Library / Tipiṭaka / ติปิฎก • Tipiṭaka / ธมฺมสงฺคณี-อนุฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-anuṭīkā |
ทุกนิเทฺทโส
Dukaniddeso
อุปาทาภาชนียวณฺณนา
Upādābhājanīyavaṇṇanā
๕๙๖. สมนฺตโต สพฺพโส ทสฺสนเฎฺฐน จกฺขุ สมนฺตจกฺขูติ อิมมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘สพฺพสงฺขตาสงฺขตทสฺสน’’นฺติ วุตฺตํฯ เอวมาทินาติ เอตฺถ อาทิ-สโทฺท ‘‘ทุกฺขํ ปริเญฺญยฺยํ ปริญฺญาต’’นฺติ ตีสุปิ ปเทสุ ปเจฺจกํ โยเชตโพฺพฯ ‘‘อิทํ ทุกฺขนฺติ เม, ภิกฺขเว, ปุเพฺพ อนนุสฺสุเตสุ ธเมฺมสุ จกฺขุํ อุทปาทิ, ญาณํ อุทปาที’’ติอาทินา (มหาว. ๑๕; ปฎิ. ม. ๒.๓๐) หิ ปาฬิ ปวตฺตาติฯ อากาเรนาติ ทฺวาทสวิเธน อากาเรนฯ ตมฺปิ กามาวจรํ วิปสฺสนาปจฺจเวกฺขณญาณภาวโตฯ ‘‘ญาณจกฺขุ สหอริยมคฺคํ วิปสฺสนาญาณนฺติปิ ยุชฺชตี’’ติ วทนฺติฯ อคฺคมเคฺคน ปน สห วิปสฺสนา ปจฺจเวกฺขณญาณนฺติ ยุตฺตํ วิย ทิสฺสติฯ
596. Samantato sabbaso dassanaṭṭhena cakkhu samantacakkhūti imamatthaṃ dassetuṃ ‘‘sabbasaṅkhatāsaṅkhatadassana’’nti vuttaṃ. Evamādināti ettha ādi-saddo ‘‘dukkhaṃ pariññeyyaṃ pariññāta’’nti tīsupi padesu paccekaṃ yojetabbo. ‘‘Idaṃ dukkhanti me, bhikkhave, pubbe ananussutesu dhammesu cakkhuṃ udapādi, ñāṇaṃ udapādī’’tiādinā (mahāva. 15; paṭi. ma. 2.30) hi pāḷi pavattāti. Ākārenāti dvādasavidhena ākārena. Tampi kāmāvacaraṃ vipassanāpaccavekkhaṇañāṇabhāvato. ‘‘Ñāṇacakkhu sahaariyamaggaṃ vipassanāñāṇantipi yujjatī’’ti vadanti. Aggamaggena pana saha vipassanā paccavekkhaṇañāṇanti yuttaṃ viya dissati.
ยถาวุเตฺต มํสปิเณฺฑ สสมฺภาเร จกฺขุโวหาโร สนฺตานวเสน ปวตฺตมาเน จตุสมุฎฺฐานิกรูปธเมฺม อุปาทาย ปวโตฺตติ ‘‘จตุ…เป.… สมฺภารา’’ติ วุตฺตํฯ สณฺฐานนฺติ วณฺณายตนเมวาติ เตน เตน อากาเรน สนฺนิวิเฎฺฐสุ มหาภูเตสุ ตํตํสณฺฐานวเสน วณฺณายตนสฺส วิญฺญายมานตฺตา วุตฺตํ, น วณฺณายตนเสฺสว สณฺฐานปญฺญตฺติยา อุปาทานตฺตาฯ ตถา หิ อนฺธกาเร ผุสิตฺวาปิ สณฺฐานํ วิญฺญายตีติฯ ตถา จ วกฺขติ ‘‘ทีฆาทีนิ ผุสิตฺวาปิ สกฺกา ชานิตุ’’นฺติ, (ธ. ส. อฎฺฎ. ๖๑๖) ‘‘ทีฆาทิสนฺนิเวสํ ภูตสมุทายํ นิสฺสายา’’ติ (ธ. ส. มูลฎี. ๖๑๖) จฯ เตสํ สมฺภวสณฺฐานานํ อาโปธาตุวณฺณายตเนหิ อนตฺถนฺตรภาเวปิ เตหิ วิสุํ วจนํ ตถาภูตานํ สมฺภวภูตานํ สณฺฐานภูตานญฺจฯ เอเตน อาโปธาตุวณฺณายตนานํ วเสน วตฺตมานอวตฺถาวิเสโส สมฺภโว สณฺฐานญฺจาติ อยมโตฺถ ทสฺสิโต โหติฯ ตตฺถ สมฺภโว จตุสมุฎฺฐานิโก โสฬสวสฺสกาเล อุปฺปชฺชติฯ ตสฺส ราควเสน ฐานา วจนํ โหตีติ วทนฺติฯ อตถาภูตานํ ตโต อญฺญถาภูตานํฯ ยถาวุเตฺต สมฺภารวตฺถุสงฺขาเตฯ วิชฺชมานตฺตาติ ภิโยฺยวุตฺติวเสน วุตฺตํฯ ตถา หิ ขีณาสวานํ พฺรหฺมานญฺจ สมฺภโว นตฺถีติฯ อาโปธาตุวิเสสตฺตา สมฺภโว อาโปธาตุสมฺพนฺธี อาโปธาตุตนฺนิสฺสยนิสฺสิโตปิ โหตีติ ตสฺส จตุธาตุนิสฺสิตตาย อวิโรโธ วุโตฺตฯ
Yathāvutte maṃsapiṇḍe sasambhāre cakkhuvohāro santānavasena pavattamāne catusamuṭṭhānikarūpadhamme upādāya pavattoti ‘‘catu…pe… sambhārā’’ti vuttaṃ. Saṇṭhānanti vaṇṇāyatanamevāti tena tena ākārena sanniviṭṭhesu mahābhūtesu taṃtaṃsaṇṭhānavasena vaṇṇāyatanassa viññāyamānattā vuttaṃ, na vaṇṇāyatanasseva saṇṭhānapaññattiyā upādānattā. Tathā hi andhakāre phusitvāpi saṇṭhānaṃ viññāyatīti. Tathā ca vakkhati ‘‘dīghādīni phusitvāpi sakkā jānitu’’nti, (dha. sa. aṭṭa. 616) ‘‘dīghādisannivesaṃ bhūtasamudāyaṃ nissāyā’’ti (dha. sa. mūlaṭī. 616) ca. Tesaṃ sambhavasaṇṭhānānaṃ āpodhātuvaṇṇāyatanehi anatthantarabhāvepi tehi visuṃ vacanaṃ tathābhūtānaṃ sambhavabhūtānaṃ saṇṭhānabhūtānañca. Etena āpodhātuvaṇṇāyatanānaṃ vasena vattamānaavatthāviseso sambhavo saṇṭhānañcāti ayamattho dassito hoti. Tattha sambhavo catusamuṭṭhāniko soḷasavassakāle uppajjati. Tassa rāgavasena ṭhānā vacanaṃ hotīti vadanti. Atathābhūtānaṃ tato aññathābhūtānaṃ. Yathāvutte sambhāravatthusaṅkhāte. Vijjamānattāti bhiyyovuttivasena vuttaṃ. Tathā hi khīṇāsavānaṃ brahmānañca sambhavo natthīti. Āpodhātuvisesattā sambhavo āpodhātusambandhī āpodhātutannissayanissitopi hotīti tassa catudhātunissitatāya avirodho vutto.
อุตุจิตฺตาหาเรหิ อุปตฺถมฺภิยมานนฺติ เอตฺถ ‘‘กลาปนฺตรคตา อุตุอาหารา อธิเปฺปตา’’ติ วทนฺติฯ อเนกกลาปคตภาวํ จกฺขุสฺส ทเสฺสติ ยโต อุปทฺทุตปฎเล นิรากรเณปิ จกฺขุ วิชฺชตีติ ฯ ปฎิฆฎฺฎนํ วิสยาภิมุขภาโว นิฆํสปจฺจยตฺตาฯ นิฆํโส นิสฺสยภาวาปตฺติฯ ยโต จกฺขาทินิสฺสิตา สญฺญา ‘‘ปฎิฆสญฺญา’’ติ วุจฺจติฯ
Utucittāhārehi upatthambhiyamānanti ettha ‘‘kalāpantaragatā utuāhārā adhippetā’’ti vadanti. Anekakalāpagatabhāvaṃ cakkhussa dasseti yato upaddutapaṭale nirākaraṇepi cakkhu vijjatīti . Paṭighaṭṭanaṃ visayābhimukhabhāvo nighaṃsapaccayattā. Nighaṃso nissayabhāvāpatti. Yato cakkhādinissitā saññā ‘‘paṭighasaññā’’ti vuccati.
อเนกตฺตาติ อิทํ อวจนสฺส การณํ, น เหตุกิริยาย วิญฺญายมานภาวสฺสฯ โส ปน อเปกฺขาสิทฺธิโต เอว เวทิตโพฺพฯ เหตุกิริยาเปกฺขา หิ ผลกิริยาติฯ จกฺขุํ สงฺคณฺหาตีติ จกฺขุวิญฺญาณสฺส นิสฺสยภาวานุปคมเนปิ ตํสภาวานติวตฺตนโต ตสฺสา สมญฺญาย ตตฺถ นิรุฬฺหภาวํ ทเสฺสติฯ ทสฺสนปริณายกโฎฺฐ จกฺขุสฺส อินฺทโฎฺฐเยวาติ ‘‘ยถา หิ อิสฺสโร’’ติอาทินา อิสฺสโรปมา วุตฺตาฯ จกฺขุวิญฺญาณํ ทสฺสนกิเจฺจ ปริณายนฺตํ จกฺขุ ตํสหชาเต จกฺขุสมฺผสฺสาทโยปิ ตตฺถ ปริณายตีติ วุจฺจตีติ ‘‘เต ธเมฺม…เป.… ปริณายตี’’ติ วุตฺตํ, น ปน จกฺขุสมฺผสฺสาทีนํ ทสฺสนกิจฺจตฺตาฯ อถ วา จกฺขุสมฺผสฺสาทีนํ อินฺทฺริยปจฺจยภาเวน อุปการกํ จกฺขุวิญฺญาณํ ทสฺสนกิเจฺจ ปริณายนฺตํ จกฺขุ ตตฺถ จกฺขุสมฺผสฺสาทโยปิ ตทนุวตฺตเก ปริณายตีติ อตฺถายํ ปริยาโยติ ทเสฺสโนฺต อาห ‘‘เต ธเมฺม…เป.… ณายตี’’ติฯ อเนกตฺถตฺตา ธาตูนํ จกฺขตีติ อิมสฺส ‘‘ปริณายติ ปกาเสตี’’ติ จ อตฺถา วุตฺตาฯ สณฺฐานมฺปิ รูปายตนเมวาติ ‘‘สมวิสมานิ รูปานิ จกฺขตีติ จกฺขู’’ติ วุตฺตํฯ ตํทฺวาริกานํ ผสฺสาทีนํ อุปนิสฺสยปจฺจยภาโว เอว วฬญฺชนโตฺถฯ
Anekattāti idaṃ avacanassa kāraṇaṃ, na hetukiriyāya viññāyamānabhāvassa. So pana apekkhāsiddhito eva veditabbo. Hetukiriyāpekkhā hi phalakiriyāti. Cakkhuṃ saṅgaṇhātīti cakkhuviññāṇassa nissayabhāvānupagamanepi taṃsabhāvānativattanato tassā samaññāya tattha niruḷhabhāvaṃ dasseti. Dassanapariṇāyakaṭṭho cakkhussa indaṭṭhoyevāti ‘‘yathā hi issaro’’tiādinā issaropamā vuttā. Cakkhuviññāṇaṃ dassanakicce pariṇāyantaṃ cakkhu taṃsahajāte cakkhusamphassādayopi tattha pariṇāyatīti vuccatīti ‘‘te dhamme…pe… pariṇāyatī’’ti vuttaṃ, na pana cakkhusamphassādīnaṃ dassanakiccattā. Atha vā cakkhusamphassādīnaṃ indriyapaccayabhāvena upakārakaṃ cakkhuviññāṇaṃ dassanakicce pariṇāyantaṃ cakkhu tattha cakkhusamphassādayopi tadanuvattake pariṇāyatīti atthāyaṃ pariyāyoti dassento āha ‘‘te dhamme…pe… ṇāyatī’’ti. Anekatthattā dhātūnaṃ cakkhatīti imassa ‘‘pariṇāyati pakāsetī’’ti ca atthā vuttā. Saṇṭhānampi rūpāyatanamevāti ‘‘samavisamāni rūpāni cakkhatīti cakkhū’’ti vuttaṃ. Taṃdvārikānaṃ phassādīnaṃ upanissayapaccayabhāvo eva vaḷañjanattho.
