกฺขิกํ กตฺวา ขชฺชกํ ขาทิตฺวา หตฺถํ โธวิตฺวา มุขํ วิกฺขาเลตฺวา ปกฺกามิฯ พฺราหฺมโณ ตสฺส ตํ กิริยํ ทิสฺวา จิเนฺตสิ ‘‘อยํ ทารโก อิทาเนว นิมฺมกฺขิกํ ผาณิตํ ขาทติ, วุฑฺฒิปฺปโตฺต มม รชฺชํ น ทสฺสติ, อิทาเนว นํ มาเรสฺสามี’’ติฯ โส เทวิยา ตมตฺถํ อาโรเจสิฯ

    Cūḷanissa kira mahācūḷanī nāma pitā ahosi. Sā imassa daharakāle purohitena saddhiṃ methunaṃ paṭisevitvā rājānaṃ visena mārāpetvā brāhmaṇassa chattaṃ ussāpetvā tassa aggamahesī hutvā ekadivasaṃ ‘‘amma, chātomhī’’ti vutte puttassa phāṇitena saddhiṃ pūvakhajjakaṃ dāpesi. Atha naṃ makkhikā parivārayiṃsu, so ‘‘imaṃ nimmakkhikaṃ katvā khādissāmī’’ti thokaṃ paṭikkamitvā bhūmiyaṃ phāṇitabindūni pātetvā attano santike makkhikā pothetvā palāpesi. Tā gantvā itaraṃ phāṇitaṃ parivārayiṃsu. So nimmakkhikaṃ katvā khajjakaṃ khāditvā hatthaṃ dhovitvā mukhaṃ vikkhāletvā pakkāmi. Brāhmaṇo tassa taṃ kiriyaṃ disvā cintesi ‘‘ayaṃ dārako idāneva nimmakkhikaṃ phāṇitaṃ khādati, vuḍḍhippatto mama rajjaṃ na dassati, idāneva naṃ māressāmī’’ti. So deviyā tamatthaṃ ārocesi.

    สา ‘‘สาธู, เทว, อหํ ตยิ สิเนเหน อตฺตโน สามิกมฺปิ มาเรสิํ, อิมินา เม โก อโตฺถ, มหาราช, เอกมฺปิ อชานาเปตฺวา รหเสฺสน นํ มาเรสฺสามี’’ติ พฺราหฺมณํ วเญฺจตฺวา ‘‘อเตฺถโส อุปาโย’’ติ ปณฺฑิตํ อุปายกุสลํ ภตฺตการกํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘สมฺม, มม ปุโตฺต จูฬนิกุมาโร จ ตว ปุโตฺต ธนุเสขกุมาโร จ เอกทิวสํ ชาตา เอกโต กุมารปริหาเรน วฑฺฒิตา ปิยสหายกา, ฉพฺภิพฺราหฺมโณ มม ปุตฺตํ มาเรตุกาโม, ตฺวํ ตสฺส ชีวิตทานํ เทหี’’ติ วตฺวา ‘‘สาธุ, เทวิ, กิํ กโรมี’’ติ วุเตฺต ‘‘มม ปุโตฺต อภิณฺหํ ตว เคเห โหตุ, ตฺวญฺจ เต จ กติปาหํ นิราสงฺกภาวตฺถาย มหานเสเยว สุปถฯ ตโต นิราสงฺกภาวํ ญตฺวา ตุมฺหากํ สยนฎฺฐาเน เอฬกฎฺฐีนิ ฐเปตฺวา มนุสฺสานํ สยนเวลาย มหานเส อคฺคิํ ทตฺวา กญฺจิ อชานาเปตฺวา มม ปุตฺตญฺจ ตว ปุตฺตญฺจ คเหตฺวา อคฺคทฺวาเรเนว นิกฺขมิตฺวา ติโรรฎฺฐํ คนฺตฺวา มม ปุตฺตสฺส ราชปุตฺตภาวํ อนาจิกฺขิตฺวา ชีวิตํ อนุรกฺขาหี’’ติ อาหฯ

    Sā ‘‘sādhū, deva, ahaṃ tayi sinehena attano sāmikampi māresiṃ, iminā me ko attho, mahārāja, ekampi ajānāpetvā rahassena naṃ māressāmī’’ti brāhmaṇaṃ vañcetvā ‘‘attheso upāyo’’ti paṇḍitaṃ upāyakusalaṃ bhattakārakaṃ pakkosāpetvā ‘‘samma, mama putto cūḷanikumāro ca tava putto dhanusekhakumāro ca ekadivasaṃ jātā ekato kumāraparihārena vaḍḍhitā piyasahāyakā, chabbhibrāhmaṇo mama puttaṃ māretukāmo, tvaṃ tassa jīvitadānaṃ dehī’’ti vatvā ‘‘sādhu, devi, kiṃ karomī’’ti vutte ‘‘mama putto abhiṇhaṃ tava gehe hotu, tvañca te ca katipāhaṃ nirāsaṅkabhāvatthāya mahānaseyeva supatha. Tato nirāsaṅkabhāvaṃ ñatvā tumhākaṃ sayanaṭṭhāne eḷakaṭṭhīni ṭhapetvā manussānaṃ sayanavelāya mahānase aggiṃ datvā kañci ajānāpetvā mama puttañca tava puttañca gahetvā aggadvāreneva nikkhamitvā tiroraṭṭhaṃ gantvā mama puttassa rājaputtabhāvaṃ anācikkhitvā jīvitaṃ anurakkhāhī’’ti āha.

    โส ‘‘สาธู’’ติ สมฺปฎิจฺฉิฯ อถสฺส สา รตนสารํ อทาสิฯ โส ตถา กตฺวา กุมารญฺจ ปุตฺตญฺจ อาทาย มทฺทรเฎฺฐ สาคลนครํ คนฺตฺวา ราชานํ อุปฎฺฐาสิฯ โส โปราณภตฺตการกํ อปเนตฺวา ตสฺส ตํ ฐานํ อทาสิฯ เทฺวปิ กุมารา เตน สทฺธิํเยว ราชนิเวสนํ คจฺฉนฺติฯ ราชา ‘‘กเสฺสเต ปุตฺตา กุมารา’’ติ ปุจฺฉิฯ ภตฺตการโก ‘‘มยฺหํ ปุตฺตา’’ติ อาหฯ ‘‘นนุ เทฺว อสทิสา’’ติ? ‘‘ทฺวินฺนํ อิตฺถีนํ ปุตฺตา, เทวา’’ติฯ เต คจฺฉเนฺต กาเล วิสฺสาสิกา หุตฺวา มทฺทรโญฺญ ธีตาย สทฺธิํ ราชนิเวสเนเยว กีฬนฺติฯ อถ จูฬนิกุมาโร จ ราชธีตา จ อภิณฺหทสฺสเนน อญฺญมญฺญํ ปฎิพทฺธจิตฺตา อเหสุํฯ กีฬนฎฺฐาเน กุมาโร ราชธีตรํ เคณฺฑุกมฺปิ ปาสกมฺปิ อาหราเปติฯ อนาหรนฺติํ สีเส ปหรติ, สา โรทติฯ อถสฺสา สทฺทํ สุตฺวา ราชา ‘‘เกน เม ธีตา ปหฎา’’ติ วทติฯ ธาติโย อาคนฺตฺวา ปุจฺฉนฺติฯ กุมาริกา ‘‘สจาหํ ‘อิมินา ปหฎามฺหี’ติ วกฺขามิ , ปิตา เม เอตสฺส ราชทณฺฑํ กริสฺสตี’’ติ สิเนเหน น กเถติ, ‘‘นาหํ เกนจิ ปหฎา’’ติ วทติฯ