๕๙๙. ตํทฺวาริกา…เป.… อุปฺปตฺติ วุตฺตาติ จกฺขุวิญฺญาเณ อุปฺปเนฺน สมฺปฎิจฺฉนาทีนิ พลวารมฺมเณ ชวนํ เอกเนฺตน อุปฺปชฺชตีติ กตฺวา วุตฺตํฯ ตถา เจว หิ อนฺตรา จกฺขุวิญฺญาเณ วา สมฺปฎิจฺฉเน วา สนฺตีรเณ วา ฐตฺวา นิวตฺติสฺสตีติ เนตํ ฐานํ วิชฺชตีติ นิจฺฉิตํฯ เตน ปจฺจเยนาติ ตํปกาเรน ปจฺจเยนฯ ตํสทิสานนฺติ ครุํ กตฺวา อสฺสาทนาทิปฺปวตฺติวิเสสรหิตตาย ทสฺสนสทิสานํ มโนธาตุสนฺตีรณโวฎฺฐพฺพนานํฯ ปญฺจทฺวาริกชวนานํ อสฺสาทนาทิโต อญฺญถา ครุํ กตฺวา ปวตฺติ นตฺถิ รูปธมฺมวิสยตฺตาติ ‘‘อสฺสาทนาภินนฺทนภูตานี’’ติ เอตฺตกเมว วุตฺตํฯ มโนทฺวาริกชวนปิฎฺฐิวฎฺฎกานมฺปิ หิ ปญฺจทฺวาริกชวนานํ อสฺสาทนาภินนฺทนภาเวน รูปํ ครุํ กตฺวา ปวตฺติ นตฺถีติ น สกฺกา วตฺตุนฺติฯ รูปํ อารมฺมณาธิปติ อกุสลเสฺสว โหติฯ ตถา หิ ปฎฺฐาเน ‘‘อพฺยากโต ธโมฺม อกุสลสฺส ธมฺมสฺส อธิปติปจฺจเยน ปจฺจโยฯ อารมฺมณาธิปติ จกฺขุํ ครุํ กตฺวา อสฺสาเทติ อภินนฺทตี’’ติอาทินา (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๑๖) รูปธโมฺมปิ อารมฺมณาธิปติ วิภโตฺตฯ ‘‘อพฺยากโต ธโมฺม อพฺยากตสฺส ธมฺมสฺส อพฺยากโต ธโมฺม กุสลสฺสา’’ติ เอตฺถ ปน ผลนิพฺพานาเนว อารมฺมณาธิปติภาเวน วิภตฺตานีติฯ คณนาย จ ‘‘อารมฺมณอารมฺมณาธิปติอุปนิสฺสยปุเรชาตอตฺถิอวิคตนฺติ เอก’’นฺติ (ปฎฺฐา. ๑.๑.๔๔๕) วุตฺตํฯ ยทิ กุสลสฺสปิ สิยา, เทฺวติ วตฺตพฺพํ สิยาติฯ ตานีติ ยถาวุตฺตชวนานิ ปฎินิทฺทิฎฺฐานิฯ ตํสมฺปยุตฺตานิ จาติ ชวนสมฺปยุตฺตานิฯ อญฺญานิ จกฺขุสมฺผสฺสาทีนิฯ ยทิ รูปสฺส อารมฺมณปจฺจยภาวมตฺตํ อธิเปฺปตํ, ‘‘ตํ รูปารมฺมเณติ เอเตเนว สิเชฺฌยฺยา’’ติ เอตฺตกเมว วเทยฺยฯ ยสฺมา ปน รูปํ ตํทฺวาริกชวนานํ ปจฺจยวิเสโสปิ โหติ, ตสฺมา ตสฺส วิเสสสฺส ทีปนตฺถํ ‘‘อารพฺภา’’ติ วจนํ วุตฺตํ สิยาติ อาห ‘‘อารมฺมณปจฺจยโต อญฺญปจฺจยภาวสฺสปิ ทีปก’’นฺติฯ
599. Taṃdvārikā…pe… uppatti vuttāti cakkhuviññāṇe uppanne sampaṭicchanādīni balavārammaṇe javanaṃ ekantena uppajjatīti katvā vuttaṃ. Tathā ceva hi antarā cakkhuviññāṇe vā sampaṭicchane vā santīraṇe vā ṭhatvā nivattissatīti netaṃ ṭhānaṃ vijjatīti nicchitaṃ. Tena paccayenāti taṃpakārena paccayena. Taṃsadisānanti garuṃ katvā assādanādippavattivisesarahitatāya dassanasadisānaṃ manodhātusantīraṇavoṭṭhabbanānaṃ. Pañcadvārikajavanānaṃ assādanādito aññathā garuṃ katvā pavatti natthi rūpadhammavisayattāti ‘‘assādanābhinandanabhūtānī’’ti ettakameva vuttaṃ. Manodvārikajavanapiṭṭhivaṭṭakānampi hi pañcadvārikajavanānaṃ assādanābhinandanabhāvena rūpaṃ garuṃ katvā pavatti natthīti na sakkā vattunti. Rūpaṃ ārammaṇādhipati akusalasseva hoti. Tathā hi paṭṭhāne ‘‘abyākato dhammo akusalassa dhammassa adhipatipaccayena paccayo. Ārammaṇādhipati cakkhuṃ garuṃ katvā assādeti abhinandatī’’tiādinā (paṭṭhā. 1.1.416) rūpadhammopi ārammaṇādhipati vibhatto. ‘‘Abyākato dhammo abyākatassa dhammassa abyākato dhammo kusalassā’’ti ettha pana phalanibbānāneva ārammaṇādhipatibhāvena vibhattānīti. Gaṇanāya ca ‘‘ārammaṇaārammaṇādhipatiupanissayapurejātaatthiavigatanti eka’’nti (paṭṭhā. 1.1.445) vuttaṃ. Yadi kusalassapi siyā, dveti vattabbaṃ siyāti. Tānīti yathāvuttajavanāni paṭiniddiṭṭhāni. Taṃsampayuttāni cāti javanasampayuttāni. Aññāni cakkhusamphassādīni. Yadi rūpassa ārammaṇapaccayabhāvamattaṃ adhippetaṃ, ‘‘taṃ rūpārammaṇeti eteneva sijjheyyā’’ti ettakameva vadeyya. Yasmā pana rūpaṃ taṃdvārikajavanānaṃ paccayavisesopi hoti, tasmā tassa visesassa dīpanatthaṃ ‘‘ārabbhā’’ti vacanaṃ vuttaṃ siyāti āha ‘‘ārammaṇapaccayato aññapaccayabhāvassapi dīpaka’’nti.
๖๐๐. โสตวิญฺญาณปฺปวตฺติยํ สวนกิริยาโวหาโรติ โสตสฺส สวนกิริยาย กตฺตุภาโว โสตวิญฺญาณสฺส ปจฺจยภาเวนาติ วุตฺตํ ‘‘โสตวิญฺญาณสฺส นิสฺสยภาเวน สุณาตี’’ติฯ ชีวิตนิมิตฺตมาหารรโส ชีวิตํ, ตสฺมิํ นินฺนตาย ตํ อวฺหายตีติ ชิวฺหาติ เอวํ สิเทฺธน ชิวฺหา-สเทฺทน ปกาสิยมานา รสาวฺหายนสงฺขาตา สายนกิริยา ลพฺภตีติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘ชิวฺหาสเทฺทน วิญฺญายมานา กิริยาสายน’’นฺติฯ ตถา จ วกฺขติ ‘‘ชีวิตมวฺหายตีติ ชิวฺหา’’ติ (วิภ. อฎฺฐ. ๑๕๔)ฯ อาโยติ อุปฺปตฺติเทโสฯ ปสาทกายสฺส กายิกานํ ทุกฺขสุขานํ นิสฺสยภาวโต อิตเรสํ อุปนิสฺสยภาวโต ‘‘ทุกฺขทุกฺขวิปริณามทุกฺขานํ อาโย’’ติ วุตฺตํฯ พฺยาปิตายาติ พฺยาปิภาเว, พฺยาปิภาเวน วาฯ กายปฺปสาทภาโวติ กายปฺปสาทสพฺภาโวฯ อนุวิทฺธตฺตาติ อนุยุตฺตภาวโต, สํสฎฺฐภาวโตติ อโตฺถฯ ตสฺมาติ ยสฺมา ยาวตา อิมสฺมิํ กาเย อุปาทินฺนกปวตฺตํ นาม อตฺถิ, สพฺพตฺถ กายายตนํ กปฺปาสปฎเล เสฺนโห วิยาติ วุตฺตํ, ตสฺมาฯ ปณฺฑรสภาวา ปสาทา อาปาถคตํ วิสยํ วิญฺญาณุปฺปตฺติเหตุภาเวน ปกาเสนฺตา วิย โหนฺตีติ เตสํ วิสยาวภาสนกิจฺจตา วุตฺตาฯ สมานนิสฺสยานนฺติ เอกนิสฺสยานํฯ อวินิพฺภุเตฺตสุ หิ รูปรสาทีสุ ยํนิสฺสยํ รูปํ, ตํนิสฺสโย เอว รสาทีติฯ อญฺญมญฺญสภาวานุปคเมนาติ ลกฺขณสงฺกราภาวมาหฯ
600. Sotaviññāṇappavattiyaṃ savanakiriyāvohāroti sotassa savanakiriyāya kattubhāvo sotaviññāṇassa paccayabhāvenāti vuttaṃ ‘‘sotaviññāṇassa nissayabhāvena suṇātī’’ti. Jīvitanimittamāhāraraso jīvitaṃ, tasmiṃ ninnatāya taṃ avhāyatīti jivhāti evaṃ siddhena jivhā-saddena pakāsiyamānā rasāvhāyanasaṅkhātā sāyanakiriyā labbhatīti katvā vuttaṃ ‘‘jivhāsaddena viññāyamānā kiriyāsāyana’’nti. Tathā ca vakkhati ‘‘jīvitamavhāyatīti jivhā’’ti (vibha. aṭṭha. 154). Āyoti uppattideso. Pasādakāyassa kāyikānaṃ dukkhasukhānaṃ nissayabhāvato itaresaṃ upanissayabhāvato ‘‘dukkhadukkhavipariṇāmadukkhānaṃ āyo’’ti vuttaṃ. Byāpitāyāti byāpibhāve, byāpibhāvena vā. Kāyappasādabhāvoti kāyappasādasabbhāvo. Anuviddhattāti anuyuttabhāvato, saṃsaṭṭhabhāvatoti attho. Tasmāti yasmā yāvatā imasmiṃ kāye upādinnakapavattaṃ nāma atthi, sabbattha kāyāyatanaṃ kappāsapaṭale sneho viyāti vuttaṃ, tasmā. Paṇḍarasabhāvā pasādā āpāthagataṃ visayaṃ viññāṇuppattihetubhāvena pakāsentā viya hontīti tesaṃ visayāvabhāsanakiccatā vuttā. Samānanissayānanti ekanissayānaṃ. Avinibbhuttesu hi rūparasādīsu yaṃnissayaṃ rūpaṃ, taṃnissayo eva rasādīti. Aññamaññasabhāvānupagamenāti lakkhaṇasaṅkarābhāvamāha.
ยสฺมา ปจฺจยนฺตรสหิโตเยว จกฺขุปฺปสาโท รูปาภิหนนวเสน ปวตฺตติ, น ปจฺจยนฺตรรหิโต, ตสฺมา รูปาภิฆาโต โหตุ วา มา วา โหตุ, เอวํสภาโว โส รูปธโมฺมติ ทเสฺสตุํ ‘‘รูปาภิฆาตารโห’’ติ วุตฺตํ ยถา ‘‘วิปาการหสภาวา กุสลากุสลา’’ติฯ วิสยวิสยีนํ อญฺญมญฺญํ อภิมุขภาโว อภิฆาโต วิยาติ อภิฆาโต, โส รูเป จกฺขุสฺส , จกฺขุมฺหิ วา รูปสฺส โหตีติ วุตฺตํ ‘‘รูเป, รูปสฺส วา อภิฆาโต’’ติฯ เตเนวาห ‘‘ยมฺหิ จกฺขุมฺหิ อนิทสฺสนมฺหิ สปฺปฎิฆมฺหิ รูปํ สนิทสฺสนํ สปฺปฎิฆํ ปฎิหญฺญิ วา’’ติ (ธ. ส. ๕๙๗), ‘‘จกฺขุ อนิทสฺสนํ สปฺปฎิฆํ รูปมฺหิ สนิทสฺสนมฺหิ สปฺปฎิฆมฺหิ ปฎิหญฺญิ วา’’ติ (ธ. ส. ๕๙๘) จ อาทิฯ เอตฺถ จ ตํตํภวปตฺถนาวเสน จกฺขาทีสุ อวิคตราคสฺส อตฺตภาวนิปฺผาทกสาธารณกมฺมวเสน ปุริมํ จกฺขุลกฺขณํ วุตฺตํ, สุทูรสุขุมาทิเภทสฺสปิ รูปสฺส คหณสมตฺถเมว จกฺขุ โหตูติ เอวํ นิพฺพตฺติตอาเวณิกกมฺมวเสน ทุติยํฯ เอส นโย เสเสสุปิฯ อถ วา สติปิ ปญฺจนฺนํ ปสาทภาวสามเญฺญ สวิสยาวภาสนสงฺขาตสฺส ปสาทพฺยาปารสฺส ทสฺสนวเสน ปุริมํ วุตฺตํ, ปสาทการณสฺส สติปิ กมฺมภาวสามเญฺญ อตฺตโน การณเภเทน เภททสฺสนวเสน ทุติยํฯ
Yasmā paccayantarasahitoyeva cakkhuppasādo rūpābhihananavasena pavattati, na paccayantararahito, tasmā rūpābhighāto hotu vā mā vā hotu, evaṃsabhāvo so rūpadhammoti dassetuṃ ‘‘rūpābhighātāraho’’ti vuttaṃ yathā ‘‘vipākārahasabhāvā kusalākusalā’’ti. Visayavisayīnaṃ aññamaññaṃ abhimukhabhāvo abhighāto viyāti abhighāto, so rūpe cakkhussa , cakkhumhi vā rūpassa hotīti vuttaṃ ‘‘rūpe, rūpassa vā abhighāto’’ti. Tenevāha ‘‘yamhi cakkhumhi anidassanamhi sappaṭighamhi rūpaṃ sanidassanaṃ sappaṭighaṃ paṭihaññi vā’’ti (dha. sa. 597), ‘‘cakkhu anidassanaṃ sappaṭighaṃ rūpamhi sanidassanamhi sappaṭighamhi paṭihaññi vā’’ti (dha. sa. 598) ca ādi. Ettha ca taṃtaṃbhavapatthanāvasena cakkhādīsu avigatarāgassa attabhāvanipphādakasādhāraṇakammavasena purimaṃ cakkhulakkhaṇaṃ vuttaṃ, sudūrasukhumādibhedassapi rūpassa gahaṇasamatthameva cakkhu hotūti evaṃ nibbattitaāveṇikakammavasena dutiyaṃ. Esa nayo sesesupi. Atha vā satipi pañcannaṃ pasādabhāvasāmaññe savisayāvabhāsanasaṅkhātassa pasādabyāpārassa dassanavasena purimaṃ vuttaṃ, pasādakāraṇassa satipi kammabhāvasāmaññe attano kāraṇabhedena bhedadassanavasena dutiyaṃ.
กามตณฺหาติ กามภเว ตณฺหาฯ ตถา รูปตณฺหา ทฎฺฐพฺพาฯ ตสฺส ตสฺส ภวสฺส มูลการณภูตา ตณฺหา ตสฺมิํ ตสฺมิํ ภเว อุปฺปชฺชนารหายตนวิสยาปิ นาม โหตีติ กามตณฺหาทีนํ ทฎฺฐุกามตาทิโวหารารหตา วุตฺตาฯ ทฎฺฐุกามตาติ หิ ทฎฺฐุมิจฺฉา รูปตณฺหาติ อโตฺถฯ ตถา เสสาสุปีติฯ เอตฺถ จ ทฎฺฐุกามตาทีนํ ตํตํอตฺตภาวนิพฺพตฺตกกมฺมายูหนกฺขณโต สติ ปุริมนิพฺพตฺติยํ วตฺตพฺพํ นตฺถิฯ อสติปิ ตสฺส มเคฺคน อสมุคฺฆาติตภาเวเนว การณนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ ยโต มเคฺคน อสมุจฺฉินฺนํ การณลาเภ สติ อุปฺปชฺชิตฺวา อตฺตโน ผลสฺส การณภาวูปคมนโต วิชฺชมานเมวาติ อุปฺปนฺนอตฺถิตาปริยาเยหิ วุจฺจติ ‘‘อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ภาเวโนฺต อริยํ อฎฺฐงฺคิกํ มคฺคํ พหุลีกโรโนฺต อุปฺปนฺนุปฺปเนฺน ปาปเก อกุสเล ธเมฺม อนฺตราเยว อนฺตรธาเปติ’’ (สํ. นิ. ๕.๑๕๗), ‘‘สนฺตํ วา อชฺฌตฺตํ กามจฺฉนฺทํ อตฺถิ เม อชฺฌตฺตํ กามจฺฉโนฺทติ ปชานาตี’’ติ (ที. นิ. ๒.๓๘๒; ม. นิ. ๑.๑๑๕) จ เอวมาทีสุฯ
Kāmataṇhāti kāmabhave taṇhā. Tathā rūpataṇhā daṭṭhabbā. Tassa tassa bhavassa mūlakāraṇabhūtā taṇhā tasmiṃ tasmiṃ bhave uppajjanārahāyatanavisayāpi nāma hotīti kāmataṇhādīnaṃ daṭṭhukāmatādivohārārahatā vuttā. Daṭṭhukāmatāti hi daṭṭhumicchā rūpataṇhāti attho. Tathā sesāsupīti. Ettha ca daṭṭhukāmatādīnaṃ taṃtaṃattabhāvanibbattakakammāyūhanakkhaṇato sati purimanibbattiyaṃ vattabbaṃ natthi. Asatipi tassa maggena asamugghātitabhāveneva kāraṇanti daṭṭhabbaṃ. Yato maggena asamucchinnaṃ kāraṇalābhe sati uppajjitvā attano phalassa kāraṇabhāvūpagamanato vijjamānamevāti uppannaatthitāpariyāyehi vuccati ‘‘ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bhāvento ariyaṃ aṭṭhaṅgikaṃ maggaṃ bahulīkaronto uppannuppanne pāpake akusale dhamme antarāyeva antaradhāpeti’’ (saṃ. ni. 5.157), ‘‘santaṃ vā ajjhattaṃ kāmacchandaṃ atthi me ajjhattaṃ kāmacchandoti pajānātī’’ti (dī. ni. 2.382; ma. ni. 1.115) ca evamādīsu.
เอตฺถาห – จกฺขาทีนํ อินฺทฺริยานํ กิํ เอกกมฺมุนา อุปฺปตฺติ, อุทาหุ นานากมฺมุนาติ? อุภยถาปีติ โปราณาฯ ตตฺถ นานากมฺมุนา ตาว อุปฺปตฺติยํ จกฺขาทีนํ วิเสเส วตฺตพฺพํ นตฺถิ การณสฺส ภินฺนตฺตาฯ เอกกมฺมุนา ปน อุปฺปตฺติยํ เตสํ กถํ วิเสโสติ? การณสฺส ภินฺนตฺตาเยวฯ ตํตํภวปตฺถนาภูตา หิ ตณฺหา ตํตํภวปริยาปนฺนายตนาภิลาสตาย สยํ วิจิตฺตรูปา อุปนิสฺสยภาเวน ตํตํภวนิพฺพตฺตกกมฺมสฺส วิจิตฺตเภทตํ วิทหติฯ ยโต ตทาหิตวิเสสํ ตํ ตถารูปสมตฺถตาโยเคน อเนกรูปาปนฺนํ วิย อเนกํ วิสิฎฺฐสภาวํ ผลํ นิพฺพเตฺตติฯ ตถา จ วกฺขติ ‘‘กมฺมเมว เนสํ วิเสสการณ’’นฺติฯ น เจตฺถ สมตฺถตาภาวโต อญฺญํ เวทิตพฺพํ การณวิเสเสนาหิตวิเสสสฺส วิสิฎฺฐผลนิปฺผาทนโยคฺยตาภาวโตฯ ตถา หิ สติ เอกสฺสปิ กมฺมสฺส อเนกินฺทฺริยเหตุตาวิเสสโยคํ เอกมฺปิ กมฺมนฺติอาทินา ยุตฺติโต อาคมโตปิ ปรโต สยเมว วกฺขติฯ ตถา จ เอกเสฺสว กุสลจิตฺตสฺส โสฬสาทิวิปากจิตฺตนิพฺพตฺติเหตุภาโว วุจฺจติฯ โลเกปิ เอกเสฺสว สาลิพีชสฺส ปริปุณฺณาปริปุณฺณตณฺฑุลผลนิพฺพตฺติเหตุตา ทิสฺสติฯ กิํ วา เอตาย ยุตฺติจินฺตาย, น จินฺติตพฺพเมเวตํฯ ยโต กมฺมวิปาโก จกฺขาทีนิ กมฺมวิปาโก จ สพฺพาการโต พุทฺธานํเยว กมฺมวิปากญาณผลยุตฺตานํ วิสโย, น อเญฺญสํ อตกฺกาวจรตายฯ เตเนว จ ภควตา ‘‘กมฺมวิปาโก อจิเนฺตโยฺย น จิเนฺตตโพฺพ, โย จิเนฺตยฺย อุมฺมาทสฺส วิฆาตสฺส ภาคี อสฺสา’’ติ (อ. นิ. ๔.๗๗) อาทีนวํ ทเสฺสตฺวา ปฎิกฺขิตฺตํฯ อาวิญฺฉนํ ปุคฺคลสฺส วิญฺญาณสฺส วา ตํนินฺนภาวปฺปตฺติยา เหตุภาโวฯ
Etthāha – cakkhādīnaṃ indriyānaṃ kiṃ ekakammunā uppatti, udāhu nānākammunāti? Ubhayathāpīti porāṇā. Tattha nānākammunā tāva uppattiyaṃ cakkhādīnaṃ visese vattabbaṃ natthi kāraṇassa bhinnattā. Ekakammunā pana uppattiyaṃ tesaṃ kathaṃ visesoti? Kāraṇassa bhinnattāyeva. Taṃtaṃbhavapatthanābhūtā hi taṇhā taṃtaṃbhavapariyāpannāyatanābhilāsatāya sayaṃ vicittarūpā upanissayabhāvena taṃtaṃbhavanibbattakakammassa vicittabhedataṃ vidahati. Yato tadāhitavisesaṃ taṃ tathārūpasamatthatāyogena anekarūpāpannaṃ viya anekaṃ visiṭṭhasabhāvaṃ phalaṃ nibbatteti. Tathā ca vakkhati ‘‘kammameva nesaṃ visesakāraṇa’’nti. Na cettha samatthatābhāvato aññaṃ veditabbaṃ kāraṇavisesenāhitavisesassa visiṭṭhaphalanipphādanayogyatābhāvato. Tathā hi sati ekassapi kammassa anekindriyahetutāvisesayogaṃ ekampi kammantiādinā yuttito āgamatopi parato sayameva vakkhati. Tathā ca ekasseva kusalacittassa soḷasādivipākacittanibbattihetubhāvo vuccati. Lokepi ekasseva sālibījassa paripuṇṇāparipuṇṇataṇḍulaphalanibbattihetutā dissati. Kiṃ vā etāya yutticintāya, na cintitabbamevetaṃ. Yato kammavipāko cakkhādīni kammavipāko ca sabbākārato buddhānaṃyeva kammavipākañāṇaphalayuttānaṃ visayo, na aññesaṃ atakkāvacaratāya. Teneva ca bhagavatā ‘‘kammavipāko acinteyyo na cintetabbo, yo cinteyya ummādassa vighātassa bhāgī assā’’ti (a. ni. 4.77) ādīnavaṃ dassetvā paṭikkhittaṃ. Āviñchanaṃ puggalassa viññāṇassa vā taṃninnabhāvappattiyā hetubhāvo.