    So ‘‘sādhū’’ti sampaṭicchi. Athassa sā ratanasāraṃ adāsi. So tathā katvā kumārañca puttañca ādāya maddaraṭṭhe sāgalanagaraṃ gantvā rājānaṃ upaṭṭhāsi. So porāṇabhattakārakaṃ apanetvā tassa taṃ ṭhānaṃ adāsi. Dvepi kumārā tena saddhiṃyeva rājanivesanaṃ gacchanti. Rājā ‘‘kassete puttā kumārā’’ti pucchi. Bhattakārako ‘‘mayhaṃ puttā’’ti āha. ‘‘Nanu dve asadisā’’ti? ‘‘Dvinnaṃ itthīnaṃ puttā, devā’’ti. Te gacchante kāle vissāsikā hutvā maddarañño dhītāya saddhiṃ rājanivesaneyeva kīḷanti. Atha cūḷanikumāro ca rājadhītā ca abhiṇhadassanena aññamaññaṃ paṭibaddhacittā ahesuṃ. Kīḷanaṭṭhāne kumāro rājadhītaraṃ geṇḍukampi pāsakampi āharāpeti. Anāharantiṃ sīse paharati, sā rodati. Athassā saddaṃ sutvā rājā ‘‘kena me dhītā pahaṭā’’ti vadati. Dhātiyo āgantvā pucchanti. Kumārikā ‘‘sacāhaṃ ‘iminā pahaṭāmhī’ti vakkhāmi , pitā me etassa rājadaṇḍaṃ karissatī’’ti sinehena na katheti, ‘‘nāhaṃ kenaci pahaṭā’’ti vadati.

    อเถกทิวสํ มทฺทราชา นํ ปหรนฺตํ อทฺทสฯ ทิสฺวานสฺส เอตทโหสิ ‘‘อยํ กุมาโร น จ ภตฺตการเกน สทิโส อภิรูโป ปาสาทิโก อติวิย อฉมฺภิโต, น อิมินา เอตสฺส ปุเตฺตน ภวิตพฺพ’’นฺติฯ โส ตโต ปฎฺฐาย ตํ ปริคฺคณฺหิฯ ธาติโย กีฬนฎฺฐาเน ขาทนียํ อาหริตฺวา ราชธีตาย เทนฺติ, สา อเญฺญสมฺปิ ทารกานํ เทติฯ เต ชณฺณุนา ปติฎฺฐาย โอนตา คณฺหนฺติฯ จูฬนิกุมาโร ปน ฐิตโกว ตสฺสา หตฺถโต อจฺฉินฺทิตฺวา คณฺหาติฯ ราชาปิ ตํ กิริยํ อทฺทสฯ อเถกทิวสํ จูฬนิกุมารสฺส เคณฺฑุโก รโญฺญ จูฬสยนสฺส เหฎฺฐา ปาวิสิฯ กุมาโร ตํ คณฺหโนฺต อตฺตโน อิสฺสรมาเนน ‘‘อิมสฺส ปจฺจนฺตรโญฺญ เหฎฺฐาสยเน น ปวิสามี’’ติ ตํ ทณฺฑเกน นีหริตฺวา คณฺหิฯ ราชา ตมฺปิ กิริยํ ทิสฺวา ‘‘นิจฺฉเยเนส น ภตฺตการกสฺส ปุโตฺต’’ติ ตํ ปโกฺกสาเปตฺวา ‘‘กเสฺสโส ปุโตฺต’’ติ ปุจฺฉิฯ ‘‘มยฺหํ ปุโตฺต, เทวา’’ติฯ ‘‘อหํ ตว ปุตฺตญฺจ อปุตฺตญฺจ ชานามิ, สภาวํ เม กเถหิ, โน เจ กเถสิ, ชีวิตํ เต นตฺถี’’ติ ขคฺคํ อุคฺคิริฯ โส มรณภยภีโต ‘‘กเถมิ, เทว, รโห ปน ปจฺจาสีสามี’’ติ วตฺวา รญฺญา โอกาเส กเต อภยํ ยาจิตฺวา ยถาภูตํ อาโรเจสิฯ ราชา ตถโต ญตฺวา อตฺตโน ธีตรํ อลงฺกริตฺวา ตสฺส ปาทปริจาริกํ กตฺวา อทาสิฯ

    Athekadivasaṃ maddarājā naṃ paharantaṃ addasa. Disvānassa etadahosi ‘‘ayaṃ kumāro na ca bhattakārakena sadiso abhirūpo pāsādiko ativiya achambhito, na iminā etassa puttena bhavitabba’’nti. So tato paṭṭhāya taṃ pariggaṇhi. Dhātiyo kīḷanaṭṭhāne khādanīyaṃ āharitvā rājadhītāya denti, sā aññesampi dārakānaṃ deti. Te jaṇṇunā patiṭṭhāya onatā gaṇhanti. Cūḷanikumāro pana ṭhitakova tassā hatthato acchinditvā gaṇhāti. Rājāpi taṃ kiriyaṃ addasa. Athekadivasaṃ cūḷanikumārassa geṇḍuko rañño cūḷasayanassa heṭṭhā pāvisi. Kumāro taṃ gaṇhanto attano issaramānena ‘‘imassa paccantarañño heṭṭhāsayane na pavisāmī’’ti taṃ daṇḍakena nīharitvā gaṇhi. Rājā tampi kiriyaṃ disvā ‘‘nicchayenesa na bhattakārakassa putto’’ti taṃ pakkosāpetvā ‘‘kasseso putto’’ti pucchi. ‘‘Mayhaṃ putto, devā’’ti. ‘‘Ahaṃ tava puttañca aputtañca jānāmi, sabhāvaṃ me kathehi, no ce kathesi, jīvitaṃ te natthī’’ti khaggaṃ uggiri. So maraṇabhayabhīto ‘‘kathemi, deva, raho pana paccāsīsāmī’’ti vatvā raññā okāse kate abhayaṃ yācitvā yathābhūtaṃ ārocesi. Rājā tathato ñatvā attano dhītaraṃ alaṅkaritvā tassa pādaparicārikaṃ katvā adāsi.

    อิเมสํ ปน ปลาตทิวเส ‘‘ภตฺตการโก จ จูฬนิกุมาโร จ ภตฺตการกสฺส ปุโตฺต จ มหานเส ปทิเตฺตเยว ทฑฺฒา’’ติ สกลนคเร เอกโกลาหลํ อโหสิฯ จลากเทวีปิ ตํ ปวตฺติํ สุตฺวา พฺราหฺมณสฺส อาโรเจสิ ‘‘เทว, ตุมฺหากํ มโนรโถ มตฺถกํ ปโตฺต, เต กิร ตโยปิ ภตฺตเคเหเยว ทฑฺฒา’’ติฯ โส ตุฎฺฐหโฎฺฐ อโหสิฯ จลากเทวีปิ ‘‘จูฬนิกุมารสฺส อฎฺฐีนี’’ติ เอฬกสฺส อฎฺฐีนิ อาหราเปตฺวา พฺราหฺมณสฺส ทเสฺสตฺวา ฉฑฺฑาเปสิฯ อิมมตฺถํ สนฺธาย ปริพฺพาชิกา ‘‘อญฺญํ อุปนิสํ กตฺวา, วธา ตํ ปริโมจยี’’ติ อาหฯ สา หิ เอฬกสฺส อฎฺฐีนิ ‘‘มนุสฺสอฎฺฐีนี’’ติ ทเสฺสตฺวา ตํ วธา โมเจสิฯ โอรสนฺติ ยาย ตฺวํ อุเร กตฺวา วฑฺฒิโต, ตํ โอรสํ ปิยํ มนาปํฯ คพฺภธารินินฺติ ยาย ตฺวํ กุจฺฉินา ธาริโต, ตํ เอวรูปํ มาตรํ เกน โทเสน ทกรกฺขสสฺส ทสฺสสีติฯ

    Imesaṃ pana palātadivase ‘‘bhattakārako ca cūḷanikumāro ca bhattakārakassa putto ca mahānase paditteyeva daḍḍhā’’ti sakalanagare ekakolāhalaṃ ahosi. Calākadevīpi taṃ pavattiṃ sutvā brāhmaṇassa ārocesi ‘‘deva, tumhākaṃ manoratho matthakaṃ patto, te kira tayopi bhattageheyeva daḍḍhā’’ti. So tuṭṭhahaṭṭho ahosi. Calākadevīpi ‘‘cūḷanikumārassa aṭṭhīnī’’ti eḷakassa aṭṭhīni āharāpetvā brāhmaṇassa dassetvā chaḍḍāpesi. Imamatthaṃ sandhāya paribbājikā ‘‘aññaṃ upanisaṃ katvā, vadhā taṃ parimocayī’’ti āha. Sā hi eḷakassa aṭṭhīni ‘‘manussaaṭṭhīnī’’ti dassetvā taṃ vadhā mocesi. Orasanti yāya tvaṃ ure katvā vaḍḍhito, taṃ orasaṃ piyaṃ manāpaṃ. Gabbhadhārininti yāya tvaṃ kucchinā dhārito, taṃ evarūpaṃ mātaraṃ kena dosena dakarakkhasassa dassasīti.