สเพฺพสนฺติ ปทสฺส ปกรณโต ปาริเสสโต วา ลพฺภมานํ อตฺถวิเสสํ อชานโนฺต ยถารุตวเสเนว อตฺถํ คเหตฺวา ‘‘โก เอตฺถ วิเสโส’’ติอาทินา โจเทติฯ อิตโร เตชาทีนํ ปเจฺจกํ อธิกภาเว วิย ทฺวินฺนํ ติณฺณํ วา อธิกภาเวปิ ยถาวุตฺตาธิกภาเวเนว เอกกาทิวเสน ลพฺภมานาย โอมตฺตตายปิ กายปฺปสาโท น โหตีติ วิญฺญายมานตฺตา ปกรณโต ปาริเสสโต วา จตุนฺนมฺปิ ภูตานํ สมภาเวน กาโย โหตีติ อยมโตฺถ สิโทฺธติ สพฺพ-สโทฺท อิธ สมภาวทีปโกติ ทเสฺสตุํ ‘‘อิทํ ปนา’’ติอาทิมาหฯ อิมมตฺถํ ทีเปตีติ จ ยถาวุเตฺตน ญาเยน ‘‘สเพฺพส’’นฺติ วจนโต อยมโตฺถ ลพฺภติ, น ตสฺส วาจกตฺตาติ ทเสฺสติฯ เตเนวาห ‘‘อนุวตฺต…เป.… วเสน วุตฺตตฺตา’’ติฯ เอกเทสาธิกภาวนิวารเณเนว หิ เอกเทโสมตฺตตานิวารณมฺปิ วิญฺญายตีติฯ เอกเทโส อวยโวฯ จตุธาตุสมุทายนิสฺสยสฺส หิ ปสาทสฺส ตเทกธาตุอธิกตา อวยวาธิกตา โหตีติฯ
Sabbesanti padassa pakaraṇato pārisesato vā labbhamānaṃ atthavisesaṃ ajānanto yathārutavaseneva atthaṃ gahetvā ‘‘ko ettha viseso’’tiādinā codeti. Itaro tejādīnaṃ paccekaṃ adhikabhāve viya dvinnaṃ tiṇṇaṃ vā adhikabhāvepi yathāvuttādhikabhāveneva ekakādivasena labbhamānāya omattatāyapi kāyappasādo na hotīti viññāyamānattā pakaraṇato pārisesato vā catunnampi bhūtānaṃ samabhāvena kāyo hotīti ayamattho siddhoti sabba-saddo idha samabhāvadīpakoti dassetuṃ ‘‘idaṃ panā’’tiādimāha. Imamatthaṃ dīpetīti ca yathāvuttena ñāyena ‘‘sabbesa’’nti vacanato ayamattho labbhati, na tassa vācakattāti dasseti. Tenevāha ‘‘anuvatta…pe… vasena vuttattā’’ti. Ekadesādhikabhāvanivāraṇeneva hi ekadesomattatānivāraṇampi viññāyatīti. Ekadeso avayavo. Catudhātusamudāyanissayassa hi pasādassa tadekadhātuadhikatā avayavādhikatā hotīti.
‘‘ปุริมา เจตฺถ เทฺวปิ วาทิโน นิกายนฺตริยา’’ติ วทนฺติฯ อาโลกาทิสหการีการณสหิตานํเยว จกฺขาทีนํ รูปาทิอวภาสนสมตฺถตา วิวรสฺส จ โสตวิญฺญาณุปนิสฺสยภาโว คุโณติ เตสํ ลทฺธีติ อธิปฺปาเยน ‘‘ตํตํภูตคุเณหี’’ติอาทิ วุตฺตํฯ เตชาทีนํ วิย วิวรสฺส ภูตภาวาภาวโต ‘‘ยถาโยค’’นฺติ วุตฺตํฯ อถ วา รูปาทโย วิย วิวรมฺปิ ภูตคุโณติ ปราธิปฺปายํ ทเสฺสโนฺต ‘‘ตํตํภูตคุเณหี’’ติ อาหฯ เตชสฺส ปน อาโลกรูเปน, อากาสสงฺขาตสฺส วิวรสฺส สเทฺทน, วายุสฺส คเนฺธน, อุทกสฺส รเสน, ปถวิยา โผฎฺฐเพฺพนาติ อิมมตฺถํ สนฺธาย ‘‘ยถาโยคํ ตํตํภูตคุเณหี’’ติ วุตฺตํ สิยาฯ รูปาทิคฺคหเณติ รูปาทิวิสเย จกฺขุวิญฺญาณาทิเก นิปฺผาเทตเพฺพติ อโตฺถฯ อุปกริตพฺพโตติ สหการีการณภูเตหิ ยถาวุตฺตภูตคุเณหิ จกฺขาทีนํ สกิจฺจกรเณ อุปกริตพฺพโตฯ สภาเวน สุยฺยมานสฺสาติ เกนจิ อนุจฺจาริยมานเสฺสว ลพฺภมานตฺตา วุตฺตํฯ ฆฎฺฎนํ ปน วินา วายุสโทฺทปิ นตฺถีติฯ อถ วา วายุมฺหิ สโทฺท สภาเวน สุยฺยตีติ อาเป รโส มธุโรติ จ ตสฺส ลทฺธิเยวาติ ทฎฺฐพฺพํฯ ทุติยวาทิสฺสปิ นิคฺคโห โหติ ตสฺสปิ เตชาทิคุณา รูปาทโยติ เอวํลทฺธิกตฺตาฯ
‘‘Purimā cettha dvepi vādino nikāyantariyā’’ti vadanti. Ālokādisahakārīkāraṇasahitānaṃyeva cakkhādīnaṃ rūpādiavabhāsanasamatthatā vivarassa ca sotaviññāṇupanissayabhāvo guṇoti tesaṃ laddhīti adhippāyena ‘‘taṃtaṃbhūtaguṇehī’’tiādi vuttaṃ. Tejādīnaṃ viya vivarassa bhūtabhāvābhāvato ‘‘yathāyoga’’nti vuttaṃ. Atha vā rūpādayo viya vivarampi bhūtaguṇoti parādhippāyaṃ dassento ‘‘taṃtaṃbhūtaguṇehī’’ti āha. Tejassa pana ālokarūpena, ākāsasaṅkhātassa vivarassa saddena, vāyussa gandhena, udakassa rasena, pathaviyā phoṭṭhabbenāti imamatthaṃ sandhāya ‘‘yathāyogaṃ taṃtaṃbhūtaguṇehī’’ti vuttaṃ siyā. Rūpādiggahaṇeti rūpādivisaye cakkhuviññāṇādike nipphādetabbeti attho. Upakaritabbatoti sahakārīkāraṇabhūtehi yathāvuttabhūtaguṇehi cakkhādīnaṃ sakiccakaraṇe upakaritabbato. Sabhāvena suyyamānassāti kenaci anuccāriyamānasseva labbhamānattā vuttaṃ. Ghaṭṭanaṃ pana vinā vāyusaddopi natthīti. Atha vā vāyumhi saddo sabhāvena suyyatīti āpe raso madhuroti ca tassa laddhiyevāti daṭṭhabbaṃ. Dutiyavādissapi niggaho hoti tassapi tejādiguṇā rūpādayoti evaṃladdhikattā.
รูปาทิวิเสสคุเณหีติ รูปาทิวิเสสคุณยุเตฺตหิฯ เตช…เป.… วายูหีติ สหากาเสหิ เตชาทิปรมาณูหิฯ กปฺปาสโต วิสทิสายาติ กปฺปาสปถวิโต วิเสสยุตฺตาย ตโต อธิกสามตฺถิยยุตฺตายาติ อธิปฺปาโยฯ ตสฺสาเยวาติ กปฺปาสปถวิยาเยวฯ ยสฺมา สา วิชฺชมานานิปิ อวิเสสภูตานิ อตฺถีติ คเหตุํ อสกฺกุเณยฺยภาเวน อภิภวิตฺวา ฐิตา, ตสฺมา ตสฺสาเยว คโนฺธ อธิกตโร ภเวยฺยาติ อโตฺถฯ อยญฺจ สโพฺพ อุตฺตโร ‘‘ตสฺส ตสฺส ภูตสฺส อธิกตายา’’ติอาทินา อฎฺฐกถายํ (ธ. ส. อฎฺฐ. ๖๐๐) วุตฺตตฺตา ตถาคตานํ วาทํ สมฺปฎิจฺฉิตฺวา วทนฺตสฺส กณาทสฺส วเสน วุโตฺตฯ ‘‘อตฺตโน ปน มเตน กณาทกปิลาทโย เกวลํ ปถวาทิทฺรพฺยเมวาติอาทิ ลทฺธิฯ กณาทสาสนาย อธิมุตฺตานํ สาสเน อนวคาฬฺหานํ เกสญฺจิ อยํ วาโท’’ติ จ วทนฺติฯ เอตสฺสุภยสฺสาติ อาสวคนฺธโต กปฺปาสคโนฺธ อธิโก สีตุทกวณฺณโต อุโณฺหทกวโณฺณ จ อธิโกติ เอตสฺส อุภยสฺสฯ เตชาทิอธิเกสุ จ สมฺภาเรสุ รูปาทีนํ วิเสสสฺส อทสฺสนโต น รูปาทโย เตชาทีนํ วิเสสคุโณติ สิทฺธนฺติ อาห ‘‘ตทภา…เป.… ตฺติตา’’ติฯ เตน น รูปํ เตชสฺส วิเสสคุโณ เอกนฺตโต เตชาทิเก สมฺภาเร วิเสเสน อทสฺสนโต, โย ยสฺส วิเสสคุโณ, น โส ตทธิเก สมฺภาเร เอกนฺตโต วิเสเสน ทิสฺสติ ยถา ปถวีอธิเก สมฺภาเร อาโปธาตูติ ทเสฺสติฯ เอวํ เสเสสุปิ ยถาโยคํ โยเชตพฺพํฯ โก ปน วาโท นานากลาเปติ สภาวโต นานตฺตาภาเวปิ มูลการณนานตฺตวเสน อตฺถิ โกจิ วิเสโส อสงฺฆาเตติ ทเสฺสติ, ยโต ปรมรณาทิกิริยาสมตฺถตา เนสํ เกสญฺจิเยว ทิสฺสตีติฯ
Rūpādivisesaguṇehīti rūpādivisesaguṇayuttehi. Teja…pe… vāyūhīti sahākāsehi tejādiparamāṇūhi. Kappāsato visadisāyāti kappāsapathavito visesayuttāya tato adhikasāmatthiyayuttāyāti adhippāyo. Tassāyevāti kappāsapathaviyāyeva. Yasmā sā vijjamānānipi avisesabhūtāni atthīti gahetuṃ asakkuṇeyyabhāvena abhibhavitvā ṭhitā, tasmā tassāyeva gandho adhikataro bhaveyyāti attho. Ayañca sabbo uttaro ‘‘tassa tassa bhūtassa adhikatāyā’’tiādinā aṭṭhakathāyaṃ (dha. sa. aṭṭha. 600) vuttattā tathāgatānaṃ vādaṃ sampaṭicchitvā vadantassa kaṇādassa vasena vutto. ‘‘Attano pana matena kaṇādakapilādayo kevalaṃ pathavādidrabyamevātiādi laddhi. Kaṇādasāsanāya adhimuttānaṃ sāsane anavagāḷhānaṃ kesañci ayaṃ vādo’’ti ca vadanti. Etassubhayassāti āsavagandhato kappāsagandho adhiko sītudakavaṇṇato uṇhodakavaṇṇo ca adhikoti etassa ubhayassa. Tejādiadhikesu ca sambhāresu rūpādīnaṃ visesassa adassanato na rūpādayo tejādīnaṃ visesaguṇoti siddhanti āha ‘‘tadabhā…pe… ttitā’’ti. Tena na rūpaṃ tejassa visesaguṇo ekantato tejādike sambhāre visesena adassanato, yo yassa visesaguṇo, na so tadadhike sambhāre ekantato visesena dissati yathā pathavīadhike sambhāre āpodhātūti dasseti. Evaṃ sesesupi yathāyogaṃ yojetabbaṃ. Ko pana vādo nānākalāpeti sabhāvato nānattābhāvepi mūlakāraṇanānattavasena atthi koci viseso asaṅghāteti dasseti, yato paramaraṇādikiriyāsamatthatā nesaṃ kesañciyeva dissatīti.
เอกมฺปีติ ปิ-สเทฺทน อเนกสฺมิํ วตฺตพฺพเมว นตฺถีติ ทเสฺสติฯ ปญฺจายตนิกตฺตภาเว ปตฺถนา ยา ทฎฺฐุกามตาทิภาเวน วุตฺตา, ตาย นิปฺผนฺนํฯ เอเตน การณวิเสเสน ผลวิเสสมาหฯ น หีติอาทินา วุตฺตเมวตฺถํ สมตฺถยติฯ ตนฺติ กมฺมํฯ วิเสเสนาติ อตฺตโน การเณน อาหิตาติสเยน ฯ เตเนว โสตสฺส น โหติ ปจฺจโย, ตโต อเญฺญเนว ปน โหตีติ อธิปฺปาโยฯ เตน อเนกสภาเวน การเณน อาหิตวิเสสํ เอกมฺปิ กมฺมํ อเนกสภาวํ ผลํ นิปฺผาเทตุํ สมตฺถํ โหตีติ ทเสฺสติฯ อิทานิ กมฺมสฺส วุตฺตปฺปการวิเสสาภาเว โทสมาห ‘‘อินฺทฺริยนฺตราภาวปฺปตฺติโต’’ติฯ ตสฺสโตฺถ – การณวิเสสาภาเว ผลวิเสสสฺส อสมฺภวโต ยํ วิเสสยุตฺตํ กมฺมํ จกฺขุสฺส การณํ, ตสฺส ตโต อญฺญวิเสสาภาเว ตทญฺญินฺทฺริยุปฺปาทกตาปิ น สิยาติ โสตินฺทฺริยาทีนํ ตโต อนุปฺปตฺติ เอว สิยาฯ เอวมิตรตฺถาปิฯ วิเสโสติ เจตฺถ กมฺมสฺส ตํตํอินฺทฺริยุปฺปาทนสมตฺถตา อธิเปฺปตา, สา จ ปุเพฺพ ทสฺสิตสภาโววฯ
Ekampīti pi-saddena anekasmiṃ vattabbameva natthīti dasseti. Pañcāyatanikattabhāve patthanā yā daṭṭhukāmatādibhāvena vuttā, tāya nipphannaṃ. Etena kāraṇavisesena phalavisesamāha. Na hītiādinā vuttamevatthaṃ samatthayati. Tanti kammaṃ. Visesenāti attano kāraṇena āhitātisayena . Teneva sotassa na hoti paccayo, tato aññeneva pana hotīti adhippāyo. Tena anekasabhāvena kāraṇena āhitavisesaṃ ekampi kammaṃ anekasabhāvaṃ phalaṃ nipphādetuṃ samatthaṃ hotīti dasseti. Idāni kammassa vuttappakāravisesābhāve dosamāha ‘‘indriyantarābhāvappattito’’ti. Tassattho – kāraṇavisesābhāve phalavisesassa asambhavato yaṃ visesayuttaṃ kammaṃ cakkhussa kāraṇaṃ, tassa tato aññavisesābhāve tadaññindriyuppādakatāpi na siyāti sotindriyādīnaṃ tato anuppatti eva siyā. Evamitaratthāpi. Visesoti cettha kammassa taṃtaṃindriyuppādanasamatthatā adhippetā, sā ca pubbe dassitasabhāvova.
อเนกาหิ มหคฺคตเจตนาหิ เอกาย วา ปริตฺตเจตนาสหิตาย ปฎิสนฺธิกฺขเณ กฎตฺตารูปานํ นิพฺพตฺตีติ น สกฺกา วิญฺญาตุนฺติ ‘‘สเพฺพสํ…เป.… วิญฺญายตี’’ติ วุตฺตํฯ อิทานิ ตเมว อสกฺกุเณยฺยตํ วิตฺถารโต ทเสฺสตุํ ‘‘นานาเจตนายา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ ตสฺสายํ สเงฺขปโตฺถ – ‘‘ปฎิส…เป.… ปจฺจโย’’ติ เอตฺถ ยทิ นานากมฺมวเสน อินฺทฺริยานํ อุปฺปตฺติ อธิเปฺปตา, เอวํ สติ มหคฺคตกเมฺมน จ กามาวจรกเมฺมน จ ตํตํปฎิสนฺธิกฺขเณ กฎตฺตารูปํ อุปฺปนฺนํ สิยา, น เจตํ ยุตฺตํ ‘‘มหคฺคตเจตนา กมฺมปจฺจโย’’ติ (ปฎฺฐา. ๒.๑๒.๗๘) วุตฺตตฺตาฯ นาปิ ตํตํภวนิยตรูปินฺทฺริเยหิ วิกลินฺทฺริยตา คติสมฺปตฺติยา โอปปาติกโยนิยํ ปฎิสนฺธิกฺขเณ ยุตฺตาฯ อถ มหคฺคตาหิ เอว นานาเจตนาหิ นิพฺพตฺตํ, น เจกา ปฎิสนฺธิ อเนกกมฺมนิพฺพตฺตา โหติฯ นิจฺฉิตเญฺหตํ สาเกตปเญฺหนาติฯ เอวํ เอเกน มหคฺคตกมฺมุนา จกฺขุนฺทฺริยโสตินฺทฺริยหทยวตฺถูนํ อุปฺปตฺติญาปเกน อิมินา วจเนน ปริตฺตกมฺมุนาปิ เอเกน ยถารหํ อเนเกสํ อินฺทฺริยานํ อุปฺปตฺติ สิทฺธาวาติ วุตฺตํ ‘‘สิทฺธเมเกน กเมฺมน อเนกินฺทฺริยุปฺปตฺติ โหตี’’ติฯ
Anekāhi mahaggatacetanāhi ekāya vā parittacetanāsahitāya paṭisandhikkhaṇe kaṭattārūpānaṃ nibbattīti na sakkā viññātunti ‘‘sabbesaṃ…pe… viññāyatī’’ti vuttaṃ. Idāni tameva asakkuṇeyyataṃ vitthārato dassetuṃ ‘‘nānācetanāyā’’tiādi vuttaṃ. Tassāyaṃ saṅkhepattho – ‘‘paṭisa…pe… paccayo’’ti ettha yadi nānākammavasena indriyānaṃ uppatti adhippetā, evaṃ sati mahaggatakammena ca kāmāvacarakammena ca taṃtaṃpaṭisandhikkhaṇe kaṭattārūpaṃ uppannaṃ siyā, na cetaṃ yuttaṃ ‘‘mahaggatacetanā kammapaccayo’’ti (paṭṭhā. 2.12.78) vuttattā. Nāpi taṃtaṃbhavaniyatarūpindriyehi vikalindriyatā gatisampattiyā opapātikayoniyaṃ paṭisandhikkhaṇe yuttā. Atha mahaggatāhi eva nānācetanāhi nibbattaṃ, na cekā paṭisandhi anekakammanibbattā hoti. Nicchitañhetaṃ sāketapañhenāti. Evaṃ ekena mahaggatakammunā cakkhundriyasotindriyahadayavatthūnaṃ uppattiñāpakena iminā vacanena parittakammunāpi ekena yathārahaṃ anekesaṃ indriyānaṃ uppatti siddhāvāti vuttaṃ ‘‘siddhamekena kammena anekindriyuppatti hotī’’ti.
สมฺปโตฺตเยว นาม สมฺปตฺติกิจฺจกรณโตติ อิมมตฺถํ ทเสฺสตุํ ‘‘ปฎิ…เป.… นกโต’’ติ วุตฺตํฯ อติสุขุมภาวโต มํสจกฺขุอโคจเรน รูปายตเนน สมนฺนาคตสงฺฆาตวุตฺติตาย จ ‘‘วายุ วิยา’’ติ วุตฺตํฯ จิตฺตสมุฎฺฐานํ สทฺทายตนํ โสตวิญฺญาณสฺส กทาจิปิ อารมฺมณปจฺจโย น สิยา ธาตุปรมฺปราย ฆเฎฺฎนฺตสฺส อุตุสมุฎฺฐานตฺตาฯ เตนาห ‘‘น หิ…เป.… ปชฺชตี’’ติฯ ปฎฺฐาเน (ปฎฺฐา. ๑.๑.๒) จ ‘‘สทฺทายตนํ โสตวิญฺญาณสฺส อารมฺมณปจฺจเยน ปจฺจโย’’ติ อวิเสเสน วุตฺตํฯ
Sampattoyeva nāma sampattikiccakaraṇatoti imamatthaṃ dassetuṃ ‘‘paṭi…pe… nakato’’ti vuttaṃ. Atisukhumabhāvato maṃsacakkhuagocarena rūpāyatanena samannāgatasaṅghātavuttitāya ca ‘‘vāyu viyā’’ti vuttaṃ. Cittasamuṭṭhānaṃ saddāyatanaṃ sotaviññāṇassa kadācipi ārammaṇapaccayo na siyā dhātuparamparāya ghaṭṭentassa utusamuṭṭhānattā. Tenāha ‘‘na hi…pe… pajjatī’’ti. Paṭṭhāne (paṭṭhā. 1.1.2) ca ‘‘saddāyatanaṃ sotaviññāṇassa ārammaṇapaccayena paccayo’’ti avisesena vuttaṃ.