    ตํ สุตฺวา ราชา ‘‘อเยฺย, พหู มม มาตุ คุณา, อหญฺจสฺสา มม อุปการภาวํ ชานามิ, ตโตปิ ปน มเมว คุณา พหุตรา’’ติ มาตุ อคุณํ กเถโนฺต อิมํ คาถาทฺวยมาห –

    Taṃ sutvā rājā ‘‘ayye, bahū mama mātu guṇā, ahañcassā mama upakārabhāvaṃ jānāmi, tatopi pana mameva guṇā bahutarā’’ti mātu aguṇaṃ kathento imaṃ gāthādvayamāha –

    ‘‘ทหรา วิยลงฺการํ, ธาเรติ อปิฬนฺธนํ;

    ‘‘Daharā viyalaṅkāraṃ, dhāreti apiḷandhanaṃ;

    โทวาริเก อนีกเฎฺฐ, อติเวลํ ปชคฺฆติฯ

    Dovārike anīkaṭṭhe, ativelaṃ pajagghati.

    ‘‘อโถปิ ปฎิราชูนํ, สยํ ทูตานิ สาสติ;

    ‘‘Athopi paṭirājūnaṃ, sayaṃ dūtāni sāsati;

    มาตรํ เตน โทเสน, ทชฺชาหํ ทกรกฺขิโน’’ติฯ (ชา. ๑.๑๖.๒๒๘-๒๒๙);

    Mātaraṃ tena dosena, dajjāhaṃ dakarakkhino’’ti. (jā. 1.16.228-229);

    ตตฺถ ทหรา วิยาติ มหลฺลิกาปิ หุตฺวา ตรุณี วิยฯ ธาเรติ อปิฬนฺธนนฺติ ปิฬนฺธิตุํ อยุตฺตํ อลงฺการํ ธาเรติฯ สา กิร วชิรปูริตํ กญฺจนเมขลํ ปิฬนฺธิตฺวา รโญฺญ อมเจฺจหิ สทฺธิํ มหาตเล นิสินฺนกาเล อปราปรํ จงฺกมติ, เมขลาสเทฺทน ราชนิเวสนํ เอกนินฺนาทํ โหติฯ ปชคฺฆตีติ เอสา โทวาริเก จ หตฺถิอาจริยาทิเก อนีกเฎฺฐ จ, เย เอติสฺสา อุจฺฉิฎฺฐกมฺปิ ภุญฺชิตุํ อยุตฺตรูปา, เตปิ อามเนฺตตฺวา เตหิ สทฺธิํ อติเวลํ มหาหสิตํ หสติฯ ปฎิราชูนนฺติ อเญฺญสํ ราชูนํฯ สยํ ทูตานิ สาสตีติ มม วจเนน สยํ ปณฺณํ ลิขิตฺวา ทูเตปิ เปเสติ ‘‘มม มาตา กาเม ปริภุญฺชนวยสฺมิํเยว ฐิตา, อสุกราชา กิร อาคนฺตฺวา ตํ อาเนตู’’ติฯ เต ‘‘มยํ รโญฺญ อุปฎฺฐากา, กสฺมา โน เอวํ วเทสี’’ติ ปฎิปณฺณานิ เปเสนฺติฯ เตสุ ปริสมเชฺฌ วาจิยมาเนสุ มม สีสํ ฉินฺทนกาโล วิย โหติ, มาตรํ เตน โทเสน ทกรกฺขสสฺส ทสฺสามีติฯ

    Tattha daharā viyāti mahallikāpi hutvā taruṇī viya. Dhāreti apiḷandhananti piḷandhituṃ ayuttaṃ alaṅkāraṃ dhāreti. Sā kira vajirapūritaṃ kañcanamekhalaṃ piḷandhitvā rañño amaccehi saddhiṃ mahātale nisinnakāle aparāparaṃ caṅkamati, mekhalāsaddena rājanivesanaṃ ekaninnādaṃ hoti. Pajagghatīti esā dovārike ca hatthiācariyādike anīkaṭṭhe ca, ye etissā ucchiṭṭhakampi bhuñjituṃ ayuttarūpā, tepi āmantetvā tehi saddhiṃ ativelaṃ mahāhasitaṃ hasati. Paṭirājūnanti aññesaṃ rājūnaṃ. Sayaṃ dūtāni sāsatīti mama vacanena sayaṃ paṇṇaṃ likhitvā dūtepi peseti ‘‘mama mātā kāme paribhuñjanavayasmiṃyeva ṭhitā, asukarājā kira āgantvā taṃ ānetū’’ti. Te ‘‘mayaṃ rañño upaṭṭhākā, kasmā no evaṃ vadesī’’ti paṭipaṇṇāni pesenti. Tesu parisamajjhe vāciyamānesu mama sīsaṃ chindanakālo viya hoti, mātaraṃ tena dosena dakarakkhasassa dassāmīti.

    อถ ปริพฺพาชิกา ‘‘มหาราช , มาตรํ ตาว อิมินา โทเสน เทหิ, ภริยา ปน เต พหูปการา’’ติ ตสฺสา คุณํ กเถนฺตี เทฺว คาถา อภาสิ –

    Atha paribbājikā ‘‘mahārāja , mātaraṃ tāva iminā dosena dehi, bhariyā pana te bahūpakārā’’ti tassā guṇaṃ kathentī dve gāthā abhāsi –

    ‘‘อิตฺถิคุมฺพสฺส ปวรา, อจฺจนฺตํ ปิยภาณินี;

    ‘‘Itthigumbassa pavarā, accantaṃ piyabhāṇinī;

    อนุคฺคตา สีลวตี, ฉายาว อนปายินีฯ

    Anuggatā sīlavatī, chāyāva anapāyinī.

    ‘‘อโกฺกธนา ปุญฺญวตี, ปณฺฑิตา อตฺถทสฺสินี;

    ‘‘Akkodhanā puññavatī, paṇḍitā atthadassinī;

    อุพฺพริํ เกน โทเสน, อชฺชาสิ ทกรกฺขิโน’’ติฯ (ชา. ๑.๑๖.๒๓๐-๒๓๑);

    Ubbariṃ kena dosena, ajjāsi dakarakkhino’’ti. (jā. 1.16.230-231);

    ตตฺถ อิตฺถิคุมฺพสฺสาติ อิตฺถิคณสฺสฯ อนุคฺคตาติ ทหรกาลโต ปฎฺฐาย อนุคตาฯ ‘‘อโกฺกธนา’’ติอาทิเกน ปนสฺสา คุเณ กเถติฯ มทฺทรเฎฺฐ สาคลนคเร วสนกาเล ปหฎาปิ ตว อาณากรณภเยน ตยิ สิเนเหน มาตาปิตูนํ น กเถสิ, เอวเมสา อโกฺกธนา ปุญฺญวตี ปณฺฑิตา อตฺถทสฺสินีติฯ อิทํ ทหรกาเล อโกฺกธนาทิภาวํ สนฺธายาหฯ อุพฺพรินฺติ โอโรธํฯ เอวํ คุณสมฺปนฺนํ นนฺทาเทวิํ เกน โทเสน ทกรกฺขสสฺส ทสฺสสีติ วทติฯ

    Tattha itthigumbassāti itthigaṇassa. Anuggatāti daharakālato paṭṭhāya anugatā. ‘‘Akkodhanā’’tiādikena panassā guṇe katheti. Maddaraṭṭhe sāgalanagare vasanakāle pahaṭāpi tava āṇākaraṇabhayena tayi sinehena mātāpitūnaṃ na kathesi, evamesā akkodhanā puññavatī paṇḍitā atthadassinīti. Idaṃ daharakāle akkodhanādibhāvaṃ sandhāyāha. Ubbarinti orodhaṃ. Evaṃ guṇasampannaṃ nandādeviṃ kena dosena dakarakkhasassa dassasīti vadati.