นนุ จิเรน สุยฺยนฺตีติ ทูเร ฐิตานํ ลหุกํ สวนํ นตฺถิ, เตสมฺปิ วา ลหุกํ สวเนน ทูราสนฺนภาวานํ วิเสโส น สิยาติ อธิปฺปาโยฯ น , ทู…เป.… โตติ น ทูเร ฐิเตหิ รชกาทิสทฺทา จิเรน โสตวิญฺญาเณน สุยฺยนฺติ, สเจ สวนูปจาเร โส สโทฺท ทูเร อาสเนฺน จ ฐิตานํ ยถาภูเต อาปาถคเต สเทฺท มโนวิญฺญาณสงฺขาตโต คหณวิเสสโต จิเรน สุโต สีฆํ สุโตติ อภิมาโนติ อโตฺถฯ เอตเมวตฺถํ วิตฺถารโต ทเสฺสโนฺต ‘‘ยถา หี’’ติอาทิมาหฯ นิจฺฉย…เป.… อภิมาโน โหติ, โสตวิญฺญาณปฺปวตฺติ ปน อุภยตฺถาปิ สมานา, ยสฺมา โส ปน สโทฺท…เป.… อาคจฺฉตีติฯ ยทิ ธาตุปรมฺปราย สโทฺท นปฺปวตฺตติ, กถํ ปฎิโฆสาทีนํ อุปฺปตฺตีติ อาห ‘‘ทูเร…เป.… ปจฺจโย โหตี’’ติฯ อุปฺปตฺติวเสน อาคตานีติ เอเตน รูปธมฺมาปิ ยตฺถ อุปฺปชฺชนฺติ, ตเตฺถว ภิชฺชนฺติ, น เทสนฺตรํ สงฺกมนฺตีติ ทเสฺสติฯ ฆฎฺฎนสภาวาเนวาติ เตสํ ภูตานํ สทฺทสมุปฺปตฺติเหตุภาวมาหฯ โสตปเทสสฺสาติ โสตเทสสฺส, โสตเทเส ฐิตสฺสาติ อโตฺถฯ
Nanu cirena suyyantīti dūre ṭhitānaṃ lahukaṃ savanaṃ natthi, tesampi vā lahukaṃ savanena dūrāsannabhāvānaṃ viseso na siyāti adhippāyo. Na, dū…pe… toti na dūre ṭhitehi rajakādisaddā cirena sotaviññāṇena suyyanti, sace savanūpacāre so saddo dūre āsanne ca ṭhitānaṃ yathābhūte āpāthagate sadde manoviññāṇasaṅkhātato gahaṇavisesato cirena suto sīghaṃ sutoti abhimānoti attho. Etamevatthaṃ vitthārato dassento ‘‘yathā hī’’tiādimāha. Nicchaya…pe… abhimāno hoti, sotaviññāṇappavatti pana ubhayatthāpi samānā, yasmā so pana saddo…pe… āgacchatīti. Yadi dhātuparamparāya saddo nappavattati, kathaṃ paṭighosādīnaṃ uppattīti āha ‘‘dūre…pe… paccayo hotī’’ti. Uppattivasena āgatānīti etena rūpadhammāpi yattha uppajjanti, tattheva bhijjanti, na desantaraṃ saṅkamantīti dasseti. Ghaṭṭanasabhāvānevāti tesaṃ bhūtānaṃ saddasamuppattihetubhāvamāha. Sotapadesassāti sotadesassa, sotadese ṭhitassāti attho.
จกฺขุมโต ปุคฺคลสฺส อชฺฌาสยวเสนาติ จิตฺรวิจิตฺรรูปายตเน เยภุเยฺยน สตฺตานํ จกฺขุทฺวาริกชวนสฺส อนุกฑฺฒนวเสน ปวตฺติํ สนฺธาย วุตฺตํฯ กณฺณกูปจฺฉิเทฺทเยว ปวตฺตนโตติ เอเตน อธิฎฺฐานโต พหิทฺธา อินฺทฺริยํ ปวตฺตีติ วาทํ ปฎิเสเธติฯ อธิฎฺฐานเทเส เอว หิ อินฺทฺริยํ วตฺตติ ตตฺถ กิจฺจาทิปฺปโยคทสฺสนโตฯ สติปิ ปนสฺส พหิทฺธา วุตฺติยํ น วิสยคฺคหเณ สมตฺถตา, อญฺญถา อธิฎฺฐานปิทหเนปิ วิสยคฺคหณํ ภเวยฺยาติฯ อารมฺมณคฺคหณเหตุโต จาติ กณฺณกูปจฺฉิเทฺทเยว ฐตฺวา อารมฺมณกรณสฺส วิญฺญาณสฺส วา เหตุภาวโตฯ
Cakkhumato puggalassa ajjhāsayavasenāti citravicitrarūpāyatane yebhuyyena sattānaṃ cakkhudvārikajavanassa anukaḍḍhanavasena pavattiṃ sandhāya vuttaṃ. Kaṇṇakūpacchiddeyeva pavattanatoti etena adhiṭṭhānato bahiddhā indriyaṃ pavattīti vādaṃ paṭisedheti. Adhiṭṭhānadese eva hi indriyaṃ vattati tattha kiccādippayogadassanato. Satipi panassa bahiddhā vuttiyaṃ na visayaggahaṇe samatthatā, aññathā adhiṭṭhānapidahanepi visayaggahaṇaṃ bhaveyyāti. Ārammaṇaggahaṇahetuto cāti kaṇṇakūpacchiddeyeva ṭhatvā ārammaṇakaraṇassa viññāṇassa vā hetubhāvato.
ตโพฺพหาเรนาติ คนฺธคนฺธคฺคหณสฺส สหจริตาย คโนฺธปิ ตถา วุโตฺตติ อธิปฺปาโยฯ คโนฺธ ปจฺจโยติ คโนฺธ สหการีปจฺจโยติ อโตฺถฯ เขฬาทิโก ปจฺจโยติ โยเชตพฺพํฯ ตถา ปถวีติ สหการีปจฺจยนฺตรภูตา อชฺฌตฺติกพาหิรา ปถวี อารมฺมณคฺคหเณ ปจฺจโยติ อโตฺถฯ อาธารภูตาติ เตโชวาโยธาตูนํ อาธารภูตาฯ นิสฺสยภูตานนฺติ นิสฺสยมหาภูตานํ อาโปเตโชวาโยธาตูนํฯ สพฺพทาติ อุปฺปีฬนกาเล จ อนุปฺปีฬนกาเล จฯ ตตฺถาติ จตุราสีติปเภเท อุปริมกายสงฺขาเต รูปสมูเหฯ วินิพฺภุชฺชิตุํ อสกฺกุเณยฺยานนฺติ อิทํ จกฺขุทสกํ อิทํ กายทสกํ อิทํ ภาวทสกนฺติ เอวํ กลาปโตปิ วินิพฺภุชฺชิตุํ อสกฺกุเณยฺยานํฯ
Tabbohārenāti gandhagandhaggahaṇassa sahacaritāya gandhopi tathā vuttoti adhippāyo. Gandho paccayoti gandho sahakārīpaccayoti attho. Kheḷādiko paccayoti yojetabbaṃ. Tathā pathavīti sahakārīpaccayantarabhūtā ajjhattikabāhirā pathavī ārammaṇaggahaṇe paccayoti attho. Ādhārabhūtāti tejovāyodhātūnaṃ ādhārabhūtā. Nissayabhūtānanti nissayamahābhūtānaṃ āpotejovāyodhātūnaṃ. Sabbadāti uppīḷanakāle ca anuppīḷanakāle ca. Tatthāti caturāsītipabhede uparimakāyasaṅkhāte rūpasamūhe. Vinibbhujjituṃ asakkuṇeyyānanti idaṃ cakkhudasakaṃ idaṃ kāyadasakaṃ idaṃ bhāvadasakanti evaṃ kalāpatopi vinibbhujjituṃ asakkuṇeyyānaṃ.
๖๑๖. ทีฆาทีนํ ผุสิตฺวา ชานิตพฺพโตติ อิทํ ทีฆาทีนํ น กายวิญฺญาณโคจรตฺตา วุตฺตํ, ทีฆาทิโวหารรูปาทีนํ ปน โผฎฺฐพฺพํ ผุสิตฺวา กายวิญฺญาณวีถิยา ปรโต ปวเตฺตน มโนวิญฺญาเณนปิ ชานิตพฺพตฺตา วุตฺตํฯ ทีฆาทิสนฺนิเวสนฺติ ทีฆาทิสนฺนิเวสวนฺตํฯ เอกสฺมิํ อิตรสฺส อภาวาติ ฉายาตปานํ อาโลกนฺธการานญฺจ อสหฎฺฐายิตํ อาหฯ กถํ ปน อาโลโก อนฺธการํ วิธมตีติ? ‘‘อาโลกปฺปวตฺติสมานกาลํ อนฺธการสภาเวน ปวตฺตมานํ วณฺณายตนํ ภิชฺชติฯ อนฺธการสฺส นิสฺสโย หุตฺวา ปวตฺตมานานิ ภูตานิ กเมน ตถารูปสฺส วณฺณายตนสฺส นิสฺสยภาวํ คจฺฉนฺตี’’ติ เกจิฯ สห อนฺธกาเรน ตนฺนิสฺสยภูตานํ นิโรธสมนนฺตรํ ตํสนฺตติยํ ตาทิเส ปจฺจยสนฺนิปาเต อาโลกนิสฺสยภูตานํ อุปฺปตฺตีติ เวทิตพฺพํฯ น หิ นิสฺสยมหาภูเตหิ วินา อาโลกปฺปวตฺติ อตฺถิ, นาปิ อนฺธการสงฺขาตํ วณฺณายตนเมว นิรุชฺฌติ ตํนิสฺสเยหิ ปยุชฺชมานกเอกกลาปภูโตปาทารูปานํ สเหว นิรุชฺฌนโตฯ ปทีปสิขามณิรํสิโย วิย ปถวีปาการรุกฺขาทีนิ มุญฺจิตฺวาปิ อนฺธกาโร ปวตฺตตีติ วทนฺติฯ มนฺทํ ปน ปาการาทิอาธารรหิตํ น สุฎฺฐุ ปญฺญายติ, พหลํ อาธารํ นิสฺสาย ปวตฺตตีติ ยุตฺตนฺติ จ วทนฺติฯ
616. Dīghādīnaṃphusitvā jānitabbatoti idaṃ dīghādīnaṃ na kāyaviññāṇagocarattā vuttaṃ, dīghādivohārarūpādīnaṃ pana phoṭṭhabbaṃ phusitvā kāyaviññāṇavīthiyā parato pavattena manoviññāṇenapi jānitabbattā vuttaṃ. Dīghādisannivesanti dīghādisannivesavantaṃ. Ekasmiṃ itarassa abhāvāti chāyātapānaṃ ālokandhakārānañca asahaṭṭhāyitaṃ āha. Kathaṃ pana āloko andhakāraṃ vidhamatīti? ‘‘Ālokappavattisamānakālaṃ andhakārasabhāvena pavattamānaṃ vaṇṇāyatanaṃ bhijjati. Andhakārassa nissayo hutvā pavattamānāni bhūtāni kamena tathārūpassa vaṇṇāyatanassa nissayabhāvaṃ gacchantī’’ti keci. Saha andhakārena tannissayabhūtānaṃ nirodhasamanantaraṃ taṃsantatiyaṃ tādise paccayasannipāte ālokanissayabhūtānaṃ uppattīti veditabbaṃ. Na hi nissayamahābhūtehi vinā ālokappavatti atthi, nāpi andhakārasaṅkhātaṃ vaṇṇāyatanameva nirujjhati taṃnissayehi payujjamānakaekakalāpabhūtopādārūpānaṃ saheva nirujjhanato. Padīpasikhāmaṇiraṃsiyo viya pathavīpākārarukkhādīni muñcitvāpi andhakāro pavattatīti vadanti. Mandaṃ pana pākārādiādhārarahitaṃ na suṭṭhu paññāyati, bahalaṃ ādhāraṃ nissāya pavattatīti yuttanti ca vadanti.
๖๒๐. ‘‘อมนุสฺสสโทฺท’’ติ เอตฺถ อ-กาโร น มนุสฺสตามตฺตนิวตฺติอโตฺถ สทิสภาวทีปนตาย อนธิเปฺปตตฺตา, มนุสฺสโต ปน อนญฺญตานิวตฺติอโตฺถติ ทเสฺสตุํ ‘‘อมนุสฺส…เป.… ฎฺฐาทโยปี’’ติ อาหฯ ตถา กิเตฺตตโพฺพติ ‘‘วํสผาลนสโทฺท’’ติอาทินา วตฺถุวเสน กิเตฺตตโพฺพฯ
620. ‘‘Amanussasaddo’’ti ettha a-kāro na manussatāmattanivattiattho sadisabhāvadīpanatāya anadhippetattā, manussato pana anaññatānivattiatthoti dassetuṃ ‘‘amanussa…pe… ṭṭhādayopī’’ti āha. Tathā kittetabboti ‘‘vaṃsaphālanasaddo’’tiādinā vatthuvasena kittetabbo.