    โส ตสฺสา อคุณํ กเถโนฺต อาห –

    So tassā aguṇaṃ kathento āha –

    ‘‘ขิฑฺฑารติสมาปนฺนํ, อนตฺถวสมาคตํ;

    ‘‘Khiḍḍāratisamāpannaṃ, anatthavasamāgataṃ;

    สา มํ สกาน ปุตฺตานํ, อยาจํ ยาจเต ธนํฯ

    Sā maṃ sakāna puttānaṃ, ayācaṃ yācate dhanaṃ.

    ‘‘โสหํ ททามิ สารโตฺต, พหุํ อุจฺจาวจํ ธนํ;

    ‘‘Sohaṃ dadāmi sāratto, bahuṃ uccāvacaṃ dhanaṃ;

    สุทุจฺจชํ จชิตฺวาน, ปจฺฉา โสจามิ ทุมฺมโน;

    Suduccajaṃ cajitvāna, pacchā socāmi dummano;

    อุพฺพริํ เตน โทเสน, ทชฺชาหํ ทกรกฺขิโน’’ติฯ (ชา. ๑.๑๖.๒๓๒-๒๓๓);

    Ubbariṃ tena dosena, dajjāhaṃ dakarakkhino’’ti. (jā. 1.16.232-233);

    ตตฺถ อนตฺถวสมาคตนฺติ ตาย ขิฑฺฑารติยา กามกีฬาย อนตฺถการกานํ กิเลสานํ วสํ อาคตํ มํ วิทิตฺวาฯ สา มนฺติ สา นนฺทาเทวี มํฯ สกาน ปุตฺตานนฺติ ยํ มยา อตฺตโน ปุตฺตธีตานญฺจ ภริยานญฺจ ทินฺนํ ปิฬนฺธนํ, ตํ อยาจิตพฺพรูปํ ‘‘มยฺหํ เทหี’’ติ ยาจติฯ ปจฺฉา โสจามีติ สา ทุติยทิวเส ‘‘อิมานิ ปิฬนฺธนานิ รญฺญา เม ทินฺนานิ, อาหรเถตานี’’ติ เตสํ โรทนฺตานํ โอมุญฺจิตฺวา คณฺหาติฯ อถาหํ เต โรทมาเน มม สนฺติกํ อาคเต ทิสฺวา ปจฺฉา โสจามิฯ เอวํ โทสการิกา เอสาฯ อิมินา นํ โทเสน ทกรกฺขสสฺส ทสฺสามีติฯ

    Tattha anatthavasamāgatanti tāya khiḍḍāratiyā kāmakīḷāya anatthakārakānaṃ kilesānaṃ vasaṃ āgataṃ maṃ viditvā. Sā manti sā nandādevī maṃ. Sakāna puttānanti yaṃ mayā attano puttadhītānañca bhariyānañca dinnaṃ piḷandhanaṃ, taṃ ayācitabbarūpaṃ ‘‘mayhaṃ dehī’’ti yācati. Pacchā socāmīti sā dutiyadivase ‘‘imāni piḷandhanāni raññā me dinnāni, āharathetānī’’ti tesaṃ rodantānaṃ omuñcitvā gaṇhāti. Athāhaṃ te rodamāne mama santikaṃ āgate disvā pacchā socāmi. Evaṃ dosakārikā esā. Iminā naṃ dosena dakarakkhasassa dassāmīti.

    อถ นํ ปริพฺพาชิกา ‘‘อิมํ ตาว อิมินา โทเสน เทหิ, กนิโฎฺฐ ปน เต ติขิณมนฺติกุมาโร อุปการโก, ตํ เกน โทเสน ทสฺสตี’’ติ ปุจฺฉนฺตี อาห –

    Atha naṃ paribbājikā ‘‘imaṃ tāva iminā dosena dehi, kaniṭṭho pana te tikhiṇamantikumāro upakārako, taṃ kena dosena dassatī’’ti pucchantī āha –

    ‘‘เยโนจิตา ชนปทา, อานีตา จ ปฎิคฺคหํ;

    ‘‘Yenocitā janapadā, ānītā ca paṭiggahaṃ;

    อาภตํ ปรรเชฺชภิ, อภิฎฺฐาย พหุํ ธนํฯ

    Ābhataṃ pararajjebhi, abhiṭṭhāya bahuṃ dhanaṃ.

    ธนุคฺคหานํ ปวรํ, สูรํ ติขิณมนฺตินํ;

    Dhanuggahānaṃ pavaraṃ, sūraṃ tikhiṇamantinaṃ;

    ภาตรํ เกน โทเสน, ทชฺชาสิ ทกรกฺขิโน’’ติฯ (ชา. ๑.๑๖.๒๓๔-๒๓๕);

    Bhātaraṃ kena dosena, dajjāsi dakarakkhino’’ti. (jā. 1.16.234-235);

    ตตฺถ โอจิตาติ วฑฺฒิตาฯ ปฎิคฺคหนฺติ เยน จ ตุเมฺห ปรเทเส วสนฺตา ปุน เคหํ อานีตาฯ อภิฎฺฐายาติ อภิภวิตฺวาฯ ติขิณมนฺตินนฺติ ติขิณปญฺญํฯ

    Tattha ocitāti vaḍḍhitā. Paṭiggahanti yena ca tumhe paradese vasantā puna gehaṃ ānītā. Abhiṭṭhāyāti abhibhavitvā. Tikhiṇamantinanti tikhiṇapaññaṃ.

    โส กิร มาตุ พฺราหฺมเณน สทฺธิํ วสนกาเล ชาโตฯ อถสฺส วยปฺปตฺตสฺส พฺราหฺมโณ ขคฺคํ หเตฺถ ทตฺวา ‘‘อิมํ คเหตฺวา มํ อุปฎฺฐหา’’ติ อาหฯ โส พฺราหฺมณํ ‘‘ปิตา เม’’ติ สญฺญาย อุปฎฺฐาสิฯ อถ นํ เอโก อมโจฺจ ‘‘กุมาร, น ตฺวํ เอตสฺส ปุโตฺต, ตว กุจฺฉิคตกาเล จลากเทวี ราชานํ มาเรตฺวา เอตสฺส ฉตฺตํ อุสฺสาเปสิ, ตฺวํ มหาจูฬนิรโญฺญ ปุโตฺต’’ติ อาหฯ โส กุชฺฌิตฺวา ‘‘เอเกน อุปาเยน นํ มาเรสฺสามี’’ติ ราชกุลํ ปวิสโนฺต ตํ ขคฺคํ เอกสฺส ปาทมูลิกสฺส ทตฺวา อปรํ ‘‘ตฺวํ ราชทฺวาเร ‘มเมโส ขโคฺค’ติ อิมินา สทฺธิํ วิวาทํ กเรยฺยาสี’’ติ วตฺวา ปาวิสิฯ เต กลหํ กริํสุฯ โส ‘‘กิํ เอส กลโห’’ติ เอกํ ปุริสํ เปเสสิฯ โส อาคนฺตฺวา ‘‘ขคฺคตฺถายา’’ติ อาหฯ พฺราหฺมโณ ตํ สุตฺวา ‘‘กิํ เอต’’นฺติ ปุจฺฉิฯ โส กิร ตุเมฺหหิ มม ทินฺนขโคฺค ปรสฺส สนฺตโกติฯ ‘‘กิํ วเทสิ, ตาต, เตน หิ อาหราเปหิ, สญฺชานิสฺสามิ น’’นฺติ อาหฯ โส ตํ อาหราเปตฺวา โกสโต นิกฺกฑฺฒิตฺวา ‘‘ปสฺสถา’’ติ ตํ สญฺฌานาเปโนฺต วิย อุปคนฺตฺวา เอกปฺปหาเรเนว ตสฺส สีสํ ฉินฺทิตฺวา อตฺตโน ปาทมูเล ปาเตสิฯ ตโต ราชเคหํ ปฎิชคฺคิตฺวา นครํ อลงฺกริตฺวา ตสฺส อภิเสเก อุปนีเต มาตา จูฬนิกุมารสฺส มทฺทรเฎฺฐ วสนภาวํ อาจิกฺขิฯ ตํ สุตฺวา กุมาโร เสนงฺคปริวุโต ตตฺถ คนฺตฺวา ภาตรํ อาเนตฺวา รชฺชํ ปฎิจฺฉาเปสิฯ ตโต ปฎฺฐาย ตํ ‘‘ติขิณมนฺตี’’ติ สญฺชานิํสุฯ ปริพฺพาชิกา ตํ ‘‘เอวรูปํ ภาตรํ เกน โทเสน ทกรกฺขสสฺส ทชฺชาสี’’ติ ปุจฺฉิฯ

    So kira mātu brāhmaṇena saddhiṃ vasanakāle jāto. Athassa vayappattassa brāhmaṇo khaggaṃ hatthe datvā ‘‘imaṃ gahetvā maṃ upaṭṭhahā’’ti āha. So brāhmaṇaṃ ‘‘pitā me’’ti saññāya upaṭṭhāsi. Atha naṃ eko amacco ‘‘kumāra, na tvaṃ etassa putto, tava kucchigatakāle calākadevī rājānaṃ māretvā etassa chattaṃ ussāpesi, tvaṃ mahācūḷanirañño putto’’ti āha. So kujjhitvā ‘‘ekena upāyena naṃ māressāmī’’ti rājakulaṃ pavisanto taṃ khaggaṃ ekassa pādamūlikassa datvā aparaṃ ‘‘tvaṃ rājadvāre ‘mameso khaggo’ti iminā saddhiṃ vivādaṃ kareyyāsī’’ti vatvā pāvisi. Te kalahaṃ kariṃsu. So ‘‘kiṃ esa kalaho’’ti ekaṃ purisaṃ pesesi. So āgantvā ‘‘khaggatthāyā’’ti āha. Brāhmaṇo taṃ sutvā ‘‘kiṃ eta’’nti pucchi. So kira tumhehi mama dinnakhaggo parassa santakoti. ‘‘Kiṃ vadesi, tāta, tena hi āharāpehi, sañjānissāmi na’’nti āha. So taṃ āharāpetvā kosato nikkaḍḍhitvā ‘‘passathā’’ti taṃ sañjhānāpento viya upagantvā ekappahāreneva tassa sīsaṃ chinditvā attano pādamūle pātesi. Tato rājagehaṃ paṭijaggitvā nagaraṃ alaṅkaritvā tassa abhiseke upanīte mātā cūḷanikumārassa maddaraṭṭhe vasanabhāvaṃ ācikkhi. Taṃ sutvā kumāro senaṅgaparivuto tattha gantvā bhātaraṃ ānetvā rajjaṃ paṭicchāpesi. Tato paṭṭhāya taṃ ‘‘tikhiṇamantī’’ti sañjāniṃsu. Paribbājikā taṃ ‘‘evarūpaṃ bhātaraṃ kena dosena dakarakkhasassa dajjāsī’’ti pucchi.

    ราชา ตสฺส โทสํ กเถโนฺต อาห –

    Rājā tassa dosaṃ kathento āha –

    ‘‘เยโนจิตา ชนปทา, อานีตา จ ปฎิคฺคหํ;

    ‘‘Yenocitā janapadā, ānītā ca paṭiggahaṃ;

    อาภตํ ปรรเชฺชภิ, อภิฎฺฐาย พหุํ ธนํฯ

    Ābhataṃ pararajjebhi, abhiṭṭhāya bahuṃ dhanaṃ.

    ‘‘ธนุคฺคหานํ ปวโร, สูโร ติขิณมนฺติ จ;

    ‘‘Dhanuggahānaṃ pavaro, sūro tikhiṇamanti ca;

    มยายํ สุขิโต ราชา, อติมญฺญติ ทารโกฯ

    Mayāyaṃ sukhito rājā, atimaññati dārako.

    ‘‘อุปฎฺฐานมฺปิ เม อเยฺย, น โส เอติ ยถา ปุเร;

    ‘‘Upaṭṭhānampi me ayye, na so eti yathā pure;

    ภาตรํ เตน โทเสน, ทชฺชาหํ ทกรกฺขิโน’’ติฯ (ชา. ๑.๑๖.๒๓๖-๒๓๘);

    Bhātaraṃ tena dosena, dajjāhaṃ dakarakkhino’’ti. (jā. 1.16.236-238);

    ตตฺถ ปรรเชฺชภีติ อิมสฺส ปรรชฺชโต จ พหุ ธนํ อาภตํ, อยญฺจ ปรรเชฺช วสโนฺต ปุน อิมํ เคหํ อาเนตฺวา ‘‘เอส มยา มหติ ยเส ปติฎฺฐาปิโต’’ติ วทติฯ ยถา ปุเรติ ปุเพฺพ ปาโตว อาคจฺฉติ, อิทานิ ปน น ตถา เอติฯ อิมินา นํ โทเสน ทกรกฺขสสฺส ทสฺสามีติฯ

    Tattha pararajjebhīti imassa pararajjato ca bahu dhanaṃ ābhataṃ, ayañca pararajje vasanto puna imaṃ gehaṃ ānetvā ‘‘esa mayā mahati yase patiṭṭhāpito’’ti vadati. Yathā pureti pubbe pātova āgacchati, idāni pana na tathā eti. Iminā naṃ dosena dakarakkhasassa dassāmīti.

    อถ ปริพฺพาชิกา ‘‘ภาตุ ตาว โก โทโส โหตุ, ธนุเสขกุมาโร ปน ตยิ สิเนหคุณยุโตฺต พหูปกาโร’’ติ ตสฺส คุณํ กเถนฺตี อาห –

    Atha paribbājikā ‘‘bhātu tāva ko doso hotu, dhanusekhakumāro pana tayi sinehaguṇayutto bahūpakāro’’ti tassa guṇaṃ kathentī āha –

    ‘‘เอกรเตฺตน อุภโย, ตฺวเญฺจว ธนุเสข จ;

    ‘‘Ekarattena ubhayo, tvañceva dhanusekha ca;

    อุโภ ชาเตตฺถ ปญฺจาลา, สหายา สุสมาวยาฯ

    Ubho jātettha pañcālā, sahāyā susamāvayā.

    ‘‘จริยา ตํ อนุพนฺธิโตฺถ, เอกทุกฺขสุโข ตว;

    ‘‘Cariyā taṃ anubandhittho, ekadukkhasukho tava;

    อุสฺสุโกฺก เต ทิวารตฺติํ, สพฺพกิเจฺจสุ พฺยาวโฎ;

    Ussukko te divārattiṃ, sabbakiccesu byāvaṭo;

    สหายํ เกน โทเสน, ทชฺชาสิ ทกรกฺขิโน’’ติฯ (ชา. ๑.๑๖.๒๓๙-๒๔๐);

    Sahāyaṃ kena dosena, dajjāsi dakarakkhino’’ti. (jā. 1.16.239-240);

    ตตฺถ ธนุเสขจาติ ธนุเสโข จ, ธนุเสขกุมาโร จาติ อโตฺถฯ เอตฺถาติ อิเธว นคเรฯ ปญฺจาลาติ อุตฺตรปญฺจาลนคเร ชาตตฺตา เอวํโวหาราฯ สุสมาวยาติ สุฎฺฐุ สมวยาฯ จริยา ตํ อนุพนฺธิโตฺถติ ทหรกาเล ชนปทจาริกาย ปกฺกนฺตํ ตํ อนุพนฺธิ, ฉายาว น วิชหิฯ อุสฺสุโกฺกติ ตว กิเจฺจสุ รตฺถินฺทิวํ อุสฺสุโกฺก ฉนฺทชาโต นิจฺจํ พฺยาวโฎฯ ตํ เกน โทเสน ทกรกฺขสสฺส ทสฺสสีติฯ

    Tattha dhanusekhacāti dhanusekho ca, dhanusekhakumāro cāti attho. Etthāti idheva nagare. Pañcālāti uttarapañcālanagare jātattā evaṃvohārā. Susamāvayāti suṭṭhu samavayā. Cariyā taṃ anubandhitthoti daharakāle janapadacārikāya pakkantaṃ taṃ anubandhi, chāyāva na vijahi. Ussukkoti tava kiccesu ratthindivaṃ ussukko chandajāto niccaṃ byāvaṭo. Taṃ kena dosena dakarakkhasassa dassasīti.