๖๓๒. กมฺมจิตฺตาทินาติ อาทิ-สเทฺทน อุตุอาหาเร สงฺคณฺหาติฯ ตํตทาการานีติ อิตฺถิลิงฺคาทิอาการานิฯ อิตฺถินฺทฺริยํ ปฎิจฺจ สมุฎฺฐหนฺตีติ อญฺญมญฺญปจฺจยานิปิ อิตฺถิลิงฺคาทีนิ เยภุเยฺยน อิตฺถินฺทฺริยสหิเต เอว สนฺตาเน สพฺภาวา อิตรตฺถ จ อภาวา อินฺทฺริยเหตุกานิ วุตฺตานิฯ อญฺญถาติ อิตฺถิลิงฺคาทิอาการโต อญฺญถา, อิตฺถินฺทฺริยาภาเว วาฯ อิตฺถิคฺคหณสฺส จาติ อิตฺถีติ จิตฺตปฺปวตฺติยาฯ เตสํ รูปานนฺติ อิตฺถิลิงฺคาทิอาการรูปานํฯ ยทิ อิตฺถินฺทฺริยํ อิตฺถิลิงฺคาทิอาการรูปานํ สหการีการณํ, อถ กสฺมา ตสฺส อินฺทฺริยาทิปจฺจยภาโว เตสํ น วุโตฺตติ? เนว ตํ สหการีการณํ, อถ โข เตสํ ตพฺภาวภาวิตามเตฺตน ตํ การณนฺติ วุจฺจตีติ ทเสฺสตุํ อาห ‘‘ยสฺมา ปนา’’ติอาทิฯ
632. Kammacittādināti ādi-saddena utuāhāre saṅgaṇhāti. Taṃtadākārānīti itthiliṅgādiākārāni. Itthindriyaṃ paṭicca samuṭṭhahantīti aññamaññapaccayānipi itthiliṅgādīni yebhuyyena itthindriyasahite eva santāne sabbhāvā itarattha ca abhāvā indriyahetukāni vuttāni. Aññathāti itthiliṅgādiākārato aññathā, itthindriyābhāve vā. Itthiggahaṇassa cāti itthīti cittappavattiyā. Tesaṃ rūpānanti itthiliṅgādiākārarūpānaṃ. Yadi itthindriyaṃ itthiliṅgādiākārarūpānaṃ sahakārīkāraṇaṃ, atha kasmā tassa indriyādipaccayabhāvo tesaṃ na vuttoti? Neva taṃ sahakārīkāraṇaṃ, atha kho tesaṃ tabbhāvabhāvitāmattena taṃ kāraṇanti vuccatīti dassetuṃ āha ‘‘yasmā panā’’tiādi.
๖๓๓. ลิงฺคํ ปริวตฺตมานํ ปุริมลิงฺคาธารชาติอนุรูปเมว หุตฺวา ปริวตฺตตีติ กตฺวา วุตฺตํ ‘‘ปฎิสนฺธิยํ วิย ปวเตฺตปี’’ติฯ ยสฺส…เป.… โนติ อาทิวจนโตติ อาทิ-สเทฺทน ‘‘ยสฺส วา ปน ปุริสินฺทฺริยํ อุปฺปชฺชติ, ตสฺส อิตฺถินฺทฺริยํ อุปฺปชฺชตีติ โน’’ติ (ยม. ๓.อินฺทฺริยยมก.๑๘๘) สงฺคณฺหาติฯ
633. Liṅgaṃ parivattamānaṃ purimaliṅgādhārajātianurūpameva hutvā parivattatīti katvā vuttaṃ ‘‘paṭisandhiyaṃ viya pavattepī’’ti. Yassa…pe… noti ādivacanatoti ādi-saddena ‘‘yassa vā pana purisindriyaṃ uppajjati, tassa itthindriyaṃ uppajjatīti no’’ti (yama. 3.indriyayamaka.188) saṅgaṇhāti.
๖๓๕. ทฺวารภาเวน กุจฺฉิตานํ อาสวธมฺมานํ ปวตฺติฎฺฐานตาย ปสาทวิเสเส วิย วิญฺญตฺติวิเสเสปิ กายโวหารปฺปวตฺติ ทฎฺฐพฺพาฯ วิตฺถมฺภนสภาวตาย วาโยธาตุยา ถมฺภนํ ‘‘วาโยธาตุกิจฺจ’’นฺติ วุตฺตํฯ กิจฺจมฺปิ หิ ธมฺมานํ สภาโวเยวาติฯ ปถวีธาตุยา อากาโร วจีวิญฺญตฺตีติ วตฺตุํ วฎฺฎตีติ โยชนาฯ
635. Dvārabhāvena kucchitānaṃ āsavadhammānaṃ pavattiṭṭhānatāya pasādavisese viya viññattivisesepi kāyavohārappavatti daṭṭhabbā. Vitthambhanasabhāvatāya vāyodhātuyā thambhanaṃ ‘‘vāyodhātukicca’’nti vuttaṃ. Kiccampi hi dhammānaṃ sabhāvoyevāti. Pathavīdhātuyā ākāro vacīviññattīti vattuṃ vaṭṭatīti yojanā.
๖๓๖. วิตกฺก…เป.… คหิตาติ ยถาธิเปฺปตตฺถาภิพฺยญฺชิกาย วาจาย สมุฎฺฐาปนาธิปฺปายปฺปวตฺติํ สนฺธาย วุตฺตํฯ ตทา หิ สา เตหิ ปริคฺคหิตา นาม โหตีติฯ เอกสฺสปิ อกฺขรสฺส อเนเกหิ ชวเนหิ นิพฺพเตฺตตพฺพตฺตา ตถา นิพฺพตฺติยมานตาย อสมตฺถสภาวตฺตา น วิญฺญาตวิเสสา น ภินฺนา เอวาติ อาห ‘‘สว…เป.… ภินฺนา’’ติฯ อโพฺพกิเณฺณติ อนฺตรนฺตรา อุปฺปชฺชมาเนหิ อสํสเฎฺฐฯ ‘‘ปจฺฉิมจิตฺต’’นฺติ อวิเสเสน จุติจิตฺตํ วุตฺตนฺติ อธิปฺปาเยน ‘‘อเญฺญสมฺปิ จุติจิตฺตํ…เป.… ญายตี’’ติ วุตฺตํฯ
636. Vitakka…pe… gahitāti yathādhippetatthābhibyañjikāya vācāya samuṭṭhāpanādhippāyappavattiṃ sandhāya vuttaṃ. Tadā hi sā tehi pariggahitā nāma hotīti. Ekassapi akkharassa anekehi javanehi nibbattetabbattā tathā nibbattiyamānatāya asamatthasabhāvattā na viññātavisesā na bhinnā evāti āha ‘‘sava…pe… bhinnā’’ti. Abbokiṇṇeti antarantarā uppajjamānehi asaṃsaṭṭhe. ‘‘Pacchimacitta’’nti avisesena cuticittaṃ vuttanti adhippāyena ‘‘aññesampi cuticittaṃ…pe… ñāyatī’’ti vuttaṃ.
อถ วา ‘‘เย จ รูปาวจรํ อรูปาวจรํ อุปปชฺชิตฺวา ปรินิพฺพายิสฺสนฺติ, เตสํ จวนฺตานํ เตสํ วจีสงฺขาโร นิรุชฺฌิสฺสติ, โน จ เตสํ กายสงฺขาโร นิรุชฺฌิสฺสตี’’ติ (ยม. ๒.สงฺขารยมก.๘๘) รูปารูปภวูปปชฺชนกานํ กามาวจรจุติจิตฺตสฺสปิ กายสงฺขาราสมุฎฺฐาปนวจเนน ขีณาสเวหิ อเญฺญสมฺปิ…เป.… ญายตี’’ติ วุตฺตํฯ ยสฺมา จ –
Atha vā ‘‘ye ca rūpāvacaraṃ arūpāvacaraṃ upapajjitvā parinibbāyissanti, tesaṃ cavantānaṃ tesaṃ vacīsaṅkhāro nirujjhissati, no ca tesaṃ kāyasaṅkhāro nirujjhissatī’’ti (yama. 2.saṅkhārayamaka.88) rūpārūpabhavūpapajjanakānaṃ kāmāvacaracuticittassapi kāyasaṅkhārāsamuṭṭhāpanavacanena khīṇāsavehi aññesampi…pe… ñāyatī’’ti vuttaṃ. Yasmā ca –
‘‘ยสฺส กายสงฺขาโร นิรุชฺฌติ, ตสฺส วจีสงฺขาโร นิรุชฺฌิสฺสตีติ อามนฺตา’’ติ (ยม. ๒.สงฺขารยมก.๑๐๘),
‘‘Yassa kāyasaṅkhāro nirujjhati, tassa vacīsaṅkhāro nirujjhissatīti āmantā’’ti (yama. 2.saṅkhārayamaka.108),
‘‘ยสฺส กายสงฺขาโร นิรุชฺฌติ, ตสฺส จิตฺตสงฺขาโร นิรุชฺฌิสฺสตีติ อามนฺตา’’ติ (ยม. ๒.สงฺขารยมก.๑๐๘) จ,
‘‘Yassa kāyasaṅkhāro nirujjhati, tassa cittasaṅkhāro nirujjhissatīti āmantā’’ti (yama. 2.saṅkhārayamaka.108) ca,
‘‘ปจฺฉิมจิตฺตสฺส ภงฺคกฺขเณ เตสํ กายสงฺขาโร จ น นิรุชฺฌติ จิตฺตสงฺขาโร จ น นิรุชฺฌิสฺสตี’’ติ (ยม. ๒.สงฺขารยมก.๑๑๓) –
‘‘Pacchimacittassa bhaṅgakkhaṇe tesaṃ kāyasaṅkhāro ca na nirujjhati cittasaṅkhāro ca na nirujjhissatī’’ti (yama. 2.saṅkhārayamaka.113) –
อาทิวจนโต จ ปจฺฉิมจิตฺตสฺส ปุรโต โสฬสเมน จิเตฺตน ตโต โอริเมน วา สทฺธิํ อสฺสาสปสฺสาสา น อุปฺปชฺชนฺตีติ สิทฺธํฯ ยทิ อุปฺปเชฺชยฺยุํ, ‘‘ปจฺฉิมจิตฺตสฺส ภงฺคกฺขเณ เตสํ กายสงฺขาโร น นิรุชฺฌตี’’ติ น วเทยฺย, วุตฺตเญฺจตํ, ตสฺมา เหฎฺฐิมโกฎิยา จุติโต ปุริเมน สตฺตรสเมน อุปฺปนฺนา อสฺสาสปสฺสาสา จุติยา เหฎฺฐา ทุติเยน จิเตฺตน สทฺธิํ นิรุชฺฌนฺติฯ เตน ‘‘ยสฺส จิตฺตสฺส อนนฺตรา กามาวจรานํ ปจฺฉิมจิตฺตํ อุปฺปชฺชิสฺสตี’’ติ จุติจิตฺตสฺสานนฺตรปจฺจยภูตสฺสปิ จิตฺตสฺส กายสงฺขาราสมุฎฺฐาปนตา วุตฺตาฯ
Ādivacanato ca pacchimacittassa purato soḷasamena cittena tato orimena vā saddhiṃ assāsapassāsā na uppajjantīti siddhaṃ. Yadi uppajjeyyuṃ, ‘‘pacchimacittassa bhaṅgakkhaṇe tesaṃ kāyasaṅkhāro na nirujjhatī’’ti na vadeyya, vuttañcetaṃ, tasmā heṭṭhimakoṭiyā cutito purimena sattarasamena uppannā assāsapassāsā cutiyā heṭṭhā dutiyena cittena saddhiṃ nirujjhanti. Tena ‘‘yassa cittassa anantarā kāmāvacarānaṃ pacchimacittaṃ uppajjissatī’’ti cuticittassānantarapaccayabhūtassapi cittassa kāyasaṅkhārāsamuṭṭhāpanatā vuttā.