    อถสฺส ราชา โทสํ กเถโนฺต อาห –

    Athassa rājā dosaṃ kathento āha –

    ‘‘จริยา มํ อยํ อเยฺย, ปชคฺฆิโตฺถ มยา สห;

    ‘‘Cariyā maṃ ayaṃ ayye, pajagghittho mayā saha;

    อชฺชาปิ เตน วเณฺณน, อติเวลํ ปชคฺฆติฯ

    Ajjāpi tena vaṇṇena, ativelaṃ pajagghati.

    ‘‘อุพฺพริยาปิหํ อเยฺย, มนฺตยามิ รโหคโต;

    ‘‘Ubbariyāpihaṃ ayye, mantayāmi rahogato;

    อนามโนฺต ปวิสติ, ปุเพฺพ อปฺปฎิเวทิโตฯ

    Anāmanto pavisati, pubbe appaṭivedito.

    ‘‘ลทฺธทฺวาโร กโตกาโส, อหิริกํ อนาทรํ;

    ‘‘Laddhadvāro katokāso, ahirikaṃ anādaraṃ;

    สหายํ เตน โทเสน, ทชฺชาหํ ทกรกฺขิโน’’ติฯ (ชา. ๑.๑๖.๒๔๑-๒๔๓);

    Sahāyaṃ tena dosena, dajjāhaṃ dakarakkhino’’ti. (jā. 1.16.241-243);

    ตตฺถ อชฺชาปิ เตน วเณฺณนาติ ยถา จริยาย ปุเพฺพ มํ อนุพนฺธโนฺต มยา อนาเถน สทฺธิํ เอกโตว ภุญฺชโนฺต สยโนฺต หตฺถํ ปหริตฺวา มหาหสิตํ หสิ, อชฺชาปิ ตเถว หสติ, ทุคฺคตกาเล วิย มํ มญฺญติฯ อนามโนฺตติ รโห นนฺทาเทวิยา สทฺธิํ มเนฺตเนฺตปิ มยิ อชานาเปตฺวา สหสาว ปวิสติฯ อิมินา โทเสน ตํ อหิริกํ อนาทรํ ทกรกฺขสสฺส ทสฺสามีติฯ

    Tattha ajjāpi tena vaṇṇenāti yathā cariyāya pubbe maṃ anubandhanto mayā anāthena saddhiṃ ekatova bhuñjanto sayanto hatthaṃ paharitvā mahāhasitaṃ hasi, ajjāpi tatheva hasati, duggatakāle viya maṃ maññati. Anāmantoti raho nandādeviyā saddhiṃ mantentepi mayi ajānāpetvā sahasāva pavisati. Iminā dosena taṃ ahirikaṃ anādaraṃ dakarakkhasassa dassāmīti.

    อถ ปริพฺพาชิกา ‘‘มหาราช, ตว สหายกสฺส ตาว เอโส โทโส โหตุ, ปุโรหิโต ปน ตว พหูปกาโร’’ติ ตสฺส คุณํ กเถนฺตี อาห –

    Atha paribbājikā ‘‘mahārāja, tava sahāyakassa tāva eso doso hotu, purohito pana tava bahūpakāro’’ti tassa guṇaṃ kathentī āha –

    ‘‘กุสโล สพฺพนิมิตฺตานํ, รุตญฺญู อาคตาคโม;

    ‘‘Kusalo sabbanimittānaṃ, rutaññū āgatāgamo;

    อุปฺปาเต สุปิเน ยุโตฺต, นิยฺยาเน จ ปเวสเนฯ

    Uppāte supine yutto, niyyāne ca pavesane.

    ‘‘ปโฎฺฐ ภูมนฺตลิกฺขสฺมิํ, นกฺขตฺตปทโกวิโท;

    ‘‘Paṭṭho bhūmantalikkhasmiṃ, nakkhattapadakovido;

    พฺราหฺมณํ เกน โทเสน, ทชฺชาสิ ทกรกฺขิโน’’ติฯ (ชา. ๑.๑๖.๒๔๔-๒๔๕);

    Brāhmaṇaṃ kena dosena, dajjāsi dakarakkhino’’ti. (jā. 1.16.244-245);

    ตตฺถ สพฺพนิมิตฺตานนฺติ ‘‘อิมินา นิมิเตฺตน อิทํ ภวิสฺสติ, อิมินา อิท’’นฺติ เอวํ สพฺพนิมิเตฺตสุ กุสโลฯ รุตญฺญูติ สพฺพรวํ ชานาติฯ อุปฺปาเตติ จนฺทคฺคาหสูริยคฺคาหอุกฺกาปาตทิสาฑาหาทิเก อุปฺปาเตฯ สุปิเน ยุโตฺตติ สุปิเน จ ตสฺส นิปฺผตฺติชานนวเสน ยุโตฺตฯ นิยฺยาเน จ ปเวสเนติ อิมินา นกฺขเตฺตน นิยฺยายิตพฺพํ, อิมินา ปวิสิตพฺพนฺติ ชานาติฯ ปโฎฺฐติ เฉโก ปฎิพโล, ภูมิยญฺจ อนฺตลิเกฺข จ โทสคุเณ ชานิตุํ สมโตฺถฯ นกฺขตฺตปทโกวิโทติ อฎฺฐวีสติยา นกฺขตฺตโกฎฺฐาเสสุ เฉโกฯ ตํ เกน โทเสน ทกรกฺขสสฺส ทสฺสสีติฯ

    Tattha sabbanimittānanti ‘‘iminā nimittena idaṃ bhavissati, iminā ida’’nti evaṃ sabbanimittesu kusalo. Rutaññūti sabbaravaṃ jānāti. Uppāteti candaggāhasūriyaggāhaukkāpātadisāḍāhādike uppāte. Supine yuttoti supine ca tassa nipphattijānanavasena yutto. Niyyāne ca pavesaneti iminā nakkhattena niyyāyitabbaṃ, iminā pavisitabbanti jānāti. Paṭṭhoti cheko paṭibalo, bhūmiyañca antalikkhe ca dosaguṇe jānituṃ samattho. Nakkhattapadakovidoti aṭṭhavīsatiyā nakkhattakoṭṭhāsesu cheko. Taṃ kena dosena dakarakkhasassa dassasīti.

    ราชา ตสฺส โทสํ กเถโนฺต อาห –

    Rājā tassa dosaṃ kathento āha –

    ‘‘ปริสายมฺปิ เม อเยฺย, อุมฺมีเลตฺวา อุทิกฺขติ;

    ‘‘Parisāyampi me ayye, ummīletvā udikkhati;

    ตสฺมา อจฺจภมุํ ลุทฺทํ, ทชฺชาหํ ทกรกฺขิโน’’ติฯ (ชา. ๑.๑๖.๒๔๖);

    Tasmā accabhamuṃ luddaṃ, dajjāhaṃ dakarakkhino’’ti. (jā. 1.16.246);

    ตสฺสโตฺถ – อเยฺย, เอส มํ ปริสมเชฺฌ โอโลเกโนฺตปิ อกฺขีนิ อุมฺมีเลตฺวา กุโทฺธ วิย อุทิกฺขติ, ตสฺมา เอวํ อติกฺกมิตฺวา ฐิตภมุํ อมนาเปน อุกฺขิตฺตภมุกํ วิย ลุทฺทํ ภยานกํ ตํ อหํ ทกรกฺขสสฺส ทสฺสามีติฯ

    Tassattho – ayye, esa maṃ parisamajjhe olokentopi akkhīni ummīletvā kuddho viya udikkhati, tasmā evaṃ atikkamitvā ṭhitabhamuṃ amanāpena ukkhittabhamukaṃ viya luddaṃ bhayānakaṃ taṃ ahaṃ dakarakkhasassa dassāmīti.