อถ วา ยสฺส จิตฺตสฺสาติ เยน จิเตฺตน สพฺพปจฺฉิโม กายสงฺขาโร อุปฺปชฺชติฯ ตํ จิตฺตํ วุตฺตนฺติ คเหตพฺพํ, น ปจฺฉิมจิตฺตสฺส อนนฺตรปจฺจยภูตํฯ อนนฺตราติ หิ กายสงฺขารุปฺปาทนํ อนฺตรํ วินา, ยโต ปจฺฉา กายสงฺขารุปฺปาทเนน อนนฺตริตํ หุตฺวา ปจฺฉิมจิตฺตํ อุปฺปชฺชิสฺสตีติ อโตฺถฯ กสฺมา? ‘‘อิตเรสํ วจีสงฺขาโร จ นิรุชฺฌิสฺสติ กายสงฺขาโร จ นิรุชฺฌิสฺสตี’’ติ (ยม. ๒.สงฺขารยมก.๘๘) วุตฺตตฺตาฯ อญฺญถาปจฺฉิมจิตฺตโต ปุริมตติยจิตฺตสมงฺคีนํ กายสงฺขาโร อุปฺปชฺชตีติ อาปชฺชตีติฯ เอวํ สเพฺพสมฺปิ จุติจิตฺตสฺส รูปชนกตาภาเว อาคมํ ทเสฺสตฺวา อิทานิ ยุตฺติํ ทเสฺสตุํ ‘‘น หี’’ติอาทิมาหฯ ตตฺถ คพฺภคมนาทีติ อาทิ-สเทฺทน อุทกนิมุคฺคอสญฺญีภูตกาลกตจตุตฺถชฺฌานสมาปนฺนรูปารูปภวสมงฺคีนิโรธสมาปนฺนภาเว สงฺคณฺหาติฯ
Atha vā yassa cittassāti yena cittena sabbapacchimo kāyasaṅkhāro uppajjati. Taṃ cittaṃ vuttanti gahetabbaṃ, na pacchimacittassa anantarapaccayabhūtaṃ. Anantarāti hi kāyasaṅkhāruppādanaṃ antaraṃ vinā, yato pacchā kāyasaṅkhāruppādanena anantaritaṃ hutvā pacchimacittaṃ uppajjissatīti attho. Kasmā? ‘‘Itaresaṃ vacīsaṅkhāro ca nirujjhissati kāyasaṅkhāro ca nirujjhissatī’’ti (yama. 2.saṅkhārayamaka.88) vuttattā. Aññathāpacchimacittato purimatatiyacittasamaṅgīnaṃ kāyasaṅkhāro uppajjatīti āpajjatīti. Evaṃ sabbesampi cuticittassa rūpajanakatābhāve āgamaṃ dassetvā idāni yuttiṃ dassetuṃ ‘‘na hī’’tiādimāha. Tattha gabbhagamanādīti ādi-saddena udakanimuggaasaññībhūtakālakatacatutthajjhānasamāpannarūpārūpabhavasamaṅgīnirodhasamāpannabhāve saṅgaṇhāti.
๖๓๗. อเนเกสํ กลาปานํ เอกโต หุตฺวา เอกฆนปิณฺฑภาเวน ปวตฺตนโต กลาปนฺตรภูตานํ กลาปนฺตรภูเตหิ สมฺผุฎฺฐภาโว วุโตฺตฯ ยโต เตสํ ทุวิเญฺญยฺยนานตฺตํ, น ปน อวินิพฺภุตฺตภาวโตฯ ตํตํภูตวิวิตฺตตาติ เตสํ เตสํ ภูตานํ วิภตฺตภาโว กลาปนฺตรภูเตหิ วิภตฺตสภาวตา อสํกิณฺณตาติ อโตฺถฯ ยสฺมา ปน ยถาวุตฺตา วิวิตฺตตา รูปานํ โอสานํ โหติ, ตสฺมา ‘‘รูปปริยโนฺต’’ติ วุตฺตํฯ อถ วา ตํตํภูตสุญฺญตาฯ เยสญฺหิ ปริเจฺฉโท อากาโส, เตสํ ปริยนฺตตาย เตหิ สุญฺญภาโวติ ลกฺขิตโพฺพฯ ตโตเยว จ โส ภูตนฺตเรหิ วิย เตหิ อสมฺผุโฎฺฐติ วุจฺจตีติฯ อญฺญถาติ ปริจฺฉินฺทิตเพฺพหิ อสมฺผุฎฺฐภาวาภาเวฯ
637. Anekesaṃ kalāpānaṃ ekato hutvā ekaghanapiṇḍabhāvena pavattanato kalāpantarabhūtānaṃ kalāpantarabhūtehi samphuṭṭhabhāvo vutto. Yato tesaṃ duviññeyyanānattaṃ, na pana avinibbhuttabhāvato. Taṃtaṃbhūtavivittatāti tesaṃ tesaṃ bhūtānaṃ vibhattabhāvo kalāpantarabhūtehi vibhattasabhāvatā asaṃkiṇṇatāti attho. Yasmā pana yathāvuttā vivittatā rūpānaṃ osānaṃ hoti, tasmā ‘‘rūpapariyanto’’ti vuttaṃ. Atha vā taṃtaṃbhūtasuññatā. Yesañhi paricchedo ākāso, tesaṃ pariyantatāya tehi suññabhāvoti lakkhitabbo. Tatoyeva ca so bhūtantarehi viya tehi asamphuṭṭhoti vuccatīti. Aññathāti paricchinditabbehi asamphuṭṭhabhāvābhāve.
๖๓๘. ตํตํวิการาธิกรูเปหีติ เอตฺถ กถํ จมฺมสุวเณฺณสุ มุทุตากมฺมญฺญตา ลพฺภนฺติ, นนุ ลหุตาทิวิการา เอกนฺตโต อินฺทฺริยพทฺธรูเป เอว ปวตฺตนโต อนินฺทฺริยพเทฺธ น ลพฺภนฺตีติ? สจฺจเมตํ, อิธ ปน ตํสทิเสสุ ตโพฺพหารวเสน วุตฺตํฯ ตถา หิ ตูลปิจุอาทีสุ ครุภาวาทิเหตูนํ ภูตานํ อธิกภาวาภาวโต ลหุอาทิโวหาโรฯ นิทฺทิสิตพฺพธมฺมนิสฺสยรูเป เอว วา สนฺธาย ‘‘ตํตํวิการาธิกรูเปหี’’ติ วุตฺตนฺติ ทฎฺฐพฺพํฯ สเพฺพ สเพฺพสํ ปจฺจยา ลหุตาทีนํ อญฺญมญฺญาวิชหนโตติ อธิปฺปาโยฯ
638. Taṃtaṃvikārādhikarūpehīti ettha kathaṃ cammasuvaṇṇesu mudutākammaññatā labbhanti, nanu lahutādivikārā ekantato indriyabaddharūpe eva pavattanato anindriyabaddhe na labbhantīti? Saccametaṃ, idha pana taṃsadisesu tabbohāravasena vuttaṃ. Tathā hi tūlapicuādīsu garubhāvādihetūnaṃ bhūtānaṃ adhikabhāvābhāvato lahuādivohāro. Niddisitabbadhammanissayarūpe eva vā sandhāya ‘‘taṃtaṃvikārādhikarūpehī’’ti vuttanti daṭṭhabbaṃ. Sabbe sabbesaṃ paccayā lahutādīnaṃ aññamaññāvijahanatoti adhippāyo.
๖๔๑. อาจยสเทฺทเนวาติ นิเทฺทเส วุตฺตอาจยสเทฺทเนวฯ โย อายตนานํ อาทิจยตฺตา อาจโย ปุนปฺปุนํ นิพฺพตฺตมานานํ, โสว รูปสฺส อุปริจยตฺตา อุปจโยติ อธิเปฺปตํ อตฺถํ ปาฬิยํ โยเชตฺวา ทเสฺสตุํ ‘‘ปาฬิยํ ปนา’’ติอาทิ วุตฺตํฯ อุป-สโทฺท ปฐมโตฺถ ‘‘ทานํ, ภิกฺขเว, ปณฺฑิตุปญฺญตฺต’’นฺติอาทีสุ (อ. นิ. ๓.๔๕) วิยฯ อุปริอโตฺถจ ‘‘สมฺมเฎฺฐ อุปสิเตฺต จ, เต นิสีทิํสุ มณฺฑเป’’ติอาทีสุ วิยฯ อญฺญถาติ อุป-สทฺทสฺส อุปริอตฺถเสฺสว คหเณฯ
641. Ācayasaddenevāti niddese vuttaācayasaddeneva. Yo āyatanānaṃ ādicayattā ācayo punappunaṃ nibbattamānānaṃ, sova rūpassa uparicayattā upacayoti adhippetaṃ atthaṃ pāḷiyaṃ yojetvā dassetuṃ ‘‘pāḷiyaṃ panā’’tiādi vuttaṃ. Upa-saddo paṭhamattho ‘‘dānaṃ, bhikkhave, paṇḍitupaññatta’’ntiādīsu (a. ni. 3.45) viya. Upariatthoca ‘‘sammaṭṭhe upasitte ca, te nisīdiṃsu maṇḍape’’tiādīsu viya. Aññathāti upa-saddassa upariatthasseva gahaṇe.
๖๔๓. ผลวิปจฺจนปกติยาติ ผลวิปจฺจนสภาเวนฯ ผลเมว วา ปกตีติ อายุสํหานาทินา ผลสภาเวน ชรานิเทฺทโสติ อโตฺถฯ ตถา หิ ‘‘ผลูปจาเรน วุตฺตา’’ติ วุตฺตํฯ สุปริณตรูปปริปากกาเล หานิทสกาทีสุฯ
643. Phalavipaccanapakatiyāti phalavipaccanasabhāvena. Phalameva vā pakatīti āyusaṃhānādinā phalasabhāvena jarāniddesoti attho. Tathā hi ‘‘phalūpacārena vuttā’’ti vuttaṃ. Supariṇatarūpaparipākakāle hānidasakādīsu.
๖๔๕. กตฺตพฺพสภาวโตติ มูลผลาทีนํ อิธาธิเปฺปตอาหารวตฺถูนํ มุเขน อสนาทิกตฺตพฺพสภาวโตฯ วิสภูเต สงฺฆาเต โอชา มนฺทา โหตีติ สวิสตฺตาภาวโต สุขุมตา วุตฺตาฯ องฺคมงฺคานุสาริโน รสสฺส สาโรติ รสหรณีธมนิชาลานุสาเรน สรีราวยเว อนุปฺปวิฎฺฐสฺส อาหารรสสฺส อพฺภนฺตราหารปจฺจโย เสฺนโห, โย โลเก รสธาตูติ วุจฺจติฯ
645. Kattabbasabhāvatoti mūlaphalādīnaṃ idhādhippetaāhāravatthūnaṃ mukhena asanādikattabbasabhāvato. Visabhūte saṅghāte ojā mandā hotīti savisattābhāvato sukhumatā vuttā. Aṅgamaṅgānusārino rasassa sāroti rasaharaṇīdhamanijālānusārena sarīrāvayave anuppaviṭṭhassa āhārarasassa abbhantarāhārapaccayo sneho, yo loke rasadhātūti vuccati.
อุปาทาภาชนียกถาวณฺณนา นิฎฺฐิตาฯ
Upādābhājanīyakathāvaṇṇanā niṭṭhitā.
Related texts:
ติปิฎก (มูล) • Tipiṭaka (Mūla) / อภิธมฺมปิฎก • Abhidhammapiṭaka / ธมฺมสงฺคณีปาฬิ • Dhammasaṅgaṇīpāḷi / รูปวิภตฺติ • Rūpavibhatti
อฎฺฐกถา • Aṭṭhakathā / อภิธมฺมปิฎก (อฎฺฐกถา) • Abhidhammapiṭaka (aṭṭhakathā) / ธมฺมสงฺคณิ-อฎฺฐกถา • Dhammasaṅgaṇi-aṭṭhakathā / อุปาทาภาชนียกถา • Upādābhājanīyakathā
ฎีกา • Tīkā / อภิธมฺมปิฎก (ฎีกา) • Abhidhammapiṭaka (ṭīkā) / ธมฺมสงฺคณี-มูลฎีกา • Dhammasaṅgaṇī-mūlaṭīkā / อุปาทาภาชนียกถาวณฺณนา • Upādābhājanīyakathāvaṇṇanā