    ตโต ปริพฺพาชิกา ‘‘มหาราช, ตฺวํ ‘มาตรํ อาทิํ กตฺวา อิเม ปญฺจ ทกรกฺขสสฺส ทมฺมี’ติ วทสิ, ‘เอวรูปญฺจ สิริวิภวํ อคเณตฺวา อตฺตโน ชีวิตมฺปิ มโหสธสฺส ทมฺมี’ติ วทสิ, กํ ตสฺส คุณํ ปสฺสสี’’ติ ปุจฺฉนฺตี อิมา คาถาโย อาห –

    Tato paribbājikā ‘‘mahārāja, tvaṃ ‘mātaraṃ ādiṃ katvā ime pañca dakarakkhasassa dammī’ti vadasi, ‘evarūpañca sirivibhavaṃ agaṇetvā attano jīvitampi mahosadhassa dammī’ti vadasi, kaṃ tassa guṇaṃ passasī’’ti pucchantī imā gāthāyo āha –

    ‘‘สสมุทฺทปริยายํ, มหิํ สาครกุณฺฑลํ;

    ‘‘Sasamuddapariyāyaṃ, mahiṃ sāgarakuṇḍalaṃ;

    วสุนฺธรํ อาวสติ, อมจฺจปริวาริโตฯ

    Vasundharaṃ āvasati, amaccaparivārito.

    ‘‘จาตุรโนฺต มหารโฎฺฐ, วิชิตาวี มหพฺพโล;

    ‘‘Cāturanto mahāraṭṭho, vijitāvī mahabbalo;

    ปถพฺยา เอกราชาสิ, ยโส เต วิปุลํ คโตฯ

    Pathabyā ekarājāsi, yaso te vipulaṃ gato.

    ‘‘โสฬสิตฺถิสหสฺสานิ, อามุตฺตมณิกุณฺฑลา;

    ‘‘Soḷasitthisahassāni, āmuttamaṇikuṇḍalā;

    นานาชนปทา นารี, เทวกญฺญูปมา สุภาฯ

    Nānājanapadā nārī, devakaññūpamā subhā.

    ‘‘เอวํ สพฺพงฺคสมฺปนฺนํ, สพฺพกามสมิทฺธินํ;

    ‘‘Evaṃ sabbaṅgasampannaṃ, sabbakāmasamiddhinaṃ;

    สุขิตานํ ปิยํ ทีฆํ, ชีวิตํ อาหุ ขตฺติยฯ

    Sukhitānaṃ piyaṃ dīghaṃ, jīvitaṃ āhu khattiya.

    ‘‘อถ ตฺวํ เกน วเณฺณน, เกน วา ปน เหตุนา;

    ‘‘Atha tvaṃ kena vaṇṇena, kena vā pana hetunā;

    ปณฺฑิตํ อนุรกฺขโนฺต, ปาณํ จชสิ ทุจฺจช’’นฺติฯ (ชา. ๑.๑๖.๒๔๗-๒๕๑);

    Paṇḍitaṃ anurakkhanto, pāṇaṃ cajasi duccaja’’nti. (jā. 1.16.247-251);

    ตตฺถ สสมุทฺทปริยายนฺติ สมุทฺทมริยาทสงฺขาเตน สมุทฺทปริเกฺขเปน สมนฺนาคตํฯ สาครกุณฺฑลนฺติ ปริกฺขิปิตฺวา ฐิตสฺส สาครสฺส กุณฺฑลภูตํฯ วิชิตาวีติ วิชิตสงฺคาโมฯ เอกราชาติ อญฺญสฺส อตฺตโน สทิสสฺส รโญฺญ อภาวโต เอโกว ราชาฯ สพฺพกามสมิทฺธินนฺติ สเพฺพสมฺปิ วตฺถุกามกิเลสกามานํ สมิทฺธิยา สมนฺนาคตานํฯ สุขิตานนฺติ เอวรูปานํ สุขิตานํ สตฺตานํ เอวํ สพฺพงฺคสมฺปนฺนํ ชีวิตํ ทีฆเมว ปิยํ, น เต อปฺปํ ชีวิตมิจฺฉนฺตีติ ปณฺฑิตา วทนฺติฯ ปาณนฺติ เอวรูปํ อตฺตโน ชีวิตํ กสฺมา ปณฺฑิตํ อนุรกฺขโนฺต จชสีติฯ

    Tattha sasamuddapariyāyanti samuddamariyādasaṅkhātena samuddaparikkhepena samannāgataṃ. Sāgarakuṇḍalanti parikkhipitvā ṭhitassa sāgarassa kuṇḍalabhūtaṃ. Vijitāvīti vijitasaṅgāmo. Ekarājāti aññassa attano sadisassa rañño abhāvato ekova rājā. Sabbakāmasamiddhinanti sabbesampi vatthukāmakilesakāmānaṃ samiddhiyā samannāgatānaṃ. Sukhitānanti evarūpānaṃ sukhitānaṃ sattānaṃ evaṃ sabbaṅgasampannaṃ jīvitaṃ dīghameva piyaṃ, na te appaṃ jīvitamicchantīti paṇḍitā vadanti. Pāṇanti evarūpaṃ attano jīvitaṃ kasmā paṇḍitaṃ anurakkhanto cajasīti.

    ราชา ตสฺสา กถํ สุตฺวา ปณฺฑิตสฺส คุณํ กเถโนฺต อิมา คาถา อภาสิ –

    Rājā tassā kathaṃ sutvā paṇḍitassa guṇaṃ kathento imā gāthā abhāsi –

    ‘‘ยโตปิ อาคโต อเยฺย, มม หตฺถํ มโหสโธ;

    ‘‘Yatopi āgato ayye, mama hatthaṃ mahosadho;

    นาภิชานามิ ธีรสฺส, อณุมตฺตมฺปิ ทุกฺกฎํฯ

    Nābhijānāmi dhīrassa, aṇumattampi dukkaṭaṃ.

    ‘‘สเจ จ กิสฺมิจิ กาเล, มรณํ เม ปุเร สิยา;

    ‘‘Sace ca kismici kāle, maraṇaṃ me pure siyā;

    โส เม ปุเตฺต ปปุเตฺต จ, สุขาเปยฺย มโหสโธฯ

    So me putte paputte ca, sukhāpeyya mahosadho.

    ‘‘อนาคตํ ปจฺจุปฺปนฺนํ, สพฺพมตฺถมฺปิ ปสฺสติ;

    ‘‘Anāgataṃ paccuppannaṃ, sabbamatthampi passati;

    อนาปราธกมฺมนฺตํ, น ทชฺชํ ทกรกฺขิโน’’ติฯ (ชา. ๑.๑๖.๒๕๒-๒๕๔);

    Anāparādhakammantaṃ, na dajjaṃ dakarakkhino’’ti. (jā. 1.16.252-254);

    ตตฺถ กิสฺมิจีติ กิสฺมิญฺจิ กาเลฯ สุขาเปยฺยาติ สุขสฺมิํเยว ปติฎฺฐาเปยฺยฯ สพฺพมตฺถนฺติ เอส อนาคตญฺจ ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ อตีตญฺจ สพฺพํ อตฺถํ สพฺพญฺญุพุโทฺธ วิย ปสฺสติฯ อนาปราธกมฺมนฺตนฺติ กายกมฺมาทีสุ อปราธรหิตํฯ น ทชฺชนฺติ อเยฺย, เอวํ อสมธุรํ ปณฺฑิตํ นาหํ ทกรกฺขสสฺส ทสฺสามีติ เอวํ โส มหาสตฺตสฺส คุเณ จนฺทมณฺฑลํ อุทฺธรโนฺต วิย อุกฺขิปิตฺวา กเถสิฯ

    Tattha kismicīti kismiñci kāle. Sukhāpeyyāti sukhasmiṃyeva patiṭṭhāpeyya. Sabbamatthanti esa anāgatañca paccuppannañca atītañca sabbaṃ atthaṃ sabbaññubuddho viya passati. Anāparādhakammantanti kāyakammādīsu aparādharahitaṃ. Na dajjanti ayye, evaṃ asamadhuraṃ paṇḍitaṃ nāhaṃ dakarakkhasassa dassāmīti evaṃ so mahāsattassa guṇe candamaṇḍalaṃ uddharanto viya ukkhipitvā kathesi.

    อิติ อิมํ ชาตกํ ยถานุสนฺธิปฺปตฺตํฯ อถ ปริพฺพาชิกา จิเนฺตสิ ‘‘เอตฺตเกนปิ ปณฺฑิตสฺส คุณา ปากฎา น โหนฺติ, สกลนครวาสีนํ มเชฺฌ สาครปิเฎฺฐ อาสิตฺตเตลํ วิปฺปกิรนฺตี วิย ตสฺส คุเณ ปากเฎ กริสฺสามี’’ติ ราชานํ คเหตฺวา ปาสาทา โอรุยฺห ราชงฺคเณ อาสนํ ปญฺญเปตฺวา ตตฺถ นิสีทาเปตฺวา นาคเร สนฺนิปาตาเปตฺวา ปุน ราชานํ อาทิโต ปฎฺฐาย ทกรกฺขสสฺส ปญฺหํ ปุจฺฉิตฺวา เตน เหฎฺฐา กถิตนิยาเมเนว กถิตกาเล นาคเร อามเนฺตตฺวา อาห –

    Iti imaṃ jātakaṃ yathānusandhippattaṃ. Atha paribbājikā cintesi ‘‘ettakenapi paṇḍitassa guṇā pākaṭā na honti, sakalanagaravāsīnaṃ majjhe sāgarapiṭṭhe āsittatelaṃ vippakirantī viya tassa guṇe pākaṭe karissāmī’’ti rājānaṃ gahetvā pāsādā oruyha rājaṅgaṇe āsanaṃ paññapetvā tattha nisīdāpetvā nāgare sannipātāpetvā puna rājānaṃ ādito paṭṭhāya dakarakkhasassa pañhaṃ pucchitvā tena heṭṭhā kathitaniyāmeneva kathitakāle nāgare āmantetvā āha –

    ‘‘อิทํ สุณาถ ปญฺจาลา, จูฬเนยฺยสฺส ภาสิตํ;

    ‘‘Idaṃ suṇātha pañcālā, cūḷaneyyassa bhāsitaṃ;

    ปณฺฑิตํ อนุรกฺขโนฺต, ปาณํ จชติ ทุจฺจชํฯ

    Paṇḍitaṃ anurakkhanto, pāṇaṃ cajati duccajaṃ.

    ‘‘มาตุ ภริยาย ภาตุจฺจ, สขิโน พฺราหฺมณสฺส จ;

    ‘‘Mātu bhariyāya bhātucca, sakhino brāhmaṇassa ca;

    อตฺตโน จาปิ ปญฺจาโล, ฉนฺนํ จชติ ชีวิตํฯ

    Attano cāpi pañcālo, channaṃ cajati jīvitaṃ.

    ‘‘เอวํ มหตฺถิกา ปญฺญา, นิปุณา สาธุจินฺตินี;

    ‘‘Evaṃ mahatthikā paññā, nipuṇā sādhucintinī;

    ทิฎฺฐธมฺมหิตตฺถาย, สมฺปรายสุขาย จา’’ติฯ (ชา. ๑.๑๖.๒๕๕-๒๕๗);

    Diṭṭhadhammahitatthāya, samparāyasukhāya cā’’ti. (jā. 1.16.255-257);

    ตตฺถ มหตฺถิกาติ มหนฺตํ อตฺถํ คเหตฺวา ฐิตาฯ ทิฎฺฐธมฺมหิตตฺถายาติ อิมสฺมิํเยว อตฺตภาเว หิตตฺถาย จ ปรโลเก สุขตฺถาย จ โหตีติฯ

    Tattha mahatthikāti mahantaṃ atthaṃ gahetvā ṭhitā. Diṭṭhadhammahitatthāyāti imasmiṃyeva attabhāve hitatthāya ca paraloke sukhatthāya ca hotīti.

    อิติ สา รตนฆรสฺส มณิกฺขเนฺธน กูฎํ คณฺหนฺตี วิย มหาสตฺตสฺส คุเณหิ เทสนากูฎํ คณฺหีติฯ

    Iti sā ratanagharassa maṇikkhandhena kūṭaṃ gaṇhantī viya mahāsattassa guṇehi desanākūṭaṃ gaṇhīti.

    ทกรกฺขสปโญฺห นิฎฺฐิโตฯ

    Dakarakkhasapañho niṭṭhito.

    สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ‘‘น, ภิกฺขเว, อิทาเนว ตถาคโต ปญฺญวา, ปุเพฺพปิ ปญฺญวาเยวา’’ติ ชาตกํ สโมธาเนโนฺต โอสานคาถา อาห –

    Satthā imaṃ dhammadesanaṃ āharitvā ‘‘na, bhikkhave, idāneva tathāgato paññavā, pubbepi paññavāyevā’’ti jātakaṃ samodhānento osānagāthā āha –

    ‘‘เภรี อุปฺปลวณฺณาสิ, ปิตา สุโทฺธทโน อหุ;

    ‘‘Bherī uppalavaṇṇāsi, pitā suddhodano ahu;

    มาตา อาสิ มหามายา, อมรา พิมฺพสุนฺทรีฯ

    Mātā āsi mahāmāyā, amarā bimbasundarī.

    ‘‘สุโว อโหสิ อานโนฺท, สาริปุโตฺต จ จูฬนี;

    ‘‘Suvo ahosi ānando, sāriputto ca cūḷanī;

    เทวทโตฺต จ เกวโฎฺฎ, จลากา ถุลฺลนนฺทินีฯ

    Devadatto ca kevaṭṭo, calākā thullanandinī.

    ‘‘ปญฺจาลจนฺที สุนฺทรี, สาฬิกา มลฺลิกา อหุ;

    ‘‘Pañcālacandī sundarī, sāḷikā mallikā ahu;

    อมฺพโฎฺฐ อาสิ กามิโนฺท, โปฎฺฐปาโท จ ปุกฺกุโสฯ

    Ambaṭṭho āsi kāmindo, poṭṭhapādo ca pukkuso.

    ‘‘ปิโลติโก จ เทวิโนฺท, เสนโก อาสิ กสฺสโป;

    ‘‘Pilotiko ca devindo, senako āsi kassapo;

    อุทุมฺพรา มงฺคลิกา, เวเทโห กาฬุทายโก;

    Udumbarā maṅgalikā, vedeho kāḷudāyako;

    มโหสโธ โลกนาโถ, เอวํ ธาเรถ ชาตก’’นฺติฯ

    Mahosadho lokanātho, evaṃ dhāretha jātaka’’nti.

    อุมงฺคชาตกวณฺณนา ปญฺจมาฯ

    Umaṅgajātakavaṇṇanā pañcamā.

    (ฉโฎฺฐ ภาโค นิฎฺฐิโตฯ)

    (Chaṭṭho bhāgo niṭṭhito.)







    Related texts:



    ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / สุตฺตปิฎก • Suttapiṭaka / ขุทฺทกนิกาย • Khuddakanikāya / ชาตกปาฬิ • Jātakapāḷi / ๕๔๒. อุมงฺคชาตกํ • 542. Umaṅgajātakaṃ


    © 1991-2023 The Titi Tudorancea Bulletin | Titi Tudorancea® is a Registered Trademark | Terms of use and privacy policy
    Contact